The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัยออกแบบนวักรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สพป.เลย 2, 2022-10-17 21:38:32

Learning Loss Report

รายงานการวิจัยออกแบบนวักรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้

บทสรปุ ผบู้ รหิ าร

การวจิ ัยออกแบบนวัตกรรมฟ้นื ฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นรู้เพ่ือป้องกันการตกหลน่ และออกกลางคัน
ของนกั เรยี นสำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 มีวัตถปุ ระสงคเ์ พื่อ 1) วนิ จิ ฉัยภาวะถดถอย
ทางการเรียนรู้ของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 และจัดกลุ่มนักเรียนตาม
สภาพปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ และความต้องการจำเป็น 2) ออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรม
ฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติของผู้เกี่ยวข้องในระยะสั้นและ
ระยะยาวที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของนักเรียนและบริบทโรงเรียนด้วยกระบวนการวิจัยออกแบบ
ทางการศึกษา 3) วิเคราะห์ผลการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาเลย เขต 2 เก็บรวบรวมข้อมูลแบบผสมผสานทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เครื่องมือใน
การเก็บรวบรวมข้อมูล มีจำนวนทั้งส้ิน 5 ชุด ได้แก่ 1) แบบบันทึกการวินิจฉัยภาวะถดถอยทางการเรียนรูข้ อง
นักเรียน เป็นแบบสอบถามชนิดปลายเปิด 2) ชุดเครื่องมือประเมินความความเครียดและสุขภาพจิตของ
นกั เรียน เปน็ เคร่อื งมือมาตรฐานของกรมสุขภาพจิต 3) แบบบันทึกการออกแบบและพัฒนาตน้ แบบนวัตกรรม
ใชใ้ นการออกแบบนวตั กรรมฟ้ืนฟภู าวะถดถอยทางการเรียนรู้ของโรงเรยี น 4) ชุดเครื่องมือการนิเทศ จำนวน 3
ฉบับ ไดแ้ ก่ แบบนเิ ทศ 1 ระยะสน้ั แบบนิเทศ 2 ระยะยาว (Online) แบบนิเทศ 3 ระยะยาว (Onsite) 5) แบบ
บันทึกการประเมินและสะท้อนคิด เป็นแบบสอบถามปลายเปิด ดำเนินการวิจัยในปีการศึกษา 2564-2565
กลุ่มเป้าหมาย คอื โรงเรยี นในสงั กดั ทกุ โรงเรยี นจำนวน 152 โรงเรียน วเิ คราะหข์ อ้ มูลเชิงปรมิ าณโดยใช้ความถ่ี
(Frequency) และร้อยละ (Percentage) ส่วนข้อมูลเชงิ คุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ผลการวจิ ยั สรุปได้ ดงั นี้

1. ผลการวิเคราะห์และจัดกลุ่มนักเรียนตามสภาพภาวะถดถอยทางการเรียนรู้จำแนกรายอำเภอ
พบว่า ในภาพรวมนกั เรยี นสว่ นใหญ่อยู่ในกลุ่มส่งเสริม รองลงมา คือ กลุ่มฟื้นฟู และกลุ่มที่มีจำนวน น้อยที่สดุ
คือ กล่มุ เสย่ี งออกกลางคัน หากพิจารณารายกลุ่ม พบวา่ 1) กลมุ่ เส่ียงออกกลางคันมีจำนวนมากท่ีสุดในอำเภอ
วังสะพุง รองลงมา คือ อำเภอเอราวัณ และ อำเภอภูหลวง ตามลำดับ ส่วนอำเภอที่มีจำนวนน้อยที่สุด คือ
อำเภอภูกระดึง 2) กลุ่มฟื้นฟูมีจำนวนมากที่สุดในอำเภอหนองหิน รองลงมา คือ อำเภอเอราวัณ และ อำเภอ
วังสะพุง ตามลำดับ ส่วนอำเภอที่มีจำนวนน้อยที่สุด คือ อำเภอผาขาว 3) กลุ่มส่งเสริมมีจำนวนมากที่สุดใน
อำเภอผาขาว รองลงมา คือ อำเภอภูหลวง และ อำเภอภูกระดึง ตามลำดับ ส่วนอำเภอที่มีจำนวนน้อยที่สุด
คือ อำเภอหนองหิน

ข้อจำกัดและความต้องการจำเป็นของนักเรียน พบว่า สภาพปัญหา ข้อจำกัดท่พี บสว่ นใหญ่เป็นปัญหา
พื้นฐานที่สำคัญ และมีความต้องการจำเป็น ซึ่งนักเรียนที่มีปัญหาด้านการมาเรียนและความจำเป็นของ
ครอบครัวมีความต้องการการเรียนที่ยืดหยุ่นตามความเหมาะสม ต้องการทุนการศึกษาสนับสนุน ด้าน
สขุ ภาพจติ นกั เรยี นต้องการการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ทผ่ี ่อนคลายทสี่ ่งเสริมใหน้ ักเรียนมีความสุขในการเรียน มี
กิจกรรมสร้างแรงจูงใจในการเรียนที่หลากหลาย ด้านการเรียนนักเรียนต้องการการฟื้นฟู ทบทวนทักษะการ



อ่าน การเขียน รวมทั้งทักษะการเรียนรู้อื่นที่เป็นพื้นฐานการเรียนในระดับสูง นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องเรียนรู้
ด้านความฉลาดทางดิจิทัลเพื่อให้มีทักษะและภูมิคุ้มกันในการใช้เทคโนโลยี ส่วนด้านความพิการนักเรียน
จำเป็นตอ้ งไดร้ ับการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ทั้งน้ีดา้ นยาเสพติดจำเปน็ ต้องประสานเครือขา่ ยผูเ้ กยี่ วขอ้ งในการ
เฝา้ ระวงั และป้องกนั ปัญหาไมใ่ ห้กระทบต่อนกั เรียน

2. ผลการออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียน
แบ่งเป็น 3 ระดบั ไดแ้ ก่

2.1 นวัตกรรมการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนระดับเขต ใช้แนวคิดเชิงระบบเป็น
โมเดลในการขับเคลื่อนการดำเนินงานประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 ปัจจัยนำเข้า
(Input) มีกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ประกอบด้วย กิจกรรมที่ 1 การวินิจฉัยภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของ
นักเรียนโดยพิจารณาจัดกลุ่มนักเรียนเป็น 3 กลุ่ม กิจกรรมที่ 2 วิเคราะห์ความต้องการจำเป็นของนักเรียนแต่
ละกลุ่มจากการวินิจฉัย และกิจกรรมที่ 3 การสำรวจและค้นหาเด็กตกหล่นในเขตพื้นที่บรกิ าร องค์ประกอบที่
2 กระบวนการ (Process) ดำเนินการออกแบบและพฒั นาตน้ แบบนวัตกรรมฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นรู้
ของนักเรียนโดยใช้กระบวนการคิดออกแบบ (Design Thinking) 5 ขั้น ประกอบด้วย 1) ขั้นเข้าใจอารมณ์
ความรู้สึก (Empathize) 2) ขั้นการกำหนดปญั หา (Define) 3) ขนั้ สร้างความคิด (Ideate) 4) ขนั้ สร้างต้นแบบ
(Prototype) และ 5) ขัน้ การทดสอบ (Test) และองค์ประกอบที่ 3 ผลการดำเนินงาน (Output) ตรวจสอบผล
การดำเนินการทดลองใช้นวัตกรรมด้วยกระบวนการประเมินและสะท้อนคิด ซึ่งดำเนินการประกอบด้วยการ
ประมินพัฒนาการของนักเรียนแต่ละกลุ่ม การทบทวนผลการทดลองใช้ต้นแบบ และการสอบถามความพึง
พอใจของผเู้ กยี่ วข้อง

2.2 นวัตกรรมการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนระดับโรงเรียน ใช้แนวคิดและ
กระบวนการเช่นเดียวกันกับนวัตกรรมระดับเขต แต่ในองค์ประกอบที่ 2 ดำเนินการออกแบบและพัฒนา
ตน้ แบบนวตั กรรมมกี รอบการดำเนนิ งาน 6 สว่ น ได้แก่ การออกแบบการฟ้ืนฟรู ะยะส้นั การออกแบบการฟ้ืนฟู
ระยะยาว การเสรมิ สรา้ งสขุ ภาพจติ การประสานเครือขา่ ยและผู้เก่ียวข้อง การเสริมสรา้ งศกั ยภาพครู และการ
นิเทศ ตดิ ตาม ประเมนิ ผล

2.3 นวัตกรรมการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนระดับห้องเรียน ใช้แนวคิดและ
กระบวนการเช่นเดียวกันกับนวัตกรรมระดับเขตและระดับโรงเรียน และมีกรอบการดำเนินงาน 6 ส่วน
เช่นเดยี วกบั ระดบั โรงเรยี นแตเ่ นน้ ตามกลมุ่ สาระการเรียนรู้ หรือระดับช้ันทค่ี รรู ับผิดชอบ

3. ผลการฟนื้ ฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรยี นสำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย
เขต 2 พบว่า มีจำนวนโรงเรียนที่ร่วมกระบวนการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนทั้งสิ้น 147
โรงเรียน ของโรงเรียนท้งั หมด 152 โรง ซงึ่ ส่งผลใหเ้ กิดนวัตกรรมทมี่ ีคุณภาพระดับดีเยย่ี มระดบั โรงเรยี น จำนวน
46 นวัตกรรม ระดับดี จำนวน 101 นวัตกรรม และนวัตกรรมที่มีคุณภาพระดับดีเยี่ยมระดับห้องเรียน จำนวน
216 นวัตกรรม ระดับดี จำนวน 1,079 นวัตกรรม ส่งผลให้พัฒนาการด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ (K S A) ของนักเรียนทุกกลุ่มมีพัฒนาการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งครูและผู้บริหารสถานศึกษาได้สะท้อนจาก



การสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนทโี่ รงเรียน ปฏิสมั พันธ์ในห้องเรยี น ได้แก่ การตอบคำถามของครูในห้องเรียน
การสง่ การบ้าน ร่วมกบั การประเมินการอ่าน การเขยี นทแ่ี สดงใหเ้ ห็นพฒั นาการความพร้อมในการเรียนท่ีมากขึ้น

นักเรียนมีความพึงพอใจในการดำเนินการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ พิจารณาจากสถิติการมา
เรียนของนักเรียนดีขึ้น จำนวนนักเรียนขาดเรียนลดลง นักเรียนมีความสุขในการเรียน ตั้งใจเรียนมากขึ้น
พฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์ของนักเรียนลดลง นักเรยี นอยากมาโรงเรียน และมีพฤติกรรมการมาโรงเรียนแต่เช้า
นอกจากนี้ผู้ปกครองก็มีความพึงพอใจในการดำเนินการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียน
โดยเฉพาะด้านการอ่าน การเขียน พฤติกรรมการมาโรงเรียนอย่างมีความสุขของนักเรียน ส่วนผู้บริหาร
สถานศกึ ษาไดส้ ะท้อนให้เห็นว่าการดำเนนิ งานในครั้งน้ีมีกระบวนการที่เปน็ ระบบ ช่วยกระตนุ้ ให้ผู้เก่ียวข้องทุก
ฝ่ายตระหนักในปัญหาภาวะการถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนร่วมกัน ครูเห็นความสำคัญของการแก้ไข
ปัญหาอย่างจริงจัง และการดำเนินการขับเคลื่อนตามแนวทางของเขตพื้นที่การศึกษา ส่งผลให้โรงเรียนมีวิธี
ดำเนนิ งานท่ีชดั เจน มีเป้าหมายในการแกป้ ัญหานักเรยี นและกระตุ้นให้เกิดการเรยี นรู้ร่วมกัน สร้างและพัฒนา
นวัตกรรมเพื่อแกป้ ัญหาภาวะถดถอยทางการเรยี นรู้ของนกั เรียนอยา่ งสร้างสรรค์มากยงิ่ ขนึ้ ซง่ึ สะท้อนใหเ้ หน็ ว่า
ผู้เกยี่ วข้องมคี วามพึงพอใจต่อการดำเนินงาน

ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะ คือ ภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนโดยเฉพาะกลุ่มที่ 1 กลุ่มเสี่ยงออก
กลางคนั จำเป็นต้องเฝ้าระวังและดำเนินการฟ้ืนฟูอยา่ งต่อเน่ือง ดังน้ันการดำเนินการสำหรับนักเรียนกลุ่มนี้จึง
ยังไม่สามารถหยุดได้ โรงเรียนควรออกแบบโปรแกรมการเรียนรู้ที่มีความเป็นไปได้ในระยะยาว ปัจจัยที่ส่งผล
ต่อความสำเร็จในการดำเนินงานฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียน คือ ผู้บริหารสถานศึกษา
โดยเฉพาะความเป็นผู้นำทางวิชาการ ซึ่งจากการสะท้อนผลการวิจัยพบว่าการสร้างความเข้าใจกับคณะครูใน
โรงเรียนเป็นกระบวนการที่ผู้บริหารต้องสื่อสารให้ชัดเจนและมีความสามารถในการวางแผนงานทั้งโรงเรียน
ดังนั้นการเสริมสร้างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนจึงเป็นประเด็นการวิจัยที่สำคัญที่คว รมีการ
พัฒนาตอ่ ยอดในการวิจัยคร้ังตอ่ ไป

ปัญหาที่สำคัญและค้นพบจากการวิจัยครั้งนี้คือนวัตกรรมการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้
ระดับชั้นเรียนยังไม่สามารถตอบสนองปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคลได้ เนื่องจากความสามารถในการ
ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ของครูยังมีข้อจำกัด ดังนั้นการวิจัยครั้งต่อไปควรเน้นการพัฒนาครูด้านการ
ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับนักเรียนเป็นรายบุคคลอย่างสร้างสรรค์ อนึ่ง จากการวิจัยครั้งนี้
พบว่า การฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียน เน้นการเพิ่มเวลาเพื่อให้ได้จัดกิจกรรมเติมเต็มการ
เรียนรู้ให้แก่นกั เรียน ก่อให้เกิดปัญหาตามมา คือ ภาระงานและเวลาเรียนของนักเรยี นและของครูเพิ่มมากขึ้น
ซ่ึงในระยะยาวอาจก่อใหเ้ กิดปญั หาในการดำเนนิ งาน ดังนั้นการวิจัยครั้งต่อไปจึงควรทดลองการปรับโครงสร้าง
เวลาเรียนและเนื้อหาการเรียนรู้แบบบูรณาการเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้มากข้ึนแต่ไม่ต้องเพิ่มเวลาเรียนจะช่วยลด
ภาระงานของครูและนักเรียนลงได้

สารบญั

หนา้

สารบัญ ………………………………………………………………………………………………………………….. ก

บทท่ี 1 บทนำ ………………………………………………………………………………………………… 1
ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา ……………………………………………………… 1
คำถามการวิจัย …………………………………………………………………………………………. 3

วัตถปุ ระสงค์การวิจัย ………………………………………………………………………………… 3
ขอบเขตการวจิ ยั ………………………………………………………………………………………. 3

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ………………………………………………………………………… 5
นยิ ามศพั ท์เฉพาะ ……………………………………………………………………………………… 6

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้อง ……………………………………………………………… 8
แนวทางการฟนื้ ฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ ……………………………………………… 8

แนวคดิ เกย่ี วกบั กระบวนการคิดเชงิ ออกแบบ ………………………………………………. 20
แนวคดิ การจัดการเรียนรู้แบบบรู ณาการ ……………………........................................ 24
26
งานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้อง …………………………………………………………………………………… 33
กรอบแนวคิดการวิจยั ………………………………………………………………………………..
บทที่ 3 วิธดี ำเนินการวิจัย ………………………………………………………………………………….. 34
กล่มุ เปา้ หมายการวิจัย ………………………………………………………………………………. 34
เครอื่ งมือเก็บรวบรวมขอ้ มูล ………………………………………………………………………. 34
การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ ……………………………………………………………… 35
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ……………………………………………………………………………… 36
การวเิ คราะห์ข้อมูล ………………………………………………………………………………….. 37



สารบญั (ตอ่ )

บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล …………………………………………………………………………… หน้า
ตอนท่ี 1 ผลการวเิ คราะห์และสำรวจภาวะถดถอยทางการเรยี นรขู้ องนักเรียน …. 39
ตอนที่ 2 ผลการออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมฟ้นื ฟูภาวะถดถอย 39
ทางการเรียนรู้ของนักเรยี น ………………………………………………………………………..
ตอนที่ 3 ผลการประเมินและการสะท้อนคิดการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการ 42
เรียนร้ขู องนักเรียน ……………………………………………………………………………………
47
บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายผลการวิจยั และขอ้ เสนอแนะ ………………………………………………. 50
สรปุ ผลการวจิ ัย ……………………………………………………………………………………….. 51
54
อภปิ รายผลการวจิ ยั ………………………………………………………………………………… 58
59
ขอ้ เสนอแนะ ………………………………………………………………………………………….. 63
63
รายการอา้ งอิง …………………………………………………………………………………………………. 71
ภาคผนวก ………………………………………………………………………………………………………. 72
92
คำสงั่ แต่งตัง้ คณะกรรมการวิจัย …………………………………………………………………..
รายนามผ้เู ช่ยี วชาญตรวจคุณภาพเครือ่ งมือวจิ ัย ……………………………………………
เคร่ืองมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ……………………………………………………………………….
ภาพกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมลู …………………………………………………………….

บทท่ี 1
บทนำ

ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา

การระบาดของโรคติดเช้ือไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงที่ฉับพลัน อย่าง
ใหญ่หลวงไปท่ัวโลก ถอื เปน็ ปรากฏการณ์ท่ีสง่ ผลต่อการศึกษาอยา่ งรา้ ยแรงที่สุดในช่วงเวลาหลายสิบปีท่ีผ่านมา
นอกจากจะทำใหโ้ รงเรียนตอ้ งปิดเป็นระยะยาวนานแลว้ ยังสง่ ผลไปถงึ ภาวะถดถอยทางความรู้ การระบาดนี้ทำ
ให้นวัตกรรมและการพฒั นาทางด้านการศึกษาท่ีเกิดขนึ้ เพ่ือตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนนนั้ ถดถอยลง
ไปอีก วิกฤตเศรษฐกจิ ภายในประเทศและท่ัวโลกมีแนวโน้มท่ีจะนำไปสู่ความเข้มงวดทางการคลัง ความยากจน
ที่เพิ่มข้ึน อาทิ กรณีประเทศไทยสำนักบริหารเงินทนุ อุดหนุนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ กองทุนเพ่ือความเสมอภาค
ทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า ครอบครัวมีรายได้ลดลง ร้อยละ 56.7 ท้ังยังต้องแบ่งเบาภาระทางเศรษฐกิจแก่
ญาติพ่ีนอ้ งอีก ร้อยละ 25.5 ในสว่ นนกั เรยี น พบวา่ นักเรยี นกลวั การตดิ เช้ือ ร้อยละ 65 ไม่มคี า่ ใช้จ่ายในการมา
เรียน ร้อยละ 39 และยังไม่มีหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์ป้องกันอีก ร้อยละ 28 การปิดโรงเรียนทำให้การ
เรียนรู้ ภาวะทางโภชนาการ สุขภาพจิตและพัฒนาการโดยรวมของเด็กอยู่ในความเสี่ยง การปิดโรงเรียนยัง
ส่งผลให้การคัดกรองและส่งต่อในการคุ้มครองเด็กเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น นักเรียนบางคนโดยเฉพาะเด็กในกลุ่ม
ยากจนมากนั้นมีความเสี่ยงที่จะไม่กลับมาโรงเรียนอีก (ยูนิเซฟ, 2564) สอดคล้องกับสำนักงานเลขาธิการสภา
การศึกษา (2564) ที่กล่าวว่า การแพรระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีผลกระทบกับภาคการศึกษาเป็นอย่าง
มาก โดยเฉพาะการออกคาํ สง่ั ใหหยดุ เรยี น ปิดสถานศึกษา และจดั ใหมีการเรยี นการสอนออนไลนเ์ พือ่ ลดโอกาส
ของการแพรระบาดของ เชื้อไวรัสโควิด-19 เนื่องจากหากใหนักเรียนมาอยู่ร่วมกันที่โรงเรียน หองเรียนจะ
กลายเป็นพ้นื ที่เสย่ี งตอการแพร ระบาดของเช้อื ไวรสั โควดิ -19 ได้ ท้ังนี้ มีการประมาณวาในชวงการแพรระบาด
ของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีเด็กนักเรียนทั่วโลกมากกวา 1,500 ล้านคน ที่ตองหยุดการเรียนการสอนในโรงเรียน
และมีการปรับรูปแบบการเรียน การสอนเป็นการเรยี นทางไกล หรือการเรียนออนไลน์ที่บ้าน โดยใชเทคโนโลยี
เขามาช่วยในการจัดการเรียนการสอน พ่อแม่ผู้ปกครองจำตองปรับตัวใหเขากับระบบการเรียนการสอนด้วย
ความไม่พรอ้ มและความพรอ้ มตามกำลังฐานะของแตล่ ะครอบครัว

จากปญั หาข้างตน้ สง่ ผลถึงภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ (Learning Loses) ความเครยี ดและปัญหาทาง
สุขภาพจิต ภาวะขาดโภชนาการและปัญหา ที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสังคมของผู้เรียน ที่เกิดขึ้นจากการปิด
โรงเรียน อย่างไม่มีกำหนดจากสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งผลกระทบทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ วิกฤตในการพัฒนา
มนุษย์และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้เรียน (Well-Being) ที่ต่อเนื่องและกินเวลาไปอีกยาวนานหลังจากการ
สถานการณ์การระบาดสิ้นสุดลง และแม้ว่าสถานการณ์ COVID-19 จะทำให้เห็นศักยภาพและประโยชน์ของ
การนำนวัตกรรมในการเรียนรู้ และการจัดการเรียนรู้ทางไกลหรือออนไลน์มาใช้อย่างมากมายและรวดเร็ว แต่
ความพยายามในการจัดการเรียนรู้ทางไกลหรือ ออนไลน์ในวิกฤติการระบาด COVID-19 เหล่านั้นก็ไม่อาจ
ทดแทนการเรียนรู้ แบบเผชิญหน้าหรือแบบตัวต่อตัวได้ทั้งหมด การหยุดชะงักของระบบ การศึกษาในช่วงที่

2

ผ่านมาทำให้เกิดความสูญเสียและความไม่เท่าเทียมกันในการเรียนรู้อย่างมากมาย ดังนั้นแนวทางการฟื้นตัว
ทางการศึกษาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่มีประสิทธิภาพและเสมอภาคจึงมิใช่เพียงเป็นการดำเนินการ
ภายหลังสถานการณ์ COVID-19 ผ่านพน้ ไปเท่านัน้ หากแต่จะต้องมีการศึกษา พัฒนา และดำเนินการไปตลอด
ช่วงเวลา ทั้งในสถานการณ์และภายหลังการระบาดไปอย่างต่อเนื่อง (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา,
2564)

อย่างไรก็ตามเพียงแค่เปิดโรงเรียนหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายนั้นอาจยังไม่พอ นักเรียนควร
จะต้องได้รับการสนับสนุนท่ีเหมาะสมอย่างต่อเน่ืองเพ่ือช่วยให้พวกเขาปรับตัวและตามบทเรียนได้ทัน จึงต้อง
ช่วยโรงเรียนในการเตรียมให้การสนับสนุนและรับมือกับความท้าทายอันย่ิงใหญ่ (ยูนิเซฟ, 2564) ปัจจุบัน
ประเทศไทยโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย
กระทรวงศึกษาธิการ มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม สถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย
(RIPED) มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย และจังหวัดสมุทรสาคร จัดการประชุมสานพลังความร่วมมือหน่วยงาน
ด้านการศกึ ษา “ก้าวไป ด้วยกัน สู่สมทุ รสาครโมเดล จังหวดั ต้นแบบลดความเหลอ่ื มล้ำ ฟนื้ ฟูการเรียนรู้เพอ่ื เด็ก
ทุกคน” เดินหน้า พันธกิจฟื้นฟูการศึกษาไทย เปิดตัวโครงการวิจัยนำร่องฟื้นฟูการเรียนรู้ถดถอยป้องกันเด็ก
หลุดออกนอก ระบบ ครอบคลุมทุกมิติ ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและ
ออกแบบ นโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าววา่ มีงานวิจัยจากต่างประเทศท่ีแสดงใหเ้ ห็นว่ามี
หลักฐาน ยืนยันของการเกิดภาวะการเรียนรู้ถดถอยในช่วงวิกฤตโควิด-19 สำหรับในประเทศไทยทางสถาบันฯ
ได้ ร่วมกับ กสศ. ทำงานวจิ ัยทเี่ กบ็ ข้อมูลจากเด็กจากหลายพน้ื ท่ที ัว่ ประเทศ พบว่า ระดบั การเรียนรู้ที่เด็กได้รับ
ใน แต่ละวันท่ีมาโรงเรียนนั้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการปดิ เรียนยาวนาน “ความ
ถดถอยของการเรียนรู้หมายถึงการเปรียบเทียบทักษะของเด็กในช่วงเวลาการไปเรียนปกติกับการปิดเรียน ซ่ึง
วัดได้จากเครื่องมือทางสถิติ ซึ่งได้ผลวิเคราะห์หลักว่าการที่เด็กไม่ได้ไปโรงเรียนส่งผลกระทบเชิงลบกับทักษะ
คณิตศาสตร์ และ Working Memory (ความจำใช้งาน) ซึ่งหมายถึงความสามารถของเด็กในการจดจำข้อมูล
และนำขอ้ มลู มาประมวลผลเพื่อนำกลับมาใช้ อันเปน็ ทักษะทช่ี ่วยส่งเสรมิ การเรียนรู้ของเด็กโดยตรง โดย นัยยะ
สำคญั อยูท่ ก่ี ารปดิ โรงเรียนท่ียาวนานยงิ่ สัมพันธ์กับทักษะท่สี ูญหายไปเพิ่มขึ้น บางกล่มุ ตวั อย่างมีภาวะ สูญหาย
ของทักษะมากถึง 90% ข้อมูลเหล่านี้ย้ำเตือนว่าทุกหน่วยงานมีหน้าที่ร่วมกันในการฟ้ืนฟูความรู้ที่ถดถอย และ
สร้างแนวทางการเรียนรู้ที่เหมาะสมเพือ่ รบั มือกับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งยังคงไมม่ คี วามแน่นอน (Workpoint
Today, 2564)

จากผลกระทบข้างต้นสะทอ้ นใหเ้ ห็นปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนที่จำเป็นต้องได้รบั
การแก้ไขอย่างเร่งด่วน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 จึงดำเนินการวิจัยออกแบบ
นวตั กรรมฟื้นฟภู าวะถดถอยทางการเรียนรู้เพื่อปอ้ งกนั การตกหล่นและออกกลางคันของนักเรียนสำนักงานเขต
พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 อันเป็นการสร้างความตระหนักและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของ
นักเรียนอยา่ งเปน็ ระบบต่อไป

3

คำถามการวจิ ยั

1. ภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 มี
สภาพความรุนแรงของปัญหาอยู่ในระดับใด สามารถจัดกลุ่มตามระดับความรุนแรงได้อย่างไร มีบุคคลใด
เกี่ยวขอ้ งกบั ปัญหาบ้าง ข้อจำกดั สาเหตุของปัญหาเป็นอย่างไร และนักเรยี นมีความต้องการจำเป็นทีต่ ้องได้รบั
การชว่ ยเหลืออย่างไรบ้าง

2. วิธีการฟื้นฟภู าวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรยี นที่มีความเป็นไปไดใ้ นการปฏิบัตขิ องผูเ้ กี่ยวข้อง
ในระยะสัน้ และระยะยาวที่สอดคลอ้ งกับความต้องการจำเป็นของนกั เรยี นและบริบทโรงเรยี นเปน็ อยา่ งไร

3. วิธีการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนที่ออกแบบส่งผลต่อนักเรียน ผู้ปกครองและ
โรงเรียนอย่างไร เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น และจำเป็นต้องปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานต้นแบบหรือไม่
อย่างไร

วัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย

1. เพื่อวินิจฉัยภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย
เขต 2 และจัดกลมุ่ นกั เรยี นตามสภาพปญั หาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ และความต้องการจำเปน็

2. เพื่อออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีความ
เป็นไปได้ในการปฏบิ ัตขิ องผเู้ กยี่ วข้องในระยะสน้ั และระยะยาวท่ีสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการจำเป็นของนักเรียน
และบรบิ ทโรงเรยี นดว้ ยกระบวนการวิจัยออกแบบทางการศึกษา

3. เพื่อวิเคราะห์ผลการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศกึ ษาเลย เขต 2

ขอบเขตการวิจยั

การวจิ ยั ออกแบบนวตั กรรมฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นรู้เพื่อปอ้ งกันการตกหล่นและออกกลางคัน
ของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 ใช้ระเบียบวิธีวิจัยออกแบบทางการศึกษา
(Design Research in Education) โดยใชก้ ระบวนการวจิ ยั 3 ระยะ ไดแ้ ก่ ระยะท่ี 1 การวิเคราะห์และสำรวจ
ระยะที่ 2 การออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวตั กรรมฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียน และ ระยะ
ที่ 3 การประเมินและการสะท้อนคิด โดยมีขอบเขตการวิจยั ดังนี้

1. ขอบเขตด้านกลุ่มเป้าหมายการวิจยั
กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยออกแบบนวตั กรรมฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้เพื่อป้องกันการตกหล่น

และออกกลางคันของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 ในครั้งนี้ คือ โรงเรียนใน

4

สังกัดทุกโรงเรียนจำนวน 152 โรงเรียน ในช่วงปีการศึกษา 2564-2565 โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง
(Purposive Sampling) จำแนกเป็น

- ปกี ารศึกษา 2564
1) ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา จำนวน 152 คน
2) ครูผู้สอน จำนวน 1,295 คน
3) นักเรยี น จำนวน 20,756 คน

- ปีการศึกษา 2565
1) ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา จำนวน 140 คน
2) ครูผูส้ อน จำนวน 1,394 คน
3) นักเรยี น จำนวน 20,665 คน

2. ขอบเขตดา้ นเนื้อหา
ขอบเขตด้านเนอ้ื หาของการวิจัยในคร้งั นี้ ประกอบดว้ ย
2.1 แนวคิดการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ (Learning Loss Recovery) ได้แก่ 1) โปรแกรม

ฟื้นฟูระยะสั้น 2) โปรแกรมฟื้นฟูระยะยาว 3) การเสริมสร้างสุขภาพจิต 4) เครือข่าย ผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ 5) การ
เสริมสร้างศักยภาพครู 6) การนิเทศ ตดิ ตาม ประเมนิ ผล 7) การค้นหาเด็กตกหล่น

2.2 การจดั การเรยี นรแู้ บบบูรณาการ
2.3 ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลางต้องรูแ้ ละควรรู้ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 สำหรับการจัดการเรียนรู้ ปีการศึกษา 2564 ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชอื้
ไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19)
2.4 การวิจยั ออกแบบทางการศึกษา (Design Research in Education)
3. ขอบเขตดา้ นตวั แปร
ตัวแปรในการวิจัยออกแบบนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้เพื่อป้องกันการตกหล่นและ
ออกกลางคนั ของนกั เรียนสำนกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาเลย เขต 2 ในครัง้ นี้ ประกอบด้วย
3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ นวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้เพื่อป้องกันการตกหล่นและออก
กลางคันของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 ทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ นวัตกรรมฟื้นฟู
ภาวะถดถอยทางการเรียนร้รู ะดับเขต นวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นรู้ระดับโรงเรยี น และนวตั กรรม
ฟน้ื ฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรูร้ ะดับช้ันเรียน
3.2 ตวั แปรตาม ได้แก่
3.2.1 ภาวะถดถอยทางการเรียนรู้และความต้องการจำเป็นของนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2
3.2.2 ผลการฟนื้ ฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนกั เรียนสำนกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษา
เลย เขต 2 ประกอบด้วย

5

1) ผลการดำเนินงานฟนื้ ฟภู าวะถดถอยทางการเรยี นรขู้ องนักเรยี น ไดแ้ ก่ สภาพการดำเนนิ งานของ
โรงเรยี นในสังกัด

2) ผลการประเมนิ พัฒนาการของนักเรียน ได้แก่ ความรู้ (Knowledge: K) ทักษะ (Skill: S) และ
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (Attribute: A)

3) ความพึงพอใจของผเู้ กี่ยวข้อง ได้แก่ นักเรียน ผู้ปกครอง ครู และผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา

ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะไดร้ ับ

1. ประโยชน์เชงิ วชิ าการ
1.1 เกิดการใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา นั่นคือ การวิจัยออกแบบทางการ

ศึกษา (Design Research in Education) ที่ชว่ ยใหไ้ ดว้ ิธีแก้ปญั หาหรือนวัตกรรมที่สอดคล้องกบั บริบท มคี วาม
เป็นไปได้ เกดิ องค์ความร้ใู หม่ในการสรา้ งสรรค์นวัตกรรมเพื่อพฒั นาคุณภาพการศึกษา

1.2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 มีนวัตกรรมการศึกษาด้านการฟื้นฟูภาวะ
ถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนซึ่งเป็นประเด็นท้าทายและเป็นปัญหาระดับโลก ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุก
ระดับให้ความสำคัญ

2. ประโยชนเ์ ชงิ ปฏิบตั ิ
2.1 นักเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 ได้รับการวินิจฉัยภาวะ

ถดถอยทางการเรียนรู้ จัดกลุ่มตามสภาพปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ และความต้องการจำเป็น อันจะ
นำไปสู่การแก้ปัญหาของนักเรียนด้วยความเข้าใจและสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของนักเรียนอย่าง
แท้จรงิ

2.2 ผู้บริหารสถานศึกษา และครูมีแนวทางในการแก้ปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรยี นท่ี
มีความเป็นไปได้ในการปฏบิ ัติของผู้เกี่ยวข้องในระยะส้ันและระยะยาวท่ีสอดคล้องกบั ความต้องการจำเป็นของ
นักเรียนและบริบทโรงเรยี นด้วยกระบวนการวจิ ัยออกแบบทางการศกึ ษา

2.3 นกั เรยี นในสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 ไดร้ บั การช่วยเหลอื ด้านการ
เรียนรู้ ทักษะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อชดเชยโอกาสทางการศึกษาที่สูญเสียไปในช่วงหยุดเรียน
เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ที่ผ่านมาให้มีความพร้อมใน
การเรียนต่อไป

2.4 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 ได้พัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูด้วย
กระบวนการวิจัยในการปฏิบัตงิ านจริงตามหลัก On the job training ซง่ึ ถอื ว่าเปน็ การเสรมิ สรา้ งศักยภาพของ
ครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาอย่างเปน็ ระบบ

2.5 เสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีการปฏิบัติ
อยา่ งต่อเนอ่ื ง

6

นิยามศัพท์เฉพาะ

1. ภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ (Learning Loss) หมายถึง สภาพการสูญเสียโอกาสทางการศึกษา
ของนักเรียนด้านเวลาเรียน เนื้อหาการเรียนรู้ พฤติกรรม และสุขภาพจิตอันเป็นผลมาจากการหยุดเรียนใน
สถานการณแ์ พร่ระบาดของโรคตดิ เชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 (Covid-19)

2. การฟน้ื ฟภู าวะถดถอยทางการเรยี นรู้ (Learning Loss Recovery) หมายถงึ การดำเนนิ งานเพ่อื
แก้ปัญหาการสูญเสยี โอกาสทางการศึกษาของนกั เรยี นภายใต้กรอบเนือ้ หาทีเ่ ก่ียวข้อง ได้แก่ 1) โปรแกรมฟ้ืนฟู
ระยะสั้น 2) โปรแกรมฟื้นฟูระยะยาว 3) การเสริมสร้างสุขภาพจิต 4) เครือข่าย ผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ 5) การ
เสรมิ สร้างศักยภาพครู 6) การนิเทศ ตดิ ตาม ประเมนิ ผล 7) การค้นหาเด็กตกหลน่

3. นวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้เพื่อป้องกันการตกหล่นและออกกลางคันของ
นักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 หมายถึง แนวทางการดำเนินงานฟื้นฟูภาวะ
ถดถอยทางการเรียนรู้ที่ได้จากกระบวนการวิจัยออกแบบทางการศึกษา (Design Research in Education)
ทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ นวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ระดับเขต นวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการ
เรยี นรูร้ ะดับโรงเรียน และนวัตกรรมฟน้ื ฟภู าวะถดถอยทางการเรยี นรรู้ ะดบั ช้ันเรียน

4. กลุ่มนักเรียน หมายถึง ผลการวินิจฉัยภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนสังกัดสำนักงานเขต
พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 และจัดกลุ่มตามสภาพปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ และความ
ต้องการจำเปน็ โดยครูที่รับผดิ ชอบ แบง่ เป็น 3 กล่มุ ไดแ้ ก่

4.1 กลมุ่ ท่ี 1 กลมุ่ เสีย่ งออกกลางคัน คอื กลุ่มนกั เรียนทผ่ี า่ นตวั ชว้ี ดั ทตี่ อ้ งรนู้ อ้ ยกว่ารอ้ ยละ 50 และ
ขาดเรียนบ่อย หรือสื่อสารลำบาก หรอื มปี ัญหาดา้ นการเรยี นรู้ พฤตกิ รรม สุขภาพจติ หรอื มีความพกิ ารอยูก่ ่อน
การวนิ ิฉยั แล้ว

4.2 กลมุ่ ท่ี 2 กลมุ่ ฟ้นื ฟู คอื กลมุ่ นักเรียนที่ผ่านตัวชี้วดั ทต่ี ้องรูน้ ้อยกวา่ รอ้ ยละ 50 และไม่มีปัญหา
อน่ื เหมือนกลมุ่ ท่ี 1

4.3 กล่มุ ท่ี 3 กลมุ่ ส่งเสริม คอื กล่มุ นักเรยี นทผี่ า่ นตัวชวี้ ัดทตี่ อ้ งรมู้ ากกว่ารอ้ ยละ 50 และไม่มปี ญั หา
อน่ื เหมอื นกลุม่ ท่ี 1

5. ผลการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียน หมายถึง ผลการใช้ต้นแบบนวัตกรรมฟื้นฟู
ภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 จากการวิจัย
ระยะที่ 3 การประเมินและสะท้อนคดิ ประกอบด้วย

5.1 ผลการดำเนินงานฟืน้ ฟภู าวะถดถอยทางการเรยี นรู้ของนักเรยี น ไดแ้ ก่ สภาพการดำเนนิ งาน
ของโรงเรยี นในสงั กัด

5.2 ผลการประเมนิ พฒั นาการของนักเรยี น ไดแ้ ก่ ความรู้ (Knowledge: K) ทักษะ (Skill: S) และ
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (Attribute: A)

5.3 ความพึงพอใจของผ้เู กยี่ วข้อง ไดแ้ ก่ นกั เรยี น ผู้ปกครอง ครู และผบู้ ริหารสถานศกึ ษา

7

6. การวจิ ยั ออกแบบทางการศกึ ษา (Design Research in Education) หมายถงึ ขั้นตอนการศึกษา
เพื่อสร้างและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศกึ ษาเลย เขต 2 ท่ีใช้กระบวนการคดิ ออกแบบ (Design Thinking) 5 ขนั้ ไดแ้ ก่ 1) ขั้นเข้าใจ
อารมณค์ วามรู้สกึ (Empathize) จดั กลุ่มปญั หาและความตอ้ งการ 2) ขัน้ การกำหนดปัญหา (Define) ตง้ั คำถาม
เพื่อนำไปสู่แนวทางแก้ปัญหา 3) ขั้นสร้างความคิด (Ideate) ระดมความคิดแก้ปัญหาจากทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้อง 4)
ข้นั สร้างต้นแบบ (Prototype) ออกแบบตัวแทรกแซง และ 5) ขั้นการทดสอบ (Test) นำตน้ แบบไปทดลองใช้

บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง

การวจิ ัยออกแบบนวตั กรรมฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้เพื่อป้องกันการตกหล่นและออกกลางคัน
ของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 ได้ดำเนินการศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่
เกย่ี วขอ้ ง ดงั นี้

1. แนวทางการฟน้ื ฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นรู้
2. แนวคดิ เก่ียวกับกระบวนการคดิ เชิงออกแบบ
3. แนวคิดการจดั การเรียนรแู้ บบบรู ณาการ
4. งานวจิ ยั ท่เี กยี่ วข้อง
5. กรอบแนวคิดการวจิ ัย

แนวทางการฟนื้ ฟภู าวะถดถอยทางการเรยี นรู้

1. สภาวการณ์ในประเทศไทย
เมื่อประเทศไทยประสบกับปญหาการแพรระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับสถานศึกษา

จำเป็นตองงดการจัดการเรียนการสอนตามนโยบายของภาครัฐ และใหจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ Online
แทนการเรียนการสอนแบบ Onsite สงผลใหครอบครัวที่มีความออ่ นแอ ขาดกําลังทรัพย์ รวมถึงอุปกรณ์สื่อสาร
ในการเรยี นออนไลนจ์ ะประสบปญั หามากกว่าครอบครวั ท่ีมีความพรอ้ ม อกี ทงั้ ภาระในการประกอบสัมมาอาชีพ
ของแต่ละครอบครัว จึงส่งผลให้เด็กในครอบครัวที่ไม่มีความพร้อม โดดเดี่ยวจากการเรียนการสอนในรูปแบบ
ออนไลน์ ดังนัน้ ภายใตส้ ถานการณ์ความไม่พร้อมของแตล่ ะครอบครวั และเพ่อื ลดปัญหาความเหล่อื มล้ำทางการ
ศึกษา ครูประจำชั้นตอ้ งเป็นคนเก่ง เป็นผู้มีความรู้ แสดงบทบาทในฐานะผูป้ ระสานให้เกดิ การบูรณาการระหว่าง
ครอบครัวที่มีความพร้อมกับครอบครัวที่ไม่มีความพร้อม ดังนั้นบทบาทของครูผู้สอนต้องปรับให้เป็นเสมือน
ผู้บรหิ ารหรือนกั ประสานในการบริหารจดั การกระบวนการและทรพั ยากรทางการศึกษา ไมว่ ่าจะเป็นรูปแบบการ
ขอความช่วยเหลือ การระดมทนุ หรือแม้แตก่ ารรับบริจาคให้แก่เด็กในครอบครัวท่ีไมม่ ีความพรอ้ ม นอกจากนี้ยัง
ต้องมีทักษะในการออกแบบกิจกรรม (instructional design) โดยให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครองถึงกิจกรรมที่เด็ก
ตอ้ งเรียนออนไลนท์ บ่ี ้านวา่ จะต้องมกี ิจกรรมใดบา้ งที่จะทดแทนหรอื ชดเชยส่วนทข่ี าด

การมีส่วนร่วมถือเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงกระบนการเรียนรู้ จากการเรียนรู้แบบไม่ได้ลง
มือปฏิบัติเป็นการลงมือปฏิบัติจริง การพัฒนาสังคมแห่งการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ในอนาคตจำเป็นต้อง
พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนตั้งแต่บัดน้ี โดยเฉพาะการสร้างสรรค์นวัตกรรมซึ่งเป็นทักษะเชิงประยุกต์ที่ต้องใช้
การคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ แยกแยะ แลกเปลี่ยนอย่างมีวิจารณญาณเพื่อรังสรรค์แนวความคิด (Idea)
ใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์และยังต้องสามารถแปลงแนวคิดนั้นให้เกิดเป็นรูปธรรมให้ได้ซึ่งเรียกว่า นวัตกรรม
(Bovill, 2020) การร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการสอนและการเรียนรู้ (co–creation in

9

teaching and learning) จึงเป็นนวัตกรรมและถอื เป็นการจัดการเรียนรู้เชิงรุกวิธีการหนึ่งโดยครูผูส้ อนรว่ มกบั
พ่อแม่ ผ้ปู กครอง ร่วมกนั แสวงหาวิธกี ารจดั การเรยี นรตู้ ่างๆ ของนักเรียนเพอ่ื ให้ผูเ้ รยี นเกดิ กระบวนการคดิ การ
เรียนรู้ และพฒั นานิสยั ใฝ่เรยี นรู้ รวมถงึ การพัฒนาปรบั ปรุงอยา่ งต่อเน่ือง ดังทว่ี ชิ ัย วงษใ์ หญ่ และมารุต พัฒผล
(2563) ได้เสนอไว้ว่า การร่วมกันสรา้ งสรรค์นวตั กรรมทางการสอนและการเรียนรู้ (co–creation of teaching
and learning) ระหว่างครูและผู้ปกครองของนักเรียนสามารถทำได้ 5 ขั้นตอนคือ 1) กระตุ้นความสนใจของผู้
มีส่วนได้ส่วนเสีย 2) ร่วมกันวิเคราะห์ สังเคราะห์ และร่วมกันแสวงหาแนวคิด 3) แสวงหาความร่วมมือ 4)
รว่ มกันพัฒนา และ 5) ร่วมกันขยายผลและแบง่ ปนั

สำหรับประเทศไทย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2564) ได้ศึกษาวิจัย
เรื่อง “การศึกษาภาวะถดถอยทางการเรียนรูของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในสถานการณโควิด-19”
และพบวา ภาวะถดถอยทางการเรียนของนักเรียนไทยเกิดขึ้นในหลายมิติและในหลายชวงวัย โดยเริ่มจากเด็ก
นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา ที่พบวา ในมิติของความรู เด็กนักเรียนเกิดภาวะถดถอยทางการเรียนรูด้าน
ทกั ษะการอา่ นและคณติ ศาสตร์ คุณลกั ษณะของผเู้ รียนทีเ่ ปล่ียนแปลงไป เชน ไม่กลาตอบคาํ ถาม การขาดการมี
ส่วนร่วมในการเรียนรู และ ทักษะชีวิต สัมพันธภาพและการทำงานร่วมกับผู้อื่นลดลง ปญหาเหลานี้ลวนมี
สาเหตมุ าจากรูปแบบ การเรยี นการสอนออนไลนท์ ำใหนกั เรยี นขาดแรงจูงใจ ขาดความสนใจ และลดทอนความ
มั่นใจของนักเรียนลดลง นอกจากนั้นแลว ปญหายังเกิดจากการขาดความเขาใจและขาดการสนับสนุนของ
ผู้ปกครอง รวมถึงสัมพันธภาพ ระหว่างครู-นักเรียนที่ลดน้อยลง ตลอดจนความไม่พรอมของสื่ออุปกรณ์และ
เทคโนโลยีในการเรียนรู เมื่อพิจารณาภาวะถดถอยในมิติของผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ ผลการศึกษาพบวา เด็ก
นกั เรยี นระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปที่ 1-6 มีภาวะถดถอยเชิงผลสมั ฤทธ์ทิ างวชิ าการในวชิ าภาษาตา่ งประเทศ มาก
ที่สุด รองลงมาได้แก วิชาวิทยาศาสตร์ และวิชาคณิตศาสตร์ ตามลำดับ และยังพบวาเด็กนักเรียนระดับ
ประถมศึกษาปที่ 1-3 มี ความเครียดและความกังวลเกี่ยวกับการเรียนออนไลน์สูงที่สุด รองลงมา คือ ความ
พยายามในการเรียนลดลง และ ไม่สามารถสามารถปรับตัวในการเรียนออนไลน์ได้ตามลำดับ ผลการศึกษายัง
รายงานปัจจัยที่มีอิทธิผลตอภาวะถดถอยทางการเรียนรูของนักเรียน ซึ่งประกอบไปด้วยความสามารถในการ
กำกับตนเองในการเรียนรูของตัวนักเรียนเองทักษะการสอนทางไกลของครู การสนับสนุนของ พ่อแม่ในการส
งเสรมิ การเรยี นรูทางไกล การจัดสภาพแวดลอมเพ่ือการเรยี นรูทางไกล

2. สภาวการณใ์ นตา่ งประเทศ
2.1 อเมริกากลาง นำเสนอแผนฉุกเฉินในเดือนกันยายน 2020 โดยพัฒนา "หลักสูตรในกรณีฉุกเฉิน"

ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 3 ประการ ดงั นี้ (1) สนับสนนุ การให้คำแนะนำด้านอารมณ์และสังคมแก่ทกุ คน (2)
เสริมสร้างทกั ษะพนื้ ฐานในทกุ ระดับ ได้แก่ ความร้พู น้ื ฐาน ทกั ษะและความสามารถทางอารมณ์และสังคม และ
ทักษะที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และ (3) ให้การศึกษาของพลเมืองที่ส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีและการอยู่
ร่วมกันอย่างสันติในกรณีฉุกเฉิน ประเภทของหลักสูตรที่เตรียมไว้สำหรับการสอนแบบผสมผสาน รวมวิธีการ
สอน สำหรับใช้งานทั้งแบบเร่งด่วน ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว นอกจากนี้กระทรวงต่างๆ ยังได้หารือ

10

ถึงความเป็นไปได้ในการจัดความก้าวหน้าทางการเรียนรู้เป็นวงจรมากกว่าเรื่องระดับชั้นเรียน ซึ่งอาจใช้เวลา
มากกว่าหนึง่ ปกี ารศึกษา (CECC, 2020)

2.2 UNESCO-UNICEF-World Bank (2020) รายงานว่ามีการปรับหรือวางแผนที่จะปรับปฏิทิน
โรงเรยี น โดยการเลื่อนการส้นิ สุดปีการศึกษาหรอื เลอ่ื นการเริ่มต้นปีการศึกษาหนา้ การศกึ ษาในระบบส่วนใหญ่
ปรับปีการศึกษาเพื่อเพิ่มเวลาในการสื่อสารกับผู้เรียนให้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น ทาจิกิสถานยกเลิกการปิดภาค
เรียน ปาปัวนิวกินีลดเวลาปิดภาคเรียนลงครึ่งหนึ่ง และเซเชลส์ยกเลิกการปิดเรียนกลางภาคและลดวันหยุด
กลางปีลงสองสัปดาห์ คูราเซาและจอร์แดนกำลังวางแผนที่จะใช้บางส่วนของวันหยุดโรงเรียนภาคฤดูร้อน
เพื่อ การศึกษาดา้ นเวชศาสตร์ฟน้ื ฟู และวันหยุดสดุ สัปดาห์ในรวันดาจะทุ่มเทให้กบั กจิ กรรมการเยยี วยา

2.3 ฟิลิปปินส์ได้เผยแพร่แผนความต่อเนื่องของการเรยี นรู้การศึกษาข้ันพื้นฐานเป็นมาตรการ ฉุกเฉิน
สำหรับปีการศึกษา 2020–2021 ในเดือนมิถุนายน 2020 โดยกระทรวงศึกษาธิการ แผนดังกล่าวจะปรับปรุง
หลักสูตร K-12 ให้มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ที่จำเป็นผ่านรูปแบบและแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่หลากหลาย
ให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้โรงเรียนและสถาบันการศึกษาเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มเรียนวันแรกกำหนดวา่ ในวนั
ก่อนเปิดใหม่ผู้เรียนควรสำรวจข้อมูลพื้นฐานของตนเองด้านความพร้อมในการเรียน มีการปฐมนิเทศเกี่ยวกับ
การใช้รูปแบบการเรียนรู้ทางเลือกและสื่อการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับผู้เรียน และ กิจกรรมส่งเสริม
สขุ ภาพจิตและจิตสังคม ในเอกวาดอรก์ ระทรวงศกึ ษาธิการไดเ้ ผยแพร่ "หลักสูตรฉกุ เฉินทีจ่ ดั ลำดับความสำคัญ"
เพื่อนำไปใช้ในทุกโรงเรียนในชว่ งปกี ารศกึ ษา 2020–2021

2.4 อิตาลีการศึกษาสายอาชีพทางเทคนิคและอาชีวศึกษาที่ออกแบบใหม่ประสบความสำเร็จในการ
ลดอัตราการออกกลางคันโดยให้ความสำคัญกับความต้องการของนักเรียนในการออกแบบการเรียนรู้ประเทศ
โปรตุเกสออกแบบหลักสูตรใหม่ที่เน้นการพัฒนาขีดความสามารถด้านการเรียนรู้ในชีวิตป ระจำวันและการ
แบ่งปันประสบการณ์

2.5 กัมพูชา ได้ใช้การเรียนรู้แบบปรับเหมาะเพื่อแก้ไข (Remedial adaptive learning) เนื่องจาก
ในสถานการณ์โควิดทีผ่ ่านมาเกิดการสญู เสียการเรียนรู้ท่ีสำคัญทำให้หนว่ ยงานด้านการศึกษาของกัมพูชากังวล
เรือ่ งการฟ้ืนตัวดา้ นการเรียนรู้ของนกั เรยี นโดยตอ้ งการใหน้ ักเรียนมคี วามสามารถเพยี งพอที่จะเลอื่ นชั้น ใน
ระดับสูงขึ้นไป และวิธีใดดีที่สุดในการจัดการช่องว่างการเรียนรู้ที่สูญเสียไป ในช่วงสองถึงห้าเดือนซึ่งนักเรียน
เรียนรู้ด้วยวิธีการสอนทางไกล กระทรวงศึกษาธิการตัดสินใจที่จะให้นักเรียนเล่ือนชั้นและแก้ไขปัญหาภาวะ
ถดถอยทางการเรยี นรูด้ ว้ ยโปรแกรม 'การเรียนรแู้ บบปรบั เหมาะเพ่ือแกไ้ ข' อยา่ งนอ้ ยสำหรบั คณิตศาสตร์ในช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง 6 ในขั้นต้น ชั้นเรียนแก้ไขได้รับการออกแบบให้ดำเนินการ 1 วันต่อสัปดาห์ 3 สัปดาห์
ต่อเดือน ทั้งนี้ได้สนับสนุนวัสดุ เครื่องมือ และเวิร์กช็อปของครูด้วย และย่อหลักสูตรให้ครอบคลุมเนื้อหา
ที่จำเป็น โดยครูออกแบบแผนการเรียนรู้ด้วยตนเอง รวมถึงวิดีโอ เครื่องมือการประเมินเพื่อบันทึก
ความก้าวหน้า ของนกั เรยี นในแตล่ ะช้ันตามระดบั ความสามารถ ทงั้ น้ีส่งิ ท่ีสำคัญสำหรับกัมพูชาคือการพัฒนาครู
(VVOB,2021a)

2.6 อังกฤษ (สหราชอาณาจักร) ได้ปฏิรูปการศึกษาแบบตามทัน (Education catch-up reforms)
โดยรัฐบาลตัดสินใจใช้กลยุทธ์การปฏิรูประยะยาวเพื่อช่วยให้นักเรียน ครู และโรงเรียนตามทันหลังจากการ

11

หยุดชะงกั ที่เกดิ จากโควิด-19 การปฏิรูปจะกำหนดเป้าหมาย 3 มาตรการ ได้แก่ 1) การเปิดโรงเรยี นให้นานขน้ึ
2) เพิ่มการสอนพิเศษสำหรับนักเรียนที่มีปัญหา และ 3) ปรับปรุงคุณภาพครูผ่านการพัฒนาวิชาชีพอย่าง
ต่อเนื่อง โรงเรียนมัธยมศึกษาจะได้รับการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมการเรียนรู้ มีการขยายวันเรียน
จุดเน้นส่วนใหญ่จะเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ทำกิจกรรมนอกหลักสูตรมากขึ้น เช่น กีฬา ดนตรีและ
ศิลปะ นักเรียนที่ต้องการความชว่ ยเหลอื ด้านวิชาการเพิม่ เติมจะได้รับคำแนะนำที่ปรับให้เหมาะสมเพื่อช่วยให้
พวกเขาฟื้นการเรียนรู้ที่สูญเสียไปซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการกวดวิชาแห่งชาติ (National Tutoring
Programme: NTP) โดยในเดือนมิถุนายน 2020 รัฐบาลประกาศเงินทุน 1 พันล้านปอนด์เพื่อสนับสนุนเด็ก
และเยาวชนในการชดเชยการขาดการเรียนรอู้ นั เน่ืองมาจาก COVID-19 เงินทนุ รวมถึง

(1) NTP 650 ล้านปอนด์แบบจ่ายครั้งเดียวสำหรับปีการศึกษา 2020-2021 เพื่อประกันว่าโรงเรียน
ไดร้ ับการสนบั สนุนทจ่ี ำเป็นเพ่อื ชดเชยให้นกั เรียนทกุ คนสำหรับการเรยี นรทู้ ขี่ าดไป

(2) NTP 350 ล้านปอนด์เพื่อให้การสนับสนุนเพิม่ เติมสำหรับนักเรียนอายุ 5 ถึง 16 ปีที่ต้องการความ
ชว่ ยเหลอื มากเปน็ พเิ ศษ

NTP เป็นโครงการตามทันสำคัญ (government’s flagship catch-up) ของรัฐบาลในช่วงที่โรงเรียน
ปิด โดยจะให้การสนบั สนุนเพ่มิ เติมแก่โรงเรียนเพือ่ ชว่ ยเหลือนักเรยี นท่ีสญู เสียโอกาสอนั เปน็ ผลกระทบจากการ
ปิดโรงเรียน และรับประกันการมีส่วนร่วมในระยะยาวในการปิดช่องว่างทางการเรียนรูน้ ั้น การบรรลุผลสำเรจ็
ของ NTP มี 2 ประการ คือ (1) ค่าเล่าเรียนเพื่อจ่ายให้องค์กรที่เป็นพันธมิตรของ NTP โรงเรียนที่เข้าร่วมการ
สอนพิเศษคุณภาพสูงได้รับเงินอุดหนุนเพื่อจ่ายให้องค์กรพันธมิตรที่ได้รับอนุมัติ องค์กรเหล่านี้จะได้รับการ
สนับสนุนเงินทุนเพื่อเข้าถึงนักเรียนที่เสียโอกาสให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และจะต้องอยู่ภายใต้
มาตรฐานการประเมนิ และประกันคณุ ภาพ (2) พเ่ี ลย้ี งทางวชิ าการ (NTP Academic Mentors) จะจ้างผู้สำเร็จ
การศึกษาที่ได้รับการฝึกอบรมในพืน้ ท่ีที่ด้อยโอกาสที่สุด เพื่อให้การสนบั สนนุ ฟื้นฟูนักเรียนอย่างเข้มข้น ทำให้
ครูในโรงเรียนเหล่านี้สามารถเอาทุ่มเทให้กับการจัดการเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น ห้องเรียนของพวกเขาได้ ครูและ
ผู้บริหารโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะตัดสินใจว่าแนวทางใดตรงกับความต้องการมากที่สุด ผู้เชี่ยวชาญคนใด
ในภูมิภาคที่ต้องการทำงานด้วย และนักเรียนคนใดควรจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการสอนพิเศษเพิ่มเติม
โรงเรียนยังสามารถใช้บุคลากรของตนเองเพื่อจัดการเรียนการสอนแบบตัวต่อตัวและกลุ่มย่อยเพิ่มเติมได้หาก
ผ่านการรบั รองความเชย่ี วชาญจาก NTP

NTP ได้รับการออกแบบให้เป็นวิธีแก้ปัญหาระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาการสูญเสียโอกาสของนักเรียน
ได้เปน็ อย่างดี ซึง่ มแี นวโนม้ เพม่ิ ข้ึนอยา่ งมากตั้งแตป่ ดิ โรงเรยี น และมหี ลักฐานยืนยนั อยา่ งกวา้ งขวางว่าการสอน
แบบตัวต่อตัวและแบบกลุ่มย่อยสามารถเพิ่มความก้าวหน้าทางการเรียนได้ และเป็นวิธีการที่คุ้มค่า
มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนนักเรียนที่เรียนไม่ทัน แต่อย่างไรก็ตามการเข้าถึงการสอนพิเศษมักจะจำกัด
เฉพาะโรงเรียนและผู้ปกครองที่สามารถจ่ายได้ รัฐบาลประเมินว่าประมาณร้อยละ 80 ของนักเรียนที่ด้อย
โอกาสซึ่งส่วนใหญ่ต้องการการสนับสนุนอย่างเข้ม ไม่สามารถเข้าถึงการสนับสนุนดังกล่าวได้ NTP ตั้งเป้าที่จะ
แบ่งเบาภาระของโรงเรียนและครู และช่วยจัดการกับความเหลื่อมล้ำนี้(Department for Education, 2021;
Education Endowment Foundation, 2021)

12

2.7 ประเทศแซมเบีย ได้ขยายขนาดโปรแกรมตามทันให้ครอบคลุม (Scaling up a catch-up
programmes) โดยการจัดกลุ่มนักเรียนตามระดับความสามารถ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ครูและโรงเรียนบาง
แห่งได้ดำเนินการไปแล้วก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 การจัดกลุ่มสามารถทำได้ทั้งภายในชั้นเรียนและข้ามช้ัน
เรียน - ในระดบั ช้ันต้น (ทักษะพื้นฐาน) หรือแม้แต่สำหรับวิชาเฉพาะในโรงเรียนมธั ยม (ขั้นสูง) รัฐบาลแซมเบีย
ต้องเผชิญกับแรงกดดันในการรับมือกับการสูญเสียการเรียนรู้อันเนือ่ งมาจากการระบาดใหญ่ จึงต้องการขยาย
โครงการจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3-5 ไปยังระดับชั้นอื่นๆ ทั้งนี้โครงการก่อนเกิดโควิด-19 ใช้แนวทาง
"การสอนในระดับที่เหมาะสม" (Teaching at the Right Level) ที่พัฒนาโดย Pratham India กำหนดให้จัด
กลุ่มนักเรียนตามความสามารถในทั้ง 3 ชั้น อย่างไรก็ตามในแซมเบีย วิธีการนี้เรียกว่าโปรแกรม 'ตามทัน' ซึ่ง
ช่วยให้ผู้เรียนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าชั้นนั้นสามารถไล่ตามระดับที่คาดหวังได้ โปรแกรมนี้ดำเนินการนำร่อง
ระหว่างปี 2016 ถึง 2017 ในโรงเรียน 80 แห่ง ใน 4 อำเภอ ตามรูปแบบการนำไปปฏิบัติที่แตกต่างกัน
เล็กน้อย โดยใน 2 อำเภอแรกใช้เวลา 3 ชั่วโมงต่อวันตลอด 20 วัน ทั้งในช่วงภาคการศึกษาหรือช่วงวันหยุด
นักขัตฤกษ์ ในอีก 2 อำเภอที่เหลือผู้เรียนได้รับการสอนเป็นเวลา 1 ชั่วโมงต่อวันตลอด 100 วัน ก่อนหรือหลัง
ชั้นเรียนปกติ ที่ปรึกษาโครงการช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้ครูในการดำเนินการตามโปรแกรมนี้ผลลัพธ์ของการศึกษา
ประสบความสำเร็จ โดยผู้เรียนมีคะแนนเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 สำหรับระดับความสามารถพื้นฐานในการอ่านและ
การคิดเลข และในปี 2019 กระทรวงศึกษาธิการได้เริ่มโครงการนี้ให้กับโรงเรียน 1,800 แห่งภายใต้ความ
ร่วมมือของ USAID/J-PAL Africa ซึ่งรูปแบบใหม่นี้ทีการปรับการจัดกลุ่มความสามารถของผู้เรียนให้เข้ากับ
หลักสูตรแบบย่อ (การรู้หนังสือและการคำนวณ) โดยขยายไปถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีท่ี
6 เนน้ ทีก่ ิจกรรมการฟื้นฟูสำหรบั ผูเ้ รียนท่ีมีความต้องการจำเป็นอย่างแท้จริง ทง้ั นคี้ ่าใช้จ่ายเป็นปัญหาที่ปฏิเสธ
ไม่ได้ จงึ มีการปรับลดวันอบรมครูลง (IPA (n.d.); TaRL, 2021; USAID Zambia, 2011; VVOB, 2021b)

3. ปัจจยั แห่งความสำเรจ็ ในการนำนโยบายสกู่ ารปฏิบตั ิ
ประเภทของการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้แตกต่างกันไปตามระดับชั้น ขึ้นอยู่กับเนื้อหาท่ี

หายไปและส่งผลกระทบต่อการเลื่อนชั้นสู่ระดับการศึกษาถัดไปของนักเรียน การศึกษาสายเทคนิคและ
อาชีวศึกษา (TVET) หรือแม้กระทั่งความต้องการของตลาดแรงงาน วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อให้นักเรียน
กลับมาอยู่ในเส้นทางของระบบการศึกษา รัฐบาล โรงเรียน และครูจะต้องพิจารณามิติที่สัมพันธ์กันสามมิติใน
บริบทท้องถิ่นของตนเอง ได้แก่ (1) แนวทางการจัดหลักสูตร (2) การสนับสนุนเพิ่มเติมที่จำเป็น และ (3)
มาตรการเชิงปฏิบัติที่จำเป็นในการนำแนวทางไปใช้ ดังนั้น ผู้รับผิดชอบในแต่ละระดับของระบบการศึกษา
(กระทรวง โรงเรียน และครู) จะมีบทบาทและความรับผิดชอบที่แตกต่างกันในการดำเนินการตา มการแนว
ปฏบิ ตั ิที่เลอื ก โดยควรพจิ ารณาประเด็นตอ่ ไปน้ี (UNESCO, 2021a)

3.1 ข้อพจิ ารณาทส่ี ำคญั สำหรับการตดั สนิ ใจของผูบ้ รหิ าร
จากขอ้ มูลท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ ประเทศส่วนใหญพ่ ิจารณาเลือกใชแ้ นวทางและรปู แบบผสมผสานกนั โดย มี
เป้าหมายเพื่อการปรับปรุงในวงกว้างและใช้มาตรการที่ยืดหยุ่น ตรงเป้าหมาย และรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมี
เป้าหมายเพื่อให้การเรียนรู้เพิ่มเติมแก่เด็กที่สูญเสียโอกาสและเปราะบาง รวมทั้งเด็ก หรือเยาวชนที่เสี่ยงต่อ

13

การออกกลางคัน วิธีการดงั กล่าวต้องการการตัดสินใจที่เฉียบขาดในระดับต่างๆ ของการศึกษาเพื่อจัดระเบียบ
การเรียนรูแ้ บบตัวต่อตัวและแบบผสม ปรับวันเรียนและปฏิทินของโรงเรียน จัดลำดับความสำคญั ของหลักสูตร
ปรับการประเมินความก้าวหน้า จัดระเบียบการสอบที่มีผลได้ผลเสียสูง (High-stake exams) ฝึกอบรมและ
ปรับใช้ทีมงานสอน และการสนับสนุนเพื่อสุขภาวะที่ดีของนักเรียนและครู โดยควรพิจารณา 5 ประการ
ที่ สัมพันธก์ ันเพ่อื สรา้ งความม่นั ใจถงึ ประสิทธผิ ลของกลยุทธใ์ นการฟนื้ ฟูการเรียนรูด้ ังน้ี

3.1.1 การประเมินความต้องการจำเป็นในการเรียนรู้นักเรียนทุกคนที่กลับเข้าศึกษาใหม่หรือเข้า ร่วม
โปรแกรมการศึกษาอกี ครั้งจะต้องได้รับการประเมินเพื่อวินิจฉัยเพื่อกำหนดวา่ ทักษะใดที่ได้รับหรือไม่ได้ รับมา
และทักษะและเนื้อหาใดจะต้องได้รับการสอน (ซ้ำ) การประเมินการวินจิ ฉัยจะมีความสำคัญเป็นพิเศษ สำหรับ
ครูที่สอนนักเรียนที่มีช่องโหว่และนักเรียนที่มีความต้องการการเรียนรู้พิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่เสี่ยงต่อการ สูญเสีย
การเรียนรู้อย่างร้ายแรง การประเมินการเรียนรู้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวัดระดับของผู้เรียน ความ
คืบหนา้ และช่องวา่ งในการเรียนรู้ ในขณะท่กี ารประเมนิ รายทางอย่างต่อเนอ่ื งมักจะดำเนินการเป็น ประจำและ
มุ่งเน้นไปท่ีกระบวนการเรียนรู้และการมปี ฏสิ มั พันธ์ ซึ่งจะช่วยปรับเปลี่ยนเนือ้ หาการสอนและ วิธีการปรับปรงุ
การเรียนรู้ การประเมินสรุปจะเป็นตัวกำหนดทักษะขั้นสุดท้ายของนักเรียนหรือระดับ ความสามารถของ
นักเรียน ทั้งสองควรใช้เพือ่ ใหเ้ ห็นภาพที่สมบรู ณ์ของความตอ้ งการการเรียนรู้ของนักเรยี น ข้อมูลการประเมนิ มี
ความจำเป็นต่อการตัดสินใจในระดับต่างๆ ครูและโรงเรียนต้องสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับ การสอนที่สนับสนุน
นักเรียนที่เฉพาะเจาะจงได้ ผู้บริหารยังสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย และการจัดสรร
ทรพั ยากร

3.1.2 การปรับการสอน โรงเรยี นและครสู ามารถใชแ้ นวทางการสอนที่แตกตา่ งกันเพือ่ จดั ระเบียบ และ
จัดทำโปรแกรมตามทัน ดงั นี้

1) การสอนแบบปรบั เหมาะ (Adaptive teaching) การสอนแบบน้มี ไี ว้สำหรบั นกั เรยี นทกุ คน ไมใ่ ช่แค่
ผู้ที่มีปัญหาการเรียนเท่านั้น ในการสอนแบบปรับเหมาะ ครูจะทำการประเมินในเชิงลึกเพื่อทำความ เข้า
ใจความต้องการ ความสามารถ และทักษะของนักเรียนแต่ละคน รวมถึงความสามารถทางอารมณ์และ สังคม
เพื่อปรับการสอน การวิจัยเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจและประสาทวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่าเด็กทุกคนเรียนรู้
แตกต่างกัน กระบวนการส่วนบคุ คลนี้ไดร้ บั ผลกระทบจากปัจจยั ตา่ งๆ เช่น ความรู้เดมิ ความสามารถ แรงจูงใจ
สภาพแวดล้อมในบ้าน และการเข้าถึงทรัพยากร การเรียนการสอนจะปรับให้เข้ากับนักเรียนแต่ละคน
ตัวอย่างเช่น ครูสามารถปรับความยากของงานและระยะเวลาที่จัดสรรให้กับงานได้ สำหรับนักเรียนที่มี
ความสามารถมากกว่าเพื่อน ครูควรใช้เทคโนโลยีในการประเมินการเรียนรูข้ องนักเรียนและมอบหมายงานของ
นักเรียนเป็นรายบุคคล เพื่อให้นักเรียนสามารถตรวจสอบการเรียนรู้ของตนเองได้ ในการสอนแบบนี้ครูควร
คำนึงถึงผลการเรียนรู้ที่ประสบความสำเร็จของนักเรียน ซึ่งเกิดจากการใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมการ
เรียนรูอ้ อนไลนเ์ พ่ือเรยี นรทู้ ักษะใหม่ๆ เช่น การควบคมุ ตนเอง การบรหิ ารเวลา และความยดื หยุน่

2) หลักสูตรแบบย่อ (Condensed curriculum) ในขณะที่นักเรียนฟื้นตัวจากการล็อกดาวน์เป็น
เวลานานและการปิดโรงเรียนในครั้งต่อๆ ไป อาจจำเป็นต้องเน้นการสอนเฉพาะเฉพาะส่ิงที่ต้องเรียนรู้ในระดับ
ที่กำหนดโดยการย่อหลักสูตรแทนที่จะสอนทุกอย่างที่นักเรียนล้มเหลวในการเรียนรู้ในระดับชั้นก่อนหน้า ควร

14

ตัดสินใจเลือกเฉพาะทักษะและความรู้ที่สำคัญที่สุดของการเรียนรู้เฉพาะในชั้นเรียนเท่านั้น หลักสูตรสามารถ
เน้นทีท่ ักษะและความรขู้ ้ันต่ำที่จำเป็นสำหรับนกั เรียนอย่างเพียงพอ ซง่ึ สามารถทำได้สองวิธีคอื

(1) การเลอื ก ผลลัพธท์ ม่ี ลี ำดบั ความสำคญั จากหลกั สตู รมาตรฐาน หรือ
(2) การพฒั นาผลลัพธ์ท่ีมลี ำดับความสำคญั โดยการ สงั เคราะห์ผลการเรยี นรใู้ นหลกั สูตรมาตรฐาน
3) การจัดลำดับความสำคัญ การฝึกอบรม และการสนับสนุนครู(Prioritizing, training and
supporting teachers) ครูอยู่ด่านหน้าของการออกแบบและนำเสนอโปรแกรมการเรียนรู้ที่ทันท่วงที และ
ตอ้ งการพฒั นาทางวิชาชพี ทต่ี รงเป้าหมาย รวมถงึ การสนับสนนุ การให้คำปรึกษาอยา่ งต่อเน่ืองเพ่ือให้ปฏิบัติการ
สอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกอบรมครูให้ใช้การประเมินวินิจฉัยเพื่อระบุระดับการเรียนรู้ของนักเรียน
ชอ่ งวา่ งของความรู้และทักษะเป็นส่ิงสำคัญ และปรับการสอนตามผลการวินจิ ฉยั การเรียนร้นู ั้น ด้วยเทคนิคการ
ประเมินความก้าวหน้า (Formative Assessment) อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ ครู
ไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการในการสอนแบบปรับเหมาะ และจะต้องมีการพัฒนาทางวิชาชีพที่มี
คุณภาพและมีความเกี่ยวข้องสูง เพื่อให้แน่ใจว่าการสอนแบบปรับเหมาะจะมีประสิทธิภาพ (Schiper et al.,
2020) ที่สำคัญไปกว่านั้นเนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 ยังคงดำเนินต่อไป ครู
จะต้องได้รับการฝึกอบรมเพื่อจัดการเรียนรู้ทางไกลและการเรียนรู้แบบผสมผสาน การฝึกอบรมการใช้
แพลตฟอรม์ ออนไลน์ดจิ ทิ ลั ขน้ั พนื้ ฐานไม่เพียงพอเพ่อื ส่งเสรมิ การเรียนรูด้ จิ ทิ ลั ทีม่ ีประสทิ ธิภาพ ครูจะต้องได้รับ
การฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลที่มีเนื้อหาเฉพาะเรื่อง รวมถึงต้องเรียนรู้วิธีใช้
แพลตฟอร์มดิจิทัลในการวางแผนบทเรียน การสอน การประเมินความก้าวหน้าและสรุปผล รวมถึงอำนวย
ความสะดวกในกิจกรรมกลุ่มและการอภิปราย ครูต้องเข้าถึงการฝึกอบรมที่มีคุณภาพเกี่ยวกับการสอนดิจิทัล
การใชแ้ พลตฟอร์มออนไลน์และระบบการจัดการเรียนรู้การดำเนินการดังกลา่ วทำให้เกิดข้อมูลที่เป็นประโยชน์
ต่อการปรับปรุงการสอนและการเรียนรู้ของนักเรียน ครูควรได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ข้อมูล
และการวิเคราะห์การเรียนรู้เพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของนักเรียนผ่านการสอน แบบปรับ
เหมาะโดยใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อปรับปรุงการสอน ครูเองก็ประสบความเครียดเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของโควิด
19 เช่นกัน นอกเหนือจากส่งเสริมสวัสดิภาพที่ดีของนักเรียนแล้ว ครูยังต้องการการสนับสนุนและทรัพยากร
เพื่อจดั การสขุ ภาพจติ และสุขภาวะท่ีดีของตนเอง
4) การจัดการเรียนรู้ที่เน้นอารมณ์และสังคม (Social-Emotional Learning: SEL) การฟื้นฟู การ
สูญเสียการเรียนรู้เป็นเวลาหลายเดือนเป็นปัญหาสำคัญสำหรับนักเรียน โปรแกรมฟื้นฟูควรเน้น SEL เพื่อให้
นักเรียนทุกคนกลับมาอยู่ในกรอบของระบบการศึกษา มีรายงานการเพิ่มขึ้นของอุบัติการณ์ของความ รุนแรง
การล่วงละเมิด และการละเลยเด็กอันเนื่องมาจากการปิดโรงเรียนและการกักตัว (Petrowski et al., 2020)
เหตุการณ์ดังกล่าวจำเป็นสำหรับนักเรียนบางกลุ่มที่อาจต้องการความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตหรือการ
สนับสนุนทางจิตสังคมเพ่มิ เตมิ เพอื่ ให้ยนื ยันว่าการเรียนรูจ้ ะไมส่ ่งผลกระทบทางลบเพิ่มเติม โปรแกรมแก้ไขและ
ตามทันที่ประสบความสำเร็จจะเป็นโปรแกรมที่ผสมผสานทางวิชาการ อารมณ์และสังคม แม้ว่าความก้าวหน้า
ทางการวิจัยที่เพิ่มขึ้นจะระบุลักษณะสำคัญของโปรแกรม SEL ที่มีประสิทธิผล แต่ก็ยังมีความรู้และการวิจัย
ค่อนข้างน้อยเกีย่ วกบั วิธีการนำ SEL ไปใช้กับวิชาที่มีความเป็นวิชาการสูง ครูส่วนใหญ่ยังต้องการการฝึกอบรม

15

เฉพาะทางเกี่ยวกับกลยุทธ์ SEL และการลดผลกระทบที่ เหมาะสมต่อการพัฒนา (UNESCO, 2021b)
โปรแกรมพัฒนาวิชาชีพครูที่เน้นการฝึกสติ(Mindfulness) ซึ่ง ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อจัดการกับ
ความเครียดของครูและความสามารถทางอารมณ์และสังคมใน บริบทของห้องเรียน ช่วยส่งเสริมสุขภาวะที่ดี
ของครู ลดความทุกข์ทางจิตใจ และปรับปรุงคุณภาพของ ปฏิสัมพันธ์ในห้องเรียนได้ การวิจัยระบุว่าโปรแกรม
SEL ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดประกอบด้วยองค์ประกอบสี่ ประการ ได้แก่ (1) กิจกรรมตามลำดับที่นำไปสู่การ
พัฒนาทกั ษะทีป่ ระสานกนั และเช่อื มโยงกัน (2) รปู แบบการ เรยี นรู้เชิงรุกทีช่ ว่ ยให้เดก็ ไดฝ้ ึกฝนและฝกึ ฝนทักษะ
ใหม่ ๆ (3) มุ่งเน้นเวลาทใ่ี ชใ้ นการพัฒนาทักษะทางอารมณ์ และสังคมอย่างน้อยหนึง่ อยา่ ง และ (4) การกำหนด
เป้าหมายของทักษะเฉพาะอย่างชัดเจน โปรแกรม SEL จะ ประสบความสำเร็จมากที่สุดเมื่อเกิดขึ้นในบริบท
ของโรงเรียนและห้องเรียนที่มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ บรรยากาศที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี การสนับสนุนด้าน
การสอน และการจัดการห้องเรียนในเชิงบวก สร้าง ความร่วมมือจากครอบครัว โรงเรียน และชุมชนทีส่ ามารถ
ช่วยเหลือเด็กๆ ที่บ้านและในสภาพแวดล้อมนอก โรงเรียน ส่งเสริมวัฒนธรรมและความรับผิดชอบ
(Chatterjee Singh and Duraiappah, 2020)

5) การประกันความเสมอภาคทางเพศ (Gender equality) การหยุดชะงักของโรงเรียนส่งผลกระทบ
กบั เด็กผหู้ ญิง การคาดการณท์ มี่ ีอยู่ระบวุ า่ เด็กหญงิ 11 ล้าน คนอาจไมก่ ลบั ไปโรงเรยี น (UNESCO และ Global
Education Monitoring Report, 2021) เด็กผู้หญิงอายุ 12-17 ปีในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง
ตอนล่างมีความเสี่ยงเป็นพิเศษที่จะออกจากโรงเรียน ในขณะ ที่เด็กผู้ชายมีความเสี่ยงมากกว่าในประเทศที่มี
รายไดส้ งู ถึงปานกลาง (Azevedo et al., 2020) การเปลีย่ นไป ใชก้ ารเรยี นรอู้ อนไลน์ในชว่ งปดิ เรียนได้ผลักดัน
ให้เด็กหญิงและสตรีที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตหรือโทรศัพท์มือถือต้อง ประสบกับสถานการณ์ที่เสียเปรียบมากข้ึน
นอกเหนือจากการดูแลเด็กและงานบ้านที่เพิ่มขึ้นแล้ว ครอบครัวที่มี ช่วงเวลาที่ยืดเยื้อในช่วงล็อกดาวน์ยังเพม่ิ
ความรุนแรงทางเพศอีกด้วย ผลการศึกษาพบว่าผู้หญิงและเด็กหญิง อายุ 15-49 ปีทั่วโลก 243 ล้านคนต้อง
เผชิญกับความรุนแรงทางเพศและ/หรือทางร่างกายจากครู่ ักท่ีใกล้ชิด ในช่วง 12 เดอื นทผ่ี า่ นมา (UN Women,
2020) นอกจากน้ยี งั มีศักยภาพในการต้ังครรภแ์ ละการแต่งงานของ วัยรุ่นทเ่ี พิ่มขึน้ ผลที่ตามมาของครัวเรือนที่
ตกอยู่ในความยากจนมากขึ้นเนื่องจากการระบาดใหญ่ (UNESCO, 2020c) โปรแกรมแก้ไขและตามทันจะต้อง
พิจารณาถึงความต้องการเฉพาะและความเปราะบางของเด็กหญิง และสตรี แผนการเปิดโรงเรียนอีกครั้งควร
เปิดโอกาสให้เด็กหญิง 130 ล้านคนที่ออกจากโรงเรียนไปแล้วก่อน เกิดการระบาดใหญ่ให้กลับไปเรียนที่
โรงเรยี น โดยควรดำเนนิ การดงั นี้

(1) การนำแนวทางทั้งระบบมาใช้ซึ่งนำมุมมองเรื่องเพศภาวะและการรวมเข้าด้วยกันมาสู่การ
วิเคราะห์การศึกษา ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อขจัดอคติทางเพศและการเลือกปฏิบัติภายในและข้ามระบบ
การศกึ ษา

(2) จัดลำดับความสำคัญของความเป็นผู้นำของเด็กหญิงและสตรี โดยตระหนักถึงบทบาทของตนใน
ฐานะตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง และมีส่วนร่วมกับพวกเขาอย่างเป็นระบบและมีความหมายในการ
ปรึกษาหารอื และการตัดสนิ ใจเก่ียวกบั การวางแผนฟนื้ ฟูการศกึ ษา

16

(3) ส่งเสริมแนวทางบูรณาการและประสานงานที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาแบบองค์รวมของ
เด็กผ้หู ญงิ ความตอ้ งการด้านสุขภาพ โภชนาการ และการคมุ้ ครอง

(4) จัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการเพื่อนำเด็กผู้หญิงทุกคนกลับไปเรียนที่โรงเรียน ท้ัง
นักเรียนที่กลับมาเรียนและผู้ที่ออกจากโรงเรียนก่อนหน้านี้ โดยใช้มาตรการที่กำหนดเป้าหมายสำหรับ
เด็กผู้หญิงที่ยากจนที่สุดและด้อยโอกาสท่ีสุด เมื่อโรงเรียนเปิดใหม่อีกครั้ง รัฐบาลควรสนับสนุนครูในการสร้าง
แนวทางปฏิบัติในชั้นเรยี นที่ ปลอดภัย ตอบสนองต่อเพศ และครอบคลมุ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องมกี ารสรรหา
และการรักษาครูหญิงไว้ ควบคู่กับการแทรกแซงเพื่อลดช่องว่างทางเพศในการสอนและความเป็นผู้นำใน
โรงเรยี น (UNESCO, UNICEF, Plan International, UNGEI and Malala Fund, 2020)

3.2 การปรบั แนวทางหลกั สูตรใหเ้ ขา้ กบั กลุ่มผู้เรียนตา่ งๆ (Adapting curricular approaches
to different groups of learners)

การเลือกแนวปฏบิ ัติท่ีดที ่ีสุดสำหรับการฟนื้ ฟกู ารเรียนรทู้ ่ีสญู เสียไปน้ันไมใ่ ชก่ ารตดั สินใจท่งี า่ ย และ
จะยากขน้ึ อยา่ งแน่นอนหากรัฐบาลไมใ่ ชร้ ะบบการประเมนิ เพอ่ื ทำความเขา้ ใจความต้องการการเรยี นรขู้ องกล่มุ
ต่างๆ AEWG แยกแยะผู้เรียนสามกลุ่มกอ่ นเกิด COVID-19 ดังนี้

1) ผทู้ ี่เข้าศกึ ษาในระบบ
2) ผทู้ เ่ี ขา้ รว่ ม การศกึ ษาทางเลอื กท่ผี ่านการรับรองหรอื การฝกึ อบรมทกั ษะและ
3) เด็กและเยาวชนนอกโรงเรียน หรือผทู้ ีเ่ ข้า รว่ มโปรแกรมการศึกษานอกระบบทีไ่ มผ่ ่านการรับรอง
(UNESCO, 2021a)
ข้อพจิ ารณาดา้ นนโยบายสำหรับผู้ทเ่ี ข้าศกึ ษาในระบบ (กล่มุ ที่ 1) มีดังน้ี
1) หากสูญเสียการเรียนรู้เพียงเล็กน้อย หน่วยงานสามารถวางแผนฟื้นฟูการเรียนรู้ที่สูญเสียไปโดย
ขยายเวลาการเรียนรผู้ า่ นมาตรการอย่างนอ้ ยหน่ึงอย่างต่อไปนี้
• ปรบั ปฏทิ นิ โรงเรียนและตารางเรียนโดยเพ่ิมวนั เรยี น ขยายเวลา หรอื ลดช่วงเวลาปิดภาคเรียน
• การดำเนินการสอนแบบควบสอง (double shifts) เชน่ เพม่ิ เวลาเปน็ 2 คาบ
• สอนซอ่ มเสริม
2) หากสูญเสียการเรียนรู้อยู่เหนือเกณฑ์ที่กำหนด หน่วยงานสามารถพิจารณาฟื้นฟูการเรียนรู้ที่
สญู เสยี ไปโดยใช้ตวั เลอื กอย่างน้อยหนึง่ ตวั เลอื กตอ่ ไปนี้
• ยอ่ หลกั สตู รโดยเน้นเนื้อหาสำคญั
• เพ่มิ เวลาในการสอนใหน้ านท่ีสดุ โดยขยายวันหรอื ภาคเรยี นของโรงเรยี น หรือลดชว่ งพกั ใหส้ ้นั ลง
• การดำเนินการสอนแบบควบสอง (double shifts) หรอื สอนซ่อมเสริม
• ปรับปรุงกฎเกณฑ์การสำเร็จการศึกษาหรือการเลื่อนชั้น ในการให้คำปรึกษาหารือแก่ครูและผู้
ผ้บู ริหารโรงเรียน เจา้ หนา้ ทร่ี ะดบั ชาตจิ ะต้องตัดสินใจเกีย่ วกับ มาตรการเฉพาะท่ีจะนำไปปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับ
บริบทของท้องถิ่นมากที่สุด ปริมาณการเรียนรู้ที่สูญเสียไปจะ แตกต่างกันไปตามบริบท หน่วยงานด้าน
การศึกษาต้องตัดสินใจว่าระยะเวลาในการเรียนการสอนท่ีไม่ได้ตาม มาตรฐานจะใช้โปรแกรมตามทันแบบเต็ม

17

รูปแบบหรือเพียงแค่ขยายเวลาการเรียนการสอน หากจำเป็นต้องย่อ หลักสูตรควรพิจารณาว่าต้องจัดลำดับ
ความสำคัญของรายวชิ าหรอื เนื้อหารายวชิ าใด

3.3 กลยุทธก์ ารกำหนดเปา้ หมายสำหรับโปรแกรมแกไ้ ข (Targeting strategies for remedial
programmes)

ควรใช้โปรแกรมแก้ไขสำหรับนักเรียนที่ประสบปัญหาการเรียนซึ่งต้องการการสนับสนุนที่ ตรงจุด
เพิ่มเติมพร้อมกับชัน้ เรียนปกติ โปรแกรมนี้ออกแบบสำหรบั นักเรียนที่ต้องการเนื้อหาระยะสั้นหรือ การ
สนบั สนนุ ทกั ษะเพ่ือให้ประสบความสำเรจ็ ในการเรยี นในระบบตามปกติ ประเภทของกลยุทธ์การศึกษาแก้ไข มี
รายละเอียดดังนี้ (UNESCO, 2021a)

1) การปฏิบัติในชั้นเรียน (In-class interventions) โดยแยกนักเรียนในชั้นเรียนออกเป็นกลุ่มเล็กๆ
เพื่อสอนแต่ละกลุม่ แตกต่างกนั ตามทกั ษะและความรู้ของนกั เรยี น แนวทางนี้คลา้ ยกับการสอนแบบปรับเหมาะ
ซึ่งจะประเมินทักษะและระดับความรู้ของนักเรียน จากนั้นจึงออกแบบโปรแกรมการเรียนแบบต่างๆ สำหรับ
นักเรียนที่มผี ลการเรียนต่ำกว่าเพ่ือน

2) การสอนแบบจุลภาค (Micro-teaching) การสอนแบบนี้ใช้กับนักเรียนกลุ่มเล็กๆ ทั้งในสถานที่
(On-site) และทางออนไลน์ การสอนแบบจุลภาคมักจะเน้นที่การเรียนรู้แบบจุลภาค ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้
เนื้อหาขนาดเล็กในช่วงเวลาสั้นๆ กลยุทธก์ ารเรยี นรู้ที่เน้นนกั เรียนเป็นศูนย์กลางนีส้ ามารถนำไปใช้ในโปรแกรม
การสอนในระบบตามโครงสร้างเวลาเรียนหรือโปรแกรมการเรียนรู้นอกระบบที่นักเรียนต้องกำกับตนเองอย่าง
ไมเ่ ปน็ ทางการ ตวั อยา่ งของการสอนแบบจลุ ภาคคอื การสอนแบบตวิ การสอนแบบกลุม่ เลก็ หรอื แบบตวั ตอ่ ตัว

3) การสอนแบบภายนอก (Pull-out interventions) เป็นการสอนพิเศษเฉพาะและการสอนพิเศษ
หลังเลิกเรียน เช่น โปรแกรมการฟนื้ ฟกู ารอ่านกับผ้เู ชย่ี วชาญด้านการอ่าน ซึ่งรวมถึงการสอนพิเศษสว่ นตัวด้วย

3.4 แผนงานสำหรับการดำเนินการตามโปรแกรมตามทันอย่างมีประสิทธิภาพ (Roadmap for
effective implementation of catch-up programmes)

กระทรวงศกึ ษาธกิ ารและสถาบนั การศึกษาสามารถดำเนนิ งานเป็นวงจรได้ 4 ขัน้ ตอน ดงั นี้ (UNESCO,
2021a)

1) ประเมิน (Assess) หน่วยงานด้านการศึกษาทุกระดับจำเป็นต้องเข้าใจปัญหาที่นักเรียนเผชิญอยู่
และกำหนดความสำเรจ็ ให้ชดั เจนกอ่ นวางแผนโปรแกรมตามทนั การประเมนิ ครอบคลุมถงึ ประเดน็ ต่อไปน้ี

• ขอบเขตของการสูญเสียการเรียนรู้และการกระจายตัว (ช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างนักเรียนและ
โรงเรียน)

• ความต้องการของนักเรียนกลุ่มต่างๆ โดยเน้นทั้งความต้องการทางวิชาการและความต้องการทาง
อารมณ์และสังคมผ่านชุดของการประเมินและตัวชี้วัดที่เฉพาะเจาะจง โดยพิจารณาจากสิ่งที่มีอยู่ • ทรัพยากร
และความสามารถทม่ี ีอย่เู พ่ือใชแ้ นวทางและกลยุทธต์ ามทันที่เหมาะสม

2) ออกแบบ (Design) เมื่อทำการประเมินและระบุความต้องการจำเป็นแล้วสามารถเลือกแนว
ทางการติดตามและตัดสินใจเกี่ยวกบั ชอ่ งทางสำหรับโปรแกรมการเรยี นรู้ได้

18

• กลยุทธ์และมาตรการที่เป็นรูปธรรมที่ต้องดำเนินการขึ้นอยู่กับแนวทางหลักสูตรและการสอน
ทีร่ ะบบการศึกษาจะนำมาใชใ้ นการประเมินสถานการณ์

• เมื่อระบุกลยุทธ์ได้แล้ว โรงเรียนสามารถเลือกช่องทางในการจัดการเรียนรู้ได้ (เช่น การผสมผสาน
ระหวา่ งการเรยี นรู้ทางไกลและการเรียนแบบตวั ต่อตัว)

3) ปฏิบัติ (Implement) การปฏิบัติขึ้นอยู่กับแนวทางและกลยุทธ์การเรียนรู้ตามทันที่เลือก และ
เกี่ยวข้องกับปัจจัยนำเข้าที่สำคัญ (เวลา ทรัพยากร และความสามารถ) ทั้งนี้ระบบการศึกษาจึงอาจจำเป็นต้อง
จดั การความคาดหวงั โดยคำนึงถึงปจั จัยตอ่ ไปนี้

• ความพร้อมของงบประมาณ โครงสรา้ งพน้ื ฐาน ทรพั ยากรบคุ คล และวัสดสุ นับสนนุ
• ความเป็นไปได้และผลกระทบของการดำเนินการโปรแกรมตามทนั
4) ติดตามและปรับ (Monitor and adjust) โรงเรียนจำเป็นต้องติดตามและประเมินผลการ
ดำเนินการตามแผน ติดตามอย่างต่อเนื่อง และทำการปรับเปลี่ยนที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบนี้อาจ
รวมถงึ :
• ใช้เครื่องมือเพื่อติดตามตลอดแนวทางปฏิบัติ (เช่น แผนการดำเนินการเป็นอย่างไร นักเรียนได้รับ
การจัดการตามแผนอย่างไร) และผลลัพธ์ (เช่น นักเรียนกลุ่มต่างๆ มีความคืบหน้าอย่างไร และแผนจัดการกับ
ปัญหาทร่ี ะบุหรือไม่)
• ใช้การผสมผสานระหว่างข้อมูลที่มีอยู่และระบบการประเมิน และอาจกำหนดแนวทางใหม่ที่เหมาะ
กับบริบทเฉพาะ
3.5 บทบาทและความรบั ผิดชอบของผูด้ ำเนินการในระดบั ตา่ งๆ ของระบบ (UNESCO, 2021a)
1) กระทรวง
• จัดให้มีการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักทั้งหมด: การกำหนด การวางแผน และการ
ดำเนินการตามแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาองค์ประกอบที่สำคัญที่หลากหลาย รวมถึงการประกันการ
เปดิ อาคารเรยี นอีกครงั้ อย่างปลอดภยั การดแู ลความต้องการทางจติ สงั คม สขุ ภาพ สขุ าภิบาล และสุขภาวะที่ดี
ของบุคลากรในโรงเรียนและผู้เรียน และใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน (เช่น รูปแบบตัวต่อตัว แบบ
ไฮบริด และแบบนำกลับบ้าน) การมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เนิ่นๆ และ ผู้มีบทบาทใน
การตดั สนิ ใจจงึ เปน็ ข้อกำหนดเบอ้ื งตน้ สำหรับการจดั โปรแกรมติดตามทป่ี ระสบความสำเร็จ
• กำหนดทิศทางที่ชัดเจนสำหรับแนวทางและรูปแบบต่างๆ ด้วยความลึกและความกว้างของการ
สูญเสียการเรียนรู้และช่องว่างที่เกิดจากการหยุดชะงักที่ยืดเยื้อ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจัดการความคาดหวังโดย
กำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป็นจริงสำหรับโปรแกรมตามทัน วัตถุประสงค์ดังกล่าวควรพิจารณาถึง
ทรัพยากรและความสามารถที่มีอยู่ และจัดเตรียมทางเลือกท่ีโรงเรียนและนักการศึกษาสามารถนำไปใช้ไดต้ าม
เงอื่ นไขเฉพาะ
• ประเมินและติดตามการเรียนรู้ของนักเรียน: การจัดการประเมินและมาตรการติดตามอื่นๆ
เป็นขั้นตอนสำคัญในการประเมินและทำความเข้าใจปัญหาและออกแบบแนวทางที่เหมาะสมสำหรับโปรแกรม
การประเมินดังกล่าวสามารถทำได้ในระดับประเทศ ระดับย่อย หรือระดับโรงเรียน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละ

19

ประเทศ แนวทางปฏิบัติอาจต้องได้รับการพัฒนาและ/หรือจัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับโรงเรียน
และครู

• สนับสนุนโรงเรียนและครู: ผู้บริหารโรงเรียนและครูแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความมุ่งมั่น
เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าการเรียนรู้จะต่อเนื่อง ในขณะที่มักมีปัญหากับการขาดการสนับสนุนและเครื่องมือ
เพื่อให้โปรแกรมตามทันประสบความสำเร็จ โรงเรียนและครูต้องไดร้ ับการสนับสนุน ไม่เพียงแต่เพื่อเสริมสร้าง
ความสามารถทางวชิ าชีพ แตย่ งั ต้องสง่ เสรมิ สขุ ภาพจิต สขุ ภาวะท่ีดี แรงจูงใจ และความมุ่งม่นั

• จัดลำดบั ความสำคัญภาพรวม: แม้วา่ COVID-19 จะสง่ ผลกระทบตอ่ ผเู้ รียนทกุ คน แต่ผทู้ ่ี เสียเปรียบ
เดมิ อยู่แล้วยงิ่ ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียการเรียนรูอ้ ยา่ งมากย่ิงข้ึน จงึ เป็นการเพมิ่ ชอ่ งวา่ งการ เรียนรู้และ
ความไม่เท่าเทียมกัน เมื่อพิจารณาถึงลำดับความสำคัญของการขาดแคลนทรัพยากร รัฐบาลควร จัดสรร
ทรัพยากรเพ่อื ลดความเหล่ือมล้ำ

2) โรงเรียน
• วางแผนการปฏิบัติตามโปรแกรมโดยละเอียดเพื่อจัดการกับการสูญเสียการเรียนรู้และการฟื้นฟู
ช่องว่างทางการเรียน: ผู้บริหารโรงเรียนเผชิญกับความท้าทายในการพยายามใช้กลยุทธ์ที่กำหนดไว้ใน
ระดับประเทศตามสิ่งที่เป็นไปได้ในโรงเรียนและชุมชน ในขณะที่ยังคงเฝ้าระวังมาตรการด้านสุขอนามัยและ
การเว้นระยะห่าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากิจกรรมการเรียนการสอนและการบริหารอื่นๆ จะได้รับการปรับ
โครงสร้างใหม่พร้อมกับขนาดห้องเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนอาจพิจารณาสถานการณ์ต่างๆ แผนงาน และ
วิธีการระดับโรงเรียน เช่น การจัดกลุ่มผู้เรียนตามความสามารถ การจัดห้องเรียนปกติร่วมกับแนวทางแก้ไข
อื่นๆ หรือแม้แต่การรวมกิจกรรมแบบตัวต่อตัวกับการจัดการเรียนรู้ทางไกล ตามหลักการแล้วผู้บริหารต้อง
ใครค่ รวญถงึ วธิ ีทจ่ี ะปรบั โรงเรียนใหเ้ ขา้ กบั ความตอ้ งการระยะยาวของนกั เรยี นใหด้ ที ่ีสดุ
• พัฒนากลยุทธ์การสื่อสาร: ครู เจ้าหน้าที่ และครอบครัวจะได้รับการเรียกร้องให้มีการสื่อสารท่ี
ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการฟื้นฟูการเรียนรู้ที่โรงเรียนนำมาใช้ ผู้บริหารโรงเรียนสามารถสำรวจช่องทางและ
ขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีครอบครัวใดตกหล่นจากแผนของโรงเรียน สามารถกำหนดความคาดหวังที่
ชดั เจนเก่ียวกับบทบาทของทกุ คนในการฟื้นฟแู ละอัปเดตข้อมลู เป็นประจำ
• พัฒนากลไกการมีส่วนร่วมที่เหมาะสม: กิจวัตรการไปโรงเรียนเปลี่ยนไปตามการปิดโรงเรียน
เนื่องจากโควิด-19 ผู้บริหารโรงเรียนอาจพิจารณากลยุทธ์สำหรับนักเรียน ครู และครอบครัวเพื่อเชื่อมต่อกับ
โรงเรียนอีกครั้ง และสร้างกิจวัตรใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกในกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนและครอบครัวบาง
คนอาจไม่ตอบสนองต่อการติดต่อ ดังนั้นการคิดค้นกลไกในการเชื่อมต่อกับโรงเรียนจึงเป็นขั้นตอนแรกในการ
ฟ้ืนฟูการเรียนรู้ รวมถึงความตอ้ งการด้านวิชาการ สว่ นตัว และสงั คมควรได้รับการฟื้นฟู
• ปรับคำแนะนำระดับชาติให้เข้ากับบริบทของโรงเรียน: ในขณะที่กระทรวงอาจให้ทิศทางอย่าง
กว้างๆ สำหรบั การประเมินความสูญเสียและความจำเป็นในการเรียนรู้ และอาจสรปุ หลักสูตรใหส้ นั้ ลง ผ้บู รหิ าร
โรงเรียนอาจพิจารณาปรับทิศทางเหล่านั้นให้เข้ากับรูปแบบ สภาพของโรงเรียนโดยการมีส่วนร่วมของ ครูการ
ระบจุ ดุ แข็งของบคุ ลากรในโรงเรยี นและความตอ้ งการในการพัฒนาวชิ าชีพถอื วา่ เปน็ จุดเริม่ ต้นทดี่ ี

20

• การสนับสนุนและเสริมสรา้ งพลงั อำนาจแกค่ รู: ผู้บรหิ ารมีบทบาทสำคัญในการทำใหม้ ั่นใจวา่ ครู ไดร้ บั การ
เตรียมพร้อมและได้รับการสนับสนุนอย่างดีในความพยายามดำเนินการตามโปรแกรมฟื้นฟูภาวะ ถดถอย
ทางการเรียนรู้ผู้บริหารควรฟังความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับความต้องการในการฝึกอบรม กระตุ้น และ
สนับสนุนเครือข่ายเพื่อนและชุมชนของครูผู้สอน การให้แนวทางที่ชัดเจน การฝึกอบรม หรือแม้แต่การสื่อสาร
ความคาดหวังทชี่ ัดเจนเปน็ วธิ ีทีด่ ีในการสนับสนนุ ครู

3) ครูผูส้ อน
• มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร: ครูมีบทบาทสำคัญในการนำหลักสูตรระดับชาติไป

ปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบปัจจุบันหรอื ฉบับย่อ ครูควรปรึกษาหารือกับผู้อำนวยการโรงเรยี นและกระทรวง
เพื่อแชร์การเรียนรู้ของนักเรียนและการสูญเสียการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความ
แตกต่างระหว่างชนบทกับเมือง การเข้าถึงอุปกรณ์เชื่อมต่อ และเพศ การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรระดับประเทศ
จะต้องต้องสอดรบั กบั บริบทโรงเรยี นในทอ้ งถน่ิ และระดบั หอ้ งเรยี น

• ใช้การสอนแบบปรับเหมาะ: ในขณะทหี่ นว่ ยงานระดับชาติและระดับเขตมีบทบาทสำคัญในการ แนะ
แนวโรงเรียนและครูในการสอนหลักสูตรระดับชาติ ครูเป็นผู้ที่ต้องพิจารณาว่าจะสามารถปรับเนื้อหาและ
วิธีการสอนให้ตรงกับความต้องการของนักเรียนได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ ครูต้องมีเวลาเพียงพอที่จะมีส่วนร่วมใน
การพฒั นาวิชาชีพตามความตอ้ งการ โดยเฉพาะดา้ นกลยทุ ธ์และการปฏบิ ัตกิ ารสอนแบบปรบั เหมาะ

• ดำเนินการประเมินการวินิจฉัยและประเมินความก้าวหน้า: ตามที่ระบุไว้ข้างต้น ครูจะมีบทบาท
สำคัญในการประเมินการสูญเสียการเรียนรู้ของนักเรียนและตัดสินใจเลือกแนวทางการสอนที่เหมาะสมเพ่ือ
สนับสนุนการฟื้นฟูการเรียนรู้ของนักเรียน วิธีการแบบเดียวอาจไม่เหมาะสำหรับนักเรียนทุกคน ครูควรได้รับ
การฝึกอบรมเพิ่มเติม มีโอกาสในการพัฒนาวิชาชีพเพื่อช่วยในการดำเนินการวินิจฉัยและประเมินผลอย่าง
ต่อเนื่อง

• บูรณาการ SEL เขา้ กบั เนือ้ หาวิชาการ: ด้วยธรรมชาตทิ ต่ี ึงเครียดของการระบาดใหญ่ด้านสุขภาพ ครู
จะเป็นหลักในการส่งเสริมด้านอารมณ์และสังคมของนักเรียน ด้วยเหตุนี้การพัฒนาทางวิชาชีพที่เพียงพอจึง
จำเป็นเพื่อช่วยให้ครูเตรียมตัวดีขึ้นเพื่อดำเนินกิจกรรม SEL ในห้องเรียนของตน ตลอดจนระบุและส่งต่อ
นกั เรยี นที่ต้องการบริการด้านสขุ ภาพจิตและจติ สังคมอยา่ งมืออาชพี

• มีส่วนร่วมกับครอบครัวและชุมชน: ครูจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความร่วมมือกับผู้ปกครอง
และชุมชนเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของนักเรียนอย่างเต็มที่ ส่งเสริมให้การเรียนรู้และสุขภาวะที่ดีของชุมชน
กลบั คืนสู่สภาพเดมิ

แนวคิดเกีย่ วกบั กระบวนการคดิ เชิงออกแบบ (Design Thinking)

กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) คือ กระบวนการคิดเพื่อแก้ไขปัญหาหรือโจทย์ให้
ถกู จุด ตลอดจนพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ เพ่อื แกไ้ ขปญั หาหรอื โจทย์ท่ตี ้ังไว้ เพ่ือที่จะหาวถิ ที างทดี่ ีทส่ี ุดและเหมาะสม
ที่สุด การแก้ปัญหาบนพ้ืนฐานกระบวนการนี้จะเนน้ ยึดไปที่หลักของผู้ใช/้ ผู้บริโภค (User-centered) เป็นหลกั

21

โดยมีเจตนาในการสร้างผลลัพธ์ในอนาคตที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้ตอบโจทย์ตลอดจนแก้ปัญหาได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ รวมไปถึงเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์อีกด้วย การนำเอากระบวนการของการคิดเชิง
ออกแบบ (Design Thinking Process) นั้นอาจจะเห็นผลชัดเจนและเข้าใจได้แจ่มแจ้งกว่าสำหรับกระบวนการ
คิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาให้ผู้บริโภคตลอดจนตอบโจทย์ที่ผู้บริโภคต้องการ รวมไปถึงสามารถผลิต
สินค้าและบริการขน้ึ มาเพอ่ื อุดรรู ั่วของตลาดนน้ั ๆ ตลอดจนสรา้ งนวตั กรรมใหม่ทีย่ ังไมเ่ คยเกิดขึ้นกไ็ ด้ ซึ่งการคิด
โดยนำเอากระบวนการคิดเชิงออกแบบมาใช้ให้เกิดประโยชน์นี้จะทำให้เราเข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้ และผลิต
สินค้าหรือบริการเพื่อตอบโจทย์ตลาดตลอดจนแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง ซึ่งผู้เขียนได้ศึกษาเอกสารและ
งานวิจยั ที่เก่ยี วข้องกบั การคิดเชงิ ออกแบบเพ่ือสง่ เสรมิ ความเป็นนวตั กรจากนกั วิชาการดว้ ยกันหลายท่าน ดังนี้

Brown (2009) กล่าวว่าการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เป็นความคิดที่มีรูปแบบเป็น
กระบวนการเปน็ ข้ันตอนในการทำงานมีจดุ ประสงค์เพ่ือให้เกิดความคิดในการสรา้ งนวัตกรรมใหม่นวัตกรรมนั้น
จะแสดงออกในลกั ษณะสนิ ค้าหรือบริการหรอื แสดงให้เห็นเป็นรูปแบบอ่นื ๆ เช่น กลยทุ ธ์ ยทุ ธศาสตร์

Kleinsmann, Valkenburg, & Sluijs (2017) ศึกษาเรื่องคุณค่าของการคิดเชิงออกแบบในแนว
ทางการปฏบิ ตั ดิ า้ นนวัตกรรมทีแ่ ตกต่างกัน พบว่า การคิดเชิงออกแบบได้กลายเปน็ แนวคดิ ท่ีไดร้ ับความนยิ มใน
ด้านนวัตกรรม ซึง่ นกั ประดิษฐ์ใชก้ ารคิดเชิงออกแบบเป็นแนวทางปฏิบัติ ในการสรา้ งนวัตกรรมตามจุดมุ่งหมาย
ที่มีความท้าทาย การคิดเชิงออกแบบถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรม และถูกนำไปใช้เป็นภาพวาดบนวรรณกรรม
ความสำเรจ็ ของนักวิชาการ (ทฤษฎี) และนักประดิษฐ์ (การปฏิบัติ) อีกทั้ง การคดิ เชิงออกแบบเป็นเคร่ืองมือใน
การฝกึ อบรมผู้คนสำหรบั การดำเนินการสรา้ งสรรค์นวตั กรรมขน้ั ต้น

Jeanne Liedtka (2014) ศึกษามมุ มอง : การเชอื่ มโยงการคดิ เชิงออกแบบกบั ผลลัพธน์ วัตกรรมผ่าน
การลดอคติทางปัญญาโดยการคิดเชงิ ออกแบบไดร้ ับความสนใจอย่างมากในสื่อทางธรุ กจิ และได้รบั การประกาศ
ให้เป็นวิธีการแก้ปญั หาเหมาะอยา่ งย่ิงกับความท้าทายที่องค์กรธุรกิจ การคิดเชิงออกแบบเป็นแนวทางปฏิบตั ิที่
มีคุณค่า สำหรับการปรับปรุงผลลัพธ์ของนวัตกรรมที่ช่วยให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจลดอคติทางความคิดของแต่ละ
บคุ คล ผลลัพธท์ ่ีเกดิ ข้ึนเกย่ี วกบั การคิดเชงิ ออกแบบ ชี้ใหเ้ หน็ วา่ เป็นการบรหิ ารจัดการท่สี มควรได้รับความสนใจ
จากนักวชิ าการมากข้นึ การตรวจสอบ ท้ังทางทฤษฎีการปฏบิ ัตงิ านและการจัดการจรงิ เผยใหเ้ ห็นกระบวนการท่ี
มีความสอดคล้องกันภายในและถือเป็นการปฏิบัติที่โดดเด่นในขอบเขตที่เกี่ยวข้องการทบทวนการตัดสินใจ
บทความนี้ได้แนะนำการคิดเชิงออกแบบว่าสามารถช่วยจัดการกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่องคก์ รต้องเผชิญใน
ปัจจุบันได้ อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การคิดเชิงออกแบบมีความจำเป็นเพื่อปรับปรุงมูลค่าของ
นวัตกรรมท่ีเพอ่ื ให้สอดคล้องกบั ลกั ษณะของปัญหา การดำเนนิ การของการคิดเชิงออกแบบสัมพันธ์กับอคติทาง
ปัญญาในสมมุตฐิ านการเรยี นรเู้ ป็นทมี และคิดบวก

Murray Cox (2016) กล่าวว่า การคิดเชิงออกแบบ เป็นการคิดแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์โดยมี
มนุษย์เป็นศูนย์กลาง เน้นการลงมือปฏิบัติและการเรียนรู้จากการทดลอง กระบวนการทำงานวนซ้ำจากการ
สร้างความเข้าใจมนุษย์ การคิดสร้างสรรค์ และการทดสอบกับผูใ้ ช้ เพื่อเรียนรูแ้ ละลดข้อผิดพลาดหลาย ๆ ครง้ั
เอื้อให้สามารถพัฒนาความคิดและทางออกใหม่ที่ดีขึ้น เรื่อย ๆ และเพิ่มโอกาสความสำเร็จของโครงการ

Tada Ratchagit (2019) กล่าวว่า การคิดเชิงออกแบบ คือ กระบวนการคิดเพื่อ แก้ไขปัญหาหรือ

22

โจทย์ให้ถูกจุด ตลอดจนพฒั นาแนวคิดใหม่ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหรือโจทย์ที่ตั้งไว้ เพื่อที่จะหาวิถีทางที่ดีที่สดุ และ
เหมาะสมที่สุดในการแก้ปัญหา การแก้ปัญหาบนพื้นฐานกระบวนการน้ี จะเน้นยึดไปที่หลักของผู้ใช้/ผู้บริโภค
(User-centered) เป็นหลัก โดยมีเจตนาในการสร้างผลลัพธ์ใน อนาคตที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้ตอบโจทย์
ตลอดจนแกป้ ัญหาได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ รวมไปถงึ เกดิ นวตั กรรมใหมๆ่ ทีเ่ ป็นประโยชน์อีกดว้ ย

ศศิมา สุขสว่าง (2560) กล่าวว่า การคิดเชิงออกแบบ (Design thinking) เป็นกระบวนการที่มีการ
พัฒนามาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1960 โดยเป็นการรวมของเครื่องมือและเทคนิคที่พัฒนามาจากการคิดสร้างสรรค์ทาง
สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และคอมพิวเตอร์ เริ่มแรก Design thinking มีจุดเริ่มต้นมาจาก Design Science
เปน็ การออกแบบทางอุตสาหกรรมและออกแบบทางผลติ ภณั ฑ์ เพื่อหาแนวทางการออกแบบการตัดสินใจ และ
การออกแบบการทำงานที่มีลักษณะเฉพาะ แล้วมีการนำไปใช้ในกระบวนการพัฒนานวัตกรรมใน การทำ
โครงการต่าง ๆ และพัฒนาจนมาเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงธุรกิจ ความคิดสร้างสรรค์ และ มุ่งเน้นที่ลูกค้า
กลุ่มเปา้ หมายเป็นหลกั ในปัจจุบัน การคิดเชงิ ออกแบบไม่ใช่เร่ืองใหมส่ ำหรับคนท่ี ทำงานอยใู่ นสายงานของการ
ออกแบบหรือพัฒนานวัตกรรม เพราะเป็นกระบวนการคิดสร้างสรรค์ที่มี การใช้ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ
สำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่มานานแล้ว ซึ่งกระบวนการพัฒนา นวัตกรรมที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ นั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะ
มาจากการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ (technology push) มาจากความต้องการจากตลาด (market pull) หรือ
จากความต้องการของมนุษย์หรือลูกค้า โดยการ คิดเชิงออกแบบจะพัฒนานวัตกรรมโดยให้ความสำคัญกับ
ความต้องการจากผู้บรโิ ภคหรอื ตลาดมากอ่ น แล้วทางทีมผทู้ ำวจิ ยั และผพู้ ัฒนานัน้ พยายามที่จะตอบสนองความ
ต้องการหรือแกไ้ ขปัญหาใหก้ ับ ผู้บริโภคเหลา่ นัน้ ใหไ้ ดด้ ้วยกระบวนการใหม่ เทคโนโลยีใหม่ ผลิตภณั ฑใ์ หม่ หรือ
การบรกิ ารใหม่ให้โดน ใจ

มานิตย์ อาษานอก (2561) ศึกษา เรื่อง การบูรณาการการคิดเชิงออกแบบเพื่อพัฒนานวัตกรรมการ
จัดการเรียนรู้ พบว่า การคิดเชิงออกแบบเป็นกระบวนการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่าง เป็นระบบโดยยึด
“คน” เป็นศูนย์กลางในการออกแบบเพื่อแก้ปัญหามีขั้นตอน 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) Empathy เป็นการทำความ
เข้าใจต่อกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด โดยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากซึ่งหากจะ
สร้างสรรค์หรือแก้ไขสิ่งใดก็ตามจะต้องเข้าใจถึงกลุ่มเป้าหมาย อย่างถ่องแท้ 2) Define การสังเคราะห์ข้อมูล
การตง้ั คำถามปลายเปดิ ทผี่ ลักดันให้เกิดความคดิ สรา้ งสรรค์ ไมจ่ ำกัดกรอบของการแก้ปัญหา ซึ่งภายหลงั จากท่ี
เราเรียนรู้และทำเข้าใจต่อกลุ่มเป้าหมายแล้วก็ต้องวิเคราะห์ปัญหากำหนดให้ชัดเจนว่าจริง ๆ แล้วปัญหาท่ี
เกิดขึ้นคืออะไรเลือกและสรุปแนวทางความเป็นไปได้ 3) Ideate การระดมความคิดใหม่ ๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด
หรอื การสรา้ งความคดิ ต่าง ๆ ใหเ้ กิดขน้ึ โดยเน้นการหาแนวคิดและแนวทางในการแก้ไขปญั หาให้มากท่ีสุด และ
หลากหลายที่สุด โดยความคิดและแนวทางต่าง ๆ ที่คิดขึ้นมานั้นก็เพื่อตอบโจทย์ปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้น Define
4) Prototype การสร้างแบบจำลองหรือการสร้างต้นแบบขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดสอบและตอบคำถาม
หรือกระตุ้นให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ให้พบข้อผิดพลาดในการปรับปรุง 5) Test หรือการทดสอบโดยเรานำ
แบบจำลองทสี่ รา้ งขึ้นมาทดสอบกับผู้ใช้หรือกลมุ่ เปา้ หมาย เพอื่ สังเกตประสิทธิภาพการใช้งานโดยนำผลตอบรับ
และขอ้ เสนอแนะตา่ ง ๆ ตลอดจนคำแนะนำมา ใชใ้ นการพฒั นาและปรบั ปรงุ ตอ่ ไป

23

1. ประโยชน์ของระบบการคิดเชงิ ออกแบบ
การคดิ เชิงออกแบบ (Design Thinking Process) มปี ระโยชนม์ ากมาย ทงั้ ตอ่ บุคลากรไปจนถึงองค์กร

เลยทีเดียว ซึ่งประโยชน์ในดา้ นตา่ งๆ นั้นมีดงั น้ี
1.1 ฝึกกระบวนการแก้ไขปัญหาตลอดจนหาทางออกที่เป็นลำดับขั้นตอน ปกติเราอาจจะมกี ารหาทาง

แก้ปัญหาแบบสะเปะสะปะ ไม่มีการหาสาเหตุ หรือไม่มีการมองรอบด้าน กระบวนการนี้จะทำให้เรามองอย่าง
รอบคอบและละเอียดมากข้ึน ทำใหเ้ ราเข้าใจปญั หาได้อยา่ งถอ่ งแท้ และแก้ไขได้ตรงจดุ

1.2 มีทางเลือกที่หลากหลาย การคิดบนพื้นฐานข้อมูลที่มีหลากหลาย ตลอดจนพยายามคิดหาวิถีทาง
หรือแชร์ไอเดียที่ดีออกมาหลากหลายรูปแบบ ทำให้เรามองเห็นอะไรรอบด้าน และมีตัวเลือกที่ดีที่สุด ก่อน
นำไปใชแ้ กป้ ญั หาจรงิ หรอื นำไปปฏิบตั จิ ริง

1.3 มีตัวเลือกที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด เมื่อเรามีตัวเลือกหลากหลายเราก็จะรู้จักคิดวิเคราะห์ และการ
คิดวเิ คราะหน์ เี้ องจะทำให้เราสามารถเลอื กทางเลือกท่ีดแี ละเหมาะสมที่สดุ ได้ มีประสทิ ธิภาพมากกว่า

1.4 ฝึกความคิดสร้างสรรค์ การแชร์ไอเดีย ตลอดจนระดมความคิดนั้น จะทำให้สมองเราฝึกคิด
หลากหลายรูปแบบ หลากหลายวิธีการ หลากหลายมุมมอง และทำให้เรารู้จักหาวิธีแปลกๆ ใหม่ๆ ซึ่งเป็น
พน้ื ฐานในการฝกึ ความคดิ สร้างสรรคท์ ด่ี ี ท่เี ป็นพน้ื ฐานท่ดี ใี นการแกป้ ญั หา ตลอดจนการบรหิ ารจดั การเช่นกัน

1.5 เกิดกระบวนการใหม่ตลอดจนนวัตกรรมใหม่ มีการคิดมากมายหลากหลายรูปแบบ ตลอดจนแชร์
ไอเดียดีๆ มากมาย การที่เราได้พยายามฝึกคิดจะทำให้เรามักค้นพบวิธีใหม่ๆ เสมอ หรือเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ
ข้ึนมาไดเ้ ช่นกัน

1.6 มีแผนสำรองในการแก้ปัญหา การคิดที่หลากหลายวิธีนอกจากจะทำให้เราสามารถวเิ คราะห์เลือก
วิธีที่ดีที่สุดได้แลว้ น้ันก็ยังทำใหเ้ รามีตัวเลือกสำรองไปในตัวโดยผ่านกระบวนการลำดับความสำคญั มาเรียบร้อย
แลว้ ทำให้เราสามารถเลอื กใชแ้ กป้ ญั หาไดท้ นั ทว่ งทีหากวิธกี ารท่ีเลือกไมป่ ระสบความสำเรจ็

1.7 องค์กรมีการทำงานอย่างเป็นระบบ เมื่อบุคลากรถูกฝึกให้คิดอย่างเป็นระบบแบบแผนแล้วจะ
ปลูกฝังระบบการทำงานทีด่ ี นั่นย่อมส่งผลให้องค์กรมีการทำงานอย่างเป็นระบบ และทำงานได้มีประสิทธิภาพ
มากขึน้ ด้วย เพมิ่ ศักยภาพให้กบั บุคลากรและองคก์ รไปในตัว

2. กระบวนการของการคดิ เชงิ ออกแบบ (Design Thinking Process)
ในขัน้ ตอนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking Process) จะสามารถทำให้เราลำดบั การปฏิบัติการ

ตลอดจนรู้วิธีคิดและกระบวนการในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไปจนถึงสามารถสร้างนวัตกรรมหรือผลลัพธ์เพื่อมา
ตอบโจทยท์ ี่ต้องการได้ ซึ่งกระบวนการของการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking Process) ในรูปแบบสากล
นัน้ มกี ารสรา้ งสรรค์ขนึ้ มาไดอ้ ยา่ งนา่ สนใจและเป็นข้นั ตอนดังน้ี (สวุ ิมล ว่ิงวาณชิ , 2563)

2.1 ขนั้ เขา้ ใจอารมณค์ วามรูส้ กึ (Empathize) จดั กล่มุ ปญั หาและความตอ้ งการ
2.2 ขั้นการกำหนดปญั หา (Define) ตงั้ คำถามเพอื่ นำไปส่แู นวทางแกป้ ัญหา
2.3 ขั้นสร้างความคดิ (Ideate) ระดมความคดิ แก้ปัญหาจากทฤษฎที เ่ี กีย่ วข้อง
2.4 ข้ันสร้างต้นแบบ (Prototype) ออกแบบตัวแทรกแซง
2.5 ขนั้ การทดสอบ (Test) นำต้นแบบไปทดลองใช้

24

แนวคดิ การจดั การเรียนร้แู บบบูรณาการ

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2551) โดยหน่วยส่งเสริมและพัฒนาวิชาการ งานบริการการศึกษา คณะ
เภสชั ศาสตร์ ไดอ้ ธบิ ายรายละเอียดของการจดั การเรยี นรู้แบบบูรณาการ ไวด้ งั นี้

1. ความหมายของการจัดการเรียนรแู้ บบบรู ณาการ
การสอนแบบบูรณาการ หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยการเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ที่เกี่ยวข้องจาก

ศาสตรต์ ่างๆ ของรายวชิ าเดยี วกันหรือรายวิชาตา่ งๆ มาใช้ในการจัดการเรียนร้เู พื่อให้ผเู้ รยี นสามารถนำความคดิ
รวบยอดของศาสตรต์ า่ งๆ มาใชใ้ นชวี ติ จริงได้

สำหรับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated Learning Management) หมายถึง
กระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามความสนใจ ความสามารถ โดยเชื่อมโยงเนื้อหาสาระของศาสตร์
ตา่ งๆ ทเี่ ก่ียวข้องสัมพันธ์กันใหผ้ ้เู รยี นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สามารถนำความรู้ ทักษะและ เจตคติไปสรา้ งงาน
แก้ปัญหาและใช้ในชวี ติ ประจำวันได้ดว้ ยตนเอง

2. เหตุผลในการจัดการเรยี นรู้แบบบูรณาการ
สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั้นจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันกับศาสตร์ในสาขาต่างๆ

ผสมผสานกันทำให้ผู้เรียนที่เรียนรู้ศาสตร์เดี่ยว ๆ มาไม่สามารถนำความรู้มาใช้ในการแก้ปัญหาได้ ดังนั้นการ
จัดการเรียนรูแ้ บบบูรณาการจะช่วยใหส้ ามารถนำความรู้ ทักษะจากหลายๆ ศาสตร์มาแก้ปัญหาได้กับชีวติ จรงิ
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ทำให้เกิดความสัมพันธ์เชื่อมโยงความคิดรวบยอดของศาสตร์ต่างๆ เข้า
ด้วยกัน ทำให้เกิดการถ่ายโอนการเรียนรู้ (Transfer of learning) ของศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้ผู้เรียน
มองเห็นประโยชน์ของสิ่งที่เรียนและนำไปใช้จริงได้ การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วยลดความซ้ำซ้อนของ
เนื้อหารายวิชาต่างๆ ในหลักสูตรจงึ ทำให้ลดเวลาในการเรียนรู้เน้ือหาบางอย่างลงได้ แล้วไปเพิ่มเวลาให้เนื้อหา
ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น นอกจากน้ีการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการจะตอบสนองต่อความสามารถในหลายๆ ด้านของ
ผู้เรียนชว่ ยสร้างความรู้ ทักษะและเจตคติ “แบบพหุปัญญา” (Multiple intelligence) การจดั การเรยี นรู้แบบ
บรู ณาการจะสอดคลอ้ งกบั ทฤษฎกี ารสรา้ งความรโู้ ดยผเู้ รียน (Constructivism) ทก่ี ำลงั แพร่หลายในปัจจบุ ัน

3. ลกั ษณะการจัดการเรยี นรแู้ บบบรู ณาการ
นักการศึกษาหลายท่านไดก้ ล่าวถงึ ลักษณะของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการไว้ว่าเป็นการเช่ือมโยง

วชิ าหรอื ศาสตร์ต่างๆ เขา้ ดว้ ยกันเพอื่ ให้เกิดการเรียนรู้ท่ลี ึกซงึ้ มีลักษณะใกล้เคียงกับชีวิตจรงิ มากขึน้ ไดแ้ ก่
3.1 บูรณาการระหวา่ งความรู้และกระบวนการเรยี นรู้ ปัจจุบันเนื้อหาความรู้มีมากมายท่ีจะตอ้ งเรยี นรู้

หากไม่ใช้วิธีการเรียนรู้ที่ทันสมัยมาใช้จะทำให้เรียนรู้ไม่ทันตามเวลาที่กำหนดได้ จึงต้องมีการนำวิธีการจัดการ
เรียนรู้ใหม่ๆ มาใช้ เช่น การสอนโดยวิธีการบอกเล่า การท่องจำจะทำให้ได้ปริมาณความรู้หรือเนื้อหาสาร ะไม่
เพยี งพอกบั สิง่ ทต่ี ้องเรยี นรู้ จึงตอ้ งเลือกใชก้ ระบวนการเรียนรใู้ หมๆ่ ที่เหมาะสม

3.2 บูรณาการระหว่างพัฒนาการความรู้และทางจิตใจ การเรียนรู้ที่ดีนั้นผู้เรียนต้องมีความอยากรู้
อยากเรียนด้วย ดังนั้นการให้ความสำคัญแก่เจตคติ ค่านิยม ความสนใจและสุนทรียภาพแก่ผู้เรียนในการ
แสวงหาความรู้ กอ่ ให้เกิดความซาบซึ้งก่อนลงมือศกึ ษาซึ่งเป็นการจงู ใจใหเ้ กดิ การเรยี นรไู้ ด้เปน็ อยา่ งดี

25

3.3 บูรณาการระหวา่ งความรูแ้ ละการกระทำ การเรยี นรู้ที่สามารถนำความรู้สูก่ ารปฏบิ ัติได้นัน้ ถือเป็น
การดีมาก ดังนั้นการให้ความสำคัญระหว่างองค์ความรู้ที่ศึกษากับการนำไปปฏิบัติจริงโดยนำความรู้ไป
แก้ปัญหาในสถานการณ์จรงิ

3.4 บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนรู้ในโรงเรียนและชีวิตประจำวัน การตระหนักถึงความสำคัญแห่ง
คุณภาพชีวิต เมือ่ ผ่านการเรียนรู้แลว้ ต้องมคี วามหมายและคณุ คา่ ต่อชีวติ ของผูเ้ รียนอย่างแท้จรงิ

3.5 บรู ณาการระหวา่ งวิชาต่างๆ เพ่อื ให้เกิดความรู้ เจตคติและการกระทำทีเ่ หมาะสมกับความตอ้ งการ
ความสนใจของผเู้ รียนอย่างแท้จริง ตอบสนองต่อคุณค่าในการดำรงชีวิตของผเู้ รียน

4. รูปแบบของการบูรณาการ (Model of integration)
การจดั การเรียนรู้แบบบรู ณาการทพ่ี บโดยทวั่ ไปมีอยู่ 4 แบบ
4.1 การบูรณาการแบบสอดแทก (Infusion) การเรียนรู้แบบนี้ผู้สอนจะนำเนื้อหาของวิชาต่างๆ มา

สอดแทรกในรายวชิ าของตนเองเปน็ การวางแผนการสอนและทำการสอนโดยผู้สอนเพียงคนเดยี ว
ข้อดี 1) ผูส้ อนคนเดียวบริหารท้ังเนื้อหาวิชา กจิ กรรมการเรียนรแู้ ละเวลาทใี่ ช้โดยสะดวก
2) ไมม่ ผี ลกระทบกบั ผสู้ อนผอู้ น่ื และการจดั ตารางสอน
ข้อจำกัด1) ผ้สู อนคนเดียวอาจไมม่ คี วามชำนาญในเนื้อหาวชิ าบางเรื่อง
2) เน้อื หาวิชาและกจิ กรรมการเรียนรู้ท่จี ดั อาจซำ้ ซ้อนกับของวชิ าอืน่
3) ผเู้ รียนจะมภี าระงานมากเพราะทกุ รายวชิ าจะต้องมอบหมายงานให้
4.2 การบูรณาการแบบขนาน (Parallel) การเรียนรู้แบบน้ีผสู้ อนตงั้ แต่ 2 คนข้นึ ไปต่างคนต่างสอนวิชา

ของตนเองแต่จะมาวางแผน ตัดสินใจร่วมกันว่าจะจัดแผนการเรียนรู้และจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยมุ่งสอนใน
หัวเรอ่ื ง (Theme) ความคดิ รวบยอด (Concept) และปญั หา (Problem) เดยี วกันในสว่ นหน่ึง

ขอ้ ดี 1) ผูส้ อนแต่ละคนยงั คงบรหิ ารท้ังเน้อื หาวชิ า กิจกรรมการเรียนรู้ เวลาโดยสะดวก
2) ไมม่ ผี ลกระทบกบั ผสู้ อนผอู้ น่ื และการจดั ตารางสอน
3) เนอ้ื หาวชิ า กจิ กรรมการเรยี นลดการซ้ำซอ้ นลง ช่วยใหเ้ กิดการทำงานรว่ มกนั

ข้อจำกัด1) ผู้สอนยังคงตอ้ งรบั ภาระเนื้อหาวิชาท่ีไม่ชำนาญ
2) ผู้เรยี นยงั มีภาระงานมากเพราะทุกรายวชิ าจะตอ้ งมอบหมายงานให้

4.3 การบูรณาการแบบสหวทิ ยาการ (Multidiscipline) การเรยี นรู้แบบนค้ี ล้ายกบั แบบคู่ขนาน ผู้สอน
ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปต่างคนต่างสอนวิชาของตน จัดกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเองเป็นส่วนใหญ่ มาวางแผนการ
สอนร่วมกนั ในการให้งานหรือโครงการท่มี หี ัวเรอื่ ง แนวคดิ หรือความคดิ รวบยอดและปญั หาเดยี วกนั

ขอ้ ดี 1) สนับสนุนการทำงานรว่ มกันของทั้งผู้สอนและผเู้ รยี น ลดความซ้ำซอ้ นของกิจกรรม
2) ผสู้ อนทกุ คนและผู้เรียนมีเป้าหมายร่วมกันทีช่ ดั เจน
3) ผู้เรยี นเหน็ ความสำคญั ของการนำความร้ไู ปใชก้ ับงานอาชีพจรงิ

ข้อจำกัด1) มีผลกระทบต่อการจดั ตารางสอนและการจดั แผนการเรยี น

26

4.4 การบูรณาการแบบข้ามวิชา (Transdisciplinary) การเรียนรู้แบบนี้ผู้สอนในรายวิชาต่างๆ จะ
มาร่วมกันสอนเปน็ คณะ ร่วมกันวางแผน กำหนดหวั เรอื่ ง ความคดิ รวบยอดและปัญหาเดียวกนั

ขอ้ ดี 1) สนับสนุนการทำงานรว่ มกันของทัง้ ผสู้ อนและผูเ้ รียน ลดความซ้ำซ้อนของกจิ กรรม
2) ผู้สอนทุกคนและผเู้ รียนมีเปา้ หมายรว่ มกันท่ีชัดเจน
3) ผู้เรยี นเหน็ ความสำคญั ของการนำความรู้ไปใชก้ ับงานอาชีพจริง

ข้อจำกัด1) มผี ลกระทบต่อการจดั ตารางสอนและการจดั แผนการเรียน
2) ผูส้ อนต้องควบคุมการเรียนใหท้ นั ตามกำหนด

งานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง

1. งานวจิ ยั ต่างประเทศ
1.1 UNESCO (2021b) ได้รวบรวมแนวทางในการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรไู้ ว้ ดงั น้ี
1.1.1 การใช้โปรแกรมแก้ไข/ตามทัน (Remedial/Catch-up Programmes) หลายประเทศ เช่น

ฮังการีและเนเธอร์แลนด์เห็นว่าโรงเรียนเหมาะสมที่สุดในการจัดโปรแกรมแก้ไข/ติดตามผลและโครงการ
ดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปหลังการปิดโรงเรียนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แองกวิลลา และรัฐหมู่เกาะหลายแ ห่ง
ในโอเชียเนีย นอกจากนี้ยังมีการใช้โปรแกรมแก้ไข/ติดตามผลหลังเลิกเรียนหรือก่อนเรียนเพื่อเพิ่มชั่วโมงการ
เรียนรู้ในห้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เมืองออนแทรีโอของแคนาดา และโรมาเนียได้เพิ่มการลงทุนทาง
การเงินในการใช้โปรแกรมแก้ไขนี้ทั้งนี้หลายประเทศอุทิศเวลาในช่วงเริ่มต้นปีการศึกษาใหม่ หรือหลังจากเปิด
โรงเรียนครัง้ ใหม่ เพ่อื ตรวจสอบเนอื้ หาทน่ี ักเรียนเรียนรใู้ นช่วงทีโ่ รงเรยี นปดิ ผ่านแพลตฟอร์มการเรยี นรตู้ ่างๆ วา่
ครอบคลุมมากน้อยเพียงใด ปาเลสไตน์รายงานว่ามีการใช้โปรแกรมแก้ไขนี้เป็นเวลา 1 เดือน ผ่านการจัด
กิจกรรมท่โี รงเรยี นและการเรยี นร้ผู ่านระบบออนไลนใ์ นเดือนสงิ หาคม 2020

1) โปรแกรมแก้ไข (Remedial Programmes) โดยท่วั ไปโปรแกรมเหล่าน้มี ุ่งเป้าไปที่ผู้เรยี นที่เข้า เรียน
การศึกษาในระบบ แต่มีปัญหาในการเรียนรู้มากกว่าเพื่อนและประสบปัญหาหนักกับวิชาหนึ่งหรือหลาย วิชา
การให้ความช่วยเหลือจึงเน้นรายบุคคลมากขึ้นเพื่อตรงเป้าหมายความต้องการจำเป็นของนักเรียนเพิ่มเติม
พรอ้ มกับชั้นเรียนปกตเิ พอ่ื ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักเรยี น

2) โปรแกรมตามทัน (Catch-up Programmes) เป็นโปรแกรมการศึกษาช่วงเปลี่ยนผ่านระยะสั้น
ออกแบบมาสำหรับเด็กและเยาวชนที่เข้าเรียนในโรงเรียนทั่วไปก่อนที่จะเกิดการหยุดชะงักทางการศึกษา
โปรแกรมนี้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เติมเต็มเนื้อหาที่พลาดไปเนื่องจากการหยุดเรียน สนับสนุนการกลับมา
เรยี นใหมอ่ กี ครั้งหลงั ภาวะวกิ ฤต และสรา้ งความตอ่ เนื่องทางการเรียนใหน้ กั เรียน

1.1.2 การศึกษาแบบเร่งรัด (Accelerated Education Programmes: AEP) การศึกษาแบบ เร่งรัด
เป็นแนวทางแบบหลายมติ ิในการเรยี นรโู้ ดยอาศยั การวจิ ัยเกี่ยวกับความรู้ความเขา้ ใจและประสาท วิทยาศาสตร์
และอิงตามทฤษฎีการเรียนรู้คอนสตรัคติวิสต์ ซึ่งช่วยให้เกิดความยึดมั่นผูกพันในการเรียน พัฒนาการเรียนรู้
และทักษะพืน้ ฐานไดร้ วดเร็วยิ่งขึน้ แนวทางการสอนและวิธกี ารจะเน้นที่การมสี ่วนร่วมของ ผู้เรียนทัง้ หมด โดย

27

คำนงึ ถงึ อารมณ์ ความรู้ความเข้าใจ และกายภาพของผู้เรียน สามารถเร่งการเรียนรู้ไดโ้ ดย การย่อหลกั สตู ร เนน้
ที่ทักษะและความสามารถพื้นฐาน สอนชั้นเรียนขนาดเล็ก และให้เวลามากขึ้นสำหรับการ ทำงานที่ช่วยให้
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ แม้ว่าการเรียนรู้แบบเร่งความเร็วจะเป็นเป้าหมายที่พึงปรารถนา แต่ครู ส่วนใหญ่มักใช้
วิธีการสอนและการเรียนรทู้ ่เี ปน็ มาตรฐานเดิมทค่ี ุ้นเคยเนอื่ งจากไดร้ ับการฝึกอบรมและ ประสบการณท์ ีจ่ ำกดั ใน
การเรียนรู้แบบเร่งรัด ดังนั้นครูจำเป็นต้องฝึกและพัฒนาตนเอง โปรแกรมการศึกษา แบบเร่งรัด (AEP) เป็น
โปรแกรมที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับวัย ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการศึกษาทางเลือกและ ดำเนินการในกรอบ
เวลาเร่งรัดตามหลักการ 'การเรียนรู้แบบเร่งรัด' โดยทั่วไปแล้วมุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชนที่ ด้อยโอกาส อายุ
เกิน หรืออยู่นอกโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ขาดเรียนหรือออกกลางคันเนื่องจากความ ยากจน ชนกลุ่ม
น้อย ความขดั แย้ง หรอื วกิ ฤต

1.1.3 การเรยี นรู้แบบดิจทิ ลั และไฮบริด (Digital and hybrid learning) อินเดยี สปป. ลาว มอริเชียส
และโอมานเป็นตัวอย่างของแนวทางแบบผสมผสาน โดยผสมผสานหลักสูตรที่ปรับปรุงแล้วและเพ่ิม
ความสามารถของครูในการเรียนรู้ทางกายภาพด้วยการลงทุนในทรัพยากรดิจิทัล นอกจากนี้เครือข่ายการ
เรียนรู้เสริมนอกห้องเรียนสามารถรื้อฟื้นการสูญเสียการเรียนรู้ได้อินเดียให้คำปรึกษาแก่ครูเมื่อออกแบบโซลู
ชันการเรียนรู้ดิจทิ ลั ที่ถกู กำหนดให้ใช้ และจำเป็นต้องสรา้ งเครอื ข่ายเพ่ือเปน็ พ่ีเล้ียงในการให้คำปรึกษาและการ
ปฏิบัติการสอน ประเทศอื่นๆ รวมทั้งเวียดนาม นิการากัว และโซมาเลีย ดำเนินการเพื่อเพิ่มการลงทุนในการ
เรียนรทู้ างไกลเพอื่ เตรียมพรอ้ มสำหรบั การปิดโรงเรยี นท่ีอาจเกดิ ขน้ึ อกี ในอนาคต

1.1.4 การประเมินนักเรียนให้เข้าใจความต้องการจำเป็นในการเรียนรู้(Assessing students to
understand their learning needs) ในช่วงปิดเรียนในสถานการณ์โควิดหลายประเทศให้ความสำคัญ กับการ
ประเมินการเรียนรู้ของนักเรียน ในอัฟกานิสถานนักเรียนได้รับการประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ ใน
ระหว่างการปิดโรงเรียนและการวิเคราะห์ผลลัพธ์เหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อระบุข้อบกพร่องด้านต่างๆ ที่
จำเป็นต้องแก้ไข ในทำนองเดียวกันแอนติกาและบาร์บูดา ฮอนดูรัส หมู่เกาะเคย์แมน เคนยา และเบนินวาง
แผนการประเมินเพื่อวินิจฉัยความต้องการการเรียนรู้ของนักเรียนหลังจากโรงเรียนกลับมาเปิดอีกคร้ัง
นอกจากนี้ประเทศต่างๆ ยังได้ดำเนินการประเมินในระดับระบบเพื่อตรวจสอบความไม่เท่าเทียมกันทาง
เศรษฐกิจและสังคม การประเมินที่ครอบคลุมดังกล่าวทำให้เอกวาดอร์และโอมานสามารถจัดเงินทุนสนับสนุน
ด้านการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกับความต้องการด้านการเรียนรู้ กระจายทรัพยากรตาม
สถานภาพโรงเรยี นและนกั เรยี น

1.1.5 การจัดการศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาสและกลมุ เปราะบาง (Disadvantaged and vulnerable)
เพื่อตอบสนองความตอ้ งการการเรยี นรขู้ องเด็กท่ดี อ้ ยโอกาสและเปราะบาง หลายประเทศได้ใช้ โปรแกรมเร่งรัด
การเรียนรู้ (Accelerated Learning Programmes: ALP) ซึ่งมุ่งเน้นการเรียนรู้ให้เสร็จใน กรอบเวลาที่สั้นลง
ในขณะเดียวกันกร็ บั ประกันว่าการเรียนรู้ไม่เพียงแต่จะเร็วขึ้น แต่ยังลกึ ซึ้งและมี ประสิทธิภาพมากขึ้น ต่างจาก
AEP ที่ระยะเวลาในการเรียนจะสิ้นสุดเหมือนกับการศึกษาในระบบ แต่ใช้เวลา เรียนเวลาน้อยกว่า แนวทาง
ดังกล่าวจึงเน้นที่หลักสูตรแบบย่อ โดยสอนเฉพาะความรู้และทักษะที่จำเป็นที่สุด ในแต่ละระดับชั้น ประเทศที่
ใช้รูปแบบการเรียนนี้ได้แก่ อัฟกานิสถาน (สำหรับเด็กในชุมชนห่างไกลและด้อย โอกาส) บังคลาเทศ (สำหรับ

28

เด็กที่ทำงานและผู้ที่เผชิญกับอุปสรรคอื่นๆ ของการศึกษาแบบดั้งเดิม) เนปาล (สำหรับเด็กผู้หญิงที่อยู่นอก
ระบบโรงเรียน) อิหร่านเน้นแนวทางที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนเพื่อประกันการศึกษาที่ ต่อเนื่องสำหรับเด็กท่ี
อ่อนแอ (เช่น ผู้ลี้ภัย) โปรตุเกสและจีนตรวจสอบความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์มผี ลต่อ อัตราการออกกลางคนั
เพื่อให้การศึกษาที่ตรงเป้าหมายแก่ชุมชนและภูมิภาคที่มีความต้องการจำเป็นที่ต้อง ได้รับความช่วยเหลือ
นอกจากนี้ในหลายกรณีรัฐบาลให้การสนับสนุนตามเป้าหมายที่เป็นเด็กเล็ก (เช่น บาห์เรน มัลดีฟส์) บาห์เรน
เตรียมพร้อมรองรับนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษโดยแก้ปัญหาด้วย เทคโนโลยีใหม่ โปรตุเกสและ
โรมาเนียตา่ งก็เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของครใู นการจดั การกบั ความไมเ่ ท่าเทยี ม กนั ทางสังคม

1.2 Hanover Research (2020) ได้รวบรวมกลยุทธ์ต่างๆ ในการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ไว้
2 หมวด คือ การเพิ่มเวลาเรียน (Additional Learning Time) และการเพิ่มโปรแกรมการสอน (Additional
Instructional Programs) ดังนี้

1.2.1 การเพมิ่ เวลาเรียน (Additional Learning Time)
1) การขยายปกี ารศึกษา (Extended School Year) การศึกษาล่าสดุ แนะนำให้ขยายปี การศึกษาเพ่ือ
ส่งเสริมการฟน้ื ฟกู ารเรียนรู้ การศึกษาตงั้ แต่ตน้ ปี 2020 ชี้ว่าเขตการศึกษาเริ่มต้นปีการศึกษาเร็ว ขึ้นหรือขยาย
ไปสู่ภาคฤดรู ้อนเป็นกลยุทธห์ นึ่งเพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนจะได้รับเวลาการสอนทีเ่ พียงพอสำหรับ การเตรียมการ
ในระดับชั้นต่อไปที่เพียงพอ จากการศึกษาอื่นในปี 2020 ที่เน้นไปที่ผลกระทบของ COVID-19 เกี่ยวกับ
ความสามารถของนักเรียนในแอตแลนต้า การเพิ่มปีการศึกษาขึ้นถึงร้อยละ 5 สำหรับปีการศึกษา 2020-2021
และ 2021-2022 จะชดใช้การสูญเสียการเรียนรู้สำหรับนักเรียนทุกคนในเวลาน้อยกว่า 4 ปี นอกจากน้ี
การศึกษาอน่ื ๆ เก่ยี วกับการขยายปกี ารศกึ ษาพบว่านักเรยี นระดับประถมศึกษา นกั เรียนทมี่ รี ายได้ น้อย และมี
ปญั หาการเรียนไดป้ ระโยชน์จากการขยายปีการศึกษา อยา่ งไรกต็ าม ควรตรวจสอบใหแ้ นใ่ จวา่ ชมุ ชน โรงเรียน
พรอ้ มทีจ่ ะใชเ้ วลาเพ่ิมเตมิ อย่างมีประสิทธภิ าพ
2) ขยายระยะเวลาเรียนและวัน (Extended School Periods and Days) เขตการศึกษาท่ี ขยาย
เวลาปีการศึกษารบกวนกิจวัตรของครอบครัวและ/หรือชุมชนมากเกินไปอาจเลือกที่จะพิจารณากลยุทธ์ที่
รบกวนน้อยลง เช่น การขยายวันเรียนหรือระยะเวลาเนื้อหา กลยุทธ์การฟื้นฟูทางวิชาการในอดีตอาศัยการใช้
เวลาในการสอนเพิ่มเติมเพื่อจัดการกับการสูญเสียการเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม บางเขตที่วิตกเกี่ยวกับการขยาย
เวลาเรียนภาคฤดูร้อนหรือขยายปีการศึกษานั้นกำลังมองหาทางเลือกอื่นๆ ที่สอดคล้องกับบริบทมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น นักเรียนเกรด 9 ใน Chicago Public Schools (IL) ที่ได้รับเวลาในการเรียนคณิตศาสตร์เป็นสอง
เท่า และด้วยเหตุนี้จึงพบว่าคะแนนการทดสอบพีชคณิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผลลัพธ์ในระยะยาวที่ดีขึ้น
และผลการเรียนยังเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้เวลาเรียนรู้เพิ่มเติมจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อนักเรียนเข้าชั้นเรียนมาก
งานวิจัยเกี่ยวกับการขยายเวลาการเรียนรู้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าร่วมที่มีต่อ ประสิทธิภาพการเรียนรู้
แบบขยายเวลาอย่างชัดเจน ดังนั้นโรงเรียนจึงต้องมั่นใจว่านักเรียนมีส่วนร่วมในการขยายเวลาเรียนอยู่ใน
ระดบั สูง
3) แก้ปัญหาการสอน (Instructional Solutions) โดยดำเนินการดังนี้ - ทบทวนหลักสูตรแนวตั้งและ
การทำงานร่วมกันข้ามระดับ (Vertical curricular review and cross-grade collaboration) โดยครูต่าง

29

ระดับชั้นต้องทำงานร่วมกันเพื่อทำความเข้าใจนักเรยี นแต่ละคนว่า สิ่งที่เรียนรูม้ ีความเชื่อมโยงและสามารถปิด
ช่องว่างการเรียนรู้ทีส่ ูญเสียไปในแต่ละระดับชั้นมากน้อยเพียงใด และครูจะเติมเต็มให้นักเรียนได้อย่างไร ทั้งน้ี
โรงเรียนสามารถใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ในโรงเรียน - การสอนแบบวนซ้ำ
(Looping) คือ นวัตกรรมเชิงโครงสร้างรูปแบบหนึ่งที่แสดงช่วยปรับปรุง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
และฟื้นฟูการสูญเสียการเรียนรู้โดยให้ครูสอนนักเรียนกลุ่มเดียวกันเป็น เวลาอย่างน้อยสองปีการศึกษา ซึ่งครู
ต้องตามนักเรียนจากระดับชั้นหนึ่งไปอีกชั้นหนึ่ง - การสอนติวหรือกวดวิชา (Tutoring) มีงานวิจัยส่วนหนึ่ง
รวมถึงการศกึ ษาวิจัยของฮารว์ าร์ด ปี 2016 พบว่า นักเรยี นท่ีกำลงั มปี ัญหาในวิชาคณิตศาสตร์และการอ่านเม่ือ
ได้รับการสอนแบบตัวต่อตัวอย่างเข้ม (สามครั้งต่อสัปดาห์ 50 ชั่วโมงต่อภาคการศึกษา) สามารถปรับปรุง
ผลลัพธ์การเรียนรแู้ ละชดเชยการสญู เสีย การเรยี นรู้ของนกั เรียนได้ ซงึ่ สามารถดำเนนิ การได้รวดเร็วและใช้เวลา
สั้น - แผนการเรียนแบบรายบคุ คล (Individualized Learning Plans) เขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาสามารถ ใชแ้ ผนการ
เรียนรู้เป็นรายบุคคลเพื่อประเมินและจัดการระดับการเรียนรู้ต่างๆ ที่เกิดจากการปิดโรงเรียนช่วง โควิด-19
กระทรวงศึกษาธิการของรัฐมิชิแกนได้สรุปหลักการต่างๆ ที่เขตสามารถใช้เพื่อสร้างแผนการเรียนรู้ เป็น
รายบุคคล รวมถึงการพัฒนาตารางเวลารายสัปดาห์และสื่อสารกับครอบครัวอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์นี้อาจ ช่วย
ใหน้ ักเรียนแต่ละคนประสบความสำเรจ็ ในสน้ิ ปีการศึกษา 2019-2020 เน่ืองจากแผนการเรยี นรู้รายบุคคล ช่วย
ให้เขตและโรงเรียนสามารถพฒั นาและให้การสนบั สนุนความต้องการทางวชิ าการและทางสังคมและ อารมณ์ที่
ตรงเป้าหมาย

1.2.2 การเพมิ่ โปรแกรมการสอน (Additional Instructional Programs)
1) โปรแกรมหลังเลิกเรียน (After-School Programs) โปรแกรมนี้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อการ
เรียนการสอนจากวันเรียนปกติถูกรวมเข้ากับแผนการเรียนรู้หลังเลิกเรียน ตัวอย่างเช่น Meriden Public
Schools (CT) ร่วมมือกับ YMCA และ Boys & Girls Club เพื่อเพิ่มการสอนหลังเลิกเรียน 100 นาที ท่ี
โรงเรียน 3 แห่งในเขต ส่งผลให้นักเรียนจาก 2 ใน 3โรงเรียนที่เข้าร่วมเห็นว่าคะแนนสอบของนักเรียนสูงข้ึน
กวา่ ค่าเฉล่ยี ของภาค ส่งผลให้เขตขยายโครงการไปยังโรงเรียนประถมศึกษาอืน่ เพ่มิ ขน้ึ
2) ชมรมเร่งรัดการเรียนรู้(Acceleration Academies) นอกเหนือจากการเรียนรู้หลังเลิก เรียนแล้ว
การรว่ มกจิ กรรมของนักเรียนในชมรมยังสง่ ผลใหม้ พี ฒั นาการด้านคณติ ศาสตร์และการอา่ น ชมรมการเร่งรัด คือ
“โปรแกรมการสอนแบบเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เข้มข้นซึ่งสอนในช่วงพักร้อนโดยกลุ่มครูคุณภาพสูง ที่ผ่านการ
คัดเลือกมาอย่างดี” จากการศึกษาของลอว์เรนซ์ การใช้ Acceleration Academies ของ Public Schools
(MA) ผู้บริหารโรงเรียนได้คัดเลือกนักเรียนโดยอิงจากคะแนนการทดสอบ Massachusetts Comprehensive
Assessment System (MCAS) ที่ต่ำ และนักเรียนมีความตั้งใจที่จะเข้าเรียนซึ่งผลพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนวชิ าคณติ ศาสตร์และผลสมั ฤทธ์ใิ นการอ่านของนกั เรียนเพิ่มขึน้
3) โปรแกรมการเรียนรู้ภาคฤดูร้อนของโรงเรียน (School-Based Summer Learning Programs)
สถาบนั นโยบายการเรยี นรู้กลา่ วว่า “โปรแกรมภาคฤดรู อ้ นทอี่ อกแบบมาอยา่ งดจี ะมปี ระสทิ ธิภาพ มากท่ีสุดเม่ือ
นักเรียนไดส้ ัมผัสประสบการณ์ในหลายภาคฤดรู ้อน” นอกจากนี้ โปรแกรมการเรียนรูภ้ าคฤดูรอ้ น ยังจำเปน็ ตอ้ ง
มอบประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีดึงดูดใจและมีคุณค่าสำหรับนักเรียน โปรแกรมภาคฤดูร้อน สมัยใหม่ตอบสนอง

30

ความสนใจและความต้องการที่หลากหลายของนักเรียน ซึ่งมูลนิธิวอลเลซอธิบายว่า โปรแกรมการเรียนรู้ภาค
ฤดูร้อนสามารถปรับปรุงผลการเรียนตัง้ แต่ความสามารถในการอ่านจนถึง GPA หรือ แม้แต่การพฒั นาเยาวชน
และการพัฒนาอาชีพ โปรแกรมการเรียนรู้ภาคฤดูร้อนที่มีคุณค่าควรให้นักเรียนมีส่วน ร่วมในกิจกรรม
สร้างสรรค์และมีคุณค่า สร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับเพื่อนและผู้ใหญ่ รวมนักเรียนที่มีทักษะ หลากหลาย
ระดับเข้าร่วมด้วยความเต็มใจและจัดกิจกรรมแบบเต็มวัน นอกจากนี้โปรแกรมการเรียนรู้ภาคฤดู ร้อนที่มี
ประสิทธิภาพโครงสร้างในการเรียนรู้ควรเชื่อมโยงกับมาตรฐาน มีการวัดพฤติกรรมการเรยี นรู้ที่คาดหวัง อย่าง
ชดั เจน ท้งั นี้ควรจดั กจิ กรรมเป็นกลมุ่ ยอ่ ยไมเ่ กนิ 20 คน

4) กลยุทธ์การฟื้นฟูระยะยาว (Long-Term Recovery Strategies) งานวิจัยระบุว่าเขตพื้นท่ี
การศึกษาจะต้องใช้กลยุทธ์ระยะยาวกว่าปีการศึกษา 2020-2021 เพื่อช่วยให้นักเรียนฟื้นตัวจากการเรียนรู้ที่
หายไปในชว่ งท่ีโรงเรียนปิด COVID-19 โดยดำเนินการ ดังน้ี - ใช้การวินจิ ฉัยหลายรปู แบบเพื่อประเมินชอ่ งว่าง
การเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคน เช่น การ วินิจฉัย การประเมินรายบุคคล งานของนักเรียน การประชุม
ความเห็นของผู้ปกครอง ฯลฯ - วางแผนการสอนเฉพาะบุคคลตามความจำเป็นเพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้และ
สอดคล้องกับ แนวปฏิบัติของเขตพื้นที่การศึกษา - สร้างโอกาสที่หลากหลายในการสนับสนุนการเรียนรู้โดยไม่
เพิ่มความเครียดหรือแรงกดดัน (เช่น ก่อน / หลังเลิกเรียน) - ใช้การเรียนออนไลน์เพื่อเร่งรัดและแก้ไขตามท่ี
โรงเรยี นกำหนด หรอื ตามความตอ้ งการของ นกั เรยี น ผปู้ กครอง ทงั้ นี้อาจผสมผสานระหวา่ งการเรยี นรู้On site
และการเรียนรอู้ อนไลนเ์ พอ่ื ฟืน้ ฟูการ เรียนรู้ เร่งรดั หรือแก้ไข - ตรวจสอบให้เชอ่ื มัน่ ว่าทกุ กลุ่ม โดยเฉพาะอยา่ ง
ยิ่งกลุ่มนักเรียนที่เปราะบางประสบการสำเร็จใน การฟื้นฟูการเรียนรู้ที่จำเป็นพื้นฐาน - วางแผนการเข้าถึง
เทคโนโลย1ี 00% ท่รี องรบั การเรียนทางไกลและเตรยี มครูเพือ่ สอนแบบตวั ต่อตวั และสอนทางไกล - ส่งเสริมให้
ครูมคี วามยึดมน่ั ผูกพนั กับการฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นของนักเรยี น มคี วาม พร้อมและปรับตัวให้เข้ากับ
วิธกี ารสอนในสถานการณใ์ หมท่ อ่ี อกแบบ และตดิ ตามความกา้ วหน้าของครอู ยา่ ง ต่อเน่อื ง

2. งานวจิ ยั ในประเทศ
กองทนุ เพอ่ื ความเสมอภาคทางการศกึ ษา (กสศ.) องค์การยนู ิเซฟ ประเทศไทย กระทรวงศึกษาธกิ าร

มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม สถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัย
หอการค้าไทย และจังหวัดสมุทรสาคร จัดการประชุมสานพลังความร่วมมือหน่วยงานด้านการศึกษา “ก้าวไป
ด้วยกัน สู่สมุทรสาครโมเดล จังหวัดต้นแบบลดความเหลื่อมล้ำ ฟื้นฟูการเรียนรู้เพือ่ เดก็ ทุกคน” เดินหน้า พันธ
กิจฟื้นฟูการศึกษาไทย เปิดตัวโครงการวิจัยนำร่องฟื้นฟูการเรียนรู้ถดถอยป้องกันเด็กหลุดออกนอก ระบบ
ครอบคลุมทุกมิติดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบ นโยบาย
(RIPED) มหาวทิ ยาลัยหอการคา้ ไทย กล่าวว่า มงี านวิจัยจากต่างประเทศที่แสดงใหเ้ ห็นว่ามีหลักฐาน ยืนยันของ
การเกิดภาวะการเรียนรู้ถดถอยในช่วงวิกฤตโควิด-19 สำหรับในประเทศไทยทางสถาบันฯ ได้ ร่วมกับ กสศ.
ทำงานวิจัยท่ีเก็บข้อมูลจากเดก็ จากหลายพื้นที่ท่ัวประเทศ พบว่า ระดับการเรียนรู้ที่เด็กได้รับใน แต่ละวันที่มา
โรงเรียนนั้นแตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการปิดเรียนยาวนาน “ความถดถอยของ
การเรียนรู้หมายถึงการเปรียบเทียบทักษะของเด็กในช่วงเวลาการไปเรียนปกติกับการปิดเรียน ซึ่งวัดได้จาก

31

เครื่องมือทางสถิติ ซึ่งได้ผลวิเคราะห์หลักว่า การที่เด็กไม่ได้ไปโรงเรียนส่งผลกระทบเชิงลบกับทักษะ
คณิตศาสตร์ และ Working Memory (ความจำใช้งาน) ซึ่งหมายถึงความสามารถของเด็กในการจดจำข้อมูล
และนำขอ้ มูลมาประมวลผลเพ่ือนำกลับมาใช้ อนั เป็นทกั ษะท่ชี ว่ ยส่งเสริมการเรยี นรู้ของเดก็ โดยตรง โดย นัยยะ
สำคัญอยทู่ ่กี ารปิดโรงเรียนทีย่ าวนานยง่ิ สัมพันธก์ ับทักษะที่สูญหายไปเพิ่มขึ้น บางกลมุ่ ตัวอย่างมีภาวะ สูญหาย
ของทักษะมากถึง 90% ข้อมูลเหล่านี้ย้ำเตือนว่าทุกหนว่ ยงานมีหน้าที่ร่วมกนั ในการฟื้นฟูความรู้ที่ถดถอย และ
สร้างแนวทางการเรียนรูท้ ี่เหมาะสมเพ่ือรับมือกับสถานการณ์โควดิ -19 ซง่ึ ยังคงไม่มคี วามแน่นอน เปา้ หมายของ
โครงการฯ จึงมุ่งไปสู่การสร้างนวัตกรรมในการบริหารจัดการสถานศึกษา และนวัตกรรมในการ บริหารระดับ
จังหวัด โมเดลที่ดำเนินงาน เริ่มต้นจากสนับสนุนให้โรงเรียนสามารถประเมินภาวะการณ์เรียนรู้ ถดถอยที่
เกดิ ขนึ้ ควบคไู่ ปกบั สำรวจความพรอ้ มและความตอ้ งการของครแู ละนักเรยี น การสง่ เสรมิ ขดี ความสามารถของ
ครูและโรงเรียน ทั้งด้านเนื้อหา ศาสตร์การสอนและเทคโนโลยีด้วยวิธี Micro-Learning การเรียนรู้แบบ
ผสมผสาน และสั้น กระชับ ในรูปแบบบทเรียนออนไลน์ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การให้ คำปรึกษา และยัง
สนบั สนุนปัจจยั พน้ื ฐานในการจดั การเรยี นการสอน รวมถึงเครื่องมอื ท่จี ำเป็น จนสามารถ พัฒนานวัตกรรมและ
ออกแบบการเรียนรู้เพื่อลดภาวะความรู้ถดถอยให้แก่ผู้เรียนได้สำหรับนักเรียนนั้น เน้น การฟื้นฟูพัฒนาทักษะ
การอ่าน การเขียน ผ่านการเรียนการสอนทางไกล การพัฒนาทักษะคณิตศาสตร์ ผ่านกล่องการเรียนรู้หรือ
learning box การพัฒนาทักษะ สุขภาวะกายและจิต ใจ ผ่านการเรียนการสอน รายบุคคล ครอบคลุมท้ัง
ผู้เรียนปกติและผู้เรียนที่ต้องการช่วยเหลือเป็นพิเศษ ทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกับ ครู ผู้ปกครอง และกลไก
อาสาสมัครชมุ ชนร่วมดว้ ย

ดร.รังสรรค์ วิบูลย์อุปถัมภ์ เจ้าหน้าที่การศึกษาขององค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ที่มาและ
ความสำคัญของโครงการวิจัยที่กำลังร่วมมือกันทำอยู่นี้เป็นทิศทางเดียวกับที่ทั่วโลกกำลังทำ หรือ Mission
Recovering Education in 2021 แต่เราทำในบริบทของประเทศไทย โดยเน้นที่ตัวเด็กเป็นสำคัญ
ผ่าน เป้าหมาย 3 อย่างสำคัญดังนี้ 1) เด็กและเยาวชนวัยเรียนทุกคนได้เรียนหนังสือที่โรงเรียน และได้รับการ
สนับสนุนที่ปรับให้เหมาะสมเพื่อสอดคล้องกับความต้องการทางการเรียนรู้ การมีสุขภาพกายและสุขภาพใจ
ที่ดี รวมถึงความต้องการด้านอื่นๆ 2) เด็กและเยาวชนวัยเรียนทุกคนได้รับความช่วยเหลือในการเรียน
เพื่อชดเชยการเรียนรู้ที่สูญเสียไปในช่วงการปิดโรงเรียน และ 3) ครูทุกคนได้รับการเตรียมความพร้อมและ
การ สนับสนุน เพื่อแก้ไขปัญหาความรู้ถดถอยของนักเรียน สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมต่างๆ
มา ผสมผสานในการสอน ซ่ึงผลทไ่ี ดร้ บั จากความรว่ มมือในการทำงานคร้ังน้ี ยนู ิเซฟจะนำมาขยายผลสู่พื้นที่อ่ืน
รวมถึงแสดงสู่สายตานานาประเทศ ในฐานะโมเดลต้นแบบของการลดความเหล่อื มล้ำทางการศึกษา และ ฟื้นฟู
การเรยี นร้เู พือ่ เด็กทุกคน (Workpoint Today, 2564)

นรรธพร จันทรเ์ ฉลี่ย เสริบตุ ร (2564) ไดเ้ สนอ 5 มาตรการฟ้ืนฟูภาวะความรู้ถดถอยในเด็ก (Learning
Loss) จากกรณีศึกษาโรงเรียนบ้านปลาดาวที่ออกแบบการเรียนรู้ควบคู่กับการเรียนออนไลน์ในวิกฤตการณ์
โควิด-19 เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมของเด็กๆ โรงเรียนบ้านปลาดาว คือหนึ่ง ใน
โรงเรียนต้นแบบที่นำ 5 มาตรการฟื้นฟูความรู้ถดถอยในเด็กมาใชใ้ นช่วงสถานการณโ์ ควดิ -19 ซึ่งต้องออกแบบ
การเรียนรู้ใหม่ผ่าน Learning Box โดยจัดทำและจัดส่งไปที่บ้านของนักเรียน พร้อมกับส่งครูลงพื้นที่ไปยัง

32

ชุมชน เพื่อทำงานร่วมกับอาสาชุมชน เช่น ผู้ปกครอง และรุ่นพี่อาสา เพื่ออธิบายการใช้งาน และออกแบบ
การเรยี นรู้ร่วมกนั ชว่ ยให้เดก็ ๆ เรยี นท่ีบ้านได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพย่ิงขึ้น และติดตามแก้ไขปัญหาท่ีพบในแต่ละ
บ้านได้ อย่างตรงจุดมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กเล็กต้องได้รับความเอาใจใส่ คอยช่วยเหลือจากผู้ปกครอง
เพื่อกระตุ้น พัฒนาการของลูกอยู่เสมอ ส่วนเด็กโตก็เรียนออนไลน์ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมร่วมด้วยดังน้ี

มาตรการที่ 1 ประเมินสภาพแวดล้อมทั้งระบบ (Landscape Assessment) “ทำความเข้าใจปัญหา
ประเมนิ สถานการณ์ และบริบทแวดล้อมรอบตวั เด็ก” โดย

1) ทำขอ้ สอบวดั ความรเู้ พื่อทดสอบว่าเด็กมีความรู้ที่ถดถอยลงหรอื ไม่
2) ออกสำรวจพื้นเพของแตล่ ะครอบครัว โดยครูจัดทำตารางเย่ียมตามบา้ น
3) ทำแบบสำรวจประเมนิ ความพรอ้ มเรียนออนไลน์ ว่าแต่ละครอบครัวสามารถเข้าถงึ เทคโนโลยี และ
การบริการอนิ เทอร์เนต็ มากน้อยแค่ไหน
มาตรการที่ 2 การวางแผนของโรงเรียนทั้งระบบ (Whole School Planning) เพื่อสร้างความพร้อม
และความมั่นใจให้แก่บุคลากรของโรงเรียน “นัดผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักเรียนประชุมหารือกันเพื่อวางแผน
รบั มอื ” โดย
1) โรงเรียนกำหนดบทบาทหนา้ ทข่ี องครู
2) ออกแบบการเรียนรู้ใหเ้ หมาะกับเด็กแตล่ ะระดับช้ันและรายวชิ า
3) วางมาตรการความปลอดภยั ในการดำเนินงาน
4) วางแผนบริหารจดั การทรัพยากร
5) วางแผนบริหารจดั การงบประมาณ
6) ขอความร่วมมอื กบั ผู้ปกครอง
7) โรงเรียนกำหนดระยะเวลาและสถานทเี่ รยี นทางไกลที่เหมาะสม ตวั อยา่ งเช่น ใน 1 วนั นกั เรยี นควร
เรียนออนไลน์เพียงวันละ 3 คาบ คาบละ 40-50 นาที และระหว่างวันจะต้องสอดแทรกกิจกรรมที่หลากหลาย
ควบคไู่ ปกับการเรียนผ่านหน้าจอดว้ ย โดยจะต้องกำชบั ผู้ปกครองให้คอยตรวจสอบดแู ล เปน็ ต้น
มาตรการที่ 3 การสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพครู (Professional Development Support for
Teachers) “ออกแบบเนื้อหาใหม่สำหรับเรียนออนไลน์ให้เหมาะกับเด็กแต่ละช่วงวัย” ช่องว่างระหว่างการ
เรยี นรคู้ ือ จัดอบรมครูให้เขา้ ใจปัญหาทีท่ ำให้ผเู้ รียนเกิดอปุ สรรคทางการเรียนรหู้ ลักสูตร จัดอบรมครเู พอ่ื พัฒนา
หลักสูตรที่เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละช่วงวัย เครื่องมือครูจัดสรรเครื่องมือและอุปกรณ์การสอนให้แก่ ครู เพ่ือ
เตรยี มพรอ้ มจดั การเรยี นการสอนทุกรูปแบบ ท้ัง online, on-hand, และ on-site
มาตรการท่ี 4 การช่วยเหลอื เดก็ เรยี นรายบุคคล (Intervention and Support for Students) “คอย
หาทางชว่ ยเหลอื และเปน็ กำลงั ใจใหน้ กั เรยี นทเ่ี รยี นตามเพอื่ นไมท่ นั ”ประกอบไปด้วยองค์ประกอบยอ่ ย ดังน้ี
1) การวางแผนการเรียนรายบุคคล: คุณครูวางแผนการเรียนรูข้ องนกั เรียนรายบุคคล เพราะเด็กมกี าร
เรียนรู้ถดถอยที่แตกต่างกันทั้งสภาพแวดล้อมและสภาพครอบครัว หากไม่สามารถทำเป็นรายบุคคลได้ อย่าง
น้อยคุณครูจะต้องช่วยเป็นรายกลุ่ม ต้องช่วยกันดูแลทั้งที่บ้าน และในส่วนของโรงเรียนเองจะต้องคำนึงถึงการ
ออกแบบกจิ กรรม ทีจ่ ะต้องตอบโจทย์นกั เรยี นรายบคุ คล

33

2) อุปกรณก์ ารเรียน และการสนบั สนุนดา้ นสขุ ภาวะ : โรงเรยี นบ้านปลาดาวไดส้ นับสนุนอุปกรณ์ การ
เรียนรู้ และนวัตกรรมการเรียนรู้อย่าง Learning Box (กล่องการเรียนรู้) ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการที่ส่งเสริมการ
พัฒนาการเรียนรู้ และทักษะที่สำคัญสำหรับเด็กๆ ที่ไม่สามารถเข้าถึงการสอนแบบออนไลน์ได้ ซึ่งในกล่อง
Learning Box จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมกับช่วงวัย Booklet /3R กิจกรรม
Makerspace/ กิจกรรมทักษะชีวิตแตกต่างตามช่วงวัย ได้แก่ ชั้นปฐมวัย และประถมศึกษาร่วมถึงในกล่องมี
กิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาวะของเด็กนักเรียน (Well-being) จากสมุด ‘Fun Activities’ ที่รวบรวม 10 กิจกรรม
สร้างความสุข / 10 กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพกาย / 10 กิจกรรมสร้างความเป็นเด็กดี ให้เด็ก ๆ สามารถฝกึ ได้ท่ี
บ้าน นอกจากนี้โรงเรียนบ้านปลาดาวยังมีกิจกรรมช่ือว่า ‘นักจิตวิทยาแวะมาเล่น’ เดือนละ 1 ครั้ง ครั้งละ 50
นาที เพอ่ื พดู คยุ และทำกจิ กรรมกับนักเรียนระดบั ช้นั ป.4-6 เพอ่ื สง่ เสริมสุขภาพรา่ งกายและจติ ใจ

3) การช่วยเหลือทางครอบครัว: โรงเรียนบ้านปลาดาวส่งครูลงพื้นที่เพื่อเข้าไปช่วยเหลือดูแลนักเรียน
ในชุมชน โดยได้ประสานงานร่วมกับผูป้ กครองอาสา รุ่นพี่อาสาในชุมชน เพื่อช่วยเหลือ และอธิบายการใช้งาน
กล่องการเรยี นรใู้ ห้กบั เดก็ ๆ ในกรณที ีผ่ ูป้ กครองไมส่ ามารถสอนหนังสอื นักเรียนเองได้ โดยจัดใหม้ ีทมี ลงพนื้ ท่ี 2
สาย โดยแต่ละสายจะมีทั้งครูอนุบาล และครูประถมศึกษาลงพื้นที่ไปด้วยกัน หากพื้นที่ใดไม่สามารถเข้าพื้นท่ี
ได้ เราก็จะมีผูป้ กครองอาสาท่ีอยูใ่ นพ้ืนท่ีนั้น ๆ เขา้ ไปทำหน้าท่ีแทน มาตรการท่ี 5 การติดตามปรับปรุงและผล
สะท้อนกลับ (Monitoring and Intervention Redesign) “ติดตามพัฒนาการของนักเรียนอย่างต่อเนื่องแล้ว
นำมาพัฒนาการสอนอยู่เสมอ” ประกอบด้วย 3 กระบวนการ คือ การพัฒนา ผลตอบรับ และการประเมิน
เพอื่ ให้ทิศทางการวดั ผลของโรงเรยี นปลาดาวมีความ เปน็ ระบบ จะตอ้ งติดตาม ประเมนิ และนำมาปรบั รูปแบบ
การทำงานร่วมกับทีมอยเู่ สมอ เพอ่ื การปรบั ตวั และ เปล่ยี นแปลงได้ทนั เวลา

กรอบแนวคดิ การวจิ ัย

การวิจัยครั้งนี้เน้นการใช้กระบวนการวิจัยออกแบบทางการศึกษาเพื่อสร้างนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะ
ถดถอยทางการเรียนรขู้ องนักเรยี น โดยมีกรอบแนวความคดิ การวจิ ัย ดังน้ี

ปัจจัยด้านบรบิ ท ตน้ แบบตวั แทรกแซง ผลลพั ธ์ทค่ี าดหวัง
1. ปญั หา ขอ้ จำกัด ความต้องการ 1. โปรแกรมการฟ้ืนฟูระยะสัน้ 1. พัฒนาการดา้ นการเรียนรู้ (K S A) ของ
จำเป็นของนกั เรียน 2. โปรแกรมการฟนื้ ฟูระยะยาว นักเรียน
2. บทบาทของครู และผบู้ ริหาร 3. การเสริมสรา้ งสขุ ภาพจิต 2. ความพงึ พอใจของนกั เรยี น
สถานศกึ ษา และบทบาทของ 4. เครือข่าย ผเู้ ก่ียวข้องอื่นๆ 3. ความพงึ พอใจของผเู้ ก่ยี วข้อง ได้แก่
สำนักงานเขตฯ 5. การเสรมิ สร้างศกั ยภาพครู ผ้ปู กครอง ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา และครู
แนวคดิ ทฤษฎี 6. การนเิ ทศ ติดตาม ประเมินผล
1. แนวคดิ การฟนื้ ฟภู าวะถดถอย
ทางการเรียนรู้
2. การจัดการเรยี นรู้แบบบรู ณาการ
3. การวิจัยออกแบบทางการศึกษา

บทที่ 3
วิธดี ำเนินการวจิ ัย

การวจิ ัยออกแบบนวตั กรรมฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้เพ่อื ป้องกันการตกหล่นและออกกลางคัน
ของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 ใช้ระเบียบวิธีวิจัยออกแบบทางการศึกษา
(Design Research in Education) โดยใช้กระบวนการวิจัย 3 ระยะ ไดแ้ ก่ ระยะท่ี 1 การวิเคราะห์และสำรวจ
ระยะที่ 2 การออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวตั กรรมฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียน และ ระยะ
ที่ 3 การประเมนิ และการสะท้อนคดิ โดยมีรายละเอยี ดการวจิ ัย ดงั น้ี

1. กลมุ่ เป้าหมายการวจิ ยั
กลุ่มเป้าหมายในการวิจยั ออกแบบนวตั กรรมฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้เพื่อป้องกันการตกหลน่

และออกกลางคันของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 ในครั้งนี้ คือ โรงเรียนใน
สังกัดทุกโรงเรียนจำนวน 152 โรงเรียน ในช่วงปีการศึกษา 2564-2565 โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง
(Purposive Sampling) จำแนกเปน็

- ปีการศึกษา 2564
1) ผูบ้ ริหารสถานศึกษา จำนวน 152 คน
2) ครผู สู้ อน จำนวน 1,295 คน
3) นักเรียน จำนวน 20,756 คน

- ปกี ารศึกษา 2565
1) ผบู้ ริหารสถานศึกษา จำนวน 140 คน
2) ครผู สู้ อน จำนวน 1,394 คน
3) นักเรยี น จำนวน 20,665 คน

2. เคร่ืองมือเก็บรวบรวมข้อมลู
เครือ่ งมือในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลการวจิ ยั มจี ำนวนทง้ั สนิ้ 5 ชดุ ใชเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มลู ตงั้ แต่การวจิ ยั

ระยะที่ 1-3 ดงั น้ี
2.1 แบบบันทึกการวินิจฉัยภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียน เป็นแบบสอบถามชนิด

ปลายเปิดใช้ในการวิเคราะห์และจักลุ่มนักเรียนตามสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็น ซึ่งเป็นข้อมูล
ระดบั ช้นั เรียนท่คี รูประจำชัน้ เปน็ ผู้วิเคราะห์นักเรียนในความดูแลของตนเอง

2.2 ชุดเครือ่ งมอื ประเมนิ ความความเครยี ดและสขุ ภาพจิตของนักเรยี น เป็นเคร่ืองมือมาตรฐานของ
กรมสุขภาพจิต ใช้ในการวินิจฉัยสุขภาพจิตของนักเรียน จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ แบบประเมินความเครียด (ST-
5) แบบคดั กรองความกังวลต่อโควดิ -19 แบบประเมนิ ภาวะซึมเศรา้ ในวยั รุน่ (ใชก้ ับนกั เรียนมธั ยมศกึ ษา)

35

2.3 แบบบันทึกการออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรม เครื่องมือฉบับนี้ใช้ในการออกแบบ
นวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของโรงเรียน โดยผู้บริหารสถานศึกษาจัดกิจกรรม PLC กับคณะครู
ในโรงเรียนเพื่อออกแบบนวตั กรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรยี นโดยเริ่มจากการวิเคราะห์และ
ออกแบบนวัตกรรมระดับชั้นเรียน แล้วจึงออกแบบนวัตกรรมระดับโรงเรียนด้วยกระบวนการคิดออกแบบ
(Design Thinking)

2.4 ชุดเครื่องมือการนิเทศ ประกอบด้วยแบบนิเทศ จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ แบบนิเทศ 1 ระยะสั้น
แบบนิเทศ 2 ระยะยาว (Online) แบบนิเทศ 3 ระยะยาว (Onsite) ใช้ในการนิเทศติดตามเมื่อโรงเรียนนำ
นวตั กรรมท่พี ฒั นาข้ึนไปใชใ้ นการฟืน้ ฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นรูข้ องนักเรียน ดงั น้ี

2.4.1 แบบนิเทศ 1 ระยะสั้น เป็นแบบสอบถามปลายเปิดใช้ติดตามความก้าวหน้าในการฟื้นฟูภาวะ
ถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้โปรแกรมระยะสั้น ซึ่งโรงเรียนดำเนินการก่อนปิดภาคเรียนที่ 2 ปี
การศึกษา 2564 หรือชว่ งปิดภาคเรียน ปกี ารศึกษา 2564 หรอื ช่วงก่อนเปิดภาคเรยี นปีการศกึ ษา 2565 ซึ่งเป็น
การฟ้ืนฟูแบบเร่งดว่ นสำหรับกลุ่มนักเรียนที่มีปัญหาหนัก หรือฟื้นฟูในเน้ือหาวิชา พฤติกรรม คุณลักษณะ หรือ
สขุ ภาพจติ ของนกั เรียนทตี่ อ้ งเรง่ ดำเนินการ

2.4.2 แบบนิเทศ 2 ระยะยาว (Online) เป็นแบบสอบถามปลายเปิดใช้ติดตามความก้าวหน้าในการ
ฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรูข้ องนักเรยี นโดยใช้โปรแกรมระยะยาว ซึ่งโรงเรยี นดำเนินการในภาคเรยี นท่ี 1
ปีการศึกษา 2565 กับนักเรียนทุกคนในโรงเรียนโดยจำแนกเป็นกลุ่มตามผลการวินิจฉัยในการวิจัยระยะที่ 1
ผ่านกระบวนการนิเทศแบบออนไลน์

2.4.3 แบบนิเทศ 3 ระยะยาว (Onsite) เป็นแบบสอบถามปลายเปิดใช้ติดตามความก้าวหน้าในการ
ฟื้นฟภู าวะถดถอยทางการเรยี นรูข้ องนักเรียนโดยใช้โปรแกรมระยะยาว ซึ่งโรงเรยี นดำเนินการในภาคเรียนท่ี 1
ปีการศึกษา 2565 กับนักเรียนทุกคนในโรงเรียนโดยจำแนกเป็นกลุ่มตามผลการวินิจฉัยในการวิจัยระยะที่ 1
เช่นเดยี วกบั แบบนิเทศ 2 แตใ่ ชว้ ิธกี ารนิเทศแบบเย่ยี มพน้ื ที่ โดยประเด็นนเิ ทศจะล้วงลึกนวัตกรรมการฟื้นภาวะ
ถดถอยทางการเรียนรรู้ ะดับชัน้ เรียน และเน้นโรงเรยี นท่ีมีวิธีปฏบิ ัตทิ ่ีดี สามารถเป็นแบบอย่างได้

2.5 แบบบันทึกการประเมินและสะท้อนคิด เป็นแบบสอบถามปลายเปิดใช้ประเมินและสะท้อนผล
การดำเนินงานฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนเมื่อสิ้นสุดกระบวนการทดลองใช้นวัตกรรมของ
โรงเรียน โดยใช้กระบวนการทบทวนการปฏิบัตงิ าน ซึ่งให้โรงเรียนวิเคราะหค์ วามพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้อง ผลท่ี
เกิดกับนกั เรียน พัฒนาการ ความพรอ้ มในการเรยี นหลงั ได้รบั การฟ้ืนฟตู ลอดภาคเรียน ส่ิงท่โี รงเรียนปฏิบัติได้ดี
และภาคภูมิใจ สิ่งที่โรงเรียนต้องเติมเต็มและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ต้นแบบนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการ
เรียนรู้ท่ปี รบั ปรุงแล้ว

3. การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครื่องมือ
เครื่องมอื ในการวิจัยครัง้ น้ีส่วนใหญ่เปน็ เครื่องมอื เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ ได้แก่ แบบบันทึกการ

วินิจฉัยภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียน แบบบันทึกการออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรม ชุด
เครื่องมือการนิเทศ แบบบันทึกการประเมินและสะท้อนคิด ผู้วิจัยดำเนินการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดย

36

การให้ผูเ้ ชย่ี วชาญตรวจสอบความตรงเชิงเนอื้ หาของเคร่ืองมอื โดยการเิ คราะห์คา่ IOC และความครอบคลุมของ
ประเด็นในการเก็บรวบรวมข้อมูล ส่วนชุดเครื่องมือประเมินความความเครียดและสุขภาพจิตของนักเรียน เป็น
เคร่ืองมือเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเชงิ ปริมาณ แต่เนอ่ื งดว้ ยเป็นเคร่ืองมือมาตรฐานท่ีหนว่ ยงานที่เช่ียวชาญเฉพาะด้าน
ได้สรา้ งขึ้นและมีการใชอ้ ย่างแพรห่ ลายผ้วู จิ ัยจึงไม่ไดด้ ำเนนิ การตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมอื ซ้ำ

4. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
4.1 ระยะที่ 1 การวเิ คราะห์และสำรวจ
4.1.1 ครวู ินจิ ฉัยภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนกั เรียนโดยอิงตัวชวี้ ดั ทต่ี ้องรขู้ อง สพฐ. และจัดกลุ่ม

นกั เรียนเปน็ 3 กล่มุ คอื
- กลมุ่ ที่ 1 กลุม่ เสี่ยงออกกลางคนั (ขาดเรยี นบอ่ ยหรอื ส่อื สารลำบากหรือมีปญั หาด้านการเรียน

รูอ้ ยกู่ ่อนแลว้ )
- กลมุ่ ที่ 2 กลุ่มฟ้ืนฟู (ผ่านตัวชวี้ ัดทต่ี ้องร้นู อ้ ยกวา่ ร้อยละ 50)
- กล่มุ ท่ี 3 กล่มุ สง่ เสรมิ (ผ่านตวั ชว้ี ัดทตี่ ้องรูม้ ากกวา่ รอ้ ยละ 50)

4.1.2 วเิ คราะห์ปญั หา ขอ้ จำกดั และความต้องการจำเปน็ ของนกั เรียนแต่ละกลมุ่ จากการวนิ จิ ฉยั
4.2 ระยะที่ 2 การออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นร้ขู อง
นกั เรยี น
4.2.1 ผู้บริหารสถานศึกษาประชุมครูในโรงเรียนและใช้กระบวนการคิดออกแบบ (Design Thinking)
5 ขั้น ในการออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนในระดับ
โรงเรยี นและระดบั ช้ันเรยี น ดงั น้ี
1) ขั้นเขา้ ใจอารมณ์ความรูส้ กึ (Empathize) ทำความเขา้ ใจปัญหา ขอ้ จำกัด ความตอ้ งการจำเป็นของ
นกั เรียนแต่ละกลุ่ม
2) ข้นั การกำหนดปญั หา (Define) ตง้ั คำถามเพือ่ นำไปสแู่ นวทางแก้ปัญหา
3) ขน้ั สร้างความคดิ (Ideate) ระดมความคดิ แกป้ ัญหาจากทฤษฎที เ่ี ก่ียวขอ้ ง
4) ขั้นสรา้ งตน้ แบบ (Prototype) ออกแบบตวั แทรกแซง
5) ข้นั การทดสอบ (Test) นำตน้ แบบไปทดลองใช้
4.2.2 นเิ ทศตดิ ตามการนำนวตั กรรมฟน้ื ฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นรูข้ องนักเรียนไปทดลองใช้ในระยะ
สั้นซึ่งโรงเรียนดำเนินการก่อนปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 หรือช่วงปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2564
หรอื ชว่ งกอ่ นเปิดภาคเรียนปกี ารศกึ ษา 2565 และระยะยาวซ่ึงโรงเรยี นดำเนินการในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา
2565
4.3 ระยะท่ี 3 การประเมนิ และการสะท้อนคิด
ประเมินและสะท้อนผลการดำเนินงานฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนเมื่อสิ้นสุด
กระบวนการทดลองใช้นวัตกรรมของโรงเรียน โดยใช้กระบวนการทบทวนการปฏิบัติงาน ซึ่งให้โรงเรียน
วิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้อง ผลที่เกิดกับนักเรียน พัฒนาการ ความพร้อมในการเรียนหลังได้รบั การ

37

ฟื้นฟูตลอดภาคเรียน สิ่งที่โรงเรียนปฏิบัติได้ดีและภาคภูมิใจ สิ่งที่โรงเรียนต้องเติมเต็มและพัฒนาให้ดียิ่งข้ึน
ตน้ แบบนวตั กรรมฟนื้ ฟภู าวะถดถอยทางการเรียนรูท้ ี่ปรับปรุงแลว้

5. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
ข้อมลู จากการวิจัยครง้ั นมี้ ีรูปแบบผสมผสานขอ้ มูลเชิงปรมิ าณและข้อมลู เชิงคณุ ภาพ ผู้วิจยั ดำเนนิ การ

วิเคราะหข์ อ้ มลู ดังนี้
5.1 ข้อมูลเชิงปริมาณการจัดกลุ่มนักเรียน การวินิจฉัยปัญหาความเครียดและสุขภาพจิต จำนวน

นักเรียนที่ได้รับการฟื้นฟูระยะสั้น ระยะยาว จำนวนเด็กตกหล่น เด็กออกกลางคัน การประเมินผลการ
ดำเนินงานฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของโรงเรียน จำนวนต้นแบบนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการ
เรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ (Frequency) และร้อยละ (Percentage) ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
สำเรจ็ รปู

5.2 ข้อมูลเชิงคุณภาพ ปัญหา ข้อจำกัด ความต้องการจำเป็น การดำเนินงานฟื้นฟูภาวะถดถอย
ทางการเรียนรู้ระยะสัน้ ระยะยาว นวตั กรรมฟน้ื ฟภู าวะถดถอยทางการเรียนรู้ระดับชน้ั เรียน ระดับโรงเรียน ผล
ที่เกิดกับนักเรียน ข้อมูลการสะท้อนผลการดำเนินงานของโรงเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา
(Content Analysis)

จากการกระบวนการวิจัยข้างต้นกำหนดเปน็ ปฏิทนิ การวิจยั ไดด้ งั ตารางที่ 3.1

38

ตารางที่ 3.1 ปฏทิ ินการวิจยั

ระยะเวลา กจิ กรรมการวจิ ยั ผู้มสี ว่ นรว่ ม สถานที่
10 มี.ค. 65 ประชมุ นักวจิ ัย นักวิจัยตามคำส่ังทกุ คน ห้องประชุมเฉลมิ พระเกียรติ
15 มี.ค. 65 ประชุมสรา้ งความเข้าใจในการดำเนนิ งาน นักวจิ ยั ทกุ คนยกเว้นโรงเรียนนำ หอ้ งประชุมรวมใจ 2
ร่อง
08.30-12.00 น. - กลุ่มที่ 1 ผ้บู ริหารสถานศึกษา (65 คน) อำเภอภูกระดึง หนองหนิ ผาขาว โรงเรยี นพ้นื ทว่ี ิจยั 9 โรง
13.00-16.30 น. - กลุ่มที่ 2 ผู้บริหารสถานศกึ ษา (61 คน) อำเภอวังสะพงุ เอราวัณ ภหู ลวง โรงเรยี นทกุ โรง
08.30-16.30 น. โรงเรยี นนำรอ่ งวางแผนออกแบบการวิจยั นักวจิ ัยโรงเรียนนำรอ่ ง
16-31 มี.ค. 65 - ผูบ้ ริหารประชมุ ครเู พอื่ สร้างความเข้าใจ ผูบ้ รหิ ารและครทู กุ คนในโรงเรยี น ระบบออนไลน์
- คัดกรองและจดั กลุ่มนกั เรียน โรงเรียนทกุ โรง
1-10 เม.ย. 65 - ออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูการเรียนรรู้ ะยะ ผู้บรหิ ารสถานศึกษาทกุ คน
1 เม.ย.–16 พ.ค. สั้นและระยะยาวดว้ ยกระบวนการคิด - ผบู้ ริหารและครทู กุ คนใน ระบบออนไลน์
65 ออกแบบ (Design Thinking) โรงเรยี น โรงเรียนทกุ โรง
รายงานแผนการดำเนนิ งานตามโปรแกรม
10-16 พ.ค. 65 - ดำเนนิ การตามโปรแกรมฟน้ื ฟกู ารเรียนรู้ - คณะกรรมการวิจัย โรงเรยี นทุกโรง
ระยะส้นั ผบู้ ริหารสถานศึกษาทุกคน
1 เม.ย.–10 ก.ย. - นเิ ทศ ติดตาม เย่ยี มพื้นท่ี
65 - ผบู้ รหิ ารและครูทกุ คนใน
รายงานผลการดำเนินงานตามโปรแกรม โรงเรยี น
11-30 ก.ย. 65 ระยะสน้ั
- ดำเนนิ การตามโปรแกรมฟนื้ ฟกู ารเรียนรู้ - คณะกรรมการวิจัย
ระยะยาว - ผูบ้ รหิ ารและครูทุกคนใน
- นิเทศ ติดตาม เยีย่ มพ้ืนท่ี โรงเรยี น
- คณะกรรมการวจิ ยั
1. การประเมนิ และการสะทอ้ นคิด
- ประมนิ พัฒนาการของนักเรยี นแตล่ ะกลุ่ม
- ทบทวนผลการทดลองใช้ต้นแบบดว้ ย
กระบวนการ AAR
- สอบถามความพึงพอใจของนักเรียน
ผปู้ กครอง และครู
- ปรบั ปรุงต้นแบบ
2. สรุปและรายงานผลการวิจัย

บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู

การวจิ ยั ออกแบบนวัตกรรมฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้เพอื่ ป้องกนั การตกหล่นและออกกลางคัน
ของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตาม
วัตถุประสงค์การวิจัย 3 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์และสำรวจภาวะถดถอยทางการเรียนรู้
ของนักเรียน ตอนท่ี 2 ผลการออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของ
นกั เรยี น ตอนที่ 3 ผลการประเมนิ และการสะท้อนคิดการฟืน้ ฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรยี น ดังน้ี

ตอนท่ี 1 ผลการวเิ คราะหแ์ ละสำรวจภาวะถดถอยทางการเรยี นรขู้ องนกั เรียน

ผลการวิเคราะห์และสำรวจภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขต
พ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 เป็นข้อมูลจากการสำรวจสภาพปัญหา ข้อจำกัดและความต้องการ
จำเปน็ ของนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนด้านการเรียนและสุขภาพจิต รวมถงึ การสำรวจเดก็ ตกหล่นในโรงเรยี น และ
จัดกลมุ่ ตามสภาพปัญหา ดงั นี้

1. ผลการจัดกลมุ่ นักเรียน
ผลการวิเคราะห์และสำรวจสภาพปัญหา ข้อจำกัดและความต้องการจำเป็นของนักเรียนที่อยู่ใน

โรงเรียนด้านการเรยี นและสุขภาพจติ สามารถจัดกลุ่มตามสภาพปญั หา ดงั ตารางท่ี 4.1 และ 4.2

ตารางท่ี 4.1 ผลการวเิ คราะห์และจัดกลุ่มนักเรยี นตามสภาพภาวะถดถอยทางการเรียนรูจ้ ำแนกรายอำเภอ

อำเภอ จำนวน กลมุ่ เสี่ยงออกกลางคนั กลุ่มฟนื้ ฟู กลุ่มสง่ เสริม
ทั้งหมด จำนวน รอ้ ยละ จำนวน ร้อยละ จำนวน รอ้ ยละ
ภกู ระดงึ 3,161 287 9.08 954 30.18 1,920 60.74
วงั สะพงุ 5,402 916 16.96 1,743 32.27 2,743 50.78
ผาขาว 3,043 328 10.78 574 18.86 2,141 70.36
ภูหลวง 1,939 222 11.45 467 24.08 1,250 64.47
หนองหนิ 2,058 196 9.52 924 44.90 938 45.58
เอราวัณ 2,823 340 12.04 929 32.91 1,554 55.05
18,426 2,289 12.42 5,591 30.34 10,546 57.23
รวม

จากตารางที่ 4.1 ผลการวิเคราะห์และจัดกลุ่มนักเรียนตามสภาพภาวะถดถอยทางการเรียนรู้จำแนก
รายอำเภอ พบว่า ในภาพรวมนักเรียนส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มส่งเสริม จำนวน 10,546 คน คิดเป็นร้อยละ 57.23

40

รองลงมา คือ กลุม่ ฟื้นฟู จำนวน 5,591 คน คิดเป็นร้อยละ 30.34 และกลุ่มท่ีมีจำนวน นอ้ ยทีส่ ุด คือ กลมุ่ เส่ียง
ออกกลางคัน จำนวน 2,289 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 12.42

หากพิจารณารายกลมุ่ พบว่า กลุ่มเส่ียงออกกลางคันมีจำนวนมากที่สุดในอำเภอวังสะพุง จำนวน 916
คน คิดเป็นร้อยละ 16.96 รองลงมา คือ อำเภอเอราวณั จำนวน 340 คน คิดเป็นร้อยละ 12.04 และ อำเภอภู
หลวง จำนวน 222 คน คิดเป็นร้อยละ 11.45 ตามลำดับ ส่วนอำเภอท่ีมีจำนวนน้อยท่ีสุด คือ อำเภอภูกระดึง
จำนวน 287 คน คดิ เป็นร้อยละ 9.08

กลุ่มฟ้ืนฟูมีจำนวนมากที่สุดในอำเภอหนองหิน จำนวน 924 คน คิดเป็นร้อยละ 44.90 รองลงมา คือ
อำเภอเอราวัณ จำนวน 929 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 32.91 และ อำเภอวังสะพุง จำนวน 1,743 คน คิดเปน็ ร้อยละ
32.27 ตามลำดบั สว่ นอำเภอทม่ี จี ำนวนน้อยทส่ี ุด คอื อำเภอผาขาว จำนวน 574 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 18.86

กลุ่มสง่ เสรมิ มจี ำนวนมากทีส่ ุดในอำเภอผาขาว จำนวน 2,141 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 70.36 รองลงมา คือ
อำเภอภูหลวง จำนวน 1,250 คน คิดเป็นร้อยละ 64.47 และ อำเภอภูกระดึง จำนวน 1,920 คน คิดเป็นร้อย
ละ 60.74 ตามลำดับ ส่วนอำเภอท่ีมีจำนวนน้อยที่สุด คือ อำเภอหนองหิน จำนวน 938 คน คิดเป็นร้อยละ
45.58

ตารางท่ี 4.2 ผลการวเิ คราะหป์ ัญหาความเครียดและสขุ ภาพจิตของนักเรยี นจำแนกรายอำเภอ

อำเภอ จำนวนท้งั หมด มปี ัญหา ไมม่ ีปญั หา
จำนวน ร้อยละ จำนวน รอ้ ยละ
ภูกระดึง 3,161 3,120 98.70
วงั สะพุง 5,402 41 1.30 5,323 98.53
ผาขาว 3,043 79 1.47 3,043 100.00
ภูหลวง 1,939 0 0.00 1,855 95.67
หนองหิน 2,058 84 4.33 2,041 99.17
เอราวัณ 2,823 17 0.83 2,793 98.94
18,426 30 1.06 18,175 98.50
รวม 251 1.50

จากตารางท่ี 4.2 ผลการวิเคราะห์ปัญหาความเครียดและสุขภาพจิตของนักเรียนจำแนกรายอำเภอ
พบว่า ในภาพรวมนักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาความเครียดและสุขภาพจติ จำนวน 18,175 คน คิดเป็นร้อยละ
98.50 แต่มีปัญหา จำนวน 251 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 1.50 ทง้ั นี้ นักเรยี นมปี ญั หาความเครียดและสุขภาพจติ มาก
ที่สุดอย่ใู นอำเภอภูหลวง จำนวน 84 คน คิดเป็นร้อยละ 4.33 รองลงมา คือ อำเภอวังสะพุง จำนวน 79 คน คิด
เป็นร้อยละ 1.47 และ อำเภอภูกระดึง จำนวน 41 คน คิดเป็นร้อยละ 1.30 อำเภอท่ีนักเรียนไม่มีปัญหา
ความเครยี ดและสขุ ภาพจติ คือ อำเภอผาขาว

41

2. สภาพปญั หา ข้อจำกดั และความต้องการจำเปน็ ของนกั เรียน
จากการวิเคราะหแ์ ละสำรวจสภาพปัญหา ข้อจำกดั และความตอ้ งการจำเปน็ ของนกั เรยี น พบว่า สภาพ

ปญั หา ขอ้ จำกัดทพี่ บส่วนใหญเ่ ป็นปัญหาพ้ืนฐานทสี่ ำคญั และมีความตอ้ งการจำเป็น ดังน้ี
2.1 สภาพปญั หา ขอ้ จำกดั
1) ปญั หาด้านการมาโรงเรียน นักเรียนขาดเรยี นบ่อย ไม่อยากมาโรงเรยี น
2) ปัญหาด้านความจำเป็นของครอบครัว ได้แก่ ความยากจน การอยู่อาศัยกับญาติที่ขาดความพร้อม
ไม่ได้รบั การดแู ลเอาใจใส่จากผู้ปกครอง การยา้ ยติดตามผู้ปกครอง
3) ปัญหาด้านสุขภาพจิต ได้แก่ ความเครียด ขาดความเชื่อม่ันในตนเอง ไม่กล้าแสดงออก ขาดความ
กระตอื รือร้นและแรงจูงใจในการเรยี น
4) ปัญหาด้านพัฒนาการทางการเรียนรู้ ได้แก่ การพัฒนากล้ามเน้ือยังไม่สมบูรณ์ เรียนรู้ช้า สมาธิสั้น มี
ปัญหาการอ่าน การเขียน การคิดเลข การแก้โจทย์ปัญหา ขาดทักษะการฟัง การใช้ภาษาเพ่ือการ
ส่อื สาร
5) ปัญหาพฤติกรรมท่ีได้รับผลกระทบจากการขาดความรู้ทางเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) ได้แก่
การติดเกม ติดโทรศพั ท์
6) ปัญหาดา้ นความพิการ ไดแ้ ก่ บกพร่องทางสติปญั ญา ออทิสตกิ
7) ปัญหาการอยู่ในสภาพแวดลอ้ มท่เี สย่ี งต่อการติดยาเสพตดิ
2.2 ความตอ้ งการจำเป็น
จากการวิเคราะห์สภาพปัญหาขา้ งต้นไดเ้ ช่อื มโยงถึงความต้องการจำเปน็ ของนกั เรียนท่ีแตกต่างกนั ตาม

สภาพปัญหา ซึ่งนักเรียนท่ีมีปัญหาด้านการมาเรียนและความจำเป็นของครอบครัวมีความต้องการการเรียนที่
ยืดหยุ่นตามความเหมาะสม ต้องการทุนการศึกษาสนับสนุน ด้านสุขภาพจิตนักเรียนต้องการการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ท่ีผ่อนคลายท่ีส่งเสริมให้นักเรียนมีความสุขในการเรียน มีกิจกรรมสร้างแรงจูงใจในการเรียนท่ี
หลากหลาย ด้านการเรียนนกั เรียนต้องการการฟ้นื ฟู ทบทวนทักษะการอา่ น การเขยี น รวมท้ังทกั ษะการเรียนรู้
อ่ืนท่ีเป็นพื้นฐานการเรียนในระดับสูง นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องเรียนรู้ด้านความฉลาดทางดิจิทัลเพ่ือให้มีทักษะ
และภูมิคุ้มกันในการใช้เทคโนโลยี ส่วนด้านความพิการนักเรียนจำเป็นต้องได้รบั การจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคล
ท้ังนี้ด้านยาเสพติดจำเป็นต้องประสานเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องในการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาไม่ให้กระท บต่อ
นักเรยี น

3. ผลการสำรวจเด็กตกหลน่
ผลการสำรวจเดก็ ตกหลน่ ในโรงเรียนสงั กัดสำนักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาเลย เขต 2 พบว่า

ไมม่ ีเด็กตกหล่นในเขตพื้นท่บี รกิ ารของโรงเรียน

42

ตอนท่ี 2 ผลการออกแบบและพฒั นาต้นแบบนวัตกรรมฟนื้ ฟภู าวะถดถอยทางการเรียนรูข้ องนกั เรยี น

การออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อป้องกัน
การตกหล่นและออกกลางคันของนักเรียนสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 แบ่งเป็น 3
ระดับ ได้แก่ 1) นวัตกรรมการฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนระดับเขต 2) นวัตกรรมการฟ้ืนฟู
ภาวะถดถอยทางการเรยี นร้ขู องนกั เรียนระดับโรงเรยี น และ 3) นวัตกรรมการฟ้นื ฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นรู้
ของนกั เรยี นระดับห้องเรยี น ดังนี้

1. นวัตกรรมการฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นร้ขู องนกั เรียนระดบั เขต
นวตั กรรมฟน้ื ฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นรู้ของนกั เรียนเพื่อป้องกนั การตกหล่นและออกกลางคนั ของ

นกั เรยี นสำนักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาเลย เขต 2 ใช้แนวคดิ เชงิ ระบบเป็นโมเดลในการขับเคลอื่ การ
ดำเนินงานประกอบดว้ ย 3 องคป์ ระกอบ ดังนี้

1.1 องคป์ ระกอบท่ี 1 ปจั จัยนำเข้า (Input)
องค์ประกอบที่ 1 ปจั จัยนำเขา้ (Input) ดำเนนิ การในระยะที่ 1 ของการวจิ ยั ไดแ้ ก่ การวเิ คราะหแ์ ละ
สำรวจ ซึ่งมีกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ประกอบดว้ ย
1) การวินิจฉัยภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนโดยพิจารณาสภาพปัญหา ข้อจำกัด ความ
ต้องการจำเป็นของนักเรียน และความสามารถทางวิชาการโดยอิงตัวช้ีวัดที่ต้องรู้ของสำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน และจัดกลมุ่ นักเรยี นเปน็ 3 กลุ่ม คือ
กล่มุ ที่ 1 กลุ่มเสย่ี งออกกลางคนั เปน็ กลมุ่ ที่ขาดเรยี นบ่อยหรือสอ่ื สารลำบากหรือมปี ญั หาด้านการเรยี น
ร้อู ย่กู อ่ นแล้ว
กลมุ่ ที่ 2 กลุ่มฟื้นฟู เป็นกลุ่มที่ผา่ นตวั ชวี้ ดั ที่ต้องรู้นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 50 และ
กลุ่มที่ 3 กลมุ่ สง่ เสริมเปน็ กลมุ่ ท่ีผา่ นตัวชีว้ ดั ที่ต้องรมู้ ากกวา่ รอ้ ยละ 50
2) วิเคราะหค์ วามตอ้ งการจำเป็นของนักเรยี นแต่ละกลุม่ จากการวินจิ ฉัย
3) การสำรวจและคน้ หาเด็กตกหล่นในเขตพ้นื ทีบ่ ริการ
1.2 องค์ประกอบท่ี 2 กระบวนการ (Process)
เป็นขนั้ ดำเนนิ การออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมฟ้นื ฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียน
โดยใช้กระบวนการคิดออกแบบ (Design Thinking) 5 ข้ัน ในการวิจัยระยะที่ 2 ประกอบด้วย 1) ขั้นเข้าใจ
อารมณ์ความรู้สึก (Empathize) วิเคราะห์ ทำความเข้าใจกับปัญหาและความต้องการของนักเรียนแต่ละกลุ่ม
2) ข้ันการกำหนดปัญหา (Define) โดยต้ังคำถามเพ่ือนำไปสู่แนวทางแก้ปัญหา 3) ข้ันสร้างความคิด (Ideate)
ระดมความคิดแก้ปัญหาจากทฤษฎีที่เก่ียวข้อง 4) ขั้นสร้างต้นแบบ (Prototype) ออกแบบตัวแทรกแซง และ
5) ขั้นการทดสอบ (Test) นำต้นแบบไปทดลองใช้ ซ่ึงการใช้กระบวนการคิดออกแบบนี้เป็นแนวทางให้แก่
โรงเรียนในสงั กัดได้ดำเนินการออกแบบนวัตกรรมระดบั โรงเรยี นและระดบั หอ้ งเรียนใหส้ อดคลอ้ งกบั บริบทของ
ตนเอง ทีม่ ีความยดื หยุ่นสามารถปรับเปลยี่ นได้ตลอดเวลา

43
1.3 องค์ประกอบที่ 3 ผลการดำเนินงาน (Output)
องค์ประกอบท่ี 3 ผลการดำเนินงาน (Output) เปน็ ขน้ั ตอนการตรวจสอบผลการดำเนนิ การทดลองใช้
นวัตกรรมด้วยกระบวนการประเมินและสะท้อนคิด ซึ่งมีกิจกรรมท่ีต้องดำเนินการประกอบด้วยการประมิน
พัฒนาการของนักเรียนแต่ละกลุ่ม การทบทวนผลการทดลองใช้ต้นแบบด้วยกระบวนการ AAR และการ
สอบถามความพึงพอใจของผเู้ ก่ยี วข้อง ทั้งน้มี ตี วั ชว้ี ัดความสำเร็จที่เปน็ ผลลพั ธ์ท่ีคาดหวังอยู่ 4 ประการ ไดแ้ ก่
1) นวตั กรรมฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นรู้ระดับโรงเรียนหรือนวตั กรรมผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
2) นวตั กรรมฟน้ื ฟภู าวะถดถอยทางการเรยี นรู้ระดับหอ้ งเรยี นหรอื นวัตกรรมครู
3) พฒั นาการด้านการเรียนรู้ (K S A) ของนักเรียนท่แี สดงถึงความพร้อมในการเรียนรู้ในภาคเรียนที่ 2
ปกี ารศกึ ษา 2565 และ
4) ความพึงพอใจของนักเรียน ผูป้ กครอง ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา และครูท่ีมีตอ่ การดำเนินงานฟืน้ ฟูภาวะ
ถดถอยทางการเรียนรูข้ องนกั เรยี น
การออกแบบและพฒั นาต้นแบบนวตั กรรมฟนื้ ฟภู าวะถดถอยทางการเรยี นรู้ของนักเรียนเพ่ือปอ้ งกนั การ
ตกหล่นและออกกลางคันของนักเรียนสำนกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาเลย เขต 2 แสดงดงั ภาพท่ี 4.1

ภาพที่ 4.1 นวัตกรรมฟนื้ ฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นร้ขู องนักเรยี นเพอ่ื ป้องกันการตกหลน่
และออกกลางคันของนกั เรยี น สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเลย เขต 2

44

2. นวตั กรรมการฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรยี นรูข้ องนกั เรียนระดบั โรงเรียน
นวัตกรรมฟ้ืนฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของนักเรียนเพื่อป้องกันการตกหล่นและออกกลางคันของ

นักเรียนระดับโรงเรียน ใช้แนวคิดเชิงระบบเป็นโมเดลในการขับเคลื่อการดำเนินงานเช่นเดียวกับในระดับเขต
ประกอบดว้ ย 3 องค์ประกอบ ดังนี้

2.1 องค์ประกอบท่ี 1 ปจั จัยนำเขา้ (Input)
องค์ประกอบที่ 1 ปัจจยั นำเขา้ (Input) ดำเนินการในระยะท่ี 1 ของการวจิ ยั ไดแ้ ก่ การวเิ คราะหแ์ ละ
สำรวจ ซึง่ มีกิจกรรมหลกั 3 กจิ กรรม ที่ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาต้องทำความเขา้ ใจกบั ครูในโรงเรียน ประกอบด้วย
1) โรงเรียนวนิ ิจฉัยภาวะถดถอยทางการเรียนรขู้ องนักเรียนโดยพิจารณาสภาพปัญหา ข้อจำกัด ความ
ต้องการจำเป็นของนักเรียน และความสามารถทางวิชาการโดยอิงตัวช้ีวัดท่ีต้องรู้ของสำนักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน และจดั กลุม่ นักเรียนเปน็ 3 กลุม่ คือ
กลุม่ ที่ 1 กล่มุ เสี่ยงออกกลางคัน เป็นกลุ่มที่ขาดเรยี นบอ่ ยหรือส่ือสารลำบากหรอื มปี ญั หาด้านการเรยี น
รูอ้ ยกู่ อ่ นแล้ว
กลุม่ ท่ี 2 กลุ่มฟ้ืนฟู เปน็ กลุ่มที่ผา่ นตัวชวี้ ดั ทตี่ ้องรูน้ อ้ ยกว่ารอ้ ยละ 50 และ
กลุ่มที่ 3 กลุ่มส่งเสรมิ เปน็ กลมุ่ ท่ีผา่ นตวั ช้วี ัดท่ีต้องร้มู ากกวา่ รอ้ ยละ 50
2) โรงเรยี นวิเคราะห์ความต้องการจำเปน็ ของนกั เรียนแต่ละกลุม่ จากการวนิ จิ ฉยั
3) โรงเรยี นสำรวจและคน้ หาเดก็ ตกหลน่ ในเขตพนื้ ที่บรกิ าร
2.2 องค์ประกอบท่ี 2 กระบวนการ (Process)
เป็นขั้นที่โรงเรียนดำเนินการออกแบบและพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้
ของนักเรียนโดยใช้กระบวนการคิดออกแบบ (Design Thinking) 5 ข้ัน ในการวิจัยระยะที่ 2 ประกอบด้วย 1)
ขน้ั เขา้ ใจอารมณ์ความรู้สึก (Empathize) วิเคราะห์ ทำความเขา้ ใจกบั ปัญหาและความต้องการของนักเรยี นแต่
ละกลุ่ม 2) ขั้นการกำหนดปัญหา (Define) โดยต้ังคำถามเพ่ือนำไปสู่แนวทางแก้ปัญหา 3) ข้ันสร้างความคิด
(Ideate) ระดมความคิดแก้ปัญหาจากทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้อง 4) ขั้นสร้างต้นแบบ (Prototype) ออกแบบตัว
แทรกแซง และ 5) ขั้นการทดสอบ (Test) นำต้นแบบไปทดลองใช้ ซ่ึงการใช้กระบวนการคิดออกแบบน้ี
ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาเป็นผู้มีบทบาทนำครูออกแบบนวัตกรรมระดบั โรงเรียนและระดบั ห้องเรยี นให้สอดคล้องกับ
บริบทของตนเอง ที่มีความยืดหย่นุ สามารถปรับเปล่ียนได้ตลอดเวลา ทงั้ น้ีมีกรอบการดำเนินงาน 6 ส่วน ได้แก่
การออกแบบการฟื้นฟูระยะส้ัน การออกแบบการฟื้นฟูระยะยาว การเสริมสร้างสุขภาพจิต การประสาน
เครือขา่ ยและผเู้ ก่ยี วข้อง การเสริมสรา้ งศักยภาพครู และการนิเทศ ติดตาม ประเมนิ ผล
1.3 องคป์ ระกอบท่ี 3 ผลการดำเนินงาน (Output)
องค์ประกอบที่ 3 ผลการดำเนินงาน (Output) เป็นขั้นตอนท่ีโรงเรียนตรวจสอบผลการดำเนินการ
ทดลองใช้นวัตกรรมด้วยกระบวนการประเมินและสะท้อนคิด ซึ่งมีกิจกรรมที่ต้องดำเนินการประกอบด้วยการ
ประมินพฒั นาการของนกั เรียนแตล่ ะกลุม่ การทบทวนผลการทดลองใช้ต้นแบบดว้ ยกระบวนการ AAR และการ
สอบถามความพึงพอใจของผู้เก่ียวข้อง ทั้งน้ีมีตัวช้ีวัดความสำเร็จท่ีเป็นผลลัพธ์ท่ีคาดหวังของโรงเรียน อยู่ 3
ประการ ไดแ้ ก่


Click to View FlipBook Version