๗๐ ดังนั้น การพัฒนาโครงการนี้จึงต้องได้รับการอนุญาตให้ใช้ ความถี่เพื่อการแพทย์ทางไกลและการสนับสนุนทรัพยากรด้านต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการ อย่างต่อเนื่องจากสำนักงาน กสทช. ๓) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ภาพที่ ๒๙ ตราสัญลักษณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้จัดทำแผนระดับชาติ ที่มีการจำแนกแผนออกเป็น ๓ ระดับ ประกอบด้วย แผนระดับที่ ๑ แผนยุทธศาสตร์ชาติ เป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่าง ๆให้สอดคล้องและบูรณา การกัน แผนระดับที่ ๒ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติแผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติซึ่งเป็นแผน ที่นำยุทธศาสตร์ชาติมาเชื่อมโยงกับบริบทประเทศไทยให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แผนระดับที่ ๓ คือแผนที่จัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของแผนระดับที่ ๑ และแผนระดับที่ ๒ สู่การปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือจัดทำขึ้นตามที่กฎหมาย กำหนด ทั้งนี้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกาศเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ กำหนดให้ส่วนราชการ จัดทำแผนปฏิบัติราชการระยะ ๕ ปีในการนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จึงได้จัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ เพื่อใช้เป็นกรอบ การดำเนินงานของกระทรวงฯ สำหรับการจัดทำแผนปฏิบัติราชการฯ นั้น ได้มีการศึกษา
๗๑ โครงสร้างอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้ทราบถึงความเชื่อมโยงในการบริหารงาน และทรัพยากรที่มีอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้เพื่อให้การจัดทำแผนปฏิบัติราชการดังกล่าว สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล จึงได้ศึกษานโยบายและแผนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำข้อมูล ดังกล่าวมาใช้ประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารในการกำหนดนโยบายในด้านต่างๆ พร้อมทั้ง ได้ศึกษา แผนระดับที่ ๑ แผนยุทธศาสตร์ชาติ๒๐ ปี(พ.ศ. ๒๕๖๑–๒๕๘๐) แผนระดับที่ ๒ ได้แก่แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) แผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๓ พ.ศ. ๒๕๖๖ –๒๕๗๐ นโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๖๖–๒๕๗๐ และแผนระดับที่ ๓ ได้แก่ นโยบาย และแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๘๐ ฉบับปรับปรุงและแผนอื่น ๆได้แก่ ร่างแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐ แผนแม่บทการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐ ร่างแผนยุทธศาสตร์ ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐ ร่างแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์ แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๕ – ๒๕๗๐ แผนปฏิบัติการว่าด้วย การส่งเสริมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี5G ของประเทศไทย ระยะที่ ๑ ร่างแผนปฏิบัติการ ด้านการพัฒนามาตรฐานดิจิทัล ระยะที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐ เพื่อนำมาเป็นแนวทาง ในการวางยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนงานและแผนการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัด กระทรวงฯ ดังนั้นกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเป็น หน่วยงานสำคัญที่จะผลักดันโครงการนำร่องให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม และสามารถ ให้การสนับสนุนทั้งงบประมาณและประสานให้หลาย ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถร่วมมือ กันพัฒนาโครงการนำร่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์
๗๒ ๔. ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีอวกาศและวิจัย (ECSTAR) ภาพที่ ๓๐ ตราสัญลักษณ์ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีอวกาศและวิจัย สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีอวกาศและวิจัย (ECSTAR) วิทยาลัยอุตสาหกรรมการบินนานาชาติ (IAAI) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้ลงนามความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีการบิน และอวกาศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่กำลังเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digital Edge) โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาดาวเทียม LEO Constellation ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนา เทคโนโลยีการบินและอวกาศ การใช้งานคลื่นความถี่ การบริการโทรคมนาคมผ่านโครงข่าย ดาวเทียม โครงข่ายโทรคมนาคมในระบบ 5G และเพื่อการให้บริการในรูปแบบใหม่ที่เกี่ยวข้อง กับกิจการอวกาศและอากาศยาน โดยศูนย์ความเป็นเลิศ ECSTAR จะสร้างนวัตกรรมที่มีผล ต่อการพัฒนาและการแข่งขันของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐ ด้านการพัฒนาคนและการแข่งขันในระดับเวทีโลก ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนการพัฒนาประเทศและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมอวกาศ และการผลักดัน อุตสาหกรรมอวกาศ ศูนย์ความเป็นเลิศ ECSTAR จึงควรเป็นหน่วยงานเริ่มต้นที่มีความพร้อม ในการเข้าร่วมโครงการพัฒนากลุ่มดาวเทียม LEO Constellation ตามข้อเสนอของรายงาน ฉบับนี้ เนื่องจากมีความพร้อมทั้งในด้านเทคโนโลยี กำลังคน ประสบการณ์ และสถานที่ ในการดำเนินงาน จึงสามารถที่จะเป็นศูนย์กลางในการดำเนินกิจกรรมและแผนการ ดำเนินงานตามที่กำหนดภายในระยะเวลา ๑๘ เดือน ตามตารางข้างต้นได้อย่างสมบูรณ์
๗๓ ๕.๑.๒.๒ ภาคเอกชน ธุรกิจอวกาศในประเทศไทยเดินหน้าขับเคลื่อนโดยศักยภาพ และความสามารถของภาคเอกชนมาโดยตลอด ตั้งแต่ในอดีต โดย บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ที่ได้พัฒนาระบบดาวเทียมสื่อสารเพื่อการเชื่อมโยงโลกตะวันตกเข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งในปัจจุบัน ได้มีบริษัทด้านอวกาศเกิดขึ้นมากมายในประเทศไทย แต่ด้วยธุรกิจรับจ้างสร้างดาวเทียมยังไม่สามารถดำเนินการหรือมีลูกค้าที่ชัดเจนในประเทศไทย โดยลูกค้าส่วนใหญ่ยังเป็นภาครัฐ และต่างใช้บริการการสร้างดาวเทียมจากต่างประเทศ เป็นส่วนใหญ่เนื่องจากต้องการดาวเทียมปฏิบัติการที่มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ยังมีภาคสถาบันการศึกษาที่จ้างบริษัทเอกชนรายย่อยในการอบรมหลักสูตรการเรียนรู้ การพัฒนาดาวเทียมคิวบ์แซท 1U CubeSat ซึ่งเป็นดาวเทียมขนาด ๑๐ ซม. คูณ ๑๐ ซม. คูณ ๑๐ ซม. ที่เหมาะสำหรับการสร้างประสบการณ์และความชำนาญในการสร้างดาวเทียม และความเข้าใจเรื่องวงโคจร ยกตัวอย่าง โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ที่ได้จัดจ้าง บริษัท อัสโตร เบอร์รี่ จำกัด ในการพัฒนาดาวเทียมและหลักสูตรดังกล่าว โครงการนำร่องในรายงานฉบับนี้ต้องการภาคเอกชนที่มี ความสามารถสูงและมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านการพัฒนาดาวเทียม รวมทั้ง ต้องการภาคเอกชนที่มีประสบการณ์ในการรับสัญญาณ การขออนุญาต การใช้งาน คลื่นความถี่ และการทำงานแบบ Satellite Operation ดังนั้น ภายในรายงานฉบับนี้ จึงขอเสนอรายชื่อภาคเอกชนที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ จำนวน ๒ ราย ดังต่อไปนี้ ๑) บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ภาพที่ ๓๑ ตราสัญลักษณ์ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) โดยคำว่า “ไทยคม” (Thaicom) เป็นชื่อพระราชทาน ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน โดยย่อมาจาก Thai Communications ในภาษาอังกฤษ
๗๔ ดาวเทียมไทยคม เป็นโครงการดาวเทียมสื่อสารเพื่อการให้บริการ สื่อสารผ่านช่องสัญญาณดาวเทียม โดยเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ กระทรวงคมนาคม (ในเวลานั้น) ต้องการจัดหาดาวเทียมเพื่อรองรับการขยายตัวด้านการสื่อสารของประเทศ แต่ในเวลานั้น ประเทศไทยยังไม่มีดาวเทียมเป็นของตนเอง จึงจำเป็นต้องเช่าดาวเทียมสื่อสารจากประเทศอื่น ในการใช้งานช่องสัญญาณ ซึ่งทำให้เกิดความไม่สะดวกและสูญเสียเงินออกนอกประเทศ เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากการจัดสร้างดาวเทียมต้องใช้เงินลงทุนสูงมากจึงได้มีการเปิด ประมูลเพื่อให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการแทนการใช้งบประมาณจากภาครัฐ และบริษัท ชินวัตร แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ) เป็นผู้ได้รับสัมปทาน ในเวลานั้น ภาพที่ ๓๒ พื้นที่ให้บริการดาวเทียมไทยคมในปัจจุบัน
๗๕ ๒) บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ภาพที่ ๓๓ ตราสัญลักษณ์ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) แนวคิดในการควบรวมบริษัท ทีโอทีจำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เข้าด้วยกัน เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ในสมัยที่ นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ปัจจุบันคือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร โดยเห็นควรให้ทั้ง ๒ หน่วยงานควบรวมกันเพื่อลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนกัน เพิ่มศักยภาพ ขององค์กรในการแข่งขันกับเอกชน และเพื่อความอยู่รอดขององค์กร แต่ก็ถูกคัดค้าน อย่างหนักจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจของทั้ง ๒ หน่วยงานที่เล็งเห็นผลประโยชน์ ของตัวเองเป็นสำคัญจึงยุติโครงการไป ต่อมาในวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐ คณะรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายใต้ (คสช.) มีมติให้ทั้ง ๒ หน่วยงานจัดตั้ง บริษัทลูก เพื่อแยกธุรกิจบางส่วนที่ทั้ง ๒ หน่วยงานลงทุนและดำเนินงานซ้ำซ้อนกันออกมา ต่างหาก ดังนี้ •ทีโอทีจัดตั้ง บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จำกัด (National Broadband Network : NBN) เพื่อให้บริการค้าส่งบรอดแบนด์และโครงสร้าง พื้นฐานด้านโทรคมนาคมภายในประเทศเป็นหลัก โดยมีสินทรัพย์ ได้แก่ โครงข่ายหลัก ระบบสื่อสัญญาณ จนถึงโครงข่ายสายตอนนอก และเคเบิลใยแก้วนำแสง • กสท โทรคมนาคม จัดตั้ง บริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศ และศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จำกัด (Neutral Gateway & Data Center : NGDC) เพื่อให้บริการ บรอดแบนด์ระหว่างประเทศเป็นหลัก รวมทั้งศูนย์บริการข้อมูล โดยมีสินทรัพย์ที่อยู่นอกประเทศ ได้แก่ สถานีเคเบิลใยแก้วใต้น้ำทั้งในและระหว่างประเทศ เคเบิลภาคพื้นดินระหว่างประเทศ รวมทั้งโครงข่ายขนส่งข้อมูลทั้งในและระหว่างประเทศ แต่มติดังกล่าวก็ยังคงถูกคัดค้านจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ของทั้ง ๒ หน่วยงานเช่นเดิม เนื่องจากเห็นว่าจะมีผลกระทบหลายด้าน และไม่ได้แก้ปัญหา
๗๖ ของรัฐวิสาหกิจทั้ง ๒ หน่วยงานอย่างจริงจัง รวมถึงเป็นการเพิ่มบริษัทสำหรับดำเนินงาน โทรคมนาคมของรัฐโดยไม่จำเป็น แต่ต่อมาทั้งทีโอทีและ กสท โทรคมนาคม ก็ได้ทยอย โอนย้ายพนักงานไปทำงานที่บริษัทลูก และนำไปสู่การควบรวมกิจการเข้าด้วยกันในเวลา ต่อมา โดย บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด (มหาชน) หรือ NT มีหน้าที่เป็นหนึ่งในการดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารในวงโคจรแห่งชาติ ซึ่งสามารถ เป็นหลักในโครงการนำร่องนี้ได้และสามารถให้การสนับสนุนทรัพยากรและบุคลากร ในการดำเนินการด้านการทำ Satellite Operation กลุ่มดาวเทียม LEO Constellation ได้เป็นอย่างดี ๕.๒ บทสรุปรายงานการศึกษา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๖๐ บัญญัติว่า รัฐต้อง รักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมอันเป็นสมบัติของชาติ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน และมาตรา ๒๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์กร จัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ สำนักงาน กสทช. มีอำนาจหน้าที่จัดทำแผนการบริหารสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมและ ดำเนินการให้เป็นตามแผน และแผนดังกล่าวต้องสอดคล้องกับนโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วย การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นแผนแม่บทหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมดิจิทัลของประเทศ ระยะ ๒๐ ปี(พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๘๐) ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลประสิทธิภาพสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีแผนงาน กำหนดให้มีนโยบายการบริหารกิจการดาวเทียมของประเทศ ที่กำหนดทิศทาง การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล แผนปฏิบัติการ ด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัล ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๗๐) การพัฒนา กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัลพื้นฐาน หรือกลุ่ม Hard & Soft Infrastructure โดยมีประเด็นด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสื่อสารดาวเทียม (Satellite) และยุทธศาสตร์ ชาติด้านความมั่นคง กำหนดให้มีการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนากิจการอวกาศ เทคโนโลยี
๗๗ สารสนเทศและการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง สามารถแข่งขันและลดการพึ่งพาหรือนำเข้า จากต่างประเทศได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งสามารถสนับสนุนนโยบายและยุทธศาสตร์ สำคัญของประเทศได้โดยในปัจจุบัน ข้อมูลจากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ระบุว่า ในระหว่างปีพ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๖๒ การเติบโตของกลุ่มดาวเทียมวงโคจรไม่ประจำที่ (Non-geostationary orbit: NGSO) ที่เน้นการลงทุนในวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit: LEO) จะมีการส่งดาวเทียม LEO จำนวน ๑,๐๖๖ ดวง เพิ่มขึ้นจากเดิมในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๖๑ ที่มีการส่งดาวเทียมวงโคจรต่ำ LEO จำนวนเพียง ๔๓๗ ดวง โดยทั้งหมดเป็นการส่ง ดาวเทียมขนาดเล็กเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things : IoTs) ทั้งนี้จากแผนภูมิแท่งได้บอกปริมาณความต้องการส่งดาวเทียม ขึ้นสู่วงโคจร ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๗๓ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นถึงประมาณ ๒,๕๐๐ ดวงต่อปี ในปีพ.ศ. ๒๕๗๓ (ค.ศ. ๒๐๓๐) การศึกษาวิจัยแนวทางการใช้ประโยชน์ของดาวทียม NGSO หรือ LEO Constellation ของอุตสาหกรรมในต่างประเทศ รวมทั้งรูปแบบการกำกับดูแลการให้บริการ ดาวเทียม จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมภายในประเทศ และเป็นแนวทาง ในการพัฒนาการใช้ประโยชน์ดาวเทียมประเภทดังกล่าว อาทิการให้บริการกลุ่มดาวเทียม อินเตอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล (Satellite Internet for Remote Area) การสื่อสารดาวเทียม เพื่อการแพทย์ทางไกล (LEO Constellation for Telemedicine) เช่นพื้นที่ที่ยาก แก่การเข้าถึงหรือเสี่ยงอันตรายต่อการรับเชื้อจากผู้ป่วย หรือการรับส่งสัญญาณขอความ ช่วยเหลือผ่านดาวเทียม (SOS - Emergency Response Satellite) และรวมไปถึง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการพัฒนาดาวเทียม ห้องปฏิบัติการ การพัฒนาบุคลากร (Capacity Building) อันส่งผลไปยังการประกอบอาชีพ การสร้างรายได้และการส่งเสริม เศรษฐกิจอวกาศต่อไปในอนาคต ดังนั้น โครงการนำร่อง : โครงการพัฒนากลุ่มดาวเทียม LEO Constellation เพื่อการแพทย์ทางไกล (Tele medicine) และการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Emergency Rescue Response) จะมีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาประเทศและกิจการอวกาศของประเทศ รวมทั้งจะเป็นโครงการพัฒนานำร่องไปสู่อุตสาหกรรมอวกาศ อุตสาหกรรมดาวเทียม อุตสาหกรรมระบบภาคพื้นดิน และอุตสาหกรรม New S-curve อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วยปริมาณการเติบโตของตลาด LEO Constellation ประเภทดาวเทียมบรอดแบนด์ ที่ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต หรือการรับส่งสัญญาณกับอุปกรณ์IoT ในต่างประเทศ จะมีความสำคัญในการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมากในอนาคตทั้งในเชิงเทคโนโลยีและ เชิงเศรษฐกิจภายในประเทศตามที่ได้ทำการศึกษามาแล้วนั้น ซึ่งหากประเทศไทยสามารถ พัฒนาดาวเทียมประเภทนี้ได้เองจะทำให้นอกจากจะได้สร้างบุคลากรให้มีความรู้
๗๘ ความเชี่ยวชาญให้การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศเพิ่มมากขึ้นเพื่อรอรับการเติบโตของ ประเทศแล้ว ยังเป็นการทดลองและทดสอบการพัฒนาดาวเทียมคิวบ์แซทเพื่อภารกิจ การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ด้วยระบบขอความ ช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอดจนการทดลองใช้งานโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศต่าง ๆ ที่ประเทศมี ซึ่งเป็นการทดสอบศักยภาพด้านการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ ดาวเทียม และการสร้างระบบ นิเวศอวกาศของประเทศไทยแบบครบวงจรอย่างแท้จริง ๕.๓ ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ ปัจจุบันกิจการอวกาศมีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ของประชาชน ทำให้มีหน่วยงานจากภาครัฐและภาคเอกชนให้ความสนใจและร่วมดำเนิน กิจกรรมเพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้ ภารกิจด้านกิจการอวกาศยังมีความสำคัญต่อการพัฒนา เศรษฐกิจของประเทศ นโยบายด้านเศรษฐกิจอวกาศเป็นองค์ประกอบในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อย่างไรก็ตามที่ผ่านมานโยบายการบริหารกิจการ อวกาศของประเทศไทยดำเนินการภายใต้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหาร กิจการอวกาศ พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ มีข้อจำกัด เรื่องลำดับชั้นของกฎหมาย การบังคับใช้งาน อาทิ การกำหนดหลักเกณฑ์ปฏิบัติสำหรับ ภาคเอกชน ซึ่งไม่อาจกระทำได้เว้นแต่จะอาศัยอำนาจตามกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการอวกาศที่ใช้ในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมปัญหาและ ผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินกิจกรรมอวกาศในหลายส่วนที่สำคัญและจำเป็นต้องกำหนด ผู้รับผิดชอบ ได้แก่ ๑) การกำกับและดำเนินการจดทะเบียนวัตถุอวกาศ เนื่องจากปัจจุบันและในอนาคต จะมีการส่งวัตถุอวกาศขึ้นสู่วงโคจรอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งดาวเทียมขนาดเล็ก ที่หน่วยงานจากสถาบันการศึกษาและภาคเอกชนจำนวนมากต้องการนำส่งขึ้นสู่อวกาศ ซึ่งรัฐมีหน้าที่ต้องกำกับดูแลเพื่อให้สอดคล้องกับความรับผิดชอบตามข้อตกลงและกฎหมาย รวมทั้งพันธกรณีระหว่างประเทศด้านอวกาศที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคี ๒) การเฝ้าระวังภัยทางอวกาศและหรือการจัดการและช่วยเหลือจากอุบัติเหตุ ทางอวกาศ โดยในช่วง ๒ - ๓ ปีที่ผ่านมา มีการพบวัตถุจากอวกาศรวมทั้งซากชิ้นส่วน จรวดนำส่งตกลงสู่พื้นโลกบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยหลายครั้ง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายเฉพาะ รองรับเรื่องนี้และไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นการพัฒนากิจการ ดาวเทียมประเภท NGSO ภายในประเทศ ทั้งเพื่อหน่วยงานรัฐ เพื่อหน่วยงานเอกชน หรือเพื่อสถาบันการศึกษา การกำหนดให้มีกฎระเบียบและวิธีการบังคับใช้นั้นมีความจำเป็นมาก ซึ่งนอกจากจะทำให้ทุกภาคส่วนมีความเข้าใจภายในระบบการจัดการของประเทศและตนเองแล้ว
~ilzniuisn6i~iiu~ilnismia~$uudszbnw NGSO Lbaz LEO Constellation ~au'iqn4ios r~azad u~dniun~~uiuw'~~udszrw~uazszn'uaina dsarwnl~u<qpio~msi v du (i1.r) wsznaGt-g$GAonisa~niw w.n. .... ~~azn'i~un~~Giu"as~'ns~Wdo~i~ui~ilm~i dd d uIuui~~az~~~ufiiln~soani~ ~az~~zsia~~~~~duflaiunw~nu~~o~~umia~~~uu dszrnw NGSO 8urw'urGu s~u~~~mIGdnab~dsn~ua~u~asria~n~uIGw"~ni~~~ lrazninaan.au Gd~uf~ulunis~wuin'snise~niw aaan'olGrAniclscl~Ailnanin (New Space Economy) r~o~c~~~u~nni~n~su$aiuisn~ubfl$~udszbwwtwu IG~qnriuilinn'u~nsiu'1,6diunai~"b6iald m. siusiuwani.ii7nwi dos ni~%~del.zIuaJrraznis~in"~~~~amia~w"uu dssrnw~;l~nosla.idss~i~ (NGSO) $ud~?iudit?~a$i4~d &ilza~ui~na?i.~i~ diidsiu'bn" r~azrw'u~onin~unisw"~uiua"nnssu~isn"iu~~~~uba~~iumia~w"uu ~raza~ni~ussd~arwwo~i~~sd"udi~q rdoI~rlmn~s~i~u~~~arraza~un~uIGriim~siiil Mdr6u2pl"as~~ni?bw"uud~zbnwad~flss~~ds~~id (NGSO) fin~i~an'n$u~ul~a$id ~2iu~~uiza~uazu"dsa~ws'niwadisqaqm a'sbM"un-rs~~~~a~osi~siu~~os nis~a"d~z~u.au'rraznis~in"u~~rami~m"uuds~m~~sTn~s~ridss~i'ld (NGSO) 94 PI 4 da~i2uqiudr6u26q aid nszws~qmilwawarnsqii~bbasKqflu nszws?~msqmuffnwi b sw a'wuiwiams aou~razua"mnssu ~~az~iPd"nsiun~zn~~%1ni~n"~nisnsa~iu~8us iionisIwsfl~6 ~raz~sni~Iw~imuui~u~PIjs~i~ ~do~sis6Lair~az6i~~unisn~isr~ua~19 ~~~l~~~~l~b~~~~U~~~%M"~~~~l~n'i~~~~a~~~n"il~i~~i?~~~~d~~~~~?4~il~ ~idsziid (NGSO) ludszrwnau'isr4u;dss3udo'bd
เอกสารอ้างอิง [๑]Bryce, “Global Space Industry Dynamics,”Research Paper for Australian Government, Department of Industry, Innovation and Science nby Bryce Space and Technology, LLC, p. 1, 2017 [๒] Frost & Sullivan, “UK Spaceport Business Case Evaluation,” A Frost & Sullivan White Paper, 2018 [๓] Based Upon Michael E. Porter’s Work, “Five Forces Model”, 2017 [๔]William J. Baumol and Thijs ten Raa, “Wassily Leontief : In appreciation”, 2009 [๕] United Nations, “WORLD ECONOMIC AND SOCIAL SURVEY”, DEPARTMENT OF ECONOMIC AND SOCIAL AFFAIRS, U.S., 1999 [๖] OEDE, “Education at a Glance”, 2012 [๗] United Nations Development Programme, “HANDBOOK ON PLANNING, MONITORING AND EVALUATING FOR DEVELOPMENT RESULTS”, 2009 [๘] ศาสตรา สุดสวาสดิ์, “การรายงานผลการศึกษาอุตสาหกรรมอวกาศในประเทศ ไทย (The Size of Thai Space Industry),” สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์, ๒๕๖๓ [๙] “โครงการศึกษาทิศทาง รูปแบบการให้บริการดาวเทียมในอนาคต และ แนวทางในการกำกับดูแลการให้บริการดาวเทียมในประเทศไทย”, บริษัท เออีซีแอดไวซอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด, ๒๕๖๕ [๑๐] State of the Satellite Industry Report, BryceTech, 2016
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก คำสั่งแต่งตั้ง
๘๓
๘๔
๘๕
๘๖
๘๗
๘๘
๘๙
๙๐
๙๑
๙๒
๙๓
๙๔
ภาคผนวก ข ภาพกิจกรรม
๙๖ ภาพบรรยากาศการประชุม
๙๗
๙๘ การหารือร่วมกันเกี่ยวกับการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย ระหว่างคณะกรรมาธิการ กับ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ (องค์การนาซา)
๙๙ การดำเนินการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีอวกาศ (Space Technology Laboratory) ณ วิทยาลัยเทคนิคเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
ภาคผนวก ค รายนามผู้จัดทำรายงาน
๑๐๑ รายนามผู้จัดทำรายงาน ร้อยโท เจษฏา ศิวรักษ์ เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ นายอัมรินทร์ พิมพ์หนู ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ นายกฤช ฤทธา นิติกรชำนาญการ นางสาวนัยนา แสนวิชา เจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน นางสาวทิพย์วิมล แก่นจันทร์ เจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน