๒๔ ภาพที่ ๑๔ มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมของอุตสาหกรรมอวกาศโลก ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ (ที่มา: บริษัท Bryce space and Technology, [1]) ด้วยปัจจุบันเทคโนโลยีอวกาศมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการเข้าถึงและการเกิดขึ้นของกิจการด้านอวกาศซึ่งมีมูลค่าการลงทุนที่สูง และส่งผลต่อภาพรวมด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ซึ่งสอดรับ กับผลการศึกษาของ สทอภ. ร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ที่ได้มี การวิเคราะห์มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นจากอุตสาหกรรม อวกาศในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ พบว่าอุตสาหกรรมอวกาศจะทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และสังคมที่สูงถึงประมาณ ๓๕,๕๕๙ ล้านบาท โดยเป็นผลกระทบทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า ๒๙,๗๐๑ ล้านบาท ซึ่งมาจากอุตสาหกรรมฐาน อุตสาหกรรมต้นน้ำ และอุตสาหกรรมปลายน้ำ อันเกิดจากการใช้ประโยชน์จากดาวเทียมสื่อสารเป็นส่วนใหญ่ อาทิ อุตสาหกรรมโทรคมนาคม อุตสาหกรรมด้านสื่อโทรทัศน์และวิทยุ กลุ่มธุรกิจด้านอินเทอร์เน็ตและการสื่อสาร การพัฒนาดาวเทียม การพัฒนาชิ้นส่วนดาวเทียม การพัฒนาระบบภาคพื้นดิน หรือ การพัฒนาระบบนำส่ง เป็นต้น และผลกระทบทางสังคมซึ่งเป็นผลกระทบอื่น ๆ ที่เกิดกับ ความเป็นอยู่ของประชาชน อันได้แก่ สวัสดิการสังคมที่เกิดจากการมีรายได้เพิ่มขึ้น ของครัวเรือน ซึ่งวัดจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของครัวเรือนภายใต้สภาวะที่ราคาสินค้า และบริการที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม โดยสามารถประเมินเป็นมูลค่าได้ประมาณ ๕,๘๕๘ ล้านบาท แสดงรายละเอียดในภาพที่ ๑๕ ต่อไปนี้
๒๕ ภาพที่ ๑๕ มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมของอุตสาหกรรมอวกาศไทย ปีพ.ศ. ๒๕๖๑ (ที่มา: สทอภ. และ NIDA, [2]) ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าสำหรับประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมามีการนำเทคโนโลยี อวกาศมาใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเป้าไปสู่การสร้างความยั่งยืน (Sustainability) ให้กับประเทศเป็นหลัก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าและผลิตภัณฑ์รวมไปถึงบริการ ที่ใช้ข้อมูลในอุตสาหกรรมปลายน้ำ (Downstream) เป็นหลัก เช่น ข้อมูลด้านภูมิสารสนเทศ (Geoinformation data and services) การนำทาง (Positioning, GPS Navigation) รวมถึง การสื่อสารประเภท Broadband เป็นต้น นอกจากนี้ ได้มีการใช้เทคโนโลยีอวกาศเพื่อติดตาม และประเมินผลการพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals–SDGs) รวมถึงการให้บริการภาพถ่ายดาวเทียม (Professional Service Provider) สถานีรับสัญญาณดาวเทียม (Ground Control) และการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ การใช้ประโยชน์จากดาวเทียม (Satellite Software and Application) เป็นต้น รวมทั้ง การใช้ประโยชน์จากอวกาศในปัจจุบันจำเป็นต้องพิจารณาความพร้อมและการให้ความสำคัญ ของ “ภัยคุกคามความมั่นคงทางอวกาศ” ทั้งจากสภาพอวกาศ (Space Weather) ขยะอวกาศ และอุกกาบาต (Debris & Asteroid) ที่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตบนพื้นโลก เช่นเดียวกัน อันเป็นผลให้แต่ละประเทศจำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถด้านอวกาศ มีศักยภาพในการปฏิบัติการด้านความมั่นคง (Safety)
๒๖ ทั้งนี้ ในการขับเคลื่อนประเทศให้เกิดอุตสาหกรรมอวกาศเพื่อพัฒนา ประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจและสังคมยุคใหม่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการวางแผนการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างองค์ความรู้และบุคลากรอย่างครอบคลุมและเป็นระบบ เพื่อรองรับการเข้าไปมีส่วนร่วมในการวิจัยและสำรวจอวกาศกับต่างประเทศ รวมทั้ง การร่วมมือกันเพื่อพัฒนาดาวเทียมหรือเทคโนโลยีอวกาศขั้นสูงต่อไป ซึ่งจะมีความสอดคล้อง อย่างยิ่งกับ (ร่าง) แผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ ๒๐ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การบริหารโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศของประเทศ ภาพที่ ๑๖ ภูมิทัศน์ยุคเศรษฐกิจอวกาศใหม่ (New Space Economy Landscape) สำหรับประเทศไทย (ที่มา: สทอภ. ปรับปรุงจาก รศ.ดร.สมเจตน์ ทิณพงษ์) นอกจากนี้ยังต้องมีแผนและนโยบายจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยการลงทุน ในระยะยาว (Long Implementation Timespan) ตามภาพที่ ๑๖ ข้างต้น เพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจ อวกาศใหม่ หรือ New Space Economy ที่มีพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศขั้นสูงเพื่อการสำรวจ อวกาศ การใช้ชีวิตในอวกาศ (Manned, Space Exploration) รวมทั้งการมีส่วนร่วม ของภาคเอกชน บริษัท Startup เพื่อให้เกิดธุรกิจใหม่จากการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ ของภาครัฐ เช่น การสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคาร (Human to Moon and Mars) การสร้างที่อยู่อาศัยบนดาวเคราะห์ (Space Habitats) เพื่อทำฐานการสำรวจหรือจัดตั้ง
๒๗ อาณานิคมอวกาศ การทำเหมืองแร่อวกาศ (Space Mining) และการท่องเที่ยว ในอวกาศ (Space Tourism) เป็นต้น ตามที่กล่าวมาข้างต้น กิจการอวกาศในประเทศไทยด้านดาวเทียมประเภท NGSO ส่วนใหญ่ จึงเป็นของภาครัฐและมีจำนวนไม่มากหากไม่นับดาวเทียมไทยคม ได้แก่ ดาวเทียมไทยพัฒ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ดาวเทียมธีออส ของ สทอภ. ดาวเทียมนภา ของกองทัพอากาศ และดาวเทียมเพื่อการศึกษา เช่น ดาวเทียม Knacksat-1 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ดาวเทียม BCCSAT-1 ของโรงเรียน กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งถ้านับภาคเอกชนกับธุรกิจดาวเทียมประเภท NGSO ในประเทศไทยแล้วปัจจุบันนี้ยังไม่ปรากฏบริษัทใดสามารถประกอบธุรกิจประเภทนี้ ได้สำเร็จ ภาพที่ ๑๗ ดาวเทียม BCCSAT ของนักเรียนมัธยม โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (ที่มา: โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย)
๒๘ ภาพที่ ๑๘ ทีมเยาวชนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยผู้พัฒนาดาวเทียม BCCSAT-1 (ที่มา: โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย)
บทที่ ๓ การกำกับดูแลดาวเทียมประเภทวงโคจรไม่ประจำที่ (NGSO) ๓.๑ การกำกับดูแลดาวเทียมประเภท NGSO ในต่างประเทศ ๓.๑.๑ สาธารณรัฐประชาชนจีน นโยบายและมาตรการส่งเสริมกำกับดูแลของจีนมุ่งเน้นการพัฒนาเกี่ยวกับ กิจกรรมอวกาศของประเทศ โดยกำหนดให้รัฐบาลต้องกำหนดนโยบายและมาตรการ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอวกาศและพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศอย่างยั่งยืน มั่นคง และรวดเร็ว ด้วยการบริหารขององค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน (The China National Space Administration : CNSA) เป็นหน่วยงานหลักทางด้านอวกาศที่มีหน้าที่รับผิดชอบ กิจกรรมด้านอวกาศของประเทศ สร้างความร่วมมือด้านอวกาศระหว่างประเทศ และทำหน้าที่บริหารจัดการทางด้านอวกาศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น ภารกิจสำหรับ การดำเนินกิจกรรมด้านอวกาศในระยะ ๕ ปีด้านการสำรวจอวกาศซึ่งมีเป้าหมาย ในการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศของประเทศให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลถือว่า อุตสาหกรรมอวกาศเป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศโดยรวม และยึดมั่น ในหลักการของการสำรวจและใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อวัตถุประสงค์ในทางสันติตลอด ๖๐ ปีที่ผ่านมาของการพัฒนากิจการอวกาศ สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงประสบความสำเร็จ อย่างมากในด้านนี้ รวมถึงการพัฒนาดาวเทียมได้เอง เทคโนโลยีการบินและอวกาศที่สามารถ ควบคุมได้ครบวงจร และการพัฒนายานสำรวจดวงจันทร์ที่เป็นการพึ่งพาตนเอง และนวัตกรรมภายในประเทศอย่างชัดเจน และมุ่งสร้างประเทศให้เป็นมหาอำนาจ ด้านอวกาศในอีก ๕ ปีข้างหน้าด้วยแนวคิดของการพัฒนาที่รักษาสมดุล เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อมเปิดกว้างและการใช้งานร่วมกัน โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนได้กำหนดวัตถุประสงค์ด้านการดำเนิน กิจกรรมอวกาศเพื่อการสำรวจห้วงอวกาศและเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโลก และจักรวาล มุ่งใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศโดยมีวัตถุประสงค์ในทางสันติ ส่งเสริม อารยธรรมมนุษย์ความก้าวหน้าทางสังคม และประโยชน์เพื่อมวลมนุษยชาติ รวมทั้ง การตอบสนองความต้องการของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความมั่นคงของชาติและความก้าวหน้าทางสังคม และยกระดับวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม ของประชาชนจีน ปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของชาติจีน และสร้างความเข้มแข็งโดยรวม นอกจากนี้ยังได้กำหนดวิสัยทัศน์ของสาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรม อวกาศ คือ เพื่อสร้างสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เป็นมหาอำนาจทางอวกาศในทุกด้าน
๓๐ โดยการดำเนินกิจกรรมอวกาศของสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น จะยึดหลักการที่เกี่ยวกับ การพัฒนา ๔ หลักการ ได้แก่ ๑) การพัฒนานวัตกรรม ๒) การพัฒนาที่ต่อยอด ๓) การพัฒนาอย่างสันติและ ๔) การเปิดกว้างเพื่อยอมรับการพัฒนา ในส่วนที่เกี่ยวกับภารกิจหลักสำหรับอีก ๕ ปีข้างหน้า จะเกี่ยวกับโครงสร้าง พื้นฐานด้านอวกาศ โดยเฉพาะระบบการสื่อสารและกระจายเสียงผ่านดาวเทียม (Satellite Communications and Broadcasting System) ระบบนี้มุ่งเน้นไปที่การใช้งานในด้าน อุตสาหกรรมและการตลาดที่ส่วนใหญ่ดำเนินงานผ่านโมเดลทางธุรกิจ ในขณะเดียวกัน ก็ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนด้วย โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนจะทำ การพัฒนาการสื่อสารและการแพร่ภาพกระจายเสียงผ่านดาวเทียมทั้งแบบประจำที่ GSO และแบบไม่ประจำที่ NGSO รวมทั้งดาวเทียมที่ใช้ถ่ายทอดข้อมูล โดยจะทำการสร้าง เครือข่ายข้อมูลพื้นฐานแบบบูรณาการด้านอวกาศ ซึ่งจะประกอบด้วยระบบดาวเทียม บรอดแบนด์ในวงโคจรระดับสูง และระบบดาวเทียมวงโคจรต่ำ และระบบภาคพื้นดินต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกภาคพื้นดินอื่น ๆ ด้วยที่จะต้องดำเนินการไปพร้อมกัน ซึ่งความพยายามเหล่านี้คาดว่าจะนำมาซึ่งระบบการสื่อสารและกระจายเสียงผ่านดาวเทียม ที่ครอบคลุมทั่วประเทศและทั่วโลก ๓.๑.๒ ประเทศญี่ปุ่น การเริ่มต้นของโครงการอวกาศของประเทศญี่ปุ่นเกิดจากการวิจัยเกี่ยวกับ จรวดดินสอ (Pencil Rocket) ของอาจารย์มหาวิทยาลัยโตเกียวในปี ค.ศ. ๑๙๕๕ และต่อมา เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๗๐ จรวดดินสอ (Pencil Rocket) ของประเทศญี่ปุ่นนี้ ก็ได้ทำการส่งดาวเทียมดวงแรกที่มีชื่อว่า Ohsumi-1 ขึ้นสู่วงโคจร ซึ่งทำให้ประเทศญี่ปุ่น ได้กลายเป็นหนึ่งในสี่บรรดาประเทศแรกที่สามารถส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรรอบโลกได้ หลังจากสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มเข้ามาสนใจด้านอวกาศอย่างช้าๆ ภายใต้ ข้อจำกัดที่ได้กำหนดไว้เมื่อตอนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองและได้อาศัยใช้เทคโนโลยี จากสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก จากการศึกษาวิจัยพบว่านับตั้งแต่การส่งดาวเทียม Ohsumi ในปี ค.ศ. ๑๙๗๐ โครงการอวกาศของประเทศญี่ปุ่นได้พัฒนาอย่างมากนอกจากนี้ ประเทศญี่ปุ่นได้ส่งวัตถุอวกาศและดาวเทียมขึ้นสู่ห้วงอวกาศอย่างมากมาย ทั้งนี้ ประเทศญี่ปุ่น โดยกระทรวงศึกษาธิการวัฒนธรรม การกีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (Ministry of Education, Culture, Sports, Science and Technology : MEXT) ได้มีนโยบายในการจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินกิจกรรม ทางด้านอวกาศของประเทศ ดังนี้
๓๑ • ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับระบบการขนส่งอวกาศ เช่น การส่ง ยานอวกาศของชาติ เพื่อรักษาและสร้างความเชื่อมั่นในการปล่อย ดาวเทียมและยานอวกาศอื่นเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการ • ส่งเสริมการสร้างเกี่ยวกับระบบดาวเทียมสำรวจและการเฝ้าระวัง ซึ่งระบบนี้จะอำนวยประโยชน์ในการนำไปสู่การสำรวจสภาพแวดล้อม ของโลก การเฝ้าระวังภัยพิบัติ การสื่อสารและการกำหนดตำแหน่ง การนำร่อง • ส่งเสริมการเข้าใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมของห้วงอวกาศจริง โดยการใช้ประโยชน์จากสถานีอวกาศนานาชาติและเครื่องมือทางด้าน อวกาศอื่น ๆ • ส่งเสริมการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์อวกาศในระดับสูงสุดของโลก เช่น การสำรวจอวกาศในภูมิภาคที่ยังไม่เคยได้ทำการสำรวจมาก่อน และระบบสุริยะ • ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์การบินและเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความต้องการทางสังคม เช่น ความปลอดภัยของ ผู้โดยสารและการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นได้ตระหนักถึงแนวทางการสร้างคุณภาพชีวิต ของประชาชนชาวญี่ปุ่นโดยผ่านการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้ประโยชน์จากดาวเทียม เช่น การสื่อสารโทรคมนาคม การกระจายเสียง การกำหนดตำแหน่ง การนำร่อง การพยากรณ์อากาศ และการสำรวจโลก รวมทั้งการนำองค์ความรู้ใหม่ทางด้านการวิจัยอวกาศมาปรับใช้และ ยังมีส่วนในการสร้างเสริมสันติภาพระหว่างประเทศและสวัสดิภาพของมนุษยชาติ นอกจากนี้ การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ รวมถึง สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศและความมั่นคงของชาติบนพื้นฐานของรัฐธรรมนูญของ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ประเทศญี่ปุ่นมีบทบาทเพิ่มขึ้นในการพัฒนาอวกาศและการใช้งาน ซึ่งประเทศญี่ปุ่นได้มีการตรากฎหมายอวกาศ ค.ศ. ๒๐๐๘ (Basic Space Law) ขึ้นมา ปรับใช้กับการดำเนินกิจกรรมอวกาศ (การพัฒนาและการใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศ) ของประเทศญี่ปุ่นเพื่อ ๑) กำหนดหลักการพื้นฐานและเรื่องพื้นฐานสำหรับการปฏิบัติ ตามหลักการพื้นฐาน ๒) กำหนดความรับผิดชอบของรัฐ และ ๓) กำหนดแผนการดำเนินงาน ทางด้านอวกาศขั้นพื้นฐาน รวมทั้งยังได้ดำเนินการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ด้านการพัฒนา ยุทธศาสตร์อวกาศ เพื่อการส่งเสริมมาตรการเกี่ยวกับการและพัฒนาและการใช้ประโยชน์ จากห้วงอวกาศที่ครอบคลุมและเป็นระบบด้วย
๓๒ นอกจากนี้ กฎหมายฉบับนี้ ได้ยึดถือเอา “หลักการพื้นฐาน” ของกฎหมาย อวกาศ ค.ศ. ๒๐๐๘ (Basic Space Act) มาเป็นหลักในการดำเนินกิจกรรมอวกาศ ของประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งวัตถุอวกาศทั้งหลาย (เช่น ดาวเทียม) และการบริหารจัดการเกี่ยวกับวัตถุอวกาศเหล่านั้นของประเทศญี่ปุ่นซึ่งส่ว นใหญ่ แล้วหลักการพื้นฐานจะถูกพัฒนามาจากสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านอวกาศทั้งหลาย ที่ประเทศญี่ปุ่นได้เข้าเป็นภาคี เฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา ๒๒ ของกฎหมายฉบับนี้ ได้มีการระบุถึง ข้อ ๙ ของสนธิสัญญาอวกาศ ค.ศ. ๑๙๖๗ ไว้ในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขสำหรับ การขอใบอนุญาตของกฎหมายนี้ ในเรื่องสิ่งแวดดล้อมในห้วงอวกาศที่เกี่ยวกับการปนเปื้อน ที่เป็นอันตรายต่อห้วงอวกาศและการป้องกันการสอดแทรกรบกวนกันที่อาจเป็นอันตราย กับกิจการทั้งหลายในการสำรวจและการเข้าใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศด้วย นอกจากนี้ กฎหมายฉบับนี้ยังได้ให้คำนิยามเกี่ยวกับความหมายของคำที่มีความสำคัญเฉพาะ ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาและการเข้าใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศของประเทศญี่ปุ่น ที่สอดคล้องสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านอวกาศที่ประเทศญี่ปุ่นได้เข้าเป็นภาคีด้วย และกฎหมายฉบับนี้เนื่องจากเป็นกฎหมายภายในของประเทศญี่ปุ่นจึงใช้บังคับภายใน ดินแดนอาณาเขตของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงเรือและอากาศยานที่มีสัญชาติญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับ การดำเนินกิจการอวกาศด้วย รวมทั้งยังบังคับใช้กับ ๑) บุคคล (บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) ใดก็ตามที่ประสงค์จะเข้ามาดำเนินกิจการอวกาศในประเทศญี่ปุ่น ๒) บุคคลผู้ซึ่งเป็นเหยื่อ จากความเสียหายที่เกิดจากการดำเนินกิจกรรมอวกาศ และ ๓) องค์การสำรวจอวกาศ แห่งชาติญี่ปุ่น (Japan Aerospace Exploration Agency : JAXA) ด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่า กฎหมายฉบับนี้ก็ได้เปิดโอกาสให้คนต่างชาติตามที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ในกฎหมายฉบับนี้ สามารถเข้ามาดำเนินกิจการอวกาศในประเทศญี่ปุ่นได้ รวมถึงเหยื่อ ผู้ได้รับความเสียหายที่เป็นคนต่างชาติก็จะได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกันจากกฎหมายฉบับนี้ จากการศึกษาวิจัยพบว่ากฎหมายฉบับนี้ได้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเป็น “บุคคลหลัก” ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับการดำเนินกิจการอวกาศของประเทศญี่ปุ่น เช่น เป็นผู้มีอำนาจในการ “ให้” “เพิกถอน” และ “แก้ไขเปลี่ยนแปลง” รายละเอียดที่เกี่ยวกับ (ก) การอนุญาต (Permission) ดำเนินกิจการอวกาศเกี่ยวกับ “การส่งวัตถุ อวกาศ” ตามมาตรา ๔ (๑) นั้น กำหนดให้บุคคลใดก็ตามที่ประสงค์ดำเนินการส่งวัตถุอวกาศ และใช้ฐานส่งที่ตั้งอยู่ในดินแดนอาณาเขตของประเทศญี่ปุ่น หรือบนเรือหรืออากาศยาน สัญชาติญี่ปุ่น ต้องทำการขออนุญาตทุกครั้งที่ทำการจัดส่งวัตถุอวกาศ (ข) ใบอนุญาต (License) ดำเนินกิจการอวกาศใน “การควบคุมวัตถุ อวกาศ” ตามมาตรา ๒๐ (๑) นั้น กำหนดให้บุคคลใดก็ตามที่ประสงค์จะดำเนินการควบคุม
๓๓ วัตถุอวกาศและใช้สถานีควบคุมวัตถุอวกาศที่ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ต้องได้รับใบอนุญาต ทุกครั้งในการควบคุมวัตถุอวกาศ รวมทั้งมีอำนาจในการกำกับดูแลการดำเนินกิจการอวกาศของประเทศญี่ปุ่น ฯลฯ ถึงแม้ว่าการใช้อำนาจใดของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินกิจการอวกาศ ของประเทศญี่ปุ่นนั้น ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของมติคณะรัฐมนตรี (Cabinet Office Order) และในบางกรณีก็กำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องทำการปรึกษาหารือกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจาก ยานขนส่งตกใส่ เป็นตัน รวมทั้งนายกรัฐมนตรีต้องรับฟังความเห็นของคณะกรรมการนโยบาย อวกาศแห่งชาติก่อน หากนายกรัฐมนตรีประสงค์จะจัดทำ แก้ไข หรือยกเลิกมติของ คณะรัฐมนตรีตามที่อ้างถึงในมาตรา ๔ (๒) (ii), มาตรา ๖ (i) หรือ (ii), หรือมาตรา ๒๒ (ii) หรือ (iii) ก็ตาม นอกจากนี้จากการศึกษาวิจัยพบว่าในกรณีที่เกี่ยวกับการชดใช้ค่าเสียหาย จากยานขนส่งและวัตถุอวกาศส่งตกใส่นั้น กฎหมายฉบับนี้ได้นำเอาหลักความรับผิด อย่างเคร่งครัดมาปรับใช้และกฎหมายฉบับนี้ ยังได้มีการกำหนดโทษทางอาญาไว้ด้วย ในกรณี ที่บุคคลใด (บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) ก็ตามได้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติตามที่กำหนด ไว้ในกฎหมายฉบับนี้ เพื่อเป็นการป้องปรามบุคคลที่จะกระทำความผิดและลงโทษบุคคล ผู้ที่ได้กระทำความผิดสำเร็จแล้ว รวมทั้งกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดข้อยกเว้นสำหรับรัฐบาล ญี่ปุ่นในการขออนุญาตและการขอใบอนุญาตดำเนินกิจการอวกาศที่ดำเนินการโดยรัฐบาล ญี่ปุ่นเอง องค์การสำรวจอวกาศแห่งชาติญี่ปุ่น หรือ Japan Aerospace Exploration Agency (JAXA) คือ หน่วยงานอวกาศหลักที่ดูแลกิจการด้านอวกาศ ก่อนที่จะมีการจัดตั้ง องค์การหรือหน่วยงานด้านอวกาศของประเทศญี่ปุ่นรูปแบบใหม่ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ พบว่า ประเทศญี่ปุ่นมีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการดำเนินงานขององค์การ หรือหน่วยงานด้านอวกาศเดิม เนื่องจาก ๓ หน่วยงานหลักในอดีตต่างมีภารกิจ ที่ต้องปฏิบัติการตามแผนการของแต่ละหน่วยงานเป็นหลัก และแต่ละหน่วยงาน ต่างก็ดำเนินการสร้างเครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกของตนขึ้นมาเพื่อให้ภารกิจ ของหน่วยงานตนเองสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีภารกิจบางอย่าง ของหน่วยงานทั้งสามซ้อนทับกัน และส่งผลให้ประเทศญี่ปุ่นต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณ (Budget) ไปอย่างมากมายมหาศาลโดยไม่จำเป็น ดังนั้นองค์การสำรวจอวกาศแห่งชาติญี่ปุ่น (JAXA) ในปัจจุบันนี้ จึงถูกจัดตั้งขึ้นโดยอยู่บนพื้นฐานของการมุ่งเน้นประสิทธิภาพของการใช้ จ่ายงบประมาณและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
๓๔ และอีกสาเหตุหนึ่งของความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการดำเนินงานขององค์การ หรือหน่วยงานด้านอวกาศของประเทศญี่ปุ่นในอดีตนั้นก็เนื่องมาจากรัฐบาลญี่ปุ่น (ในขณะนั้น) ต้องการรวบรวมภารกิจ ๓ ด้าน ซึ่งประกอบด้วย (ก) การสร้างดาวเทียม (Satellite Manufacturing/Applications) (ข) การสร้างอวกาศยาน (Aeronautic/Rocket Manufacturing) และ (ค) โครงการนักอวกาศ (Astronaut) เข้าด้วยกัน โดยมุ่งหวังว่าการรวมกัน ของหน่วยงานอวกาศทั้งสามหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ จะส่งผลให้การดำเนิน กิจการและการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านอวกาศของประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นไปอย่างคุ้มค่า ทางด้านเศรษฐกิจ ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมในปัจจุบันและอนาคต และเป็นองค์กรทางด้านอวกาศที่มีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน นอกจากนี้ การจัดตั้ง องค์การสำรวจอวกาศแห่งชาติญี่ปุ่น (JAXA) นี้ เกิดจากความต้องการของรัฐบาลประเทศ ญี่ปุ่นโดยมิได้เกิดจากการริเริ่มขึ้นหรือจากความต้องของ ๓ หน่วยงานหลักด้านอวกาศ ของประเทศญี่ปุ่นแต่อย่างใด ๓.๑.๓ สหราชอาณาจักร เนื่องจากห้วงอวกาศมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์เรา การดำเนินกิจกรรมอวกาศ เช่น ด้านดาวเทียมสื่อสารที่ซึ่งเชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์ด้วยกัน (เช่น ระหว่างเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น) ก่อให้เกิด ความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบันและอนาคต ทำให้เราสามารถสำรวจมหาสมุทร รักษาความมั่นคงปลอดภัย ตรวจสอบสภาพอากาศและพยากรณ์อากาศ และก่อให้เกิดธุรกิจ ด้านอวกาศเชิงพาณิชย์ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร ซึ่งมีมูลค่ากว่า ๑๖.๔ พันล้านปอนด์ต่อปีและมีอัตราการจ้างงานมากกว่า ๔๕,๐๐๐ คนในบทบาท ที่หลากหลาย เช่น นักวิทยาศาสตร์อวกาศ วิศวกรอวกาศ ผู้ประกอบการด้านอวกาศ และนักประดิษฐ์เป็นต้น ดังนั้นห้วงอวกาศจึงเป็นพื้นที่สำคัญที่เปิดโอกาสให้กับสังคมโลก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อโอกาสเปิดกว้างมากขึ้น ภัยคุกคามก็มากขึ้นเช่นกันทำให้บุคลากร อุปกรณ์และเครือข่ายข้อมูลของเราตกอยู่ในความเสี่ยง และทำให้การปกป้องสหราช อาณาจักรทำได้ยากขึ้น ห้วงอวกาศกำลังเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นสหราชอาณาจักรต้อง สนองตอบต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้โดยการจัดทำ “ยุทธศาสตร์อวกาศแห่งชาติ” (National Space Strategy) เพื่อรวบรวมจุดแข็งของสหราชอาณาจักรในทางด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ ด้านความมั่นคง ด้านกฎเกณฑ์และด้านการทูต เพื่อมุ่งสู่วิสัยทัศน์ระดับชาติที่ชัดเจน โดยแผนยุทธศาสตร์ฯ นี้ระบุถึงเป้าหมาย ๕ ประการ และกิจกรรมที่รัฐบาลสหราชอาณาจักร สถาบันการศึกษา และภาคอุตสาหกรรม จะต้องดำเนินการเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ
๓๕ ซึ่งวิสัยทัศน์(Vision) ของสหราชอาณาจักรทางด้านการดำเนินกิจกรรม อวกาศนั้น มีดังต่อไปนี้“สหราชอาณาจักรจะสร้างหนึ่งในเศรษฐกิจอวกาศที่มีนวัตกรรม ที่น่าสนใจที่สุดในโลก และสหราชอาณาจักรจะเติบโตในฐานะประเทศที่เจริญทางด้านอวกาศ (a space nation) โดยสหราชอาณาจักรจะปกป้องและป้องกันผลประโยชน์ของสหราช อาณาจักรในอวกาศ กำหนดสภาพแวดล้อมและการเข้าใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศ เพื่อช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความท้าทายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการ ผลิตงานวิจัยที่ทันสมัย โดยสหราชอาณาจักรจะพยายามสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไป และรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศของสหราช อาณาจักรต่อไป” นอกจากนี้สหราชอาณาจักรยังได้วางเป้าหมาย (Goals) ๕ ประการ ที่เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมอวกาศ ซึ่งประกอบไปด้วย ๑) การเติบโตและยกระดับเศรษฐกิจด้านอวกาศของสหราชอาณาจักร ๒) การส่งเสริมค่านิยมของสหราชอาณาจักรทั่วโลก ๓) การเป็นผู้นำในการค้นพบทางด้านวิทยาศาสตร์และสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับคนในชาติ ๔) ปกป้องและคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทั้งในและนอกห้วงอวกาศ ๕) การเข้าใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศเพื่อส่งมอบให้กับพลเมืองสหราช อาณาจักรและทั่วโลก ดังนั้นในปัจจุบันสหราชอาณาจักรได้มุ่งที่จะสร้างเศรษฐกิจอวกาศด้วย การสนับสนุนแบบ end-to-end สำหรับองค์กรด้านอวกาศด้วยวิทยาศาสตร์อวกาศ และเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียง รวมทั้งความสามารถในการผลิตและปฏิบัติการดาวเทียมชั้นนำ โดยนักวิทยาศาสตร์และธุรกิจชาวอังกฤษจะมีทักษะและเทคโนโลยีในการตีความ และใช้ข้อมูลที่เราได้รับจากห้วงอวกาศ เพื่อการให้บริการที่ทันสมัยและเป็นนวัตกรรมใหม่ แก่พวกเราทุกคน ซึ่งจะเป็นจุดแข็งของสหราชอาณาจักรรวมทั้งจะมีระบอบการกำกับดูแล ที่ทันสมัยไปจนถึงบริการทางการเงินและกฎหมายระดับโลกทำให้ประเทศสหราชอาณาจักร เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมในการเริ่มต้นลงทุนและขยายธุรกิจด้านอวกาศในอนาคต สำหรับกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมด้านอวกาศ จากการศึกษาวิจัยพบว่าสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านอวกาศภายใต้กรอบขององค์การ สหประชาชาติปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด ๕ ฉบับ และประเทศสหราชอาณาจักรได้เข้าเป็นภาคี จำนวน ๔ ฉบับ ประกอบด้วย
๓๖ ๑) สนธิสัญญาว่าด้วยหลักเกณฑ์การดำเนินกิจการของรัฐในการสำรวจและ การใช้อวกาศภายนอก รวมทั้งดวงจันทร์และเทหะในท้องฟ้าอื่น ๆ ค.ศ. ๑๙๖๗ (Treaty on Principles Governing the Activities of States in the Exploration and Use of Outer Space, including the Moon and Other Celestial Bodies) ๒) ความตกลงว่าด้วยการช่วยชีวิตนักอวกาศ การส่งคืน นักอวกาศและการ คืนวัตถุที่ส่งออกไปในอวกาศภายนอก ค.ศ. ๑๙๖๘ (Agreement on the Rescue of Astronauts, the Return of Astronauts and the Return of Objects Launched into Outer Space) ๓) อนุสัญญาว่าด้วยความรับผิดระหว่างประเทศต่อความเสียหายอันเนื่องจาก วัตถุอวกาศ ค.ศ. ๑๙๗๒ (Convention on International Liability for Damages Caused by Space Objects) ๔) อนุสัญญาว่าด้วยการจดทะเบียนวัตถุอวกาศที่ถูกส่งไปในห้วงอวกาศ ค.ศ. ๑๙๗๕ (Convention on Registration of Objects Launched into Outer Space) ในขณะที่ความตกลงว่าด้วยกิจกรรมของรัฐบนดวงจันทร์และเทหะ ในท้องฟ้าอื่น ค.ศ. ๑๙๗๙ (Agreement Governing the Activities of States on the Moon and Other Celestial Bodies) ประเทศสหราชอาณาจักรยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีสมาชิก จากการที่ประเทศสหราชอาณาจักรได้เข้าเป็นสมาชิกของสนธิสัญญา ระหว่างประเทศด้านอวกาศภายใต้กรอบขององค์การสหประชาชาติ๔ ฉบับ ดังกล่าวข้างต้น ทำให้ประเทศสหราชอาณาจักรต้องมีพันธกรณีระหว่างประเทศที่จะต้องปฏิบัติตามในเรื่อง ต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญาฯ ดังกล่าว เช่น การเข้าใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศโดย สันติการยึดมั่นในหลักการที่ว่าห้วงอวกาศเป็นพื้นที่เสรีห้วงอวกาศนั้นไม่มีใครสามารถอ้าง ความเป็นเจ้าของหรือเข้าครอบครองได้ด้วยวิธีการอื่นใด การส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง ประเทศ ความรับผิดชอบของประเทศสหราชอาณาจักรในการสำรวจและการเข้าใช้ ประโยชน์จากห้วงอวกาศ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปล่อยและการดำเนินการของวัตถุอวกาศและ การดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ ในอวกาศโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับประเทศสหราชอาณาจักรนี้ รวมทั้งความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดจากวัตถุอวกาศ เป็นต้น ปัจจุบันประเทศสหราชอาณาจักร ได้มีการตรากฎหมายภายในที่เกี่ยวกับ การดำเนินกิจการด้านอวกาศ ซึ่งเป็นกฎหมายหลัก ๒ ฉบับ คือ ๑) พระราชบัญญัติว่าด้วย การดำเนินกิจกรรมอวกาศ ค.ศ. ๑๙๘๖ (Outer Space Act) และ ๒) พระราชบัญญัติ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอวกาศ ค.ศ. ๒๐๑๘ (Space Industry Act)
๓๗ ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่า กฎหมายฉบับนี้มีสาระสำคัญและหลักเกณฑ์ ที่ใช้บังคับ ดังต่อไปนี้ ๑) กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดให้ใช้บังคับเพื่อประโยชน์ในการควบคุม (ก) กิจกรรมอวกาศทั้งหลาย (Space Activities) (ข) กิจกรรมที่อยู่ในระดับต่ำกว่าวงโคจร (Sub-Orbital Activities) และ (ค) กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการอวกาศ (Associated Activities) ที่ได้ดำเนินการในสหราชอาณาจักร ซึ่งประกอบไปด้วย (ก) การส่งและนำกลับ (ยานอวกาศหรือวัตถุอวกาศ รวมถึงอากาศยานที่บรรทุกวัตถุอวกาศ) (ข) การจัดหาให้มีการส่ง (ยานอวกาศหรือวัตถุอวกาศ รวมถึงอากาศยานที่บรรทุกวัตถุ อวกาศ) ในสหราชอาณาจักร (ค) การดำเนินการควบคุมการทำงานของวัตถุอวกาศ (เช่น ดาวเทียม) ในวงโคจร (ง) การดำเนินการบริหารจัดการท่าอวกาศยาน และ (จ) การให้บริการควบคุมบริเวณที่มีการดำเนินกิจกรรมอวกาศ (Range Control Services) ๒) กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดคำนิยามที่สำคัญไว้ประกอบด้วยคำว่า (ก) “กิจกรรมอวกาศ” (Space Activity) หมายถึง (เอ) การส่งหรือ การจัดหาให้มีการส่งหรือการนำกลับสู่พื้นโลกของวัตถุอวกาศหรือของอากาศยานที่บรรทุก วัตถุอวกาศ (บี) การปฏิบัติการควบคุมวัตถุอวกาศ หรือ (ซี) กิจกรรมใด ๆ ในห้วงอวกาศ (ข) “กิจกรรมที่อยู่ในระดับต่ำกว่าวงโคจร” (Sub-Orbital Activities) หมายถึง การส่ง การจัดหาให้มีการส่ง การปฏิบัติการ หรือการจัดหาเพื่อนำกลับสู่พื้นโลก ของ (เอ) ยานพาหนะที่กำหนดไว้ในอนุมาตรา (๕) หรือ (บี) อากาศยานที่บรรทุกยานพาหนะ ดังกล่าว แต่ไม่รวมถึงกิจกรรมอวกาศ ๓) กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดให้“ผู้กำกับดูแล” (Regulator) มีอำนาจ และหน้าที่ในการกำกับดูแลการกำกับดูแลกิจกรรมอวกาศ ตามพระราชบัญญัตินี้ (ก) ผู้กำกับดูแลต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนตามหน้าที่ของผู้กำกับดูแล เกี่ยวกับกิจกรรมการบินในอวกาศเพื่อรักษาความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) และหน้าที่นี้มีความสำคัญเหนือกว่าหน้าที่อื่นตามที่กำหนดไว้ในอนุมาตรา (๒) และ (๓) ของมาตรา ๒ แห่งกฎหมายฉบับนี้ (ข) ผู้กำกับดูแลต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนภายใต้พระราชบัญญัตินี้ ในลักษณะที่ผู้กำกับดูแลคิดว่าดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เกี่ยวกับ (๑) ผลประโยชน์ของบุคคล ที่อยู่ในยานอวกาศหรืออากาศยาน (๒) ข้อกำหนดของบุคคลที่ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับ การบินในอวกาศ (๓) ผลประโยชน์ของบุคคลอื่นใดก็ตามที่เกี่ยวกับการใช้พื้นดิน ทะเล และห้วงอากาศ (๔) ข้อกำหนดของบุคคลที่มีผลประโยชน์ในทรัพย์สินที่บรรทุกในยานอวกาศ (๕) วัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมใด ๆ ที่ถูกกำหนดโดยเลขาธิการแห่งรัฐ (เอฟ) ผลประโยชน์
๓๘ ของความมั่นคงของชาติ(๖) พันธกรณีระหว่างประเทศใด ๆ ของสหราชอาณาจักร และ (๗) แนวทางใด ๆ ในการลดขยะอวกาศที่ได้ออกโดยองค์การระหว่างประเทศที่ซึ่งรัฐบาล สหราชอาณาจักรได้เข้าไปเข้าร่วมด้วยเป็นตัวแทน ๔) กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดห้ามมิให้บุคคลใดดำเนินกิจกรรมการบิน อวกาศในประเทศสหราชอาณาจักร หรือ ดำเนินการเกี่ยวกับท่าอวกาศยานในสหราช อาณาจักร เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตให้มีอำนาจดำเนินกิจการอวกาศตามพระราชบัญญัตินี้ จากผู้กำกับดูแล (Regulator) และผู้ใดที่กระทำการฝ่าฝืนถือว่าเป็นผู้กระทำความผิด ทั้งนี้ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ได้มีการจำแนกใบอนุญาตออกเป็น ๔ ประเภทด้วยกัน ๑. ใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบการในการปล่อยยานพาหนะสู่อวกาศ ไม่ว่าจะในชั้นของอวกาศหรือต่ำกว่าวงโคจร (Launch Vehicle Operator License) ๒. ใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบการดาวเทียม (Satellite Operator License) ที่รวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างที่เกิดขึ้นหรือที่เกี่ยวข้องกับสหราชอาณาจักร หรือ การปล่อยดาวเทียมจากดินแดนโพ้นทะเลที่จะเข้าสู่วงโคจรของดาวเทียม ๓. ใบอนุญาตการทำท่าอวกาศยาน (Spaceport License) เฉพาะ สำหรับกรณีของอวกาศและในพื้นที่ที่ต่ำกว่าวงโคจร ๔. กฎหมายฉบับนี้ยังได้กำหนดเกี่ยวกับการประกันภัยภายใต้ การดำเนินการใด ๆ สำหรับการดำเนินกิจกรรมทางด้านอวกาศ เช่น การส่งวัตถุ ขึ้นสู่ห้วงอวกาศทั้งในชั้นวงโคจร รวมทั้งในชั้นที่ต่ำกว่าวงโคจร การดำเนินการท่าอวกาศยาน (Spaceport) และรวมถึงเพื่อการควบคุมหรือกำกับดูแลการให้บริการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การดำเนินกิจกรรมอวกาศของสหราชอาณาจักร ๕. กฎหมายฉบับนี้ยังได้กำหนดเกี่ยวกับความผิดทางอาญาและ ความผิดทางแพ่ง (Offences and Civil Sanctions) (ก) ในกรณีความผิดทางอาญา หากพบว่า ได้มีการกระทำหรือ ละเว้นการกระทำใด ๆ ซึ่ง (๑) ที่เกิดขึ้นนอกสหราชอาณาจักรบนยานอวกาศหรืออากาศยาน ที่ใช้ส่งวัตถุอวกาศในสหราชอาณาจักร และ (๒) ซึ่งจะถือเป็นความผิดตามกฎหมายที่บังคับ ใช้ใน (หรือในส่วนใดส่วนหนึ่งของ) สหราชอาณาจักร ถ้าหากเกิดขึ้นในสหราชอาณาจักร (หรือในส่วนนั้น) ถือว่าเป็นความผิด ฯลฯ (ข) ในกรณีความผิดทางแพ่ง เช่น การสั่งให้หยุดปฏิบัติการ (Stop Notice) ตามมาตราที่ ๔๖ ของ Regulatory Enforcement and Sanctions Act 2008 ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ (๑) ความปลอดภัยสาธารณะ (๒) บุคคลที่อยู่ในยานอวกาศหรือ
๓๙ อากาศยาน (๓) บุคคลที่ทำงานในท่าอวกาศยาน สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นในการจัดการ ภารกิจ หรือฐานส่งที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการระยะการควบคุม (๔) ผลประโยชน์ของบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ที่ดิน ทะเลและห้วงอากาศ (๕) ผลประโยชน์ของบุคคลที่มีส่วนได้เสีย ในทรัพย์สินที่บรรทุกไว้ในยานอวกาศ เป็นต้น
๔ ตารางที่ ๑ หน่วยงานกำกับดูแลและให้อนุญาตใช้งาน NATION Telecommunications Regulatory Authority National Space Policy USA The Federal Communications Commission (FCC) 1 2 UK The Office of Communications (Ofcom) Luxembourg Institut luxembourgeois de régulation (ILR) National Action Plan New Zealand Commerce Commission of New Zealand (ComCom) National Space Law UAE Ministry of Information Industry (MII) K China Ministry of Industry and Information Technology (MIIT) Chinese Space Program R India Telecom Regulatory Authority of India (TRAI) I Japan Ministry of Internal Affairs and Communications (MIC)
๔๐ นความถี่กลุ่มดาวเทียมประเภท NGSO ในต่างประเทศ NGSO frequency band operating NGSO Satellite Filing Fee Supervisory Authority Satellite InternetAccess company 8.8-19.3 GHz NGSO-FSS 28.6-29.1 GHz GSO-FSS 15,000 USD FCC Starlink, Viasat, and HughesNet Ku-band £3,600 < 100 ITU unit £5,400 ≥ 100 ITU unit Ofcom OneWeb Ku-, and Ka-band FSS and BSS non-disclosure by SES ILR and SES SkyDSL, and SES Ku-, and Ka-band 150 USD Annual License Fee ComCom GI Ku-, C-, and Ka-band 100,000 AED Annual License Fee TRA SkyStream, and Vizocom in accordance with Resolution 159 (WRC-15) currently searching for information State Radio Office CSNA, CSNRI, CACS, and CASIC 10.7-30 GHz ITU RESOLUTION 76 1,000 or 5,000 Rs Depend on Revenue TRAI (IRR), DOS and ISRO Jio Ku-, and Ka-band Classified by Type, Weight, and Power ICT of Japan NTT, KDDI, SoftBank, and Rakuten
๔๑ ๓.๒ การกำกับดูแลดาวเทียมประเภท NGSO ในประเทศไทย ๓.๒.๑ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันการประกอบกิจการดาวเทียมทั้งประเภท GSO และประเภท NGSO จะต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ซึ่งจะทำหน้าที่อนุญาตให้สิทธิ์ในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมและ คลื่นความถี่ การอนุญาตประกอบกิจการ และการอนุญาตที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ ซึ่งการอนุญาต ดังกล่าวมีข้อสังเกตที่สำคัญ ดังนี้ ๓.๒.๑.๑ การอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมและ คลื่นความถี่ การเปลี่ยนผ่านรูปแบบการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในการเข้าใช้ วงโคจรดาวเทียมและคลื่นความถี่ของไทย จากการอนุญาตผ่านระบบสัมปทานซึ่งผูกขาด การดำเนินกิจการมาเป็นระบบใบอนุญาต เพื่อเปิดให้มีการแข่งขันด้านกิจการดาวเทียมของ ประเทศไทยอย่างเสรีและเป็นธรรม การออกใบอนุญาตเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถ เข้าสู่กิจการดาวเทียมได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตอาจดำเนินการ พิจารณาตามหลักการมาก่อนมีสิทธิก่อน (First Come First Serve) หรือการประมูล (Auction) หรือการเปรียบเทียบคุณสมบัติของผู้ขอใบอนุญาต (Comparative Review) หรือการผสมผสานระหว่างวิธีการพิจารณาเปรียบเทียบคุณสมบัติกับการประมูล ซึ่งวิธีพิจารณาแต่ละวิธีมีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน การเลือกใช้วิธีการใดในการ จัดสรรใบอนุญาตจึงต้องพิจารณาบริบทที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ด้วย เช่น ตลาดมีการแข่งขันหรือไม่ มีผู้ประกอบการหลายรายสนใจจะเข้ามาขอใบอนุญาตหรือไม่ นโยบายของรัฐที่ต้องการ พัฒนาอุตสาหกรรมดาวเทียมไปในทิศทางใด หรือแม้แต่ปัจจัยเรื่องความมั่นคงทางการทหาร ตัวอย่างเช่น การพิจารณาจัดสรรใบอนุญาตตามหลักการมาก่อนมีสิทธิก่อนจะเป็น กระบวนการที่เหมาะสมกับตลาดที่ไม่มีการแข่งขันหรือมีผู้ประกอบการน้อยราย ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าสู่ตลาดได้ง่าย แต่ก็ไม่ใช่กระบวนการที่ทำให้เกิดการใช้ ทรัพยากรอย่างคุ้มค่ามากที่สุด ทั้งยังอาจจะมีการใช้ดุลพินิจอย่างไม่เหมาะสมเพื่อเอื้อ ประโยชน์ให้ผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่ง ในขณะที่การพิจารณาจัดสรรใบอนุญาต ด้วยวิธีการประมูลจะทำให้เห็นมูลค่าตลาดของสิ่งที่นำมาประมูลมากที่สุด จึงเหมาะสม กับตลาดที่มีการแข่งขัน ผู้ชนะการประมูลมิได้มาจากการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ จึงมีความโปร่งใสและเป็นธรรม แต่วิธีนี้จะไม่เกิดประสิทธิภาพในสภาวะตลาดที่ไม่มี
๔๒ การแข่งขัน และหากการประมูลไม่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการที่มีศักยภาพที่แท้จริง แต่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการที่มิได้มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญ และหากผู้ชนะ การประมูลซึ่งเป็นผู้เสนอราคาสูงที่สุดแต่มิได้มีความเชี่ยวชาญในกิจการนั้น ๆ อย่างแท้จริง อาจจะกลายเป็นผลร้ายต่อกิจการหรือต่ออุตสาหกรรมได้ ๓.๒.๑.๒ การอนุญาตประกอบกิจการ ในการประกอบกิจการดาวเทียม นอกจากผู้ประกอบการจะต้อง ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมและคลื่นความถี่แล้ว หากกิจการนั้น เป็นดาวเทียมสื่อสารซึ่งถือเป็นกิจการโทรคมนาคมผู้ประกอบการก็ต้องได้รับอนุญาต ให้ประกอบกิจการโทรคมนาคมตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ด้วย นั่นหมายความว่าการประกอบกิจการดาวเทียมประเภทอื่นที่ไม่ได้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการสื่อสารหรือโทรคมนาคมอื่นใด ก็ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตประกอบ กิจการโทรคมนาคมตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ โทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ทั้งนี้ ในการพิจารณาว่าดาวเทียมนั้น ๆ ต้องขออนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมหรือไม่ ควรพิจารณาวัตถุประสงค์ในการใช้งานหรือการให้บริการของดาวเทียมเป็นหลัก นอกจากนี้ ในปัจจุบัน กสทช. ยังทำหน้าที่กำกับดูแลการอนุญาตประกอบกิจการโดยใช้ ช่องสัญญาณ ดาวเทียมต่างชาติ (Landing Right) ด้วยเช่นกัน ตามประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการอนุญาตให้ใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างชาติในการให้บริการในประเทศ ๓.๒.๑.๓ การอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ ในปัจจุบันการประกอบกิจการดาวเทียมโดยเฉพาะในส่วน ที่เกี่ยวข้องกับสถานีภาคพื้นดินที่ต้องมีการใช้เครื่องวิทยุโทรคมนาคมต้องได้รับอนุญาต ให้ทำ มีใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าเครื่องวิทยุคมนาคม หรือตั้งสถานีวิทยุคมนาคม ตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ อย่างไรก็ดี กสทช. ได้อาศัยอำนาจ ตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ ออกประกาศ เรื่อง เครื่องวิทยุคมนาคม และสถานีวิทยุคมนาคมที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ วิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ ส่งผลให้เครื่องวิทยุคมนาคมที่มีลักษณะหรือใช้ในกิจการต่อไปนี้ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องได้รับใบอนุญาตทำ มีใช้ นำเข้า นำออก ค้าเครื่องวิทยุโทรคมนาคม และตั้งสถานีวิทยุโทรคมนาคม เช่น เครื่องรับวิทยุคมนาคมที่ใช้ในกิจการวิทยุนำทาง ผ่านดาวเทียม (Radio navigation - Satellite Service) เครื่องรับวิทยุคมนาคมที่ใช้ ในกิจการวิทยุหาตำแหน่งผ่านดาวเทียม (Radiolocation - Satellite Service) เครื่องรับ วิทยุคมนาคมที่ใช้ในกิจการอุตุนิยมวิทยาผ่านดาวเทียม (Meteorological Satellite Service) เครื่องรับวิทยุคมนาคมที่ใช้ในกิจการสำรวจพิภพผ่านดาวเทียม (Earth Exploration -
๔๓ Satellite Service) เครื่องรับวิทยุคมนาคมที่ใช้ในกิจการความถี่มาตรฐานและสัญญาณ เวลาผ่านดาวเทียม (Standard Frequency and Time Signal - Satellite Service) เครื่องรับ วิทยุคมนาคมที่ใช้ในกิจการวิจัยอวกาศ (Space Research Service) เป็นต้น ๓.๒.๑.๔ สถานการณ์โลกที่มีผลต่อนโยบายและการกำกับดูแลกิจการ ดาวเทียม หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกในปัจจุบันแล้ว จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลกระทบต่อนโยบายและการกำกับดูแลกิจการ ดาวเทียม ดังต่อไปนี้ (๑) การเพิ่มขึ้นของดาวเทียมวงโคจรต่ำ ในอดีตการให้บริการดาวเทียมจะเน้นไปที่เทคโนโลยี ดาวเทียมประเภทวงโคจรประจำที่ GSO ซึ่งเป็นดาวเทียมที่อยู่ห่างไกลจากโลกส่งผลให้ ต้องใช้สัญญาณวิทยุและกำลังในการส่งที่แรงขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้ดาวเทียมที่มีประสิทธิภาพ สูงทั้งการรับส่งและกระจายสัญญาณ จึงส่งผลให้ดาวเทียมมักจะมีขนาดใหญ่และ มีความแข็งแรง รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการผลิตและการพัฒนาที่สูงมากเช่นกัน แต่แนวโน้ม ในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่การลงทุนในธุรกิจบริการที่เกิดจากดาวเทียมประเภท NGSO ตามที่ กล่าวมาในบทก่อนหน้าแล้วนั้น ส่งผลให้มีดาวเทียมจำนวนมากในอวกาศ โดยภาคเอกชน ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมดาวเทียมมากขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคที่ ขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากอวกาศโดยภาคเอกชนมากกว่าในอดีตที่เคยเป็นมา (New Space Economy) เพราะการพัฒนาของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องสำหรับดาวเทียมขนาดเล็ก ส่งผลให้ดาวเทียมมีราคาถูกลง ภาคเอกชนจึงเข้าถึงกิจการดาวเทียมได้มากขึ้น โดยบริษัท ชั้นนำทางเทคโนโลยีระดับโลกต่างก็เร่งแข่งกันปล่อยดาวเทียม LEO ขึ้นสู่อวกาศ อาทิ SpaceX กับโครงการ “Starlink” ที่มีเป้าหมายการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วโลก ด้วยแผนการส่ง LEO จำนวน ๑๒,๐๐๐ ดวง ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๗ หรือ โครงการ “Project Kuiper” ของ Amazon ที่มุ่งสร้างเครือข่ายของ LEO ที่ความสูง ๓ ระดับรวม ๓,๒๓๖ ดวง เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกลของทวีปอเมริกาใต้ หรือ Facebook, Google และ Apple ที่ต่างก็มีแผนการพัฒนาธุรกิจดาวเทียมสื่อสารเป็นของตนเอง เมื่อภาคเอกชน ให้ความสนใจการส่งดาวเทียมวงโคจรต่ำหรือ LEO ขึ้นสู่อวกาศมากขึ้น โดยเฉพาะ กลุ่มดาวเทียม LEO Constellations ย่อมส่งผลให้จำนวนดาวเทียม LEO เพิ่มมากขึ้น ตามไปด้วย ซึ่งเมื่อดาวเทียมในวงโคจรมีจำนวนมากขึ้นอาจก่อให้เกิดปัญหาที่สำคัญ เช่น ปัญหาความไม่เพียงพอของวงโคจรและคลื่นความถี่ ปัญหาความแออัดของดาวเทียมวงโคจรต่ำ และปัญหาขยะอวกาศ(Space Debris)
๔๔ (๒) การจัดสรรวงโคจรดาวเทียม NGSO แบบ First Come, First Served หลักการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมเป็น (Equitable Access) เป็นหลักการที่ปรากฏในมาตรา ๔๔ แห่ง Constitution Of The International Telecommunication Union หรือ ITU Convention ซึ่งกำหนดให้การใช้คลื่นความถี่ สำหรับการให้บริการวิทยุคมนาคม สมาชิกจะต้องตระหนักว่าคลื่นความถี่ วงโคจรดาวเทียม ที่เกี่ยวข้อง และวงโคจรดาวเทียมประเภท GSO เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำกัด จึงควรนำมาใช้อย่างสมเหตุสมผลมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า โดยสอดคล้องกับข้อกำหนด ของหลักเกณฑ์การกำกับดูแลวิทยุ (The ITU Radio Regulations) เพื่อให้ประเทศหนึ่ง ประเทศใดหรือกลุ่มประเทศสามารถเข้าถึงวงโคจรและคลื่นความถี่วิทยุที่เกี่ยวข้องเหล่านั้น ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยจะต้องคำนึงถึงความจำเป็นที่มีลักษณะเฉพาะของประเทศ กำลังพัฒนา ตลอดจนลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่มีลักษณะเฉพาะของประเทศนั้น แสดงให้เห็น ว่าการจัดสรรวงโคจรและคลื่นความถี่ของดาวเทียมประเภท GSO อยู่ภายใต้หลักการเข้าถึง อย่างเท่าเทียม ในขณะที่หลักการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมไม่ได้นำมาใช้ในดาวเทียมประเภท NGSO เนื่องจาก ITU Convention ไม่ได้กล่าวถึง ทั้งยังไม่มีกฎเกณฑ์อื่นกำหนดให้ นำหลักการดังกล่าวมาใช้กับดาวเทียมประเภท NGSO ด้วย การจัดสรรวงโคจรและ คลื่นความถี่ให้แก่ดาวเทียมวงโคจรไม่ประจำที่ NGSO จึงเป็นไปตามหลักมาก่อนมีสิทธิ์ก่อน หรือ First Come, First Served จากสถานการณ์ข้างต้นนำมาสู่การพิจารณาเพื่อกำกับดูแล กิจการดาวเทียม ดังนี้ ๑. ด้านเทคโนโลยีรัฐบาลอาจสนับสนุนให้มีระบบกลาง ที่สามารถตรวจสอบได้ว่ากลุ่มดาวเทียมที่ได้รับการจัดสรรวงโคจรมีการเบี่ยงเบนไป ยังวงโคจรของกลุ่มดาวเทียมอื่นหรือไม่ หากมีการเบี่ยงเบนไปยังวงโคจรของกลุ่มดาวเทียม อื่นก็จะมีความผิด ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการพิจารณาความรับผิดหากเกิดการชน กันของดาวเทียมหรือวัตถุอวกาศอื่น ๆ หรือสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับติดตาม วัตถุอวกาศ (Tracking of Space Object) ที่จะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาความเป็น เจ้าของวัตถุอวกาศและขยะอวกาศหรือสนับสนุนให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีในการบริหาร จัดการการจราจรอวกาศ (Space Traffic Management) และสร้างความร่วมมือระหว่าง ประเทศในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้กิจกรรมอวกาศมีความปลอดภัย มั่นคง และยั่งยืน ลดความเสี่ยง ในการชนกันของดาวเทียมและวัตถุอวกาศอื่น ๆ รวมทั้งลดการแทรกแซงคลื่นความถี่วิทยุ ซึ่งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้ส่งเสริมและผลักดันการดำเนินงานด้าน Space Traffic Management ของประเทศไทย
๔๕ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลควรสนับสนุนการนำเทคโนโลยี มาใช้เพื่อป้องกันการระเบิดในวงโคจรของวัตถุอวกาศหรือการวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงการชน กันของวัตถุอวกาศที่ยังคงใช้งานหรือปฏิบัติการอยู่ด้วย ๒. ด้านการพัฒนากฎหมาย การปฏิบัติตามคำแนะนำของ องค์การระหว่างประเทศหรือแนวปฏิบัติระหว่างประเทศ เช่น The Sofia Guidelines for A Model Law on National Space Legislation of the International Law Association หรือ UN Recommendations on National Legislation Relevant to The Peaceful Exploration and Use of Outer Space หรือ Recommendation ITU-R S.1003-2 – Environmental Protection of The GSO หรือ Space Debris Mitigation Guidelines of The Committee on The Peaceful Uses of Outer Space หรือSpace Debris Mitigation Guidelines of the Inter-Agency Space Debris Coordination Committee (IADC) หรือ COPUOS Space Debris Mitigation Guideline เป็นต้น ถือเป็นมาตรการระยะยาวในการส่งเสริมการใช้ ประโยชน์จากอวกาศอย่างยั่งยืน โดยบางประเทศมีการนำหลักการที่กำหนดไว้ในคำแนะนำ ขององค์การระหว่างประเทศมาบัญญัติไว้ใน กฎหมายภายในให้เกิดผลทางปฏิบัติที่ชัดเจน เช่น สาธารณรัฐฝรั่งเศสกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการดาวเทียมต้องเสนอแผนงานในการลดขยะ อวกาศต่อหน่วยงานที่มีอำนาจพิจารณาให้ใบอนุญาต ประกอบกิจการดาวเทียม ซึ่งหากผู้ประกอบการรายใดไม่กระทำตามก็อาจไม่ได้รับการพิจารณาให้ ใบอนุญาต ในการประกอบกิจการดาวเทียม โดยแผนการดังกล่าวต้องสอดคล้องกับ Recommendation ITU-R S.1003-2 – Environmental Protection of The GSO ของหน่วยงาน International Tele communication Union (ITU) สำหรับประเทศไทยร่างพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... ได้กำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานกำกับกิจการอวกาศแห่งชาติที่มีหน้าที่ในการกำหนด มาตรการเกี่ยวกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทั้งบนผิวโลกในชั้นบรรยากาศและในอวกาศที่ได้รับ หรือต้องได้รับผลกระทบจากการดำเนินกิจการอวกาศ ตลอดจนมาตรการเกี่ยวกับการบรรเทา ขยะอวกาศ และยังกำหนดไว้อย่างชัดเจนให้ผู้รับ ใบอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมอวกาศ ต้องหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดขยะอวกาศให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยต้องปฏิบัติตามแผน เกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทั้งบนพื้นผิวโลกในชั้นบรรยากาศและในอวกาศ ซึ่งรวมถึงแผนบรรเทาขยะอวกาศที่รวมถึงการลดชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งวัตถุ อวกาศ การชน การแตกตัวของชิ้นส่วนต่าง ๆ หลังจากการส่งวัตถุอวกาศทั้งในชั้นบรรยากาศ และในชั้นอวกาศ ตลอดจนการป้องกันมิให้เกิดการชนกันของวัตถุอวกาศในอวกาศด้วย โดยแผนดังกล่าวต้องสอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทย
๔๖ กำลังจะมีกฎหมายภายในที่รับรองหลักการในการบริหารจัดการขยะอวกาศโดยการอ้างอิง มาตรฐานระหว่างประเทศแล้ว (๓) ความรับผิดของรัฐในกิจการดาวเทียม กฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับ ความรับผิดของรัฐในกิจกรรมอวกาศ ซึ่งรวมถึงดาวเทียมได้แก่ สนธิสัญญาอวกาศ หรือ Outer Space Treaty และ Liability Convention โดย Outer Space Treaty กำหนดให้ รัฐภาคีจะต้องรับผิดในทางระหว่างประเทศ เกี่ยวกับกิจกรรมของรัฐในอวกาศ (International Responsibility for National Activities) ไม่ว่ากิจกรรมนั้นจะดำเนินการโดยรัฐบาลหรือ เอกชนก็ตาม เพื่อควบคุมดูแลการดำเนินกิจกรรมอวกาศให้ได้มาตรฐานระหว่างประเทศ โดยรัฐจะเป็นผู้มีอำนาจในการอนุญาตและกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีสนธิสัญญาดังกล่าวไม่ได้กำหนดรายละเอียด เกี่ยวกับการอนุญาตและกำกับดูแลอย่างต่อเนื่องไว้กรณีจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายภายใน ของแต่ละรัฐ ซึ่งอาจใช้ระบบใบอนุญาตประกอบกิจการเพื่อการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐภาคีที่ต้องรับผิดในทางระหว่างประเทศสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รัฐภาคีอื่น หรือบุคคลของรัฐภาคีอื่นตามสนธิสัญญาฉบับนี้ ได้แก่ รัฐที่ปล่อยวัตถุอวกาศ รัฐที่จัดหา วัตถุอวกาศ รัฐที่อนุญาตให้ใช้ดินแดนเพื่อปล่อยวัตถุอวกาศ และรัฐที่อำนวยความสะดวก ในการปล่อยวัตถุอวกาศ ในขณะที่ Liability Convention ได้กำหนดให้รัฐภาคีที่ปล่อยวัตถุ อวกาศต้องรับผิดอย่างเด็ดขาด (Absolute Liability) ด้วยการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากวัตถุอวกาศบนผิวโลกหรือระหว่างที่ถูกส่งขึ้นไปบนอวกาศ และในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นที่อื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมา เช่น ในอวกาศ (Outer Space) รัฐภาคีที่ปล่อยวัตถุอวกาศจะต้องรับผิดเมื่อพิสูจน์ได้ว่าเป็นความผิดของรัฐภาคีนั้น หรือบุคคลที่รับผิดชอบ แสดงให้เห็นว่าในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศรัฐภาคีมีหน้าที่รับผิด ไม่ว่ากิจกรรมอวกาศนั้นจะดำเนินการโดยรัฐหรือเอกชนของรัฐนั้นก็ตาม ซึ่งเมื่อรัฐได้รับผิด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายระหว่างประเทศไปแล้ว หากกระทำความผิดนั้นเกิดขึ้น จากเอกชน รัฐจะมีสิทธิไล่เบี้ยกับเอกชนผู้กระทำความผิดอย่างไรจะเป็นไปตามกฎหมาย ภายในของรัฐนั้น ๆ สำหรับกฎหมายภายในของไทย ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม กำหนดให้ผู้รับอนุญาต ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบแทนภาครัฐในกรณีที่ก่อให้เกิด ความเสียหายและมีพันธกรณีทางระหว่างประเทศในฐานะที่เป็นวัตถุอวกาศตามที่กำหนดไว้ ในความตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งการบัญญัติดังกล่าว เป็นการบัญญัติให้ผู้ประกอบการเอกชน
๔๗ เป็นผู้รับผิดโดยที่ไม่ได้กล่าวถึงความผิดของรัฐในทางระหว่างประเทศและสิทธิไล่เบี้ยของรัฐ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเป็นภาคีสนธิสัญญาอวกาศ หรือ Outer Space Treaty แต่ยังไม่ได้ เข้าเป็นภาคี Liability Convention ก็ตาม แต่การบัญญัติกฎหมายในลักษณะดังกล่าว จะต้องไม่ลืมว่า ไม่ว่าจะตรากฎหมายภายในไว้โดยมีเนื้อหาแบบใดก็ตาม รัฐภาคีไม่สามารถ ตรากฎหมายมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักกฎหมายในเรื่องความรับผิดระหว่างประเทศที่บัญญัติ ไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศได้ หมายความว่ารัฐก็ยังมีพันธะกรณีตามกฎหมายระหว่าง ประเทศที่ต้องรับผิดอยู่นั่นเอง เมื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... จะพบว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดหลักเกณฑ์ความรับผิดในทางระหว่างประเทศ ของรัฐไทยสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีสมาชิก รวมทั้งยังกำหนด เรื่องสิทธิการไล่เบี้ยของรัฐกับเอกชนที่ก่อให้เกิดความเสียหายไว้ด้วย โดยกำหนดให้ในกรณี ที่รัฐบาลไทยต้องรับผิดในทางระหว่างประเทศจากความเสียหายต่อชีวิตร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลที่สามเนื่องจากการดำเนินกิจกรรมอวกาศ วัตถุอวกาศ หรือการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับอวกาศ ซึ่งเมื่อรัฐบาลได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แก่บุคคลที่สาม แล้วให้รัฐบาลมีสิทธิ์ไล่เบี้ยจากผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหายนั้นได้ แต่ไม่ปรากฏ ขั้นตอนและกลไกในการฟ้องคดี อีกทั้งความเสียหายนี้ยังไม่รวมถึงความเสียหาย ทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ
บทที่ ๔ การวิเคราะห์สภาพปัญหาและผลกระทบ ๔.๑ ความสามารถการพัฒนาดาวเทียม NGSO ภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศไทย ประเทศไทยในปัจจุบันนับว่ามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการแพทย์ หรือการพัฒนางานวิจัยด้านคุณภาพอาหาร สิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม ระบบอัจฉริยะ การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อากาศยานและชิ้นส่วน หรือการพัฒนาระบบหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรม เป็นต้น และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทอภ. ได้ดำเนินการพัฒนางานวิจัย และเทคโนโลยีด้านอวกาศมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การพัฒนาดาวเทียมขนาดเล็ก การพัฒนา ระบบรับ - ส่งสัญญาณดาวเทียม การพัฒนาห้องปฏิบัติการเพื่อการทดสอบระบบดาวเทียม ในรูปแบบต่าง ๆ รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรให้เกิดความชำนาญในการพัฒนาดาวเทียม เช่น การส่งคนไทยไปเรียนรู้การพัฒนาดาวเทียมขนาดเล็กในต่างประเทศในโครงการ THEOS - 2 ของ สทอภ. เป็นต้น แสดงภาพการส่งคนไทยไปร่วมพัฒนาดาวเทียมขนาดเล็ก ณ สหราชอาณาจักร หรือประเทศอังกฤษ ด้านล่างต่อไปนี้ ภาพที่ ๑๙ การพัฒนาดาวเทียมโดยวิศวกรไทย ณ ประเทศอังกฤษ (โครงการ THEOS-2)
๔๙ ด้วยหัวใจของการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ คือ การพัฒนาคนให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ สทอภ.จึงมีแผนและแนวทางในการพัฒนาและเสริมสร้าง ศักยภาพบุคลากรมาโดยตลอด ทั้งระดับเยาวชน วิศวกรและนักวิจัย ร่วมทั้งส่งเสริม ภาคเอกชนให้มีความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ด้วยการเปิดอบรมหลักสูตรทางด้านการใช้งาน เทคโนโลยีอวกาศและระบบภูมิสารสนเทศอยู่อย่างสม่ำเสมอ แสดงแนวทางการพัฒนา บุคลากรของ สทอภ. ในภาพด้านล่างต่อไปนี้ ภาพที่ ๒๐ แนวทางในการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรของประเทศ การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศในประเทศไทย สทอภ. ต้องอาศัยภาคีความร่วมมือ ในการพัฒนาเทคโนโลยีและความร่วมมือในรูปแบบต่าง ๆ มาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็น ทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน ภาคีความร่วมมือด้านอวกาศที่มีความเข้มแข็ง มากที่สุด คือ TSC (Thai Space Consortium) ที่เป็นการร่วมตัวกันขององค์กรเทคโนโลยี ขั้นสูงของประเทศ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การ มหาชน) (สทอภ.) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) (สดร.) สถาบันวิจัย แสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) (สซ.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(องค์การมหาชน) (สนช.) ร่วมด้วยมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ ในการสร้างและพัฒนาดาวเทียมขนาดเล็กขึ้นด้วยองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ของหน่วยงานภายในประเทศ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม เทคโนโลยีอวกาศซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเกิดใหม่ (Next New S-curve) ของประเทศ พร้อมกับ
๕๐ การสร้าง Ecosystem ที่เหมาะสมและยั่งยืนไปพร้อมกัน โดยแผนการดำเนินงานในเบื้องต้น โครงการ TSC-1 จะใช้ระยะเวลาในการพัฒนาดาวเทียมเพื่อทำการสำรวจโลกและ ทำการวิจัยในชั้นบรรยากาศเหนือโลก จำนวน ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๗) และโครงการ TSC-2 เพื่อการสำรวจดวงจันทร์แบบ Fly-by ผ่านกิจกรรมหลัก ๓ กิจกรรม ได้แก่ ๑) Satellite Systems ๒) Scientific & Payload Development และ ๓) Automation and Infrastructures Development แสดงระยะเวลาการดำเนินงานโครงการ TSC ดังต่อไปนี้ ภาพที่ ๒๑ Ripple Effects from Thai Space Consortium (ที่มา: https://www.slri.or.th/th/slridevelop/thai-space-consortium.html)
๕๑ โดย TSC-1 มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาดาวเทียมวิจัย และ TSC-2 มีเป้าหมาย เพื่อพัฒนาดาวเทียมโคจรรอบดวงจันทร์ แสดง TSC Project Timeline ดังต่อไปนี้ ภาพที่ ๒๒ TSC Project Timeline (ที่มา: https://www.narit.or.th/index.php/tsc) แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีภาคเอกชนที่มีความร่วมมือกับภาครัฐอย่างชัดเจน ในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศนอกจากธุรกิจด้านดาวเทียมสื่อสาร แต่ก็มีแนวโน้ม ที่ภาคเอกชนจะเข้าร่วมกับรัฐบาลในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศต่าง ๆ เนื่องจากในปัจจุบัน มีบริษัทเอกชน เช่น บริษัท มิว สเปซ จำกัด ที่กำลังสนใจการพัฒนาดาวเทียม HTPs และ เทคโนโลยีอื่น ๆ อาทิ ฐานส่งจรวดหรือท่าอวกาศยาน Spaceport ที่มีแนวโน้มและ ความต้องการที่จะพัฒนาร่วมกันกับภาครัฐ หากแต่ภาครัฐที่ยังไม่ชัดเจนในการดำเนินงาน การพัฒนาดังกล่าว การพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบนิเวศเศรษฐกิจอวกาศจะพบว่า มีความต้องการทางอุตสาหกรรมการผลิตเป็นอย่างมาก และประเทศไทยในปัจจุบันมีโรงงาน หลายแห่งที่สามารถผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ของดาวเทียมหรืออุปกรณ์ภาคพื้นดินได้ ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมระบบอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ หรืออุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูงอยู่นั้นก็เป็นเรื่องที่ประเทศไทยมีความถนัด ในด้านต่าง ๆ นี้ทั้งสิ้นที่จะสามารถพัฒนาสร้างอุตสาหกรรมอวกาศให้เกิดขึ้นได้ แต่ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีบริษัท โรงงาน หรืออุตสาหกรรมที่ชัดเจนสำหรับการพัฒนาดาวเทียม จรวด ชิ้นส่วน อุปกรณ์การสื่อสารภาคพื้นดิน หรือระบบนำวิถีต่าง ๆ ถึงแม้ว่าจะมีอุตสาหกรรมการบิน และอวกาศ Aviation and Aerospace Industry ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและ มีความมั่นคงในการเป็น supply chain สำหรับการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน แต่สำหรับ
๕๒ ชิ้นส่วนจรวดหรือดาวเทียมแล้ว นับว่าประเทศไทยยังมีความสามารถในด้านนี้น้อย ความร่วมมือกับต่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ประเทศสามารถดำเนินการพัฒนา หรือนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับการพัฒนาดาวเทียม จรวด หรืออุปกรณ์ ทางเทคโนโลยีขั้นสูงได้ โดยความร่วมมือที่เกิดขึ้นสามารถขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมอวกาศ หรือ Space Industry เติบโตและสามารถขยายตัวได้เองในที่สุด ที่ผ่านมา สทอภ. ในนามหน่วยงานด้านอวกาศของประเทศไทย ได้สร้างเครือข่าย และพันธมิตรไว้มากมาย รวมทั้งเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศหลาย ๆ แห่งด้วยกัน อาทิ กลุ่ม Asia-Pacific Reginal Space Agency Forum (APRSAF) ซึ่งเป็น กลุ่มความร่วมมือด้านอวกาศที่มีญี่ปุ่น (JAXA) เป็นเจ้าภาพ หรือกลุ่ม Asia-Pacific Space Cooperation Organization (APSCO) ที่มีจีน (CNSA) เป็นเจ้าภาพ แสดงบทบาทหน้าที่ของเครือข่ายทั้งภายในประเทศและความร่วมมือต่างประเทศ ที่ สทอภ. ได้ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ตามตารางต่อไปนี้
๕๓ ตารางที่ ๒ เครือข่ายในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศภายในประเทศและที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศ เครือข่าย บทบาทหน้าที่ ภาครัฐ ในประเทศ ▪ ให้การสนับสนุนและความร่วมมือในการพัฒนา กำหนด นโยบาย ออกกฎหมายและ พ.ร.บ. ต่าง ๆ ▪ เป็นผู้ใช้งาน และช่วยประชาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระดับรัฐบาล ▪ ผู้นำเทคโนโลยีอวกาศในประเทศ ต่างประเทศ ▪ ให้ความร่วมมือสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ การให้ข้อมูล การร่วม ตรวจสอบ และอื่น ๆ ▪ ให้คำแนะนำการออกระเบียบข้อกำหนดต่าง ๆ ทั้งเพื่อ การพาณิชย์และความเป็นระดับสากล ▪ ผู้นำเทคโนโลยีอวกาศในต่างประเทศ ภาคเอกชน ในประเทศ ▪ ร่วมพัฒนาและผลิตชิ้นส่วนดาวเทียม ระบบกราวด์ คอนโทรล และอื่น ๆ
๕๔ เครือข่าย บทบาทหน้าที่ ▪ เป็นผู้ให้บริการ/และผู้ใช้งานหลักของเทคโนโลยีอวกาศไทย ต่างประเทศ ▪ ร่วมให้ความช่วยเหลือในการศึกษาความเป็นไปได้ และ การสร้างอุตสาหกรรมอวกาศ ▪ และเป็นผู้ใช้บริการ เช่น การเช่าพื้นที่ให้บริการด้านธุรกิจ การท่องเที่ยวในอวกาศ เป็นต้น สถาบันการศึกษา ▪ ให้ข้อมูลเชิงวิชาการ ร่วมศึกษาวิจัยและเก็บข้อมูล รวมไป ถึงการใช้ประโยชน์จากอวกาศ ▪ ทำการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ เทคโนโลยีอวกาศ เช่น เชื้อเพลิงสูตรใหม่ไม่ทำลาย สิ่งแวดล้อม หรือเซลสุริยะที่ใช้เป็นพลังงานให้ระบบ ดาวเทียม เป็นต้น
๕๕ ๔.๒ ผลกระทบจากดาวเทียมประเภท NGSO การวิเคราะห์ผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรมดาวเทียมประเภท NGSO ในประเทศไทย รวมทั้งแนวโน้มและทิศทางของอุตสาหกรรมอวกาศ ทำได้โดยการใช้ข้อมูล อนุกรมเวลาของอุตสาหกรรมอวกาศ โดยใช้ข้อมูลกิจการดาวเทียมประเภท NGSO เช่น การประเมินรายได้ต่าง ๆ และประเมินส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอวกาศที่ได้ในส่วน ก่อนหน้านี้ สามารถนำมาวิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมดาวเทียมประเภท NGSO ทั้งในแง่ของมูลค่าการตลาด จำนวนสถานประกอบการ การจ้างงาน มูลค่าการค้า ระหว่างประเทศ ฯลฯ รวมทั้งวิเคราะห์ Contribution ของแต่ละอุตสาหกรรมย่อยภายใต้ อุตสาหกรรมอวกาศที่มีต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมโดยรวม ซึ่งจะทำให้เห็นทิศทาง การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมได้อย่างชัดเจน แต่การวิเคราะห์ผลกระทบเชิงลึกที่เกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมประเภท NGSO หรือการพัฒนากลุ่มดาวเทียม LEO Constellation เพื่อใช้งานในประเทศและ ขยายต่อไปยังผู้ประกอบการจนสามารถสร้างเป็นธุรกิจได้อย่างยั่งยืนภายในประเทศ ตลอดจนความสามารถและศักยภาพทางความมั่นคงที่เกิดขึ้นในหน่วยงานทหารนั้น ยังมีอีกหลายเหตุหลายปัจจัยที่ผู้นำประเทศ ผู้เกี่ยวข้อง รัฐบาลและหน่วยงานที่มีส่วนร่วม ต่าง ๆ หรือแม้แต่ประชาชนผู้ใช้งานเอง (Users) ต่างก็มีผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น ดังปรากฎ มิติแห่งการศึกษาความท้าทายของดาวเทียมประเภท NGSO ที่จะเกิดขึ้นนี้ ๖ มิติด้วยกัน ดังแสดงตามภาพด้านล่างต่อไปนี้
๕๖ ภาพที่ ๒๓ ผลกระทบการประกอบกิจการดาวเทียมประเภท NGSO ในประเทศไทย ๖ มิติ (ที่มา : ดร. อัมรินทร์ พิมพ์หนู) ๑. ประเด็นการกำกับดูแล (Regulatory Issue) ปัจจุบันดาวเทียมที่จะใช้งานในประเทศไทยทุกดวงจะต้องได้รับการอนุญาต ให้ใช้ความถี่สำหรับปฏิบัติการกับดาวเทียมดวงนั้น ๆ โดยหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการใช้งาน ดาวเทียมทั้งประเภท GSO และประเภท NGSO จะต้องทำการขออนุญาตใช้งานความถี่ กับสำนักงาน กสทช. ทั้งสิ้น ซึ่งในอนาคตสำหรับกลุ่มดาวเทียม LEO Constellation ที่จะมีจำนวนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น อาจจะต้องทำให้มีการขออนุญาต การใช้งานชั้นวงโคจรเพิ่มเติมขึ้นด้วย (Orbit Allotment) เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมหรือป้องกัน การเกิดอันตรายต่อการชนกันในอวกาศ เป็นต้น Social & Economic Impact ❑ Frequency Allotment ❑ Open Sky Policy ❑ Symbiotic Relationship ❑ Ameliorate Users Experience ❑ UN Convention 1972 and 1975 ❑ Interference Inflicted at GSO by NGSO ❑ FSS and BSS Preventive Measures ❑ Standard and Limitation of EPFD ❑ Specific Software Tool ❑ Orbit Allotment ❑ Orbit Decay/UN 25 years in space ❑ Space Object Registration ❑ Same Satellite Filing ❑ Orbital Overcrowding ❑ Walker Delta Pattern ❑ Flexible Constellation ❑ Value Chain ❑ Ground Existancing ❑ Re-Wiring ❑ IoT/Smart City ❑ Gateway Estate ❑ NGSO Signal-Receiver License ❑ No License, Fines, and Penalties ❑ Detrimental Interference ❑ Alternative Frequencies Switching ❑ Space Debris ❑ Light Pollution ❑ Lowering Latency ❑ Stationary/Mobility ❑ IoT/Applications ❑ Easy to Use
๕๗ ๒. ประเด็นระหว่างดาวเทียมประเภท GSO ที่มีอยู่ก่อนกับดาวเทียมประเภท NGSO ที่มาใหม่ เมื่อดาวเทียมในกลุ่ม LEO มีจำนวนมากขึ้น อาจจะส่งผลกระทบต่อดาวเทียม กลุ่ม GEO เช่น การถูกบดบังสัญญาณหรือทำให้ลูกค้าดาวเทียม GEO ไม่สามารถรับสัญญาณ ได้เป็นต้น ซึ่งหน่วยงานผู้รับผิดชอบในอนาคต จะไม่ใช่เพียงผู้อนุญาตให้ใช้ความถี่เท่านั้น แต่อาจจะต้องดูไปถึงกำลังไฟฟ้าที่ใช้ในการส่งสัญญาณ (Emission Power Flux Density: EPFD) ซึ่งกำลังงานที่มากกว่าจะทำให้เกิดการสอดแทรกของสัญญาณกับกลุ่มดาวเทียม ข้างเคียงได้ เป็นต้น ตลอดจนต้องคำนึงถึงอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่จะต้องมีเพื่อใช้ ในการตรวจสอบความถูกต้องการการให้อนุญาตด้วย (Specific Software Tool) ๓. ประเด็นการออกแบบกลุ่มดาวเทียม (Constellation Design) ตามสนธิสัญญาที่ประเทศไทยมีกับสหประชาชาติดาวเทียมทุกดวงอาจจะต้อง ทำการรีเอนทรีหรือกลับคืนวงโคจร (De-Orbit) ให้ดาวเทียมเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศภายใน ๒๕ ปี (ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาลดจำนวนปีลง) ดังนั้น ดาวเทียมประเภท NGSO และกลุ่มดาวเทียม LEO Constellation ก็จะต้องอยู่ในเงื่อนไขดังกล่าวนี้ด้วย ทั้งนี้ ก็จะพ่วง ไปถึงการขออนุญาตใช้ชั้นวงโคจร (Orbit Allotment) ที่เมื่อจะทำการ De-Orbit จะต้อง ไม่กระทบกับดาวเทียมในชั้นวงโคจรที่ต่ำกว่า เป็นต้น ๔. ประเด็นผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม (Social & Economic Impact) ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นสิ่งแรกที่ได้ทำการศึกษาวิจัย แต่เมื่อทำไปขยายผลจะพบว่า หากมีการใช้งานดาวเทียมอินเทอร์เน็ตจากอวกาศ อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาและไม่ใช้งานระบบสื่อสารภาคพื้นดินเลย การที่มีเสาสัญญาณ ตั้งตามจุดต่าง ๆ ในประเทศอาจจะถูกรื้อถอน ซึ่งรวมไปถึงการติดตั้งสายสัญญาณต่าง ๆ เช่น สายอินเทอร์เน็ตบ้าน สายเสาสัญญาณไรสาย (WiFi) เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะหายไป หรือจะถูกใช้ประโยชน์เพื่อสิ่งใดทดแทน ๕. ประเด็นปัญหาการใช้งาน (Operational Challenges) การใช้งานดาวเทียมกลุ่ม LEO Constellation จำนวนมาก สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ตามมา คือ สถานีรับส่งสัญญาณภาคพื้นดินหรือจานรับสัญญาณจะมีมากขึ้น และจำเป็น ต้องจัดสรรพื้นที่ซึ่งประเด็นปัญหาในข้อนี้ยังมีในส่วนของการส่องสว่างของดาวเทียมในยาม ค่ำคืนที่อาจจะทำให้เกิดปัญหามลพิษทางแสง (Light Pollution) ที่จะทำให้ไม่สามารถ ส่องกล้องเห็นดาวบางดวงในยามค่ำคืนได้เช่นเคย และอาจจะเกิดการต่อต้านจากกลุ่ม นักดาราศาสตร์ เป็นต้น
๕๘ ภาพที่ ๒๔ ตัวอย่างสถานีรับสัญญาณดาวเทียมประเภท NGSO (ที่มา: SES and Google) ๖. ประเด็นอุปกรณ์สำหรับผู้ใช้งาน (User Equipment) ผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงกับผู้ใช้งานนอกจากเรื่องของรายจ่ายที่อาจจะถูกลง หรือแพงขึ้นแล้ว ยังมีเรื่องของเทคโนโลยีและความเข้าใจในการใช้งานด้วย ซึ่งประชากร ในประเทศส่วนใหญ่อาจจะต้องได้รับการส่งเสริมหรือการอบรมในการใช้งาน ไม่เช่นนั้น จะทำให้กลุ่มคนผู้สูงอายุอาจจะไม่สามารถใช้งานระบบดาวเทียมอินเทอร์เน็ต หรือเกษตรกร อาจจะเข้าไม่ถึงประโยชน์ของการใช้งานกลุ่มดาวเทียมอินเทอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่ง (Satellite IoT) ได้ ก็จะทำให้ประเทศและประชาชนไม่พัฒนา เศรษฐกิจและธุรกิจดาวเทียมประเภท NGSO ในประเทศจะเติบโตไม่เต็มที่ บริษัท พีโอเทค จำกัด
๕๙ ๔.๒.๑ ผลกระทบด้านสังคม จากข้อมูลต่าง ๆ ในข้างต้นสามารถสรุปผลกระทบทางสังคม ออกเป็น ๒ ลักษณะ ได้แก่ ๑) ผลกระทบทางสังคมเชิงบวก เช่น ประเทศไทยเกิดการสนับสนุนและ การเติบโตของเศรษฐกิจรวมทั้งการจ้างงาน การสร้างพัฒนาคุณภาพชีวิตและสวัสดิการ ของประชาชนที่ดียิ่งขึ้น และสามารถให้บริการดาวเทียมบรอดแบนด์ในพื้นที่ห่างไกล ที่ยังเข้าไม่ถึงได้ตลอดจนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีเพื่อการให้บริการและ การสร้างโอกาสให้กับประชาชนและผู้ประกอบการในประเทศได้ยกระดับและพัฒนาฝีมือแรงงาน มากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านเทคโนโลยีอวกาศขั้นสูงและทักษะความชำนาญของบุคลากรในประเทศ อันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันที่เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ๒) ผลกระทบทางสังคมเชิงลบ เช่น อาจถูกเอาเปรียบจากบริษัทผู้ให้บริการ ดาวเทียมจากต่างประเทศด้วยความซับซ้อนของเทคโนโลยีที่เราอาจจะยังมีความรู้ไม่ทั่วถึง หรือบริษัทต่างชาติที่เข้ามาให้บริการในประเทศไทยเหล่านี้อาจละเลยผลประโยชน์และ ความรับผิดชอบทางสังคมที่เกิดขึ้นต่อประเทศไทย ๔.๒.๒ ผลกระทบด้านความมั่นคง ผลกระทบทางด้านความมั่นคง ๒ ลักษณะ ๑) ผลกระทบทางด้านความมั่นคงเชิงบวก เช่น การยกระดับเทคโนโลยี ในการป้องกันประเทศและความมั่นคงเพื่อการพัฒนาระบบการจัดการภัยพิบัติและ การพยากรณ์อากาศ การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคง หรือความปลอดภัยทางไซเบอร์ ๒) ผลกระทบด้านความมั่นคงเชิงลบ เช่น เพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคง ความปลอดภัยทางไซเบอร์จากการเชื่อมต่อระบบของไทยกับระบบทั่วโลก เนื่องจาก ในปัจจุบันมีอาชญากรทางไซเบอร์อยู่เป็นจำนวนมากที่มีความสามารถสูงในการล้วง ข้อมูลลับต่าง ๆ และการเพิ่มความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ตลอดจนเพิ่ม ความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูลภูมิศาสตร์และข้อมูลทางทหารของประเทศได้ อย่างไรก็ตาม การยกระดับกิจการดาวเทียมและกิจการอวกาศจำเป็น ต้องใช้เงินทุนและเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งยังเป็นข้อจำกัดของประเทศไทย จึงจะต้องมี การตั้งข้อเสนอแนะทั้งในการสัมภาษณ์เชิงลึกและการประชุมเฉพาะกลุ่มให้ประเทศไทย ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศร่วมกัน เช่นเดียวกับทวีปยุโรป ที่มีการจัดตั้งองค์กรอวกาศยุโรป หรือ European Space Agency: ESA ด้วยเหตุผลดังกล่าว ประเทศไทยจึงควรศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมมือกับพันธมิตรใน ๓ ลักษณะ คือ
๖๐ (๑) การรวมกลุ่มภาคีกับกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งมีข้อดีคือ ประเทศไทย จะสามารถเป็นผู้นำกลุ่มได้ แต่มีข้อเสีย คือ ในกลุ่มประเทศอาเซียนเองก็ยังไม่มีประเทศ ที่เป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งอาจทำให้เป็นข้อจำกัดหรืออุปสรรคในการพัฒนา และขยายอุตสาหกรรมได้ (๒) การรวมกลุ่มภาคีกับกลุ่มประเทศอาเซียน เครือรัฐออสเตรเลีย ประเทศนิวซีแลนด์ และประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้มีการร่วมมือกับเครือรัฐ ออสเตรเลียและประเทศญี่ปุ่นอยู่แล้ว จึงสามารถที่จะดำเนินการได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ กว่าในลักษณะที่ ๑ และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ในด้านเศรษฐกิจและ ต่อยอดไปถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้(Knowledge Transfers) ได้ (๓) การเข้าภาคีกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย (รวมสาธารณรัฐ ประชาชนจีนและประเทศญี่ปุ่น) เครือรัฐออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งการเข้าภาคี กับกลุ่มประเทศที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอวกาศจะทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ ในการพัฒนาเทคโนโลยีไปด้วย อย่างไรก็ดีภูมิภาคเอเชียประกอบด้วยหลายประเทศ ที่มีความแตกต่างกันมาก จึงยากต่อการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความเหลื่อมล้ำให้สอดคล้องกัน และอาจเกิดปัญหาที่ทำให้ประเทศไทยไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร
บทที่ ๕ บทสรุป ตามข้อตกลงของสหประชาชาติ Treaty on Principles Governing the Activities of States in the Exploration and Use of Outer Space, including the Moon and Other Celestial Bodies ที่ประเทศไทยได้มีการลงนาม เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งมีสาระสำคัญว่า “การสำรวจและใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศเป็นประโยชน์ทั้ง ในด้านพัฒนาเศรษฐกิจและวิทยาศาสตร์เป็นของทุกประเทศ โดยให้ถือว่าห้วงอวกาศ เป็นอาณาบริเวณของมนุษยชาติ ทุก ๆ รัฐมีสิทธิการเข้าถึงประโยชน์โดยต้องปราศจาก การกีดกัน ภายใต้หลักการเท่าเทียม และแสวงหาความร่วมมือระหว่างกัน โดยทั้งนี้ ห้วงอากาศไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจอธิปไตยของรัฐใด ๆ” แต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้มีการกำหนดใน มาตรา ๖๐ รัฐต้องรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมอันเป็น สมบัติของชาติ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน และได้มีการนำ ข้อความเดียวกันนี้ไปเขียนไว้ใน มาตรา ๒๗ (๑๔) ของพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช) ฉบับแก้ไขปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๒ ด้วยมุมมองของรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๐ ที่นำมาใช้ในพระราชบัญญัติของ สำนักงาน กสทช. ที่มีความแตกต่างจากข้อตกลงของสหประชาชาติ อาจก่อให้เกิดข้อจำกัดและ เสียเปรียบต่อการประกอบธุรกิจสื่อสารที่ใช้ทรัพยากรจากห้วงอวกาศ ทำให้ผู้ประกอบการ ของประเทศมีต้นทุนในการประกอบการที่ไม่จำเป็น ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน อย่างมีนัยสำคัญ เช่น แนวทางกำหนดให้มีการประมูลสิทธิการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมของ สำนักงาน กสทช. ที่ผ่านมา เนื่องจากการประกอบกิจการดาวเทียมสื่อสารจะมีการแข่งขัน เพิ่มสูงขึ้น และตลาดดาวเทียมสื่อสารโดยส่วนมากจะสามารถให้บริการได้ในระดับภูมิภาค หรือระดับโลกได้ กล่าวคือ ผู้ประกอบการดาวเทียมสื่อสารจากประเทศหนึ่ง สามารถเข้าแข่งขัน การให้บริการประเทศอื่นได้ด้วยโครงข่ายดาวเทียมสื่อสารอันเดียวกัน ตลาดดาวเทียมสื่อสาร ของประเทศไทยเองก็อยู่ในบริบทนี้เช่นกัน โดยในปัจจุบันดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit Satellite) ได้รับความนิยมอย่างมาก ผู้ประกอบการในประเทศต่าง ๆ ได้เข้าจอง วงโคจรเป็นจำนวนมากตั้งแต่หลักหลายสิบไปสู่หลักหลายหมื่นวงโคจร ด้วยข้อจำกัด ในมุมมองของรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๐ จะเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อความน่าสนใจ ในการลงทุนในเรื่องดาวเทียมวงโคจรต่ำของประเทศไทย
๖๒ ๕.๑ การศึกษาและพัฒนาดาวเทียม NGSO ที่เริ่มได้ทันทีในประเทศไทย ๕.๑.๑ โครงการนำร่อง LEO Constellation ชื่อโครงการ “การพัฒนากลุ่มดาวเทียม LEO Constellation เพื่อการแพทย์ ทางไกล(Tele medicine) และการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Emergency Rescue Response)” . ๕.๑.๑.๑ ความสำคัญของโครงการ จากรายงานการศึกษาการใช้ประโยชน์และการกำกับดูแล ดาวเทียมไม่ประจำที่ NGSO ข้างต้น ทำให้พบว่าการพัฒนากลุ่มดาวเทียมประเภท NGSO แบบ LEO Constellation จะมีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาประเทศและ กิจการอวกาศของประเทศ รวมทั้งจะเป็นโครงการพัฒนานำร่องไปสู่อุตสาหกรรมอวกาศ อุตสาหกรรมดาวเทียม อุตสาหกรรมระบบภาคพื้นดิน และอุตสาหกรรม New S-curve อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วยปริมาณการเติบโตของตลาด LEO Constellation ประเภทดาวเทียม บรอดแบนด์ที่ให้บริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรือการรับส่งสัญญาณกับอุปกรณ์ IoT ในต่างประเทศ จะมีความสำคัญในการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมากในอนาคต ทั้งในเชิงเทคโนโลยีและเชิงเศรษฐกิจภายในประเทศตามที่ได้ทำการศึกษามาแล้วนั้น ซึ่งหากประเทศไทยสามารถพัฒนาดาวเทียมประเภทนี้ได้เองจะทำให้นอกจากจะได้ สร้างบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญให้การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศเพิ่มมากขึ้น เพื่อรอรับการเติบโตของประเทศแล้ว ยังเป็นการทดลองและทดสอบการพัฒนาดาวเทียม คิวบ์แซทเพื่อภารกิจการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ ด้วยระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอดจนการทดลองใช้งานโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศ ต่าง ๆ ที่ประเทศมี ซึ่งเป็นการทดสอบศักยภาพด้านการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ ดาวเทียม และการสร้างระบบนิเวศอวกาศของประเทศไทยแบบครบวงจรอย่างแท้จริง ๕.๑.๑.๒ วัตถุประสงค์ เพื่อการพัฒนาศักยภาพบุคลากรไทยและเยาวชนที่เข้าร่วม โครงการให้มีความสามารถในการพัฒนากลุ่มดาวเทียมคิวบ์แซท (6U CubeSat Constellation) จำนวน ๓ ดวง สำหรับการทำภารกิจช่วยเหลือผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ ทางไกล (Telemedicine) รวมทั้งติดตั้งระบบรับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน (Emergency Rescue Response) โดยมุ่งหวังให้โครงการนี้เป็นโครงการนำร่องเพื่อการพัฒนา เทคโนโลยีดาวเทียมประเภท NGSO และแนวทางในการกำกับดูแลกิจการดาวเทียมและ การใช้งานคลื่นความถี่ให้กับประเทศ ตลอดจนการขยายผลเพื่อการทำงานในรูปแบบ เชิงพาณิชย์ต่อไปในอนาคต
๖๓ ภาพที่ ๒๕ ตัวอย่างดาวเทียม 6U CubeSat Constellation ๕.๑.๑.๓ แผนการดำเนินงาน แผนการดำเนินงานจะถูกแบ่งออกเป็น ๓ กิจกรรมหลัก ซึ่งมี ขั้นตอนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
๖ ตารางที่ ๓ แผนการดำเนินงาน กิจกรรม เดือนที่ ๑ ถึง ๓ กิจกรรมที่ ๑ การพัฒนาดาวเทียม LEO Constellation • การศึกษาวิธีการและแนวทางการพัฒนาดาวเทียมเพื่อการแพทย์ ทางไกลและระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉินผ่านดาวเทียม • การพัฒนาดาวเทียมแบบ Preliminary Design Review (PDR) ประกอบด้วย ระบบการทำงาน ส่วนประกอบและอุปกรณ์การ ทำงาน และการต่อวงจรระบดาวเทียมเบื้องต้น (BBM) • การพัฒนาเพย์โหลด การจัดหาอุปกรณ์ และชิ้นส่วนในการพัฒนา ดาวเทียมรวมทั้งการประกอบดาวเทียม • การประกอบดาวเทียมทั้งระบบแบบ Engineering Model (EM) • การพัฒนาดาวเทียมแบบ Critical Design Review (CDR)และ การทดสอบฟังก์ชั่นการทำงานของดาวเทียม • การทดสอบดาวเทียมแบบ Space Environment Test • การพัฒนาดาวเทียมเชิงคุณภาพ Qualified Flight Model และ ดาวเทียมพร้อมส่ง Flight Readiness Review (FRR) • การส่งดาวเทียมและการรับสัญญาณ (LEOP)
๔ นและระยะเวลาการดำเนินงาน ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการ ๑๘ เดือน เดือนที่ ๔ ถึง ๖ เดือนที่ ๗ ถึง ๙ เดือนที่ ๑๐ ถึง ๑๒ เดือนที่ ๑๓ ถึง ๑๕ เดือนที่ ๑๖ ถึง ๑๘
๖ กิจกรรม เดือนที่ ๑ ถึง ๓ กิจกรรมที่ ๒ การส่งเสริมให้ความรู้เยาวชนไทย • ประชาสัมพันธ์ให้เยาวชนเข้าร่วมหลักสูตรการอบรมการ พัฒนาดวเทียนมและจัดทำสื่อการเรียนการสอน • จัดวิทยากรบรรยายทั้งแบบออนไลน์และแบบออนไซต์ ทั้ง วิทยาการไทยและต่างประเทศ • จัดอบรมการพัฒนาดาวเทียมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติการ พัฒนาระบบรับสัญญาณภาคพื้น Ground Control • จัดอบรมวิธีการจัดตั้งสถานีรับส่งสัญญาณดาวเทียมและการทำ Satellite Operation • จัดอบรมดูงานสถานที่การพัฒนาดาวเทียมและหน่วยงานด้านการ พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศภายในประเทศหรือต่างประเทศ • จัดอบรมการใช้งานดาวเทียมให้กับโรงเรียนระดับมัธยมภาครัฐ จำนวน ๒๐ แห่ง ในพื้นที่ห่างไกล กิจกรรมที่ ๓ การใช้ประโยชน์ดาวเทียม LEO Constellation • ประสานสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่ต้องการเข้าร่วม โครงการTelemedicine • ติดตั้งระบบ IoT กับอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นสำหรับการ เชื่อมต่อระยะไกล
๕ ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการ ๑๘ เดือน เดือนที่ ๔ ถึง ๖ เดือนที่ ๗ ถึง ๙ เดือนที่ ๑๐ ถึง ๑๒ เดือนที่ ๑๓ ถึง ๑๕ เดือนที่ ๑๖ ถึง ๑๘
๖ กิจกรรม เดือนที่ ๑ ถึง ๓ • ทดสอบการรับส่งสัญญาณกับอุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ เข้ากับระบบ เชื่อมสัญญาณ LoRa และกราวด์คอนโทรล • ทดลองใช้งานระบบกลุ่มดาวเทียม LEO Constellation • ประเมินผลการทำงาน และวิเคราะห์ปริมาณความต้องการจำนวน ดาวเทียมและการพัฒนาระบบอื่น ๆ เพื่อขยายผลสู่ภาคธุรกิจ • วิเคราะห์ปัญหาเชิงนโยบายสำหรับแนวทางการกำกับดูแล ดาวเทียม LEO Constellation และจัดทำรายงานการพัฒนา ดาวเทียมและข้อเสนอเชิงนโยบายให้กับหน่วยงาน กสทช.
๖ ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการ ๑๘ เดือน เดือนที่ ๔ ถึง ๖ เดือนที่ ๗ ถึง ๙ เดือนที่ ๑๐ ถึง ๑๒ เดือนที่ ๑๓ ถึง ๑๕ เดือนที่ ๑๖ ถึง ๑๘
๖๗ ๕.๑.๒ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่สามารถให้การสนับสนุน ๕.๑.๒.๑ ภาครัฐ ๑) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ภาพที่ ๒๖ ตราสัญลักษณ์สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทอภ. ได้ดำเนินการพัฒนาโครงการดาวเทียมธีออส ๒ รวมทั้ง ได้พัฒนาจัดตั้งอาคารสร้าง ประกอบ และทดสอบดาวเทียม หรือ Assembly Integration and Test (AIT) ที่สามารถดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์และทดสอบดาวเทียมได้ ตามมาตรฐานสากล ยกตัวอย่างอุปกรณ์ทดสอบดาวเทียม ได้แก่ อุปกรณ์ทดสอบ การสั่นสะเทือนของดาวเทียม Vibration Testing or Shaker อุปกรณ์ทดสอบควบคุม อุณหภูมิของดาวเทียม Thermal Vacuum Chamber หรือห้องสะอาดคลาสสูง เพื่อการประกอบชิ้นส่วนดาวเทียมต่าง ๆ (Clean room 100 Class) เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีความสนใจในการพัฒนาดาวเทียมสามารถเข้าใช้ บริการเพื่อทำการทดสอบดาวเทียมขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่ ดาวเทียมคิวบ์แซท CubeSat ที่มีน้ำหนักประมาณ ๑ – ๑๐ กิโลกรัม ไปจนถึงดาวเทียมขนาดเล็ก Small Satellite ที่มีน้ำหนักสูงสุดได้ถึง ๓๐๐ กิโลกรัม แสดงภาพอาคาร AIT ของ สทอภ. ในภาพต่อไปนี้
๖๘ ภาพที่ ๒๗ ศูนย์ประกอบและทดสอบดาวเทียมแห่งชาติ National Assembly Integration and Test (AIT) ณ อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ
๖๙ ๒) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการ โทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ภาพที่ ๒๘ ตราสัญลักษณ์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนารคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำ แผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ ตารางกำหนดคลื่นความถี่แห่งชาติ แผนแม่บทกิจการ กระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ แผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม แผนความถี่วิทยุ แผนการ บริหารสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม และแผนเลขหมายโทรคมนาคม โดยแผนต่าง ๆ ดังกล่าวต้องสอดคล้องกับนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม และมีหน้าที่ในการกำหนดการจัดสรรคลื่นความถี่ระหว่างคลื่นความถี่ที่ใช้ ในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการวิทยุคมนาคม และกิจการโทรคมนาคม กำหนดลักษณะและประเภทของกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคม พิจารณาอนุญาตและกำกับดูแลการใช้คลื่นความถี่และเครื่องวิทยุคมนาคม ในการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม หรือในกิจการ วิทยุคมนาคม และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการอนุญาต เงื่อนไข หรือค่าธรรมเนียมการอนุญาตดังกล่าว และมีหน้าที่สำคัญในการพิจารณาอนุญาต และกำกับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ รวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นธรรม