The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by director01, 2024-01-31 08:45:01

คู่มือเทคนิคการประชาสัมพันธ์

Keywords: ประชาสัมพันธ์

- 42 - การวัดแสงของกล้อง ระบบการวัดแสงของกล้องจะมีสเกลที่วัดได้ โดยสามารถ มองเห็นเป็นแถบตัวเลข -2 ถึง +2 ซึ่งจะมีแถบทึบอยู่ตรงกลางระหว่าง -2 ถึง +2 แถบทึบกลางอยู่ ตรงกลาง เรียกว่า ขีดที่ให้ค่าแสงพอดี Correct Exposure ขีดทีบกลางชี้ไปทาง +2 ขีดที่ให้ค่าแสง สว่างเกินที่วัดได้ Over Exposure ขีดทีบกลางชี้ไปทาง -2 ขีดที่ให้ค่าสว่างที่มืดกว่าที่แสงวัดได้ Under Exposure ดังนั้นถ้าต้องการวัดแสงบริเวณใดให้โฟกัสตรงต าแหน่งนั้น กล้องจะค านวณว่า บริเวณนั้นมีสภาพแสงอย่างไร พร้อมทั้งแนะน าค่ารูรับแสงและความเร็วของชัตเตอร์ที่เหมาะสมให้ กล้องจะมีระบบวัดแสง 4 แบบ คือ 1. การวัดแสงเฉลี่ยทั้งภาพ (Evluative) เป็นการวัดแสงโดยกล้องจะแบ่ง พื้นที่ภายนอกออกเป็นส่วนๆ ทั่วทั้งภาพ แล้วท าการวิเคราะห์ค่าแสง ระบบจะน าค่าทุกๆ ส่วนของ ภาพมาค านวณหาค่ากลาง แต่จะเน้นให้น้ าหนักการ าค านวณของพื้นที่ตรงจุดโฟกัสที่เลือกใช้เป็น พิเศษ ระบบวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพเหมาะกับภาพทั่วๆ ไปที่มีสภาพไม่แตกต่างกันมากนัก และไม่ นิยมน ามาถ่ายภาพที่มีสภาพแสงที่ซับซ้อน เช่น การถ่ายย้อยแสง หรือภาพที่มีคอนทรานต์สูง ระบบวัดแสงแบบนี้เหมาะส าหรับช่างมือใหม่ 2. การวัดแสงเฉพาะส่วน (Partial) เป็นการวัดแสงเฉพาะส่วน คือเลือก เฉพาะส่วนกลางของภาพมาท าการค านวณไม่ได้ค านวณเฉลี่ยทั้งภาพ ซึ่งกล้องจะค านวณเพียง 90 % ของพื้นที่ทั้งหมด ระบบการวัดแสงแบบนี้จะเหมาะกับภาพที่แสงเข้ามาทางด้านหลัง (ย้อนแสง) หือ ด้านข้างตัวแบบ หารเลือกใช้ระบบวัดแสงแบบนี้จะท าให้วัตถุมีความโดดเด่นแต่ละท าให้ฉากหลังมืด หรือสว่างกว่าวัตถุได้ 3. การวัดแสงเฉพาะจุด (Spot) เป็นการวัดแสงโดยกล้องใช้พื้นที่ประมาณ 4% ที่อยู่ภายในวงกลมเล็กๆ ตรงกลางช่องมองภาพมาค านวณ ซึ่งการวดแสงแบบเฉพาะจุดเหมาะกับ ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการวัดแสงแล้ว และมีความรู้เรื่องค่าการสะท้อนแสงหรือค่าเทากลาง 18% เป็นอย่างดี โดยทั่วไปนิยมใช้ระบบวัดแสงนี้กับการถ่ายภาพที่มีสนามหญ้า ใบไม้สีเขียว ใบไม้อ่อนไม่ แก่เกินไป ท้องฟ้าสีเข้มหน่วย เมฆเทาๆ เพราะค่าสะท้อนแสงของวัตถุนี้ใกล้เคียงกับค่าเทากลาง 18% มากที่สุด 4. การวัดแสงเฉลี่ยหนักกลาง (Center-Weighted Average) เป็นการวัด แสงโดยกล้องใช้พื้นที่ทั้งภาพ แต่ให้น้ าหนักไม่เท่ากันคือ ให้ตรงกลางภาพ 70% และขอบภาพ 30% เหมาะกับการถ่ายภาพที่ให้คามส าคัญกับส่วนกลางภาพเป็นหลัก เช่นดารภายบุคคลหรือการถ่าย บุคคลที่อยู่กลางภาพ ไม่เหมือนกับแบบเฉลี่ยทั้งภาพ ที่ให้น้ าหนักตรงจุดโฟกัสซึ่งอาจไม่อยู่กลางภาพก็


- 43 - ได้ ควรระวังเมื่อถ่ายภาพที่เป็นวัตถุเล็กๆ เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนที่เห็นในช่องภาพ โอกาสที่จะวัดแสง ผิดพลาดมีได้สูง วิธีการเลือกระบบวัดแสง 1. กดปุ่ม MENU เลือกไปยัง Shooting โดยหมุนวงแหวนควบคุม หรือใช้ปุ่มทิศทางซ้าย-ขวา 2. เลือก Metering Mode ด้วยปุ่มทิศทางบน-ล่าง จากนั้นกดปุ่ม SET 3. ใช้ปุ่มทิศทางซ้าย-ขวา เพื่อเลือกระบบวัดแสงแล้วกดปุ่ม SET เพื่อยืนยัน การตั้งค่า 4) ที่หน้าจอจะแสดงสัญลักษณ์ของระบบวัดแสงที่เลือกไว้ การปรับค่า White balance การถ่ายภาพภายใต้สภาวะจากแหล่งก าเนิดของแสง ที่แตกต่างกัน เช่น จากหลอดไฟ แสงแฟลช หรือแสงอาทิตย์ อาจท าให้กล้องถ่ายทอดสีสันต่างๆ ออกมาผิดเพี้ยนได้ วิธีการแก้ไข คือ การปรับค่า White balance ให้ตรงกับสภาพแสงจริงที่ถ่ายอยู่ ดังนั้นการตั้งค่า White balance ของกล้องมีดังนี้ 1. Auto เป็น White balance อัตโนมัติ กล้องจะท าการวิเคราะห์และ ปรับ White balance ให้เราตามสภาพแสงนั้นๆ และหากมีวัตถุสีขาวอยู่ในภาพด้วย ก็ยิ่งจะท างานได้ แม่นย ายิ่งขึ้น ซึ่งเหมาะส าหรับการใช้งานในสภาพแสงทั่วๆ ไปที่ไม่ซับซ้อนมากนัก 2. Dayling White balance ส าหรับแสงอาทิตย์เหมาะส าหรับการถ่ายภาพ ในวันที่แสงแดดแรงๆ ท้องฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆหรือเงาบดบัง 3. Tungsten White balance ส าหรับหลอดไฟทังสเตน หรือหลอดไฟ กลมสีเหลืองที่ใช้กันตามบ้านทั่วไป 4. Fluorescent White balance ส าหรับหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ หรือ หลอดไฟที่นิยมใช้งานตามอาคารเรียนหรือภาพในส านักงาน 5. Shade White balance ส าหรับถ่ายภาพในร่มหรือใต้ร่มเงา ในบริเวณ ที่แดดไม่จัด เช่น ภายใต้ชายคาหรือร่มเงาของต้นไม้ 6. Cloudy White balance ส าหรับวันที่มีเมฆมาก 7. Flash White balance ส าหรับแฟลช 8. Custom White balance ที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอง


- 44 - รูปแบบการก าหนด Picture Style ซึ่งมีหน้าที่ปรับแต่งโทน ความสดของสี หรือ ความคมชัด ท าให้ภาพถ่ายมีสีสันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีรายละเอียดการก าหนด Picture Style มี 6 แบบ คือ 1. Standard ปกติกล้องจะตั้ง Picture Style เป็นแบบนี้ ซึ่งจะใช้ในการ ถ่ายภาพทั่วๆ ไป 2. Porait ใช้กับการถ่ายบุคคล เน้นความคมชัดปานกลาง 3. Landscape ใช้กับการถ่ายภาพวิว ทิวทัศน์ เน้นความคมชัดสูง 4. Neutral ให้สีสันสมจริงเหมือนที่ตาเห็น โดยเฉพาะภาพถ่ายภายใต้แสง ธรรมชาติเหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการเอาภาพมาปรับแต่งภายหลัง 5. Faithful เหมาะส าหรับเก็บรายละเอียดในส่วนต่างๆ ของภาพเอาไว้ โดยเฉพาะในส่วนของไฮไลท์ เนื่องจากกล้องจะไม่ท าการปรับเพิ่มคอนทรานสต์และความสดของสี มากเกินไป 6. Monochrome ใช้กับการถ่ายภาพขาว-ด า สัญลักษณ์ ชื่อเรียก โอกาสที่ใช้ Auto White balance ใช้ได้ในทุกโอกาส เพราะเป็นการปรับไปตาม สภาพแสง แบบอัตโนมัติ Daylight ใช้ถ่ายภาพในกลางแจ้ง แสงแดดร้อนจัด Shada ใช้ถ่ายภาพในร่มเงา Cloudy ใช้ถ่ายภาพในกรณีเมฆครึ้มๆ ไม่สว่างสดใส Tungaten ใช้ถ่ายภาพในกรณีหลอดไฟเป็นหลอดใส้ White fluorescent light ใช้ถ่ายภาพในกรณีหลอดไฟเป็นหลอดนีออน Flash ใช้ถ่ายภาพในกรณีที่จะต้องใช้แพลช custom ใช้ถ่ายภาพที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอง


- 45 - เทคนิคการถ่ายภาพ เมื่อผู้ท าหน้าที่บันทึกภาพรู้จักการใช้โหมดต่างๆ ของกล้องถ่ายภาพเพื่อตั้งค่าการใช้ งานของกล้องบันทึกภาพตามโหมดต่างๆ ให้ถูกต้องตามสถานที่ เวลา ดังนั้นผู้บันทึกภาพจะต้องมี เทคนิคการถ่ายภาพในแต่ละสถานการณ์ต่างๆ ดังนี้ 1. การถ่ายภาพบุคคล การถ่ายภาพบุคคลจะต้องเน้นถึงตัวแบบเพื่อให้มีความโดดเด่น และท าให้ตัวแบบ มีความสวยงาม ทั้งในการถ่ายภาพโดยที่ตัวแบบรู้ตัวและแบบที่ไม่รู้ตัวมาก่อน มีเทคนิคการถ่ายภาพ บุคคลดังนี้ 1.1. ระยะห่างระหว่างตัวแบบกับฉากหลัง จะต้องวางต าแหน่งให้เหมาะสมจะท าให้ ฉากหลังดูเบลอและจะท าให้ตัวแบบโดดเด่น ท าให้ภาพที่ถ่ายออกมามีความสวยงาม 1.2. ควรเลือกใช้รู้รับแสงกว้าง ค่า F-Stop น้อยๆ เพื่อให้ภาพมีความชัดตื้น 1.3. จุดโพกัส ควรโพกัสที่บริเวณใบหน้าของแบบ ส่วนมากจะโพกัสที่ตา ข้อแนะน า 1. ควรเลือกฉากหลังที่ไม่รบกวนมากเกินไปหรือมีสีสันฉูดฉาด เพราะจะท าให้ตัว แบบหมดความโดดเด่นลง 2. ซูมให้เห็นตัวแบบเด่นชัดเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับภาพ 3. แสงเป็นสิ่งช่วยให้ตัวแบบดูเด่นชัดมากขึ้น เช่นหาแสงที่ส่องมาทางด้านข้าง จะช่วยท าหน้าของตัวแบบไม่เรียบแบน ในกรณีที่จะต้องถ่ายย้อนแสง อาจจะต้องเปิดแพลชเข้าช่วย เพื่อหลบเงามืดบริเวณใบหน้าของตัวแบบและอาจท าให้เก็บรายละเอียดของฉากหลังได้อีกด้วย 4. การถ่ายภาพบุคคล จะต้องน าเสนอให้เห็นถึงอากัปกิริยาของผู้จะถ่ายภาพด้วยว่า ก าลังท าอะไร ยังไง ที่ไหน ต้องจับจังหวะให้เหมาะสมเพื่อให้ได้ภาพที่น่าสนใจ 2. การถ่ายภาพทิวทัศน์ เป็นการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อต้องการที่จะบันทึกความสายงาม ของสถานที่นั้นๆ ฉะนั้นจะต้องเก็บรายละเอียดให้ชัดเจนมากที่สุด ซึ่งมีเทคนิคการถ่ายภาพดังนี้ 2.1. ควรใช้ค่ารูรับแสงแคบ หรือ F-Stop มากๆ เพื่อท าให้ภาพมีความชัดลึก และ สามารถเก็บรายละเอียดบริเวณนั้นได้ชัดเจนทั่วทั้งภาพ 2.2. อาจะใช้โหมด AV เพื่อควบคุมความชัดลึกของภาพ 2.3. ใช้ช่วงเลนส์ที่กว้าง ที่สามารถเก็บภาพบรรยากาศให้ครอบคลุม


- 46 - ข้อเสนอแนะ 1. มองหาช่วงเวลาที่เหมาะสมส าหรับเก็บบรรยากาศตามธรรมชาติ เช่น ช่วงก่อน พระอาทิตย์ขึ้น 15 – 20 นาที ไปจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว 30 นาที หรือช่วงก่อนพระอาทิตย์ตก 15 – 30 นาที ไปจนถึงพระอาทิตย์ตกแล้ว 30 นาที เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีต่างๆ มากมาย สีมีความนุ่มนวล ถ่ายทอดอารมณ์ของภาพได้เป็นอย่างดี 2. เพิ่มความมั่นใจว่าภาพจะมีความคมชัด ควรใช้ขาตั้งกล้องเสมอ 3. การวางเส้นขอบฟ้าไม่ควรจะวางที่กึ่งกลางของฟ้า เพราะจะทะให้ภาพขาดความ น่าสนใจ 4. ภาพแต่ละภาพควรหาจุดเด่นเพื่อเพิ่มแรงดึงดูดและน่าสนใจแก่ผู้ชมภาพ 5. การถ่ายวิวทิวทัศน์ หากฉากหน้าที่น่าสนใจก็สามารถเพิ่มความน่าสนใจของภาพ ได้ หรือถ้าหากว่าวันที่ไปถ่ายท้องฟ้าหม่น ควรจะหาฉากหน้าหรือฉากหลังเพื่อบดบังท้องฟ้าที่หม่น ซึ่ง การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์การเลือกให้มีสีโทนร้อนและสีโทนเย็นอยู่ในภาพเดียวกันก็จะท าให้ภาพมีความ น่าสนใจยิ่งขึ้น เช่น ฉากหลังเป็นสีโทนร้อน คือ ท้องฟ้าสีส้มตอนยามเย็น ส่วนฉากหลังสีโทนเย็น อาจจะเป็นหมอกที่ปกคลุมอยู่บริเวณนั้น เป็นต้น 3. การถ่ายภาพสถาปัตยกรรมหรือสิ่งก่อสร้าง การถ่ายภาพสถาปัตยกรรมหรือสิ่งก่อสร้าง ส่วนใหญ่ต้องการน าเสนอในเรื่อง โครงสร้างของสถาปัตยกรรมหรือสิ่งก่อสร้างนั้น สิ่งที่ควรค านึงคือแสงเงาที่ทอดผ่านท าให้ สถาปัตยกรรมโดดเด่นมากขึ้น ซึ่งมีเทคนิคการถ่ายภาพดังนี้ 3.1. เลนส์ที่ใช้ควรเป็นเลนส์มุมกว้างหรือเลนส์ไวด์ เพื่อที่จะได้เก็บโครงสร้างของ สถาปัตยกรรมหรือสิ่งก่อสร้างได้ทั้งหมด 3.2. ควรใช้ค ่ารูรับแสงประมาณ F/5.6 – F/8 เพื ่อให้เห็นรายละเอียดของ สถาปัตยกรรมทั้งหมด และใช้ขาตั้งกล้องเพื่อป้องกันภาพสั่นไหว ข้อแนะน า 1. ควรเลือกถ่ายภาพช่วงเช้าประมาณ 06.00 – 08.00 น. เพราะเป็นเวลาที่แสง ยังนุ่มไม่แข็งจนเกินไป 2. หาฉากหน้าและฉากหลังให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้แก่ภาพ 3. เน้นเงาของสถาปัตยกรรมที่สะท้อนน้ าหรือแสงที่ตกกระทบกับสถาปัตยกรรม


- 47 - 4. การถ่ายภาพกีฬา การถ่ายภาพกีฬาจะต้องอาศัยจังหวะและความรวดเร็วในการเก็บภาพ เพื่อให้ภาพที่ ถ่ายออกมาน าเสนอถึงชนิดกีฬานั้น ซึ่งมีเทคนิคการถ่ายภาพดังนี้ 4.1. ควรใช้สปีดชัตเตอร์ที่ประมาณ 1/400 ถึงประมาณ 1/5000 วินาที เพื่อหยุด การเคลื่อนไหวของวัตถุ ท าให้ได้ภาพที่คมชัดและไม่เบลอ 4.2. เลือกใช้โหมดถ่ายภาพ TV ผู้ถ่ายภาพปรับค่าสปีดชัตเตอร์ตามที่ต้องการ และ ให้กล้องเลือกรู้รับแสงให้เอง 4.3. ปรับระบบโพกัสเป็นแบบ AI Servo กล้องจะโพกัสตามวัตถุที่เคลื่อนที่ ข้อแนะน า 1. ควรโพกัสล่วงหน้าเอาไว้เสมอ คือ กดชัตเตอร์ไว้ครึ่งหนึ่งเสมอ 2. ใช้ระบบขับเคลื่อนการถ่ายภาพแบบ Continuoud Shooting เพื่อที่จะได้เก็บทุก จังหวะของภาพที่ส าคัญ 5. การถ่ายภาพเคลื่อนไหว การถ่ายภาพเคลื่อนไหว จะต้องน าเสนอให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวหรือ Movement ของวัตถุนั้น เพื่อเพิ่มความน่าสนใจของภาพ ซึ่งมีเทคนิคการถ่ายภาพดังนี้ 5.1. ควรใช้สปีดชัตเตอร์ที่ประมาณ 1/15 วินาที หรือต่ ากว่านั้น จะท าให้เห็น การเคลื่อนไหวของวัตถุ ซึ่งการถ่ายภาพในกรณีเช่นนี้จะท าให้ภาพขาดความคมชัด แต่จะได้อารมณ์ ของภาพ 5.2. เลือกใช้โหมดการถ่ายภาพ TV ผู้ถ่ายปรับเพียงค่าสปีดชัดเตอร์เท่านั้น ข้อแนะน า ใช้เทคนิคการแพนกล้องเพื่อเพิ่มความรู้สึกของการเคลื่อนไหว วิธีการแพนกล้องท า ได้โดยง่ายดังนี้ ใช้โหมดการถ่ายภาพแบบต่อเนื่องเลือกใช้สปีดชัตเตอร์ที่ต่ า เช่น 1/30 หรือ 1/60 วินาที โฟกัสที่วัตถุนั้นๆ และถ่ายไปเรื่อยๆ โดยหันกล้องไปตามทิศทางที่วัตถุนั้นเคลื่อนที่ เราจะได้ ภาพในลักษณะที่เห็นตัววัตถุชัด ในขณะที่ฉากหลังเบลอจากการเคลื่อนที่ของกล้อง 6. การถ่ายภาพดอกไม้ การถ่ายภาพดอกไม้ จุดเด่นคือสีสันและรูปร่างที่สวยงามของดอกไม้ ซึ่งมีเทคนิค การถ่ายภาพดังนี้


- 48 - 6.1. ถ่ายภาพให้มีความชัดตื้น เพื่อท าให้ดอกไม้ดูโดดเด่นและท าให้ฉากหลังไม่มา แย่งความสนใจของดอกไม้ ใช้รูรับแสงกว้าง F-Stop น้อยๆ 6.2. ใช้แฟลชเสริมบริเวณด้านขอบข้างดอกไม้หรือมองหาทิศทางที่แสงเข้าทาง ด้านข้างของดอกไม้ จะท าให้ภาพดูมีมิติมากขึ้น 6.3. สามารถก าจัดสิ่งรบกวนออกไปได้โดยใช้กระดาษสีขาวหรือสีด ามาเป็นฉากหลัง ข้อเสนอแนะ 1. ไม่นิยมถ่ายดอกไม้จากมุมสูง มุมที่นิยมคือถ่ายจากมุมต่ าหรือมุมในระดับสายตา 2. มีการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ช่วยท าให้สามารถขยายดอกไม้จากเล็กให้ลายเป็นใหญ่ เช่นใช้เลนส์มาโคร หรือใช้ Close up Fiter 3. เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ช่วงหลังฝนตกใหม่ๆ ช่วงเวลาที่มีเมฆมาก และช่วงเช้า 7. การถ่ายภาพอาหาร การถ่ายภาพอาหารจะต้องถ่ายออกมาให้อาหารดูน่ารับประทานและสวยงาม ดังนั้น องค์ประกอบการจัดวางและสีของอาหารที่อยู่ในจานเป็นสิ่งที่ส าคัญที่ไม่ควรมองข้าม เทคนิคง่ายๆ ในการถ่ายภาพอาหารให้ดูสวยงาม ซึ่งมีเทคนิคการถ่ายภาพดังนี้ 7.1. ควรเลือกใช้ค่ารูรับแสงที่ F/5.6 ถึง F/8 เพื่อท าให้ภาพเกิดความชัดลึก แต่ถ้าใช้ รู้รับแสงแคบจะได้ภาพที่เกิดความรู้สึกแข็งกระด้าง 7.2. เลือกใช้โหมด AV ก าหนดค่ารูรับแสงเอง ข้อเสนอแนะ 1. สีพื้นควรเป็นสีที่ให้ความสดใสเพื่อเพิ่มความน่ารับประทานของอาหาร 2. การใช้แสงธรรมชาติเป็นแสงทีถ่ายอาหารออกมาได้สวยงามที่สุด ควรเลือกใช้ ทิศทางของแสงเฉียงที่ประมาณ 45 – 60 องศา


บทที่ 5 หลักการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ การเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อข่าวสารแก่กลุ่มเป้าหมาย ได้รับรู้ว่าองค์กรหรือหน่วยงานท าอะไร ท าอย่างไร เพื่ออะไร ที่ไหนและเพราะอะไร เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจที่ดีและถูกต้อง ดังนั้นการน าเสนอข่าวเพื่อประชาสัมพันธ์ จะต้องเลือกใช้ภาษาที่เรียบง่าย สั้นกระชับ ตรงไปตรงมา และหากต้องการโน้มน้าวใจให้เกิดความคล้อยตามทั้งด้านความคิดและ พฤติกรรม จะต้องยกส่วนดีให้เห็นอย่างชัดเจน เลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้าง ความน่าเชื่อถือและจะต้องอธิบายข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิด และที่ส าคัญจะต้องอ้างอิงแหล่งข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือ การเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้รับข่าวสามารถอ่าน ข่าวแล้วมีความเข้าใจในเนื้อหาสาระที่น าเสนอ ผู้เขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการเขียนข่าวเพื่อน าเสนอ ข้อมูลประกอบการเขียนข่าว กลุ่มเป้าหมาย คุณลักษณะที่ดีของการเขียนข่าว องค์ประกอบของข่าว เป็นอย่างดี ในองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้ ประเภทของการเขียนข่าว การเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ จะต้องใช้ความสามารถด้านการเขียนเพื่อสื่อ ความหมายให้ผู้อ่านข่าวมีความเข้าใจในเนื้อหาสาระที่ต้องสื่อ ซึ่งการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ นิยมใช้ข้อความหลายๆ ประเภทผสมผสานกันขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการเขียนข่าวในเรื่องนั้นๆ ข้อความในการเขียนข่าวที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มี 5 ประเภท ประกอบด้วย 1. การเขียนข่าวแบบบรรยาย (Narration) การเขียนข่าวแบบบรรยายเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ตามล าดับเหตุการณ์ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจในเนื้อหาสาระได้ตรงประเด็น เป็นการบอกกล่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งลักษณะ การเขียนข่าวแบบบรรยาย มีลักษณะดังนี้ คือ เป็นเรื่องจริง ซึ่งจะต้องเขียนอย่างตรงไปตรงมา ให้เข้าประเด็นที่เป็นสาระส าคัญมากที่สุด บรรยายให้ผู้อ่านสามารถมโนภาพข่าวที่บรรยายได้ และ ภาษาที่ใช้จะต้องเป็นภาษาง่ายๆ และเหมาะสมเลือกใช้ระดับของภาษาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และ แต่ละย่อหน้าของการเขียนข่าวแบบบรรยายจะมีความส าคัญเพียงประเด็นเดียว แต่จะต้องมี ความสัมพันธ์กันตลอดทุกย่อหน้า


- 48 - 2. การเขียนข่าวแบบพรรณนา (Description) การเขียนข่าวแบบพรรณนา เป็นการเขียนข่าวเพื่อบอกเรื่องราวความจริง โดยการ ถ่ายทอดความรู้สึก จินตนาการ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดภาพพจน์ตามถ้อยค านั้น เป็นกาสร้างความเข้าใจ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่บอกเล่า ดังนั้นการเขียนแบบนี้จึงจะต้องเลือกใช้ค าที่ดี ภาษาที่เลือกใช้ต้องให้ อารมณ์และเน้นการจูงใจมากว่าไม่ใช่เพียงการบอกกล่าวเท่านั้น ซึ่งเหมาะที่จะเลือกใช้ค าอุปมาอุปมัย ค าคม ค าเปรียบเทียบต่างๆ มาใช้เพื่อให้เกิดภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้น และจะต้องเลือกใช้ค าที่มีเสียง สูงต่ า มีความไพเราะ อ่านแล้วน่าฟังมีการเล่นสัมผัสกันระหว่างค าให้เกิดความหมายที่กินใจและจดจ า การเขียนข่าวแบบพรรณนา จะเป็นการเขียนข่าวเพื่อชักจูงใจให้ผู้อ่านเกิดพฤติกรรมร่วม ความรู้สึก ร่วม อ่านแล้วเกิดอารมณ์ความประทับใจ มุ่งเน้นการเล่นค าที่มีความไพเราะเป็นส าคัญ 3. การเขียนข่าวแบบจูงใจ (Persuasion) การเขียนข่าวแบบจูงใจ เป็นการเขียนข่าวเพื่อเชิญชวน ชักจูงใจ โน้มน้าวใจให้คล้อย ตาม จึงจะต้องเลือกใช้ถ้อยค าให้เหมาะสมและจะต้องมีการยกเหตุผลที่ดี น่าเชื่อถือ มาประกอบ อาจมีการเล่นค าส านวนให้น่าอ่าน จ าง่ายซึ่งจะง่ายต่อการจูงใจให้คล้อยตาม การเขียนข่าวแบบจูงใจ ส่วนมากใช้ในการประชาสัมพันธ์ประเภทบทความ สารคดี เพื่อชี้น ากลุ่มเป้าหมายให้คล้อยตาม อันจะน ามาซึ่งการเปลี่ยนแปลง ทัศนคติ และพฤติกรรมที่มีต่อสิ่งนั้นในที่สุด การเขียนข่าวแบบจูงใจ จะต้องเขียนด้วยความจริงใจและอาจแสดงพฤติกรรมให้เห็นเป็นตัวอย่าง เพื่อท าให้เรื่องนั้นมีน้ าหนัก น่าเชื่อถือ ต้องชี้ให้เห็นผลดีเมื่อปฏิบัติตาม และผลเสียเมื่อไม่ปฏิบัติตาม และจะต้องใช้ถ้อยค า กะทัดรัด เข้าใจง่าย สะเทือนความรู้สึก 4. การเขียนข่าวแบบอธิบาย (Explanation) การเขียนข่าวแบบอธิบายเป็นการเขียนข่าวแบบบอกวิธีท าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อชี้แจง ความรู้ อธิบายเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่าย การเขียนข่าวแบบอธิบายจึงต้องเน้นการน าเสนอข้อมูล รายละเอียด เน้นที่สาระของเรื่อง ซึ่งควรมีสาระเดียว หรือมีประเด็นหลักเพียงประการเดียว ข้อมูล และรายละเอียดต้องมีความชัดเจน และต้องเขียนอย่างเป็นล าดับขั้นตอน เพื่อไม่สับสนส าหรับผู้อ่าน และไม่น่าเบื่อ ภาษาและการอธิบายจะต้องเข้าใจง่าย กระชับและได้ใจความ ไม่ใช้ศัพท์วิชาการ ที่ตีความได้หลากหลายความหมาย และหากเนื้อหาสาระของข่าวมีข้อความจ านวนมากควรอธิบาย เป็นข้อๆ เพื่อให้อ่านได้ง่ายขึ้น


- 49 - 5. การเขียนข่าวแบบอภิปราย (Discussion) การเขียนข่าวแบบอภิปราย เป็นการเขียนข่าวที่แสดงความคิดต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แสดงความคิดเห็นเพียงอย่างเดียว หรืออาจประกอบด้วยค าแนะน า ข้อคิด ดังนั้นการเขียนข่าวแบบ อภิปราย จึงต้องมีประเด็นส าคัญที่จะท าให้ข้อเท็จจริงชัดเจน ที่พิสูจน์ได้หรือตรวจสอบได้ หรือให้ ความรู้โดยตรง หรือความรู้เฉพาะด้าน ส าหรับความคิดเห็น แนวคิด และหลักการเป็นความคิดเห็นที่มี ความอิสระ มีเหตุมีผลสามารถน าไปปฏิบัติได้ และมีเหตุมีผลซึ่งกันและกัน เพื่อให้ผู้อ่านเห็นจริง ตามเหตุผลนั้นๆ และเหตุผลอาจเสนอให้เห็นทั้งส่วนข้อดีและข้อเสียก็ได้ แต่จะต้องใช้ภาษาที่ง่าย ต่อการเข้าใจ ข้อมูลประกอบการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ ข้อมูลประกอบในการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ ให้ได้ข้อมูลครอบคลุม ในทุกประเด็น นักประชาสัมพันธ์ จะต้องมีองค์ความรู้อย่างกว้างขวางเพื่อน าข้อมูลข่าวมาบูรณาการ ในการเขียนข่าวให้ตรงประเด็น ตามความต้องการ ดังนั้นประชาสัมพันธ์จะต้องมีข้อมูลประกอบการ เขียนข่าวเพื่อประชาสัมพันธ์ ประกอบด้วย 1. นโยบาย (Policy) การน าข้อมูลเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ กลยุทธ์และจุดเน้น ขององค์กรมาประชาสัมพันธ์ให้บุคคลภายในและบุคคลภายนอก หรือกลุ่มเป้าหมายได้รับทราบ 2. ข้อมูลภูมิหลัง (Background Material) การน าเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิหลังขององค์กร โดยเป็นการน าเสนอข้อเท็จจริง เกี่ยวกับใคร ท าอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร และเพราะเหตุใด เพื่อให้ได้ทราบรายละเอียดครบถ้วน 3. กลุ่มผู้รับสาร ( Audience) เป็นกลุ่มที่ส าคัญที่สุดส าหรับการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ เนื่องจากเป็น องค์ประกอบที่จะก าหนดรูปแบบและการใช้ภาษาในงานเขียนแต่ละชิ้น นักประชาสัมพันธ์จะต้องท า ความเข้าใจกลุ่มผู้รับสารให้ถ่องแท้ และสร้างสรรค์ข้อความเพื่อสื่อสารประชาสัมพันธ์แต่ละกลุ่ม ให้เหมาะสม 4. เนื้อหาข่าวสาร (Message) ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาข่าวสารที่นักประชาสัมพันธ์จะต้องให้ความส าคัญมี 2 ส่วน คือ เนื้อหา (content) และรูปแบบการน าเสนอ (Presntation)


- 50 - 5. สื่อ (Media) ข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางการสื่อสารเป็นสิ่งที่ใช้ประกอบการตัดสินใจว่า จะเลือกใช้สื่อ ใดและจะใช้สื่อนั้นอย่างไร โดยจะต้องรู้เกี่ยวกับคุณลักษณะของสื่อแต่ละประเภทเพื่อใช้ให้เหมาะกับ เนื้อหาที่จะน าเสนอและกลุ่มผู้รับสาร 6. การประเมินผล (Evaluation) การประชาสัมพันธ์จะต้องได้รับการประเมินผล เพื่อทราบว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไรบ้าง ทั้งนี้อาจจะใช้วิธีการประเมินโดยการใช้แบบสอบถามหรือ การสัมภาษณ์ องค์ประกอบการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ 1. กลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) กลุ่มเป้าหายหรือประชาชนที่องค์กรหรือหน่วยงานต้องการสื่อสารด้วย โดยการ สื่อสารมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร สร้างความสมพันธ์ที่ดี ทัศนคติที่ดี เกิดการยอมรับและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม กลุ่มเป้าหมายการประชาสัมพันธ์แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1.1. กลุ ่มป้าหมายภายใน (Internal Target) คือ กลุ ่มบุคลากรผู้ที ่ปฏิบัติงาน ในองค์กร ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีความส าคัญที่สุดเนื่องจากจะช่วยประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ขององค์กรหรือหน่วยงานให้บุคคลภายนอกองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ ทราบด้วย แต่สิ่งที่ส าคัญ อีกประการหนึ่งคือ บุคลากรภายในองค์กรหรือหน่วยงานจะต้องเชื่อถือ ศรัทธา และจงรักภักดีกับ องค์กรหรือหน่วยงานเป็นส าคัญ จึงจะสามารถถ่ายทอดข้อมูลต่างๆ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ องค์กรหรือหน่วยงานได้เป็นอย่างดียิ่ง 1.2. กลุ่มเป้าหมายภายนอก (External Target) คือ กลุ่มบุคคลที่อยู่ภายนอก องค์กรไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการด าเนินงานขององค์การ แต่เป็นส่วนส าคัญอย่างยิ่งในการอยู่รอด ขององค์กรห รือหน่วยงาน กลุ่มเป้ าหม ายภ ายนอกมีหลายกลุ่มเป้ าหม ายซึ่งแต่ละกลุ่ม มีความส าคัญกับองค์กรแตกต่างกันไป 2. วัตถุประสงค์ การเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์จะมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันไป ดังนั้นจ าเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องเลือกใช้ภาษา ถ้อยค าให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย แต่โดยทั่วไปแล้วจะมี


- 51 - วัตถุประสงค์เพื่อแจ้งให้ทราบ ก่อให้เกิดการยอมรับ มีภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นการช่วยป้องกันความ เข้าใจผิด 3. สื่อที่ใช้เผยแพร่ ลักษณะของงานประชาสัมพันธ์หรือสื่อที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์จะมี 2 ลักษณะ คือ งานด้านการผลิตสื่อและการจัดกิจกรรมเพื่อการประชาสัมพันธ์ ดังนั้นองค์กรหรือหน่วยงาน จะต้องเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมและสามารถเผยแพร่กิจกรรมเพื่อการประชาสัมพันธ์ของ องค์กรและ หน่วยงานได้ สิ่งที่ส าคัญจะต้องเลือกสื่อที่เสนอข่าวในภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรหรือหน่วยงาน คุณลักษณะที่ดีของการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ 1. เนื้อหา จะต้องมีประเด็นที่ชัดเจน สามารถระบุได้ว่า ใคร ท าอะไร ที่ไหน เมื่อไร ท าไมและอย่างไร และที่ส าคัญเนื้อหาสาระของข่าวจะต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริง 2. จัดล าดับเรื่อง จะต้องมีการล าดับเนื้อหาตามขั้นตอน หรือ ก่อนหลังตามล าดับ เพื่อให้ผู้อ่านง่ายต่อการท าความเข้าใจ ไม่สับสนและไม่น่าเบื่อหน่าย การล าดับเรื่องราวของเนื้อหา ควรจะแยกเป็นย่อหน้า ย่อหน้าละ 1 ประเด็น และที่ส าคัญควรมีความต่อเนื่องกันในแต่ละย่อหน้า 3. ความกระจ่างชัดจน เนื้อหาหรือเรื่องราวที่น าเสนอจะต้องกระจ่าง ไม่คลุมเครือ 4. การใช้ภาษา จะต้องเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ตรงตามความ นิยม ประโยคต้องกระชับ อ่านง่าย ไม่ใช้ค าฟุ่มเฟือย และมีการเว้นวรรคตอนให้เหมาะสม เพื่อสื่อความหมาย อารมณ์ และความรู้สึก การแจกข่าว (Press Release) การแจกข่าวหรือข่าวประชาสัมพันธ์ นับเป็นงานหลักของนักประชาสัมพันธ์ คือ ข่าว ประชาสัมพันธ์เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร หรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกิจกรรมหรือ เหตุการณ์เกี่ยวกับกิจรรม หรือเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นภายในหน่วยงานและหน่วยงานได้ส่ง เผยแพร่ไปยังสื่อมวลชน โดยมีจุดมุ่งหมายให้สื่อมวลชนถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารหรือข้อเท็จจริงนั้น ไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง อันจะท าให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับทราบความเคลื่อนไหวความเป็นไปเพื่อสร้าง ความเข้าใจและยอมรับกิจกรรมการด าเนินงานขององค์กรหรือหน่วยงาน การประชาสัมพันธ์กิจกรรมขององค์กรหรือหน่วยงาน นักประชาสัมพันธ์นิยมที่จะส่ง ข่าวประชาสัมพันธ์ไปยังหนังสือพิมพ์มากกว่าสื่ออื่นๆ เนื่องจากสามารถเผยแพร่ไปยังประชาชนได้ อย่างกว้างขวางกว่าสื่ออื่นๆ ดังนั้นข่าวประชาสัมพันธ์ที่จะได้รับเลือกลงในหน้าหนังสือพิมพ์จะต้องมี คุณค่าและน่าสนใจจึงจะท าให้สื่อมวลชนเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารนั้นไปยังประชาชนต่อไป


- 52 - พาดหัวข่าว ความน า เนื้อหาข่าว ข่าวประชาสัมพันธ์ในปัจจุบันที่มักจะส่งไปยังสื่อมวลชน เช่น กิจกรรมหรือโครงการใหม่ การชี้แจง ข้อเท็จจริง ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม หรือข่าวการเปลี่ยนแปลงขององค์กรหรือหน่วยงาน เป็นต้น ประเภทของข่าวแจก 1. ข่าวแจ้งให้ทราบ (Announcement) เป็ น ข่ า วแ จ้งให้ ท ร าบ ร าย ล ะเอี ย ด ต่ างๆ ข ององค์ ก รห รือ ค ว าม เป็ นไป การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งอย่างใดที่เกิดขึ้นภายในองค์กร 2. ข่าวประกอบกิจกรรมพิเศษทางประชาสัมพันธ์ (Create News Release) ข่าวที่แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับรายละเอียดที่ซับซ้อนและดึงดูดความสนใจ โดยมุ่งมั่นให้ เกิดความนิยมต่อองค์กรหรือหน่วยงาน 3. ข่าวเหตุการณ์เร่งด่วน (Spot New Release) ข่าวที่แจ้งที่มีความเร่งด่วนเป็นข่าวที่มีความส าคัญและจ าเป็นต้องแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้อง ทราบ ซึ่งการเสนอข่าวเหตุการณ์เร่งด่วนจะมีเนื้อหาสาระไม่มาก แต่เน้นความรวดเร็ว 4. ข่าวตอบโต้เหตุการณ์หรือวิกฤตการณ์ (Response News Release) ข่าวที่องค์กรหรือหน่วยงานจ าเป็นต้องน าเสนอเมื่อเกิดสภาวะร้ายแรงอย่างใด อย่างหนึ่ง เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรหรือเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือให้ผู้มีส่วน เกี่ยวข้องกับองค์กร โครงสร้างของการแจกข่าว 1. พาดหัวข่าว (Headline) เป็นส่วนส าคัญที่จะดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน โดยมี ลักษณะข้อความสั้นๆ ที่จะช่วยให้รู้ว่าข่าวมีประเด็นอะไรที่น่าสนใจ ลักษณะของพาดหัวข่าวที่ดี จะต้องสั้น กระชับ สมบูรณ์ด้วยความหมายในประเด็นเดียว ภาษาต้องเข้าใจง่ายและตรงประเด็น


- 53 - 2. วรรคน า (Lead) เป็นส่วนที่เสนอประเด็นส าคัญของเรื่องราวไว้อย่างกระชับ โดยจะต้องเขียนวรรคน าให้เข้าใจง่าย โดยมากมักเขียนในลักษณะสรุปความ เพื่อชี้ประเด็นเรื่องราวให้ เข้าใจได้มากและรวดเร็ว อาจมีองค์ประกอบของข่าวครบทุกประเด็น คือ ใคร ท าอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ และท าไม โดยอาจแบ่งออกเป็นย่อหน้าประมาณ 3 – 5 ประโยค 3. ส่วนเชื่อม (Neck) อาจเป็นเพียงย่อหน้าเดียวที่อยู่ระหว่างวรรคน าและเนื้อหา เพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับภูมิหลังขอหน่วยงาน 4. เนื้อหาข่าว (Body) ส่วนที่น าเสนอรายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมด โดยมี องค์ประกอบของข่าวครบทุกประเด็น โดยข่าวประชาสัมพันธ์จะยึดหลักการเขียนแบบปิรามิดหัวกลับ องค์ประกอบของข่าว 1. ความใหม่สดทันต่อเหตุการณ์ ข่าวที่ตอบสนองความอยากรู้ของคนในสังคมแบบ ทันที่ทันใด คือ คนต้องการรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในทันทีที่มีความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ไม่เคยมีมาก่อน 2. ความใกล้ชิด ข่าวมีผลต่อการรับรู้ ซึ่งผู้รับสามารถสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก 3. ความส าคัญหรือความเด่น ข่าวที่ไม่เคยมีที่ใดมาก่อน เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของ บุคคลที่เด่น หรือมีชื่อเสียง 4. มีผลกระทบ ข่าวที่มีผลกระทบโดยตรงกับองค์กรหรือหน่วยงาน และสิ่งแวดล้อม เนื่องจากหากเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว หรือส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้รับข่าวสาร ผู้รับจะให้ความสนใจในทัน ที่และอยู่ในระดับมาก หลักการเขียนข่าวแจก 1. การเขียนข่าวแจก ต้องยึดหลักการเขียนข่าว คือ ใคร ท าอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร และท าไม ซึ่งจะต้องเขียนโดยตอบค าถามเหล่านี้ได้ในประโยคแรกของย่อหน้าแรก พร้อมด้วย รายละเอียดที่ตามมา 2. พิมพ์ข่าวแจกหน้าเดียวเท่านั้น ถ้าหากมีข่าวเกินกว่า 1 หน้า ก็พิมพ์ใส่อีกแผ่น หนึ่งไม่ควรพิมพ์ 2 หน้าโดยใช้กระดาษแผ่นเดียว ในกรณีที่มีข่าวหน้าต่อไปควรจะพิมพ์ค าว่า “ยังมีต่อ” ไว้ส่วนล่างของหน้ากระดาษด้วย พร้อมทั้งอย่าลืมลงเลขที่หน้าเป็นอันขาด 3. ระบุชื่อ เบอร์โทรศัพท์ของผู้แจกข่าว ซึ่งควรพิมพ์อย่างชัดเจนบนหัวกระดาษ การระบุรายละเอียดเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในด้านการติดต่อได้สะดวกรวดเร็ว กรณีที่มีสิ่งสงสัยหรือ ต้องการสอบถามข้อมูลรายละเอียดบางอย่างเพิ่มเติม


- 54 - 4. เนื้อข่าว ไม่จ าเป็นต้องเขียนให้ยาวมาก ควรเขียนสั้นๆ กะทัดรัด ได้ใจความ สมบูรณ์ชัดเจน 5. การจัดส่ง news release ให้แก่หนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนนั้น อาจไม่จ าเป็นส่ง เป็นประจ าทุกวัน อาจจะส่งเป็นระยะๆ หรือครั้งคราวก็ได้ตามความเหมาะสมหรือตามแต่องค์กรหรือ หน่วยงานต้องการจะเผยแพร่ข่าวนั้นๆ การจัดส่งข่าวแจก อาจใช้วิธีการส่งทางไปรษณีย์หรือไปส่งด้วย ตนเองก็ได้ แต่ในปัจจุบันเพื่อความรวดเร็วมักนิยมส่งทางโทรสาร หรือ จดหมายอิเล็คทรอนิคส์ (E-mail) ตัวอย่างรูปแบบข่าวประชาสัมพันธ์ (กระดาษขนาด A4) ชื่อและตราหน่วยงาน ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของหน่วยงาน ข่าวประชาสัมพันธ์ พาดหัวข่าว (Headline) วรรคน า (Lead)....................................................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. .................................. เนื้อหา (Body)............................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ วัน/เดือน/ปี ที่ส่งข่าว ผู้ส่งข่าว.......................... ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์......................... รูปแบบข่าวประชาสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับหารน าเสนอของหน่วยงานนั้น ภาพข่าว (Photo Release)


- 55 - ภาพประกอบส าห รับการแจกข่าว เพื่อให้หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์ภาพเหล่านี้ ลงภาพประกอบ ดังนั้นภาพดังกล่าวจะต้องเป็นภาพที่มีความชัดเจน มีค าอธิบาย ซึ่งมีรายละเอียด ว่าเป็นใคร ท าอะไร ที่ไหน เมื่อไร ท าไม อย่างไร โดยพิมพ์ด้วยกระดาษต่างหาก และติดไว้ใต้ภาพ ไม่ควรใช้วิธีการเขียนไว้ด้วยปากกาหรือดินสอหลังภาพเป็นอันขาด นอกจากนี้ภาพข่าว ควรเป็นภาพ ที่มีเนื้อหามีชีวิตชีวา มีสามัญส านึกหรือศิลปะแห่งการถ่ายภาพ และสามารถบอกเรื่องราว ให้ผู้ดูรู้เรื่อง และเข้าใจได้ชัดเจน การส่งข่าวโดยจัดท าภาพข่าว เพื่อให้หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์ภาพเหล่านั้นลงประกอบด้วย ภ าพข่าวซึ่งมีส่วนที่เป็นเนื้อข่าวและรูปภ าพที่เกี่ยวข้องกับข่าวนั้น โดยมีค าอธิบ ายภ าพ ซึ่งบอกรายละเอียดก ากับไว้ใต้ภาพ เพื่อบอกเรื่องราวของข่าวนั้นให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ลักษณะของภาพข่าว 1. ภาพข่าวบุคคล มุ่ง “ใคร” 2. ภาพข่าวกิจกรรม มุ่ง “ท าอะไร” “เมื่อใด” และ “อย่างไร” 3. ภาพข่าวสถานที่ มุ่ง “ที่ไหน” การเขียนค าอธิบายภาพประกอบข่าว ค าอธิบายภาพ (Caption) คือ ข้อความอธิบายภาพที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เพื่อบอกให้ผู้อ่านได้ทราบว่าภาพนั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์อะไร เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจ ที่ถูกต้องแก่ผู้อ่านมากขึ้น ส่วนมากจะตอบค าถาม ใคร ท าอะไร เมื่อใด อย่างไร ที่ไหน และจะต้อง พิจารณาว่าสาระของภาพแต่ละภาพสื่อความหมายอะไรให้ผู้อ่านทราบมากที่สุด รายละเอียดแค่ไหน บางข้อที่ไม่ส าคัญและไม่ปรากฏก็อาจละไว้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความแตกต่างของ ภาพประกอบ หากภาพนั้นสื่อความหมายชัดเจนอยู่แล้วก็ไม่ต้องบรรยายซ้ าอีก หลักการในการเขียนค าอธิบายภาพประกอบข่าว 1. ภาพบุคคล เน้นที่บุคคลนั้นก าลังท าอะไร ควรอธิบายจากซ้ายไปขวาตามลักษณะ การอ่านของคน ต้องบอกให้ชัดเจนว่าบุคคลนั้น คือ ใคร มีความส าคัญอย่างไร และท าอะไรที่เป็นผล ต่อการประชาสัมพันธ์ 2. ภาพกิจกรรมที ่เกี ่ยวข้องกับข่าว จะต้องเน้นกิจกรรมเป็นส าคัญ ต้องอธิบาย ตามองค์ประกอบของข่าวที่เน้นว่า ใครก าลังท าอะไร 3. ภาพสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับข่าว เน้นสถานที่ ใครท าอะไร และที่ไหน


- 56 - 4. ภาพเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับข่าว เน้นความเป็นธรรมชาติ ไม่มีการจัดวางท่า จึงเป็นภาพที่สามารถบรรยายได้ในตัวของภาพ รูปแบบเอกสารภาพข่าวประชาสัมพันธ์ 1. ใช้กระดาษเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ขององค์กรหรือหน่วยงาน 2. ระบุชื่อผู้ส่งข่าวพร้อมสถานที่และเบอร์โทรศัพท์ 3. ระวันเดือนปีที่ส่งข่าว 4. จัดวางภาพข่าวไว้ในต าแหน่งใต้หัวกระดาษประมาณ 3 – 5 บรรทัด 5. พิมพ์ค าบรรยายภาพ โดยเริ่มจากพาดหัวข่าวไว้ด้านล่างภาพและกะระยะให้สวยงาม 6. เว้นขอบกระดาษ 7. เว้นระยะห่างระหว่างบรรทัดมากกว่าปกติ เพื่อให้บรรณาธิการตรวจสอบแก้ข้อความ ได้สะดวกและควรพิมพ์เน้นพาดหัวข่าวด้วยตัวอักษรหนา หรือขีดเส้นใต้เพื่อให้เห็นเด่นชัดจากค า บรรยาย 8. การบรรจุซอง ควรประกอบด้วยกระดาษการ์ด เพื่อป้องกันการช ารุด ลักษณะของภาพข่าวประชาสัมพันธ์ 1. มีความทันสมัย 2. เป็นภาพสีหรือภาพขาวด า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหน้าหนังสือพิมพ์ที่เราจะส่งไปขอความ อนุเคราะห์ลงเผยแพร่ว่า เป็นหน้าสีหรือหน้าขาวด า เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของหน้านั้นๆ 3. ขนาดของภาพข่าว ควรจะเป็นขนาด 5 x 7 หรือ 4 x 6 เพื่อให้เห็นรายละเอียด ชัดเจนและสะดวกส าหรับบรรณาธิการในการน าไปตัดส่วนหรือย่อขยายภาพต่อไป 4. สื่อความหมายดี กิจกรรมที่ปรากฏจะต้องแสดงความมีชีวิตชีวา ไม่เสแสร้างแกล้งท า 5. องค์ประกอบภาพดี และระยะภาพไม่ไกล เห็นบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่มากจนเกินไป


- 57 - ตัวอย่างรูปแบบของภาพข่าวประชาสัมพันธ์ (กระดาษขนาด A4) ชื่อและตราหน่วยงาน ที่ตั้งและโทรศัพท์หน่วยงาน ค าบรรยาย (Caption) พาดหัวข่าว.......................................................................................................... เนื้อหาข่าวโดยสรุป............................................................................................... ……………………....………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. ผู้ส่งข่าว.................................... วัน/เดือน/ปี ที่ส่งข่าว ฝ่ายประชาสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์...................... การพิจารณาคัดเลือกข่าวประชาสัมพันธ์ นักประชาสัมพันธ์ในแต่ละวันจะต้องไปบันทึกภาพกิจกรรมต่างๆ มากมาย ดังนั้น จะต้องคัดเลือกข่าวเพื่อส่งหนังสือพิมพ์ประชาสัมพันธ์ข่าว การพิจารณาคัดเลือกข่าวประชาสัมพันธ์ ประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้ ภาพข่าวประชาสัมพันธ์ ภาพขนาด 5 x 7 นิ้ว หรือ ภาพขนาด 4 X 6 นิ้ว


- 58 - 1. คุณภาพของข่าว เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบเบื้องต้นของนักประชาสัมพันธ์ คือ การเขียนข่าวที่มีคุณภาพก่อนที่จะจัดส่งไปยังหนังสือพิมพ์จะต้องพิจารณาในเรื่องของเนื้อหาของ ข่าวให้ละเอียด ถี่ถ้วน 2. การจัดส่งข่าว ต้องเลือกประเภทข่าวให้ถูกคอลัมน์ของข่าวนั้นๆ ค านึงถึงเวลาปิด ข่าวด้วย เพราะหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับมีเวลาปิดข่าวที่ไม่เหมือนกัน และในการส่งข่าวแต่ละครั้ง ไม่ควรส่งข่าวที่ละหลายๆ ข่าว หรือไม่ควรส่งข่าวบ่อยเกินไป ที่ส าคัญจะต้องว่า ใครชื่ออะไร ต าแหน่ง อะไร ก าลังท าหน้าที่และความรับผิดชอบในคอลัมน์ไหน ในหนังสือพิมพ์อะไรเพื่อจะจัดส่งให้ถูกบุคคล 3. หนังสือพิมพ์ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญที่สุดของการได้รับการคัดเลือกตีพิมพ์ เผยแพร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชา บรรณาธิการจะพิจารณาเรื่องราว หรือเนื้อความประชาสัมพันธ์ที่มีคุณค่าและควร จดจ า โดยเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้อ่านของหนังสือพิมพ์ บรรณาธิการจะใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาข่าว ในการจัดพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ดังนี้ 1. เป็นเรื่องของแหล่งข่าวของผู้เชี่ยวชาญที่บรรณาธิการรู้จักดี เช่น เป็นข่าวสารและ แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และอื่นๆ ซึ่งเรื่องนั้นๆ จะต้องมีความเหมาะสม สามารถ น าไปเผยแพร่ได้ในหนังสือพิมพ์ 2. นักประชาสัมพันธ์ต้องจัดหาข่าวหรือข้อมูลที่กว้าง ไม่จ ากัดแนวคิด เนื้อหา และ ส่งมาให้ทันในแต่ละวัน บรรณาธิการส่วนมากมีข่าวสาร บทความ และข้อมูลอื่นๆ เป็นจ านวนมากที่ ถูกส่งมายังหนังสือพิมพ์ ถึงแม้ว่านักประชาสัมพันธ์จะรู้ว่าสิ่งที่ส่งมานั้นไม่เคยถูกน าไปพิมพ์เผยแพร่ แต่ส่วนมากคาดหวังให้ผ่านสายตาบรรณาธิการ ซึ่งสุดท้ายอาจน าไปสู่การพิจารณาเพื่อพิมพ์ต่อไป 3. ข่าวหรือบทความประชาสัมพันธ์ขององค์กรหรือหน่วยงานที่ส่งมาหนังสือพิมพ์ ถ้านักป ระชาสัมพันธ์เขียนได้ดี บรรณ าธิการจะน ามาใช้ตีพิมพ์ได้ทันที แต่ถ้ามีเนื้อความ ที่มีรายละเอียดปลีกย่อยมากเกินไป ต้องใช้เวลาในการเรียบเรียงใหม่ โดยตัดทอนเอาเฉพาะข้อความ ที่ตองใช้และอ้างถึงแหล่งข่าวประชาสัมพันธ์ที่ส่งมา 4. ผลของการลดจ านวนบรรณาธิการของผู้พิมพ์หรือเจ้าของหนังสือพิมพ์ ท าให้ บรรณาธิการมีงานที่ต้องท ามาขึ้น ภายใต้สภาวะที่กดดันจากก าหนดวันพิมพ์เผยแพร่ ดังนั้นจึงต้อง อาศัยข่าวแจกหรือบทความจากแหล่งข่าวต่างๆ 5. เรื่องที ่เขียนส่งมายังหนังสือพิมพ์ และท าให้บรรณาธิการเข้าใจถึงภาพของ หน่วยงานหรือเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างดี จะเป็นประโยชน์ต่อการติดตาม ค้นหาแนวคิดของเรื่องและ


- 59 - สามารถน าเสนอได้เร็ว ดังนั้นข่าวแจกหรือบทความประชาสัมพันธ์ที่ส่งไปควรเขียนในภาพกว้างๆ แก่ บรรณาธิการ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการพิจารณาเพื่อลงพิมพ์เผยแพร่ ข่าวตัด (News Clipping) การตัดข่าว บทวิจารณ์ และบทความสารคดีที่ลงพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นการติดตามผลการด าเนินงานด้านสื่อมวลชนสัมพันธ์ว่าได้ผลเพียงไร เรื่องราวข่าวสารที่แจกไป หรือแถลงไปหรือส่งไปนั้นได้รับการตีพิมพ์บ้างหรือไม่ มากเพียงใด การตัดข่าว และบทวิจารณ์ต่างๆ รวบรวม เข้าแฟ้มไว้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยย่อมเป็นประโยชน์ส าหรับการด าเนินงานประชาสัมพันธ์ เพราะเป็นการติดตามผลการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชนและการตรวจสอบดูว่าสื่อมวลชนเสนอข่าว เกี่ยวกับกิจกรรมของเราอย่างไรบ้าง สื่อมวลชนและผู้อ่านมีความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจการของเรา อย่างไร รวมทั้งคอยตรวจสอบข่าวและความคิดเห็นที่อาจเป็นความเข้าใจผิดก่อให้เกิดความเสียหาย แก่กิจการหรือชื่อเสียงของหน่วยงาน เพื่อที่จะได้น าเสนอต่อฝ่ายบริหารเพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไข หรือแถลงชี้แจงให้สื่อมวลชนทราบและเข้าใจให้ถูกต้องต่อไป การจัดท าหน้าข่าวแต่ละข่าวจะเป็นการตัดข่าวแล้วมาติดลงบนกระดาษ A4 พร้อม แสดงรายละเอียด ที่มาของข่าว


ภาคผนวก


บรรณานุกรม ฉัตรวรุณ ตันนะรัตน์,(2546). การพูดเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 2 . กรุงเทพฯ : ส ำนักพิมพ์ มหำวิทยำลัยรำมค ำแหง สุพรรณนิกำร์ นนทำรักษ์,จิตวีร์ พันธ์แก้ว,ตะวัน พันธ์แก้ว,(2553). การถ่ายภายด้วยกล้อง Canon DSLR .พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงทพฯ. : บริษัทโปรวิชั่น จ ำกัด เว็ปไซด์: http//www.policy.doe.go.th., แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์. วันที่สืบค้นข้อมูล 17 พฤษภำคม 2555 เว็ปไซด์ : http//www.idis.ru.ac.th., แนวคิดเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์. วันที่สืบค้นข้อมูล 22 กรกฎำคม 2555 เว็ปไซด์ : http//www.kromchol.com/eoffice/law.htm.go.th., ระเบียบส านัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526. วันที่สืบค้นข้อมูล 25 กรกฎำคม 2555 เว็ปไซด์ : http//www.local.moi.go.th., พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. 2540. วันที่สืบค้นข้อมูล 30 กรกฎำคม 2555


Click to View FlipBook Version