The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือชุด 6 เล่ม (พรรณไม้ ผีเสื้อ แตน สัตว์สะเทินน้ำสะเทินก นก ค้างคาว)
โครงการ อพ.สธ. สนองพระราชดำริโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by dpongchai, 2020-08-12 11:17:34

ผีเสื้อ

หนังสือชุด 6 เล่ม (พรรณไม้ ผีเสื้อ แตน สัตว์สะเทินน้ำสะเทินก นก ค้างคาว)
โครงการ อพ.สธ. สนองพระราชดำริโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Keywords: อพ.สธ.

รอ้ ยพันธ์ุผเี สือ้ บริเวณเขาถ�ำ้ เสอื -เขาจ�ำปา

ผู้แตง่ : นายชิษณุพงศ์ พานเทยี น และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชชั วาล ใจซื่อกุล
ภาพ: นายณฐั นนั ท์ ขันธศุภ
นายชษิ ณพุ งศ์ พานเทยี น
นายพรเทพ เกื้อกิจ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชชั วาล ใจซอ่ื กุล
นางสาวปาลรี ัฐ นุชโพธิ์
ISBN: 978-616-407-224-4
พมิ พ์คร้งั ที่: 1
จำ� นวนท่พี ิมพ์: 1,000 เล่ม
เดอื นปีทีพ่ มิ พ:์ พฤศจิกายน 2560
พิมพท์ ่:ี โรงพิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั โทร. 0-2218-3563
อา้ งอิง: ชิษณุพงษ์ พานเทียน และ ชัชวาล ใจซื่อกุล. 2560. ร้อยพันธุ์ผีเส้ือบริเวณ
เขาถ�ำ้ เสือ-เขาจำ� ปา. โรงพิมพ์แห่งจฬุ าฯ. กรงุ เทพฯ. 224 หน้า.

ประสานงานการจดั พมิ พ์

โดย
ศนู ยเ์ ครอื ขา่ ยการเรียนรู้เพอ่ื ภมู ิภาค

จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย

รอยพันธผ์ุ เี ส้อื

บรเิ วณเขาถ้�าเสอื -เขาจ�าปา

นายชษิ ณพุ งศ์ พานเทยี น และ ผชู วยศาสตราจารย์ ดร.ชชั วาล ใจซอ่ื กลุ
ภาควชิ าชวี วทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั
โครงการอนรุ ักษพนั ธุกรรมพืชอันเน่อื งมาจากพระราชดา� ริ
สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี
สนองพระราชดา� รโิ ดยจฬุ าลงกรณมหาวิทยาลยั



ค�าน�า

หนังสอื รอยพันธุผเี สอ้ื บริเวณเขาถ�้าเสอื -เขาจา� ปา อา� เภอแกงคอย จงั หวดั
สระบรุ ี เปนการรวบรวมผลการสา� รวจและการวจิ ัยของผีเสือ้ สภาพทางนเิ วศวทิ ยาใน
พืน้ ท่โี ครงการ ฯ เพ่ือเปนขอมูลทางวชิ าการส�าหรบั การจัดการทรพั ยากรและวางแผน
การใชพื้นท่ขี องจุฬาลงกรณมหาวิทยาลยั มีโครงการพฒั นาที่ดินของมหาวิทยาลัย ณ
อา� เภอแกงคอย จังหวดั สระบรุ ี มาตัง้ แตชวงเดอื นตุลาคม พ.ศ. 2549 ถงึ เดอื นธนั วาคม
พ.ศ. 2550 และหลังจากนน้ั มีการด�าเนินงานวิจยั ในพน้ื ทีภ่ ายใตการสนับสนุนของ
โครงการอนรุ ักษพันธุกรรมพชื อนั เนอ่ื งมาจากพระราชด�าริ สนองพระราชดา� ริโดย
จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลยั (อพ.สธ.-จฬ.) และการปฏบิ ตั ิงานในภาคสนามของนสิ ติ จาก
ภาควชิ าชีววทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลยั ในรายวิชาตาง ๆ

ผีเส้ือมีความส�าคัญในการเปนตัวชีว้ ัดถึงสภาพความอุดมสมบูรณและการ
ฟนคืนของพืน้ ท่ี ในขณะท่หี ลายชนิดเปนแมลงศตั รกู ารเกษตรท่สี �าคญั และหลายชนดิ
เปนพาหะเรณูที่ส�าคัญ ดงั น้ันการศกึ ษาผเี ส้ือจึงมีความสัมพันธกับความรูในศาสตร
ดานตาง ๆ ทงั้ ทเ่ี กีย่ วของกบั ชีววทิ ยาและศาสตรแขนงอน่ื ๆ ซ่ึงหนงั สือเลมนไี้ ดรวบรวม
ชนิดผีเสื้อกลางวันและกลางคนื ทพ่ี บในพน้ื ท่เี ขาถ�้าเสอื -เขาจ�าปา ผจู ดั ท�าหวงั วาหนังสือ
เลมนจี้ ะเปนประโยชนแกผสู นใจศกึ ษาผเี สอ้ื ในพนื้ ที่และพื้นท่ีอนื่ ๆ ได

ผูจัดทา�
ตุลาคม 2560

ค�านยิ ม

เน่อื งในโอกาสท่จี ฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั ไดรบั พระราชทานพระราชานญุ าต
จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีใหเปนเจาภาพรวมกับโครงการ
อนุรกั ษพันธกุ รรมพืชอันเน่ืองมาจากพระราชดา� ริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม-
บรมราชกมุ ารี (โครงการ อพ.สธ.) จัดงานประชุมวชิ าการและนิทรรศการคร้ังท่ี 9 ใน
หวั ขอ ทรัพยากรไทย: ศักยภาพมากลนมีใหเหน็ ในปพทุ ธศักราช 2560 ณ พ้ืนท่ี
จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลัย สระบุรี ต�าบลชา� ผักแพว อา� เภอแกงคอย จงั หวดั สระบรุ ี
นับเปนพระมหากรุณาธคิ ณุ เปนลนพนแกชาวจุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลยั

นบั ตั้งแตป พ.ศ. 2550 เปนตนมา จฬุ าลงกรณมหาวิทยาลัยไดขยายพน้ื ท่ี
ด�าเนินกจิ กรรมทางดานการเรยี นการสอน การวิจัย การบริการวชิ าการและกจิ กรรม
ในรปู แบบอ่ืน ๆ ของคณาจารย บคุ ลากรและนสิ ติ มายงั พ้ืนทีจ่ ฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั
สระบุรี ซ่งึ แตเดมิ คอื โครงการพฒั นาที่ดินของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลยั อ�าเภอ
แกงคอย จงั หวดั สระบรุ ี ที่ไดเริ่มดา� เนนิ การมาตง้ั แตป พ.ศ. 2532 จากการริเริ่มจัดหา
ทด่ี นิ โดย ศาสตราจารย ดร.บญุ รอด บณิ ฑสันต และไดมอบพ้นื ทใี่ หกบั จฬุ าลงกรณ
มหาวิทยาลยั ตอมาในป พ.ศ. 2548 มหาวิทยาลัยไดแตงตั้งคณะกรรมการวางแผน
พัฒนาพ้ืนท่ีสระบุรี และในป พ.ศ. 2549 มอบหมายใหคณะวิทยาศาสตรจัดท�า
“โครงการสา� รวจสิง่ แวดลอมทางชีวภาพ กายภาพ และการประเมินสถานภาพทาง
นเิ วศวิทยาในพนื้ ท่ีโครงการ” เพอ่ื ส�ารวจและเกบ็ ขอมูลทง้ั ทางดานกายภาพและชีวภาพ
ของพืน้ ที่

กจิ กรรมการสา� รวจธรรมชาติวิทยาในพ้นื ทจ่ี ฬุ าลงกรณมหาวิทยาลัย สระบุรี
ไดด�าเนินการมาอยางตอเน่ือง จนเปนแผนพัฒนาเครือขายวิชาการจุฬาลงกรณ
มหาวิทยาลัยในภมู ิภาค ที่ไดถวายรายงานตอสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยาม-
บรมราชกมุ ารี ในโอกาสเสด็จพระราชดา� เนินมาทรงติดตามความกาวหนาโครงการ
พัฒนาที่ดินของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย อ�าเภอแกงคอย จังหวัดสระบุรี ในวัน
พฤหัสบดที ่ี 20 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2556 ซึง่ มีสาระทส่ี า� คญั ตอนหนึ่งเกยี่ วของกบั การพัฒนา

พนื้ ท่ีจฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั จังหวัดสระบุรี เพ่ือการเรียนการสอนธรรมชาติวิทยา
แบ บตอเนื่องในระยะยาว โดยมอบหมายใหภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร
จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลัย เปนหนง่ึ ในหนวยงานทรี่ วมรับผิดชอบดา� เนนิ การ

ขอมลู ทางธรรมชาติวิทยาที่ คณาจารย นกั วจิ ยั และนสิ ติ ของภาควิชาชีววิทยา
คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลยั ไดรวมส�ารวจ ภายใตการสนบั สนุนของ
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลยั ต้งั แต ป พ.ศ. 2549 จนถงึ ปจจุบัน มีคุณคาเชิงวิชาการสงู
มาก สมควรไดรบั การรวบรวมไวอยางเปนระบบ ภาควิชาชีววิทยา คณะวทิ ยาศาสตร
จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลยั จงึ มคี วามยินดีและขอขอบพระคุณเปนอยางย่ิงที่ศนู ยเครือ
ขายการเรียนรเู พื่อภูมิภาค จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลยั ไดจัดพิมพหนังสอื เก่ียวกบั สรรพ
ชีวติ ในพื้นทส่ี ระบรุ ีจา� นวน 6 เร่ือง ไดแก พืชพรรณในพ้นื ท่ี ผเี สื้อ แตนเบียน สตั วสะเทนิ
นา�้ สะเทินบก นก และคางคาว ไวเพื่อเปนแหลงอางอิงของพน้ื ท่แี ละของจงั หวดั สระบุรี
อนั จะยังใหเกดิ ความรู ความเขาใจ จนนา� ไปสกู ารอนุรักษทรพั ยากรธรรมชาตไิ วตอไป

ผชู้ วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กติ นะ
หวั หนาภาควชิ าชีววทิ ยา คณะวิทยาศาสตร

จุฬาลงกรณมหาวิทยาลยั

กลุมผเี สอ้ื กลางวัน

ในพ้ืนเขาจ�าปาและเขาถ�้าเสือ (เรยี งตามขนาดตวั )

Birdwing (P.23) Helen (P.32)

Mormon (P.36) Rose (P.29)

Lime (P.29) Mime (P.36)

Swordtail (P.40) Jay (P.43)

Jezebel (P.48) Wanderer (P.54)

Emigrant (P.54) Tiger (P.71)

Crow (P.74) Nawab (P.78)

Rajah (P.78) Lacewing (P.91)

Yeoman (P.97) Knight (P.103)

Commander (P.103) Earl (P.106)

Egg y (P.116) Dragontail (P.46)

Albatross (P.51) Grass Yellow (P.61)

Brown (P.84) Leopard (P.94)

Lascar (P.100) Sailor (P.100)

Pansy (P.110) Psyche (P.48)

Coster (P.91) Pierrot (P.120)

Cupid (P.122) Clubline (P.124)

Tit (P.127) Dart (P.130)

สารบัญ 1
4
ค�าน�า 7
ค�านยิ ม 9
ผีเสื้อคืออะไร? 11
บทบาทของผเี ส้ือ 12
ววิ ฒั นาการของผีเสื้อ 14
วงศ์ (family) ของผีเสือ้ กลางวัน 17
ปกและการบนิ ของผีเสอ้ื 18
เกลด็ สี ลายปกและพันธกุ รรม 19
พฤติกรรมการหาคแู ละผสมพันธ์ุ
วงจรชวี ติ ของผีเสอ้ื
พชื อาหารและการวางไข
การอนุรักษ์ผเี สื้อ

คูมือรูปภาพ (pictorial key) ของผีเสือ้ ในพ้ืนที่ 20
ผเี ส้ือกลางวัน
21
- วงศผ์ เี ส้อื หางต่ิง (family Papilionidae) 47
- วงศผ์ เี สอ้ื หนอนกะหล�่า (family Pieridae) 69
- วงศ์ผีเสื้อขาหนาพู (family Nymphalidae) 119
- วงศผ์ เี สอ้ื สีนา้� เงิน (family Lycaenidae) 129
- วงศผ์ เี สอ้ื บนิ เรว็ (family Hesperiidae)
131
ผีเส้อื กลางคนื 135
139
- วงศ์มอธหนอนเจาะไม (family Cossidae) 146
- วงศม์ อธหนอนราน (family Limacodidae) 147
- วงศม์ อธหนอนคืบ (family Geometridae) 151
- วงศ์มอธหนอนมวนใบ (family Tortricidae) 164
- วงศ์มอธคางคาว (family Uraniidae) 182
- วงศม์ อธเหยี่ยว (family Sphingidae) 186
- วงศ์มอธหนอนกระทู (family Erebidae) 194
- วงศม์ อธตานกฮูก (family Noctuidae) 199
- วงศม์ อธหนอนกอ (family Crambidae) 205
208
ภาพหนอนผเี สอื้ ที่พบในพืน้ ท่ี
ตารางเปรยี บเทียบพืชอาหาร
สรปุ
เอกสารอางองิ



ผีเสือ้ คอื อะไร?

ผีเสอื้ เปนแมลงกลมุ หน่งึ ซึ่งมลี ักษณะรวมกับแมลงกลมุ อ่นื ๆ คือ รางกาย
ภายนอกถูกปกคลุมไปด วยเกราะแข็งที่เรียกวา โครงรางแข็งภายนอก หรือ
exoskeleton โดยโครงรางแขง็ นีเ้ ปนโครงสรางทป่ี ระกอบขน้ึ มาจากสายคารโบไฮเดรต
ทีเ่ รียกวา ไคตนิ (chitin) และรางกายสามารถแบงออกไดเปน 3 สวนคือ หวั (head)
อก (thorax) และทอง (abdomen) มขี าท่เี ปนขอปลอง 6 ขาตอกับบริเวณอกซง่ึ มี
3 ปลองและแตละปลองจะมขี า 1 คู มีระบบทางเดนิ หายใจทปี่ ระกอบขนึ้ จากชุดของ
ทอจา� นวนมาก เรยี กวา tracheae ซ่ึงนา� อากาศสูทุกสวนและทุกเซลลของรางกาย โดย
มีชองเปดอยูบรเิ วณขางลา� ตัว เรยี กวา spiracles มหี นวด (antennae) หนึ่งคูท�าหนาท่ี
คลายเสาอากาศ คอื ตรวจจบั สารเคมแี ละแรงสน่ั สะเทอื นได มรี ะบบหมนุ เวยี นเลอื ด
แบบเปด คือ มีหลอดเลอื ดหลัก dorsal aorta ทา� หนาที่เหมือนกบั หัวใจในการเพิ่ม
แรงดนั นา�้ เลอื ด (haemolymph) จากดานทายลา� ตวั ไปสดู านหนาเปดสชู องวางในล�าตัว
ในการสงสารอาหารไปเลี้ยงเซลล แตเซลลและอวยั วะตาง ๆ จะอยูในนา�้ เลอื ดที่ และ
เชนเดียวกับแมลงท่ีมีวิวัฒนาการสงู อนื่ ๆ ผีเสอื้ ตวั เต็มวยั มักจะมีตาที่เปนแบบตา
ประกอบ (compound eyes) และตาเด่ยี ว (simple eyes/ocelli) และมีปก 2 คงู อก
ออกมาจากอกคูท่ี 2 และ 3

ลักษณะเดนของผีเสอื้ ทแี่ ตกตางจากแมลงกลมุ อน่ื ๆ คอื การที่ปกท้งั สองคู
ของผีเส้อื ปกคลุมไปดวยเกล็ดเลก็ ๆ ซ่งึ ซอนทับกันอยู อนั เปนที่มาของชอื่ อนั ดับ
(order) ของผเี สือ้ Lepidoptera ซึ่งมาจากค�าวา lepidos (เกลด็ ) + ptera (ปก)
และลักษณะเดนอีกลักษณะหน่ึงของผีเสื้อ คือ การมปี ากแบบทอดูด (siphoning
mouthpart) – หรอื แบบงวง (proboscis)

สวนตาง ๆ ของผีเสื้ออยางงาย

หนวด (antenna) สวนทอง (abdomen)
สวนหวั (head) ที่มตี าประกอบขนาดใหญ ขา
ปากแบบทอดดู (siphoning mouthpart) ปกคหู นา (fore wing)
– งวง (proboscis) ปกคหู ลงั (hind wing)
สวนอก (thorax)

ในผีเส้ือตัวเต็มวัยส วนมาก ส วนของปากได ลดรูปจากการท่ีมีกราม
(mandible) ไวใชในการบดเคยี้ วเหมือนแมลงอ่ืน ๆ และในระยะตวั หนอนผีเสอ้ื เอง
ไปเปนทอยาวคลายงวง (siphoning mouthpart) โดยบริเวณงวงนี้ เรียกวา
proboscis ซึ่งเปนการวิวัฒนาการมาเพื่อดูดกินอาหารเหลว ซ่ึงในท่ีนค้ี อื นา้� หวาน
หรือของเหลวอื่น ๆ แตกม็ ผี เี ส้อื บางกลุมทใี่ นตัวเต็มวยั สวนของปากไดลดรูปหายไป

ผเี สอื้ สามารถแบงออกเปนผีเสอื้ กลางวนั (butter ies) และผเี สอ้ื กลางคืน
(moth) และผเี ส้ือสวนมากในโลกนี้เปนผีเสื้อกลางคืน โดยผีเส้อื กลางวนั มีประมาณ
17,500 ชนิดจาก 6-7 วงศ (family) ในขณะท่ผี เี สอื้ กลางคืนมีมากกวา 200,000 ชนิด
จาก 125 วงศ ในเบอ้ื งตนผีเสือ้ กลางวันสามารถถกู แยกออกจากผีเส้ือกลางคืนได โดย
ดจู ากลกั ษณะของหนวด ซึ่งผีเสอ้ื กลางคืนสวนมากมกั จะมหี นวดแบบซ่ีหวี (pectinate)
หรือแบบเสนขน ( liform) ในขณะท่ีผีเส้อื กลางวนั สวนมากมหี นวดแบบกระบอง
(clavate)

วงจรชีวิตของผีเส้ือมีลักษณะการเปล่ียนแปลงรูปร างแบบสมบูรณ
(complete metamorphosis/ holometabolous) หมายความวาในชวงชวี ติ หนงึ่
ตองผานรูปแบบของชวี ติ ทง้ั 4 ระยะ คือ ไข ตวั หนอน ดักแด และตวั เต็มวัย ซึ่งในแมลง
ท่ีมีการเปล่ียนแปลงรูปรางแบบสมบูรณน้ีจะพบในกลุ มของแมลงท่ีเรียกว า
Endopterygota อันประกอบดวย แมลงวัน (order Diptera) ดวง (order
Coleoptera) ผ้งึ ตอ แตน มด (order Hymenoptera) รวมทงั้ ในกลุมของแมลง
ที่มีความใกลชิดกับผีเสอ้ื มากทส่ี ดุ คอื แมลงหนอนปลอกน้�า (order Trichoptera)
รวมแลวประมาณ 850,000 ชนดิ ซง่ึ เปนจ�านวนท่ีมากกวาครึ่งหน่ึงของชนิดสัตว
ทร่ี ูจกั กันบนโลกใบน้ี

บทบาทของผีเสอ้ื

ผเี ส้อื กับบทบาทเชงิ นิเวศ

ผเี สื้อท่ีพบในพ้นื ท่ีเขาถา�้ เสอื -เขาจ�าปา ในตา� บลชา� ผักแพว อา� เภอแกงคอย
จงั หวัดสระบรุ ี สวนใหญเปนชนิดที่พบไดทั่วไป แตบางชนดิ มถี ่ินอาศัยหลักในพ้ืนที่
อุทยานแหงชาติเขาใหญและอุทยานแหงชาติเขาสามหล่ันซ่ึงไมไกลจากพน้ื ที่ศึกษา
พนื้ ท่เี ขาถ�้าเสือ-เขาจ�าปา เปนพืน้ ทเ่ี นนิ เขาความสงู ประมาณ 40-120 เมตร เดิมเปน
ปาสงวนแหงชาตปิ ระกอบดวยปาเต็งรังและปาเบญจพรรณทีม่ ีการเขาไปใชประโยชน
จากพื้นที่โดยการตัดตนไมและการทา� การเกษตร ตอมากรมปาไมไดใหจฬุ าลงกรณ
มหาวทิ ยาลยั เขามาใชประโยชนจากพ้ืนที่โดยมีโครงการศึกษาและติดตามการฟนฟู
ระบบนิเวศต้งั แตป พ.ศ. 2548 และไดมีการจัดตั้งเสนทางศกึ ษาธรรมชาติ แปลงศึกษา
ถาวรเชิงนเิ วศ รวมทัง้ มกี ารสรางอางเก็บนา้� ขนาดตาง ๆ โดยรอบ ฝายชะลอนา�้ แปลง
ปลกู ปาดวยวธิ ีการตาง ๆ แปลงสาธิตเกษตรอนิ ทรยี อาคารทพ่ี ัก อาคารสา� นกั งาน
อาคารวจิ ัย และโรงงานตนแบบ

สิ่งมชี วี ิตหนง่ึ ที่มกี ารติดตามตงั้ แตการสา� รวจผลกระทบทางส่งิ แวดลอม (คณะ
วทิ ยาศาสตร 2550) คือ ผเี สื้อ เนอื่ งจากความหลากหลายของผีเสอื้ เปนสามารถบงชี้
ถึงความหลากหลายของพชื อาหารของหนอนผเี สอ้ื ซึง่ หลายชนดิ มคี วามจา� เพาะกับพืช
อาหารและการมีแหลงน้�าหวานจากดอกไมส�าหรับผีเสื้อตัวเต็มวยั รวมถึงการมีอยู
ของสัตวเล้ียงลูกดวยน�้านมตาง ๆ ที่อาจเปนแหลงยูเรียและเกลือได นอกจากนี้
หนอนผีเส้ือและผีเสือ้ ตัวเต็มวัยยังเปนอาหารที่สา� คญั ของส่ิงมีชวี ิตกลุมอื่น ๆ เชน
แมงมมุ แมลงผลู า กบ นก คางคาว เปนตน

การเปลยี่ นแปลงของพ้ืนที่ทงั้ จากธรรมชาติและมนษุ ยมีผลกระทบกบั ผีเสื้อ
ทงั้ ทางตรงและทางออม เชน การมไี ฟปา ความแหงแลงทีเ่ กดิ จากปรากฏการณเอลนนิ
โย การระบาดของวชั พชื หรอื สัตวตางถน่ิ การสรางแหลงนา�้ เปนตน ดงั นั้นการศกึ ษา
ติดตามความหลากหลายและประชากรของผเี ส้ือในพืน้ ทจ่ี ะสามารถชวยบงชห้ี รอื คาด
การณถึงผลจากการเปลยี่ นแปลงนนั้ ๆ ได

ผีเส้ือกับบทบาททางวฒั นธรรม

ผเี ส้ือ เปนคา� เรยี กทใี่ ชเรยี กแมลงทีบ่ นิ ได มปี กที่ปกคลุมดวยเกล็ดสสี ันสวยงาม
ผเี สอื้ ถกู เรยี กในภาษาถ่ินวา แมงจับเจื้อ แมงกะเบอ้ื หรือกา� เบ้ือ และอีกหลายคา� เรียก
ชือ่ ผเี ส้ือที่ออกเสยี งใกลเคียงกับค�าดงั กลาว ในบางความเชื่อของไทย ค�าวา ผเี ส้อื อาจ
เปนการกรอนค�ามาจากค�าวา ผเี สอ้ื วดั ผีเส้อื บาน หรอื ผีเส้อื เมือง ซึ่งท�าหนาทใี่ นการ
ปกปกรกั ษาสถานที่นั้น ๆ และการที่ผเี สอื้ บินอยูในพื้นที่อาจหมายถึงการแสดงตนของ
วญิ ญาณผพู ิทกั ษสถานท่ี

ผีเส้ือมชี ื่อเรยี กในภาษาองั กฤษวา butter y ซงึ่ อาจจะมีคา� ถามวาผีเสือ้
เก่ียวของอยางไรกบั เนย (butter) คา� วา butter y นกั ภาษาศาสตรคาดวามีรากศัพท
มาจากคา� ภาษาองั กฤษสมยั โบราณวา buttor eoge ซงึ่ ใชเรียกแมลงท่ีชอบมาบนิ ตอม
ถังนม โดยคนในยคุ นน้ั เช่ือวาเปนลกู สมุนของแมมดที่จะมาขโมยเนยทอ่ี ยใู นถังนม และ
ตวั หนอนผีเสอ้ื ในภาษาองั กฤษ เรยี กวา caterpillars ซึง่ คาดวามีรากศัพทมาจากศพั ท
ภาษาฝรง่ั เศสโบราณวา chatepelose ซึง่ แปลวา แมวขนปยุ หรือ กอนขน หรือ
อาจจะมาจากคา� วา cate ทแี่ ปลวา อาหาร และ pillage ทแ่ี ปลวา ปลน เนือ่ งจาก
หนอนผีเสื้อสามารถกินพชื ที่เปนอาหารไดมากกวานา้� หนกั ตัวหลายเทา

นอกจากน้ี ผเี สอ้ื เปนสัญลักษณของต�านานและเร่ืองเลาของมนษุ ยมาอยาง
ชานาน ในชนเผาอเมรกิ นั พืน้ เมอื งโบราณเชื่อวาผเี สอ้ื เปนผนู า� พาความฝนมาให หรือ
ในชาวเผาเมียว (Miao) ทางตะวันตกเฉียงใตของจนี เช่อื วาตนกา� เนดิ ของมนษุ ยเกิดขึ้น
จากไขของแมผีเสือ้ ซ่ึงชาวจนี เช่ือวาผีเสือ้ เปนสัตวในตา� นานที่เปนตวั แทนของการมีอายุ
ยืนยาวและความสวยงาม และการทผ่ี เี สื้ออยเู ปนคเู ปนสญั ลักษณของความรักอันเปน
นิรันดร ดังต�านานจีนโบราณที่กลาวถึงคูรักชายหญิงคือ เหลียงซานปว (Liáng
Shanbó) และ จูอิงไถ (Zhù Yingtái) ซง่ึ เปนความรกั ตองหามท่ีไมสมหวังของทง้ั คู
เนอ่ื งจากครอบครัวของทง้ั คมู ีความอาฆาตพยาบาทตอกนั มากอน ในทายท่ีสุดคูรักคนู ้ี
จงึ ตดั สินใจฆาตวั ตายและวญิ ญาณของท้ังคไู ดกลายเปนผเี ส้ือบินคูกนั ตลอดไป

อีกทั้ง การที่ผีเสื้อมวี งจรชวี ติ แบบหลายรปู รางเปรยี บเสมอื นการเกิด ตาย
และเกิดใหมในความเชื่อของหลายวฒั นธรรม ในประเทศเมก็ ซโิ กการมาถงึ ของผเี สื้อ
โมนารค BOBVT MFYJ VT จากทางเหนอื ของประเทศอเมรกิ าในชวงฤดหู นาวตรง
กับวนั แหงความตาย (Day of the dead, JB EF MPT .VFSUPT) ตามความเชอ่ื และ
วัฒนธรรมเม็กซิกัน ซง่ึ ชาวเมก็ ซิกันเช่ือวาผีเส้อื ท่ีบนิ มาน้คี ือดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ
ท่กี ลบั มาจากโลกแหงความตาย เชนเดยี วกับความเช่ือของไทยทว่ี าการทผ่ี ีเส้ือบินเขา
บาน เปนดวงวิญญาณของญาติผูใหญทีเ่ พงิ่ เสียชีวิตไปกลบั มาดลู กู หลาน

ในปจจบุ นั ผเี สือ้ กลายเปนสง่ิ มชี ีวิตที่เปนตวั แบบทส่ี �าคญั ในการศึกษาและวิจัย
ในหลาย ๆ ดานทางชีววิทยา อาทิ พันธศุ าสตร นเิ วศวิทยา และการววิ ฒั นาการ หรอื
การศึกษาในเชิงวิศวกรรมการบิน การหกั เหของแสงในเชิงฟสิกส การมีคุณสมบัติ
กนั นา�้ แบบใบบัวของปกผีเส้ือ หรือการออกแบบลวดลายเส้อื ผา ดงั นั้น การศกึ ษาผีเสือ้
ในดานตาง ๆ จะชวยในการพัฒนาดานความเปนอยทู ัง้ ทางวตั ถุและจิตใจของมนุษยได

BOBVT HFOVUJB เปนผเี สือ้ ในวงศ หนอนของผีเสอื้ เณร VSFNB sp.
ผีเสื้อหนอนใบรักในประเทศไทย ก�าลงั รุมกินใบไม
ทม่ี คี วามคลายคลึงกบั ผเี ส้อื โมนารช

ในทวปี อเมริกา

ววิ ฒั นาการของผีเสื้อ

ผเี สือ้ ไดถกู คาดการณวามีววิ ัฒนาการขึน้ มาพรอม ๆ กับการเกิดขน้ึ มาของ
ดอกไม โดยการกา� เนดิ ของผเี สือ้ น้ชี วยใหเกดิ การวิวัฒนาการครง้ั ส�าคัญของพืชได ความ
หลากหลายและการกระจายตวั ของพืชดอก (Angiosperm) ซง่ึ เปนพชื ทีม่ ีจ�านวนมาก
ท่สี ดุ ในโลกในปจจุบัน สวนหน่ึงเปนผลอนั เนื่องมาจากการที่แมลงชวยในการผสมเกสร
โดยดอกไมจะใหน้�าหวานเปนการตอบแทนแมลงทีช่ วยผสมเกสรนี้ และหลังจากนน้ั อกี
ลานปตอมาถึงจะมนี กและคางคาวทีช่ วยในการผสมเกสร แสดงใหเห็นวาสิง่ มีชีวิตกลมุ
แรกท่ีสัมพันธอยูกบั ตนไม คือ แมลง

ในกลมุ ของผีเสื้อกลางคนื ทโี่ บราณที่สดุ ในปจจุบนั มีกรามที่สามารถใชได ซึง่
แตกตางกับผเี สอ้ื กลมุ อื่น ๆ อีกท้ังในระยะตัวหนอนยงั มีพืชอาหารเปนพวกพชื ไรดอก
อยางมอสและสนอกี ดวย และจากการศึกษาทางดานวิวัฒนาการพบวาการเปลี่ยนมา
กินพืชดอกนั้นเกิดขึ้นในภายหลัง จากการใชขอมูลทางอณูชีววิทยา (molecular
biology) ดวยการศกึ ษา molecular clock ชวยใหสามารถทราบความเปนมาในชวง
เวลาตาง ๆ ของการวิวฒั นาการของผีเสอื้ และแมลงในกลมุ ขางเคียงอยางแมลงหนอน
ปลอกน�้า ซง่ึ พบวามีการแตกสายวิวฒั นาการออกจากกนั เม่ือประมาณ 230 ลานปกอน
ในชวงปลายยุคไทรแอสสิก (Triassic period) โดยฟอสซิลแรกของผเี ส้ือไดคนพบ คือ
ผีเสอื้ กลางคืนพบวามีอายปุ ระมาณ 190 ลานปอยูในชวงตนยคุ จูราสสิค (Jurassic
period) และพบวาผีเส้ือท่เี ราเห็นกันในปจจุบันนีม้ ีตนก�าเนดิ อยใู นชวงตนยูคครเี ทเซยี ส
(Cretaceous period) เมอื่ พืชดอกเร่ิมมกี ารววิ ัฒนาการครง้ั ใหญและกระจายตวั ออก
เปนบรเิ วณกวาง ท�าใหมกี ารวิวฒั นาการของผีเส้ือใหมีสวนปากเปนแบบทอดดู เพือ่ ดดู
นา�้ หวานจากดอกไม และหนอนผเี ส้ือไดมีการปรบั ตัวใหสามารถกนิ ใบพืชดอกได

เสนทางการวิวัฒนาการของผเี สื้ออาจจะยงั สามารถตรวจสอบไดจากการ
วิวฒั นาการของพืชอาหารทีห่ นอนผีเส้ือชนิดนน้ั ๆ กนิ โดยผีเส้อื มักจะมีการปรับตวั
เพือ่ กนิ พืชอาหารชนิดนนั้ ๆ มาเปนเวลานาน เนอื่ งจากตองมวี วิ ัฒนาการใหสามารถ
ทนทานตอสารเคมีท่ีมีอยูในพชื อาหารชนดิ ตาง ๆ ได แตผเี สื้ออาจมีการเปลยี่ นกลุม

ของพชื อาหารในชวงที่มวี วิ ฒั นาการได หรอื อาจเปลี่ยนกลบั ไปกลับมาได อยางไรก็ตาม
ผีเสื้อมักจะจ�าเพาะตอพืชอาหารกลุมใดกลุมหนึ่งเทาน้ันดวยเหตุผลทางดานการ
ปรบั ตัวเขาหาพชื อาหาร

ยกตัวอยางเชน ในปจจุบันนักกีฏวทิ ยาคาดวากลุมของผีเสอ้ื หางตงิ่ ในวงศ
Papilionidae เปนกลุมผเี สอื้ ท่ีมคี วามเกาแกมากที่สุด โดยดจู ากพชื อาหารทหี่ นอน
ผีเสอ้ื กลุมนี้กนิ ซึ่งพืชอาหารของผเี สื้อกลุมนี้ในอดีตมีความสัมพันธกับพืชในกลุม
กระเชาสดี า (วงศ Aristolochiaceae) โดยผีเสื้อหางติง่ ที่เกาแกท่ีสุดท่ยี ังมีอยใู นปจจุบัน
คือ ผีเสื้อหางตงิ่ ในวงศ Baroniidae ซงึ่ มเี พียงสกุลเดยี วเทานั้น คือ สกุล BSPOJB spp.
ที่อยูประเทศเม็กซิโก ซ่ึงตัวหนอนของผีเส้ือชนิดน้ีกินพืชอาหารจ�าพวกพชื ในสกุล
อาเคเซยี ( DBDJB spp., วงศ Mimosoideae) แตการเกดิ ข้ึนมาของตนอาเคเซียไมได
เกิดข้นึ มาพรอมกบั ผเี ส้ือในสกลุ น้ีทเ่ี กิดมาเมือ่ 68 ลานปทีแ่ ลว ซ่งึ ในตอนแรกผีเสือ้ ใน
สกุลน้ไี ดวางไขบนพืชในวงศ Crassulaceae ทม่ี ีตนกา� เนดิ พรอม ๆ กบั ผีเสอ้ื ในสกลุ น้ี

วงศ์ (family) ของผีเส้ือกลางวัน

ผเี สือ้ สามารถแบงไดเปนหลายวงศ แตในปจจุบันนกั กฏี วิทยาสามารถแบง
ผีเส้ือกลางวนั ออกไดเปน 6 วงศ คือ วงศผีเส้อื หางติ่ง (Papilionidae) วงศผเี ส้ือ
หนอนกะหลา�่ (Pieridae) วงศผีเสือ้ ขาหนาพู (Nymphalidae) วงศผีเสื้อสนี า้� เงิน
(Lycaenidae) วงศผีเสือ้ บินเรว็ (Hesperiidae) และวงศผีเสือ้ ปกกงึ่ หุบ (Riodinidae)
แตในวงศสดุ ทายนีบ้ างต�าราอาจจดั เปนวงศยอยท่ีอยใู นวงศของผเี ส้ือสนี า�้ เงนิ และใน
วงศของผีเส้อื บนิ เรว็ มลี ักษณะหลายอยางที่คลายกบั ผเี สื้อกลางคนื จงึ เกดิ คา� ถามตอมา
วาผเี สื้อบินเรว็ ใกลเคยี งกบั ผเี สือ้ กลางวนั ในวงศอืน่ ๆ ไดอยางไร ซึ่งการตอบค�าถามน้ี
อยางงาย คือ ผีเสื้อบนิ เร็วถูกจดั อยูในวงศใหญ (superfamily) Hesperioidea
ในขณะท่ีผีเส้ือกลางวันอื่น ๆ อยูในวงศใหญ Papilionoidea โดยผีเสื้อบินเร็ว
แยกออกมาเปน basal group ใน phylogenetic tree แตจากการศึกษาทางดาน
อณูชีววทิ ยาเม่ือไมนานมานีพ้ บวาวงศผีเสอ้ื หางต่ิงน้นั แยกออกไปจากกลุมของผเี สื้อ
กลางวนั มากกวาวงศผีเสื้อบินเรว็ ดังน้ันถาตองการจะจัดใหผีเส้ือกลางวันท้ังหมด
เปนกลมุ เดยี วกันตามหลกั monophyletic group ใน phylogenetic tree จงึ จ�าเปน
ตองรวบท้ังหมดเขาดวยกนั วงศผีเส้ือบินเร็วจึงกลายเปนสวนหนึ่งของวงศใหญ
Papilionoidea

จากการศกึ ษาพบวาวงศผีเสื้อหางติง่ ไดกา� เนิดขนึ้ มาบนโลกใบน้ีเมือ่ ประมาณ
110 ลานปกอน ตามดวยวงศผเี สอื้ หนอนกะหล่�าเม่อื ประมาณ 5 ลานปหลังจากน้ัน
ในขณะท่วี งศผีเสื้อขาหนาพูทเ่ี ปนกลมุ ผเี สอ้ื ทมี่ ีจา� นวนชนดิ มากท่สี ดุ และหลากหลาย
ทีส่ ุดเกดิ ข้นึ มาหลงั จากนน้ั อีกประมาณ 3 ลานป และในสวนของวงศผเี สื้อสีน้�าเงินได
แยกจากวงศผีเสื้อปกกึ่งหุบเม่ือประมาณ 88 ลานปท่ีแลว และในชวงปลายยุค
ครเี ทเซยี ส (Cretaceous period) เมอื่ ประมาณ 65 ลานปมาแลว ชวงทไ่ี ดโนเสารได
สูญพนั ธลุ งไป วงศผเี สอื้ ขาหนาพูก็ไดเกิดการววิ ัฒนาการแยกเปนวงศยอยมากมาย
จนถึงปจจบุ ัน

จากการศึกษาเมื่อป 2014 พบวาผีเส้อื บินเรว็ วงศ Hesperiidae มคี วามใกลชดิ กบั
ผเี สอื้ กลางวันอื่น ๆ มากกวาเม่อื เทยี บกับผเี สอ้ื หางต่งิ ในวงศ Papilionidae
ผีเสือ้ บินเรว็ ใน family Hesperiidae

ปกและการบนิ ของผีเสือ้

ปกของผีเสอื้ เปนปกแบบแผนบาง (membraneous) ท่ีมลี ักษณะเรียงตวั ซอน
กันสองช้นั โดยเสรมิ ความแข็งแรงดวยทอทภ่ี ายในมี haemolymph และเรียกทอนี้
วา เสนปก (vein) ซ่ึงในผเี สื้อแตละกลุมจะมกี ารเรียงตวั ของเสนปกที่แตกตางกัน และ
สามารถใชเสนปกนใี้ นการจา� แนกกลมุ แบบคราว ๆ ได และทบ่ี ริเวณโคนปกจะมีอวัยวะ
ทีใ่ ชในการเกย่ี วปกคูหนาและหลงั ไวดวยกัน (jugum, frenulum) เพื่อชวยใหผีเสื้อ
สามารถควบคุมปกทั้งสองคไู ดอยางพรอมเพรยี งกนั

กลามเนอ้ื ปกของผีเส้ือนน้ั จะมสี องชุด ท�าการหดและคลายตัวสลับกัน โดย
กลามเนือ้ ชดุ หนึ่งจะหดตัวในแนวตั้งและอีกชุดหนึง่ หดตวั ในแนวนอน เน่อื งจากผเี สอ้ื
มีปกส่ีปก ผีเสอ้ื จงึ ไมไดบินอยางนกท่วั ไป และการที่ผเี สื้อมีปกทีม่ ีขนาดใหญกวาล�าตัว
คอนขางมาก ท�าใหการกระพือปกขึ้นและลงของผีเสอื้ ในแตละครั้งจะสามารถสราง
ลมหมุนใตปก เพือ่ ยกตวั ผเี สอื้ ข้ึนจากพน้ื ผิวได

การบินของผเี สื้อบางชนดิ เปนตนแบบในการพัฒนาเทคโนโลยอี ยางชนิด อาทิ
ในกองทพั อากาศสหรัฐอเมริกาไดทา� การศกึ ษาการบนิ ของผีเสื้อในวงศผเี สื้อขาหนาพู
ชนดิ BOFTTB DBSEVJ เพอ่ื ใชในการพัฒนาหนุ ยนตขนาดเลก็ เพ่อื ใชในการสอดแนม

ในผเี สอื้ ปกตจิ ะมจี า� นวนครง้ั การกระพือปกตอนาที (wing beat) ประมาณ
10-30 ครงั้ ซง่ึ เปนความเร็วที่นอยมากเกินกวาที่จะลอยตัวอยกู บั ทใ่ี นอากาศ แตมผี เี ส้อื
บางชนิดท่มี ีจ�านวนครัง้ ท่ีสูงมาก จนสามารถลอยตวั อยูกบั ท่ีในอากาศได อาทิ ในกลมุ
ของมอธเหย่ียวปกใส โดยมหี ลักการเดียวกบั ปกของนกฮัมมงิ่ เบิรด

เกล็ด สี ลายปกและพันธกุ รรม

ปกของผเี ส้อื ถูกคลมุ ดวยเกล็ด (scale) ทเ่ี หล่อื มกนั หลายพนั เกล็ด ซึ่งการเกดิ
สสี ันของปกผีเสอ้ื เกดิ มาจากการสะสมเมด็ สี โครงสรางของเกล็ด การเรืองแสงและการ
หกั เหแสงของเกลด็ เลก็ ๆ เหลานี้ โดยสวนมากเกลด็ เหลาน้จี ะมีขนาดประมาณกวาง
ประมาณ 50 ไมโครเมตร และยาว 100 ไมโครเมตร มีคณุ สมบตั ใิ นการกันน�้าเชนเดยี ว
กับบนใบบัว ในผเี ส้ือบางชนิดท่มี เี กลด็ ทเ่ี ปล่ยี นแปลงไปทา� หนาทพ่ี เิ ศษ อาทิ การปลอย
ฟโรโมนในผีเสอื้ หางติ่งบางชนิด

โครงสรางของเกลด็ มีความซับซอนมากเกดิ เปนโครงสรางท่ีเรียกวา micro-
structure โดยปกตใิ นเกลด็ แตละเกล็ดจะมีการสะสมเมด็ สสี ีด�า สแี ดง และสีเหลอื ง
เอาไว และการเกดิ สีของปกนนั้ เกดิ จากการท่ี microstructure ของเกลด็ แตละเกล็ด
มคี วามตางกัน ซง่ึ จะมคี ณุ สมบัติการดดู กลืนและหกั เหแสงที่ไมเทากนั ท�าใหเกดิ เฉดสี
ท่แี ตกตางกนั

เกลด็ แตละเกลด็ บนปกของผีเส้ือนัน้ เปรยี บไดกับ pixel แตละจดุ บนจอ
คอมพิวเตอร ซ่งึ แตละเกล็ดจะแสดงผลออกมาเพียงสีเดยี ว โดยใชรหัสทางพันธกุ รรม
ท�าหนาที่ใหการก�าหนดสคี ลายกับค�าส่ังคอมพิวเตอร และการแสดงออกของยนี บนปก
ของผีเสอ้ื นเี้ ปนทสี่ นใจของนกั วทิ ยาศาสตรทง้ั ดานกลไกและการแสดงออก

ลกั ษณะการเรยี งตัวของ
เกล็ดผีเส้ือจากกลองจลุ ทรรศน

แบบสเตอริโอ (32X)

ในป ค.ศ. 1920 Schwanwitsch และ Suffert ไดทา� การศึกษาการเกิดลาย
บนปกของผีเสื้อในวงศขาหนาพู (family Nymphalidae) พบวามยี ีนอยางนอย 12
ยีนในการเกิดลวดลายบนปกของผีเสื้อในวงศนี้ โดยเฉพาะลายคลายดวงตาที่เปน
ลักษณะเดนของผเี สอื้ ในวงศน้ี ซ่งึ การเกดิ การกลายพนั ธขุ องยีน ในบางครง้ั การทา� ให
มลี วดลายบนปกทแ่ี ตกตางออกไปบางในผเี สอื้ ชนิดเดยี วกัน ซึ่งเรยี กลกั ษณะท่ีแตกตาง
กนั นว้ี าความผดิ ปกตหิ รือความหลากหลายทางพนั ธกุ รรม

ความซับซอนของลวดลายบนปกผเี ส้อื เจาหญงิ คาลโิ ดเนยี
HBUBTB DBMZEPOJB

พฤตกิ รรมการหาคูและผสมพนั ธ์ุ

ผเี สอื้ ตัวเต็มวัยมอี ายขุ ยั ทีไ่ มยืนยาวนกั ดังน้ัน จงึ จา� เปนตองรบี หาคผู สมพนั ธุ
ใหเรว็ ที่สดุ สวนมากผเี สอื้ ตัวผมู กั จะเปนตัวทจี่ ะตามหาเพศเมยี เพ่อื จะผสมพนั ธุ โดย
อาศัยลกั ษณะสีและลวดลาย รวมท้งั ฟโรโมนเพศ ในการจา� แนกชนิดเดยี วกันเพ่ือผสม
พนั ธุ ซ่งึ ตัวผูจะมวี ธิ ใี นการหาคอู ยู 2 วธิ ี คอื การบินหาตัวเมีย หรอื รออยเู ฉย ๆ ในที่
เหมาะสมเพอ่ื รอตวั เมียบินผานมา โดยวิธกี ารดังกลาวจะแตกตางกันไปในผีเสอื้ ชนดิ
ตาง ๆ ตามววิ ัฒนาการ ในชนดิ ที่บินหาคูจะเปนการบินเพอ่ื หาตัวเมียและพืชอาหาร
ของหนอนไปในตวั โดยมักจะพบพฤตกิ รรมนีใ้ นผีเส้ือตัวเลก็ ๆ แตในผีเสอื้ ขนาดใหญ
มักจะเกาะรอคูอยูกับท่ี เน่ืองจากการบินท�าใหเสียพลังมากเกินไป อาจจะท�าใหมี
พลังงานเหลือไมเพียงตอการผสมพันธุ

ในส�าหรบั ผีเส้อื ที่เกาะอยกู ับท่ีน้ัน มักจะมีพฤติกรรมกาวราวในการปกปอง
พืน้ ที่รอบ ๆ อาณาเขตของตนเอง โดยจะขบั ไลผเี ส้อื ตัวอน่ื ๆ ทเ่ี ขามาใหพน้ื ที่ และ
ผเี สื้อทส่ี ามารถปองกันอาณาเขตของตนเองได จะมโี อกาสในการสบื พนั ธุมากกวาตัว
อื่น ซง่ึ โดยปกตติ ัวผจู ะเปนผูสรางอาณาเขต แตในผีเส้อื บางชนดิ ตวั เมยี จะเปนผูสราง
อาณาเขตแทนตวั ผู อาทิ ในกลุมของผีเสอ้ื หนอนหนามกะทกรกแอฟรกิ า DSBFB
FODFEPO จะมีประชากรของตัวเมียมากกวาตวั ผู เนื่องจากตวั เมียของผเี สือ้ ชนิดนี้
ตดิ เชื้อแบคทีเรยี PMCBDIJB ซ่ึงจะฆาตวั ผูในระยะไขในทองของตวั เมยี ตวั เมียจงึ ตอง
ออกตามหาตัวผเู พือ่ สบื พันธุแทน เพราะตวั ผูมีประชากรนอยกวามาก

ในบางครง้ั ในหน่งึ พ้ืนท่อี าจจะมีการรวมกลุมกันของผเี ส้อื ในชนดิ เดยี วกนั ซ่ึง
เปนพ้ืนทท่ี ่อี ยูใกลพืชอาหารที่ตัวเมียจะตองลงวางไข หรอื ใกลกบั ดักแดที่ใกลกลายเปน
ตัวเตม็ วยั ของตวั เมยี เพอ่ื เพิ่มความส�าเรจ็ ในการอยรู อดของเผาพันธุ เชนเดียวกบั มนุษย
คอื เพม่ิ โอกาสในการหาคู โดยไปอยใู นสถานท่ีทม่ี ักมเี พศตรงขามรวมตัวกันอยู หรอื
ในบางชนดิ มีพฤติกรรมทลี่ า�้ หนาไปกวานั้น คอื ตวั ผูที่บินหาดกั แดของตวั เมยี นอกจาก
จะรอตัวเมยี ออกจากดกั แดแลว ยงั ท�าการปกปองตัวเมียจะตัวผูตวั อ่ืน ๆ ดวย และเมือ่
ตวั เมียออกมาจากดกั แดไดส�าเร็จ ฝงู ตัวผูทรี่ ออยูรอบ ๆ จะพยายามเขาไปผสมกับ
ตัวเมยี ทันที แตในบางคร้ังอาจเกิดความผิดพลาดขึ้นได หากในพ้นื ท่ใี กลเคียงมผี เี สือ้
ทม่ี กี ารเลยี นแบบกันและกนั อาจท�าใหตัวผสู บั สนและผสมพนั ธุกันผิดชนดิ ได

ผเี สอ้ื หนอนหนามกระทกรกกา� ลงั ผสมพันธุ
แตในปกติ ผีเสื้อทีบ่ นิ เจอกนั กลางทาง กอนที่จะมีการผสมพันธุกนั ระหวาง
ตวั ผแู ละตัวเมยี จ�าเปนตองมกี ิจกรรมที่เรยี กวา การเก้ยี วพาราสี (courtship) ซ่ึงตัวเมยี
อาจจะปฏเิ สธตัวผูได หากไมถกู ใจตวั ผนู น้ั ๆ เม่อื มกี ารเกยี้ วพาราสีกัน ตัวผูและตวั เมยี
จะทา� การบนิ วนกนั ไปรอบ ๆ และเมื่อตวั เมียถกู ใจตวั ผูจะทา� การเอาปลายสวนทองมาชนกนั
เพอ่ื ท�าการผสมพันธุ ซ่งึ ในตวั ผูบางชนดิ อาจจะทา� การบังคบั ใหตวั เมียทา� การผสมดวย
ดงั เชนในผเี สอื้ ในวงศยอยผีเส้ือสีตาล (Satyrinae) บางชนิด หรอื ในบางชนดิ ตัวเมีย
จะทา� การผสมพันธุเพียงคร้ังเดียวเทาน้นั ในชีวติ และจะขัดขนื ตวั ผูตัวอน่ื ทพี่ ยายาม
จะท�าการผสมพนั ธุดวย หรือในบางชนิดจะมกี ารเก้ียวพาราสีทม่ี ากกวานนั้ คือ อาศยั
ฟโรโมนชวยในการเกี้ยว ในผเี ส้อื ตัวผูบางชนดิ จะเกยี้ วตวั เมียท่ีอยูใกล ๆ โดยการ
กระพอื ปก และตวัดหนวด แลวเอาบรเิ วณปกท่ีมีขนหรือเกลด็ ทีป่ ลอยฟโรโมนถูกับปก
ของตัวเมยี เพอื่ ใหฟโรโมนกระจายออกมา หรอื ในผีเส้อื ปกไขใหญ Z PMJNOBT CPMJOB

ท่ีพบในพ้ืนทเ่ี ขาจ�าปาและเขาถ�้าเสือนี้ ตวั ผจู ะมีจุดแตมสีมวงขนาดใหญ ซึง่ เปนเกล็ด
ท่ีสะทอนคลื่นแสงทีม่ ีความถ่ใี นชวงคล่นื อัลตราไวโอเลตออกมาและคล่ืนจะมคี วามถี่
สงู ขน้ึ เมือ่ องศาในการกางปกแคบลง โดยตวั เมียจะรบั รูไดเนือ่ งจากตาของผเี สื้อสามารถ
รับแสงในชวงคลนื่ อัลตราไวโอเลตไดดี ยิง่ คล่ืนความถ่สี ูงมาก จะยง่ิ เหน็ วามคี วามสวาง
มาก ดงั น้ันสัญญาณที่ตวั เมียเหน็ จะเปนสญั ญาณกระพรบิ เมือ่ ตัวผูกางและหบุ ปกสลบั
กัน และตัวเมียจะเลอื กตัวผทู ี่มสี ัญญาณทม่ี ีความสวางมากทีส่ ุดในการผสมพนั ธุ

ในระหวางทีท่ า� การผสมพันธุ ตวั ผจู ะสงถุงเกบ็ อสุจิ (sperm) ท่เี รยี กวา sper-
matophore เขาไปในรางกายของตวั เมีย ในผีเส้อื หลายชนิด spermatophore ไมได
มเี พยี งแคอสุจเิ ทาน้ัน แตยังมีของขวัญ (nuptial gift) ท่ีตวั ผูใหตัวเมียดวย ซงึ่ เปนสาร
อาหารทส่ี ะสมมาตง้ั แตตอนทย่ี ังเปนหนอนผเี สือ้ และน่ันคอื สารอาหารทจี่ า� เปนในการ
สรางไขและวางไข อาทิ คารโบโฮเดรตและกรดอะมโิ นจา� นวนมาก ไขมนั ชนิดตาง ๆ
แรธาตุชนดิ ตาง ๆ อาทิ แคลเซยี มฟอสเฟต โซเดยี ม และสงั กะสี ซงึ่ ท้งั หมดนี้ตวั ผูจะ
สงผานมายงั ตวั เมยี ทาง spermatophore ซง่ึ ตัวเมยี จะเก็บ spermatophore น้ีไวจน
ในรางกายจนกวาจะพรอมใชงาน ซึ่งการมสี ารอาหารใหตัวเมยี จะเปนการเพม่ิ โอกาส
ในการอยรู อดของลกู ๆ และตัวเมยี มกั จะเลอื กผสมพันธกุ ับตัวผูทใ่ี ห nuptial gift ทม่ี ี
คณุ ภาพและปริมาณมากทสี่ ุด โดยในการสราง nuptial gift 1 คร้ัง อาจทา� ใหตวั ผู
สูญเสียนา�้ หนกั ตวั ไปมากกวา 15% ซง่ึ ในน้ันอาจจะมีปรมิ าณไนโตรเจนทมี่ ากเพียงพอ
ตอการสรางไขอยางนอย 70 ฟอง ทา� ใหตัวผทู ี่สบื พันธุจา� เปนตองเสยี พลงั งานออกจาก
รางกายไปมากสงผลใหอายขุ ยั สั้นลง

วงจรชวี ิตของผีเส้ือ

ผีเสื้อมีวงจรชีวิตแบบเปล่ียนแปลงรูปร างสมบูรณ (complete
metamorphosis) ซ่ึงแบบได 4 ระยะคอื ไข หนอน ดักแด และตวั เตม็ วัย ระยะ
หนอนผีเสอื้ เปนระยะท่ีมชี วงอายุยาวนานทสี่ ุด หนาท่ขี องหนอนผเี สอ้ื มีเพียงอยางเดยี ว
คอื กนิ อาหารใหไดมากทสี่ ุดและเก็บสะสมสารทีจ่ �าเปนตอการเจรญิ เตบิ โตและสารที่
ปองกนั ตนเองจากผูลา หนอนผีเส้ือเจรญิ เติบโตโดยการลอกคราบ โดยการลอกคราบ
หนง่ึ ครง้ั จะเรียกวา 1 วัย (instar) สวนมากมีประมาณ 5 วัย แตในบางชนิดอาจมไี ด
มากถึง 8 วยั และเมื่อไดสารอาหารเพียงพอตอการเจริญเติบโตแลว หนอนผเี ส้อื จะเร่มิ
ลอกคราบเปนดกั แด

ในระยะดักแดนจี้ ะไมมีกิจกรรมใด ๆ ใหเหน็ ภายนอกทง้ั สน้ิ ไมมกี ารกนิ หรือ
การเดนิ เปนระยะที่ตัวหนอนก�าลังจะกลายรางเปนผีเส้ือตวั เต็มวยั ท่สี วยงาม โดย
ภายในตวั ของดักแด เน้อื เยือ่ เดมิ ของหนอนจะสลายตวั ไป และมีการสงั เคราะหเน้อื เยื่อ
ใหมข้นึ มาในโครงสรางที่แตกตางไปจากเดิม ซ่งึ ในกระบวนการนีอ้ าจใชเวลาเปนสปั ดาห
เปนเดือน หรอื เปนป ขึ้นกับความพรอมและชวงหยุดพัก (diapause) ของชนิดนนั้ ๆ
กอนทจี่ ะกลายเปนตวั เต็มวยั ออกมาจากดักแด และทา� หนาทีใ่ นการสืบพนั ธุ และวางไข
ตอไป

วางไข

ฟกเปนตัว ลอกคราบ

เจรญิ เตบิ โต

พืชอาหารและการวางไข

ผเี สื้อสวนมากมกั จะไขบนตนพืชทเี่ ปนพชื อาหารของหนอนชนิดน้นั ๆ เมือ่
แมผีเส้ือพบพืชทเี หมาะสมในการวางไข จะทา� การลงเกาะและตรวจสอบสารเคมใี น
พชื ชนิดนั้น ๆ โดยใช chemoreceptor ท่ีอยูท่ีหนวด ปลายเทาและปลายทอง
(ovipositor) ถาในใบไมนั้นมีสารเคมที ่ถี ูกตองตอผีเสื้อชนดิ น้นั แมผีเส้อื จงึ จะทา� การ
วางไขลงบนพืชชนิดนัน้

ผเี ส้อื บางชนิดวางไขครั้งละไมกฟ่ี องหลาย ๆ ครง้ั ในขณะทบ่ี างชนิดวางไข
ครง้ั ละมาก ๆ เพยี งหนึ่งคร้งั ในผเี ส้ือหางต่งิ บางชนดิ ทีว่ างไขครงั้ ละมาก ๆ จะมกี ารสง
สาร alkaloid ท่ไี ดจากพชื อาหารท่เี ก็บไวในรางกายตง้ั แตตอนเปนตัวหนอนผานไปยัง
ไข มีการศกึ ษาวาผลู าที่กนิ ไขของผเี สอ้ื หางต่ิงชนิด BUUVT IJMFOPS เปนอาหารจะ
หลกี เล่ียงการกนิ ไขของผเี สอื้ ทอ่ี ยูรวมกนั เปนกลุม

ในผเี สอื้ บางชนดิ มักจะวางไขบนพืชหลายชนิด แมพชื ชนดิ นั้นจะไมตรงกับพืช
อาหารหลักของหนอนเสียทีเดยี ว ในกรณนี ีม้ ักเกิดข้นึ กับผีเส้ือทมี่ ขี อบเขตการกระจาย
พันธทุ ี่คอนขางกวาง ซ่งึ เปนการดี เพราะในแตละพื้นท่มี ภี มู อิ ากาศทแ่ี ตกตางกันไป อาจ
ท�าใหพืชอาหารหลักไมสามารถเจรญิ เตบิ โตไดดี นอกจากทีแ่ มผีเสือ้ ตองวางไขบนพชื
อาหารทถ่ี ูกตองแลว ยงั ตองวางไขในต�าแหนงทถ่ี กู ตองดวย ตองเปนบรเิ วณทไ่ี มโดน
แดดมากเกินไปจนไขแหงตาย แตตองไมเย็นเกินไปจนหนอนไมสามารถเจริญเตบิ โตได

ในบางคร้ังผีเส้ืออาจสามารถยายพืช หนอนผเี สอ้ื ท่ีออกมาจากไข
อาหารจากพืชตามปกติชนิดหนึ่งไปยังอีกชนิด และอยูรวมกันเปนกลุม
ใหมอกี ชนดิ หนง่ึ ได จากการศกึ ษาทางนเิ วศวิทยา
เมือ่ ไมนานมานพ้ี บวา ในกรณที ่มี พี ชื ชนิดใหมถกู
เพ่มิ เขามาในพ้ืนทอ่ี าจทา� ใหผีเสอ้ื มีการยายไป
วางไขบนพืชชนิดใหมนี้ หรอื ในกรณีทีผ่ ีเส้ือถกู
เพิ่มเขาในสภาพแวดลอมใหมท่ไี มมพี ืชอาหารเดิม
อยูหรือมีอยนู อยจะสามารถยายไปกนิ พชื อาหาร
ชนดิ อืน่ ที่มีความใกลชดิ กับพืชอาหารชนดิ เดิมได

การอนุรักษ์ผเี สือ้

การลดลงของความหลากหลายทางชวี ภาพเปนเรอ่ื งท่ีนาวิตกกงั วลในปจจบุ นั
มกี ารประเมนิ วาผีเสื้อในทวีปยุโรปจ�านวนหน่ึงในสามก�าลังมจี �านวนลดลง โดยส่งิ ทจี่ ะ
ท�าใหประสบความสา� เรจ็ ในการอนุรักษสิง่ มีชีวติ คอื การทท่ี �าความเขาใจความตองการ
พ้นื ฐานทางนิเวศวิทยาของสิง่ มีชีวิตนัน้ ๆ ใหไดวาตวั แปรใดเปนตัวก�าหนดความเหมาะ
ของถนิ่ ท่อี ยูอาศยั ของสง่ิ มชี ีวติ ชนิดนนั้

ในการที่จะอนุรักษผเี สื้อไวใหคงอยใู นสภาพแวดลอมใด ๆ ส่ิงทค่ี วรตระหนกั
ถงึ เปนลา� ดับแรกคอื การอนุรกั ษพชื อาหารทีเ่ ปนอาหารของหนอนผเี สอื้ และดอกไมซ่ึง
เปนอาหารของผเี สอ้ื ตัวเตม็ วัย รวมทง้ั ความตองการพนื้ ฐานของผเี สอ้ื ชนิดนั้น ๆ ทัง้
ดานชีววิทยาและนิเวศวทิ ยาของชนิดนนั้ แตขอมลู เกี่ยวกบั แมลงทใี่ กลสญู พนั ธมุ เี พยี ง
เล็กนอยและในงานอนุรกั ษแมลงมกั จะมขี อผิดพลาดจากการประเมินสิง่ ท่สี ง่ิ มีชีวิต
ตองการกวางเกินกวาความตองการของจรงิ ของแมลงชนดิ น้นั ๆ ซ่งึ การอนุรักษผเี ส้อื
หลายกรณีลมเหลวเน่ืองจากผิดพลาดดงั กลาว ซ่ึงขอมูลดงั กลาวทผี่ ดิ พลาดมกั จะพบ
เปนขอมลู ทป่ี รากฏอยใู นหนงั สืออนุกรมวิธานที่ใชในการอธิบายพืชอาหารและจ�าแนก
ชนดิ แตอยางไรตามในการศึกษาในภายหลังชวยใหเห็นภาพรวมของพชื อาหารของ
ผเี สอ้ื ชนดิ ตาง ๆ มากขน้ึ

นอกจากการอนุรักษพืชอาหารทเ่ี ปนอาหารของหนอนผีเสื้อและดอกไมซงึ่
เปนอาหารของผีเสอ้ื ตัวเตม็ วยั แลว แหลงน�้าและแหลงเกลือเปนปจจัยทส่ี �าคญั อกี ปจจัย
หนงึ่ ในการอนรุ กั ษผีเส้อื ซง่ึ สามารถท�าไดโดยการสรางโปงเทียม นอกจากนี้ การลดหรอื
งดการใชสารเคมกี า� จดั แมลงกส็ ามารถลดผลกระทบตอผเี สือ้ ได และอกี ปจจัยทสี่ �าคญั
คือ การเชอ่ื มตอถ่ินที่อยูอาศัยของผเี สอื้ ในภาพใหญไมใหเกดิ การแบงแยกของถน่ิ ท่อี ยู
อาศยั (habitat fragmentation) หรือใหเกดิ การเชือ่ มโยงของถนิ่ ทอี่ ยูอาศัย (corridor)
ท�าใหประชากรยอยในถิ่นยอยเกิดเชื่อมโยงเปน metapopulation ซ่งึ หากเกดิ การ
สูญพันธุของประชากรทองถ่ินสามารถทดแทนไดจากการอพยพเขาของประชากรผเี ส้ือ
ทใ่ี กลเคียง

คมู อื รูปภาพ

(pictorial key)

ของผีเสื้อในพ้นื ที่

วงศผ์ เี สือ้ หางต่ิง

(family Papilionidae)

ผีเสือ้ หางติง่ เปนกลมุ ผีเสอื้ ทม่ี ีขนาดตวั ใหญ มสี ีสันสวยงาม งายตอการสงั เกต
พบ ผเี ส้อื หางต่งิ มลี กั ษณะที่เดนคือมหี างตงิ่ งอกออกมาจากปกคูหลงั ซง่ึ เปนทม่ี าของ
ชื่อภาษาองั กฤษของผเี สอื้ ชนดิ นค้ี อื swallowtail แตผเี สอื้ หางต่ิงบางชนิดไมมหี างติ่ง
ยื่นออกมา ผเี สื้อหางต่งิ เปนผีเส้ือวงศเล็ก ๆ ในจา� นวนวงศและชนดิ อันมากมายของ
ผเี ส้อื ทง้ั หมดบนโลกใบน้ี ดวยความที่มีจา� นวนชนิดประมาณ 600 ชนดิ ในโลก ซึง่ สวน
มากอาศัยอยูในเขตทวีปโลกเกา (old world) คือ เอเชีย ยุโรป แอฟริกา และ
ออสเตรเลยี โดยเฉพาะอยางยง่ิ ในเขตอนิ โดนเี ซียถึงออสเตรเลีย

ผเี ส้ือหางติง่ หลายชนิดเปนผเี สอื้ ทใี่ กลสูญพนั ธุ ทา� ใหมีรายชอ่ื ติดอยูในบัญชี
ของอนสุ ัญญาวาดวยการคาระหวางประเทศซึง่ ชนดิ สัตวปาและพชื ปาท่ีใกลสูญพนั ธุ
(CITES) ผเี สื้อปกนกอเล็กซานเดรีย SOJUIP UFSB BMFYBOESBF มรี ายชอื่ อยูใน
Appendix I ผเี สื้อในสกุลผีเสอื้ ถุงทอง SPJEFT spp. ที่มีรายช่ืออยใู น Appendix II
ซง่ึ เปนท่ีนาสนใจวาในพ้นื ท่เี ขาจา� ปาและเขาถา้� เสือแหงน้ี มีผเี สื้อในสกุลผีเสือ้ ถุงทอง
ถงึ 2 ชนดิ คือ ผเี สื้อถงุ ทองธรรมดา SPJEFT BFBDVT และผเี ส้อื ถุงทองปาสูง SPJEFT
IFMFOB

ผเี สือ้ หางติ่งเปนผีเส้อื ที่มีความแข็งแรงมาก มักจะมกี ลามเน้อื ในการบนิ ท่คี อน
ขางทรงพลัง สามารถบินไดในระยะทางทีไ่ กล ๆ ในการอพยพยายถ่ินฐาน เม่ือตองการ
จะลงกนิ น้�าหวาน ผีเสือ้ หางติง่ มกั จะกระพือปกสรางกระแสลมหมุน เพอ่ื สรางสมดุลใน
การลงเกาะดอกไม เพอื่ ไมใหดอกไมโดนน�้าหนักตัวของผเี สื้อโนมลงมามากเกินไปจน
ไมสามารถกนิ น�้าหวานในดอกไมได อีกทั้งผีเส้ือหางต่ิงหลายชนิดมีการเลียนแบบ
(mimicry) คอนขางสงู ซงึ่ อาจเลียนแบบผเี ส้ือหางตง่ิ ดวยกนั เองหรือเลยี นแบบผเี ส้ือ
ในวงศอื่น ๆ ก็ได

ผเี สอ้ื หางต่งิ สามารถแบงออกไดเปน 4 วงศยอย (Subfamily) ซงึ่ ในพนื้ ของ
เขาจ�าปาและเขาถ�้าเสือนี้พบผเี สอ้ื หางตงิ่ 1 วงศยอย คอื วงศยอย Papilioninae

ผีเสื้อหางตมุ จดุ ชมพู BDIMJP UB BSJTUPMPDIJBF HPOJP FMUJT
เปนผเี สื้อหางติ่งทม่ี จี �านวนตัวมากท่ีสดุ ในพนื้ ท่เี ขาจ�าปาและเขาถ�้าเสือ

1 1 4 CG N M Papilioninae
(1) Scienti c name: SPJEFT BFBDVT BFBDVT

PNNPO O N The Golden Birdwing
5I O N ผีเส้ือถงุ ทองธรรมดา

ความกวางระหวางมมุ ปกท้ังสองขาง ประมาณ 100-140 มิลลเิ มตร บรเิ วณ
หัวมีสดี �า ทองสเี หลอื ง และมเี สนสีแดงบริเวณคอ ลกั ษณะของปกท้งั ดานบน (dorsal
side) และดานทอง (ventral side) มีลักษณะเหมอื นกนั ปกคหู นามีลกั ษณะของสีพื้น
ปกเปนสีด�า และมีสีขาวแซมบริเวณเสนปกของปกคูหนาอยางชัดเจน บรเิ วณขอบปก
ของปกคูหลังเปนสีด�า และมสี ีพื้นของปกเปนสีเหลือง ตัวผูและตัวเมียมีลักษณะท่ี
แตกตางกันและตวั เมยี จะมขี นาดใหญกวาตัวผู
เพศผู้: บรเิ วณขอบลางของปกหลงั มลี ายลักษณะเปนเขมาสีด�าจากปลายปกทเี่ ปนสีด�า
ลา�้ เขามาบรเิ วณสเี หลืองของปกหลัง และขอบของปกคูหลงั ทางดานล�าตัวจะมขี นชนิด
พเิ ศษท่ชี วยในการปลอยฟโรโมนเพื่อลอตัวเมีย
เพศเมยี : บรเิ วณจดุ ด�าช้ันในของปกคูหลังไมตอกับจดุ ด�าช้ันนอก และมีสีขาวแซม
บริเวณเสนปกของปกคหู นาอยางชดั เจน
พืชอาหาร: กระเชาถุงทอง SJTUPMPDIJB PUIJFSJ กระเชาสีดา SJTUPMPDIJB
JOEJDB
บรเิ วณท่ีพบ: บริเวณพน้ื ที่เปดโลงในความสงู ระดบั เรอื นยอด พบบอยในชวงฤดูฝน

SPJEFT BFBDVT BFBDVT (Male – Dorsal side)
SPJEFT BFBDVT BFBDVT (Male – Ventral side)

SPJEFT BFBDVT BFBDVT Female – Dorsal side)
SPJEFT BFBDVT BFBDVT (Female – Ventral Side)

1 1 4 CG N M Papilioninae
(2) Scienti c name: SPJEFT IFMFOB DFSCFSVT

PNNPO O N The Common Birdwing
5I O N ผเี สื้อถงุ ทองปาสูง

ความกวางระหวางมมุ ปกทง้ั สองขาง ประมาณ 100-140 มลิ ลเิ มตร บรเิ วณ
หัวมีสีด�า ทองสเี หลือง และมเี สนสีแดงบริเวณคอ ลักษณะของปกทงั้ ดานหลัง (dorsal
side) และดานทอง (ventral side) มลี ักษณะเหมอื นกัน มีลักษณะท่ีคลายคลึงกบั
SPJEFT BFBDVT แตปกคหู นามีลักษณะของสพี ื้นปกเปนสีด�า และมีสีขาวแซมบริเวณ
เสนปกของปกคูหนาเลก็ นอย บริเวณขอบปกของปกคหู ลงั เปนสดี �า และมสี พี ้นื ของปก
เปนสีเหลือง ตวั ผแู ละตัวเมยี มีลักษณะท่แี ตกตางกัน
เพศผ้:ู บริเวณขอบลางของปกหลังไมมีลายเขมาสีด�าเชนเดียวกับ SPJEFT BFBDVT
และอาจจะมจี ดุ ดา� ช้นั ใน (f. DFSCFSVT) หรือไมมจี ดุ ดา� ช้ันใน (f. FVNBHPT) และขอบ
ของปกคูหลังทางดานล�าตวั จะมขี นชนดิ พิเศษท่ีชวยในการปลอยฟโรโมนเพอื่ ลอตวั เมยี
เพศเมยี : บริเวณจดุ ด�าชั้นในของปกคูหลังตอกับจดุ ด�าช้ันนอก และไมมีสขี าวแซม
บรเิ วณเสนปกของปกคูหนาอยางชดั เจน
พชื อาหาร: กระเชาถุงทอง SJTUPMPDIJB PUIJFSJ กระเชาสีดา SJTUPMPDIJB
JOEJDB
บรเิ วณทีพ่ บ: บรเิ วณพืน้ ทีเ่ ปดโลงในความสูงระดับเรือนยอด พบไดยาก

SPJEFT IFMFOB DFSCFSVT (Male – Dorsal side)
SPJEFT IFMFOB DFSCFSVT (Male – Dorsal side)

SPJEFT IFMFOB DFSCFSVT (Female – Dorsal side)
SPJEFT IFMFOB DFSCFSVT (Female – Ventral side)

1 1 4 CG N M Papilioninae
(3) Scienti c name: BDIMJP UB BSJTUPMPDIJBF HPOJP FMUJT

PNNPO O N The Common Rose
5I O N ผเี สื้อหางตุมจุดชมพู
ความกวางระหวางมุมปกทั้งสองขาง ประมาณ 65-85 มลิ ลเิ มตร ลา� ตวั สีชมพู
มีพืน้ ปกสีด�า บริเวณปกคูหลงั มแี ถบสีขาวพาด ลอมรอบดวยจุดชมพูบริเวณขอบปก
ปกคหู นามีสีขาวแซมบริเวณเสนปก
พชื อาหาร: กระเชาสดี า SJTUPMPDIJB JOEJDB
บรเิ วณที่พบ: พบไดทั่วพ้นื ท่ี พบไดบอยมาก

1 1 4 CG N M Papilioninae
(4) Scienti c name: B JMJP EFNPMFVT NBMBZBOVT

PNNPO O N The Lime Butter y
5I O N ผีเสือ้ หนอนมะนาว
ความกวางระหวางมมุ ปกทัง้ สองขาง ประมาณ 60-80 มิลลิเมตร ล�าตัวสีครมี
มพี ืน้ ปกสดี �า มีแถบและจดุ แตมสเี หลอื งกระจาย บริเวณมุมปกของปกคหู ลังทางดาน
ลา� ตวั จะมจี ุดแตมสีแดงและสีน้�าเงนิ โดยในเพศเมียจดุ แตมสีน้�าเงนิ จะมีขนาดใหญกนิ
บริเวณครึง่ หนง่ึ ของจุดสแี ดง ในขณะทใ่ี นเพศผจู ะมจี ุดสนี ้�าเงินเลก็ นอย
พืชอาหาร: พชื สกลุ สม JUSVT spp.
บริเวณทพ่ี บ: เขตทุงหญาและเขตชุมชน พบบอยมากในทุกฤดู

BDIMJP UB BSJTUPMPDIJBF HPOJP FMUJT (Dorsal side)
BDIMJP UB BSJTUPMPDIJBF HPOJP FMUJT (Ventral side)

B JMJP EFNPMFVT NBMBZBOVT (Dorsal side)
B JMJP EFNPMFVT NBMBZBOVT (Ventral side)

1 1 4 CG N M Papilioninae
(5) Scienti c name: B JMJP IFMFOVT IFMFOVT

PNNPO O N The Red Helen
5I O N ผีเสอื้ หางต่งิ เฮเลน
ความกวางระหวางมุมปกท้ังสองขาง ประมาณ 80-115 มลิ ลเิ มตร ลา� ตวั สดี �า
พ้ืนปกสีด�า มีแถบสีขาวที่ปกคูหลงั สามแถบ บริเวณปลายดานหลังของปกคหู ลงั มตี งิ่
ยื่นออกมา
พืชอาหาร: พืชสกุลสม JUSVT spp., เขยตาย MZDPTNJT FOUB IZMMB
บริเวณท่พี บ: บริเวณรอยตอระหวางปาและทุงหญา พบไดยาก

1 1 4 CG N M Papilioninae
(6) Scienti c name: B JMJP PMZUFT SPNVMVT

PNNPO O N The Common Mormon
5I O N ผีเสอ้ื หางติ่งธรรมดา
ความกวางระหวางมุมปกทงั้ สองขาง ประมาณ 70-85 มิลลิเมตร ลักษณะ
คลาย BDIMJP UB HPOJP FMUJT แตมีลา� ตัวสีด�าลายจุด มพี น้ื ปกสดี า� บริเวณปกคหู ลงั
ของเพศผมู แี ถบสีขาวพาด ในขณะที่เพศเมียมแี ถบสีขาวบรเิ วณกลางปกคหู ลัง ลอม
รอบดวยจุดสีชมพรู ูปจันทรเสีย้ วบรเิ วณขอบปก
พชื อาหาร: พืชสกุลสม JUSVT spp., เขยตาย MZDPTNJT FOUB IZMMB
บริเวณท่พี บ: พบไดทั่วพน้ื ท่ี พบไดคอนขางบอย


Click to View FlipBook Version