The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 ฉบับปรับปรุง 2561

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pattharattineeporn.pon, 2021-06-09 08:24:35

หน่วยการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 ฉบับปรับปรุง 2561

หน่วยการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 ฉบับปรับปรุง 2561

Keywords: วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6





สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หลักสูตรโรงเรียนอนุบาลวัดลกู แกประชาชนูทศิ
พทุ ธศักราช 2561

ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)

สำนกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษากาญจนบรุ ี เขต 2
สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน
กระทรวงศึกษาธกิ าร



คำนำ

หน่วยการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2561 ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ได้จัดทำขึ้นตามแนวทางที่กำหนดไว้ใน
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) และเป็นไปตามมาตรา
27 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเตมิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545
ซ่ึงกำหนดให้สถานศึกษามีหน้าท่ีจัดทำสาระของหลักสูตรสถานศึกษาตามหลักการ จุดหมายของหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานกำหนด เพ่ือตอบสนองต่อความต้องการในส่วนที่เก่ียวกับสภาพปัญหาในชุมชน
และสังคม ภูมิปัญญาท้องถ่ิน คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ เพื่อให้เยาวชนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน
สงั คมและประเทศชาติ

หน่วยการเรียนรู้สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในหลักสตู รโรงเรียนอนุบาลวดั ลกู แก
ประชาชนูทิศ พุทธศักราช 2561 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ฉบับน้ีประกอบด้วย คำช้ีแจง ตารางสาระและมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด
คำอธิบายรายวชิ า ตารางวิเคราะห์แผนการจัดการเรยี นรู้รายช่ัวโมง โครงสร้างรายวิชา โครงสร้างการจัดเวลา
เรียน การออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ ซึ่งทางโรงเรียนได้กำหนดไว้ในหลักสูตรสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี เพอื่ ใหผ้ ทู้ เี่ กย่ี วข้องได้เขา้ ใจ และสามารถนำไปใชไ้ ดอ้ ย่างถกู ตอ้ งและบรรลผุ ลตามท่ีต้องการ

หน่วยการเรียนรู้สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับนี้ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีก็ด้วยความ
ร่วมมือจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานของโรงเรียน ผู้ปกครองนักเรียน คณะครูและผู้ที่มีส่วน
เกีย่ วขอ้ งทกุ ภาคส่วนทม่ี สี ว่ นร่วมดำเนินการ ทางโรงเรยี นจึงขอขอบพระคณุ ท่านมา ณ โอกาสนี้



ประกาศโรงเรยี นอนุบาลวัดลกู แกประชาชนทู ิศ
เรือ่ ง ให้ใช้หลักสูตรโรงเรียนอนบุ าลวดั ลกู แกประชาชนทู ิศ พุทธศกั ราช 2561
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560)

................................................................................

เพ่ือให้การจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
และกรอบหลักสูตรท้องถ่ินของสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสตูล และพระราชบัญญัติการศึกษา
แห่งชาติ พุทธศักราช 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 มาตรา 27 กำหนดให้สถานศึกษา
ขั้นพ้ืนฐานมีหน้าท่ีจัดทำสาระของหลักสูตร ตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
กำหนด ดังน้ันสถานศึกษาจึงได้จัดทำหลักสูตรโรงเรียนอนุบาลวัดลูกแกประชาชนูทิศ พุทธศักราช 2561
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ขึน้ ซึ่งประกอบดว้ ย
กลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และระเบียบการวัดและประเมินผล
การเรียนรู้ หลักสูตรโรงเรียนอนุบาลวัดลูกแกประชาชนูทิศ พุทธศักราช 2561ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)

ทั้งน้ี หลักสูตรโรงเรียนอนุบาลวัดลูกแกประชาชนูทิศ พุทธศักราช 2561 ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ได้รับความเห็นชอบให้ใช้หลักสูตร
โรงเรียนอนุบาลวัดลูกแกประชาชนูทิศ พุทธศักราช 2561 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) จากคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน ในคราวประชุม
ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันท่ี 10 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2561 จึงประกาศให้ใช้หลักสูตรโรงเรียนอนุบาลวัดลกู แก
ประชาชนูทิศ พุทธศักราช 2561 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ
ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ดงั นี้

ปกี ารศึกษา 2561 ให้ใช้ในชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 1 และ 4 และชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1
ปีการศึกษา 2562 ให้ใช้ในชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1, 2, 4 และ 5 และช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 และ 2
ต้งั แต่ปกี ารศึกษา 2563 เป็นตน้ ไปให้ใชใ้ นทุกชัน้ เรยี น

ประกาศ ณ วันที่ 10 เดอื น พฤษภาคม พ.ศ. 2561

........................................ .......................................

(นางนาถฤดี นติ สิ าโรจน์) (นายบรรจง ปน่ิ ปฐม)

ประธานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน ผอู้ ำนวยการโรงเรียนอนุบาลวัดลกู แกประชาชนูทิศ



สารบญั

หน้า

คำนำ…………………………………………………………………………………………………………………………………………….ก
ประกาศโรงเรยี นอนบุ าลวดั ลูกแกประชาชนทู ิศ เร่ือง ให้ใช้หลกั สตู รโรงเรียนอนบุ าลวดั ลูกแกประชาชนูทิศ
พุทธศกั ราช 2561 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์……………………………….....ข
สารบัญ............................................................................................................................. .............................ค
คำช้ีแจง………………………………………………………………………………………………………………………………………..ง
ตารางสาระและมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้วี ดั …………………………………………………………………..….…….1
คำอธบิ ายรายวิชา....…………………………………………………………………………………………………………….………..4
ตารางวเิ คราะหแ์ ผนการจัดการเรียนรู้รายชัว่ โมง……………………….…………………………………………………….5
โครงสร้างรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี..................................................................................19
โครงสรา้ งการจัดเวลาเรยี น............................................................................................................................31
การออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้.......................................................................................................................36

หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 ร่างกายของเรา.............................................................................................45
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 2 การแยกสารผสม..........................................................................................81
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 ไฟฟ้า………………………..............………………………………………….....………….108
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 4 ปรากฏการณ์ของโลก……………………………………………………….………………150
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 5 เทคโนโลยอี วกาศ……………………………………………………….……….......………182
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 6 หนิ ในท้องถนิ่ ………..............……………………………………………….………………211
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 7 ลม ภัยธรรมชาติ และปรากฏการณเ์ รือนกระจก………….……….………………246



คำช้ีแจง

การจัดการศึกษาข้ันพ้ืนฐานจะต้องสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม
สภาพแวดล้อม และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพ่ือพัฒนาและ
เสริมสร้างศักยภาพคนของชาติให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยการยกระดับ
คณุ ภาพการศึกษาและการเรียนรู้ให้มคี ุณภาพและมาตรฐานระดบั สากลสอดคล้องกับประเทศไทย 4.0
โลกในศตวรรษที่ 21 และทดั เทียมกับนานาชาติ ผ้เู รียนมีศกั ยภาพในการแข่งขนั และดำรงชีวิตอยา่ งสร้างสรรค์
ในประชาคมโลก ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง

สถานศึกษาจึงต้องจดั การศกึ ษาทเ่ี นน้ ให้ผเู้ รยี นได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระตุ้นใหผ้ เู้ รียน
ได้ใช้กระบวนการคิด โดยผู้สอนจะต้องเปล่ียนบทบาทเป็นผู้จัดบรรยากาศเชิงบวก สร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียน
ตอ้ งการเรียนรู้ ฝึกให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์ ลงมือปฏิบัติและสรุปเป็นความรฝู้ ังแน่น ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่เกิดจาก
ประสบการณข์ องตนเอง แล้วนำไปใช้ในชวี ติ ประจำวัน

สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับ
เป้าหมายของการเรียนรู้ จึงได้จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง Backward Design ท้ังแผนการจัด
การเรียนรรู้ ายหน่วยและแผนการจัดการเรียนร้รู ายช่วั โมง ซง่ึ มอี งคป์ ระกอบ ดังนี้

องค์ประกอบ ความสำคญั

ผนผังการเรียนรู้แบบบูรณาการ แสดงให้เห็นถงึ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
ทีเ่ ช่อื มโยงกบั กลุม่ สาระการเรียนรอู้ นื่ ๆ
มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชว้ี ัด เปน็ คณุ ภาพผู้เรยี นท่หี ลักสูตรกำหนดเพ่ือให้ผสู้ อน
จัดการเรียนรู้ และประเมนิ ผลผู้เรียนใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย
ความร้ฝู ังแนน่ ความเข้าใจท่ีคงทน การเรียนรูต้ ามตัวชวี้ ัด
(Enduring Understanding) ผ้เู รยี นสามารถสรปุ ความรทู้ ี่สำคญั หลงั จาก
สาระการเรียนรู้ จบกระบวนการเรยี นรเู้ ปน็ ความร้ทู ีฝ่ ังแน่น
สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน
เป็นการเสนอหัวข้อเนอื้ หาท่ีเรียน
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ กำหนดสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนทส่ี อดคล้อง
กบั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
กำหนดคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ที่สอดคลอ้ ง
กบั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้

องคป์ ระกอบ จ

ภาระงาน : ชน้ิ งาน/การแสดงออก ความสำคญั
ของผเู้ รียน
คำถามสำคัญ กำหนดหลักฐานหรือร่องรอยจากการเรียนรู้
ของผ้เู รยี นเพ่อื ใช้ประเมินผลการเรียนรู้
การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ คำถามทีก่ ระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนเกิดความสนใจ
ไดค้ ดิ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ ประเมนิ ค่า
ส่ือการเรยี นร/ู้ แหลง่ การเรยี นรู้ และเกดิ การเรียนรู้
ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็น
การประเมินการเรียนรู้ Active Learning โดยใช้กระบวนการ GPAS 5 Steps
แบบประเมนิ ตามสภาพจรงิ ตามมาตรฐานสากล มีการบูรณาการหลักปรชั ญา
ของเศรษฐกจิ พอเพียง สร้างเสรมิ คา่ นยิ มหลกั
(Rubrics) 12 ประการ และทักษะศตวรรษที่ 21 ถา่ ยโยงความรู้
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น (Pre-Test) ส่อู าเซียนและโครงงาน 4.0
เป็นสอื่ และอุปกรณ์ทีใ่ ช้ประกอบการจดั การเรยี นรู้
แบบทดสอบหลงั เรียน (Post-Test) ท่ีผู้สอนสามารถจดั เตรียมได้ง่ายตามท้องถนิ่
ผูส้ อนสามารถปรับเปลยี่ นให้เหมาะสมได้
แบบบนั ทกึ สรุปผลการเรยี นรู้สำหรบั ผูเ้ รียน ประเมนิ การเรยี นร้ขู องผเู้ รียนครอบคลุม K P A
ข้อเสนอแนะของผูบ้ ริหารสถานศึกษา ด้วยเคร่อื งมือและเกณฑ์การประเมนิ
เปน็ การกำหนดระดบั คุณภาพผู้เรียน
เพอ่ื ใช้ประเมนิ ชิน้ งานและการแสดงออก
เป็นแบบทดสอบก่อนการเรียนการสอน
ในแต่ละหน่วยการเรยี นรู้ เพือ่ ใหเ้ ห็นถึง
ความร้แู ละประสบการณเ์ ดมิ ของผูเ้ รียน
เป็นแบบทดสอบหลงั การเรียนการสอน
ในแตล่ ะหน่วยการเรียนรู้ เพื่อให้เห็นถึง
พฒั นาการการเรยี นรขู้ องผู้เรียน
ใช้เป็นขอ้ มูลในการพัฒนาการเรยี นรขู้ องผู้เรียน
และสะท้อนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ของผ้สู อน
เป็นการบนั ทึกความคดิ เหน็ เก่ียวกับการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ในแผน เพื่อให้ผูส้ อนใชเ้ ปน็ แนวทาง
การปรับการสอนก่อนทีจ่ ะไปใช้ในการสอนจรงิ

องค์ประกอบ ฉ

บันทึกหลังการสอน ความสำคญั

ใหค้ รไู ด้บนั ทึกสง่ิ สำคัญที่เกดิ ข้นึ ในการสอน เช่น
ความสำเรจ็ ทีเ่ กิดขน้ึ ปัญหาระหวา่ งการสอน
เพอ่ื ใช้ในการปรับปรงุ และพฒั นาการสอน
ในคร้งั ต่อไป



การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบัน มุ่งเน้นการเสริมสร้างความรู้ ความสามารถ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์
ของการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 และเป็นไปตามปฏิญญาว่าด้วยการจัดการศึกษาของ UNESCO ได้แก่

Learning to know: หมายถึง การเรียนเพื่อให้มีความรู้ในสิ่งต่าง ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อไป ได้แก่
การรูจ้ กั การแสวงหาความรู้ การต่อยอดความรูท้ ่ีมีอยู่ และรวมทง้ั การสร้างความรูข้ ึ้นใหม่

Learning to do: หมายถึง การเรียนเพื่อการปฏิบัติหรือลงมือทำ ซึ่งนำไปสู่การประกอบอาชีพ
จากความรูท้ ีไ่ ด้ศกึ ษามา รวมท้งั การปฏบิ ตั เิ พอ่ื สร้างประโยชน์ใหส้ ังคม

Learning to live together: หมายถงึ การเรียนรู้เพ่ือการดำเนินชีวิตอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ ืน่ ไดอ้ ยา่ งมีความสุข
ทง้ั การดำเนนิ ชวี ติ ในการเรยี น ครอบครัว สงั คม และการทำงาน

Learning to be: หมายถึง การเรียนรู้เพื่อให้รู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ รู้ถึงศักยภาพ ความถนัด
ความสนใจของตนเอง สามารถใชค้ วามรูค้ วามสามารถของตนเองให้เกดิ ประโยชนต์ อ่ สงั คม เลือกแนวทาง
การพัฒนาตนเองตามศักยภาพ วางแผนการเรียนต่อการประกอบอาชีพท่ีสอดคล้องกับศักยภาพของตนเองได้

ท้ังน้ีเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพท้ังในฐานะพลเมืองไทยและพลเมืองโลกเทียบเคียงได้กับ
นานาอารยประเทศ โดยมุง่ เนน้ ใหผ้ เู้ รียนมศี ักยภาพที่สำคัญ ดังน้ี

1. ความรู้พื้นฐานในยุคดิจิทัล (Digital-Age Literacy) มีความรู้พื้นฐานท่ีจำเป็นทางวิทยาศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี ภาษา ข้อมูลสารสนเทศและทัศนภาพ (Visual & Information Literacy)
รพู้ หุวัฒนธรรม และมคี วามตระหนกั สำนกึ ระดับโลก (Multicultural Literacy & Global Awareness)

2. ความสามารถคิดประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ (Inventive Thinking) มีความสามารถในการ
ปรับตัว สามารถจัดการสภาวการณ์ที่มีความซับซ้อน เป็นบุคคลที่ใฝ่รู้ สามารถกำหนดหรือตั้งประเด็น
คำถาม (Hypothesis Formulation) เพ่ือนำไปสู่การศึกษาค้นคว้า แสวงหาความรู้ มีความสามารถในการคิด
วิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ ข้อมูลสารสนเทศ และสรุปองค์ความรู้ (Knowledge Formulation) ใช้ข้อมูลเพื่อ
การตัดสินใจเก่ยี วกับตนเองและสังคมไดอ้ ย่างเหมาะสม

3. ทักษะการส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Communication) ความสามารถในการรับ
และส่งสาร การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลขา่ วสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง มีวฒั นธรรมในการใช้ภาษา
ถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ
ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งมีทักษะในการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและ
ลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ตลอดจนสามารถเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึง
ผลกระทบทม่ี ตี ่อตนเองและสงั คม

4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (Life Skill) ความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและอยู่ร่วมกันในสังคม
เข้าใจความสัมพันธ์และการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม สามารถจัดการปัญหาและความ
ขัดแย้งต่าง ๆ และนำไปสู่การปฏิบัติ สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม นำไปสู่การใช้ให้เกิดประโยชน์
ต่อสังคม การบรกิ ารสาธารณะ (Public Service) รวมทงั้ การเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก (Global Citizen)



5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี การสืบค้นความรู้จากแหล่งเรียนรู้ และวิธีการที่หลากหลาย
(Searching for Information) เลือกใช้เทคโนโลยดี ้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพ่ือการ
พัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง
เหมาะสม และมีคณุ ธรรม

นอกจากนี้ยังมีผู้กล่าวถึงประสบการณ์จริงของผู้เรียนในยุคของการส่ือสารโลกไร้พรมแดน
บนความหลากหลายของพหวุ ัฒนธรรม การเพม่ิ พนู สมรรถนะผู้เรียนให้สามารถครองชีวติ ในโลกยุคใหม่นี้
ควรประกอบไปด้วยสมรรถนะสำคญั ดังนี้

11
11


สุดยอดค่มู ือครู

1. การอยู่รว่ มกนั ในสังคมพหุวัฒนธรรม
2. การเป็นผูน้ ำและมีความรบั ผดิ ชอบ
3. การทำงานเป็นทมี และการสอื่ สาร
4. การคิดอย่างมวี จิ ารณญาณและการแก้ปัญหา
5. การมสี ว่ นรว่ มในสงั คมโลกและความรับผิดชอบต่อสงั คม



กระบวนการพฒั นาผ้เู รียนสูค่ ณุ ภาพในศตวรรษที่ 21 ตามมาตรฐานสากล กระบวนการเรียนรู้แบบ
GPAS 5 Steps การจดั การเรียนร้ทู เี่ น้นการพฒั นาทกั ษะการคดิ และสรา้ งความรโู้ ดยผู้เรยี น

ดังได้กล่าวถึงแล้วในตอนต้นว่าโลกยุคใหม่ต้องเตรียมคนให้พัฒนาทั้งความรู้ ทักษะ เจตคติ
และค่านยิ ม อยา่ งสมดลุ ทุกดา้ นเพ่อื การดำเนนิ ชีวิต ดว้ ยการสรา้ งงาน สรา้ งอาชพี และอยรู่ ่วมกันในสงั คม
พหุวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์ยั่งยืน มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ การแก้ปัญหาอย่าง
สร้างสรรค์ และริเร่ิมผลิตผลงานด้วยเจตคติ และค่านิยมเพื่อความยั่งยืนของโลก จึงเป็นเป้าหมายสำคัญ
ในการพัฒนาผู้เรียน เพื่อความร่วมมือในภูมิภาคและการแข่งขันในโลกอาชีพ สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ
(พว.) ไดน้ ำนวตั กรรมกระบวนการจัดการเรียนรู้ทีเ่ นน้ กระบวนการคดิ การสรา้ งความรู้ และการนำความรู้
ไปใช้ผลิตผลงานด้วยค่านิยมเพื่อสังคม เพื่อโลก สอดคล้องกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยนำมาใช้ใน
การออกแบบการจัดการเรียนรู้ ดงั น้ี

ทักษะการคดิ และกระบวนการเรยี นรู้ GPAS
กลุ่มนักวิชาการและนักการศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการ ได้สังเคราะห์กระบวนการเรียนรู้ GPAS
มาจากแนวคิดทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึง ปัญญา 3 ได้แก่ 1. สุตมยปัญญา ปัญญาท่ีเกิดจากการสดับรู้การเล่าเรียน
หรือปัญญาที่เกิดจากปรโตโฆสะ 2. จินตามยปัญญา ปัญญาท่ีเกิดจากการคิดพิจารณาหาเหตุผล หรือปัญญา
ท่ีเกิดจากโยนิโสมนสิการ และ 3. ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฝึกอบรมลงมือปฏิบัติหรือปัญญา
ที่เกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต): 2548) และแนวคิดโครงสร้าง 3 ช้ัน แห่งปัญญา
(Three Story Intellect) ท่ีประกอบดว้ ย การรวบรวมข้อมลู (Gathering) การจัดกระทำขอ้ มลู (Processing)
และการประยุกต์ใชข้ ้อมลู ความรู้ (Applying) (Jerry Goldberg: 1996, Art Costa: 1997, Robin Forgarty: 1997)
รวมท้ังแนวคิดการพัฒนาคนให้มีบุคลิกภาพการกำกับตนเอง (Self-Regulating) มาสังเคราะห์เป็นโครงสร้าง
ทักษะการคิด GPAS ดงั แผนภาพ

4 Self-Regulating: S การกำกับตนเอง

3 Applying: A การประยุกต์ใช้ความรู้

2 Processing: P การจัดกระทำขอ้ มลู

1 Gathering: G การรวบรวม คดั เลอื กข้อมลู

แผนภาพ โครงสร้างทกั ษะการคดิ GPAS



จากโครงสร้างทักษะการคิดน้ี สามารถนำมากำหนดเป็นกระบวนการพัฒนาทักษะการคิด โดยมีการ
กำกับตนเอง (Self-Regulating) เป็นแกนในการพัฒนาทกั ษะดงั แผนภูมิ

แผนภมู กิ ระบวนการพฒั นาทักษะการคิด

ความหมายของทกั ษะการคิดในโครงสร้าง GPAS
ทักษะการคิดในโครงสร้าง GPAS มีทักษะที่สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21
ทิศทางการศึกษาไทยและหลักสูตรการเรียนการสอนในทุกระดับการศึกษา ขอยกมาเป็นตวั อยา่ ง ดังน้ี
ทกั ษะการคิดระดบั การรวบรวมขอ้ มูล (Gathering: G) ได้แก่
1. การกำหนดประเด็นในการรวบรวมข้อมูล (Focusing Skill) หมายถึง การกำหนดขอบเขต
การศึกษาและมุ่งความสนใจไปในทิศทางตามจุดประสงค์ท่ีต้องการศึกษาให้ชัดเจน เพ่ือที่จะได้คัดเลือกเฉพาะ
ข้อมูลท่เี กี่ยวข้อง
2. การสงั เกตด้วยประสาทสัมผสั (Observing) หมายถึง การรับรู้และรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับ
ส่งิ ใดสงิ่ หนึง่ โดยใช้ประสาทสัมผัสทงั้ 5 เพือ่ ใหไ้ ดร้ ายละเอียดเกย่ี วกบั สง่ิ น้นั ๆ ซ่งึ เป็นข้อมลู เชิงประจักษ์
ท่ไี มม่ กี ารใชป้ ระสบการณ์และความคดิ เหน็ ของผู้สังเกตในการเสนอข้อมูล ข้อมลู จากการสังเกตมีทง้ั ขอ้ มูล
เชิงปรมิ าณและขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพ
3. การบนั ทกึ ข้อมลู (Encoding & Recording) หมายถงึ กระบวนการประมวลข้อมูลของสมอง
เม่ือรับสิ่งเร้าจากประสาทสัมผัสท้ัง 5 จะไดร้ ับการบันทึกไว้ในความจำระยะสนั้ หากต้องการเก็บข้อมลู ไว้ใช้
ตอ่ ๆ ไป ข้อมลู นนั้ จะต้องเปล่ียนรูปโดยการเขา้ รหัส (Encoding) เพื่อนำไปเกบ็ ไว้ในความจำระยะยาว
ซง่ึ จะสามารถเรียกขอ้ มูลมาใชไ้ ดภ้ ายหลงั โดยการถอดรหสั (Decoding)
4. การดึงข้อมูลเดิมมาใช้และย่อความ (Retrieving & Summarizing) หมายถึง การนำข้อมูล
ที่มีอยู่นำกลับมาใช้ใหม่ และการจับใจความสำคัญของเรื่องที่ต้องการสรุปแล้วเรียบเรียงให้กระชับครอบคลุม
สาระสำคญั



ทกั ษะการคิดระดับการจดั กระทำขอ้ มูล (Processing: P)
1. การจำแนก (Discriminating) หมายถึง การแยกแยะส่ิงตา่ ง ๆ ตามมิติทกี่ ำหนด
2. การเปรยี บเทียบ (Comparing) หมายถงึ การค้นหาความเหมอื นและหรือความแตกตา่ งของ
องคป์ ระกอบตั้งแต่ 2 องค์ประกอบขน้ึ ไป เพื่อใชใ้ นการอธิบายเร่อื งใดเร่ืองหนึง่ ในเกณฑ์เดยี วกัน
3. การจัดกลุ่ม (Classifying) หมายถงึ การนำส่ิงต่าง ๆ มาแยกเป็นกลุ่มตามเกณฑท์ ่ีได้รับการยอมรับ
ทางวิชาการ หรือการยอมรับโดยทัว่ ไป
4. การจัดลำดับ (Sequencing) หมายถงึ การนำข้อมูลหรือเร่ืองราวทเ่ี กิดขึน้ มาจัดเรียงใหเ้ ปน็ ลำดับว่า
อะไรมากอ่ น อะไรมาทีหลัง
5. การสรปุ เชอื่ มโยง (Connecting) หมายถึง การบอกความสมั พนั ธเ์ กี่ยวข้องเชอ่ื มโยงกัน
ของข้อมลู อย่างมคี วามหมาย
6. การไตรต่ รองด้วยเหตผุ ล (Reasoning) หมายถงึ ความสามารถในการบอกที่มาของสิง่ ใด ๆ
หรือเหตุการณใ์ ด ๆ หรือส่งิ ท่ีเปน็ สาเหตุของพฤตกิ รรมนน้ั ได้
7. การวิจารณ์ (Criticizing) หมายถึง การท้าทายและโต้แย้งข้อสมมุติฐานท่ีอยู่เบ้ืองหลัง
เหตุผลทีโ่ ยงความคิดเหล่านัน้ เพื่อเปิดทางสู่แนวความคดิ อื่น ๆ ที่อาจเป็นไปได้
8. การตรวจสอบ (Verifying) หมายถึง การยืนยันหรือพิสูจน์ข้อมูลท่ีสังเกต รวบรวมมา
ตามความถูกต้องเป็นจรงิ

ทกั ษะการคิดระดับการประยุกต์ใช้ (Applying: A)
1. การใช้ความรู้อย่างสร้างสรรค์ (Creative) หมายถึง การนำความรู้ที่เกิดจากความเข้าใจ
ไปใช้ในการสรา้ งสรรค์สิ่งใหม่หรอื แก้ปัญหาทีม่ ีอยใู่ หด้ ีขึ้น
2. การวิเคราะห์ (Analysis) หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะหลักการ องคป์ ระกอบสำคัญ
หรอื ส่วนย่อย ตลอดจนหาความสมั พนั ธร์ ะหว่างสว่ นต่าง ๆ ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง
3. การสังเคราะห์ (Synthesis) หมายถงึ การนำความรทู้ ผี่ ่านการวเิ คราะห์มาผสมผสานสร้างสิ่งใหม่
ทม่ี ลี กั ษณะต่างจากเดมิ
4. การตดั สินใจ (Decision Making) หมายถึง การพจิ ารณาเลือกทางเลือกต้งั แต่ 2 ทางเลือกข้ึนไป
ทางเลอื กหรอื ตัวเลอื กนัน้ อาจเป็นวัตถุสง่ิ ของหรอื แนวปฏิบัตติ า่ ง ๆ เพ่ือใช้ในการแกป้ ญั หาหรือดำเนินการ
เพือ่ ใหบ้ รรลุตามวัตถปุ ระสงค์ทต่ี ง้ั ไว้
5. การนำความรู้ไปปรบั ใช้ (Transferring) หมายถึง การถา่ ยโอนความรู้ทม่ี ีอยู่ไปปรับใชใ้ น
สถานการณ์อื่น
6. การแก้ปญั หา (Problem Solving) หมายถึง การวิเคราะห์สถานการณ์ท่ียากเพื่อจุดประสงค์
ในการแก้ไขสถานการณ์หรอื ขจดั ให้ปญั หาน้ันหมดไป นำไปสู่สภาวะที่ดีกว่าหรอื มีทางออก



7. การคดิ วเิ คราะห์วิจารณ์ (Critical Thinking) หมายถึง ความสามารถในการพจิ ารณา ประเมิน
และตัดสินสงิ่ ตา่ ง ๆ หรือเรอื่ งราวท่ีเกดิ ขึน้ ท่ีมขี ้อสงสยั หรือขอ้ โตแ้ ย้ง โดยการพยายามแสวงหาคำตอบทมี่ คี วาม
สมเหตุสมผล

8. การคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) หมายถึง ความสามารถในการคิดได้อย่าง
กว้างไกลหลายทิศทางอย่างเป็นกระบวนการ โดยใช้จนิ ตนาการทห่ี ลากหลายเพ่ือก่อใหเ้ กิดความแปลกใหม่
ในการสรา้ ง ผลติ ดดั แปลงงานตา่ ง ๆ ซึ่งจะต้องเช่ือมโยงระหว่างประสบการณเ์ กา่ กับประสบการณ์ใหม่
ความคิดสร้างสรรคจ์ ะเกดิ ข้นึ ได้กต็ ่อเมื่อผู้คดิ มอี สิ ระทางความคิด

ทักษะการคดิ ระดับการกำกบั ตนเอง (Self-Regulatings: S)
1. การตรวจสอบและควบคมุ การคิด (Meta-Cognition) หมายถึง การที่บุคคลรู้และเขา้ ใจถึงความคิด
ของตนเอง ไตร่ตรองก่อนกระทำอะไรอย่างใดอย่างหน่งึ เป็นการประเมินการคิดของตนเองและใช้ความรนู้ ัน้
ในการควบคุมหรือปรับการกระทำของตนเอง ซ่ึงครอบคลุมถึงการวางแผนการควบคุมกำกับการกระทำ
ของตนเอง การตรวจสอบความก้าวหนา้ และการประเมนิ ผล
2. การสร้างค่านิยมการคิด (Thinking Value) หมายถงึ การคิดเพื่อประโยชน์ในระดบั ต่าง ๆ ได้แก่
เพือ่ ประโยชนต์ น กล่มุ ตน เพือ่ สงั คมและเพื่อประโยชนข์ องกลุม่ และเพอ่ื ประโยชนข์ องประเทศชาติ โลก
ทุกองคป์ ระกอบ
3. การสร้างนิสัยการคิด (Thinking Disposition) หมายถึง ลักษณะเฉพาะของการกระทำของคน
ที่มีสติปัญญา เม่ือเผชิญหน้ากับปัญหาการตัดสินใจที่จะแก้ปัญหา จะไม่กระทำทันทีทันใดก่อนที่จะมีข้อมูล
หลักฐานชัดเจนเพียงพอ นิสัยแห่งการคิด คือ รู้ว่าจะใช้ปัญญาทำอย่างไรในการหาคำตอบ นิสัยแห่งการคิดที่ดี
ควรมี ดังน้ี

3.1 นิสัยการคิดท่ดี ีต้องกลา้ เส่ยี งและผจญภัย (กล้าท่จี ะคดิ )
3.2 นิสยั การคิดที่ดตี ้องคดิ แปลก คดิ แยกแยะ ชตี้ ัวปญั หา คิดสำรวจไตส่ วน
3.3 นิสัยการคดิ ทด่ี ีตอ้ งสรา้ งคำอธบิ ายและสร้างความเขา้ ใจ
3.4 นิสยั การคดิ ทด่ี ตี อ้ งสรา้ งแผนงานและมกี ลยทุ ธ์
3.5 นสิ ัยการคดิ ที่ดีต้องเป็นการใช้ความระมัดระวังทางสตปิ ญั ญา ใชส้ ตปิ ญั ญาอย่างรอบคอบ
เท่ียงตรง แมน่ ยำและถกู ต้อง



บันได 5 ขน้ั ของการจัดการเรียนรู้สู่มาตรฐานสากล (Five Steps for Student Development)
โรงเรียนมาตรฐานสากลได้ปรบั ปรงุ รูปแบบการจัดการเรยี นรู้เพ่ือให้ผเู้ รียนมีคุณลักษณะและศักยภาพ
ความเป็นสากล โดยจัดเป็นหลักสูตรการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Independent Study: IS)
เป็นเคร่ืองมือสำคัญของแนวคิดในการศึกษาตลอดชีวิต มีความมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้
ด้วยตนเองเก่ียวกับประเด็นท่ีอยู่ในความต้องการและความสนใจอย่างเป็นระบบ เป็นการเพ่ิมพูน
ความรู้ ความเข้าใจ อีกทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการคิด ตระหนักถึงความสำคัญของกระบวนการศึกษาค้นคว้า
ดว้ ยตนเอง และสามารถนำไปประยกุ ต์ใช้ในการเรยี นรตู้ ลอดชีวิตได้ การศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเอง
แบ่งเปน็ 3 สาระ ดงั แผนภูมิ

IS 3 การนำองค์ความรู้ไปใช้บริการสังคม
(Social Service Activity)

IS 2 การสอื่ สารและการนำเสนอ
(Communication and Presentation)

IS 1 การศกึ ษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้
(Research and Knowledge Formulation)

แผนภูมิการจดั หลกั สูตรการเรียนรู้ การศกึ ษาค้นควา้ ดว้ ยตนเอง (Independent Study: IS)

IS 1 การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (Research and Knowledge Formulation) เป็น
สาระที่มุ่งให้ผู้เรียนกำหนดประเดน็ ปญั หา ตั้งสมมุติฐาน ค้นคว้า แสวงหาความรแู้ ละฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์
สงั เคราะห์ และสรา้ งองคค์ วามรู้

IS 2 การสื่อสารและการนำเสนอ (Communication and Presentation) เป็นสาระที่มงุ่ ให้ผู้เรียน
นำความรู้ท่ีได้รับมาพัฒนาวิธีการถ่ายทอด สื่อสารความหมาย แนวคิด ข้อมูลและองค์ความรู้ ด้วยวิธีการ
นำเสนอทเ่ี หมาะสม หลากหลายรปู แบบ และมปี ระสิทธิภาพ

IS 3 การนำองคค์ วามรูไ้ ปใช้บริการสังคม (Social Service Activity) เป็นสาระทม่ี ุง่ ใหผ้ ู้เรียน
นำองค์ความรู้ ประยุกตใ์ ช้องคค์ วามรูไ้ ปสู่การปฏิบัติหรือนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ตอ่ สงั คม
เกิดบริการสาธารณะ (Public Service)



กระบวนการสำคัญในการจัดการเรยี นรู้การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองทั้ง 3 ระดบั (Independent Study: IS 1-3)
จัดกระบวนการเรียนรู้เป็น “บันได 5 ขั้น ของการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมาตรฐานสากล (Five Steps for Student
Development)” ไดแ้ ก่

ขน้ั ท่ี 1 การตั้งประเด็นคำถามหรอื การตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis Formulation) เป็นการฝึก
ใหผ้ ู้เรยี นรูจ้ ักคดิ สังเกต ตัง้ คำถามอยา่ งมเี หตผุ ลและสรา้ งสรรค์ ซงึ่ จะสง่ เสริมใหผ้ ้เู รียนเกิดการเรียนรู้ในการ
ตง้ั คำถาม (Learning to Question)

ขั้นที่ 2 การสืบค้นความรู้จากแหล่งเรียนรู้และสารสนเทศ (Searching for Information) เป็นการ
ฝกึ แสวงหาความรู้ ข้อมูล และสารสนเทศจากแหล่งเรียนรู้อย่างหลากหลาย เชน่ ห้องสมุด อนิ เทอรเ์ นต็ หรือ
จากการปฏิบตั ิทดลอง ซ่ึงส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นร้ใู นการแสวงหาความรู้ (Learning to Search)

ขั้นท่ี 3 การสร้างองค์ความรู้ (Knowledge Formulation) เป็นการฝึกให้นำความรู้ ข้อมูล และ
สารสนเทศทไี่ ด้จากการแสวงหาความรู้มาอภิปราย เพื่อนำไปสู่การสรปุ และสรา้ งสรรค์องค์ความรู้
(Learning to Construct)

ขั้นที่ 4 การสือ่ สารและการนำเสนออยา่ งมีประสิทธิภาพ (Effective Communication) เป็นการฝกึ
ให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้มาส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีทักษะ
ในการส่อื สาร (Learning to Communicate)

ขั้นที่ 5 การบริการสังคมและจิตสาธารณะ (Public Service) เป็นการนำความรู้สู่การปฏิบัติ
ซึ่งผู้เรยี นจะตอ้ งเช่อื มโยงความรู้ไปส่กู ารทำประโยชนใ์ ห้กับสังคมและชมุ ชนรอบตวั ตามวุฒภิ าวะของผเู้ รียน
ซ่งึ จะส่งเสรมิ ให้ผู้เรยี นมีจติ สาธารณะและบริการสังคม (Learning to Service)

จากแนวคิดการพัฒนาทักษะการคิด GPAS และการเรียนรู้ด้วยตนเอง IS 5 Steps ท่ีกล่าวถึงข้างต้น
สำนักพิมพ์ บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) จำกัด ได้นำมาสังเคราะห์หลอมรวมเป็นการจัด
กระบวนการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการคิด เน้นผู้เรียนสร้างความรู้ ใช้ความรู้ผลิตผลงาน เป็นกระบวนการเรียนรู้
แบบ GPAS 5 Steps กลา่ วคือ

Step 1 Gathering (ข้นั สงั เกต รวบรวมข้อมลู )
Step 2 Processing (ขน้ั คดิ วเิ คราะห์และสรปุ ความรู้)
Step 3 Applying and Constructing the Knowledge (ขัน้ ปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏบิ ตั ิ)
Step 4 Applying the Communication Skill (ขน้ั ส่อื สารและนำเสนอ)
Step 5 Self-Regulating (ขั้นประเมินเพ่ือเพม่ิ คุณคา่ บริการสงั คมและจติ สาธารณะ)



สรปุ ได้ดังแผนภูมติ อ่ ไปนี้

การนำกระบวนการเรียนรู้ GPAS 5 Steps ไปใช้ในการออกแบบการเรยี นรู้
กระบวนการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps สอดคล้องกับทฤษฎีพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเพียเจต์
(Jean Piaget) และของวีก๊อทสกี้ (Semyonovich Vygotsky) เป็นรากฐานสำคัญของทฤษฎีการสร้างความรู้
ด้วยตนเอง (Constructivism) ท่ีเน้นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนคิดลงมือทำและสรุปความรู้ด้วยตนเอง โดยการปะทะ
สมั พันธก์ ับประสบการณต์ ่าง ๆ และมกี ารแลกเปล่ียนเรียนรู้ มมุ มองหลากหลายจึงทำใหผ้ ู้เรยี นมีข้อมลู นำไปสู่
การปรับโครงสร้างความรู้ ความคิดรวบยอด หรือหลักการสำคัญท่ีศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Independent
Study) จึงเป็นแนวทางท่ีตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลทั้งในแง่ความสนใจ ประสบการณ์ วิธีการ
เรียนรู้ และการให้คุณค่าความรู้ที่ผู้เรียนแต่ละคนสร้างข้ึนอย่างมีความหมาย เพ่ือนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ
ตนเอง ชุมชน และสังคมโลก การเรียนรู้ตามทฤษฎี การสร้างความรู้เป็นกระบวนการ “Acting on” ไม่ใช่
“Taking in” กล่าวคือ เป็นกระบวนการท่ีผู้เรียนจะต้องจัดกระทำกับข้อมูลไม่ใช่เพียงรับข้อมูลเข้ามา และ
นอกจากกระบวนการเรียนรู้จะเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ภายในสมอง (Internal Mental Interaction)
แล้วยังเป็นกระบวนการทางสังคมอีกด้วย การสร้างความรู้จึงเป็นกระบวนการท้ังด้านสติปัญญาและสังคม
ควบคู่กันไป การเรียนการสอนต้องเปลี่ยนจาก “Instruction” ไปเป็น “Construction” คือ เปล่ียนจาก
“การใหค้ วามรู้” ไปเป็น “การใหผ้ เู้ รียนสรา้ งความรู้ ใช้ความรผู้ ลิตผลงาน”



การจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับแนวคิดนี้ คือ การออกแบบการเรียนรู้แบบ Backward Design
แบง่ เป็น 3 ขัน้ ตอน ไดแ้ ก่

ขั้นตอนที่ 1 กำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ที่สะท้อนผลการเรียนรู้ ซึ่งบอกให้ทราบว่าต้องการให้
ผู้เรียนรู้อะไร และสามารถทำอะไรได้เมือ่ จบหนว่ ยการเรียนรู้

ขั้นตอนที่ 2 กำหนดหลักฐาน ร่องรอยการเรียนรู้ที่ชัดเจนและแสดงให้เห็นว่าผู้เรียนเกิดผลการเรียนรู้
ตามเปา้ หมายการเรียนรู้

ขั้นตอนที่ 3 ออกแบบกระบวนการ/กิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามเป้าหมาย
การเรียนรู้

(รายละเอยี ดไดเ้ สนอแนะไวใ้ นคำแนะนำในการนำคู่มือครูไปใช้จัดการเรียนการสอน)

การประเมินตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment)
การประเมินผลตามสภาพจริงเป็นทางเลือกหน่ึงในการประเมินผลการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น
ศูนย์กลางและปฏิบัติจริง สามารถนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนอย่างแท้จริง สามารถประเมินความสามารถทักษะ
การคิดข้ันสูงที่ซับซ้อน ตลอดจนความสามารถในการแก้ปัญหาและการประยุกต์ใช้ความรู้ในการผลิตผลงาน
ช้ินงานต่าง ๆ ได้ วิธีการประเมินผลดังกล่าวเป็นการประเมินผลเชิงบวกเพื่อค้นหาความสามารถ จุดเด่นและ
ความก้าวหน้าของผู้เรียน รวมท้ังให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เรียนในจุดที่ต้องการพัฒนาให้สูงข้ึนตามศักยภาพ
เป็นเคร่ืองมือประเมินผลที่มีประสิทธิภาพท่ีใช้ในการประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน (Formative Evaluation)
หรืออีกนัยหน่ึงเรียกว่า Assessment for Learning รวมท้ังสามารถใช้ในการประเมินผลรวม (Summative
Evaluation) หรือ Assessment of Learning ในสถานการณ์การเรียนการสอนท่ีใกลเ้ คียงชวี ติ จริง
การประเมินผลตามสภาพจริงจะมีความต่อเนื่องในการให้ข้อมูลเชิงคุณภาพที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สอน
ได้ใช้เป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการสอนให้เหมาะสมเป็นรายบุคคลได้ และท่ีสำคัญมีการจัดการเรียนการสอน
จากแนวคิดทีเ่ ปลีย่ นจากเดิมไปส่กู ารจัดการเรยี นการสอนแบบใหม่ ดงั ตารางต่อไปน้ี



ตารางเปรียบเทยี บกระบวนการเรยี นการสอนจากแนวคดิ เดมิ และแนวคดิ ใหม่

แนวคิดเดิม แนวคิดใหม่

1. วางแผนโดยยดึ พฤติกรรมเปน็ หลกั 1. วางแผนจากส่งิ ท่ผี ู้เรยี นอยากร้แู ละอยากทำ
2. สอนไปตามหวั ข้อของเนื้อหา ในกรอบของหนว่ ยการเรยี น
3. มจี ดุ ประสงค์กว้าง ๆ
4. มักเน้นเพยี ง 1-2 สมรรถภาพและวธิ กี ารเรยี น 2. เกดิ การเรียนรูท้ ีล่ ึกซึง้
5. ผู้สอนเปน็ ผูด้ ำเนนิ การ 3. มจี ดุ ประสงค์ท่ีชัดเจน
6. ยดึ ตำราเรียนเปน็ หลกั 4. ใชส้ มรรถภาพและวธิ ีการเรยี นที่หลากหลาย
7. ใชก้ ฎเกณฑ์บงั คบั เสมอ 5. ผ้เู รยี นมีความตอ้ งการเปน็ ตัวกระตุ้นใหเ้ กิด
8. ภาระงานและกระบวนการถูกแบ่งเปน็ ส่วนยอ่ ย
9. ผู้เรียนปฏบิ ัติงานโดยไม่ทราบจดุ มงุ่ หมาย การศึกษาและการเรียนรู้
6. ใชแ้ หล่งการเรียนรู้
ทช่ี ัดเจน 7. สนองความต้องการของผูเ้ รยี นอยา่ งเหมาะสม
10. ประเมนิ ผลครง้ั เดียวเม่ือจบบทเรียน 8. ภาระงานและกระบวนการรวมอย่ดู ว้ ยกัน
11. ผูส้ อนเป็นผูป้ ระเมนิ 9. ผู้เรียนปฏิบตั งิ านโดยมจี ุดมุ่งหมายที่ชดั เจน
12. ผู้สอนรู้เกณฑก์ ารประเมนิ แต่ผเู้ ดียว 10. ประเมินผลตลอดเวลาต้งั แต่เร่ิมปฏบิ ัติจนสิ้นสดุ
13. ประเมินผลเฉพาะภาคความรู้
ภาระงาน
11. ผเู้ ช่ียวชาญเรอื่ งนนั้ เปน็ ผู้ประเมิน
12. ผูส้ อนและผเู้ รยี นรู้เกณฑ์การประเมนิ ทั้งสองฝ่าย
13. ประเมินผลทง้ั ความรู้ ความเข้าใจ

และกระบวนการท่ผี ู้เรียนนำความร้ตู า่ ง ๆ
มาประยุกต์ใช้

อ้างอิงจาก Kentucky Department of Education, 1998 “How to Develop a Standard-Based Unit of
Study” p. 3

การประเมนิ ตามสภาพจรงิ เป็นทางเลือกอีกทางหน่ึงสำหรับการวัดและการประเมนิ ผล ซึง่ เขา้ มามี
บทบาททดแทนแบบทดสอบมาตรฐานซงึ่ สว่ นใหญ่เปน็ แบบทดสอบเลอื กตอบ ทีไ่ มส่ ามารถวดั และประเมินผล
ความร้แู ละทักษะได้ ลักษณะสำคัญของการประเมินตามสภาพจรงิ มีองคป์ ระกอบสำคัญ ดงั น้ี

1. เป็นงานปฏิบตั ทิ ี่มคี วามหมาย (Meaningful Task) งานท่ใี หผ้ ู้เรยี นปฏิบัตติ อ้ งเปน็ งานท่ี
สอดคล้องกบั ชีวิตประจำวัน เปน็ เหตุการณ์จรงิ มากกว่ากจิ กรรมท่จี ำลองขนึ้ เพื่อใชใ้ นการทดสอบ

2. เป็นการประเมนิ รอบด้านดว้ ยวธิ กี ารทหี่ ลากหลาย (Multiple Assessment) เป็นการประเมนิ
ผเู้ รียนทกุ ด้าน ท้งั ความรู้ ความสามารถ ทักษะ ตลอดจนคุณลักษณะนิสัย โดยใช้เครื่องมือท่ีเหมาะสม
สอดคล้องกับวิธีแห่งการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียน เน้นให้ผู้เรียนตอบสนองด้วยการแสดงออก
สร้างสรรค์ ผลิตหรือทำงาน ในการประเมินผู้สอนจึงต้องประเมินหลาย ๆ คร้ัง ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย
และเหมาะสม เน้นการลงมอื ปฏบิ ัติมากกว่าการประเมนิ ดา้ นองค์ความรู้



3. ผลผลิตมคี ุณภาพ (Quality Products) ผเู้ รียนจะมกี ารประเมินตนเองตลอดเวลาและพยายาม
แก้ไขจุดด้อยของตนเองจนกระทั่งได้ผลงานท่ีผลิตขึ้นอย่างมีคุณภาพ ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในผลงาน
ของตนเอง มีการแสดงผลงานของผู้เรยี นต่อสาธารณชน เพื่อเปดิ โอกาสใหผ้ ู้อืน่ ไดเ้ รียนรูแ้ ละช่ืนชม จากการจดั
กจิ กรรมการเรยี นการสอน ผูเ้ รยี นมโี อกาสเลอื กปฏิบัตงิ านได้ตามความพงึ พอใจ นอกจากน้ียงั จำเป็นต้องมี
มาตรฐานของงาน หรือสภาพความสำเรจ็ ของงานทีเ่ กดิ จากการกำหนดร่วมกันระหว่างผู้สอน ผูเ้ รียน และ
อาจรวมถงึ ผู้ปกครองด้วย มาตรฐานหรือสภาพความสำเร็จดงั กลา่ วจะเป็นส่งิ ทช่ี ่วยบ่งบอกวา่ งานของผเู้ รียน
มคี ุณภาพอยใู่ นระดบั ใด

4. ใช้ความคิดระดับสูง (Higher-Order Thinking) ในการประเมนิ ตามสภาพจริง ผู้สอนตอ้ ง
พยายามใหผ้ เู้ รยี นแสดงออกหรอื ผลติ ผลงานขึ้นมา ซึ่งเป็นผลงานทเี่ กิดจากการคดิ วิเคราะห์ สงั เคราะห์
ประเมินทางเลอื ก ลงมอื กระทำตลอดจนการใชท้ ักษะการแกป้ ัญหา เมื่อพบปญั หาท่ีเกิดขึน้ ซงึ่ ตอ้ งใช้
ความสามารถในการคิดระดบั สงู

5. มีปฏิบัติสัมพันธ์ทางบวก (Positive Interaction) ผู้เรียนต้องไม่รู้สึกเครียดหรือเบื่อหน่าย
ต่อการประเมินผู้สอน ผู้ปกครอง และผู้เรียนต้องมีความร่วมมือที่ดีต่อกันในการประเมิน และการใช้ผล
การประเมนิ แก้ไขปรับปรุงผู้เรยี น

6. งานและมาตรฐานตอ้ งชัดเจน (Clear Tasks and Standard) งานและกจิ กรรมที่จะให้ผเู้ รยี น
ปฏบิ ัตมิ ีขอบเขตชัดเจน สอดคล้องกับจดุ หมายหรือสภาพที่คาดหวังความต้องการท่ีให้เกดิ พฤตกิ รรมดงั กล่าว

7. มีการสะท้อนตนเอง (Self-Reflections) ต้องมีการเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นแสดงความรสู้ ึก
ความคิดเหน็ หรือเหตุผลต่อการแสดงออก การกระทำหรือผลงานของตนเองว่าทำไมถึงปฏิบัติหรอื ไมป่ ฏิบัติ
ทำไมถึงชอบและไมช่ อบ

8. มีความสัมพันธ์กับชีวิตจริง (Transfer into Life) ปัญหาท่ีเป็นส่ิงเร้าให้ผู้เรียนได้
ตอบสนองต้องเป็นปัญหาท่สี อดคล้องกับชวี ติ ประจำวนั พฤติกรรมท่ีประเมินต้องเปน็ พฤติกรรมทีเ่ กิดขึ้นจรงิ
ในชีวติ ประจำวนั ท้งั ท่ีสถานศึกษาและทบ่ี า้ นสอดคล้องกัน ดงั นน้ั ผู้ปกครองและผ้เู รียนจึงนบั วา่ มีบทบาท
เปน็ อย่างยง่ิ ในการประเมินตามสภาพจรงิ

9. เป็นการประเมนิ อยา่ งต่อเน่อื ง (Ongoing or Formative) ตอ้ งประเมนิ ผู้เรยี นอย่างต่อเนื่อง
ตลอดเวลาและทุกสถานทอ่ี ย่างไม่เป็นทางการ ซึง่ จะทำใหเ้ ห็นพฤติกรรมทแี่ ท้จริง เหน็ พัฒนาการ ค้นพบ
จดุ เดน่ และจุดด้อยของผเู้ รียน



10. เป็นการบูรณาการความรู้ (Integration of Knowledge) งานทใี่ ห้ผ้เู รียนลงมอื ปฏบิ ตั ินัน้

ควรเป็นงานท่ีต้องใช้ความรู้ ความสามารถ และทักษะท่ีเกิดจากการเรียนรู้ในหลายสาขาวิชา ลักษณะสำคัญ-
ดังกลา่ วจะช่วยแก้ไขจุดอ่อนของการจัดการเรียนรู้และการประเมินผลแบบเดิมที่พยายามแยกย่อยจดุ ประสงค์
ออกเป็นส่วน ๆ และประเมินผลเป็นเร่ือง ๆ ดังน้ัน ผู้เรียนจึงขาดโอกาสท่ีจะบูรณาการความรู้และทักษะ
จากวิชาต่าง ๆ เพ่ือใช้ในการปฏบิ ตั ิงานหรอื แกป้ ัญหาที่พบ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ชวี ติ ประจำวันท่งี านแตล่ ะงาน
หรือปัญหานนั้ ตอ้ งใส่ความรู้ ความสามารถ และทักษะจากหลาย ๆ วชิ ามาชว่ ยในการทำงานหรือแก้ไขปัญหา

ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างย่ิงว่า แผนการจัดการเรียนรู้นี้จะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้สอนในการจัดการเรียนรู้
ให้ผู้เรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์ตามรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามมาตรฐานการเรียนรู้และ
ตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551

ภัทรฐิณีพร พงษ์วิสุวรรณ์

1

ตารางสาระและมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตัวชี้วัด
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ ตวั ชีว้ ดั

สาระที่ 1 : วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ -
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ
ความสมั พนั ธ์ระหว่างสง่ิ ไมม่ ชี วี ติ กบั ส่ิงมีชวี ติ และความสัมพนั ธ์ 1. ระบสุ ารอาหารและบอกประโยชนข์ องสารอาหารแตล่ ะ
ระหว่างสิ่งมีชีวติ กบั สิ่งมชี ีวิตต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ การถา่ ยทอด ประเภทจากอาหารที่ตนเองรับประทาน
พลังงานการเปลี่ยนแปลงแทนท่ใี นระบบนิเวศ ความหมายของ 2. บอกแนวทางในการเลือกรบั ประทานอาหารให้ได้
ประชากร ปัญหาและผลกระทบทมี่ ีตอ่ ทรัพยากรธรรมชาติและ สารอาหารครบถ้วน ในสดั ส่วนทีเ่ หมาะสมกับเพศ และวัย
สิ่งแวดลอ้ ม แนวทางในการอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติและการ รวมทงั้ ความปลอดภยั ตอ่ สุขภาพ
แก้ไขปัญหาสิง่ แวดล้อม รวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 3. ตระหนักถึงความสำคัญของสารอาหาร โดยการ เลอื ก
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสง่ิ มชี ีวิต หน่วยพน้ื ฐาน รบั ประทานอาหารท่ีมสี ารอาหารครบถว้ นในสดั สว่ นที่
ของส่ิงมชี วี ิต การลำเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์ เหมาะสมกบั เพศและวยั รวมทง้ั ปลอดภัยตอ่ สุขภาพ
ความสมั พนั ธ์ของโครงสรา้ งและหน้าท่ีของระบบต่าง ๆ ของ 4. สรา้ งแบบจำลองระบบยอ่ ยอาหาร และบรรยายหน้าท่ี
สัตวแ์ ละมนุษย์ท่ีทำงานสัมพันธ์กันความสัมพันธ์ของ ของอวัยวะในระบบยอ่ ยอาหาร รวมทัง้ อธบิ ายการย่อย
โครงสร้างและหน้าที่ของอวยั วะต่าง ๆของพืชท่ีทำงาน อาหารและการดดู ซึมสารอาหาร
สมั พันธ์กัน รวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ 5. ตระหนักถึงความสำคัญของระบบย่อยสารอาหาร โดย
การบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบย่อย
มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญ อาหารให้ทำงานเปน็ ปกติ
ของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม สารพันธกุ รรม
การเปล่ยี นแปลงทางพนั ธุกรรมที่มผี ลต่อสง่ิ มีชวี ติ -
ความหลากหลายทางชวี ภาพและวิวัฒนาการของสิ่งมชี วี ิต
รวมทั้งนำความร้ไู ปใช้ประโยชน์

2

ตารางสาระและมาตรฐานการเรยี นรู้และตัวช้ีวดั
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด
1. อธบิ ายและเปรยี บเทยี บการแยกสารผสม
สาระที่ 2 : วทิ ยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัติของสสาร องคป์ ระกอบ โดยการหยิบออก การร่อน การใชแ้ ม่เหล็กดงึ ดูด
ของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสมบตั ิของสสารกบั การรนิ ออก การกรอง และการตกตะกอน
โครงสร้างและแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งอนภุ าค โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ รวมทง้ั ระบุวิธีแกป้ ัญหา
หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลงสถานะของ ในชีวติ ประจำวันเกี่ยวกบั การแยกสาร
สสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
1. อธิบายการเกิดและผลของแรงไฟฟ้าซงึ่ เกดิ จากวตั ถุ
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาตขิ องแรง ทีผ่ า่ นการขัดถู โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษ์
ในชีวติ ประจำวนั ผลของแรงทกี่ ระทำต่อวัตถุ ลกั ษณะ
การเคลื่อนทแ่ี บบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ 1. ระบุสว่ นประกอบและบรรยายหน้าที่ของแตล่ ะ
ประโยชน์ สว่ นประกอบของวงจรไฟฟ้าอยา่ งง่ายจากหลักฐาน
เชงิ ประจักษ์
มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลังงาน
การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏสิ มั พนั ธ์ 2. เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟา้ อยา่ งง่าย
ระหว่างสสารและพลงั งาน พลงั งานในชวี ติ ประจำวนั 3. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวธิ ีที่เหมาะสม
ธรรมชาตขิ องคลน่ื ปรากฏการณท์ เี่ กี่ยวข้องกบั เสยี ง
แสง และคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมท้งั นำความรู้ไปใช้ ในการอธบิ ายวธิ กี ารและผลของการต่อเซลลไ์ ฟฟ้า
ประโยชน์ แบบอนุกรม
4. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการต่อ
เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมโดยบอกประโยชน์และ
การประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจำวนั
5. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวธิ ีท่เี หมาะสม
ในการอธบิ ายการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมและ
แบบขนาน
6. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรขู้ องการต่อ
หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน โดยบอก
ประโยชน์ ข้อจำกัด และการประยุกตใ์ ช้
ในชีวติ ประจำวนั
7. อธิบายการเกดิ เงามืดเงามัวจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์
8. เขยี นแผนภาพรังสขี องแสงแสดงการเกิดเงามืดเงามวั

3

ตารางสาระและมาตรฐานการเรยี นร้แู ละตัวชี้วดั
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด
1. สร้างแบบจำลองที่อธบิ ายการเกดิ และเปรยี บเทยี บ
สาระท่ี 3 : วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจองค์ประกอบ ลักษณะ ปรากฏการณ์สรุ ิยุปราคาและจนั ทรปุ ราคา
กระบวนการเกดิ และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี 2. อธบิ ายพฒั นาการของเทคโนโลยีอวกาศ และ
ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมท้ังปฏสิ ัมพนั ธ์ภายใน
ระบบสุริยะทสี่ ่งผลต่อสงิ่ มชี วี ติ และการประยกุ ต์ใช้ ยกตวั อย่างการนำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์
เทคโนโลยีอวกาศ ในชีวติ ประจำวนั จากข้อมลู ที่รวบรวมได้

มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองคป์ ระกอบและความสัมพันธ์ 1. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดหนิ อัคนี หินตะกอน
ของระบบโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลงภายในโลกและ และหนิ แปร และอธบิ ายวฏั จกั รหนิ จากแบบจำลอง
บนผิวโลก ธรณพี ิบตั ิภยั กระบวนการเปล่ียนแปลง
ลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศโลก รวมทง้ั ผลตอ่ ส่ิงมีชวี ติ 2. บรรยายและยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์ของหินและ
และส่ิงแวดล้อม แร่ในชีวติ ประจำวันจากข้อมูลที่รวบรวมได้

3. สรา้ งแบบจำลองท่ีอธบิ ายการเกดิ ซากดึกดำบรรพ์
และคาดคะเนสภาพแวดล้อมในอดีตของ
ซากดึกดำบรรพ์

4. เปรยี บเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม
รวมท้งั อธบิ ายผลทีม่ ตี ่อสง่ิ มีชีวติ และส่งิ แวดลอ้ ม
จากแบบจำลอง

5. อธิบายผลของมรสุมต่อการเกิดฤดูของประเทศไทย
จากข้อมูลท่ีรวบรวมได้

6. บรรยายลักษณะและผลกระทบของนำ้ ทว่ ม
การกดั เซาะชายฝง่ั ดนิ ถล่ม แผน่ ดนิ ไหว สึนามิ

7. ตระหนักถึงผลกระทบของภยั ธรรมชาติ และ
ธรณีพบิ ตั ิภยั โดยนำเสนอแนวทางในการเฝา้ ระวัง
และปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากภยั ธรรมชาตแิ ละธรณี
พิบัตภิ ัยที่อาจเกิดในท้องถ่นิ

8. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกดิ ปรากฏการณ์
เรอื นกระจก และผลของปรากฏการณ์เรือนกระจก
ต่อส่ิงมีชวี ติ

9. ตระหนักถึงผลกระทบของปรากฏการณเ์ รือนกระจก
โดยนำเสนอแนวทางการปฏบิ ตั ติ นเพ่ือลดกิจกรรม
ทีก่ ่อให้เกดิ แก๊สเรือนกระจก

4

คำอธบิ ายรายวิชา

ว 16101 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

เวลาเรยี น 80 ชั่วโมง

ศึกษาร่างกายของเรา อาหาร สารอาหาร และพลงั งาน ระบบยอ่ ยอาหาร สารผสม วิธีการแยกสารผสม
ไฟฟา้ แรงไฟฟา้ วงจรไฟฟ้า การตอ่ วงจรไฟฟา้ ปรากฏการณข์ องโลก เงามืดและเงามัว จันทรปุ ราคาและ
สรุ ยิ ุปราคา เทคโนโลยีอวกาศ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยอี วกาศ ประโยชนข์ องเทคโนโลยีอวกาศ
หนิ ในทอ้ งถนิ่ ประเภทของหินและการเกดิ วัฏจกั รของหนิ ประโยชนข์ องหนิ และแร่ ซากดึกดำบรรพ์
ลมบก ลมทะเล และมรสุม ภัยธรรมชาติ และปรากฏการณ์เรือนกระจก

โดยใช้แนวการจัดการเรยี นร้เู ชิงรกุ แบบรวมพลัง ด้วยวธิ กี ารสอนแบบสืบสอบ แนวการสอน 5 ขัน้ ตอน
GPAS 5 ข้ันตอน รูปแบบวงจรการเรียนรู้ 5 ข้นั ตอน การเรียนรูผ้ ่านการใชก้ ิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือสืบสอบความรู้
ทางวทิ ยาศาสตร์ รวมทั้งการเรยี นรู้โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน บรู ณาการเศรษฐกิจแบบพอเพยี งและสะเต็ม
เพือ่ การแกป้ ัญหาเชงิ สรา้ งสรรค์ สรา้ งความรู้ใหม่และส่ิงใหม่อยา่ งง่าย รวมทงั้ การใช้หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์
เพื่อสนับสนุน รวมทงั้ การใชแ้ ละสร้างโมเดล เพ่ืออภปิ รายสู่การเปน็ ผมู้ ีสมรรถนะการรู้วิทยาศาสตร์

เพอื่ การเป็นผ้รู ู้วิทยาศาสตร์ มคี วามสนใจ ความตระหนัก ความใฝ่รู้ เปน็ ผทู้ ำงานเปน็ ทีมและทำงาน
แบบรวมพลงั รวมท้ังมีความรับผิดชอบตอ่ ตนเองและชมุ ชน

รหสั ตัวชวี้ ดั

ว 1.2 ป.6/1, ป.6/2, ป.6/3, ป.6/4, ป.6/5
ว 2.1 ป.6/1
ว 2.2 ป.6/1
ว 2.3 ป.6/1, ป.6/2, ป.6/3, ป.6/4, ป.6/5, ป.6/6, ป.6/7, ป.6/8
ว 3.1 ป.6/1, ป.6/2
ว 3.2 ป.6/1, ป.6/2, ป.6/3, ป.6/4, ป.6/5, ป.6/6, ป.6/7, ป.6/8, ป.6/9
รวมท้ังหมด 26 ตวั ชวี้ ดั

ตารางวเิ คราะหแ์ ผนการจดั การเรียนรรู้ ายชั่วโมงท
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเ

มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วดั สาระท่ี 1

ว 1.1 ว 1.2 ว 1.3 ว 2.1 ว
234 1
แผนการจดั การเรียนรู้ 1 5

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ร่างกายของเรา

 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 1

เรอ่ื ง อาหารท่ฉี ันรบั ประทานในแตล่ ะมอ้ื : 1 ✓
 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 2

เรอื่ ง อาหารทฉ่ี ันรับประทานในแต่ละมื้อ : 2 ✓
 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 3

เรื่อง ประโยชน์ของสารอาหาร ✓
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 4

เรอ่ื ง พลงั งานจากอาหาร : 1 ✓
 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 5

เรื่อง พลงั งานจากอาหาร : 2 ✓
 แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 6

เรื่อง อาหารทฉี่ ันรับประทานในแตล่ ะวัน : 1 ✓✓
 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 7

เรื่อง อาหารที่ฉันรับประทานในแต่ละวัน : 2 ✓✓

ท่ีสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ช้ีวัด 5
เทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

สาระท่ี 2 สาระท่ี 3

ว 2.2 ว 2.3 ว 3.1 ว 3.2

1 123456781 2123456789

ตารางวิเคราะหแ์ ผนการจัดการเรียนร้รู ายช่ัวโมงท
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเ

มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ชีว้ ัด สาระที่ 1

ว 1.1 ว 1.2 ว 1.3 ว 2.1 ว
234 1
แผนการจดั การเรยี นรู้ 1 5

หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 1 รา่ งกายของเรา

 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 8

เรอ่ื ง ธงโภชนาการ และขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นการ

รบั ประทานอาหารตามโภชนบัญญตั ิ

9 ประการ ✓✓
 แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 9

เรอ่ื ง การย่อยอาหารดว้ ยการเค้ียว : 1 ✓✓
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 10

เรื่อง การยอ่ ยอาหารดว้ ยการเค้ียว : 2 ✓✓
 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 11

เรื่อง แบบจำลองระบบยอ่ ยอาหาร : 1 ✓✓
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 12

เรื่อง แบบจำลองระบบย่อยอาหาร : 2 ✓✓

6

ท่ีสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ช้ีวัด
เทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

สาระท่ี 2 สาระท่ี 3

ว 2.2 ว 2.3 ว 3.1 ว 3.2

1 123456781 2123456789

ตารางวิเคราะห์แผนการจดั การเรียนรรู้ ายชั่วโมงท่ีส
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเท

มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชี้วดั สาระที่ 1

แผนการจดั การเรียนรู้ ว 1.2 ว 2.1
ว 1.1 1 2 3 4 5 ว 1.3 1

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 การแยกสารผสม ✓
 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 1 ✓

เรื่อง ความหมายของสารผสม ✓
 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 2

เรื่อง รู้จกั สารผสม : 1
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 3 ✓

เรื่อง รจู้ ักสารผสม : 2 ✓
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 4

เรอื่ ง วธิ ีการแยกสารผสม
 แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 5

เรอ่ื ง การแยกสารผสมโดยการหยบิ ออก
การร่อน และการใช้แม่เหลก็ ดึงดดู : 1
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 6
เรื่อง การแยกสารผสมโดยการหยบิ ออก
การรอ่ น และการใชแ้ ม่เหล็กดงึ ดดู : 2
 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 7
เรื่อง การแยกสารผสมโดยการรินออกและ
การกรอง : 1

7

สอดคล้องกับมาตรฐานการเรยี นรู้และตัวชี้วดั
ทคโนโลยี ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6

สาระที่ 2 สาระท่ี 3
ว 2.2 ว 2.3 ว 3.1 ว 3.2

1 123456781 2123456789

ตารางวิเคราะหแ์ ผนการจัดการเรียนร้รู า
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศ

มาตรฐานการเรียนร้แู ละตัวช้วี ัด สาระที่ 1

แผนการจัดการเรียนรู้ ว 1.1 1 ว 1.2 5 ว 1.3 ว 2.1
234 1

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 2 การแยกสารผสม

 แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 8

เร่ือง การแยกสารผสมโดยการรินออก

และการกรอง : 2 ✓
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 9

เรื่อง การกรอง : 1 ✓
 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 10

เรอ่ื ง การกรอง : 2 ✓
 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 11

เรอ่ื ง การแยกสารผสมโดยการตกตะกอน : 1 ✓
 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 12

เร่ือง การแยกสารผสมโดยการตกตะกอน : 2 ✓

8

ายช่ัวโมงที่สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ช้ีวดั
ศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6

สาระที่ 2 สาระท่ี 3

ว 2.2 ว 2.3 ว 3.1 ว 3.2

1 123456781 2123456789

ตารางวเิ คราะหแ์ ผนการจดั การเรยี นรูร้ ายช
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาส

มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวช้ีวัด สาระท่ี 1

แผนการจดั การเรยี นรู้ ว 1.1 1 ว 1.2 5 ว 1.3 ว 2.1
234 1

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 3 ไฟฟ้า

 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 1

เรื่อง บทบาทสมมตุ ิการถ่ายโอนประจไุ ฟฟา้ ลบ : 1

 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 2

เรอ่ื ง บทบาทสมมตุ กิ ารถา่ ยโอนประจไุ ฟฟา้ ลบ : 2

 แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 3

เรื่อง แรงดงึ ดดู และแรงผลักทางไฟฟ้า : 1

 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 4

เรอื่ ง แรงดงึ ดดู และแรงผลักทางไฟฟ้า : 2

 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 5

เรอื่ ง สญั ลกั ษณข์ องส่วนประกอบของวงจรไฟฟา้ : 1

 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 6

เรือ่ ง สญั ลักษณ์ของส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้า : 2

 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 7

เร่อื ง การตอ่ วงจรไฟฟ้าอยา่ งง่าย : 1

9

ชั่วโมงที่สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด
สตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6

สาระท่ี 2 สาระท่ี 3

ว 2.2 ว 2.3 ว 3.1 ว 3.2

1 12345678 1 2 1 2 3 4 5 6 7 8 9






✓✓
✓✓
✓✓

ตารางวเิ คราะห์แผนการจดั การเรียนรู้รายชวั่ โมง
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ล

มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวช้วี ดั สาระท่ี 1

ว 1.1 ว 1.2 ว 1.3 ว 2.1 ว
234 1
แผนการจดั การเรียนรู้ 1 5

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 ไฟฟ้า

 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 8

เรือ่ ง การต่อวงจรไฟฟา้ อย่างง่าย : 2

 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 9

เรอื่ ง ตัวนำไฟฟา้ และฉนวนไฟฟ้า : 1

 แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 10

เรอ่ื ง ตวั นำไฟฟา้ และฉนวนไฟฟา้ : 2

 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 11

เรื่อง เซลลไ์ ฟฟา้ เคมี : 1

 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 12

เร่ือง เซลลไ์ ฟฟ้าเคมี : 2

 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 13

เร่ือง การตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ : 1

 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 14

เรอ่ื ง การต่อเซลลไ์ ฟฟ้า : 2

10

งท่ีสอดคล้องกบั มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวช้ีวัด
ละเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 6

สาระท่ี 2 สาระท่ี 3

ว 2.2 ว 2.3 ว 3.1 ว 3.2

1 123456781 2123456789

✓✓





✓✓
✓✓

มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชว้ี ดั สาระท่ี 1

ว 1.1 ว 1.2 ว 1.3 ว 2.1 ว
234 1
แผนการจดั การเรยี นรู้ 1 5

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 3 ไฟฟ้า

 แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 15

เร่อื ง การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รม

และแบบขนาน : 1

 แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 16

เร่ือง การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนุกรม

และแบบขนาน : 2

11

สาระที่ 2 สาระท่ี 3

ว 2.2 ว 2.3 ว 3.1 ว 3.2

1 123456781 2123456789

✓✓
✓✓

ตารางวเิ คราะหแ์ ผนการจดั การเรยี นรูร้ ายชัว่ โมงท
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเ

มาตรฐานการเรยี นร้แู ละตวั ช้วี ัด สาระท่ี 1

ว 1.1 ว 1.2 ว 1.3 ว 2.1 ว
234 1
แผนการจดั การเรียนรู้ 1 5

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 4 ปรากฏการณข์ องโลก
 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 1

เรอื่ ง เงามืดและเงามวั
 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 2

เรอื่ ง การเกิดเงาจากตัวห่นุ : 1
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 3

เรอ่ื ง การเกดิ เงาจากตัวหุน่ : 2
 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 4

เร่ือง จนั ทรปุ ราคาและสรุ ยิ ุปราคา
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 5

เรือ่ ง การท่วี ตั ถุขนาดเล็กบังวัตถุขนาดใหญ่ : 1
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 6

เรอ่ื ง การทว่ี ัตถุขนาดเลก็ บังวตั ถุขนาดใหญ่ : 2
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 7

เรอื่ ง แบบจำลองจันทรุปราคาและ
สุริยปุ ราคา : 1
 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 8
เรอ่ื ง แบบจำลองจันทรุปราคาและสรุ ยิ ปุ ราคา : 2

12

ที่สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ช้ีวดั
เทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6

สาระท่ี 2 สาระท่ี 3

ว 2.2 ว 2.3 ว 3.1 ว 3.2

1 123456781 2123456789

✓✓
✓✓
✓✓








ตารางวเิ คราะหแ์ ผนการจัดการเรยี นรูร้ ายช่ัวโมงท
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเ

มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้วี ดั สาระท่ี 1

ว 1.1 ว 1.2 ว 1.3 ว 2.1 ว
234 1
แผนการจดั การเรยี นรู้ 1 5

หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 5 เทคโนโลยีอวกาศ
 แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 1

เรอื่ ง ประดษิ ฐก์ ล้องโทรทรรศน์
ชนดิ หักเหแสงอยา่ งง่าย : 1
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 2
เรื่อง ประดษิ ฐก์ ลอ้ งโทรทรรศน์
ชนดิ หกั เหแสงอย่างง่าย : 2
 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 3
เรื่อง บังคับทศิ ทางการเคล่ือนท่ีของจรวด : 1
 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 4
เรือ่ ง บังคบั ทศิ ทางการเคล่ือนท่ขี องจรวด : 2
 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 5
เรอื่ ง ศกึ ษาความก้าวหน้าของ
เทคโนโลยอี วกาศ : 1
 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 6
เรอ่ื ง ศึกษาความกา้ วหนา้ ของ
เทคโนโลยีอวกาศ : 2
 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 7

เร่อื ง ออกแบบชุดอวกาศ : 1

ที่สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวช้ีวดั 13
เทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

สาระที่ 2 สาระท่ี 3

ว 2.2 ว 2.3 ว 3.1 ว 3.2

1 123456781 2123456789












ตารางวเิ คราะห์แผนการจดั การเรยี นรูร้ ายชัว่ โมงท
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเ

มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ช้ีวัด สาระท่ี 1

ว 1.1 ว 1.2 ว 1.3 ว 2.1 ว
234 1
แผนการจัดการเรยี นรู้ 1 5

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 5 เทคโนโลยีอวกาศ

 แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 8

เรอื่ ง ออกแบบชดุ อวกาศ : 2

 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 9

เร่ือง การพฒั นาเทคโนโลยอี วกาศ : 1

 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 10

เร่อื ง การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ : 2

14

ที่สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ช้ีวัด
เทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

สาระที่ 2 สาระท่ี 3

ว 2.2 ว 2.3 ว 3.1 ว 3.2

1 123456781 2123456789





ตารางวิเคราะหแ์ ผนการจดั การเรียนรู้รายชั่วโมงท
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเ

มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวชี้วดั สาระที่ 1

ว 1.1 ว 1.2 ว 1.3 ว 2.1 ว
234 1
แผนการจดั การเรยี นรู้ 1 5

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 6 หินในทอ้ งถิน่
 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 1

เร่อื ง ลักษณะสำคญั ของหินและประเภท
ของหิน : 1
 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2
เร่อื ง ลักษณะสำคญั ของหนิ และประเภท
ของหิน : 2
 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 3
เรือ่ ง วัฏจักรของหิน : 1
 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 4
เร่อื ง วัฏจกั รของหิน : 2
 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 5
เร่ือง วัฏจักรของหิน : 3
 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 6
เรอ่ื ง การใชป้ ระโยชนข์ องหินและแร่
ในท้องถิน่ : 1
 แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 7
เร่ือง การใชป้ ระโยชนข์ องหินและแร่
ในทอ้ งถิ่น : 2

15

ที่สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นร้แู ละตัวช้ีวัด
เทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

สาระที่ 2 สาระที่ 3

ว 2.2 ว 2.3 ว 3.1 ว 3.2

1 123456781 2123456789












ตารางวิเคราะหแ์ ผนการจัดการเรยี นร้รู ายชัว่ โมงท
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเ

มาตรฐานการเรยี นรู้และตัวชี้วัด สาระท่ี 1

ว 1.1 ว 1.2 ว 1.3 ว 2.1 ว
234 1
แผนการจดั การเรียนรู้ 1 5

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 6 หินในท้องถิ่น

 แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 8

เรอื่ ง นกั ล่าของท่ที ำด้วยหินและแร่

 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 9

เร่อื ง การศึกษาซากดกึ ดำบรรพ์ : 1

 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 10

เร่อื ง การศกึ ษาซากดึกดำบรรพ์ : 2

 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 11

เรอ่ื ง การเกิดซากดึกดำบรรพ์ : 1

 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 12

เรื่อง การเกดิ ซากดึกดำบรรพ์ : 2

 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 13

เรือ่ ง คน้ พบซากดึกดำบรรพ์ : 1

 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 14

เร่อื ง ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ : 2

16

ที่สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวช้ีวัด
เทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

สาระที่ 2 สาระที่ 3

ว 2.2 ว 2.3 ว 3.1 ว 3.2

1 123456781 2123456789









ตารางวเิ คราะห์แผนการจดั การเรียนรูร้ ายชวั่ โม
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์

มาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละตัวชี้วัด สาระที่ 1

ว 1.1 ว 1.2 ว 1.3 ว 2.1 ว
234 1
แผนการจัดการเรยี นรู้ 1 5

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 7 ลม ภัยธรรมชาติ

และปรากฏการณ์

เรือนกระจก

 แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 1

เรอ่ื ง ลมบก ลมทะเล : 1

 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 2

เรือ่ ง ลมบก ลมทะเล : 2

 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 3

เรอ่ื ง มรสมุ : 1

 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 4

เร่อื ง มรสมุ : 2

 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 5

เรอื่ ง ภัยธรรมชาติ (นำ้ ทว่ ม การกดั เซาะ

ชายฝั่ง ดินถลม่ แผน่ ดนิ ไหว และสึนาม)ิ : 1

 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 6

เรอ่ื ง ภยั ธรรมชาติ (น้ำทว่ ม การกดั เซาะ

ชายฝ่ัง ดนิ ถล่ม แผน่ ดนิ ไหว และสนึ ามิ) : 2


Click to View FlipBook Version