เทคนิค นิ การประชาสัม สั พัน พั ธ์ คู่มื คู่ อ มื กลุ่ม ลุ่ อำ นวยการ สำ นัก นั งานเขตพื้น พื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง รั เขต2 สำ นัก นั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้น ขั้ พื้น พื้ ฐาน นางสาวบุณรดา กะเดช นัก นั ประชาสัม สั พัน พั ธ์ชำ ธ์ ชำนาญการ ของ
คำนำ คู่มือเทคนิคการประชาสัมพันธ์เพื่อเป็นคู่มือในการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมส่วนหนึ่งของผู้ทำหน้าที่ ประชาสัมพันธ์หรือเครือข่ายประชาสัมพันธ์และผู้ที่สนใจต้องการอยากเรียนเทคนิคการประชาสัมพันธ์ ซึ่งประกอบด้วยเทคนิคการพูดในสถานที่และโอกาสต่าง ๆ การเตรียมความพร้อมทั้งทางร่างกายจิตใจ การเตรียมเนื้อหาสาระของเรื่องหรือประเด็นที่พูดเทคนิคการถ่ายภาพเป็นการเรียนรู้โหมดต่าง ๆ ของกล้อง บันทึกภาพ การถ่ายภาพบุคคล วิวทิวทัศน์ ภาพการแข่งขันกีฬา ภาพเคลื่อนไหวภาพดอกไม้มีแนวทางการใช้ โหมดและข้อเสนอแนะเพื่อให้ภาพมีความคมชัด และหลักการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ เป็นการเรียนรู้ การเขียนข่าวเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่านและสามารถสื่อสารความหมายที่ตรงกับความต้องการ ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูล เอกสาร จนทำให้คู่มือการประชาสัมพันธ์ สำเร็จลุล่วงด้วยดี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารเล่มนี้จะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการความรู้เพิ่มเติมในการ ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ นางสาวบุณรดา กะเดช นักประชาสัมพันธ์ชำนาญการ
สารบัญ หน้า บทที่ 1 บทน า 1 หลักการและเหตุผล 1 วัตถุประสงค์ 1 เป้าหมาย 2 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 2 บทที่ 2 แนวคิด กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง 3 ความหมายของการประชาสัมพันธ์ 3 วัตถุประสงค์และหลักการการประชาสัมพันธ์ 4 องค์ประกอบการประชาสัมพันธ์ 6 บุคลิกภาพของนักประชาสัมพันธ์ 7 จรรยาบรรณนักประชาสัมพันธ์ 9 กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง 11 บทที่ 3 เทคนิคหลักการพูด 17 หลักการพื้นฐานของการพูด 17 การเตรียมและจัดเรื่องพูด 21 การออกเสียงการพูด 25 มารยาทในการพูดและการฟังที่ดี 27 ชนิดการพูด 29 บทที่ 4 เทคนิคการถ่ายภาพ 31 การเลือกใช้โหมด 31 การชดเชยแสง 40 การวัดแสงของกล้อง 40 รูปแบบการก าหนด Picture Style 42 เทคนิคการถ่ายภาพ 43
สารบัญ (ต่อ) บทที่ 5 หลักการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ 47 ประเภทการเขียนข่าว 47 ข้อมูลประกอบการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ 48 องค์ประกอบการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ 49 คุณลักษณะที่ดีของการเขียนข่าว 50 ประเภทของการแจกข่าว 51 โครงสร้างของการแจกข่าว 51 หลักการเขียนข่าวแจก 52 ภาพข่าว 53 รูปแบบเอกสารภาพข่าวประชาสัมพันธ์ 54 ลักษณะของภาพข่าวประชาสัมพันธ์ 55 การพิจารณาคัดเลือกข่าวประชาสัมพันธ์ 56 การตัดข่าว 57 ภาคผนวก บรรณานุกรม
บทที่ 1 บทน ำ 1.หลักกำรและเหตุผล ส ำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำประถมศึกษำตรัง เขต 2 เป็นหน่วยงำนที่รับผิดชอบ กำรจัดกำรศึกษำตั้งแต่ระดับปฐมวัย – ระดับมัธยมศึกษำตอนต้นใน 5 อ ำเภอ ประกอบด้วย อ ำเภอห้วยยอด อ ำเภอกันตัง อ ำเภอสิเกำ อ ำเภอวังวิเศษ และอ ำเภอรัษฎำ โดยมีโรงเรียน ในสังกัดจ ำนวน 148 โรง (นับรวมโรงเรียนเอกชน) ซึ่งมีแผนปฏิบัติรำชกำรประจ ำปีงบประมำณ ประกอบด้วยแผนงำน โครงกำร เป็นเครื่องมือในกำรบริหำรจัดกำรศึกษำ และจะต้องด ำเนินงำน ตำมนโยบำยรัฐบำล กระทรวงศึกษำธิกำร ส ำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน จังหวัด เพื่อพัฒนำคุณภ ำพกำรศึกษ ำให้มีคุณภำพตำมมำตรฐำนกำรศึกษ ำ และจะต้องมีกำร ประชำสัมพันธ์กิจกรรม ตำมแผนงำน โครงกำร กิจกรรมต่ำงๆ เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ รับทรำบและชื่นชมในหลำกหลำยรูปแบบหลำกหลำยช่องทำง เช่น สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อวิทยุสื่อ โทรทัศน์ Internet เพื่อให้มีควำมประทับใจและมีควำมรู้สึกที่ดีต่อองค์กรสำมำรถน ำไปเผยแพร่ ให้สำธำรณะชนรับทรำบผลส ำเร็จขององค์กรอย่ำงภำคภูมิใจ ดังนั้นกำรประชำสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งที่ ส ำคัญและจ ำเป็นอย่ำงยิ่งต่อองค์กร นักประชำสัมพันธ์จะต้องมีควำมรู้ควำมเข้ำใจในจรรยำบรรณ ของวิชำชีพ องค์ประกอบของกำรประชำสัมพันธ์ หลักกำรและวิธีกำรประชำสัมพันธ์ เทคนิคกำร ใช้สื่อและนวัตกรรม เทคนิคกำรถ่ำยภำพ และหลักกำรและวิธีกำร เขียนข่ำวเพื่อกำร ประชำสัมพันธ์ เพื่อให้กำรประชำสัมพันธ์ประสบควำมส ำเร็จและเป็นที่ยอมรับของผู้มีส่วน เกี่ยวข้อง จึงได้จัดท ำคู่มือเทคนิคกำรประชำสัมพันธ์ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ศึกษำและสำมำรถน ำไป ปฏิบัติได้อย่ำงถูกต้องและมีประสิทธิภำพ 2.วัตถุประสงค์ 2.1. เพื่อเป็นคู่มือในกำรปฏิบัติงำนของนักประชำสัมพันธ์และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้ปฏิบัติงำนด้ำนกำรประชำสัมพันธ์ได้อย่ำงถูกต้องมีควำมมั่นใจและกล้ำที่จะปฏิบัติงำนด้ำนกำร ประชำสัมพันธ์ 2.2. เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงำนด้ำนกำรประชำสัมพันธ์มีควำมรู้ควำมเข้ำใจในกฎหมำย และระเบียบที่เกี่ยวข้องและสำมำรถน ำไปปฏิบัติงำนด้ำนกำรประชำสัมพันธ์ได้อย่ำงถูกต้องตำม กฎหมำยและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
- 2 - 2.3 เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงำนด้ำนกำรประชำสัมพันธ์เข้ำใจเทคนิคกำรพูด เทคนิคกำร ถ่ำยภำพ หลักกำรและวิธีกำรเขียนข่ำวเพื่อกำรประชำสัมพันธ์อย่ำงถูกวิธี 2.4. เพื่อให้ข้อมูลข่ำวสำรที่เผยแพร่มีควำมถูกต้อง และเป็นที่ยอมรับของผู้มีส่วน เกี่ยวข้อง 3.เป้ำหมำย 3.1. ผู้ปฏิบัติงำนด้ำนเครือข่ำยกำรประชำสัมพันธ์มีควำมรู้ควำมเข้ำใจ ในกฎหมำย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง 3.2. ผู้ปฏิบัติงำนด้ำนเครือข่ำยประชำสัมพันธ์มีควำมรู้ควำมเข้ำใจในเทคนิคกำร พูด เทคนิคกำรถ่ำยภำพ หลักกำรและวิธีกำรเขียนข่ำวเพื่อกำรประชำสัมพันธ์ 3.3. ผู้ปฏิบัติงำนเครือข่ำยประชำสัมพันธ์ สำมำรถประชำสัมพันธ์กิจกรรมต่ำงๆ ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ 4.ผลที่คำดว่ำจะได้รับ 4.1. กำรปฏิบัติงำนด้ำนกำรประชำสัมพันธ์สำมำรถเผยแพร่ข้อมูลข่ำวสำรผ่ำน สื่อต่ำงๆ ได้อย่ำงถูกต้องได้อย่ำงหลำกหลำยช่องทำง 4.2. ผู้ปฏิบัติงำนด้ำนกำรประชำสัมพันธ์มีควำมประทับใจ และกล้ำแสดงออก ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ประชำสัมพันธ์และกล้ำส่งข่ำวอย่ำงภำคภูมิใจและรับข่ำว 4.3. ผู้รับข่ำวประชำสัมพันธ์ สำมำรถรับทรำบกิจกรรมต่ำงๆ ได้อย่ำงรวดเร็ว ถูกต้อง และสำมำรถน ำไปปฏิบัติได้ 4.4. องค์กรหรือหน่วยงำนมีเครือข่ำยประชำสัมพันธ์ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ นักประชำสัมพันธ์
บทที่ 2 แนวคิด กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง การประชาสัมพันธ์ มีความส าคัญและจ าเป็นมากขององค์กร ซึ่งจะท าให้บุคลากร ภายใน และบุคลกรภายนอกองค์กรสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน เพื่อการ ตัดสินใจ ให้การด าเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ ไม่มีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงและมีความ เข้าใจที่ตรงกัน ดังนั้นจึงมีความจ าเป็นที่จะต้องศึกษาแนวคิด กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อน าไปใช้ในการประชาสัมพันธ์ให้มีความถูกต้อง ดังนี้ ความหมายการประชาสัมพันธ์ วัตถุประสงค์และหลักการการประชาสัมพันธ์ องค์ประกอบการประชาสัมพันธ์ บุคลิกภาพของนักประชาสัมพันธ์ จรรยาบรรณนักประชาสัมพันธ์ กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ความหมายการประชาสัมพันธ์ หน่วยงานต่างๆ และนักวิชาการได้ให้ค าจ ากัดความการประชาสัมพันธ์ ไว้หลายหลาย จึงขอยกตัวอย่างเพื่อประกอบความเข้าใจไว้บางส่วน ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542 :656) ให้ความหมาย การประชาสัมพันธ์ เป็นการติดต่อสื่อสารเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจอันถูกต้องต่อกัน สมาคมการประชาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (The International Association – IPRA) ได้ให้ความหมายของการประชาสัมพันธ์ คือ ภาระหน้าที่ของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายจัดการ (Managerment function) ซึ ่งจะต้องอาศัยการวางแผนที ่ดีและมีการกระท าอย ่างต ่อเนื ่อง สม่ าเสมอ เพื่อสร้างสรรค์และธ ารงรักษาความเข้าใจอันดีกับกลุ่มประชาชนที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้อง ใช้วิธีการจัดประเมินผลถึงประชามติแล้วน ามาใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาก าหนดเป็นแผนงาน และนโยบายขององค์กรหรือสถาบัน เพื่อให้สอดคล้องกับความเห็นและความต้องการของ ประชาชน พร้อมทั้งใช้วิธีของการเผยแพร่กระจายข่าวสารสู่ประชาชน เพื่อให้เกิดความร่วมมือและ บรรลุถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ดร.เสรี วงษ์มณฑา ให้ความหมายการประชาสัมพันธ์ คือ การประชาสัมพันธ์ เป็นความพยายามที่มีการวางแผนในการที่จะมีอิทธิพลเหนือความคิดจิตใจของสาธารณชน
- 4 - ที่เกี่ยวข้อง โดยกระท าสิ่งที่ดีที่มีคุณค่ากับสังคม เพื่อให้สาธารณชนเหล่านั้นมีทัศนคติที่ดี ต่อหน่วยงาน องค์กร บริษัท ห้างร้าน หรือ สมาคม ตลอดจนมีภาพพจน์ที่ดีเกี่ยวกับหน่วยงาน ต่างๆ เหล่านั้น เพื่อให้หน่วยงานได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือที่ดีจากสาธารณชน ที่เกี่ยวข้องในระยะยาวต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เอ็ดเวิร์ด แอล.เบอร์เนส์ (Edward L.Berrnays) ให้ความหมายการประชาสัมพันธ์ คือ 1.เป็นการเผยแพร่ ชี้แจ้งให้ประชาชนรับทราบ 2.เป็นการชักจูงใจให้ประชาชนมีส่วนร่วม และเห็นด้วยกับวัตถุประสงค์ ตลอดจนวิธีการด าเนินงานของสถาบัน หน่วยงาน 3.เป็นการผสมผสานความคิดเห็นของประชาชนที่เกี่ยวข้อง ให้เข้ากับ จุดมุ่งหมายและวิธีการด าเนินงานของสถาบัน พรทิพย์วรกิจโภคาทร ให้ความหมายของการประชาสัมพันธ์ คือ การปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆ ตามแผนการของการสื่อสารที่ได้ก าหนดไว้เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันถูกต้องตรงกัน ในอันที่จะสร้างความเชื่อถือ ศรัทธา และความร่วมมือระหว่างสถาบันกับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โดยเป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่องและหวังผลระยะยาว ผุสดี บ ารุงกิจ (2550: 38) กล่าวว่า การประชาสัมพันธ์ เป็นกิจกรรมของ หน่วยงาน องค์กร สถาบันหรือบุคคลที่ปฏิบัติเพื่อชนะใจประชาชน รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนได้ เข้าใจถึงนโยบายและวัตถุประสงค์ขององค์กร โดยการเผยแพร่กระจายข่าวสารทางเครื่องมือ สื่อสารต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์และภาพยนตร์ และเป็น วิธีการที่ช่วยส่งเสริมให้สถาบัน องค์กร ชุมชน หรือกลุ่มคน มีความเข้าใจอันดีซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็น ประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ จากการที่หน่วยงานต่างๆ และนักวิชาการได้ให้ความหมายการประชาสัมพันธ์ สรุปได้ว่า การประชาสัมพันธ์ หมายถึง การประชาสัมพันธ์เป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลกับ บุคคล บุคคลกับองค์กร องค์กรกับองค์กร เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันสามารถน าไป ปฏิบัติได้จริงอย่างต่อเนื่อง วัตถุประสงค์และหลักการการประชาสัมพันธ์ วัตถุประสงค์ของการประชาสัมพันธ์เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่พึงประสงค์ ต่อองค์กร ซึ่งก าหนดไว้ตามล าดับที่ต้องการตามแนวทางกระบวนการประชาสัมพันธ์ โดยรวมไป
- 5 - ถึงการรับรู้ การยอมรับ สร้างความเชื่อถือ ความชอบ และเกิดประโยชน์เชื่อมั่นต่อองค์กรเป็น ส าคัญ ซึ่งได้ก าหนดวัตถุประสงค์และหลักการการประชาสัมพันธ์ ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ของการประชาสัมพันธ์ 1.1. วัตถุประสงค์ทั่วไปของการประชาสัมพันธ์ 1.1.1. เพื่อสร้างความนิยมให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน 1.1.2. เพื่อปกป้องและรักษาชื่อเสียงสถาบันมิให้เสื่อมเสีย 1.1.3. เพื่อสร้างความสัมพันธ์ภายในองค์กร 1.2. วัตถุประสงค์ของการประชาสัมพันธ์หน่วยงาน สถาบัน องค์การต่างๆ 1.2.1. เพื่ออธิบายถึงนโยบาย วัตถุประสงค์ การด าเนินการและประเภท ของการด าเนินธุรกิจของหน่วยงานนั้นๆ ให้กลุ่มประชาชนที่เกี่ยวข้อง 1.2.2. เพื่ออธิบายให้ฝ่ายบริหารหรือฝ่ายจัดการ (Management) ได้ทราบ ถึงทัศนคติ มติ หรือความรู้สึกนึกคิดของประชาชนที่มีต่อหน่วยงาน 1.2.3. เพื่อคาดการณ์ล่วงหน้าและค้นหาจุดบกพร่องต่างๆ เพื่อป้องกัน ปัญหายุ่งยากที่เกิดขึ้นภายในหน่วยงาน 1.2.4. เพื ่อให้เป็นที ่ยอมรับ ซึ ่งถ้าเป็นหน ่วยงานธุรกิจภาคเอกชน เช่น บริษัท ห้างร้าน เพื่อให้ลูกค้ายอมรับในบริษัทของตน รวมทั้งยอมรับในผลิตภัณฑ์และบริการที่ บริษัทจ าหน่ายอยู่ ทั้งมีส่วนเพิ่มปริมาณการขายทางอ้อม 1.2.5. เพื่อท าหน้าที่ขจัดปัญหาต่างๆ ภายในหน่วยงาน 1.2.6. เพื่อแนะน าฝ่ายบริหารหรือฝ่ายจัดการให้สามารถด าเนินการ ได้อย่างถูกต้องเพื่อความเจริญก้าวหน้าและชื่อเสียงที่ดีของหน่วยงาน 1.3. วัตถุประสงค์และความมุ่งหมายของการประชาสัมพันธ์ในเชิงปฏิบัติ 1.3.1. เพื่อดึงดูดความสนใจ 1.3.2. เพื่อสร้างความเชื่อถือ 1.3.3. เพื่อสร้างสรรค์ความเข้าใจ ทั้งสามประการนี้จะท าให้องค์กร สถาบัน สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ คือ ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสนใจ เชื่อถือ และความเข้าใจให้แก่ประชาชนพร้อมทั้งโน้มน้าว ชัก จูงให้ประชาชนเห็นด้วยกับการกระท าขององค์การ สถาบัน
- 6 - 2. หลักการประชาสัมพันธ์ หลักการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กร สถาบันกับ ประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นการประชาสัมพันธ์การสื่อสารข้อมูลข่าวสารไปยัง กลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความสัมพันธ์อันดีในการสร้างค่านิยม ภาพลักษณ์ ที่ดีให้เกิดกับองค์กรเพื่อน าไปสู่การยอมรับ และให้ความร่วมมือสนับสนุนในการด าเนินงาน ขององค์กรให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หลักการประชาสัมพันธ์ ที่ส าคัญมี 3 ประการ คือ 2.1. การบอกกล่าวหรือชี้แจงเผยแพร่ให้ทราบ เพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบ ใน ประเด็นต่างๆ ดังนี้ 2.1.1. นโยบาย 2.1.2. วัตถุประสงค์ 2.1.3. การด าเนินงาน 2.1.4. ผลงาน บริการ และกิจกรรมต่างๆ ตลอดข่าวสารความเคลื่อนไหว ขององค์กรหรือสถาบันให้ประชาชน หรือกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องได้รับทราบเป็นการสร้าง ความเข้าใจ ให้รู้จักและเลื่อมใสในองค์กรหรือสถาบันจนท าให้ประชาชนเกิดความรู้สึกไปในทางที่ดี ต่อองค์กรหรือสถาบัน 2.1.5. การป้องกันและแก้ไขความผิดพลาด การประชาสัมพันธ์ถือเป็นการ ประชาสัมพันธ์เพื่อป้องกันซึ่งมีความส าคัญมาก เพราะการป้องกันไว้ก่อนย่อมมีผลดีกว่าต้องมา แก้ไขภายหลัง ฉะนั้นการประชาสัมพันธ์เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดจึงเป็นการกระท าที่ป้องกันมิให้ กลุ่มประชาชนที่เกี่ยวข้องเข้าใจผิดในองค์กรหรือสถาบัน 3. การส ารวจประชามติ หลักการส าคัญของการประชาสัมพันธ์ คือ จะต้องมีการ ส ารวจประชามติ องค์กรหรือสถาบันจะด าเนินการประชาสัมพันธ์ได้อย่างมีปะสิทธิภาพจะต้องรู้ ซึ้งถึงความรู้สึกนึกคิดของประชาชน จะต้องการทราบ ต้องการ ชอบหรือไม่ชอบในสิ่งใด ตอดจน ท่าทีต่างๆ ที่ประชาชนมีต่อองค์กรหรือสถาบัน ซึ่งจะทราบได้จะต้องด าเนินการส ารวจประชามติ เพื่อองค์กรหรือสถาบันสามารถตอบสนองสิ่งต่างๆ ให้สอดคล้องกับความรู้สึกนึกคิดและความ ต้องการของประชาชนหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
- 7 - องค์ประกอบการประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์จะให้บรรลุเป้าหมายจะต้องมีองค์ประกอบของผู้ส่ง ข่าวสาร สื่อ และผู้รับสาร ซึ่งนักวิชาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความหมายองค์ประกอบการ ประชาสัมพันธ์ ดังนี้ ปฤฐฏาง จันทร์บุญรือง (2547 : 31-33) องค์ประกอบของการประชาสัมพันธ์ ที่ส าคัญประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ 1. องค์กรหรือสถาบัน หมายถึง กิจกรรมที่บุคคลหรือคณะบุคคลได้จัดท า ขึ้นโดยประสงค์ที่จะด าเนินการใดๆ ในสังคมให้ลุล่วงไปตามความปรารถนาของบุคคลหรือคณะบุคคล นั้น 2. ข่าวประชาสัมพันธ์ หมายถึงเนื้อหาสาระ เรื่องราวหรือสัญลักษณ์ ภาษาสัญญาณต่างๆ รูปภาพ เครื่องหมาย ที่สามารถสื่อความหมายหรือน าไปตีความหมายเป็นที่รู้ และเข้าใจกันได้ ข่าวประชาสัมพันธ์จะมีเนื้อหาสาระที่มีความหมายแก่ผู้รับเสมอ และจะต้อง สอดคล้องไม่ขัดแย้งกับระบบค่านิยม ความเชื่อหรือปทัสถานของกลุ่ม นอกจากนี้จะต้องมีความ กระชับ ชัดเจนเข้าใจง่ายตลอดจนไม่เกิดความยุ่งยากในการรับสาร 3. เครื่องมือสื่อสารเพื่อการประชาสัมพันธ์ หมายถึง สื่อที่องค์กร สถาบัน เลือกมาใช้ในการน าข่าวสารประชาสัมพันธ์ขององค์กรไปสู่ประชาชน โดยพิจารณาจาก คุณสมบัติของสื่อ ความส าคัญของสื่อ วัตถุประสงค์ ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย และปัจจัยที่ เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบต่างๆ ของกระบวนการสื่อสาร 4. ประชาชนกลุ่มเป้าหมายในการประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับประชาชน ซึ่งค าว่าประชาชน มีความหมายกว้างไกล ครอบคลุมถึงสมาชิกทุกคนของสังคม และมีความหลากหลายแตกต่างกันทั้งอายุ เพศ การศึกษา ฐาน ะท างเศ รษ ฐกิจ สังคม ภูมิล าเน า ศ าสน า วัฒ น ธรรม ป ระเพณี กลุ่มเป้ าหม าย ในการประชาสัมพันธ์ขององค์กร จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 4.1. กลุ่มประชาชนภายใน เป็นกลุ่มบุคลากรในองค์กรตั้งแต่ระดับ ผู้บริหารเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีความสัมพันธ์และผูกพันกับองค์กร มีผลประโยชน์ร่วมกันกับองค์กรดังนั้น งานประชาสัมพันธ์จึงเข้ามามีบทบาทในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในองค์กร 4.2. กลุ่มประชาชนภายนอก เป็นกลุ่มประชาชนที่ประกอบไปด้วยกลุ่ม คนที่มีความสัมพันธ์กับองค์กร เช่น กลุ่มลูกค้า กลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มคนทั่วไปที่มีความสัมพันธ์
- 8 - โดยตรงกับการด าเนินกิจการขององค์กร เป็นต้นว่า กลุ่มคนในละแวกใกล้เคียงกลุ่มสื่อมวลชน กลุ่มผู้น าความคิดเห็น ทั้งนี้เพื่อชี้แจงชักชวนให้กลุ่มดังกล่าวมีความรู้ความเข้าใจในการด าเนินงาน ขององค์กร ท าให้องค์กรด าเนินกิจการได้อย่างราบรื่น บุคลิกภาพของนักประชาสัมพันธ์ นักประชาสัมพันธ์จะต้องมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมการมีบุคลิกภาพที่เหมาะสม ของนักประชาสัมพันธ์ ประกอบด้วย 1. ความอยากรู้อยากเห็น นักประชาสัมพันธ์จะต้องมีความอยากรู้อยากเห็น จะต้องหมั่นศึกษาค้นคว้าให้เข้าใจถึงลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย ศึกษาให้เข้าใจว่า อะไร ท าไม อย่ างไร เมื่ อไร ที่ไห น แ ล ะจ ะต้ องศึ กษ าแล ะเรียน รู้น วัต ก ร รมก า รใช้ สื่ อสมั ยให ม่ ถ้านักประชาสัมพันธ์ขาดความอยากรู้อยากเห็นจะไม่ถึงลักษณะความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย องค์กรหรือสถาบัน และไม่สามารถใช้นวัตกรรมสื่อสมัยใหม่ได้ 2. ความมีชั้นเชิงทางการทูต ความส าเร็จของการประชาสัมพันธ์ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่ กับการสร้างประชามติและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ฉะนั้นวิธีการต่างๆ ในการสร้าหรือชักจูง และการเข้าถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใช้ต้องเทคนิควิธีการที่นุ่นนวลหรือมีชั้นเชิงทางการทูต เพราะวิธีการดังกล่าวย่อมสร้างความเข้าใจ และความร่วมมือให้เกิดขึ้นได้โดยง่าย ตรงกันข้ามกับ วิธีการที่แข็งกระด้างปราศจากชั้นเชิงย่อมก่อให้เกิดความขุ่นเคืองไม่พอใจได้ 3. กิริยาท่าทางน่าประทับใจ งานประชาสัมพันธ์เป็นงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับ กลุ่มเป้าหมายหลายฝ่าย การสร้างความสัมพันธ์และความประทับใจด้วยกิริยามารยาทที่ดีจึงเป็น สิ่งที่ส าคัญและจ าเป็นอย่างยิ่งส าหรับนักประชาสัมพันธ์ 4. มีความสนใจผู้อื่น นักประชาสัมพันธ์ที่ไม่สนใจกลุ่มเป้าหมาย ค านึงแต่ตัวเอง เป็นหลักการด าเนินการย่อมประสบกับความล้มเหลว ฉะนั้นนักประชาสัมพันธ์จะต้องสนใจและ ค านึงถึงกลุ่มเป้าหมายและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่เสมอ เพื่อความส าเร็จในการสร้างความสัมพันธ์ อันดีต่อกัน 5. มีความเป็นกลาง ไม่มีอคติ นักประชาสัมพันธ์จะต้องมีความเป็นกลางและ พิจารณาตัดสินความคิด การกระท า ปัญหา ข้อเสนอแนะของกลุ่มเป้าหมายและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ปราศจากความล าเอียงและอคติต่างๆ
- 9 - 6. มีการสร้างความศรัทธาอย่างแรงกล้า นักประชาสัมพันธ์จะต้องเป็นผู้ที่มี ศรัทธาอย่างแรงกล้าในการท างานที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย และศรัทธาจะต้องเป็นศรัทธามี ความมั่นคงสม่ าเสมอในทุกสภาพการณ์ 7. มีความสามารถในการโน้มน้าวใจ นักประชาสัมพันธ์จะต้องมีความสามารถ ในการโน้มน้าวกลุ่มเป้าหมายและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากการประชาสัมพันธ์เกี่ยวข้อง กับความรู้สึกนึกคิด ฉะนั้นนักประชาสัมพันธ์จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการโน้มน้าว ชักจูงใจ ซึ่งการโน้มน้าวและชักจูงใจจะต้องมีคุณธรรม จริยธรรม มิใช่เป็นการตลบตะแลงหรือหลอกหล่อ ให้หลงกลด้วยเลห์ต่างๆ 8. มีความซื่อสัตย์ นักประชาสัมพันธ์จะต้องมีความซื่อสัตย์และมีจริยธรรม การด าเนินงานประชาสัมพันธ์จะต้องมีความน่ าเชื่อถือไว้วางใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง นักประชาสัมพันธ์ที่ดีจะต้องละเว้นการหลอกลวงปลิ้นปล้อนโดยเด็ดขาด 9. มีไหวพริบ นักประชาสัมพันธ์ย ่อมเกี ่ยวข้องกับสิ ่งต ่างๆ เช ่น อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ฉะนั้นนักประชาสัมพันธ์จะต้องมีไหวพริบและวิจารณญาณที่ดีด้วย จึงจะ ท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 10. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ อาชีพการเป็นนักประชาสัมพันธ์ จะต้องอาศัย ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เสมอ เพื่อน ามาใช้ประโยชน์ในการด าเนินงานประชาสัมพันธ์ 11. มีความกล้า นักประชาสัมพันธ์จะต้องมีความกล้าที่จะกระท าในสิ่งที่ถูกที่ควร และเหมาะสม นักประชาสัมพันธ์จะต้องมีความกล้าที่จะเสนอความคิดเห็นหรือค าแนะน าต่างๆ แก่ฝ่ายบริหารในเรื่องเกี่ยวกับงานประชาสัมพันธ์ที่ก าลังด าเนินการอยู่ 12. มีความขยันขันแข็ง งานประชาสัมพันธ์มิใช่งานนั่งโต๊ะอยู่ในห้องปรับอากาศ ที่สวยสง่าหรูหรา งานประชาสัมพันธ์เป็นงานที่จุกจิก นักประชาสัมพันธ์จึงต้องท างานหนัก อดทน ขยันขันแข็งและสู้งานหนักได้เสมอ 13. มีความรับผิดชอบ การท างานอย่างมีความรับผิดชอบย่อมได้รับความเชื่อถือ ไว้วางใจและได้ผลแน่นอนยิ่งขึ้น นักประชาสัมพันธ์ที่ประสบความส าเร็จจะต้องมีความรับผิดชอบ สูง แม้ว่างานนั้นจะหนักเพียงใดก็ตาม 14. มีความสุขุมรอบคอบ งานประชาสัมพันธ์เป็นงานที่มีความละเอียดอ่อน นักประชาสัมพันธ์จึงต้องมีความสุขุมรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดหรือการกระท า เพราะถ้าหากพลาดพลั้งเพียงเล็กน้อยอาจเกิดผลเสียหายได้ นอกจากนี้นักประชาสัมพันธ์ยังควรมี
- 10 - ความสามารถในด่านต่างๆ อีกได้แก่ ความสามารถในการเขียน การคิด การพูด และการฟัง เป็นต้น จรรยาบรรณนักประชาสัมพันธ์ สมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ให้ความหมายของจรรยาบรรณ นักประชาสัมพันธ์ ดังนี้ 1. ซื่อสัตย์ จริงใจ ยึดมั่นในอุดมการณ์แห่งวิชาชีพของตน 2. เสียสละ จริงใจ เพื่อรักษามาตรฐานและพัฒนาการแห่งวิชาชีพ อย่างสมศักดิ์ศรี 3. ศรัทธาในหน้าที่และมีทัศนคติที่ดีต่อองค์กร 4. สามัคคี เอื้ออาทร และเกื้อกูลระหว่างผู้ร่วมวิชาชีพเดียวกัน 5. ให้ความส าคัญในการรักษาความลับ และเคารพสิทธิส่วนบุคคล 6. ค านึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนและรับผิดชอบต่อสังคมเป็นนิจ 7. น าเสนอเนื้อหาอย่างสุจริตใจ และรักษาวัฒนธรรมในการใช้ภาษา 8. เคารพรักษากฎ ระเบียบ และบรรทัดฐานของสังคมไทย 9. ใช้ปิยวาจา มีมนุษย์สัมพันธ์ และบุคลิกภาพที่ดี สมาคมการประชาสัมพันธ์แห่งสหรัฐอเมริกา ( CODE OF PROFESSIONAL STANDARDS FOR THE PRACTICE OF RUBLIC RELATIONS OF AMERICE ) ให้ความหมาย ของจรรยาบรรณนักประชาสัมพันธ์ ดังนี้ 1. สมาชิกมีหน้าที่ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ชอบธรรมต่อลูกค้าของตน หรือต่อ นายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม อีกทั้งต้องให้ความเป็นธรรมต่อเพื่อนสมาชิก ด้วยกันและต่อประชาชนด้วย 2. สมาชิกจะต้องด าเนินชีวิตในการประกอบวิชาชีพนี้ เพื่อประโยชน์สุขของ ประชาชนโดยส่วนรวม 3. สมาชิกมีหน้าที่ยึดมั่นในมาตรฐานแห่งวิชาชีพนี้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปใน การปฏิบัติงานอย่างถูกต้องแม่นย า การยึดมั่นในสัจจะและการมีรสนิยมที่ดี 4. สมาชิกจะต้องไม่ท าตนเป็นผู้ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีผลประโยชน์แข่งขัน หรือขัดกันอยู่โดยมิได้รับค ายินยอมจากคู่กรณีที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้สมาชิกยังมิควรน าตนเอง เข้าไปอยู่ในฐานะหาประโยชน์ใส่ตนหรือใช้ต าแหน่งหน้าที่กระท าการอันเป็นการขัดกับภาระหน้าที่
- 11 - และความรับผิดชอบที่ตนมีอยู่กับลูกค้า นายจ้าง เพื่อนสมาชิก หรือประชาชนโดยมิได้ชี้แจง ข้อเท็จจริงทั้งหลายอันเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ 5. สมาชิกจะต้องประพฤติและปฏิบัติแต่สิ่งที่จะสร้างหรือธ ารงไว้ซึ่งความมั่นใจ ให้แก่ลูกค้าหรือนายจ้างของตนทั้งในอดีตและปัจจุบัน และจะต้องไม่รับรางวัลสินจ้างหรือรับจ้าง ท างาน ซึ่งอาจมีผลท าให้ต้องน าความลับดังกล่าวมาเปิดเผย จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายหรือ เกิดอคติแก่ลูกค้าหรือนายจ้างของตน 6. สมาชิกจะต้องไม่ปฏิบัติตนไปในทางที่ทุจริตต่อบูรณภาพ และช่องทางแห่ง การติดต่อสื่อสารไปยังประชาชน 7. สมาชิกจะต้องไม่จงใจที่จะเผยแพร่ข่าวสารที่ผิดพลาดหรือชี้แนะให้เกิดความ เข้าใจผิดขึ้น และสมาชิกจะต้องระมัดระวัง ด้วยการหลีกเลี่ยงมิให้มีการเผยแพร่ข่าวสารที่ผิดพลาด จากความเป็นจริงหรือข่าวสารที่ชวนให้เกิดการเข้าใจผิดกันขึ้น 8. สมาชิกจะต้องพร้อมที่จะระบุให้ประชาชนทราบว่าแหล่งที่มาของข่าวสาร ที่ตนเป็นผู้รับผิดชอบนั้นมาจากแหล่งใด ซึ่งหมายรวมถึงชื่อของผู้เป็นลูกค้า หรือนายจ้างที่เป็น ผู้รับผิดชอบในการจัดหาข่าวสารนั้นๆ ให้ด้วย 9. สมาชิกจะไม่ใช้บุคคลหรือองค์การที่ตนฝักใฝ่มาปฏิบัติงานเป็นตัวแทน ในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งที่ตนได้ตั้งวัตถุประสงค์ไว้เป็นการแน่นอนแล้ว หรือปฏิบัติคล้ายกับว่า จะด าเนินการโดยอิสระไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่โดยแท้จริงแล้วกลับแสวงหาผลประโยชน์ ส่วนตัวหรือประโยชน์อันไม่เปิดเผยของตนหรือลูกค้าหรือนายจ้างของตน 10. สมาชิกจะไม่กระท าการใดๆอันเป็นการจงใจที่จะท าให้ชื่อเสียงหรือการปฏิบัติงาน ของสมาชิกผู้อื่นเกิดความเสียมัวหมอง แต่ถ้าหากปรากฏว่าสมาชิกมีหลักฐานว่าสมาชิกผู้อื่นเป็น ผู้กระท าผิดกฎหมายหรือปฏิบัติขัดต่อจรรยาบรรณหรือมีการกระท าอันไม่ชอบธรรมซึ่งหมาย รวมถึงการประพฤติละเมิดจรรยาบรรณนี้ สมาชิกมีหน้าที่จะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของสมาคมทราบ เพื่อด าเนินการอันควรแก่กรณีตามที่ได้ก าหนดระบุไว้ในกฎข้อบังคับของสมาคมมาตรา 13 11. สมาชิกจะต้องไม่ใช้วิธีการใดๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ลูกค้าของสมาชิก ผู้อื่นหรือแก่นายจ้าง หรือแก่ผลิตภัณฑ์ ธุรกิจ หรือบริการของลูกค้า หรือนายจ้าง 12. ในการจัดเสนอบริการแก่ลูกค้าหรือนายจ้าง สมาชิกจะต้องไม่รับค่าตอบแทน หรือค่านายหน้าหรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริการนั้นๆ จากบุคคลอื่นใด นอกจากลูกค้าหรือนายจ้าง ของตนเท่านั้น เว้นแต่ลูกค้าหรือนายจ้างจะยินยอมให้ท าเช่นนั้นได้
- 12 - 13. สมาชิกจะต้องไม่ให้ข้อเสนอแนะบริการแก่ผู้มาติดต่อ ซึ่งหวังผลบางประการ และสมาชิกไม่บังควรที่จะเจรจาให้ลูกค้า หรือนายจ้างท าสัญญาจ่ายค่าตอบแทนแก่ตนในรูปแบบ นั้น 14. สมาชิกจะต้องไม่แทรกแซงก้าวก่ายการรับจ้างตามวิชาชีพของสมาชิกผู้อื่น ในกรณีที่รับจ้างด าเนินงานสองแห่งพร้อมๆ กัน งานทั้งสองแห่งนั้นจะต้องไม่ขัดผลประโยชน์ซึ่งกัน และกัน 15. สมาชิกจะต้องละเว้นไม่เกี่ยวข้องกับองค์การใดๆ ทันทีเมื่อทราบหรือ รับทราบว่าการปฏิบัติงานให้องค์การนั้นต่อไป จะยังผลให้สมาชิกผู้นั้นจะต้องละเมิดหลักการแห่ง จรรยาบรรณนี้ 16. สมาชิกผู้ได้รับเชิญให้มาเป็นสักขีพยานในการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ข้อบังคับของจรรยาบรรณนี้จะต้องมาปรากฏตัวตามค าเชิญ ยกเว้นในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย จึงจะขออนุญาตให้ขาดการมาเป็นพยานได้ 17. สมาชิกจะต้องไม่ให้ความร่วมมือกับเพื่อนสมาชิกอื่นๆ ในการช่วยกันธ ารง รักษาให้มีการประพฤติปฏิบัติตามหลักแห่งจรรยาบรรณนี้ กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ระเบียบส านักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 ส่วนที่ 5 ได้ ก าหนดหนังสือประชาสัมพันธ์มี 3 ชนิด ได้แก่ประกาศ แถลงการณ์ และข่าว ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ประกาศ คือ บรรดาข้อความที่ทางราชการประกาศหรือชี้แจงให้ทราบ หรือ แนะแนวทางปฏิบัติ ใช้กระดาษตราครุฑ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.1. ประกาศ ให้ลงชื่อส่วนราชการที่ออกประกาศ 1.2. เรื่อง ให้ลงชื่อเรื่องที่ประกาศ 1.3. ข้อความ ให้อ้างเหตุผลที่ต้องการประกาศและข้อความที่ประกาศ 1.4. ประกาศ ณ วันที่ ให้ลงตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือนและ ตัวเลขของปีพุทธศักราชที่ออกประกาศ 1.5. ลงชื่อ ให้ลงลายมือชื่อออกประกาศ และพิมพ์ชื่อเต็มของเจ้าของ ลายมือชื่อไว้ใต้ลายมือชื่อ
- 13 - 1.6. ต าแหน่ง ให้ลงต าแหน่งของผู้ประกาศในกรณีที่กฎหมายก าหนดให้ ท าเป็นแจ้งความให้เปลี่ยนค าว่า ประกาศ เป็น แจ้งความ 2. แถลงการณ์คือ บรรดาข้อความที่ทางราชการแถลงเพื่อท าความเข้าใจใน กิจการของทางราชการ หรือเหตุการณ์ใดๆ ให้ทราบชัดเจนโดยทั่วกัน ใช้กระดาษตราครุฑ โดยมี รายละเอียดดังนี้ 2.1. แถลงการณ์ ให้ลงชื่อส่วนราชการที่ออกแถลงการณ์ 2.2. เรื่อง ให้ลงชื่อเรื่องที่ออกแถลงการณ์ 2.3. ฉบับที่ ใช้ในกรณีที่จะต้องแถลงการณ์หลายฉบับในเรื่องเดียวที่ ต่อเนื่องกันให้ลงฉบับที่เรียงตามล าดับไว้ด้วย 2.4. ข้อความ ให้อ้างเหตุผลที่จะต้องออกแถลงการณ์และข้อความที่ แถลงการณ์ 2.5. ส่วนราชการที่ออกแถลงการณ์ ให้ลงชื่อส่วนราชการที่ออก แถลงการณ์ 2.6. วัน เดือน ปี ให้ลงตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลข ของพุทธศักราชที่ออกแถลงการณ์ 3. ข่าว คือ บรรดาข้อความที่ทางราชการเห็นสมควรเผยแพร่ให้ทราบ โดยมี รายละเอียดดังนี้ 3.1. ข่าว ให้ลงชื่อส่วนราชการที่ออกข่าว 3.2. เรื่อง ให้ลงชื่อเรื่องที่ออกข่าว 3.3. ฉบับที่ ใช้ในกรณีที่จะต้องออกข่าวหลายฉบับในเรื่องเดียวที่ ต่อเนื่อง ให้ลงฉบับที่เรียงล าดับไว้ด้วย 3.4. ข้อความ ให้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของข่าว 3.5. ส่วนราชการที่ออกข่าว ให้ลงชื่อส่วนราชการที่ออกข่าว 3.6. วัน เดือน ปี ให้ลงตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลข ของปีพุทธศักราชที่ออกข่าว พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. 2540 ได้บัญญัติมาตรา เกี่ยวข้องกับการประชาสัมพันธ์ใน หมวดข้อมูลข่าวสารที่ไม่ต้องเปิดเผย และหมวดข้อมูลข่าวสาร ส่วนบุคคล ซึ่งได้บัญญัติ ดังนี้
- 14 - มาตรา 14 ข้อมูลข่าวสารของทางราชการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์จะเปิดเผยมิได้ มาตรา 15 ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีค าสั่งมิให้เปิดเผยก็ได้ โดยให้ค านึงถึงการปฏิบัติ หน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงาน รัฐประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้อง ประกอบกัน (1) การเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ หรือการคลังของประเทศ (2) การเปิดเผยจะท าให้บังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพหรือไม่อาจ ส าเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการฟ้องคดี การป้องกันและปราบปราม การทดสอบ การตรวจสอบ หรือการรู้แหล่งที่มาของข้อมูลข่าวสารหรือไม่ก็ตาม (3) ความเห็นหรือค าแนะน าภายในหน่วยงานของรัฐในการด าเนินการ เรื่องหนึ่งเรื่องใด แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงรายงานทางวิชาการ รายงานข้อเท็จจริง หรือข้อมูลข่าวสารที่ น ามาใช้ในการท าความเห็นหรือค าแนะน าภายในดังกล่าว (4) การเปิดเผยจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของ บุคคลหนึ่งบุคคลใด (5) รายงานการแพทย์หรือข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลซึ่งการเปิดเผยจะ เป็นการล้ าสิทธิส่วนบุคคลโดยมิสมควร (6) ข้อมูลข่าวสารของทางราชการที่มีกฎหมายคุ้มครองมิให้เปิดเผยหรือ ข้อมูลข่าวสารที่มีผู้ให้มาโดยไม่ประสงค์ให้ ทางราชการน าไปเปิดเผยต่อผู้อื่น (7) กรณีอื่นตามที่ก าหนดในพระราชกฤษฎีกา ค าสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการจะก าหนดเงื่อนไขอย่างใด อย่างหนึ่งก็ได้ แต่ต้องระบุไว้ด้วยว่าที่เปิดเผยไม่ได้ เพราะเป็นข้อมูลข่าวสารประเภทใดและเพระ เหตุผลใด และให้ถือว่าการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการเป็นดุลพินิจ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของ รัฐตามล าดับสายการบังคับบัญชา แต่ผู้ขออาจอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารได้ตามที่ก าหนดในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 16 เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติว่าข้อมูลข่าวสาของราชการจะ เปิดเผยต่อบุคคลใดได้หรือไม่ภายใต้เงื่อนไขเช่นใด และสมควรเก็บรักษามิให้รั่วไหลในหน่วยงาน
- 15 - ของรัฐ ก าหนดวิธีการคุ้มครองข้อมูลข่าวสารนั้น ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีก าหนดว่าด้วย การรักษาความลับของทางราชการ มาตรา 17 ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเห็นว่า การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของ ราชการใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของผู้ใด ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐแจ้งให้ผู้นั้นเสนอค าคัดค้าน ภายในเวลาที่ก าหนด แต่ต้องให้เวลาอันสมควรที่ผู้นั้นอาจเสนอค าคัดค้านได้ ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสิบ ห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ผู้ที่ได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง หรือผู้ที่ทราบว่าการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของ ราชการใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้ เสียของตน มีสิทธิคัดค้านการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นได้ โดยท าเป็นหนังสือถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบ ในกรณีที่มีการคัดค้าน เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องพิจารณาค าคัดค้านและ แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้คัดค้านทราบโดยไม่ชักช้า ในกรณีที่มีค าสั่งไม่รับฟังค าคัดค้าน เจ้าหน้าที่ ของรัฐจะเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นมิได้ จนกว่าจะล่วงพ้นค าอุทธรณ์ตามมาตรา 18 หรือจนกว่า คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้มีค าวินิจฉัยให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นได้ แล้วแต่กรณี มาตรา 18 ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีค าสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารใดตาม มาตรา 14 หรือ ตามมาตรา 15 หรือมีค าสั่งไม่รับฟังค าคัดค้านของผู้มีประโยชน์ได้เสียตามมาตรา 17 ผู้นั้นอาจอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภายในสิบห้าวันที่ได้รับ แจ้งค าสั่งนั้น โดยยื่นค าอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการ มาตรา 19 การพิจารณาเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่มีค าสั่งมิให้เปิดเผยนั้นไม่ว่า จะเป็นการพิจารณาของคณะกรรมการ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารหรือศาล ก็ตาม จะต้องด าเนินกระบวนการพิจารณา โดยมิให้ข้อมูลข่าวสารนั้นเปิดเผยแก่บุคคลอื่นใด ที่ไม่จ าเป็นแก่การพิจารณาและในกรณีที่จ าเป็นจะพิจารณาลับหลังคู่กรณี กรณีคู่ความฝ่ายใดก็ได้ มาตรา 20 การเปิดเผยข้อมลข่าวสารใด แม้จะเข้าข่ายต้องรับผิดตามกฎหมายใด ให้ถือว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ต้องรับผิดหากเป็นการกระท าโดยสุจริตในกรณีต่อไปนี้ (1) ข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ด าเนินการโดย ถูกต้องตามระเบียบตามมาตรา 16 (2) ข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับตามที่ ก าหนดในกฎกระทรวง มีค าสั่งให้เปิดเผยเป็นการทั่วไปหรือเฉพาะแก่บุคลคลใดเพื่อประโยชน์
- 16 - อันส าคัญยิ่งกว่าที่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ หรือชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรือประโยชน์อื่น ของบุคคล และค าสั่งนั้นได้กระท าโดยสมควรแก่เหตุในการนี้จะมีการก าหนดข้อจ ากัดหรือเงื่อนไข ในการใช้ข้อมูลข่าวสารนั้นตามความเหมาะสมได้ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่งไม่เป็นเหตุให้หน่วยงานของรัฐพ้นจาก ความรับผิดตามกฎหมายหากจะพึงมีในกรณีดังกล่าว มาตรา 21 เพื่อประโยชน์แห่งหมวดนี้ “บุคคล” หมายความถึง บุคคลธรรมดา ที่มีสัญชาติไทยและบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย มาตรา 22 ส านักงานข่าวกรองแห่งชาติ ส านักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ หน่วยงานภาครัฐแห่งอื่นที่ก าหนดในกฎกระทรวง อาจออกระเบียบโดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการ ก าหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่มิให้น าบทบัญญัติวรรคหนึ่ง (3) ของ มาตรา 23 มาใช้บังคับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่อยู่ในความควบคุมดูแลของหน่วยงานดังกล่าว ก็ได้ มาตรา 23 หน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติ เกี่ยวกับการจัดระบบข้อมูลข่าวสาร ส่วนบุคคลดังต่อไปนี้ (1) ต้องจัดให้มีระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลเพียงเท่าที่เกี่ยวข้องและจ าเป็น เพื่อการด าเนินงานของหน่วยงานของรัฐให้ส าเร็จตามวัตถุประสงค์เท่านั้น และยกเลิกการจัดให้มี ระบบดังกล่าวเมื่อหมดความจ าเป็น (2) พยายามเก็บข้อมูลข่าวสารโดยตรงจากเจ้าของข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน กรณีที่จะกระทบถึงประโยชน์ได้เสียโดยตรงของบุคคลนั้น (3) จัดให้มีการพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาและตรวจสอบแก้ไขให้ถูกต้องอยู่เสมอ เกี่ยวกับสิ่งดังต่อไปนี้ (ก) ประเภทของบุคคลที่มีการเก็บข้อมูลไว้ (ข) ประเภทของระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล (ค) ลักษณะการใช้ข้อมูลข่าสารตามปกติ (ง) วิธีการขอตรวจดูข้อมูลข่าวสารของเจ้าของข้อมูล (จ) วิธีการขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล (ฉ) แหล่งที่มาของข้อมูล
- 17 - (4) ตรวจสอบแก้ไขข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลในความรับผิดชอบให้ถูกต้องอยู่ เสมอ (5) จัดระบบรักษาความปลอดภัยให้แก่ระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามความ เหมาะสมเพื่อป้องกันมิให้มีการน าไปใช้โดยไม่เหมาะสมหรือเป็นผลร้ายต่อเจ้าของข้อมูล ในกรณีที่เก็บข้อมูลข่าวสารโดยตรงจากเจ้าหน้าที่ของข้อมูล หน่วยงานของรัฐ ต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบล่วงหน้า หรือพร้อมกับการขอข้อมูลถึงวัตถุประสงค์ที่จะน าข้อมูล มาใช้ ลักษณะการใช้ข้อมูลตามปกติ และกรณีที่ขอข้อมูลนั้นเป็น กรณีที่อาจให้ข้อมูลได้โดยความ สมัครใจหรือเป็นกรณีมีกฎหมายบังคับ หน่วยงานของรัฐต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบในกรณีที่มีการให้จัดส่งข้อมูล ข่าวสารส่วนบุคคลไปยังที่ใดซึ่งจะเป็นผลให้บุคคลทั่วไปทราบข้อมูลข่าวสารนั้นได้ เว้นแต่เป็นไป ตามลักษณะใช้ข้อมูลตามปกติ มาตรา 24 หน่วยงานของรัฐจะเปิดเผยข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่อยู่ในความ ควบคุมดูแลของตนต่อหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นหรือผู้อื่น โดยปราศจากความยินยอมเป็นหนังสือ ของเจ้าของข้อมูลที่ให้ไว้ล่วงหน้าหรือขณะนั้นมิได้ เว้นแต่เป็นการเปิดเผย ดังต่อไปนี้ (1) ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานของตนเองเพื่อการน าไปใช้ตามอ านาจหน้าที่ ของหน่วยงานของรัฐแห่งนั้น (2) เป็นการใช้ข้อมูลตามปกติภายในวัตถุประสงค์ของการจัดให้มีระบบข้อมูล ข่าวสารส่วนบุคคลนั้น (3) ต่อหน่วยงานของรัฐที่ท างานด้านการวางแผนหรือการสถิติหรือส ามะโนต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่ต้องรักษาข้อมูล ข่าวสารส่วนบุคคลไว้ไม่ให้เปิดเผยต่อไปยังผู้อื่น (4) เป็นการให้เพื่อประโยชน์การศึกษาวิจัยโดยไม่ระบุชื่อหรือส่วนที่ท าให้รู้ว่าเป็น ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับบุคคลใด (5) ต่อหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปกร หรือหน่วยงานอื่นของรัฐตาม มาตรา 26 วรรคหนึ่ง เพื่อการตรวจดูคุณค่าในการเก็บรักษา (6) ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อการป้องกันการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย การสืบสวน การสอบสวน หรือการฟ้องคดี ไม่ว่าเป็นคดีประเภทใดก็ตาม (7) เป็นการให้ซึ่งจ าเป็นเพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิตหรือสุขภาพของ บุคคล
- 18 - (8) ต่อศาล และเจ้าหน้าที่ขอรัฐหรือหน่วยงานของรัฐหรือบุคคลที่มีอ านาจตาม กฎหมายที่จะขอข้อเท็จจริง ดังกล่าว (9) กรณีอื่นตามที่ก าหนดในพระราชกฤษฎีกา การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามวรรคหนึ่ง (3) (4) (5) (6) (7) (8) และ (9) ให้มีการจัดท าบัญชีแสดง การเปิดเผยก ากับไว้กับข้อมูลข่าวสารนั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ที่ก าหนดในกฎกรทรวง มาตรา 25 ภายใต้บังคับมาตรา 14 และมาตรา 15 บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะได้รู้ถึง ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน และเมื่อบุคคลนั้นมีค าขอเป็นหนังสือ หน่วยงานของรัฐที่ ควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้นจะต้องให้บุคคลนั้นหรือผู้กระท าการแทนบุคคลนั้นได้ตรวจดูหรือ ได้รับส าเนา ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลนั้น และให้น ามาตรา 9 วรรคสอง และ วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม การเปิดเผยรายงานการแพทย์ที่เกี่ยวกับบุคคลใด ถ้ากรณีมีเหตุอันควรเจ้าหน้าที่ ของรัฐจะเปิดเผยต่อเฉพาะแพทย์ที่บุคคลนั้นมอบหมายก็ได้ ถ้าบุคคลใดเห็นว่าข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตนส่วนใดไม่ถูกต้องตามที่ เป็นจริง ให้มีสิทธิยื่นค าขอเป็นหนังสือให้หน่วยงานของรัฐที่ควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารแก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารส่วนนั้นได้ซึ่งหน่วยงานของรัฐจะต้องพิจารณาค าขอดังกล่าว และแจ้งให้บุคคลนั้นทราบโดยไม่ชักช้า ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารให้ตรง ตามที่มีค าขอ ให้ผู้นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภายใน สามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งค าสั่งไม่ยินยอมแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือลบข้อมูลข่าวสา โดยยื่นค า อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการ และไม่ว่ากรณีใดๆ ให้เจ้าของข้อมูลมีสิทธิร้องขอให้หน่วยงานของรัฐ หมายเหตุค าขอของตนแนบไว้กับข้อมูลข่าวสารส่วนที่เกี่ยวข้องได้ ให้บุคคลตามที่ก าหนดในกฎกระทรวงมีสิทธิด าเนินการตามมาตรา 23 และ มาตรา 24 และมาตรานี้แทนผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ หรือเจ้าของ ขอมูลที่ถึงแก่กรรมแล้วได้
บทที่ 3 เทคนิคหลักการพูด การประชาสัมพันธ์ เป็นปัจจัยส าคัญของส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ตรัง เขต 2 ในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา บุคลากรในส านักงานกับ บุคลากรในส านักงาน และบุคลากรในส านักงานกับบุคคลภายนอก จะต้องการอาศัยการสื่อสารโดย การพูดที่มีประสิทธิภาพ ถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถน าไปปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ผู้พูดจะต้องมี การเตรียมความพร้อมของตัวเองและจะต้องมีข้อมูลของผู้ฟัง สถานที่ จะท าให้การสื่อสารประสบ ความส าเร็จ จึงจะต้องอาศัยการเตรียมความพร้อมที่ดีในองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้ หลักการพื้นฐานของการพูด การพูดที่ดีมีประสิทธิภาพ จะต้องมีความชัดเจนถูกต้องครบถ้วนในเนื้อหาสาระและ ที่ส าคัญที่สุดคือผู้ฟังเข้าใจและจับประเด็นเรื่องที่พูดได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นผู้พูดจะต้องเข้าในใจ องค์ประกอบของการพูด การเตรียมความพร้อมส าหรับผู้พูด การพูดในระดับต่างๆของการสื่อสาร ผู้พูดจึงจะสามารถได้อย่างมั่นใจจึงจะต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานของการพูดซึ่งมีดังนี้ 1. องค์ประกอบของการพูด การพูด เป็นสิ่งที่ส าคัญที่สุดในการสื่อความหมาย ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบ ต่างๆ ดังนี้ 1.1. ผู้พูด (speaker) ผู้พูดจะแสดงความสามารถในการถ่ายทอดความรู้สึก ข้อคิดเห็น ข้อเท็จจริง ตลอดจนทัศนคติของตนไปสู่ผู้ฟังให้ดีที่สุดเท่าที่ท าได้ โดยการจัดเรียงภาษา ที่ใช้ เสียง กิริยาท่าทาง และบุคลิกภาพของตนอย่างมีประสิทธิภาพ และผู้พูดจะต้องรู้จักจัดระเบียบค าพูด ความรอบรู้ในหลากหลายด้านเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจได้โดยง่าย 1.2. สาระหรือเนื้อเรื่องที่จะพูด (Speech) ผู้พูดควรจะเลือกเนื้อเรื่องที่ตนถนัด และ มีความรู้ในเรื่องนั้นจริงๆ และควรมีการตระเตรียม การล าดับ และการด าเนินการเรื่องที่ดี และถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์ เช่น มีการกล่าวน า เนื้อเรื่อง และการสรุปเนื้อเรื่อง เป็นต้น 1.3. ผู้ฟัง (Audience) การสื่อความหมายที่มีผู้พูดเป็นผู้ให้และมีผู้ฟังเป็นผู้รับ ผู้พูดจะต้องสื่อความหมายให้ตรงเป้าหมายที่ต้องการสื่อให้ผู้ฟังได้รับทราบข้อความที่ต้องการ สื่อความหมาย
- 18 - 1.4. เครื่องมือในการสื่อสาร (Communication) เครื่องมือที่จะช่วยถ่ายทอดความรู้สึก ไปให้ผู้ฟังได้รับทราบสิ่งที่ต้องการสื่อสาร เช่น เสียง สีหน้า กิริยาท่าทาง เพื่อให้มีความรู้สึกและเข้าใจ ตรงกับผู้พูด 1.5. ความมุ่งหมายของการพูด การพูดทุกชนิดจะต้องมีจุดมุ่งหมายหรือผลที่เกิดขึ้น ผลของการพูดนั้นจะตรงตามความมุ่งหมายของผู้พูด พิจารณาได้จากการแสดงออกของผู้ฟัง เช่น การผงกศีรษะ ปรบมือ หัวเราะ ยิ้ม สีหน้า เป็นต้น 2.การเตรียมความพร้อมส าหรับการพูด ผู้พูดจะต้องแสดงถึงบุคลิกภาพรวมถึงการใช้ภาษา น้ าเสียง การยืน การแต่งกาย การใช้สายตา ฯลฯ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสื่อความหมายไปสู่ผู้ฟัง ดังนั้นผู้พูดจะต้องมีการเตรียม ความพร้อมส าหรับการพูดในประเด็นต่างๆ ดังนี้ 2.1. การใช้ภาษาผู้พูดจะต้องรู้จักใช้ภาษาพูดให้ถูกต้องกับความนิยมของกลุ่มเป้าหมาย ที่จะพูด และการใช้ภาษาที่ผู้พูดใช้พูดไม่จ าเป็นจะต้องใช้ศัพท์แปลกๆ หรือ ผูกประโยคสลับซับซ้อน แต่ผู้พูดควรใช้ถ้อยค าที่มีความหมาย ประโยคสั้นๆ และเข้าใจง่าย และที่ส าคัญผู้พูดจะต้องไม่ใช้ค าพูด ที่ไม่สุภาพและหยาบคาย การใช้ภาษาที่ถูกต้องมีลักษณะที่ดี ดังนี้ 2.1.1. ผู้พูดจะต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมกับบุคคล สถานที่ และโอกาส โดย ค านึงถึงพื้นฐานของผู้ฟัง 2.1.2. ผู้พูดจะต้องใช้ภาษาที่สุภาพ ที่นิยมใช้สนทนาที่สุภาพ มิใช่ภาษาเขียน 2.1.3. ผู้พูดจะต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายๆ ประโยคเรียบและสั้น 2.1.4. ผู้พูดจะต้องใช้สรรพนามให้บ ่อยครั้งกว่าใช้ภาษาเขียนธรรมดา เพราะสรรพนาม จะช่วยให้ผู้พูดกับผู้ฟังมีโอกาสติดต่อสื่อสารกันได้อย่างใกล้ชิด และตรงไปตรงมา เป็นกันเองมากที่สุด 2.1.5. ผู้พูดหลีกเลี่ยงใช้ถ้อยค าหรือข้อความเดียวกันบ่อยๆ ซ้ าๆ ซากๆ เพราะจะท าให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่ายและไม่สนใจฟัง เช่น นอกจากนี้ แล้วก็ จะเห็นได้ว่า เป็นต้น 2.1.6. ผู้พูดจะต้องใช้ค าพูดที่ก่อให้เกิดอารมณ์ หรือเห็นภาพพจน์ จะท าให้ ผู้ฟังเข้าใจง่าย ไม่ต้องเสียเวลาคิด 2.2. น้ าเสียง น้ าเสียงในการพูดมีส่วนส าคัญอย่างมากในการส่งความหมายจากผู้พูด ไปยังผู้ฟัง น้ าเสียงที่พูดนั้นจะแสดงให้เห็นถึงความสุภาพ หรือความไม่สุภาพของผู้พูดได้เป็นอย่างดี ลักษณะของน้ าเสียงที่ดี มีดังนี้
- 19 - 2.2.1. เสียงที่พูดควรจะมีความดังพอสมควร 2.2.2. เสียงที่พูด ต้องเป็นเสียงที่แจ่มใส นุ่นนวลชวนฟัง ท าให้ผู้ฟังรู้สึกนิยม ชมชอบและนับถือในตัวผู้พูด 2.2.3. เสียงที่พูดจะต้องให้เข้ากับกาลเทศะ จะต้องให้เหมาะสมกับโอกาส ปริมาณ สถานที่ และองค์ประกอบของผู้ฟัง 2.2.4. เสียงที่พูดจะต้องไม่เป็นเสียงเดียวเนือยๆ ผู้พูดจะต้องพูดมีเสียงสูง เสียงต่ า หนักเน้น เบา เพื่อให้เสียงมีชีวิตชีวา 2.2.5. เสียงที่พูดต้องออกให้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความที่มีอักษร ควบกล้ าหรือค าราชาศัพท์ 2.3. การใช้สายตา การใช้สายตาเป็นส่วนส าคัญส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพของผู้พูด ผู้พูดมีโอกาสสบตาผู้ฟังจะท าให้การสื่อความหมายเป็นไปได้โดยสะดวกและเกิดความเข้าใจกันได้อย่าง รวดเร็ว เพราะสายตาสามารถสร้างความสัมพันธ์และถ่ายทอดความรู้สึกของผู้พูดไปสู่ผู้ฟังได้ วิธีการใช้สายตาที่ดี คือ ค่อยๆ กวาดสายตาไปยังผู้ฟัง (จากซ้ายไปขวา) พยายามมองผู้ฟัง ให้ทั่วกรณีมีการสบตาผู้ฟังให้แสดงความจริงใจออกทางสายตา และผู้พูดพยายามมองผู้ฟังตลอดเวลา ซึ่งเป็นการแสดงออกว่าเราสนใจผู้ฟัง ผู้พูดจะต้องไม่ใช้สายตามองดูพื้น เพดาน ประตู มองห้าม หัวผู้ฟังไปยังฝาห้อง หรือมองออกไปนอกห้อง 2.4. การเดิน การเดินเป็นสิ่งแรกที่สะดุดตาหรือเป็นจุดสนใจของผู้ฟังและนับเป็น ส่วนส าคัญส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพด้วย วิธีเดินที่ดีซึ่งนับจากที่นั่งของผู้พูด การก้าวเดินด้วยฝีเท้า พอเหมาะไม่ช้าหรือเร็วเกินไป และจะต้องทรงตัวให้สง่างาม ไม่เดินหลังโกงหรือยืดหน้าอกหรือ กระมิดกระเมี้ยนอาย ระวังอย่าให้ไหล่ตึงและทื่อ ขณะที่เดินต้องแกว่งแขนตามสบาย แต่ต้องระวัง ไม่แกว่งมากเกินไปหรือไม่แกว่งเลย ศีรษะจะต้องตั้งตรง ควรอยู่ในลักษณะที่เป็นเส้นขนานกับพื้น ตลอดเวลา 2.5. การทรงตัว การทรงตัว หรือการยืนเป็นอีกส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพของผู้พูด การทรงตัว ในขณะที่พูด ต้องระมัดระวังไม่ยืนตามสบายจนเกินไป และไม่ยืนให้ตึงเครียดมาก เพราะการยืนตึงเครียดจะท าให้ความสามารถในการพูดลดน้อยลง ท าให้ไม่สามารถเคลื่อนไหว ได้อย่างคล่องแคล้วและมีชีวิตจิตใจ การยืนที่ดีที่สุด เท้าทั้งสองข้างของผู้พูดไม่ควรอยู่ชิดหรือ ห่างจนเกินไป ควรห่างกันประมาณ 1 คืบ ให้ปลายเท้าอยู่ล้ ากัน (อย่าให้ปลายเท้าอยู่ตรงในแนว
- 20 - เดียวกัน) ให้น้ าหนักของร่างกายตกอยู่ตอนหน้าของเท้า อย่าให้น้ าหนักกดลงตรงส้นเท้าทั้งหมด ในขณะที่ยืนนั้นต้องมีความรู้สึกว่าไม่เครียด และมีความเป็นตัวของตัวเอง และลักษณะของการทรงตัว ที่ดีนั้น หลังจะต้องตรงไม่โก้งงอไหล่ต้องไม่ห่อ และจะต้องรู้จักเก็บท้องด้วย ลักษณะท่ายืนที่ไม่ควร น ามาใช้ในการพูด คือ ท่ายืนแบบทหาร ท่ายืนเกร็ง ท่ายืนแล้วไหล่เอียงไปข้างหนึ่ง ท่ายืนโคลงตัว ไปมา ท่าบาดหลวงเทศน์ ท่าที่แสดงตนเหนือผู้ฟัง ท่ายืนเหมือนดาราภาพยนตร์ หรือนางแบบ เป็นต้น 2.6. การแสดงออกทางใบหน้า การแสดงออกทางสีหน้าของผู้พูด เป็นเครื่องมือ ที่ผู้พูดใช้สื่อความหมายกับผู้ฟัง ผู้ฟังจะอ่านความรู้สึกของผู้พูดจากสีหน้า ผู้พูดจะต้องแสดงสีหน้าด้วย การใส่ความรู้สึกให้สอดคล้องกับเรื่องที่จะพูดและกิริยาท่าทางประกอบอื่นๆ เช่น เมื่อผู้พูดพูด เรื่องเศร้า ควรที่จะแสดงสีหน้าเศร้า และเสียงเศร้าด้วย เมื่อพูดเรื่องปัญหาที่ส าคัญๆ ควรจะแสดง สีหน้าขรึม และเมื่อพูดในเรื่องปกติทั่วๆ ไป ผู้พูดจะต้องแสดงสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เพื่อสร้าง บรรยากาศความไม่ตึงเครียด 2.7. การแสดงท่าทาง การแสดงท่าทางประกอบการพูด เป็นสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความ สนใจของผู้ฟัง และท าให้การพูดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การแสดงท่าทางหรือท ามือประกอบ ซึ่งให้อยู่ใน ระดับสายตาของผู้พูดและสอดคล้องกับเรื่องที่พูด 2.8. การแต่งกาย การแต่งกายเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่จะดึงดูดความสนใจ ของผู้ฟัง การแต่งกายเด่นเกินไปหรือสกปรกเกินไป จะท าให้ผู้ฟังหันความสนใจไปสู่เครื่องแต่งกาย ของผู้พูดและอาจไม่สนใจเนื้อความของเรื่องของผู้พูด การแต่งกายเป็นการบอกนิสัยใจคอ และ รสนิยมของผู้พูด การแต่งกายที่ดีคือ แต่งกายให้เรียบร้อยตามสมัยนิยม โดยให้ค านึงถึงรูปร่าง และ ฐานะของผู้แต่ง และจะต้องแต่งกายให้เหมาะสมกับโอกาสและสถานที่ที่จะไปพูด และนอกจาก การแต่งกายแล้วเรื่องทรงผม ใบหน้า เข็มขัด รองเท้า เนคไท กลิ่นตัว กลิ่นปาก มีความส าคัญยิ่ง ที่จะต้องให้ความสนใจเท่าๆ กับเครื่องแต่งกาย 2.9. การใช้ไมโครโฟน ไมโครโฟนเป็นเครื่องมือช่วยในการพูดที่เป็นประโยชน์มาก จะช่วยให้ผู้ฟังได้ยินทั่วถึงกัน เทคนิคการใช้ไมโครโฟน ในขณะที่พูดควรให้ไมโครโฟนอยู่ห่างจากปาก ประมาณ 8 – 12 นิ้วและให้ไมโครโฟนอยู่ตรงปากและปรับไมโครโฟนให้กับเหมาะสมกับความสูงของ ผู้พูด และที่ส าคัญในขณะที่พูดอย่ามองไมโครโฟน จะต้องใช้สายตามองผู้ฟังเพื่อให้มีความสง่างามใน ขณะที่พูด และไม่ควรใช้มือจับฐานไมโครโฟน หรือไมโครโฟน เมื่อผู้พูดพร้อมที่จะพูดจะต้องพูดทันที โดยไม่ต้องแตะไมโครโฟนหรือแคะไมโครโฟน และจะต้องพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มีการควบคุมอารมณ์ หวั่นวิตกของตนเอง
- 21 - 2.10. ความเชื่อมันในตนเอง ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นสิ่งที่ส าคัญมากในตัวผู้พูด จะท าให้การพูดด าเนินไปด้วยดี ความตกใจ เสียงสั่น จะไม่เกิดขึ้น จึงจะต้องมีการสร้างความเชื่อมั่นใน กับตนเองส าหรับการพูด ดังนี้ 2.10.1. เตรียมเรื่องที่จะพูดให้พร้อม 2.10.2. ฝึกซ้อมพูดประมาณ 10 – 20 ครั้ง 2.10.3. มีความอดทน และพยายามแก้ไขข้อบกพร่องขอตนเอง 2.10.4. รู้จักควบคุมอารมณ์หวั่นวิตกของตนเอง 3. การพูดในระดับต่างๆ ของการสื่อสาร การสื่อสารของมนุษย์ สามารถแบ่งสื่อสารได้หลากหลายรูปแบบ คือ การสื่อสาร ระหว่างบุคคล การสื่อสารในกลุ่ม การสื่อสารในที่ชุมชน และการสื่อสารมวลชน จึงสามารถแบ่ง การพูดของมนุษย์ เป็น 4 ประเภท ดังนี้ 3.1. การพูดระหว่างบุคคล เป็นการพูดพื้นฐานที่สุดของสังคมมนุษย์จ าเป็นต้องใช้ การพูดในระดับนี้อยู่ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่การทักทาย การไต่ถามทุกข์สุข การสนทนา การปรึกษา หรือไปจนถึงการถกเถียงกัน ลักษณะส าคัญของการพูดระหว่างบุคคล คือไม่มีข้อจ ากัดในเรื่องเวลา หารือการเตรียมการล่วงหน้าขึ้นอยู่กับกาลเทศะและความเหมาะสมของสถานการณ์มากกว่า และการ พูดระหว่างบุคคลช่วยกระชับความสัมพันธ์ที่มีอยู่แล้วให้แน่นแฟ้มมากขึ้น คนที่ไม่เคยคุ้นเคยรู้จัก กันมาก่อนจะรู้จักกันเพิ่มมากขึ้น 3.2. การพูดในกลุ่ม เป็นการพูดที่มีบุคคลเข้าร่วมพูดกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป จ านวน บุคคลที่พูดในกลุ่มจะสูงสุดเท่าใดยากที่จะก าหนดได้ขึ้นอยู่กับโอกาส สถานที่ และเครื่องอ านวย ความสะดวกที่ท าให้การพูดจากันของบุคคลกลุ่มนั้นด าเนินไปได้ ลักษณะการพูดในกลุ่มเป็นการพูด เชิงปรึกษาหารือเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน การพูดแบบนี้จะมีการโต้แย้ง ถกเถียงกันบ้าง หรือ มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดและประสบการณ์ของกันและกัน ทุกคนผลัดเปลี่ยนกัน เป็นผู้พูดและผู้ฟัง อาจมีป ระธานของกลุ่มห รือไม่มีก็ได้ การพูดในกลุ่มมีทั้งเป็นท างการ และไม่เป็นทางการ 3.3. การพูดในที่ชุมชน เป็นการพูดในที่ประชุม อาจจะมีผู้ฟังเพียงคนเดียวหรืออาจ ร่วมฟังเป็นคณะบุคคล การพูดลักษณะนี้ผู้พูดต้องเตรียมเรื่องพูดเพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิดที่มี สาระประโยชน์หรือโน้มน้าวใจกลุ่มผู้ฟังให้คล้อยตามหรือปฏิบัติตามสิ่งที่ผู้พูดชี้แนะหรือก่อให้เกิด
- 22 - ความสนุกสนานแก่บรรดาผู้ฟัง การพูดในที่ชุมชน เมื่อผู้พูดพูดจบแล้วอาจเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถาม เพิ่มเติม ส าหรับช่วงเวลาการพูดก าหนดไว้ค่อนข้างแน่นอน 3.4. การพูดทางสื่อมวลชน ที่ใช้มากที่สุด คือการพูดทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุ โทรทัศน์ บุคคลที่พูดทางสื่อมวลชนแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ประเภทผู้ที่มีอาชีพเป็นผู้ประกาศ และผู้จัด รายการ ซึ่งพูดอยู่เป็นประจ า บุคคลเหล่านี้ถือว่าประกอบวิชาชีพโดยตรง ประผู้ที่ได้รับเชิญให้มาพูด ในรายการต่างๆ มีโอกาสได้รับเชิญให้ไปปรากฏตัวทางวิทยุโทรทัศน์ หรือพูดออกอากาศ วิทยุกระจายเสียง เนื้อหาของการพูดทางสื่อมวลชนมักจะเป็นการให้ข่าวสาร ให้ความรู้ ให้ข้อคิด ให้ความบันเทิง และบริการต่างๆ เป็นต้น การเตรียมและจัดเรื่องพูด ผู้พูดจะต้องก าหนดจุดมุ่งหมายสาระส าคัญของการพูด วิเคราะห์ผู้ฟังและกาลเทศะ ว่าผู้ฟังคือใคร มีพื้นฐานการศึกษาระดับใด เพศใด และวัยของผู้ฟัง เพื่อจะได้เตรียมและจัดเรื่องที่จะ พูดได้อย่างถูกต้อง การสอดแทรกเรื่องตลกเพื่อคลายความเครียดได้ตรงกับวัยของผู้ฟัง ดังนั้นการ เตรียมและจัดเรื่องพูดเป็นสิ่งที่ส าคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้พูดจะต้องเตรียมการความพร้อม ซึ่งประกอบด้วย 1. จุดมุ่งหมายของการพูด ในการพูดทุกระดับ ผู้พูดย่อมจะต้องรู้จักจุดมุ่งหมายในการพูดของตนเพื่อการ สื่อสารในครั้งนั้นๆ ว่ามีความต้องการอะไร และผู้ฟังมีความต้องการอะไร จึงจะท าการสื่อสารออกไป ด้วยเนื้อหาสาระวิธีการที่เหมาะสมกับผู้ฟัง จุดมุ่งหมายของการพูดโดยทั่วไปมี 3 ประการ คือ 1.1. เพื่อบอกกล่าว ผู้พูดมีจุดมุ่งหมายที่ต้องการแสดงความรู้และข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อเป็นการบอกกล่าว หรือชี้แจงให้ผู้ฟังได้รับความรู้ ความเข้าใจในสาระส าคัญต่างๆ ที่ผู้พูดท าการ สื่อสารมาให้ 1.2. เพื่อจูงใจ ผู้พูดมีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงออกซึ่งข้อเท็จจริงและประโยชน์ที่ผู้พูด จะพึงได้รับ เพื่อเป็นการชักชวนให้ผู้ฟังหรือโน้มน้าวให้ผู้ฟังเปลี่ยนทัศนคติเกิดความเชื่อ และการกระท าตามแนวคิดของผู้พูด 1.3. เพื่อจรรโลงใจ ผู้พูดมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนุกสนานเพลินเพลิน และผ่อนคลายความตึงเครียด การพูดลักษณะนี้ ผู้ฟังจะได้รับความเพลิดเพลินและได้รับประโยชน์ จากเนื้อหาสาระของเรื่องราวที่ได้รับฟังเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ประสบการณ์และได้รับแง่คิดพร้อมทั้ง ประโยชน์จากกการฟังอีกด้วย
- 23 - 1.4. การพูดเพื่อความบันเทิง เป็นการพูดในโอกาสที่มีการพบปะสังสรรค์ ในงานชุมนุม ของสโมสร สังคมหรือสมาคมต่างๆ ในงานรื่นเริง หรือหลังการรับประทานอาหาร จุดมุ่งหมายของ การพูดชนิดนี้ เพื่อสร้างความบันเทิงรื่นเริงสนุกสนานแก่ผู้มาร่วมงาน ถ้ามีมุขตลกควรจะเป็นเรื่องตลก ที่มีรสนิยม กรณีเรื่องตลกที่มีความหมายสองแง่สองนัยก็อย่าถึงกับเป็นเรื่องตลกที่หยาบโลน หลักการพูดเพื่อความบันเทิง มีข้อแนะน าดังนี้ 1.4.1. อย่าพูดนานเกินไป ผู้ฟังจะเกิดความเบื่อหน่าย ถ้าเป็นการพูดหลาย คน ผู้พูดแต่ละคนไม่ควรเกิน 10 นาที แต่กรณีพูดคนเดียว ควรใช้เวลาไม่เกิน 35 – 45 นาที กรณีทีมี ความจ าเป็นจะต้องพูดเรื่อยๆ ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมง 1.4.2 การพูดต้องตรงไปตรงมา และจะต้องให้ได้เนื้อหา เรื่องราวที่เหมาะสม มิใช้บรรยายให้ยืดยาวไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเป้าหมาย 1.5. การพูดเพื่อความรู้หรือเล่าข้อเท็จจริง เป็นการพูดเพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจในเรื่องที่ จะพูดจึงมีแนวโน้มไปในด้านวิชาการ การพูดจึงควรพูดช้าๆ ในเรื่องที่เข้าใจยาก ส าหรับเรื่องง่ายๆ สามารถพูดเร็วได้ และสามารถสอดแทรกมุขตลกได้บ้างโดยมีความเชื่อมโยงกับเรื่องที่ก าลังพูด และ การพูดผู้พูดจะต้องใช้วิธีการแบบพรรณนาหรือบรรยายโวหาร คือ ต้องอธิบายให้ผู้ฟังเกิดภาพพจน์ สามารถน าไปปฏิบัติได้ถูกต้อง 1.6. การพูดเพื่อชักจูง เป็นการพูดเพื่อให้ผู้ฟังได้รู้ และเชื่อถือเห็นด้วยทั้งทางด้านความคิด จะต้องใช้ศิลปะของการพูด การรู้จักใช้ถ้อยค าให้ผู้ฟังคล้อยตาม ซึ่งจะต้องอาศัยทักษะ ประสบการณ์ การฝึกฝนมาอย่างดี มีข้อแนะน าดังนี้ 1.6.1. ต้องพูดเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในตัวผู้พูด ผู้พูดจะต้อง แสดงความสามารถในการสื่อความหมายด้วยวาจา และในการแสดงทัศนคติให้กับคนฟัง ผู้พูดะต้อง แสดงความเชื่อมั่นในสิ่งที่จะพูด และจะต้องมีบุคลิกภาพที่ดีด้วย 1.6.2. ต้องพูดเพื่อให้เกิดความสนใจแก่ผู้ฟัง เป็นสิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือ ความตั้งใจของผู้ฟัง ฟังในเรื่องที่ผู้พูดก าลังพูด ซึ่งจะต้องใช้ศิลปะหลายอย่าง ดังนี้ 1.6.2.1. ผู้พูดจะต้องสร้างความพอใจให้แก่ผู้ฟัง ผู้พูดจะต้องใช้ จิตวิทยาที่ว่า คนทุกคนมีความเห็นแก่ตัว เมื่อผู้ฟังเชื่อผู้พูดแล้วผู้ฟังจะได้รับประโยชน์มากขึ้น 1.6.2.2. สร้างความไว้วางใจให้แก่ผู้ฟัง ผู้พูดจะต้องพูดให้ผู้ฟังเห็นว่า ผู้พูดอยู่ฝ่ายเดียวกับผู้ฟัง ให้มีการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เผชิญปัญหาเดียวกัน จึงอยากให้ผู้ฟังได้ ฟังความคิดเห็นของตนเองบ้าง เป็นวิธีการโน้มน้าวจิตใจและสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟัง
- 24 - 1.6.2.3. สร้างความเชื่อมั่น ผู้พูดจะต้องยกเหตุผลข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้งต่างๆ ขึ้นมาอ้างอิงเพื่อให้ผู้ฟังเห็นด้วย 1.6.2.4. ใช้ศิลปะในการพูดอย่างมีชีวิต ผู้พูดใช้ท่าทาง แสดงสี หน้าประกอบมีน้ าเสียงที่เหมาะสม มีจังหวะให้หยุดคิด และใช้ค าพูดที่มีน้ าหนักมีความหมายตรงและ สั้น 1.6.3. ผู้พูดต้องพูดเร้าหรือกระตุ้นเพื่อให้ผู้ฟังลงมือกระท า ในการที่จะพูด เร้าหรือกระตุ้นผู้ฟังให้เกิดอารมณ์เห็นด้วยกับผู้ฟังและลงมือกระท าตาม จะต้องสร้างปฏิกิริยา ตอบสนองผู้ฟังเพื่อกระตุ้นร่างกาย จิตใจ สังคม และนิสัย ดังนี้ 1.6.3.1. การกระตุ้นทางร่างกาย ผู้พูดจะต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องสิ่งที่ จะช่วยในการอยู่รอดของมนุษย์ สิ่งที่บ ารุง บ าเรอความสุขให้อยู่สบาย 1.6.3.2. การกระตุ้นทางจิตใจ ผู้พูดจะต้องพูดให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึก ภาคภูมใจ มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีเกียรติ และความสามารถ 1.6.3.3. การกระตุ้นทางสังคม ผู้พูดจะต้องพูดให้ผู้ฟังมีความรู้สึก เป็นคนที่กว้างขวาง มีเกียรติ เป็นที่รู้จักในสังคม และสิทธิ โอกาสเท่าเทียมกับคนอื่นๆ 1.6.3.4. การกระตุ้นทางนิสัย ผู้พูดจะต้องพูดในสิ่งที่ดีงามของผู้ฟัง กล่าวชมผู้ฟังว่าเป็นผู้ที่มีรสนิยมดี 2. การวิเคราะห์ผู้ฟังและกาลเทศะ การพูดที่มีประสิทธิภาพ ผู้พูดควรจะต้องมีการเตรียมความพร้อม จะต้องมี การวิเคราะห์ผู้ฟังในเรื่องของวัย เพศ ความแตกต่างทางความเชื่อ ฐานะและอาชีพของผู้ฟัง สถานที่ เวลา และโอกาสที่จะไปพูด เพื่อให้การพูดมีความสนใจ น่าฟัง และประทับใจ ผู้พูดจึงต้องมีการ เตรียมความพร้อมต่างๆ ดังนี้ 2.1. วัยของผู้ฟัง ผู้ฟังที่มีวัยแตกต่างกัน ความสนใจ และความเข้าใจในเรื่องที่จะพูด มีความแตกต่างกัน การทราบถึงวัยของผู้ฟัง จะท าให้ทราบว่าจะใช้ค าพูดใดให้เหมาะสม ผู้ฟังสนใจ ซึ่งผู้ฟังแต่ละวัยจะต้องใช้ค าพูดที่แตกต่างกัน คือ 2.1.1. เด็ก เด็กมีลักษณะซุกชน ไม่อยู่นิ่ง ไม่มีความตั้งใจฟังเรื่องได้นานๆ มีความเบื่อหน่ายง่าย มีความสนใจแต่เรื่องสนุกสนานตื่นเต้น มีนิสัยอยากเรียนรู้ และชอบรับประทาน ดังนั้นการจะพูดกับเด็กจะต้องใช้ค าพูดที่สนุกสนานเป็นค าพูดง่ายๆ และค าพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์
- 25 - รุกเร้า ตื่นเต้น เสียงที่พูดจะต้องมีลักษณะตื่นเต้นสนุก เรื่องที่พูดจะต้องแฝงด้วยมุขตลกเพื่อเรียก เสียงขบขัน และที่ส าคัญจะต้องไม่ใช้เสียงเบา เนือยๆ 2.1.2. วัยรุ่น วัยรุ่นเป็นวัยที่อยู่ในลักษณะเป็นเด็ก แต่มีความคิดว่าเป็น ผู้ใหญ่แล้ว เด็กวัยรุ่นจะไม่ชอบให้ใครมากระท า ดังนั้นการพูดกับเด็กวัยรุ่นเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน น่าทดลอง 2.1.3. วัยกลางคน วัยที่ก าลังสร้างฐานะ มีความมุ่งมั่นในการท างาน อาชีพ และชื่อเสียง เป็นวัยที่ช่างฝัน ยึดมั่นในอุดมการณ์และความคิดของตนเอง มีความคิดกว้างไกล รักความก้าวหน้า และเป็นผู้ที่มีความมั่นใจสูง การพูดส าหรับคนวัยนี้ผู้พูดจะต้องเตรียมเรื่องที่จะพูด ให้รอบคอบ ค าพูดที่ใช้จะต้องมีน้ าหนัก สามารถโน้มน้าวชักจูงผู้ฟังให้คล้อยตามความคิดเห็นของผู้พูด 2.1.4. วัยชรา คนวัยชราเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูง ชอบคิด ชอบยึดถือสิ่งที่ เป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจ การพูดส าหรับคนวัยนี้จะต้องพูดเกี่ยวกับสวัสดิภาพทางครอบครัว จิตใจ และ การใช้ค าพูดในลักษณะเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นผู้ปรับทุกข์ 2.2. เพศของผู้ฟัง เพศของผู้ฟังเป็นสิ่งที่ส าคัญของผู้พูดที่จะต้องทราบ เพราะเพศ หญิงและเพศชายของฟังเรื่องที่แตกต่างกัน เพศหญิงส่วนมากชอบฟังในเรื่องสวยงาม การบ้าน การเรือน การแต่งตัว การออกงานสมาคม ส่วนเพศชายชอบฟังในเรื่อง การเมือง กีฬา เครื่องยนต์ กลไก 2.3. ความแตกต่างทางความเชื่อถือ ผู้พูดจะต้องระมัดระวังในการใช้ค าพูดในการ เปรียบเทียบ ดูถูกเหยียดหยามความเชื่อถือด้านศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรม ของผู้ฟัง โดยเด็ดขาด 2.4. ฐานะและอาชีพของผู้ฟัง การเรียนรู้ฐานะและอาชีพของผู้ฟังจะเป็นผลดีกับผู้พูด เพราะผู้ที่มีอาชีพห รือฐานะต่างกันจะมีความสนใจที่ต่างกัน และผู้พูดจะต้องพูดยกย่อง สรรเสริญในอาชีพ หรือความก้าวหน้าในอาชีพของผู้ฟัง และอาชีพมีความส าคัญต่อบุคคลส่วนมาก หรือต่อประเทศชาติ 2.5. ระดับการศึกษา ผู้พูดจะต้องศึกษาผู้ฟังโดยส่วนมากมีการศึกษาระดับใดเพื่อจะ ได้เลือกใช้ค าพูดให้เหมาะสม เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายๆ 2.6. สถานที ่ การรู้จักสถานที่ที่จะพูด ผู้พูดจะต้องทราบล่วงหน้าเพื ่อจะได้ เตรียมการแต่งกาย เนื้อเรื่องได้อย่างถูกต้อง เรื่องที่เหมาะกับสถานที่จะท าให้ผู้ฟังมโนภาพ หรือ จินตนาการได้อย่างถูกต้องและเข้าใจในเนื้อหาสาระที่พูดได้เร็วยิ่งขึ้น
- 26 - 2.7. เวลา ผู้พูดจะต้องพูดให้พอดีกับเวลาที่ก าหนด การพูดเลยเวลารับประทาน อาหารกลางวัน อาหารเย็น หรือ เวลาพักผ่อนของผู้ฟัง ผู้ฟังจะมีอารมณ์ที่ไม่ดีและไม่สนใจในเรื่องที่ พูด ผู้พูดจะต้องเตรียมเนื้อหาสาระให้พอดีกับเวลาหรือกระชับเรื่องที่จะพูดให้กระชับขึ้นกรณีมีการ เปลี่ยนแปลงเวลาน้อยลง 2.8. โอกาส การพูดในแต่ละโอกาสมีความแตกต่างกัน จะใช้ค าพูดหรือสีหน้า ท่าทางที่ เหมือนกัน การพูดในงานมงคลกับงานไม่เป็นมงคล ไม่เหมือนกัน การออกเสียงการพูด ผู้ปฏิบัติงานด้านการประชาสัมพันธ์จ าเป็นต้องอาศัยความสามารถในการพูดการ อ่านอย่างมาก ต้องรู้จักพัฒนาทักษะการพูดและการอ่านให้ถูกต้องชัดเจน มีชีวิตชีวาดึงดูดความสนใจ ความทั้งสามารถเข้าใจความหมายสิ่งที่จะพูดหรืออ่านได้ดี จะต้องอาศัยการฝึกซ้อม เข้าใจกลวิธิการใช้ เสียงในการพูด 1. การฝึกซ้อมเรื่องที่จะพูด การฝึกซ้อมเรื่องที่จะพูดมีความส าคัญเป็นอย่างมาก จะท าให้การพูดไม่มีความ ผิดพลาดหรือผิดพลาดน้อยที่สุด จะต้องมีการซ้อมพูดประมาณ 15 – 20 ครั้ง เพื่อให้เกิดความ แม่นย า โดยเฉพาะกรณีมีการพูดชื่อบุคคล จะต้องพูดออกเสียงให้ชัดเจน ถูกต้อง ดังนั้นจะต้องมีการ ฝึกซ้อมพูด ซึ่งสามารถฝึกซ้อมได้ ดังนี้ 1.1. การฝึกซ้อมพูดหน้ากระจก เป็นการฝึกซ้อมพูดโดยการหันหน้าเข้าหากระจก และพูดเรื่องที่จะพูดเสียงดังๆ และแสดงกิริยาท่าทางประกอบไปด้วย ในขณะที่พูดตามองกระจก สังเกตบุคลิกและท่าทางของตัวเอง ประเด็นใดพูดไม่ชัดและแสดงท่าทางไม่เหมาะสมให้ฝึกซ้อมใหม่ และหลีกเลี่ยงใช้ค าพูดที่พูดไม่ชัด จนกว่าตนเองมีความมั่นใจในทุกค าพูดและท่าทางของตัวเอง 1.2. การฝึกซ้อมพูดกับคนคุ้นเคย เป็นการฝึกซ้อมกับคนคุ้นเคยต่อหน้าเพื่อฟังค าพูด และท่าทาง กรณีพูดไม่ชัดและแสดงท่าทางไม่เหมาะสม จะมีคนคอยแนะน าการใช้ค าพูดและท่าทางที่ เหมาะสม การฝึกซ้อมพูดบ่อยๆ ครั้งในเรื่องที่จะพูด ผู้พูดจะจดจ าเนื้อหาสาระเรื่องที่จะพูด ได้เป็นอย่างดีและส่งผลให้ผู้พูดพูดในเรื่องนั้นๆ ได้คล่องแคล่วไม่มีความผิดพลาดและที่ส าคัญผู้พูด มีความมั่นใจในเรื่องที่จะพูด
- 27 - 2. กลวิธีการใช้เสียงในการพูด การสื่อสารด้วยการพูดจ าเป็นจะต้องอาศัยกลวิธีในการใช้เทคนิคในการใช้เสียง จะท าให้การสื่อสารนั้นๆ ประสบผลดี ส าหรับกลวิธีการใช้เสียงส าหรับการพูดมีดังนี้ 2.1. ความดัง เสียงที่พูดควรมีความดังพอประมาณ ให้ผู้ฟังได้ยินทั่วกันโดยไม่ต้อง เงี่ยหูฟังหรือถึงกับอุดหู ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เช่น จ านวนผู้ฟัง สภาพห้องที่บรรยาย สภาพแวดล้อม เสียงรบกวนจากภายนอก เครื่องขยายเสียงมีหรือไม่ เป็นต้น เสียงที่ดังพอเหมาะ ย่อมท าให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย เกิดความสนใจและติดตามฟังได้โดยไม่เบื่อหรือง่วง ผู้พูดที่ดีควรรู้จัก ใช้ความดังให้สัมพันธ์กับเนื้อหาที่พูด เมื่อพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ส าคัญหรือน่าตื่นเต้นควรเพิ่มความดัง ของเสียงขึ้น แต่ถ้าพูดเรื่องลึกลับชวนสงนควรลดเสียงให้ค่อยลง หรือข้อความตอนใดที่ไม่ส าคัญ ก็พูดเสียงธรรมดาเรื่อยๆ เป็นต้น 2.2. ระดับเสียง เสียงที่พูดที่ดีไม่ควรเป็นเสียงที่มีระดับราบเรียบเสมอกันไปหมด แต่ควรมีระดับสูงต่ าของเสียง ผู้พูดควรรู้จักใช้ระดับเสียงสูงต่ าให้เหมาะกับเนื้อเรื่อง ทั้งรู้จัก แปรเปลี่ยนระดับเสียงให้สัมพันธ์กับอารมณ์ในขณะที่พูด เช่น ต้องการเร้าผู้ฟังให้เกิดอารมณ์ตื่นเต้น ควรใช้ระดับเสียงสูง แต่ไม่ควรใช้ตลอดเวลา เพราะระดับเสียงสูงจะท าให้ผู้ฟังเกิดความเครียดและ เหน็ดเหนื่อยได้ ส่วนระดับเสียงต่ าจะท าให้ผู้ฟังจะท าให้ผู้ฟังลดความตึงเครียดลง เกิดความผ่อนคลาย แต่ถ้าใช้ระดับเสียงต่ าตลอดไป ผู้ฟังก็จะเกิดความเบื่อหน่ายง่วงเหงา เศร้าซึม ฉะนั้นผู้พูดต้องรู้จักใช้ ระดับเสียงสูงต่ าสลับกันไป โดยให้เหมาะสมกับเนื้อหาและอารมณ์ที่ต้องการถ่ายทอดให้แก่ผู้ฟัง ส่วนระดับเสียงราบเรียบเสมอนั้น จะท าให้ผู้พูดขาดชีวิตชีวา น่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง จึงไม่ควรใช้ ในการพูดต่อสาธารณชน 2.3. จังหวะของเสียง หมายถึงความเร็ว ความช้าของสียงพูดควรพูดให้มีจังหวะ จะโคน ชัดถ้อยชัดค า ไม่พูดเร็วหรือรัวเกินไป และไม่พูดช้าจนยาน การพูดผ่านสื่อรายการวิทยุ หรือ เสียงตามสาย ควรพูดในจังหวะที่ค่อนข้างช้ากว่าปกติเล็กน้อย เพื่อให้ผู้ฟังติดตามเรื่องและท าความ เข้าใจได้ตลอด แต่ทั้งนี้ควรพิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมด้วย เช่น ความยุ่งยากของเนื้อหาสาระที่พูด จ านวนคนฟัง ระดับของผู้ฟัง บรรยากาศเป็นกันเองหรือเป็นพิธีการ ผู้พูดจะต้องรู้จักยืดหยุ่น ให้พอเหมาะ ถ้าเป็นการพูดเรื่องวิชาการหนักๆ หรือในโอกาสเป็นพิธีการ อัตราการพูดควรช้าลง แต่ถ้าเป็นการบ รรยายการแข่งขันกีฬ ามวยห รือฟุต บอล ก็จะต้องพูดในจังหวะที่เร็วขึ้น เพื่อให้ทันเหตุการณ์และสร้างความตื่นเต้นให้แก่ผู้ฟังด้วย
- 28 - 2.4. ท่วงท านองของเสียง หรือเรียกง่ายๆว่าลีลาของเสียง ซึ่งเป็นท่วงท านองในการ เปล่งเสียงของแต่ละบุคคลซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามเนื้อหาสาระของเรื่อง ลีลาห รือท่วงท านอง ของเสียงจัดเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในการพูด จึงควรที่ผู้พูดจะต้องรู้จักฝึกฝนตนเองให้มีทักษะในเรื่อง ต่อไปนี้ 2.4.1. การเน้นเสียงหนัก – เบา ผู้พูดควรรู้จักพิจารณาเนื้อหาที่พูดว่าควร เน้นเสียงหนักและเบาในตอนใด เช่น ถ้าพูดเรื่องราวที่ต้องการปลุกให้เกิดความรู้สึกและพลังทางจิตใจ หรือพูดในเรื่องส าคัญหรือในท านองคัดค้าน ต้องการให้ผู้ฟังคล้อยตามและมั่นใจเป็นพิเศษ ก็ควรใส่น้ าหนักในน้ าเสียงให้หนักแน่นมั่นคง แต่ถ้าตอนใดเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งคนทั่วไปได้ยินได้ฟัง อยู่แล้ว ก็ไม่จ าเป็นต้องเน้นน้ าหนัก ข้อควรระวังในเรื่องการเน้นเสียง คือ ไม่ควรพูดเน้นเสียง ตลอดเวลา เพราะผู้ฟังจะไม่รู่ว่าตอนใดส าคัญหรือไม่ส าคัญ เนื่องจากผู้พูดเน้นเสียงเท่ากันหมด และควรเน้นให้ตรงจุดที่ควรเน้นเท่านั้น ผู้ฟังจึงจะเห็นความส าคัญตรงตามผู้พูดต้องการ 2.4.2. การแปรเปลี่ยนน้ าเสียง ในการพูดแต่ละครั้ง ผู้พูดจะต้องรู้จักข้อความ ตอนใด ควรแปรเปลี่ยนน้ าเสียงอย่างไรบ้างเพื่อให้สอดคล้องกับอามรณ์ที่สอดใส่ในเนื้อหาตอนนั้นๆ เป็นการเรียกร้องความสนใจจากผู้ฟัง บางตอนผู้พูดอาดทอดเสียงให้เนิบนาบ นุ่นนวล ช้าๆหรือบาง ตอนอาจจะกลากเสียง เร่งเสียง กระชับเสียง ตวัดเสียง เพื่อประกอบการพูด เป็นต้น 3. การแก้ความตื่นเวที ความกังวลและความตื่นเต้นเป็นอาการปกติของผู้ที่จะขึ้นพูดบนเวทีหรือต่อหน้าคน ฟังจ านวนมาก การแก้ความความตื่นเวทีนอกจากผู้พูดจะต้องเตรียมเรื่องที่จะพูดและฝึกซ้อมพูดมา เป็นอย่างดี สิ่งที่ส าคัญประการส าคัญ คือ ผู้พูดจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง ให้ก าลังตนเอง ว่าตนเองจะต้องพูดได้ แต่ถ้าผู้พูดมีความกังวลสามารถแก้ความตื่นเวที ดังนี้ 3.1. ขณะที่นั่งรอเพื่อขึ้นพูด ผู้พูดมีความรู้สึกกังวลและตื่นเต้น ให้หายใจเข้าปอด ลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ประมาณ 4 – 5 ครั้ง 3.2. เมื่อเริ่มพูด มีความรู้สึกเสียงสั่นและยังมีความประหม่าอยู่ให้พูดช้าๆ แสดงสี หน้ายิ้มแย้มพร้อมแสดงท่าทางประกอบพูด พยายามหลีกเลี่ยงการพูดเร็ว 3.3. พยายามบังคับใจของผู้พูดว่าไม่มีอะไรน่ากลัว พยายามคิดว่าผู้ฟังที่จ้องมอง ตนเองเขามองด้วยความศรัทธาให้ก าลังใจ 3.4. ก่อนขึ้นเวที ผู้พูดควรดื่มน้ า หรือเดินไปเดินมา นึกถึงเรื่องตลกๆ หรือครวญ เพลงเบาๆ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อคลายความตึงเครียดลง
- 29 - 3.5. อย่าตั้งใจพูดเกินไป การตั้งใจก่อให้เกิดความตึงเครียดจะท าให้พูดได้ไม่ดี 3.6. พยายามท าตัวสบายๆ เป็นธรรมชาติ และเป็นตัวของตัวเอง มารยาทในการพูดและฟังที่ดี 1. มารยาทในการพูดที่ดี ในการพูดที่ดีผู้พูดจะต้องรักษามารยาทในการพูดเป็นสิ่งที่จ าเป็นสิ่งหนึ่ง เป็นสิ่งที่ ช่วยเสริมสร้างความเชื่อถือ ศรัทธาให้แก่ผู้ฟัง มารยาทในการพูดเป็นเสน่ห์ของผู้พูด ดังนั้นมารยาทใน การพูดที่ดี ประกอบด้วย 1.1. คิดให้รอบครอบก ่อนที ่จะพูด จะต้องพิจารณาถึงถ้อยค าที ่จะน ามาใช้ว ่า เหมาะสมกับผู้ฟัง 1.2. ใช้อารมณ์ให้ถูกกาลเทศะ ผู้พูดจะต้องแสดงอารมณ์ในขณะที่พูดด้วยความยิ้ม แย้มแจ่มใจ และจะต้องระงับความโกรธหรือแสดงความไม่พอใจกับผู้ฟัง 1.3. ไม่พูดกระทบกระเทือนหรือเสียดสีผู้ฟัง ผู้พูดจะต้องไม่ใช้ค าพูดที่ไม่สุภาพหรือ เสียดสีและพูดหยอกล้อผู้ฟังถึงแม้ว่าสนิทสนมกับผู้ฟังหรือไม่ชอบผู้ฟัง 1.4. ตั้งใจพูดให้ดี การพูดทุกครั้งจะต้องตั้งใจพูดเพื่อสร้างเอกลักษณ์การเป็นผู้พูด ที่ดี ซึ่งเป็นการแสดงถึงการให้เกียรติผู้ฟัง 1.5. เตรียมเรื่องที่จะพูดให้พร้อม ผู้พูดจะต้องเตรียมเรื่องที่จะพูดให้พร้อมไม่พูดวก ไปวนมา หรือพูดข้อความเดียวกันซ้ าๆ ซากๆ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ผู้พูดไม่มีความมั่นใจตนเองและ ยังก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย และหมดความสนใจที่จะฟัง 1.6. รับความคิดเห็นของผู้อื่น ผู้พูดจะต้องไม่คิดว่า ความคิดเห็นของตนเองถูกเสมอไป ในกรณีที่ความคิดเห็นของผู้พูดและผู้ฟังไม่ตรงกัน ผู้พูดไม่ควรพูดก้าวร้าวหรือใช้ค าพูดรุนแรง หรือขัด คอผู้ฟัง แต่ควรใช้วิธีสุภาพ 1.7. ไม่พูดอวดตน อวดภูมิข่ม หรือถือว่าตนเองดีกว่าผู้ฟัง เป็นการพูดไม่ให้เกียรติ ผู้ฟังซึ่งเป็นการพูดที่ไม่สุภาพ 1.8. การพูดให้เหมาะสมกับเวลา ผู้พูดจะต้องไม่พูดเกินเวลาที่ก าหนดไว้ เพราะเป็น การแสดงว่าผู้พูดไม่ได้เคารพและรักษาสิทธิของผู้อื่น จะท าให้ผู้ฟังมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในการฟัง 1.9. ผู้พูดควรพยายามแสดงออกถึงบุคลิกภาพ ผู้พูดจะต้องแสดงลักษณะทาทางที่ดี และสุภาพ ควรจะมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตรกับผู้ฟัง ใช้ถ้อยค าที่สุภาพเรียบร้อยเหมาะสมกับ ผู้ฟัง
- 30 - 1.10. ผู้พูดควรจะรู้จักกล่าวขึ้นต้น การพูดเริ่มแรกของการพูด จะต้องกล่าวขอบคุณ ผู้เชิญให้พูด และตามด้วยกล่าวทักทายผู้ฟัง และในขณะก าลังที่พูดมีเสียงปรบมือ หรือเสียงหัวเราะ ผู้พูดไม่ควรพูดแข่งกับเสียงเหล่านั้น ควรหยุดพูดสักครู่แล้วจึงพูดต่อไป และการพูดลงท้ายจะต้องเปิด โอกาสให้ผู้ฟังถามในประเด็นต่างๆ ที่สงสัยและกล่าวขอบคุณ ผู้ฟัง 1.11. ผู้พูดจะต้องไม่พูดผูกขาด ผู้พูดจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้อื่นพูดบ้างเพื่อสอบถาม ในประเด็นที่สงสัย และผู้พูดจะต้องตอบในประเด็นดังกล่าวเพื่อให้คลายความสงสัยของผู้ฟัง อย่างแจ่มชัด 2. มารยาทในการฟังที่ดี การสื่อความใดๆ ก็ตามเป็นศิลปะที่ต้องการ “การแสดงออก” การฟังเป็นพฤติกรรม ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการับรู้ ความข้าใจ ความตั้งใจ ซึ่งในการสื่อความหมายครั้งหนึ่งๆ จะมีผู้พูดเป็น ผู้ให้ และผู้ฟังเป็นผู้รับ ผู้ฟังหรือผู้รับเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการฟัง ฉะนั้น หน้าที่ของผู้รับหรือ ผู้ฟัง คือ ความตั้งใจฟังให้เข้าใจ และควรฝึกนิสัยการฟังที่ดีไว้ตลอดเวลา เพราะการพูดได้ดีหรือไม่ดี นั้นย่อมขึ้นอยู่กับการฟังด้วย ถ้าผู้ฟังแสดงความสนใจ หรือ ยิ้ม หรือแสดงอากัปกิริยาว่าได้ติดตาม ตลอดเรื่องราวตลอดเวลา ผู้พูดก็จะมีก าลังใจและจะพูดได้ดี แต่ถ้าผู้ฟังแสดงอากัปกิริยาไม่สนใจที่จะ ฟัง ก้มหน้าบ้าง อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ไม่ยินดียินร้ายหรือเมินเฉย ผู้พูดก็จะหมดก าลังใจที่จะพูด ผู้พูด จึงพูดได้ไม่ดี 2.1. วัตถุประสงค์ของการฟัง ในการที่จะฝึกฟังที่ดีย่อมขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการฟัง และการปรับปรุงทักษะใน การฟังของตนให้เข้ากับการฟังแต่ละประเภท โดยทั่วๆ ไปแล้ว การฟังมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 2.1.1. ฟังเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน 2.1.2. ฟังเพื่อให้ได้ความรู้ เพื่อเข้าใจในทัศนคติและซาบซึ้งในความรู้สึกของ ผู้พูด 2.1.3. ฟังเพื่อคิด เพื่อประเมินผลและวิจารณ์ ความคิดเห็นขอบตนเองและ ของผูอื่น 2.2. ลักษณะของการฟังที่ดี การฟังเป็นพฤติกรรมที่จะต้องฝึกฝนจนเกิดการเรียนรู้ ฉะนั้นคนที่จะเป็นคนฟังที่ดี จะต้องอาศัยการฝึกฝนและปรับปรุงทักษะในการฟังของตน การเป็นผู้ฟังที่ดีย่อมหมายถึงการฟังทั้งที่ เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ดังนั้นลักษณะของการฟังที่ดีมีดังนี้
- 31 - 2.2.1. ฟังด้วยความอดทนและมีวิจารณญาณ ผู้ฟังจะต้องรับฟังอย่างใจกว้าง โดยไม่ขัดจังหวะและพยายามฟังให้ได้ใจความให้ได้รับประโยชน์จากการฟัง 2.2.2. ขจัดสิ่งที่มาท าลายสมาธิในการฟัง ผู้ฟังจะต้องเลือกที่นั่งให้เหมาะสม ปราศจากเสียงรบกวนหรือที่ๆ มีคนเดินผ่าน เดินเข้าออกเสมอ หรือ สถานที่มีแสงแดด หรือลมโกรก มากเกินไป และไม่ควรเลือกที่นั่งที่สบายเกินไป เช่น มีลมพัดผ่านเสมอๆ และอยู่ในที่มีแสงสว่างสลัวๆ จะท าให้ผู้ฟังหลับได้ง่าย 2.3. ฟังด้วยความตั้งใจ ในการฟังที่ดี ผู้ฟังจะต้องตัดความกังวลใจต่างๆ เพราะถ้า ผู้ฟังมีความกังวลแล้ว ย่อมจะไม่มีสมาธิในการรับฟัง วิธีที่ดีผู้ฟังควรจะท าจิตใจให้หายกังวลแล้วตั้งใจ ฟังเรื่องที่ผู้พูดพูด เมื่อตั้งใจฟังและเกิดความสนใจก็จะเกิดความเข้าใจและได้รับประโยชน์จากการฟัง นั้นๆ 2.4. ฟังเพื่อเก็บสาระส าคัญ ในการฟังที่จะได้ผลหรือมีประสิทธิภาพ ผู้ฟังจะต้อง เข้าใจจุดประสงค์ของตนเองว่า ตนเองต้องการรับทราบอะไรจากผู้ฟัง 2.5. ฟังด้วยความคิด ด้วยการประเมินผลและวิจารณ์ ในการฟังแต่ละครั้ง ผู้ฟังควร จะใช้หลักฟังแล้วคิด แล้วใช้เหตุผลไตร่ตรองว่าเรื่องที่ฟังนั้นมีความเท็จจริงอย่างไร ตอนใดที่ไม่ถูกและ ไม่มีเหตุผล ก็วิจารณ์หรือโต้แย้งได้ โดยทั่วๆ ไปแล้วในขณะที่ฟังมักจะไม่เข้าใจได้ทันที เพราะใน ขณะนั้น ผู้ฟังมีเวลาส าหรับคิดน้อยเนื่องจากต้องแบ่งความสนใจด้านอื่นๆ เช่นบุคลิกลักษณะของผู้พูด และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ชนิดของการพูด การพูดมีหลายโอกาสที่จะต้อพูด ผู้พูดจะต้องพูดให้ถูกต้องในแต่ละโอกาส การใช้ ค าพูด กริยาท่าทาง สีหน้า การแต่งกาย จะต้องมีความเหมาะสม ผู้พูดจะต้องเตรียมความพร้อมใน ทุกๆ ด้าน ชนิดของการพูดมีหลากหลายโอกาสที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในการพูด ดังนี้ 1. ปฏิบัติหน้าที่พิธีกร หน้าที่ของผู้พูดในฐานะพิธีกรจะต้องรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย ที่จะต้องแนะน า เช่น ข้อมูลวิทยากร จะต้องกล่าวแนะน าวิทยากรเหล่านั้นเกี่ยวกับหน้าที่การงาน ความสามารถและเรื่องที่จะพูด การปฏิบัติหน้าที่พิธีกรมีข้อแนะน า ดังนี้ 1.1. พยายามพูดให้สั้น และมีชีวิตชีวา 1.2. พูดเน้นถึงผู้ที่ได้รับเชิญให้เป็นวิทยากร 1.3. ก่อนที่จะเชิญคนต่อไปขึ้นมาพูด พิธีกรใช้ค าพูดสั้นๆ พูดให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ ความกระตือรือร้นที่จะฟัง
- 32 - 1.4. ผู้พูดจะต้องประสานงานกับวิทยากรที่จะต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องเวลา หัวข้อที่จะ พูด การส่งสัญญาณต่างๆ 2. การกล่าวแนะน าผู้พูด ผู้กล่าวแนะน าจะต้องพูดให้ตรงกับความจริงอย่าให้พลาด ในเรื่องต าแหน่ง หรือหน้าที่การงาน และอย่ายกย่องผู้พูดมากเกินไปจนกลายเป็นการยกยอจะท าให้ ผู้พูดเกิดความเขินอาย และที่ส าคัญที่สุดคือ อย่าพูดเพลินหรือเกินเลยเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของ ผู้ที่จะพูด 3. การกล่าวขอบคุณผู้พูด เมื่อผู้พูดพูดจบแล้ว ผู้กล่าวแนะน าจะต้องเป็นผู้กล่าว ขอบคุณผู้พูด และจะต้องกล่าวถึงความส าคัญของเรื่องที่ผู้พูด และพูดให้เห็นว่าผู้ฟังได้รับประโยชน์ จากการฟังในการครั้งนี้ จึงกล่าวขอบคุณหรืออาจจะให้ผู้ฟังรบมือให้ผู้พูดด้วย 4. การกล ่าวต้อนรับ ในโอกาสที ่มีผู้มาเยี ่ยม เป็นการพูดแสดงอัธยาศัยไมตรี ที่เชื่อมความสัมพันธ์ ความสามัคคีอันดีและจะต้องกล่าวให้เกียรติผู้ที่มาเยี่ยม การกล่าวต้อนรับ มีแนวทางการพูด ดังนี้ 4.1. กล่าวเกริ่นน า 4.2. กล่าวถึงความรู้สึกยินดีของผู้เป็นเจ้าของสถานที่ 4.3. พูดเกี่ยวกับส่วนดีของผู้มาเยี่ยม และกล่าวถึงความสัมพันธ์ของผู้ที่เยี่ยมกับ เจ้าของสถานที่ 4.4. พูดถึงความปรารถนาดีของเจ้าของสถานที่ 4.5. พูดเรียกร้องให้ผู้มาเยี่ยมกลับมาเยี่ยมอีก 5. การกล่าวค าอวยพร เป็นการกล่าวอวยพรเนื่องในโอกาสต่างๆ ที่ผู้พูดได้รับเชิญให้ กล่าวอวยพร ค ากล่าวอวยพรส่วนใหญ่จะมีแนวทางการพูด ดังนี้ 5.1. กล่าวเกริ่นน า 5.2. กล่าวรู้สึกขอบคุณผู้ที่มาร่วมงาน ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดงานนั้น ขึ้นมาอย่างจริงใจ 5.3. กล่าวขออภัย ถ้ามีสิ่งบกพร่องในงานนั้น 5.4. กล่าวอวยพร 6. การกล่าวค าไวอาลัย การกล่าวค าอาลัย ส่วนมากคือ กล่าวค าอาลัยงานศพ ซึ่งถือว่าเป็นการให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิต การกล่าวค าไว้อาลัยเป็นการพูดถึงคุณงามความดีของ ผู้เสียชีวิต ให้อยู่ในขอบเขตแห่งความเป็นจริง ผู้กล่าวมีแนวทางการพูด ดังนี้
- 33 - 6.1. กล่าวเกริ่นน า 6.2. กล่าวถึงชีวประวัติของผู้เสียชีวิตอย่างสั้นๆ 6.3. กล่าวถึงผลงานของผู้เสียชีวิต 6.4. สาเหตุที่ท าให้เขาต้องเสียชีวิต 6.5. พูดถึง ความอาลัยของผู้อยู่เบื้องหลัง 6.6. แสดงความหวังว่า เขาจากไปอยู่ในสถานที่ดีและมีสุข
บทที่ 4 เทคนิคการถ่ายภาพ การถ่ายภาพเป็นสิ่งที่จ าเป็นและส าคัญยิ่งส าหรับนักประชาสัมพันธ์ การถ่ายภาพ ให้มีความสวยงาม คมชัด ผู้เป็นเจ้าของภาพ และผู้บันทึกภาพมีความรู้สึกภาพภูมิใจ ดังนั้น การถ่ายภาพให้มีความสวยงาม จะต้องรู้จักใช้เครื่องมือและหน้าที่ต่างๆ ของกล้องถ่ายภาพอย่าง ละเอียด เพื่อปรับการใช้งานได้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ที่ถ่ายภาพได้อย่างเหมาะสม ผู้บันทึกภาพ จะต้องเรียนรู้การตั้งค่าโหมดต่างๆ ของกล้องถ่ายภาพอย่างละเอียด และในปัจจุบัน กล้องถ่าย จะมีโหมดการใช้งาน ความละเอียดพิกเซลที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ดังนั้นการถ่ายภาพให้มีความ สวยงาม คมชัด ผู้เป็นเจ้าของภาพ และผู้บันทึกภาพมีความรู้สึกภาพภูมิใจในภาพ จะต้องเรียนรู้ การใช้กล้องถ่ายภาพในประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้ การเลือกใช้โหมด โหมดถ่ายภาพในกล้องถ่ายภาพโดยทั่วๆ ไป จะแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ Basic Zone และ Creative Zone ในส่วนของ Basic Zone เป็นโหมดอัตโนมัติ ซึ่งใช้สัญลักษณ์ ใน การจ าแนกความแตกต่างของแต่ละโหมด เช่น รูปเป็นผู้หญิง แทนโหมด Portrait รูปคนวิ่ง แทนโหมด Sport ยกเว้นโหมด Fully Automatic ที่ใช้สัญลักษณ์สี่เหลี่ยมสีเขียว กล้องถ่ายภาพ จะตั้งค่าต่างๆ ให้อัตโนมัติ ส่วนโหมด Creative Zone ซึ่งจะใช้สัญลักษณ์เป็นตัวอักษรแทนโหมด ถ่ายภาพนั้นๆ เช่น โหมด P ส าหรับโหมด Program AE (Auto Exposure) , Tv ส าหรับโหมด Time value , Av ส าห รับโ ห ม ด Aperture value , M ส าห รับโ ห ม ด Time value แ ล ะ A-DEP ส าหรับโหมด Automatic Depth 0f Field ซึ่งโหมดเหล่านี้จะให้เราควบคุมค่าบางส่วนหรือทั้งหมด ของกล้อง ผู้ถ่ายภาพสามารถควบคุมความชัดลึก ชัดตื้น การเคลื่อนไหวของวัตถุ White balance เลือกโฟกัส ดังนั้นในโหมด Creative Zone เป็นทั้งโหมดกึ่งอัตโนมัติและแมนน่วล
- 32 - 1. การเลือกใช้โหมด Basic Zone กล้องถ่ายรูปจะตั้งค่าต่างๆ ให้อัตโนมัติ ประกอบด้วย ค่ารูรับแสง ค่า ISO ค่าความเร็วของชัตเตอร์ และค่าอื่นๆ การเลือกใช้โหมด Basic Zone เป็นโหมดที่ดีส าหรับการถ่ายที่ต้องการความเร็ว เช่น ต้องการถ่ายภาพคนที่หน้าชัดหลังเบลอ ให้เลือกใช้โหมด Portrait (รูปผู้หญิง) หรือต้องการถ่ายภาพวิวที่ทั้งฉากหน้าและฉากหลังชัด ใช้โหมด Landscape (รูปดอกไม้) ดังนั้นสัญลักษณ์ของโหมดถ่ายภาพใน Basic Zone จะถูกก าหนดมาเพื่อให้ สอดคล้องกับวัตถุที่ถ่าย ผู้ใช้สามารถคาดเดาได้ง่าย และการใช้โหมดการถ่ายภาพใน Basic Zone ค่า ต่างๆ จะตั้งให้อัตโนมัติ ดังนี้ White balance ถูกตั้งให้เป็น Auto WB คือ กล้องจะวิเคราะห์และปรับ White balance ให้ตามสภาพแสงนั้นๆ อัตโนมัติ ระบบวัดแสงเป็นแบบเฉลี่ยทั้งภาพ (Evaluative Metering) โหมดสี (Color Space) เป็นแบบ sRGB มีระบบ Auto lighting optimizer ซึ่งปรับแก้ภาพที่มืดและคอน ทราสต์ต่ าให้ อัตโนมัติ ค่า ISO ถูกตั้งแบบ Auto คือ กล้องจะเปลี่ยนค่า ISO ตามสภาพแสงให้อัตโนมัติ การเลือกใน Basic Zone ประกอบด้วยโหมดการใช้ต่างๆ ดังนี้ 1.1. โหมด CA (Creative Auto) เป็นโหมดที่มีในกล้องรุ่นใหม่ ใน 500 D และ 5500D โหมดนี้จะอยู่ในส่วนของ Basic Zone เป็นโหมดการปรับภาพเสมือนช่างมืออาชีพ เพื่อ ช่วยให้การถ่ายภาพง่ายขึ้น ซึ่งสามารถปรับค่าต่างให้อัตโนมัติ ดังนี้ 1.1.1. เลือกรูปแบบการท างานของแฟลช Auto firing (เปิดแฟลช อัตโนมัติ) 1.1.2. ปรับให้ฉากหลังเบลอหรือชัดขึ้น 1.1.3. ปรับความสว่างของภาพ 1.1.4. เลือกใช้ Picture Style ได้ 4 แบบ คือ Standard , Portrait , Landscape , และ Monochrome 1.1.5. เลือกรูปแบบและคุณภาพของไพล์ภาพ
- 33 - 1.2. โหมด Full Auto โหมดนี้กล้องจะตั้งค่าต่างให้อัตโนมัติ เหมาะ กับการถ่ายภาพที่ต้องการความรวดเร็ว โหมดนี้จะเปิดการท างานของเฟลชอัตโนมัติ เมื่ออยู่ในสภาพ แสงน้อย และสามารถเปิดการท างานระบบลดตาแดงได้ ระบบโฟกัสจะถูกตั้งแบบ AI Focus ถ้าวัตถุมี การเคลื่อนไหวโฟกัสจะเคลื่อนที่ตามวัตถุแบบอัตโนมัติ ส าหรับ Picture Style จะถูกตั้งแบบ Standard ส่วน ISO จะถูกตั้งเป็น Auto ให้อัตโนมัติ 1.3. โหมด Flash off โหมดนี้มีลักษณะการท างานเหมือนกับ โหมด Full Auto แต่มีความแตกต่างตรงที่โหมดนี้จะเป็นการถ่ายภาพที่ไม่เรียกใช้การท างานของ แฟลช (ทั้งแฟลชหัวกล้องและแฟลชแยก) ซึ่งใช้ในกรณีถ่ายสถานที่ซึ่งห้ามใช้แฟลชหรือถ่ายวัตถุขนาด ใหญ่ที่แสงแฟลชครอบคลุมไม่ถึง
- 34 - 1.4. โหมด Portrait โหมดนี้จะถูกต้องให้มีรูรับแสงกว้างหรือค่า F – Stop น้อย ส่งผลท าให้วัตถุ (บุคคล) เด่นชัดออกมาและฉากหลังจะเบลอ Picture Style ในโหมด นี้ถูกตั้งให้เป็นแบบ Portrait โดยลดความสดของสีลง เพื่อที่จะท าให้ภาพนุ่นลง สามารถเลือกจุดโฟกัส เองได้ เนื่องจากเทคนิคการถ่ายบุคคลควรเลือกโฟกัสที่ดวงตา และสามารถเปิดการท างานของแฟลช หัวกล้องอัตโนมัติ เมื่ออยู่ในสภาพแสงน้อยและสามารถเปิดท างานระบบลดตาแดงได้ 1.5. โหมด Landscape โหมดนี้เหมาะส าหรับถ่ายภาพวิว ทิวทัศน์ หรือถ่ายภาพหมู่ โดยกล้องจะถูกตั้งให้มีรู้รับแสงแคบ หรือค่า F –Stop มาก ซึ่งจะท าให้เกิดความคมชัด ทั้งภาพทั้งฉากหน้าและฉากหลัง แต่ถ้าอยู่ในสภาพแสงน้อยกล้องจะตั้งค่าความเร็วของชัตเตอร์ให้ช้าลง เพื่อที่จะท าให้ค่าความเร็วของชัตเตอร์ช้าลงเพื่อจะท าให้รู้รับแสงไม่กว้างจนเกินไป และควรจะใช้ ขาตั้งกล้องช่วยเมื่อค่าความเร็วของชัตเตอร์ต่ ากว่า 1/30 วินาที เพื่อป้องกันกล้องสั่น ส าหรับ Picture Style ในโหมดนี้จึงถูกต้องให้เป็นแบบ Lanscape ภาพที่ถ่ายออกมาจะไม่มีการยิงแฟลชอัตโนมัติ และภาพจะมีสีสันสดกว่าโหมด Full Auto
- 35 - 1.6. โหมด Close – up โหมดนี้เหมาะกับการถ่ายภาพดอกไม้หรือ สิ่งของ แมลงตัวเล็กๆ ท าให้ภาพมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งหากใช้เลนส์มาโครจะท าให้ภาพดูคมชัดกว่าเลนส์ ช่วงธรรมดา และเห็นรายละเอียดของวัตถุได้ดีกว่า โหมดนี้จะถูกตั้งค่ารูรับแสงกว้างหรือมีค่า F – stop น้อยเหมือนกับโหมด Portrait เพื่อที่จะท าให้ฉากหลังเบลอและวัตถุมีความโดดเด่นขึ้นมา แต่ แตกต่างกันในเรื่องของ Picture Style เป็นแบบ Standard และเลือกจุดโพกัสได้ทั้งแบบออโต้และ เมนนวล 1.7. โหมด Sports โหมดนี้เหมาะกับการถ่ายภาพกีฬา หรือภาพที่มี การเคลื่อนไหว เช่นภาพสัตว์ ภาพเด็กที่ไม่ค่อยอยู่นิ่ง กล้องจะใช้สปีดชัตเตอร์ที่สูงเพื่อที่จะหยุดความ เคลื่อนไหวของวัตถุ เมื่อเรากดปุ่มชัตเตอร์ครึ่งหนึ่งเพื่อโฟกัสภาพ กล้องจะโฟกัสตามวัตถุที่เคลื่อนไหว และล็อคโฟกัสเมื่อกดปุ่มชัตเตอร์จนสุดเพื่อถ่ายภาพ แต่ถ้าเรายังกดชัตเตอร์ค้างไว้ กล้องจะยังคง โฟกัสไปตามวัตถุและถ่ายภาพต่อเนื่องไปจนกว่าจะปล่อยปุ่มชัตเตอร์ จะท าให้จับภาพความ เคลื่อนไหวของวัตถุในทุกจังหวะ และกล้องยังเลือกจุดโฟกัสให้อัตโนมัติ ส าหรับ Picture Style ที่ใช้ จะเป็นแบบ Standard และไม่มีการยิงแฟลชอัตโนมัติ
- 36 - 1.8. โหมด Night Portrait เป็นโหมดถ่ายบุคคลในตอนกลางคืน ซึ่งกล้องจะใช้ระยะเวลาในการเปิดม่านชัตเตอร์นานเพื่อใช้เป็นตัวแบบและฉากหลังสว่างพอดี (ถ้าไม่ใช้โหมดนี้ฉากหลังจะมืด) จะต้องใช้ขาตั้งกล้องเพื่อป้องกันไม่ให้กล้องเกิดการสั่นไหวท าให้เกิด ภาพเบลอได้ ส่วน Picture Style ที่กล้องตั้งให้จะเป็นแบบ Standard มีการเปิดการใช้งานแฟลช อัตโนมัติ รวมถึงใช้ระบบลดตาแดงด้วย และสามารถเลือกจุดโฟกัสได้ทั้งแบบออกโต้และแมนน่วล 2. โหมดถ่ายภาพใน Creative Zone จะมีการถ่ายภาพทั้งแบบอัตโนมัติ กึ่งอัตโนมัติ และแมนน่วล ที่ควบคุมค่าต่างๆ เองทั้งหมด ใน Creative Zone ประกอบด้วยโหมด อัตโนมัติ 2 โหมด คือ โหมด P (Program AE) และโหมด A-DEP (Automatic Depth of Field) และมีโหมดกึ่งอัตโนมัติ และแม่นนวล ในโหมด Creative Zone 3 โหมด คือ โหมด TV (Time Value) , โหมด AV (Aperture Value) และโหมด M (Manual) ซึ่งทั้งสามโหมดนี้จะท าให้เราควบคุม
- 37 - ค่าทั้งหมดหรือบางส่วนเพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ ซึ่งรายละเอียดการตั้งค่าต่างๆ ของแต่ละโหมด ใน Creative Zone ดังนี้ 2.1. โหมด P เป็นการถ่ายภาพอัตโนมัติ แต่สามารถปรับเปลี่ยนรู้ รับแสงและค่าความเร็วของชัตเตอร์ เมื่อปรับค่ารู้รับแสงกว้างขึ้น กล้องจะปรับความเร็วของชัตเตอร์ ให้เร็วขึ้น การตั้งค่ารูรับแสงให้หมุนวงแหวนควบคุมไปทางซ้ายจะเป็นการลดระยะชัดลึกของภาพ (รู้รับแสงกว้างขึ้น) กล้องจะเพิ่มความเร็วของชัตเตอร์เป็น F/2.8-1/30 วินาที กรณีหมุนวงแหวน ควบคุมไปทางขวาจะเป็นการเพิ่มระยะชัดลึกของภาพ (รูรับแสงแคบลง) กล้องจะลดค่าความเร็ว ของชัตเตอร์ลง (F/4.0-1/15 วินาที) การใช้งานโหมด P มีหลักการคือ รูรับแสงกว้างสปีดชัตเตอร์เร็ว รูรับแสงแคบ สปีดชัตเตอร์ช้า และผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าต่างๆ ได้ เช่น ค่า ISO , White balance หรือ ค่าชดเชยแสง การใช้งานโหมดนี้เหมาะส าหรับผู้เริ่มต้นใช้งานและเข้าใจหลักการใช้งานของกล้อง อยู่บ้าง เมื่อต้องการใช้งานโหมด P มีขั้นตอน ดังนี้ 2.1.1. หมุนวงแหวนเลือกโหมดถ่ายภาพไปที่ P โดยสัญลักษณ์ แทนโหมดจะอยู่ตรงกับเส้นสีขาว 2.1.2. หมุนวงแหวนควบคุม เพื่อเลือกค่ารูรับแสงและค่า ความเร็วของชัตเตอร์ที่ต้องการ 2.1.3. การชดเชยค ่าของแสง กดปุ ่ม AV ค้างไว้แล้วหมุนวง แหวนควบคุม หมุนไปทางขวาคือชดเชยค่าแสงไปทางบวกท าให้ภาพสว่าง หมุนไปทางซ้าย คือ ชดเชยแสงไปทางลบ ท าให้ภาพมืด 2.1.4. การเลือกต าแหน่งโฟกัส ให้กดปุ่ม หนึ่งครั้ง จากนั้น หมุน วงแหวนควบคุม หรือกดปุ่มทิศทาง เพื่อเลือกโฟกัสที่ต้องการ 2.1.5. กดชัตเตอร์ลงครึ่งหนึ่งเพื่อล็อคโฟกัส จากนั้นกดชัตเตอร์ลง จนสุดเพื่อถ่ายรูป
- 38 - 2.2 . โหมด TA เป็นโหมดการถ่ายภาพที่ใช้การปรับค่าความเร็วชัตเตอร์ เป็นหลัก กล้องจะปรับค่ารูรับแสงให้สัมพันธ์กับความเร็วของชัตเตอร์ที่ผู้ใช้ปรับไว้ ส าหรับ ค่าความไวของแสง (ISO), White balance หรือการชดเชยค่าแสง ผู้ใช้สามารถปรับค่าได้เหมือนกับ โหมดภาพ P การใช้โหมดนี้เหมาะกับภาพที่ค่าความเร็วของชัตเตอร์มีผลต่อภาพ การใช้ชัตเตอร์ต่ า เพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวของวัตถุ หรือ ค่าความเร็วของชัตเตอร์สูงเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของวัตถุ เพื่อให้เห็นของความพลิ้วไหว การใช้โหมด TV ขั้นตอนการด าเนินการดังนี้ 2.2.1. หมุนวงแหวนเลือกโหมดถ่ายภาพไปที่ TV โดยสัญลักษณ์ แทนโหมดจะอยู่ตรงกับขีดสีขาว 2.2.2. หมุนวงแหวนควบคุม เพื่อเลือกค่าความเร็วของ ชัตเตอร์ที่ต้องการ เมื่อหมุนไปทางขวาเพื่อเพิ่มความเร็วของชัตเตอร์หรือหมุนไปทางซ้ายเพื่อลด ความเร็วของชัตเตอร์ 2.2.3. การชดเชยแสง กดปุ่ม AV ค้างไว้แล้วหมุนวงแหวนควบคุม หมุนไปทางขวา คือ ชดเชยค่าแสงไปทางบวกท าให้ภาพสว่าง หม่นไปทางซ้าย คือ ชดเชยค่า แสงไปทางลบท าให้ภาพมืดลง 2.2.4. การเลือกต าแหน่งที่จะโฟกัส กดปุ่ม หนึ่งครั้ง จากนั้น หมุนวงแหวนควบคุม หรือกดปุ่มทิศทาง เพื่อเลือกโฟกัสที่ต้องการ 2.2.5. กดชัตเตอร์ค้างไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อล็อคโฟกัส 2.2.6. กดชัตเตอร์ลงจนสุดเพื่อถ่ายภาพ
- 39 - 2.3. โหมด AV เป็นการถ่ายภาพที่ใช้การปรับค่ารูรับแสงเป็นหลัก ส่วนกล้องจะปรับความเร็วของชัตเตอร์ให้สัมพันธ์กับค่ารูรับแสงที่ผู้ใช้ปรับไว้ ส่วนมากโหมดนี้ จะเหมาะกับการถ่ายภาพที่ให้ความส าคัญในเรื่องของ Depth of Field หรือ ระยะชัดของภาพ ซึ่งค่ารูรับแสงมีผลต่อระยะของภาพโดยตรง ยิ่งรูรับแสงแคบ ระยะชัดของภาพจะแคบลง หรือเรียกว่า ระยะชัดตื้น เหมาะกับการถ่ายให้วัตถุนั้นเด่นออกมา เพราะฉากหลังจะเบลอ และหากรูรับแสงกว้าง ขึ้น ระยะชัดของภาพจะชัดขึ้น หรือเรียกว่า ระยะชัดลึก เหมาะกับการถ่ายวิว ทิวทัศน์ โหมดนี้มี คุณสมบัติพิเศษสามารถควบคุมระยะชัดลึกของภาพได้เพียงเปลี่ยนค่ารูรับแสง และสามารถควบคุม ค่าต่างๆ เหล่านี้ได้ทั้งหมด คือ ระบบโฟกัสอัตโนมัติ , เลือดจุดโฟกัสอัตโนมัติ , ระบบขับเคลื่อนภาพ , ระบบวัดแสง , White balance , Picture Style และการใช้แฟลชหัวกล้องหรือแฟลชแยก การใช้ โหมด AV มีขั้นตอนการด าเนินการดังนี้ 2.3.1. หมุนที่วงแหวนเลือกโหมดถ่ายภาพไปที่ AV โดยใช้ สัญลักษณ์แทนโหมดอยู่ตรงกับขีดสีขาว 2.3.2. หมุนวงแหวนควบคุม เพื่อเลือกค่ารูรับแสงที่ต้องการ โดยหมุนไปทางขวา ค่ารูรับแสงจะแคบลง (ตัวเลขมากขึ้น) หรือ หมุนไปทางซ้าย ค่ารูรับแสงจะกว้าง ขึ้น (ตัวเลขน้อยลง) 2.3.3. การชดเชยค่าแสง กดปุ่ม AV ค้างไว้แล้วหมุนวงแหวน ควบคุม หมุนไปทางขวา คือชดเชยแสงไปทางบวกท าให้ภาพสว่าง หมุนไปทางซ้าย คือ ชดเชย ค่าแสงไปทางลบท าให้ภาพมืดลง 2.3.4. การเลือกจุดโฟกัสให้กด หนึ่งครั้ง จากนั้นหมุนวง แหวนควบคุม หรือกดปุ่มทิศทาง เพื่อเลือกโฟกัสที่ต้องการ 2.3.5. กดชัตเตอร์ลงครึ่งหนึ่งเพื่อล็อคโฟกัส 2.3.6. กดชัตเตอร์ลงจนสุดเพื่อถ่ายภาพ
- 40 - 2.4. โหมด M เป็นโหมดการใช้งานที่ผู้ใช้งานมีความช านาญและ ฝึกฝนมาพอสมควร หรือ เข้าใจในเรื่องการถ่ายภาพและเข้าใจเรื่องการท างานของกล้องเป็นอย่างดี โหมดการถ่ายภาพนี้จะต้องตั้งค่ารูรับแสงและสปีดชัตเตอร์ โดยอาศัยการอ่านค่าจากสเกลวัดแสงของ กล้อง และค่า ISO การใช้โหมดนี้ถ่ายภาพสามารถให้แสงที่ซับซ้อนได้ ผู้ใช้งานสามารถควบคุมค่า ต่างๆได้ทั้งหมด คือ ระบบโฟกัส , เลือกจุดโฟกัส , ระบบขับเคลื่อนภาพ , ระบบวัดแสง , White balance , Picture Style และการใช้งานของแฟลชหัวกล้องหรือแฟลชแยก การใช้งานโหมด M ขั้นตอนการด าเนินการดังนี้ 2.4.1. หมุนวงแหวนเลือกโหมดถ่ายภาพ M โดยใช้ลัญลักษณ์แทน โหมดจะอยู่ตรงกลางกับขีดสีขาว 2.4.2. เลือกรูรับแสง โดยการกดปุ่ม AV ค้างไว้แล้วหมุนวงแหวน ควบคุม จากนั้นเลือกค่าความเร็วของชัตเตอร์ ด้วยการหมุนวงแหวนควบคุม (แต่ไม่ต้อง กดปุ่ม AV) ซึ่งการตั้งค่าความเร็วของชัตเตอร์กับรูรับแสงจะต้องมีความสัมพันธ์กัน โดยดูที่สเกลวัด แสงประกอบ (ขีดสเกลต้องอยู่ตรงกลางเลข 0 ) แต่อาจจะตั้งให้มืดหรือสว่างขึ้นก็ได้ขึ้นอยู่กับความ ต้องการของช่างภาพ 2.4.3. การเลือกต าแหน่งปุ่มโฟกัส ถ้าต้องการเลือกจุดโฟกัสแบบ แมนน่วลให้กดปุ่ม หนึ่งครั้ง แล้วหมุนวงแหวนควบคุม หรือปุ่มทิศทาง เพื่อเลือก จุดโฟกัสที่ต้องการ 2.4.4. กดชัตเตอร์ลงครึ่งหนึ่งเพื่อล็อคโฟกัส 2.4.5. กดชัตเตอร์ลงจนสุดเพื่อถ่ายภาพ
- 41 - 2.5. โหมด A-DEP (Auto Depth of Field) โหมดนี้เหมาะกับ การถ่ายภาพในสถานการณ์ที่วัตถุหลายๆ อันห่างจากกล้องต่างกันมาก แต่อยากให้วัตถุชัดทุกอัน โหมดนี้จะท าการโฟกัสวัตถุที่อยู่ในภาพทั้งหมด กล้องจะค านวณระยะชัดให้ครอบคลุมวัตถุทุกอันที่อยู่ ในภาพ ในการใช้โหมดนี้ถ่ายภาพไม่สามารถควบคุมค่ารูรับแสง , ค่าความเร็วของชัตเตอร์ , หรือเลือก จุดโฟกัส เนื่องจากโหมดนี้กล้องจะค านวณระยะชัดลึกให้อัตโนมัติ ซึ่งจะท าให้กล้องเปิดค่ารูรับแสง แคบลง การใช้งานโหมด A-DEP (Auto Depth of Field) มีขั้นตองการด าเนินการดังนี้ 2.5.1. หมุนวงแหวนเลือกโหมดถ่ ายภ าพไปที่ A-DEP โดย สัญลักษณ์แทนโหมดจะอยู่ตรงกับขีดขาว 2.5.2. โฟกัสไปที่วัตถุในช่องมองภาพให้ดูว่าโฟกัสขึ้นเป็นสีแดงบน วัตถุที่ต้องการครบถ้วนหรือยัง ถ้าขึ้นเป็นจุดสีแดง แสดงว่าโฟกัสได้แล้ว ให้กดชัตเตอร์ลงจนสุดเพื่อ ถ่ายภาพ กรณีจุดโฟกัสสีแดงไม่ขึ้น ให้ขยับกล้องย้ายต าแหน่งใหม่ แล้วให้ลองโฟกัสอีกครั้งหนึ่ง หรือ ถ้าค่ารูรับแสงกะพริบ แปลว่ากล้องไม่สามารถค านวณระยะชัดลึกได้ ให้ถอยออกมา การชดเชยแสง มีประโยชน์ในการแก้ไขค่าวัดแสงให้ได้ภาพที่มีความสว่าง ถูกต้องตามสภาพจริงของภาพที่จะถ่าย ในการชดเชยแสงแทนสัญลักษณ์ AV สามารถใช้งานในโหมด P , TV , AV ส าหรับการชดเชยแสงมีวิธีการท าได้ดังนี้ 1. กดปุ่ม AV ค่างไว้แล้วหมุนวงแหวนควบคุม 2. การชดเชยแสงไปทางบวกให้หมุนวงแหวนควบคุม ไปทางขวา จะท าให้ภาพสว่างขึ้น 3. การชดเชยแสงไปทางลบให้หมุนวงแหวนควบคุม ไปทางซ้าย จะท าให้ภาพมือลง