BEST PRACTICE วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ ด้านการบริหารจัดการศึกษา ศึ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ศึ พัฒนาการ ปทุมธานี สำ นักงานเขตพื้นที่การศึกษา ศึ มัธยมศึกษาป ศึ ทุมธานี กระทรวงศึกษา ศึ ธิการ "TUPPT MODEL" การแก ้ ไขป ญหานักเรียนที่มีผลการเรียน 0, ร โดยใช้ TUPPT Model
คำนำ รายงานวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ด้านการบริหารจัดการศึกษา การแก้ไขปัญหานักเรียนที่มีผล การเรียน 0 ร โดยใช้ TUPPT Model โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง นวัตกรรมด้านการบริหารจัดการศึกษาที่ช่วยลดปัญหาการติด 0 ร ของนักเรียนในปีการศึกษา 2565 ซึ่งมี ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลต่อการปรับตัวและการเรียนรู้ ของนักเรียนหลังกลับมาเรียนในสถานการณ์ปกติแบบใหม่ (New Normal) โดยมีการดำเนินงานโดยใช้ TUPPT Model ประกอบด้วย การทำงานเป็นทีม (Team work: T) การบริหารที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุด (Ultimate Performance: U) การบริหารอย่างมีส่วนร่วม (Participation Management: P) ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: P) และการบูรณาการเทคโนโลยีในการบริหารจัดการและการจัด การเรียนการสอน (Technology Integration: T) รายงานฉบับนี้จึงได้อธิบายถึงความเป็นมา สภาพปัญหา จุดประสงค์ เป้าหมายของการดำเนินงาน กระบวนการปฏิบัติงานหรือขั้นตอนการทำงาน ผลการดำเนินการ ผลสัมฤทธิ์ประโยชน์ที่ได้รับ หลักการ ทฤษฎี แนวคิดในการพัฒนา แนวทางการพัฒนา บทเรียนที่ได้รับ (Lesson Learned) ข้อเสนอแนะ การเผยแพร่ผลงาน การได้รับการยอมรับ และภาพกิจกรรม เพื่อเป็นเอกสารประกอบการคัดเลือกประเมินผลวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ผู้นำเสนอหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารฉบับนี้จะสามารถอำนวยความสะดวกให้กับคณะกรรมการ ประเมินผลงานที่ปฏิบัติเป็นเลิศ (Best Practice) ได้เป็นอย่างดีและขอขอบคุณขอขอบคุณ คณะครู ผู้ปกครอง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่สนับสนุน ช่วยเหลือ และให้กำลังใจ จนผลงานประสบผลสำเร็จในครั้งนี้ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี
สารบัญ หน้า องค์ประกอบที่ 1 ด้านความสำคัญของรูปแบบหรือแนวทางการพัฒนานวัตกรรมการศึกษาของ สถานศึกษา 1 องค์ประกอบที่ ๒ ด้านกระบวนการพัฒนารูปแบบหรือแนวทางการพัฒนานวัตกรรมการศึกษาของ สถานศึกษา 2 องค์ประกอบที่ 3 ด้านผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามรูปแบบหรือแนวทางในการพัฒนานวัตกรรม การศึกษาของสถานศึกษา 17 ภาคผนวก 25 อ้างอิง 50
1 องค์ประกอบที่ 1 ด้านความสำคัญของรูปแบบหรือแนวทางการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา ของสถานศึกษา 1 ความเป็นมาและสภาพปัญหา การศึกษาเป็นหนึ่งในวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพเพื่อส่งเสริมการแข่งขันกับประเทศต่างๆ ในอนาคตทำให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้ารวมถึงการพัฒนาให้เป็นพลโลกที่ดี ปัจจุบันการจัดการศึกษาเป็นสิ่งที่ มีความท้าทายกับระบบการศึกษาไทยเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะผลกระทบจาก covid-19 ที่ทำให้ทุกคนต้องปรับสู่ การเรียนรู้แบบปกติใหม่ (New Normal) ส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ได้ ทันท่วงที โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี จึงมีแนวนโยบายในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัด การเรียนรู้บนความปกติใหม่ โดยการมีโครงการเกี่ยวกับการแก้ปัญหาผลการเรียนที่ติด 0 ร รวมไปถึงปรับการวัด และประเมินผลให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ผ่านมาสถานการณ์ Covid-19 ทำ ให้ทางโรงเรียนต้องมีการปรับเปลี่ยนการบริหารงานรวมถึงวิธีการดำเนินงานต่างๆอย่างมาก เช่น การจัดการ เรียนรู้ การวัดและประเมินผลสื่อการเรียนการสอนรวมไปถึงแหล่งเรียนรู้ที่ต้องพยายามนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ในการจัดการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ส่งผลให้นักเรียนมีผลการเรียนที่ติด 0 ร มาก ขึ้น ทางโรงเรียนจึงได้พยายามถอดบทเรียนและพัฒนาเป็นแนวปฏิบัติที่จะช่วยลดผลการเรียน 0 ร ลงเพื่อให้ เป็นไปตามค่าเป้าหมายที่สถานศึกษากำหนด จากปีการศึกษา 2564 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่ติด 0 ร จำนวน 7,936 รายวิชา 892 คน โดยติด 0 เป็นรายวิชา คิดเป็นร้อยละ 19.47 เป็นรายคน คิดเป็นร้อยละ 33.98 โรงเรียนจำเป็นจะต้อง แก้ปัญหาเรื่องนี้โดยเร่งด่วน โดยให้ครูผู้สอนนั้นวิเคราะห์สภาพปัญหาและจัดลำดับปัญหาเพื่อร่วมการวางแผนใน การแก้ไขจนนำมาสู่การพัฒนาและป้องกันไม่ให้มีผลการเรียน 0 ร ศึกษาปรากฏ จากการวางแผนป้องกันตาม การวิเคราะห์ศึกษาระบบทั้งปัจจัยภายในและภายนอก พบว่าหลายส่วนมีผลต่อผลการเรียนที่เป็น 0 ร ดังนั้น ฝ่ายบริหารจึงวางแผนวิเคราะห์ปัญหาที่ทำให้นักเรียนติด 0 ร และใช้คลินิก 5 กลุ่มสาระหลักมาช่วยใน การแก้ปัญหา ได้แก่ 1 คลินิกภาษาไทย 2 คลินิกคณิตศาสตร์ 3 คลินิกวิทยาศาสตร์ 4 คลินิกภาษาต่างประเทศ และ 5 คลินิกสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม โดยทั้ง 5 คลินิกนี้จะต้องวางแผนการดำเนินงานการวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนก่อนการเรียนการสอน เพื่อป้องกันและดูแลนักเรียนไม่ให้มีผลการเรียนที่เป็น 0 ร เกิดขึ้น ดังนั้น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี จึงได้นำรูปแบบ TUPPT Model โดยขับเคลื่อน ด้วย PDCA มาใช้ในการแก้ไขปัญหา ผลการเรียน 0 ร เพื่อลดจำนวนนักเรียนที่มีผลการเรียน ๐ ร ให้เป็นไปตาม ค่าเป้าหมายของโรงเรียน 2. แนวทางการแก้ปัญหาและการพัฒนา ผู้บริหารเรียกประชุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยแยกออกเป็นตามลำดับเริ่มจากการประชุมในกลุ่มผู้บริหาร หลังจากนั้นจะแบ่งงานลงมาที่กลุ่มบริหารวิชาการสะท้อนไปยังหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้แล้วหัวหน้ากลุ่มสาระ การเรียนรู้ จะสะท้อนไปถึงครูผู้สอนเพื่อให้มีส่วนร่วมในการวางแผนและกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนโดยกลุ่มสาระการเรียนรู้จะต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะต้องแก้ไขปัญหา 0 ร และเพิ่มผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนให้เป็นไปตามค่าเป้าหมายของสถานศึกษาโดยใช้ผลการวิเคราะห์ถึงปัจจัยภายในและภายนอก มาเป็นแนวทางนำไปสู่การเชื่อมโยงไปถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติและกำหนดรูปแบบแนวทาง 5 คลินิกแก้ไขผลการเรียน 0 ร
2 3. กรอบแนวคิดในการพัฒนา จากการที่ฝ่ายบริหารเรียกประชุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามลำดับนั้นแล้วงานกลุ่มบริหารวิชาการจะร่วม กำหนดทิศทางลงไปใน 5 กลุ่มสาระเพื่อกำหนดกรอบแนวคิดและกรอบการปฏิบัติงานเพื่อให้มีแนวทางใน การแก้ไขและกระบวนการในการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกันโดยจะใช้ ปัญหาที่เกิดจากปัจจัยทั้งภายในและ ภายนอกมาเป็นแนวทางในการดำเนินงานเพื่อที่การแก้ไขจะได้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้โดยใช้กรอบ ดำเนินแนวทางของ TUPPT Model มาแก้ปัญหาผลการเรียน 0 ร ดังนี้ ๑. การทำงานเป็นทีม (Team work) ได้แก่ ผู้บริหาร ครู บุคลากรทุกฝ่าย มีการประสานงาน มี บรรยากาศที่ดีของการพึ่งพาซึ่งกันและกัน มีการสื่อสาร ๒ ทาง การยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันทำงาน เป็นทีมและมีความจริงใจมุ่งผลสัมฤทธิ์ของสถานศึกษาเป็นหลัก ๒. การบริหารที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุด (Ultimate Performance) ดำเนินการโดยใช้ทรัพยากรต่าง ๆ และบุคลากรในการบริหารจัดการเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะการบริหารที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล มีการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของนักเรียนใน ทุกๆ ด้าน ๓. การบริหารอย่างมีส่วนร่วม (Participation Management) เป็นการบริหารที่ให้บุคลากรใน โรงเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาร่วมบริหารจัดการศึกษา ได้แก่ ผู้แทนจาก 5 องค์กรหลัก ประกอบด้วย 1. คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 2. สมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี 3. เครือข่ายผู้ปกครองโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี 4. ชมรมศิษย์เก่าลำลูกกา-เตรียม อุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี 5. ชมรมครูเก่าลำลูกกา-เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ๔. ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) เป็นการรวมตัว ร ว ม ใ จ รวมพลัง ร่วมมือกัน ในการช่วยเหลือ แนะนำให้กำลังใจกันของครู ผู้บริหาร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในโรงเรียน เพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนให้เกิดผลดี มีคุณภาพในยุคศตวรรษที่ 21 เกิดจากความเป็นตัวตนในวิชาชีพของ บุคลากรในโรงเรียนทุกคน ภายใต้โครงสร้างการบริหารจัดการของโรงเรียนและแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ๕. การบูรณาการเทคโนโลยีในการบริหารจัดการและการจัดการเรียนการสอน (Technology Integration) เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษาต่างๆ ลดการใช้ ทรัพยากร และอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา รวมถึงการใช้เทคโนโลยีใน การจัดการเรียนการสอนของครู เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนเต็มตามศักยภาพ 4. ประโยชน์ความสำคัญ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ได้นำรูปแบบ TUPPT M0del โดยขับเคลื่อนด้วย PDCA มาใช้ในการแก้ไขปัญหา ผลการเรียน 0 ร 1. เพื่อลดจำนวนนักเรียนที่มีผลการเรียน ๐ ร ให้เป็นไปตามค่าเป้าหมายของโรงเรียน 2. เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของโรงเรียน 3. มีการดำเนินงานร่วมกันจากทุก ๆ ฝ่ายไม่ว่าจะเป็นครูประจำวิชาหรือระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 4. มีการจัดทำข้อมูลสารสนเทศอย่างเป็นระบบสะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ 5. ช่วยให้สามารถดูผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้แบบออนไลน์
3 6. ช่วยให้ครูผู้สอนนั้นสามารถติดตามผลสัมฤทธิ์ของตนเองและจำนวน 0 ร ในรายวิชาของตนเองว่า ก่อนที่จะประกาศผลการเรียนนั้นอยู่ในเกณฑ์ใดโดยต้องเร่งแก้ไขในเรื่องใดเพื่อไม่ให้มีผลการเรียน 0 ร ปรากฏ หลังจากประกาศผลสอบปลายภาคเทอมนั้นเสร็จสิ้น 7. ครูผู้สอนวางแผนการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมาตลอดทั้งภาคเรียน ส่งผลให้การติดตามผลสัมฤทธิ์นั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสามารถแก้ไขปัญหาผลการเรียนที่มีปัญหา ได้อย่างมี ประสิทธิภาพแสดงให้เห็นถึงกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เป็นไปตามเป้าหมายและบรรลุวัตถุประสงค์ของ ครูผู้สอน องค์ประกอบที่ ๒ ด้านกระบวนการพัฒนารูปแบบหรือแนวทางการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา ของสถานศึกษา ๑. วัตถุประสงค์และเป้าหมายการพัฒนา ๑.1 เพื่อลดจำนวนนักเรียนที่มีผลการเรียน ๐ ร ให้เป็นไปตามนโยบายของโรงเรียน ๒. หลักการ ทฤษฎี แนวคิดในการพัฒนา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ได้ได้นำรูปแบบ TUPPT M0del โดยขับเคลื่อน ด้วย PDCA มาใช้ในการแก้ไขปัญหา ผลการเรียน 0 ร ได้ศึกษาหลักการ ทฤษฎี แนวคิดในการพัฒนา ดังนี้ 2.1 การทำงานเป็นทีม (Team work) Brill (1976 : 22) กล่าวว่า การทํางานเป็นทีม คือ การรวมกลุ่มทํางาน ซึ่งมีความชํานาญเฉพาะแต่ ละบุคคล โดยมีการกําหนดจุดมุ่งหมายร่วมกัน มีการติดต่อสื่อสาร มีความร่วมมือกัน ตัดสินใจร่วมกัน และใช้ ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ร่วมกันวางแผนให้สําเร็จ Schein (1985 : 199) กล่าวว่า ทีมงาน หมายถึง กลุ่มบุคคลที่รายงานต่อผู้บังคับบัญชาคน เดียวกัน หรือกลุ่มที่ประกอบด้วยบุคคลที่มีเป้าหมายการทํางานร่วมกัน มีหน้าที่สัมพันธ์กัน และไม่มีความสัมพันธ์ อย่างเป็นทางการ มาร่วมปฏิบัติงานให้เสร็จตามวัตถุประสงค์และงานดังกล่าวไม่สามารถทําสําเร็จตามวัตถุประสงค์ โดยบุคคลเพียงคนเดียว Paker (1990 : 16) การทํางานเป็นทีม หมายถึง กลุ่มบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันร่วมกัน ปฏิบัติงาน ให้เสร็จสมบูรณ์และคนกลุ่มนี้ยอมรับในวิธีการทํางานร่วมกัน วิราวรรณ รพีไพศาล (2550 : 150) กล่าวว่า การทํางานเป็นทีมเป็นการทํางานร่วมกันของสมาชิก ตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้การดําเนินกิจกรรมทั้งหลายบรรลุเป้าหมายอย่างเดียวกัน โดยที่สมาชิก ทุกคนในกลุ่มต่างมีจิตใจตรงกัน ร่วมมือกันทํางานอย่างเต็มความสามารถ มีการประสานงานกันอย่างดี เพื่อแก้ไข ปัญหาต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์สูงสุด ปริญญา ตันสกุล (2550 : 25) กล่าวว่า การทํางานเป็นทีม หมายถึง คณะบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่มารวมตัวกันทํางานร่วมกันให้ประสบผลสําเร็จ ไม่ว่าจะเป็นงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรืองานหลายๆอย่างก็ตาม
4 สรุปได้ว่า การทํางานเป็นทีม คือ ทีมเป็นกลุ่มบุคคลหรือคณะบุคคล ที่มารวมกันปฏิบัติงานอย่างใด อย่างหนึ่งตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เพื่อให้งานประสบผลสําเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กําหนด ทีมงานจะต้องเกิดจาก ความสมัครใจมิใช่บังคับ จะต้องมีความเข้าใจ ความผูกพัน ร่วมกันคิด ร่วมกันทํา ภายในกลุ่มต้องแบ่งหน้าที่ความ รับผิดชอบในการปฏิบัติงานร่วมกันอย่างชัดเจน และคนที่มาร่วมกันนั้น ต้องมีความรู้ ความสามารถ มีการติดต่อ ประเมินผลการทํางานอยางสม่ำเสมอ มีการปฏิสัมพันธ์กันภายในกลุ่มและกลุ่มอื่นๆอยู่ตลอดเวลา จึงจะทําให้การ ทํางานเป็นทีมมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ลักษณะการทำงานเป็นทีม Stephen P Robbins (2550 : 199) ได้ให้องค์ประกอบของทีมที่มีประสิทธิภาพไว้ว่า ประกอบด้วย 8 ประการ คือ 1. มีเป้าหมายชัดเจน สมาชิกในทีมควรรับรู้และเข้าใจวิธีที่จะปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายที่น่าท้า ทายนั้น 2. สมาชิกมีความสามารถเฉพาะตัว และต้องมีมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่นที่จะปฏิบัติงานร่วมกันเป็น อย่างดีด้วย 3. มีความเชื่อถือและไว้วางใจซึ่งกันและกันของสมาชิกในทีม โดยบรรยากาศของความน่าเชื่อถือ และไว้วางใจต่อกันนี้อาจเกิดจากการสร้างวัฒนธรรมองค์การและความสามารถของผู้บริหารทีม 4. มีความภักดีและอุทิศตนให้ทีม มีความเต็มใจที่จะปฏิบัติทุกอย่างเพื่อความสำเร็จของทีม 5. มีการติดต่อสื่อสารที่ดี มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างต่อเนื่อง และจะสะท้อน ความเห็นเพื่อทบทวนและปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ 6. มีความสามารถในการเจรจาต่อรองจะก่อให้เกิดประสิทธิผลที่ดีของทีม สมาชิกมีความรอบรู้ งานหลายอย่าง มีความยืดหยุ่น สามารถทำงานแทนกันได้ และพร้อมที่จะเผชิญกับงานหรือปัญหาต่าง ๆ ได้ หลากหลาย 7. ภาวะผู้นำในการจูงใจ ให้สมาชิกทำตามได้ในทุกสถานการณ์โดยทำความเข้าใจในเรื่อง เป้าหมายของทีมให้ชัดเจน จูงใจหรือกระตุ้นให้ผู้บังคับบัญชาเกิดความกระตือรือร้น ปลุกเร้าให้เกิดความมั่นใจและ ช่วยเหลือ รวมถึงแนะนำถึงวิธีปฏิบัติ โดยผู้นำที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมแบบเผด็จการ แต่จะทำหน้าที่ เหมือนครู (Coach) หรือเป็นผู้อำนวยความสะดวกและไม่ทำตัวเป็นนาย 8. บรรยากาศที่ดีภายในทีม เช่น มีเครื่องมือในการปฏิบัติงานครบถ้วน มีประสิทธิภาพ สถานที่ และบรรยากาศการทำงานเอื้ออำนวย มีการจัดฝึกอบรมทักษะที่จำเป็นให้แก่สมาชิกในทีม จัดระบบระเบียบการ ทำงาน มีระบบการจูงใจ และประเมินผลงานอย่างเหมาะสม Woodcock (1989 : 75-116) ได้กล่าวถึงกระบวนการทีม ที่ทําให้การทํางานเป็นทีม มีประสิทธิภาพ (effective teamwork) มีองค์ประกอบที่สําคัญ 11 ประการ คือ 1) บทบาทที่สมดุล (balanced roles) 2) วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกัน (clear objective and agree goals) 3) การเปิดเผยต่อกันและการเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหา (openness and confrontation) 4) การสนับสนุนและ ความไว้วางใจต่อกัน (support and trust) 5) ความร่วมมือและการใช้ความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์
5 (cooperation and conflict) 6) การปฏิบัติงานที่ชัดเจน (sound procedures) 7) ภาวะผู้นําที่เหมาะสม (appropriate leadership) 8) การทบทวนการปฏิบัติงานอยางสมํ่าเสมอ (regular review) 9) การพัฒนาตนเอง (individual development) 10) ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม (sound inter-group relation) 11) การสื่อสาร ที่ดี (good communications) ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า กระบวนการของทีมเป็นองค์ประกอบที่สําคัญประการหนึ่งที่ส่งผลให้การทํางาน ของทีมประสบความสําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนด โดยกระบวนการของทีมที่ดีควรประกอบด้วย 1) การกําหนด วัตถุประสงค์ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกันมีความชัดเจนมีความเป็นไปได้ 2) ส่งเสริมการเปิดเผยต่อกัน การยอมรับซึ่งกันและกันและการเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหาพัฒนาการทํางาน 3) การสนับสนุน ส่งเสริม และ ให้ความไว้วางใจต่อกัน 4) ความร่วมมือและการใช้ความขัดแยงในทางสร้างสรรค์เป็นประโยชน์ต่อทีม 5) การปฏิบัติงานและการตัดสินใจที่ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ 6) การตรวจสอบทบทวนผลงานและวิธีการ ทํางาน 7) การพัฒนาการทํางานของทีม 8) การสร้างความสัมพันธระหว่างกลุ่มในการทํางานเป็นทีม 9) การสร้าง หรือ การพัฒนาระบบติด่ตอสื่อสารของทีม ตลอดจนเลือกวิธีการติดต่อสื่อสารที่เหมาะสมกับขนาดหรือลักษณะ ความซับซ้อนของทีม นอกจากนี้การติดต่อสื่อสารในทีมควรมีลักษณะเปิดเผย เปิดโอกาส ให้เกิดการมีส่วนร่วม มี บรรยากาศที่ดีเป็นมิตร มีการแลกเปลี่ยนขอมูลเพื่อการตรวจสอบกัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของทีมได้ 2.2 การบริหารที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุด (Ultimate Performance) การบริหารคือ การดําเนินงานให้บรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ โดยอาศัยปัจจัยต่าง ๆ อันได้แก่ คือ คน (Man) เงิน (Money) วัสดุสิ่งของ (Material) และวิธีการปฏิบัติงาน (Method) เป็นอุปกรณ์ใน การดําเนินงาน (สุธี สุทธิสมบูรณ์ และสมาน รังสิโยกฤษฎ์, 2536:12) การบริหาร หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ การนําทั้งศาสตร์และศิลป์มาใช้ในการทํางานร่วมกัน เพื่อความสําเร็จใน เป้าหมายขององค์การที่กําหนดไว้โดยอาศัยปัจจัยการบริหารอย่างเหมาะสมและ ใช้กระบวนการบริหารอย่างมี ระบบ (ศจีอนันต์นพคุณ, 2542: 3) การบริหารเป็นกระบวนการสั่งการ และควบคุมกิจกรรมของสมาชิกในองค์การรูปนัยเพื่อ วัตถุประสงค์ในการทําให้เป้าหมายและจุดมุ่งหมายของสถาบันสําเร็จผล (ชาญชัย อาจิณ สมาจาร, 2540: 11) ประสิทธิภาพ หมายถึงความสามารถในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าเพื่อการบรรลุ เป้าหมาย ประสิทธิภาพจึง มักถูกวัดในรูปแบบของต้นทุนหรือจํานวนทรัพยากรที่ใช้ไปเมื่อเทียบกับ ผลงานหรือผลผลิตที่ได้ เช่น ต้นทุน แรงงาน เวลาที่ใช้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (วิทยา ด่าน ธํารงกูล, 2546: 34) ยุวนุช กุลาตี(2548) ให้ความหมายประสิทธิภาพ หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่นำเข้า (Input) และผลลัพธ์ที่ออกมา(Output) เพื่อสร้างให้เกิดต้นทุนสำหรับทรัพยากรต่ำสุดซึ่งเป็น การกระทำ อย่าง หนึ่งที่ถูกต้อง (Doing things right) โดยคำ นึงถึงวิธีการ (Means)ใช้ทรัพยากร (Resources)ให้เกิดการประหยัด หรือสิ้นเปลืองน้อยที่สุด จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทางโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ได้ให้ ความหมายของการบริหารโดยเน้นประสิทธิภาพสูงสุดไว้ว่า การใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการดำเนินงานอย่างมี ระบบให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อผลตอบแทนสูงสุด
6 2.3 การบริหารอย่างมีส่วนร่วม (Participation Management) สวอนสเบิร์ก (Swanaburg, 1996 : 391-394 ) แบ่งองค์ประกอบของการบริหารแบบมีส่วนร่วม ดังนี้ 1. การไว้วางใจกัน (Trust) ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของการมีส่วนร่วม 2. ความยึดมั่นผูกพัน (Commitment) 3. การตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ร่วมกัน (Goals and Objectives) 4. ความเป็นอิสระต่อความรับผิดชอบในงาน (Autonomy) ไลเคิร์ท (Likert, 1961 : 223 ) ได้แสดงให้เห็นสาระสำคัญของการบริหารแบบมีส่วนร่วม ดังนี้ 1. ผู้บังคับบัญชารับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ใต้บังคับบัญชา 2. ผู้บังคับบัญชากระตุ้นจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชาให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติงาน 3. ระบบการติดต่อสื่อสารภายในองค์การมีความคล่องตัวเป็นไปโดยอิสระ 4. ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชามีปฏิกิริยาโต้ตอบกันอย่างเปิดเผยและโดยกว้างขวาง เกี่ยวกับเป้าหมายขององค์การ การปฏิบัติงานและกิจกรรม ต่างๆภายในองค์การ 5. การตัดสินใจต่าง ๆ กระทำโดยกลุ่มในทุกระดับขององค์การเปิดโอกาสให้กลุ่มเข้ามามีส่วน ร่วมในการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน 6. การควบคุมงานมีลักษณะกระจายไปในหมู่ผู้ร่วมงานให้มีการควบคุมกันเองและเน้นในเรื่อง การแก้ไขปัญหาเป็นหลัก 7. ผู้บังคับบัญชาเห็นความสำคัญของการ พัฒนาพนักงานโดยการฝึกอบรมเพื่อให้การทำงานมี ผลดีที่สุดสูงสุดและจำเป็นตามเป้าหมาย วิลเลียม พีแอนโธนี (William P. Anthony,1977) กล่าวว่า การบริหารแบบมีส่วนร่วม ผู้บริหารจะ ปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงานให้ได้รับรู้ปัญหาและร่วมตัดสินใจและให้ผู้ร่วมงานเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงาน ร่วมกัน ไบรแมน (Bryman, 1986 : 139) ได้เสนอแนวทางในการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมที่จะมีผลต่อ ทัศนคติการปฏิบัติงานและการกระตุ้นจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชาไว้ 4 ประการ คือ 1. บรรยากาศของการมีส่วนร่วมควรจะต้องทำให้แนวทางที่จะไปสู่เป้าหมายมีความชัดเจน ยิ่งขึ้น และบรรยากาศจะมีลักษณะของความไม่เป็นทางการมากกว่า 2. ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถเลือกเป้าหมายที่มีคุณค่า ดังนั้นผู้บังคับบัญชาควรเพิ่มเป้าหมาย ส่วนบุคคล (Individual Goal)กับเป้าหมายองค์การ (Organization Goal) ให้เท่าเทียมกัน 3. ผู้มีส่วนร่วมจะเพิ่มการควบคุมงานมากขึ้นถ้ามีแรงจูงใจและความเป็นอิสระเพิ่มขึ้นซึ่งจะทำ ให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความเพียรพยายามในการปฏิบัติงานมากขึ้น 4. เมื่อบุคคลเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ เขาจะมี Ego- involved
7 สรุปได้ว่าการบริหารแบบมีส่วนร่วมโดยผู้บังคับบัญชารับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของ ผู้ใต้บังคับบัญชา มีการกระตุ้นจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชาให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติงาน การตัดสินใจ ต่าง ๆ เปิด โอกาสให้กลุ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน มีความไว้วางใจ ยึดมั่น และการตั้งเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ร่วมกัน บรรยากาศของการมีส่วนร่วมควรจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้มีส่วนร่วมจะเพิ่ม การควบคุมงานมากขึ้นถ้ามีแรงจูงใจและความเป็นอิสระ ซึ่งจะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความเพียรพยายามใน การปฏิบัติงาน ส่งผลให้งามบรรลุตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี มีการบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participation Management) ที่ให้บุคลากรในโรงเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาร่วมบริหารจัดการศึกษา ได้แก่ ผู้แทนจาก 5 องค์กรหลัก ประกอบด้วย 1) คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) สมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียน เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี 3) เครือข่ายผู้ปกครองโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี 4)ชมรมศิษย์เก่าลำลูกกาเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี 5) ชมรมครูเก่าลำลูกกา-เตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการ ปทุมธานี 2.4 ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) Fullan (1999) ได้กล่าวว่า PCL เป็นอำนาจที่การสร้างพลังมวลชนเริ่มจากภาวะผู้นําร่วมของครู เพื่อขับเคลื่อนการปรับปรุงและพัฒนาสถานศึกษา Southwest Educational Development Laboratory (1997) ได้กล่าวว่า ชุมชนการเรียนรู้ทาง วิชาชีพ คือ การพัฒนาคุณภาพครูโดยใช้วิธีการให้ครูร่วมมือกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งในด้านความรู้เกี่ยวกับเนื้อหา สาระวิชา ด้านประสบการณ์การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประสิทธิผลต่อการเรียนรู้ของ ผู้เรียนโดยการดำเนินงานชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาสมรรถนะและเพิ่มประสิทธิภาพครูให้ เป็นครูมืออาชีพ จิระวดี สินทร (2562) ได้กล่าวว่า ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ หมายถึง การรวมตัว รวมใจ รวมพลัง ร่วมทำและร่วมเรียนรู้กันของผู้มีวิชาชีพเดียวกันบนพื้นฐานวัฒนธรรม ความสัมพันธ์แบบกัลยาณมิตรสู่ คุณภาพการจัดการเรียนรู้ที่เน้นความสำเร็จหรือประสิทธิผลของผู้เรียนเป็นสำคัญและความสุขของการทำงาน ร่วมกันของสมาชิกในองค์กร สรุปได้ว่า ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ( Professional Learning Community: PLC) หมายถึง การรวมตัว รวมใจ ร่วมกันเรียนรู้โดยเปิดโอกาสและสนับสนุนให้สมาชิกเป็นผู้นำในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งในด้าน ความรู้ ประสบการณ์ มีการเสนอความคิดเห็นด้วยกัลยาณมิตรโดยสมาชิกในชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพนั้นมี เป้าหมายร่วมกัน คือ การพัฒนาผู้เรียน ตนเอง และองค์กรสู่ความสำเร็จ กระบวนการ PLC (Professional Learning Community) มีพื้นฐานแนวคิดมาจากภาคธุรกิจ เกี่ยวกับความสามารถขององค์กรในการเรียนรู้ (Thompson, S. C., Gregg, L., and Niska, J. M., 2004) ชุมชน การเรียนรู้ทางวิชาชีพว่าเป็นวิธีการที่ผู้บริหาร ผู้ร่วมงาน และคณะครูร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาการ จัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้บรรลุตาม เป้าหมายทางการศึกษาที่กำหนดไว้ ด้วยวิธีการที่มีขั้นตอนมีข้อตกลง ร่วมกันของสมาชิก อันจะนำไปสู่ผลประโยชน์ที่นักเรียน ครู ผู้บริหาร และองค์กรหรือโรงเรียนจะได้รับอย่างมี ประสิทธิภาพ
8 การแบ่งระดับของชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ PLC สามารถแบ่งระดับได้ 3 ระดับ คือ ระดับสถานศึกษา ระดับเครือข่าย และระดับชาติ โดยแต่ละ ลักษณะจะแบ่ง ตามระดับของความเป็น PLC ย่อย ดังนี้ 1) ระดับสถานศึกษา (School Level) คือ PLC ที่ขับเคลื่อนในบริบทสถานศึกษา หรือโรงเรียน สามารถแบ่งได้ 3 ระดับย่อย (Sergiovanni, 1994) คือ 1.1 ระดับนักเรียน (Student Level) ซึ่งนักเรียนจะได้รับการส่งเสริมและร่วมมือให้เกิดการ เรียนรู้ขึ้น จากครูและเพื่อนนักเรียนอื่นให้ทำกิจกรรมเพื่อแสวงหาคำตอบที่สมเหตุสมผล สำหรับตน นักเรียนจะ ได้รับการพัฒนาทักษะที่สำคัญ คือ ทักษะการเรียนรู้ 1.2 ระดับผู้ประกอบวิชาชีพ (Professional Level) ประกอบด้วยครูผู้สอนและผู้บริหารของ โรงเรียนโดยใช้ฐานของ “ชุมชนแห่งวิชาชีพ” เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ของชุมชน จึงเรียกว่า “ชุมชนการเรียนรู้ทาง วิชาชีพ” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญอย่างยิ่งที่ทุกคนในโรงเรียนร่วมกันพิจารณา ทบทวนเรื่องนโยบาย การปฏิบัติ และ กระบวนการบริหารจัดการต่างๆ ของโรงเรียนใหม่อีกครั้ง โดยยึดหลักในการปรับปรุงแก้ไขสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้ สามารถ บริการด้านการเรียนรู้แก่นักเรียนได้อย่างมีประสิทธิผล อีกทั้ง เพื่อให้การปรับปรุงแก้ไข้ดังกล่าว นำมาสู่ การสนับสนุนการปฏิบัติ งานวิชาชีพของครูผู้สอน และผู้บริหารให้มีคุณภาพและประสิทธิผล สูงยิ่งขึ้น มีบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมของการทำงานที่ดีต่อกันของทุกฝ่าย 1.3 ระดับการเรียนรู้ของชุมชน (Learning Community Level) ครอบคลุมถึงผู้ปกครอง สมาชิกชุมชนและผู้นำชุมชน โดยบุคคลกลุ่มนี้จำเป็นต้องมีส่วนเข้ามาร่วมสร้าง และผลักดัน วิสัยทัศน์ของโรงเรียน ให้บรรลุผลตามเป้าหมาย กล่าวคือ ผู้ปกครองนักเรียน ผู้อาวุโสในชุมชนตลอดจนสถาบันต่างๆ ของชุมชนเหล่านี้ ต้องมีส่วนร่วมในการส่งเสริมเป้าหมายการเรียนรู้ของชุมชนและโรงเรียน กล่าวคือ ผู้ปกครองมีส่วนร่วมทางการ ศึกษาได้โดยการให้การดูแลแนะนำการเรียนที่บ้านของนักเรียน รวมทั้งให้การสนับสนุนแก่ครูและผู้บริหารสถานศึกษา ในการจัดการเรียนรู้ ให้แก่บุตรหลานของตน ผู้อาวุโสในชุมชนสามารถเป็นอาสาสมัคร ถ่ายทอดความรู้ 2) ระดับกลุ่มเครือข่าย (Network Level) คือ PLC ที่ขับเคลื่อนในลักษณะการรวมตัวกันของกลุ่ม วิชาชีพจากองค์กร หรือหน่วยงานต่างๆ ที่มุ่งมั่นร่วมกันสร้างชุมชน เครือข่าย ภายใต้ วัตถุประสงค์ร่วม คือ การ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้กำลังใจ สร้างความสัมพันธ์และพัฒนาวิชาชีพร่วมกัน อาจมี เป้าหมายที่ เป็นแนวคิดร่วมกันอย่างชัดเจน สามารถแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ 2.1 กลุ่มเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบัน คือ การตกลงร่วมมือกันในการพัฒนาวิชาชีพครู ระหว่างสถาบัน โดยมองว่าการร่วมมือกันของสถาบันต่างๆ จะทำให้เกิดพลังการขับเคลื่อน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทางวิชาชีพ การแลกเปลี่ยน หรือร่วมลงทุนด้านทรัพยากร และการเกื้อหนุนเป็นกัลยาณมิตร คอยสะท้อนการ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน กรณีตัวอย่างเช่น กรณี ศึกษาการจัด PLC เป็นกลุ่มของโรงเรียนในประเทศสิงคโปร์ เพื่อร่วม พัฒนาแลกเปลี่ยนและสะท้อนร่วมกันทางวิชาชีพ เป็นต้น 2.2 กลุ่มเครือข่ายความร่วมมือของสมาชิกวิชาชีพครู คือ การจัดพื้นที่เปิดกว้างให้สมาชิกวิชาชีพ ครูที่มีอุดมการณ์ร่วมกันในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของตนเองเพื่อการเปลี่ยนแปลง เชิงคุณภาพของผู้เรียน เป็นหัวใจสำคัญ สมาชิกที่รวมตัวกัน ไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับสังกัด แต่จะตั้งอยู่บนความมุ่งมั่น สมัครใจ ใช้อุดมการณ์ ร่วมเป็นหลักในการรวมกันเป็น PLC กรณีตัวอย่าง เช่น PLC “ครูเพื่อศิษย์” ของมูลนิธิสดศรี สฤษดิ์วงศ์ (มสส.) ที่สร้างพื้นที่ส่วนกลางสำหรับวิชาชีพครูให้จับมือร่วมกันเป็นภาคี ร่วมพัฒนา “ครูเพื่อศิษย์” มุ่งสร้างสรรค์ นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย (วิจารณ์ พานิช, 2555) เป็นต้น
9 3) ระดับชาติ (The National Level) คือ PLC ที่เกิดขึ้น โดยนโยบายของรัฐที่มุ่งจัดเครือข่าย PLC ของชาติเพื่อขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของวิชาชีพ โดยความร่วมมือของ สถานศึกษา และครู ที่ผนึก กำลังร่วมกันพัฒนาวิชาชีพ ภายใต้ การสนับสนุนของรัฐ ดังกรณีตัวอย่าง นโยบายวิสัยทัศน์เพื่อ ความร่วมมือของ กระทรวงศึกษาธิการประเทศสิงคโปร์ (MOE) (2009) รัฐจัดให้มี PLC ชาติสิงคโปร์เพื่อมุ่งหวังขับเคลื่อนแนวคิด “สอนให้น้อย เรียนรู้ให้มาก” (Teach Less, Learn more) ให้เกิดผลสำเร็จ เป็นต้น ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ประกอบด้วยลักษณะ 5 ประการ (Hord, S. M., Roussin, J. L., & Sommers, W. A., 2010) คือ 1. กำหนดค่านิยมและวิสัยทัศน์ร่วมกัน (Shared Values and Vision) ที่ผ่านมาค่านิยมและ วิสัยทัศน์ของโรงเรียนเป็นข้อกำหนดที่ฝ่ายบริหารเป็นผู้ดำเนินการเพื่อให้ครูและคณะทำงาน ร่วมกันปฏิบัติเพื่อไปสู่ เป้าหมายของโรงเรียน ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่กำหนด การให้ครูคณะทำงานมีส่วนร่วมในการกำหนด ค่านิยมและวิสัยทัศน์ในการทำงานร่วมกัน จึงมีความสำคัญอย่างมาก ในการนำไปปฏิบัติเพื่อให้บังเกิดผล 2. ร่วมกันกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ (Intentional Collective Learning) โดยผู้อำนวยการ โรงเรียน ครู และนักการศึกษาตลอดจนผู้ร่วมงานทุกฝ่ายร่วมกันสืบเสาะถึงปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน ร่วมกัน สนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อสรรสร้างวิธีการในการแก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน 3. สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการเป็นผู้นำ (Supportive and Shared Leadership) การ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนจะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดีนั้น ฝ่ายบริหาร ประกอบด้วยผู้อำนวยการ โรงเรียน และรองผู้อำนวยการโรงเรียนต้องมอบความไว้วางใจให้ครูและผู้ร่วมงานทุกฝ่ายใน โรงเรียนมีส่วนร่วมใน การเป็นผู้นำ มีอำนาจ และการตัดสินใจร่วมกัน 4. การสนับสนุนสภาวะแวดล้อม (Supportive Condition) สภาวะแวดล้อมในการสนับสนุน การเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ประกอบด้วยสองส่วนคือ สภาพแวดล้อมด้านกายภาพ เช่น เวลา ขนาดของโรงเรียน กฎเกณฑ์ในการจัดการเรียนการสอน เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณา ประกอบในการสร้างชุมชน แห่งการเรียนรู้ และความสามารถของบุคคลทั้งด้านสติปัญญา และทักษะก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การสร้าง ชุมชนแห่งการเรียนรู้ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน 5. การร่วมกันปฏิบัติงานส่วนบุคคล (Shared Personal Practice) การที่ครูได้มีส่วนร่วมใน การสังเกตชั้นเรียน บันทึกกระบวนการปฏิบัติงาน และร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อภิปรายชี้แนะ ตลอดจนการให้ความ ช่วยเหลือในลักษณะของเพื่อนช่วยเพื่อนที่ปราศจากการประเมินและการตัดสินคุณค่า การปฏิบัติงานจะทำให้การ สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ในโรงเรียนประสบความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า PLC แบ่งระดับได้ 3 ระดับ ได้แก่ 1) ระดับสถานศึกษา ซึ่งแบ่งออกเป็น ระดับ นักเรียน ระดับผู้ประกอบวิชาชีพ และระดับการเรียนรู้ของชุมชน 2) ระดับระดับกลุ่มเครือข่าย โดยแบ่งเป็นกลุ่ม เครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันและกลุ่มเครือข่ายความร่วมมือของสมาชิกวิชาชีพครู 3) ระดับชาติ โดย ประกอบด้วย 5 ลักษณะ ได้แก่การกำหนดค่านิยมและวิสัยทัศน์ร่วมกัน การร่วมกันกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ การสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการเป็นผู้นำ การสนับสนุนสภาวะแวดล้อมและการร่วมกันปฏิบัติงานส่วนบุคคล โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำเนินการคือการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
10 2.5 การบูรณาการเทคโนโลยีในการบริหารจัดการและการจัดการเรียนการสอน (Technology Integration) ความหมายของเทคโนโลยี เทคโนโลยี หมายถึงการนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์เป็นระบบเพื่อใช้ปฏิบัติใน การแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ (มนตรี แย้มกสิกร, 2536: 4) กล่าวโดยสรุป เทคโนโลยี หมายถึง การนำเอาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ เทคนิควิธีการใหม่ ๆ มาใช้ในกระบวน การเรียนการสอน เพื่อช่วยแก้ปัญหาในการเรียนการสอนและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน เพื่อให้การเรียน การสอนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ความหมายของการบริหารจัดการ คำว่า การบริหาร (Administration) มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน “Administatrae” หมายถึง ช่วยเหลือ (Assist) หรืออำนวยการ (Direct) การบริหารมีความสัมพันธ์หรือมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “Minister” ซึ่งหมายถึง การรับใช้หรือผู้รับใช้ หรือผู้รับใช้รัฐ คือ รัฐมนตรี สำหรับความหมายดั้งเดิมของคำว่า Administer หมายถึง การติดตามดูแลสิ่งต่าง ๆ (วิรัช วิรัชนิภาวรรณ, 2552: 11-12) กูด (Good, 1973: 13) ได้ให้ความหมายว่า การบริหาร หมายถึง เทคนิคและวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินงาน ในองค์การทางการศึกษา เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ วิโรจน์ สารรัตนะ (2555: 1) อธิบายว่า การบริหาร หมายถึง กระบวนการที่เป็นหน้าที่ทาง การบริหาร ประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์การ และการควบคุมบุคลากรและทรัพยากรทางการบริหาร ให้ ดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล กล่าวโดยสรุป การบริหาร หมายถึง การดำเนินงานขององค์กร โดยนำกระบวนการการบริหารจัดการ ได้แก่ การวางแผน การจัดองค์การ การควบคุม การประสานงาน การเป็นผู้นำ การประเมินผล และการจูงใจใน การปฏิบัติงาน มาใช้อย่างเป็นกระบวนการเพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ การบริหารเทคโนโลยีสำหรับสถานศึกษา แนวทางการบริหารเทคโนโลยีสำหรับสถานศึกษา ตามแนวคิดของ Sheninger (2014) ได้อธิบายว่าประกอบด้วย การนำเทคโนโลยีมาใช้ ดังต่อไปนี้ 1) การสื่อสาร (Communication) ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับครู ผู้เรียน หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในเวลาจริงผ่านอุปกรณ์ที่หลากหลายและไม่เป็นการสื่อสารทางเดียวหรือสองทาง โดย สามารถประชาสัมพันธ์หรือรายงานการดำเนินงานต่าง ๆ ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ที่มีความหลากหลาย ไม่ เสียค่าใช้จ่าย และเป็นช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สามารถสื่อสารกับสาธารณชนและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ด้วยกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและทันทีทันใด 2) การประชาสัมพันธ์ (Public relations) ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องทำหน้าที่เป็นแกนนำ ในการนำเสนอหรือประชาสัมพันธ์เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา เน้นไปที่การประชาสัมพันธ์ในเชิงบวก โดยใช้เครื่องมือสื่อสังคมออนไลน์ เช่น ประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊กของสถานศึกษา
11 3) การสร้างภาพลักษณ์ (Branding) สำหรับสถานศึกษาภาพลักษณ์หรือแบรนด์ คือ ความเชื่อมั่น ในคุณภาพมาตรฐานการศึกษาของผู้ปกครอง ชุมชน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งในปัจจุบันและอนาคต ผู้บริหารสถานศึกษาต้องใช้ประโยชน์จากเครื่องมือสื่อสังคมออนไลน์เพื่อสร้างภาพลักษณ์หรือแบรนด์ในเชิงบวก เน้นมุมมองด้านบวกของวัฒนธรรมในสถานศึกษา เพิ่มความภาคภูมิใจให้กับชุมชน ช่วยรักษาความเชื่อมั่นให้กับ ผู้ปกครอง เมื่อมองหาสถานที่ที่จะส่งบุตรหลานเข้าเรียนจะได้นึกถึงเป็นอันดับแรก 4) ความผูกพันและการเรียนรู้ของผู้เรียน (Student engagement of learning) ความสำเร็จของ การจัดการศึกษา คือ การที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และการมีส่วนร่วม โดยแนวทางที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้และการมี ส่วนร่วมของผู้เรียน ครูต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการสอน โดยมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างชุดทักษะที่จำเป็นในการใช้ ชีวิตประจำวันและโลกอนาคต ทั้งการสื่อสาร การทำงานร่วมกัน ความคิดสร้างสรรค์ การรู้เท่าทันสื่อ การเชื่อมโยง กับโลก การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการแก้ปัญหาที่ตรงกับความต้องการของสังคม 5) การพัฒนาสู่ความเป็นมืออาชีพ (Professional growth of development) ด้วยการเพิ่มขึ้น ของสื่อสังคมออนไลน์ สถานศึกษาไม่จำเป็นต้องเป็นโกดังเก็บข้อมูล ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถสร้างเครือข่าย การเรียนรู้ได้เอง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการการเรียนรู้ที่หลากหลาย การจัดหาทรัพยากร การเข้าถึงความรู้ การรับความคิดเห็น การติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญทั้งนักการศึกษาและนักปฏิบัติเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ โดยการ ใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการพัฒนาความเป็นครูและผู้บริหารสถานศึกษามืออาชีพ 6) การปรับวิสัยทัศน์สิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Re-envisioning learning spaces and environments) เมื่อผู้บริหารสถานศึกษาเข้าใจบทบาทหลักของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในสถานศึกษาแล้ว เพื่อให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ขั้นต่อไปคือการริเริ่มเปลี่ยนแปลงพื้นที่การเรียนรู้และสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนต่อ การพัฒนาทักษะที่จำเป็นและมีความสอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริงโดยการกำหนดวิสัยทัศน์และแผนกลยุทธ์ ในการสร้างพื้นที่การเรียนรู้และปรับสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา จัดหาและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ที่เหมาะสม ทั้ง แหล่งเรียนรู้ภายในสถานศึกษา 7) การสร้างโอกาส (Opportunity) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาที่จะค้นหาวิธีการ ปรับปรุงสถานศึกษา และการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของตนเอง ครู และบุคลากรอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นที่การ ใช้ประโยชน์การเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี เพิ่มโอกาสในการปรับปรุงวิธีการทำงานหรือวัฒนธรรมของสถานศึกษา หลาย ๆ ด้าน สุกัญญา แช่มช้อย (2561: 70-72) ได้นำแนวคิดของ Sheninger (2014) มาสรุปเป็นแนว ทางการนำเทคโนโลยีมาใช้สำหรับการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลในบริบทของสังคมไทย โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางหลักคือ แนวทางที่ 1 การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการสถานศึกษา คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ ในระดับสถานศึกษา ได้แก่ การสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ การสร้างภาพลักษณ์ และการสร้างโอกาส แนวทางที่ 2 การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารการจัดการเรียนรู้คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ใน ระดับห้องเรียน ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ของผู้เรียนและการพัฒนาสู่ความเป็นมืออาชีพการปรับวิสัยทัศน์เกี่ยวกับ พื้นที่การเรียนรู้และสภาพแวดล้อม
12 ความหมายของการจัดการเรียนการสอน วัลลภา เทพหัสดิน ณ อยุธยา (2543: 10) กลาววา การจัดการเรียนการสอน หมายถึง กระบวนการดําเนินงานดานการเรียนการสอนในสถานศึกษาเพื่อใหผูเรียนเกิดการเรียนรูตามเปาหมายที่กําหนด ซึ่งองคประกอบการเรียนการสอนจะประกอบไปดวย หลักสูตร วิธีการเรียน การสอนและการประเมินผล ทิศนา แขมมณี (2545: 26) กลาววา การจัดการเรียนการสอน หมายถึง กระบวนการเรียน การสอนที่ผูสอนและผูเรียนมีปฏิสัมพันธกันโดยการจัดการเรียนการสอนจะเนนการมีสวนรวมของผูเรียน สรุปไดวา การจัดการเรียนการสอน หมายถึง กระบวนการจัดกิจกรรมและประสบการณรวมถึง การจัดสื่อการเรียนการสอนตางๆ เพื่อใหผูเรียนเกิดการเรียนรูและมีประสบการณตามจุดประสงคที่ไดกําหนดไว กระบวนการจัดการเรียนการสอนควรมีความเหมาะสมและสอดคลองกับจุดประสงคเนื้อหาวิชาและลักษณะของ ผูเรียน ความหมายของการบูรณาการ ราชบัณฑิตยสถาน (2557) ได้ให้ความหมายของการบูรณาการว่าหมายถึง กระบวน การผสมผสานเชื่อมโยงองค์ความรู้ตั้งแต่ ๒ องค์ความรู้ขึ้นไปเข้าด้วยกันอย่างสอดคล้องเป็นระบบ ชนาธิป พรกุล (2561: 105) ได้ให้ความหมายของการบูรณาการว่าหมายถึง การเชื่อมโยง ความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน, การจัดการเรียนรู้ให้เป็นเรื่องเดียวกับวิถีชีวิต วิชัย วงษ์ใหญ่และมารุต พัฒผล (2562: 3) ได้ให้ความหมายของการบูรณาการว่า หมายถึง การผสมผสานองค์ความรู้ตั้งแต่ 2 องค์ความรู้ขึ้นไปเข้าด้วยกันอย่างลงตัวและเป็นระบบ ช่วยทำให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ Concept ในลักษณะที่เชื่อมโยงกันอย่างบูรณาการ ตอบสนองธรรมชาติ ความต้องการและความสนใจ ของผู้เรียน จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทางโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ได้ให้ ความหมายของการบูรณาการเทคโนโลยีในการบริหารจัดการและการจัดการเรียนการสอน (Technology Integration) ว่าเป็นนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษาต่าง ๆ เพื่อลดการใช้ ทรัพยากร และอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา รวมถึงการใช้ เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอนของครู เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนเต็มตามศักยภาพ
13 ๓. การออกแบบแนวการพัฒนา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ได้กำหนดรูปแบบการบริหาร TUPPT Model ซึ่งได้ออกแบบและพัฒนา โดยใช้กระบวนการ PDCA ได้แก่ P = Plan D = Do C = Check A = Act ใน การดำเนินงานและยึดหลักการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนจากสังคมในทุกมิติ เป็นแนวทางในการบริหารจัดการศึกษา ให้บรรลุตามเป้าหมาย และประสบความสำเร็จเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ที่มั่นคง ยั่งยืน ดังนี้ ขั้น Plan (P) เป็นการวางแผนและออกแบบนวัตกรรมและการดำเนินกิจกรรม โดยมีวิธีการหรือ แผนปฏิบัติงานที่มุ่งบรรลุผลองค์กร ตามสภาพปัญหาและความต้องการจากแนวคิดเชิงระบบเกี่ยวกับโรงเรียนของ Robert G.Owens ซึ่งมองโรงเรียนเป็นองค์กรเชิงระบบเปิดที่มีสภาพแวดล้อมภายนอก (Larger external system) ปัจจัยนำเข้าจากสังคม (Input from Society) กระบวนการทางการศึกษา (Educational Processes) และผลผลิตสู่สังคม (Outputs to Society) ซึ่งออกแบบนวัตกรรมให้เหมาะสมกับความพร้อมและบริบทของ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี โดยอาศัยหลักการบริหาร ๕ ประการ ประกอบด้วย ๑. การทำงานเป็นทีม (Team work) ได้แก่ ผู้บริหาร ครู บุคลากรทุกฝ่าย มีการประสานงาน มีบรรยากาศที่ดีของการพึ่งพาซึ่งกันและกัน มีการสื่อสาร ๒ ทาง การยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันทำงาน เป็นทีมและมีความจริงใจมุ่งผลสัมฤทธิ์ของสถานศึกษาเป็นหลัก ๒. การบริหารที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุด (Ultimate Performance) ดำเนินการโดยใช้ทรัพยากรต่าง ๆ และ บุคลากรในการบริหารจัดการเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะการบริหารที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของนักเรียนในทุกๆด้าน ๓. การบริหารอย่างมีส่วนร่วม (Participation Management) เป็นการบริหารที่ให้บุคลากรใน โรงเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาร่วมบริหารจัดการศึกษา ได้แก่ ผู้แทนจาก ๕ องค์กรหลัก ประกอบด้วย 1)คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) สมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี 3) เครือข่ายผู้ปกครองโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี 4) ชมรมศิษย์เก่าลำลูกกา-เตรียม อุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี 5) ชมรมครูเก่าลำลูกกา-เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ๔. ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) เป็นการรวมตัว รวมใจ รวม พลัง ร่วมมือกัน ในการช่วยเหลือ แนะนำให้กำลังใจกันของครูผู้บริหาร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในโรงเรียน เพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนให้เกิดผลดี มีคุณภาพในยุคศตวรรษที่ ๒๑ เกิดจากความเป็นตัวตนในวิชาชีพของ บุคลากรในโรงเรียนทุกคน ภายใต้โครงสร้างการบริหารจัดการของโรงเรียนและแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ๕. การบูรณาการเทคโนโลยีในการบริหารจัดการและการจัดการเรียนการสอน (Technology Integration) เป็นนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษาต่างๆ ลดการใช้ ทรัพยากร และอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการ จัดการเรียนการสอนของครู เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนเต็มตามศักยภาพ
14 ทั้งนี้ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ได้มีการกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของผลในระหว่าง การดำเนินงานและผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ รวมทั้งมีการกำหนดแผนการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบด้วย แผนภาพแสดงการดำเนินการตามรูปแบบการบริหารแบบ TUPPT Model ขั้น Deployment (D) เป็นการดำเนินการตามที่ได้ วางแผน และออกแบบนวัตกรรมไว้ โดยได้มีการถ่ายทอดเพื่อ นำไปสู่การปฏิบัติอย่างทั่วถึงทั้งองค์กร ซึ่งในการบริหารจัดการ สถานศึกษา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานีนั้น ใช้ รูปแบบการบริหาร TUPPT Model ในการขับเคลื่อน ๕ ประการ คือ T: Team work, U:Ultimate Performan c e , P: Participation Management, P: Professional Learning Community และ T: Technology Integration เพื่อใช้เป็น แนวทางในการดำเนินงานตามขั้นตอนและแผนงานที่วางแผนไว้ อย่างถูกต้องครบถ้วน เป็นระบบ มีความคงเส้นคงวา โดยในการดำเนินงานตาม TUPPT Model อาศัยแนวคิดที่ สำคัญ ๓ ประการคือ 1) หลักการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management) 2) หลักการ พัฒนาคุณภาพนักเรียน (Learner Development) และ 3) หลักการประกันคุณภาพการศึกษา (Education Quality Assurance) ทั้งนี้ได้มีการดำเนินงานตามขั้นตอนและแผนงานที่วางแผนไว้อย่างถูกต้องครบถ้วน มีการ กำหนดและมอบหมายความรับผิดชอบของครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องและมีการกระทำตามที่ กำหนดไว้ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ โดยพยายามในการกระทำสู่ผลสำเร็จอย่างไม่ย่อท้อ ส่งผลให้โรงเรียนเตรียม อุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี มีการบริหารจัดการด้วยระบบคุณภาพ (Quality System Management) ตาม เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ(Thailand Quality Award : TQA) ขั้น Check (C) เป็นการใช้วงจรการประเมินและการปรับปรุงในการประเมินผลและตรวจสอบ การดำเนินงานและการบริหารจัดการสถานศึกษาจากการใช้รูปแบบการบริหาร TUPPT Model ซึ่งประเมินจากคุณภาพ ของนักเรียนใน ๓ มิติ คือ เก่ง ดี และมีความสุข เพื่อปรับปรุงแนวทางการดำเนินการให้ดีขึ้น โดยได้มีการติดตาม ประเมินผลและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง มีการประเมินผลลัพธ์เทียบกับค่าเป้าหมายทั้งตัววัดระหว่างดำเนินการ และผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ นำไปสู่การสรุปบทเรียนและนำบทเรียนไปสร้างเป็นนวัตกรรมเพื่อการแก้ไขปรับปรุง อย่างก้าวกระโดดและต่อเนื่อง ตลอดจนมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลการปรับปรุงที่ดีขึ้นในองค์กรอย่างเป็นระบบ ให้การดำเนินการต่างๆ ขององค์กรมีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ขั้น Act (A) เป็นการนำผลการประเมินที่ใช้แนวทางที่สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันกับความต้องการ ขององค์กรตามที่ระบุไว้ ทั้งแผนงาน กระบวนการ ผลลัพธ์ การวิเคราะห์ การเรียนรู้ และการปฏิบัติการที่มี ความสอดคล้องกลมกลืนกันทุกกระบวนการ เพื่อสนับสนุนเป้าประสงค์ระดับองค์กรโดยใช้ตัววัด สารสนเทศและ ระบบการปรับปรุงที่ช่วยเสริมกระบวนการของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ทั่วทั้งองค์กรซึ่ง
15 มุ่งเน้นที่คุณภาพของนักเรียน โดยประเมินผลจากการดำเนินการที่ผ่านมาว่า ผ่านหรือไม่ ถ้า “ไม่ผ่าน” ก็จะต้อง พิจารณาและวิเคราะห์ว่า ยังมีปัญหา ข้อบกพร่อง หรือจุดอ่อนที่ควรมีการปรับปรุงและพัฒนา ในขั้นวางแผนและ ออกแบบนวัตกรรมอีกครั้ง แต่ถ้าหากว่า “ผ่าน” แสดงว่าผลของรูปแบบการบริหาร TUPPT Model เป็นไปตาม เป้าหมายและตัวชี้วัดที่ตั้งไว้ ก็ต้องมีการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์และขยายผลสู่สาธารณชน ตลอดจนพัฒนา นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนต่อไป ซึ่งเป็นการเรียนรู้สู่การปรับปรุงจากการบูรณาการกระบวนการทั้ง 3 ระบบคือ ระบบตัววัด ระบบประเมิน ระบบปรับปรุง ของกระบวนการนี้ ที่สอดคล้องและช่วยเสริมการทำงาน ให้กับกระบวนการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จตามความต้องการและเป้าหมายขององค์กร ผลจากการพัฒนารูปแบบการบริหาร TUPPT Model ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี จึงนำมาซึ่งความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล อันส่งต่อคุณภาพ ของนักเรียนที่ เก่ง ดี และมีความสุข และเป็นพลโลก เป็นนวัตกรรมที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่โรงเรียนต่าง ๆ ต่อไป สามารถแสดงกระบวนการพัฒนารูปแบบการบริหาร TUPPT Model ได้ดังแผนภาพ แผนภาพที่ 1-1 แสดงกระบวนการพัฒนารูปแบบการบริหาร TUPPT Model
16 ๔. การมีส่วนร่วมในการพัฒนา คณะผู้บริหารเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมร่วมกับกลุ่มบริหารวิชาการ หัวหน้ากลุ่มสารการ เรียนรู้ คณะครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และคณะกรรมการนักเรียน ตลอดจน คณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง รวมทั้งชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ร่วมกัน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี มีค่านิยมที่ครูและบุคลากรในโรงเรียนยึดถือและ ปฏิบัติร่วมกันจนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรและเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการ ปทุมธานี คือ TRIAMPATPATHUM ดังนี้ T – Team work ทำงานเป็นทีม R - Responsibility มีความรับผิดชอบ I - Integrate บูรณาการ A – Awareness ความตระหนัก M - Management การจัดการ P - Participation การมีส่วนร่วม A – Attitude ทัศนคติที่ดี T – Trust ไว้เนื้อเชื่อใจ P – Positive thinking การคิดบวก A - Attention ความมุ่งมั่นตั้งใจ T - Traditional วัฒนธรรมองค์กรที่ดีงาม H – Hospitality มีความอบอุ่น เป็นกันเอง U – Unity ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน M – Morality มีคุณธรรม ค่านิยมดังกล่าว เป็นพลังสำคัญในการผลักดันให้ครูและบุคลากรของโรงเรียน มีความมุ่งมั่น ในการปฏิบัติงานเพื่อความสำเร็จตามเป้าหมายของโรงเรียน ๕. การนำไปใช้ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี มีการจัดทำคู่มือ และแนวทางในการดำเนินงาน ที่ชัดเจน มีการชี้แจง ทำความเข้าใจกับคณะครูและบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน ผู้ปกครองนักเรียนและผู้ที่ เกี่ยวข้อง โดยมีการประชุมผู้ปกครอง การเยี่ยมบ้านนักเรียน ประชุมผู้ปกครองนักเรียนที่มีคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ ร้อยละ 80 ก่อนวัดผลปลายภาคเรียนทุกภาคเรียน
17 ๖. การประเมินและการปรับปรุง โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี มีการประเมินคุณภาพของนวัตกรรมโดยการประเมิน ความพึงพอใจในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องส่งผลให้นักเรียนมีผลการเรียน ๐ ร ลดลง เป็นไปตามวัตถุประสงค์และค่าเป้าหมายของโรงเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ใน ปีการศึกษา ๒๕๖๕ องค์ประกอบที่ 3 ด้านผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามรูปแบบหรือแนวทางในการพัฒนา นวัตกรรมการศึกษาของสถานศึกษา จากการดำเนินงานตามรูปแบบนวัตกรรมมีการดำเนินงานดังนี้ 1. มีการจัดทำสารสนเทศการเผยแพร่ข้อมูลในเวปไซต์ของโรงเรียนสำหรับการติดตาม ตรวจสอบผล การเรียนที่นักเรียนมีปัญหา และนำข้อมูลลสารสนเทศมาดำเนินการแก้ไขปัญหาในด้าน 0 ร โดยตามรูปแบบ TUPPT Model 2. ดำเนินงาน บริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้และมีการนิเทศติดตาม มีรายละเอียดดังนี้ 2.1 จัดทำโครงการ/กิจกรรมการติดตาม 0 ร ของปีงบประมาณ 2566 2.2 ประชุมวางแผนการดำเนินงานในทีมกลุ่มบริหารวิชาการ โดยมีผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้ากลุ่ม สาระการเรียนรู้ คณะครูในทีมกลุ่มบริหารวิชาการ วางกรอบการดำเนินงานตาม Flow Chart ภาพที่ 1 Flow Chart แสดงขั้นตอนการวัดและประเมินผล
18 2.3 คำสั่งคณะกรรมการดำเนินการจัดการเรียนรู้ในภาคเรียนที่ 1/2565 และ 2/2565 และทำ คำสั่งคณะกรรมการพิจารณาและจัดประชุมผู้ปกครองในการการแก้ไขปัญหา 0 ร ซึ่งมีรูปแบบการจัดประชุม หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ ลำดับถัดมาหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ประชุมครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้เพื่อนำกรอบ แนวทางการดำเนินการจัดการเรียนรู้ไปสู้การแก้ไขปัญหา 0 ร โดยจะมีการนิเทศ ติดตามรายละเอียดังนี้ 1) ปฏิทินการติดตามคะแนนอย่างเป็นระยะ 2) การประกาศคะแนน 80 % เพื่อลดโอกาส 0 ร ก่อนประกาศผลสอบปลายภาคเรียน 3) ประชุมผู้ปกครองเพื่อร่วมกันรับทราบและร่วมกันแก้ปัญหาก่อนประกาศผล ปลายภาค 4) การติดตามผลสัมฤทธิ์เป็นการทำงานทั้งครูประจำวิชาและครูที่ปรึกษา 5) ผู้ปกครองและนักเรียนตรวจสอบคะแนนออนไลน์ ผ่านระบบ SGS ทำให้สามารถดู คะแนนออนไลน์ได้ตลอดเวลา 3. โรงเรียนมีการขับเคลื่อนกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อแก้ไขปัญหาโดย ดำเนินการดังนี้ 3.1 ฝ่ายกิจการนักเรียนจัดประชุมผู้ปกครอง ซึ่งกลุ่มบริหารวิชาการได้นำเสนอข้อมูลแจ้ง ให้กับผู้ปกครองเข้าใจถึงนโยบายในการแก้ปัญหาการติด 0 ร และรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ให้ผู้ปกครองเข้าใจทุก ห้อง ทุกระดับชั้น 3.2 จัดประชุมผู้ปกครองเครือข่าย เพื่อพูดคุยนโยบายในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียน 3.3 จัดตั้งกลุ่มไลน์โดยมีผู้บริหาร ครูที่ปรึกษาและครูประจำวิชาทุกระดับชั้น และแบ่งจำนวน 3 กลุ่ม โดยมีการจัดกลุ่มพูดคุยถึงปัญหาของนักเรียนทั้งประจำชั้นและประจำวิชา ดังนี้ 1) กลุ่มที่ 1 เป็นระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2) กลุ่มที่ 2 เป็นระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3) กลุ่มที่ 3 เป็นระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งในแต่ละกลุ่มจะมีการตั้งประธาน รองประธาน เลขานุการกลุ่มขึ้นมา เพื่อจะใช้ในการดำเนินใน การนัดหมายประชุมกันและหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาตามปฏิทินการประชุม 3.4ประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อสรุปผลการดำเนินงานการจัดการเรียนรู้ในรอบ 1 ภาคเรียน สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดและหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป 4. ในการดำเนินกิจกรรม ผลการประเมินและผลลัพธ์ที่ได้ 4.1 ผลการประเมินการดำเนินกิจกรรม อยู่ในระดับ ดีมาก ดังสรุปในตารางการประเมิน
19 ประเด็น / หัวข้อ การพิจารณา มาก ที่สุด ( 5 ) ดีมาก (4) ดี (3) พอใช้ (2) ปรับป รุง (1) สรุป 1. ท่านมีความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการประชุมผู้ปกครองนักเรียน ในการติดตาม ๐ ร 36.7 56.7 6.6 ดีมาก 2. ท่านมีความเข้าใจถึงความสำคัญของการประชุมผู้ปกครองนักเรียน ในการติดตาม ๐ ร 46.7 44.4 5.6 3.3 มากที่สุด 3. ลำดับขั้นตอนในการดำเนินการการประชุมผู้ปกครองนักเรียนในการ ติดตาม ๐ ร มีความเมาะสม 31.1 53.4 12.2 3.3 ดีมาก 4. ระยะเวลาในการดำเนินการประชุมผู้ปกครองนักเรียนในการติดตาม ๐ ร มีความเหมาะสม 17.8 47.8 30.0 3.3 1.1 ดีมาก 5. สถานที่ที่ใช้ในการจัดประชุมผู้ปกครองนักเรียนในการติดตาม ๐ ร มีความเหมาะสม 64.5 33.3 2.2 มากที่สุด 6. ท่านมีความประทับใจในการต้อนรับจากครูและบุคลากร 58.9 38.9 1.1 1.1 มากที่สุด 7. ท่านมีความประทับใจในในการให้บริการและการสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ของนักเรียน 56.7 36.7 6.6 มากที่สุด 8. ท่านมีความประทับใจครูที่ให้ความร่วมมือและดูแลนักเรียนทุกคนได้ อย่างทั่วถึงเท่าเทียมกัน 53.3 40.0 5.6 1.1 มากที่สุด 9. ท่านมีความประทับใจต่อครูผู้สอนที่ให้นักเรียนได้แก้ไขผลการเรียน 57.8 38.9 3.3 มากที่สุด 10. ภาพรวมของการประชุมผู้ปกครองนักเรียนในการติดตาม ๐ ร ครั้งนี้มีความเหมาะสม 34.4 47.8 16.7 1.1 ดีมาก จากการประเมินความพึงพอใจในกิจกรรมประชุมผู้ปกครองนักเรียนในการติดตาม ๐ ร ประจำปี การศึกษา ๒๕๖๕ พบว่าผู้ปกครองมีความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการประชุมผู้ปกครองนักเรียน มากที่สุด ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับดังนี้ - สถานที่ที่ใช้ในการจัดประชุมผู้ปกครองนักเรียนในการติดตาม ๐ ร มีความเหมาะสม - ท่านมีความประทับใจในการต้อนรับจากครูและบุคลากร - ท่านมีความประทับใจต่อครูผู้สอนที่ให้นักเรียนได้แก้ไขผลการเรียน - ท่านมีความประทับใจในในการให้บริการและการสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ของนักเรียน - ท่านมีความประทับใจครูที่ให้ความร่วมมือและดูแลนักเรียนทุกคนได้อย่างทั่วถึงเท่าเทียมกัน - ท่านมีความเข้าใจถึงความสำคัญของการประชุมผู้ปกครองนักเรียนในการติดตาม ๐ ร ข้อเสนอแนะ - อยากให้จัดแบบทุกวิชาอยู่ใกล้ ๆ กันจะได้เดินหาวิชาต่าง ๆ ที่นักเรียนติดได้ง่ายขึ้น - อยากให้จัดอย่างนี้ทุกภาคเรียน - เป็นกิจกรรมที่ดี มีประโยชน์ - ทำให้ผู้ปกครองได้รู้ถึงการเรียนลูก - ผู้ปกครองได้ติดตามผลลูกดี
20 4.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2565 ที่ได้รับการพัฒนาโดยเปรียบเทียบตั้งแต่ปีการศึกษา 2563-2565 กราฟที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบค่าร้อยละของนักเรียนที่ผ่านค่าเป้าหมาย จากกราฟแสดงร้อยละของนักเรียนที่ผ่านค่าเป้าหมาย แสดงให้เห็นว่าปีการศึกษา 2565 ที่มี ค่าเฉลี่ยร้อยละของนักเรียนที่ผ่านค่าเป้าหมายอยู่ที่ 79.78 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในปีการศึกษา 2563-2564 ซึ่งมี ร้อยละของนักเรียนที่มีผลการเรียนตามค่าเป้าหมายเฉลี่ย 65.51 จากกราฟแสดงร้อยละของนักเรียนที่ผ่านค่าเป้าหมายจำแนกตามกลุ่มสาระ แสดงให้เห็นว่าปีการศึกษา 2565 ร้อยละของนักเรียนที่ผ่านค่าเป้าหมายทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้สูงกว่า ปีการศึกษา 2563-2564 โดยกลุ่ม สาระการเรียนรู้ที่มีร้อยละของผลการเรียนเพิ่มขึ้นสูง 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามลำดับ
21 กราฟที่ 2 แสดงการเปรียบเทียบค่าร้อยละของนักเรียนที่ผลการเรียนมีปัญหา จากกราฟแสดงร้อยละของนักเรียนที่มีผลการเรียนมีปัญหา (ติด 0 ร ) แสดงให้เห็นว่าในช่วง ปีการศึกษา 2564 นักเรียนที่มีผลการเรียนที่มีปัญหาพุ่งสูงขึ้นเป็นร้อยละ 8.32 และ 6.55 ในภาคเรียนที่ 1 และ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ตามลำดับ และลดลงเหลือร้อยละ 1.21 และ 1.13 ในภาคเรียนที่ 1 และ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 การเผยแพร่ผลงาน นวัตกรรม TUPPT M0del มาใช้ในการแก้ไขปัญหา ผลการเรียน 0 ร ผ่านเวปไซต์ของโรงเรียน www.tuppt.ac.th กลุ่มบริหารวิชาการ
22 แนวมทางในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี จากการบริหารจัดการศึกษา รูปแบบ TUPPT M0del โดยขับเคลื่อนด้วย PDCA มาใช้ในการแก้ไขปัญหา ผลการเรียน 0 ร เพื่อลดจำนวนนักเรียนที่มีผลการเรียน ๐ ร ให้เป็นไปตามค่าเป้าหมายของโรงเรียน เราได้นำมา สะท้อนกันในกลุ่มบริหารวิชาการ เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาจึงได้มีการวางแผนแนวทางในการพัฒนาและการ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ปีการศึกษา 2566 1. ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เหมาะสมกับนักเรียน มีกลุ่มการเรียนและแผนการ เรียนที่หลากหลายให้ตรงกับความต้องการและสนใจของนักเรียน 2. เพิ่มเติมเครือข่ายทางการศึกษา จากสถาบันอุดมศึกษาที่มีการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ทางวิชาการ ให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายของนักเรียนในโรงเรียนเตรียม อุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี - โครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์สำหรับวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมมือกับคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี - การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง IYF Thailand (International Youth Fellowship) หรือ มูลนิธิเยาวชนสัมพันธ์นานาชาติ (เกาหลี) - โครงการเปิดห้องเรียนทวิศึกษา (ห้องเรียนอาชีพ) ร่วมมือกับวิทยาลัยเทคนิคธัญบุรี - บันทึกความร่วมมือเป็นสถานศึกษาเครือข่ายสำหรับปฏิบัติการสอนกับวิทยาลัยนาฎศิลป อ่างทอง สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ - โครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์สำหรับวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอม เกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 3. การกำหนดค่าเป้าหมายของการพัฒนาคุณภาพรียนตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ปีการศึกษา 2566 ค่าเป้าหมาย (ระดับคุณภาพ) มาตรฐานที่1 คุณภาพของผู้เรียน ดีเลิศ 1.1 ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการของผเู้รียน (ระดับ 4) 1.2 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผเู้รียน ยอดเยยี่ม (ระดับ 5) ยอดเยยี่ม (ระดับ 5) มาตรฐานการศึกษา มาตรฐานที่2 กระบวนการบริหารและการจัดการ มาตรฐานที่3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่ เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ตารางที่ 1 แสดงการกำหนดค่าเป้าหมายของแต่ละมาตรฐาน ปีการศึกษา 2566
23 ตารางที่ 2 แสดงค่าเป้าหมาย มาตรฐานที่ 1 ข้อ 1.1 ของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ปีการศึกษา 2566 4. การวางแผนการจัดการเรียนรู้สู่ ว PA มุ่งสู่นักเรียนเป็นสำคัญ 5. เปลี่ยนแปลงรูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน ดีเลิศ (ร้อยละ 72) - ผเู้รียนมีผลการเรียนกลมุ่สาระการเรียนรภู้าษาไทย ระดับ ๒.๕ ขนึ้ไป 67 - ผเู้รียนมีผลการเรียนกลมุ่สาระการเรียนรคู้ณติศาสตร์ระดับ ๒.๕ ขนึ้ไป 67 - ผเู้รียนมีผลการเรียนกลมุ่สาระการเรียนรวู้ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับ ๒.๕ ขนึ้ไป 67 - ผเู้รียนมีผลการเรียนกลมุ่สาระการเรียนรสู้ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ระดับ ๒.๕ ขนึ้ไป ๖๗ - ผเู้รียนมีผลการเรียนกลมุ่สาระการเรียนรภู้าษาต่างประเทศ ระดับ ๒.๕ ขนึ้ไป ๖๗ - ผเู้รียนมีผลการเรียนกลมุ่สาระการเรียนรศู้ิลปะ ระดับ ๒.๕ ขนึ้ไป 75 - ผเู้รียนมีผลการเรียนกลมุ่สาระการเรียนรสูุ้ขศึกษาและพละศึกษา ระดับ ๒.๕ ขนึ้ไป 80 - ผเู้รียนมีผลการเรียนกลมุ่สาระการเรียนรกู้ารงานอาชีพ ระดับ ๒.๕ ขนึ้ไป 75 - ผเู้รียนมีผลการเรียนกลมุ่สาระการเรียนรสู้นบัสนนุ (รายวิชา IS) ระดับ ๒.๕ ขนึ้ไป 75 - ผเู้รียนมีผลการเรียนกลมุ่สนบัสนนุ (กิจกรรมแนะแนว) ระดับ ผ่าน 80 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามหลักสูตรสถานศึกษา
24 6. การพัฒนาผู้เรียนสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ นิยามคำว่า ความเป็นเลิศทางวิชาการ ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี คือ ความสามารถที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นความสามารถเชิงปฏิบัติ เช่น ด้านดนตรี กีฬา การเกษตร คหกรรม งานช่าง และความสามารถเชิงทษฎี (วิชาการ) โรงเรียนก็สนับสนุนทุกด้าน
25 ภาคผนวก
26 องค์ประกอบที่ 1 ด้านความสำคัญของรูปแบบ หรือแนวทางการพัฒนานวัตกรรม การศึกษาของสถานศึกษา
27 จากกราฟแสดงร้อยละของนักเรียนที่ผ่านค่าเป้าหมาย แสดงให้เห็นว่าปีการศึกษา 2565 ที่มีค่าเฉลี่ยร้อย ละของนักเรียนที่ผ่านค่าเป้าหมายอยู่ที่ 79.78 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในปีการศึกษา 2563-2564 ซึ่งมีร้อยละของ นักเรียนที่มีผลการเรียนตามค่าเป้าหมายเฉลี่ย 65.51 จากกราฟแสดงร้อยละของนักเรียนที่ผ่านค่าเป้าหมายจำแนกตามกลุ่มสาระ แสดงให้เห็นว่าปีการศึกษา 2565 ร้อยละของนักเรียนที่ผ่านค่าเป้าหมายทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้สูงกว่า ปีการศึกษา 2563-2564 โดยกลุ่ม สาระการเรียนรู้ที่มีร้อยละของผลการเรียนเพิ่มขึ้นสูง 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามลำดับ
28 จากกราฟแสดงร้อยละของนักเรียนที่มีผลการเรียนมีปัญหา (ติด 0 ร ) แสดงให้เห็นว่าในช่วงปีการศึกษา 2564 นักเรียนที่มีผลการเรียนที่มีปัญหาพุ่งสูงขึ้นเป็นร้อยละ 8.32 และ 6.55 ในภาคเรียนที่ 1 และ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ตามลำดับ และลดลงเหลือร้อยละ 1.21 และ 1.13 ในภาคเรียนที่ 1 และ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
29 หมอภาษา(คลินิกภาษาไทย)
30
31
32 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ สำหรับวิศวกรรมศาสตร์เข้าปรึกษา คุณครูณัฐธิดา เยาวลักษณ์โยธิน ด้านการเรียนรายวิชาชีววิทยา เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหามากยิ่งขึ้น ภาพประกอบการจัดกิจกรรมคลินิกวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
33 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เข้าปรึกษา คุณครูเบญจมาศ ณ นากูล โดยนักเรียนปัญหาเรื่องไม่เข้าใจโจทย์ปัญหาชีววิทยา โดยนักเรียนได้รับคำแนะนำและ วิธีการสังเกต การวิเคราะห์โจทย์ปัญหาในรูปแบบต่างๆ ส่งผลให้นักเรียนเข้าใจมากยิ่งขึ้น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สำหรับวิศวกรรมศาสตร์ เข้าขอ คำปรึกษาคุณครูธวัชชัย นาธะรัตน์ เรื่องการเตรียมตัวอ่านหนังสือเพื่อเตรียมเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งนักเรียนได้รับคำแนะนำส่งผลให้นักเรียนมีความมั่นใจและกระตือรือร้นในการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย มากยิ่งขึ้น ภาพประกอบการจัดกิจกรรมคลินิกวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
34 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เข้าขอคำปรึกษาจากคุณครูรัตนา โอทาตะวงค์ เกี่ยวกับการคำนวณใน รายวิชาฟิสิกส์ ซึ่งส่งผลให้นักเรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับการคำนวณในเนื้อหารายวิชาฟิสิกส์มากยิ่งขึ้น ภาพประกอบการจัดกิจกรรมคลินิกวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
35 แผนภาพคลินิกวิทยาศาสตร์
36 องค์ประกอบที่ ๒ ด้านกระบวนการพัฒนารูปแบบ หรือแนวทางการพัฒนา นวัตกรรมการศึกษาของสถานศึกษา
37 การออกแบบแนวทางการพัฒนา
38 การมีส่วนร่วมในการพัฒนา
39 การนำไปใช้
40 ผลการดำเนินกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการ การจัดการเรียนการสอนรายวิชาการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ( IS) ครูผู้เข้าร่วมมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (̅=4.71) โดยมีความพึงพอใจมากที่สุดใน ด้าน วิทยากรการตอบคำถามได้ตรงประเด็นและชัดเจน และระยะเวลาในการฝึกอบรมมีความเหมาะสม รองลงมา คือ ความรู้ที่ได้รับหลังการอบรม เนื้อหาในการฝึกอบรมตรงกับวัตถุประสงค์ รูปแบบและวิธีการฝึกอบรมมีความ เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน การอบรมเอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของท่าน วิทยากร การเรียงลำดับบรรยายเนื้อหาได้ครบถ้วน วิทยากรให้เวลาทำกิจกรรมเหมาะสมเหมาะสม วิทยากรการเปิดโอกาส ให้ซักถามและแสดงความคิดเห็น และวิทยากรมีความสามารถในการถ่ายทอด/สื่อสาร/ความเข้าใจ ตามลำดับ นอกจากนี้ครูผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ว่า “เป็นกิจกรรมที่สนุกและได้ความรู้เพิ่มเติม วิทยากรถ่ายทอดความรู้ได้ดีมาก อยากให้ทีมงานจัดกิจกรรมแบบนี้อีกและเพิ่มเติมข้อมูลหรือรูปแบบการศึกษา อื่นๆ ที่อาจเป็นการค้นพบและนำเสนอ การสำรวจ (นอกเหนือจากการสร้างนวัตกรรม)”
41
42 องค์ประกอบที่ 3 ด้านผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน ตามรูปแบบหรือแนวทางในการพัฒนา นวัตกรรมการศึกษาของสถานศึกษา
43 1. สารสนเทศการเผยแพร่ข้อมูลในเว็บไซต์ของโรงเรียนสำหรับการติดตามตรวจสอบผลการเรียนที่นักเรียนมีปัญหา
44 2. ดำเนินงาน บริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้และมีการนิเทศติดตาม 2.1 จัดทำโครงการ/กิจกรรมการติดตาม 0 ร ของปีงบประมาณ 2566 2.2 ประชุมวางแผนการดำเนินงานในทีมกลุ่มบริหารวิชาการ โดยมีผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้ากลุ่มสาระ การเรียนรู้ คณะครูในทีมกลุ่มบริหารวิชาการ
45 ๒.๓ คำสั่งคณะกรรมการพิจารณาและจัดประชุมผู้ปกครองในการการแก้ไขปัญหา 0 ร
46 3. โรงเรียนมีการขับเคลื่อนกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางววิชาชีพ (PLC) 3.1 จัดประชุมผู้ปกครองโดยงานของฝ่ายกิจการนักเรียน 3.2 จัดประชุมผู้ปกครองเครือข่าย 3.3 จัดตั้งกลุ่มไลน์โดยมีผู้บริหาร ครูที่ปรึกษาและครูประจำวิชาทุกระดับชั้น
47 4. ผลการประเมินและผลลัพธ์ที่ได้ แบบประเมินความพึงพอใจการประชุมผู้ปกครองนักเรียนในการติดตาม ๐ ร มส ประจำปีการศึกษา 256๕ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี คำชี้แจง 1. แบบประเมินฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อประเมินความพึงพอใจในกิจกรรมประชุมผู้ปกครองนักเรียนในการ ติดตาม ๐ ร มส ประจำปีการศึกษา 256๕ ให้ท่านทำเครื่องหมาย ลงในตารางที่ตรงกับความรู้สึกหรือความ คิดเห็นของท่าน 2. เกณฑ์การให้คะแนนระดับความพึงพอใจ 5 หมายถึง มากที่สุด 4 หมายถึง ดีมาก 3 หมายถึง ดี 2 หมายถึง พอใช้ 1 หมายถึง ปรับปรุง ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป 1) ผู้ปกครองของนักเรียนชั้น.......................... 2) ความเกี่ยวข้องกับนักเรียน เป็น บิดา มารดา พี่ อื่น ๆ ระบุ……………………………………… ตอนที่ 2 ความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานและการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ประจำปีการศึกษา 256๕โปรด ทำเครื่องหมาย √ ลงในช่องที่ตรงกับความพึงพอใจ ประเด็น / หัวข้อ การพิจารณา มาก ที่สุด ( 5 ) ดีมาก (4) ดี (3) พอใช้ (2) ปรับป รุง (1) สรุป 1. ท่านมีความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการประชุมผู้ปกครองนักเรียนใน การติดตาม ๐ ร 36.7 56.7 6.6 ดีมาก 2. ท่านมีความเข้าใจถึงความสำคัญของการประชุมผู้ปกครองนักเรียนใน การติดตาม ๐ ร 46.7 44.4 5.6 3.3 มาก ที่สุด 3. ลำดับขั้นตอนในการดำเนินการการประชุมผู้ปกครองนักเรียนในการ ติดตาม ๐ ร มีความเมาะสม 31.1 53.4 12.2 3.3 ดีมาก 4. ระยะเวลาในการดำเนินการประชุมผู้ปกครองนักเรียนในการติดตาม ๐ ร มีความเหมาะสม 17.8 47.8 30.0 3.3 1.1 ดีมาก 5. สถานที่ที่ใช้ในการจัดประชุมผู้ปกครองนักเรียนในการติดตาม ๐ ร มส มีความเหมาะสม 64.5 33.3 2.2 มาก ที่สุด 6. ท่านมีความประทับใจในการต้อนรับจากครูและบุคลากร 58.9 38.9 1.1 1.1 มาก ที่สุด 7. ท่านมีความประทับใจในในการให้บริการและการสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ของนักเรียน 56.7 36.7 6.6 มาก ที่สุด