0 4 CG N M Plusiinae
(96) Scienti c name: SJDIP MVTJB OJ
PNNPO O N The Cabbage looper
5I O N มอธหนอนคืบกระหล่�า
ความกวางระหวางมมุ ปกท้งั สองขาง ประมาณ 27-30 มลิ ลิเมตร ปกคูหนาสี
นา�้ ตาลเขมแกมเทา บริเวณปลายปกมีสีน้�าตาลและบริเวณมมุ ปกมสี ขี าว บรเิ วณกลาง
ปกคูหนามจี ุดสขี าวสะทอนแสงตดิ กนั สองจุด
พืชอาหาร: พชื สกลุ กะหลา่� SBTTJDB spp., ถั่วลิสง SBDIJT IZ PHBFB ถว่ั เหลอื ง
MZDJOF NBY ถวั่ เขียว JHOB SBEJBUB ฯลฯ
0 4 CG N M D
(97) Scienti c name: PEP UFSB MJUVSB
PNNPO O N The Oriental Leafworm Moth
5I O N มอธหนอนกระทผู ัก
ความกวางระหวางมุมปกทง้ั สองขาง ประมาณ 15-25 มิลลิเมตร พื้นปกคู
หนาสีน�้าตาลเขม มีลายแตมขาวสลบั ด�า พืน้ ปกคหู ลังมสี ีขาวโปรงแสง บรเิ วณขอบปก
มีเสนสนี ้�าตาลคาด
พืชอาหาร: ล�าโพง BUVSB NFUFM พชื สกลุ กะหล�่า SBTTJDB spp., ละหุง JDJOVT
DPNNVOJT ยาสูบ JDPUJBOB UBCBDVN พืชสกลุ กหุ ลาบ PTB spp., ถ่วั เขยี ว
JHOB SBEJBUB พลดู าง J SFNOVN BVSFVN สมโอ JUSVT NBYJNVT บานช่นื
JOOJB WJPMBDFB โป๊ยเซยี น V IPSCJB NJMMJ
SJDIP MVTJB OJ SJDIP MVTJB OJ
(Dorsal side) (Ventral side)
PEP UFSB MJUVSB PEP UFSB MJUVSB
(Dorsal side) (Ventral side)
0 4 CG N M D M
(98) Scienti c name: OJTPOFVSB BMVDB
PNNPO O N -
5I O N -
ความกวางระหวางมุมปกท้งั สองขาง ประมาณ มิลลเิ มตร 90-115 พ้ืนปกมี
สีนา�้ ตาลเขมเกอื บด�า บริเวณขอบปกมีลกั ษณะเปนรอยหยกั บรเิ วณโคนปกมเี สนสี
น�้าตาลเขมพาดตามแนวขวาง ขอบปกดานหนาของปกคหู นามีสีน�้าตาลออนแตมสี
นา�้ ตาลเขม
พืชอาหาร: ชงิ ชาชาลี JOPT PSB CBFO JHFSJ
OJTPOFVSB BMVDB (Dorsal side)
OJTPOFVSB BMVDB (Ventral side)
วงศม์ อธหนอนกอ
(family Crambidae)
หนอนของผีเส้ือในวงศน้ีเปนศตั รพู ชื ที่ส�าคญั ของพืชใบเล้ียงเดี่ยว อาทิ ขาว
โดยลักษณะการทา� ลายจะเปนการมวนพบั ใบ เจาะทา� ลายรวงขาว เปนผลใหขาวที่ได
มเี มด็ ไมสวยและน้�าหนกั ไมดี แตอยางไรกต็ ามลักษณะและความรนุ แรงของการท�าลาย
มกั จะแตกตางออกไปตามชนิดของพชื ผล
ในอดตี วงศนี้เคยถูกรวมกบั มอธหนอนกออีกกลมุ หนง่ึ คือ family Pyralidae
เนอ่ื งจากมลี กั ษณะทคี่ ลายคลงึ กันคอนขางมาก แตจากการศกึ ษาเมือ่ ไมนานมาน้ไี ดจัด
ให family Crambidae กลายเปนวงศของตนเอง
3 4 CG N M M N M
(99) Scienti c name: BVTJOPF FST FDUBUB
PNNPO O N -
5I O N มอธหนอนชบาลายเลือน
ความกวางระหวางมมุ ปกทง้ั สองขาง ประมาณ 15-20 มลิ ลเิ มตร พนื้ ปกสขี าว
ครมี มีแตมสีขาวขุนโปรงแสงบนปกคูหนา 8 แตม และบนปกคูหลังอีก 3 แตม โดย
แตมใหญสุดของปกคหู ลังจะมพี นื้ ปกท่ีเปนสีขาวครมี คั่น
พชื อาหาร: พชื สกุลมะลิ VTNJOVN spp.
BVTJOPF FST FDUBUB (Dorsal side)
BVTJOPF FST FDUBUB (Ventral side)
3 4 CG N M M N M
(100) Scienti c name: PUZPEFT BTJBMJT
PNNPO O N -
5I O N มอธหนอนกอเหลอื งขอบเขม
ความกวางระหวางมุมปกทงั้ สองขาง ประมาณ 42-45 มิลลิเมตร ล�าตวั และ
สวนหวั สีเหลอื ง ปลายสวนทองมีพูขนสนี า�้ ตาลเขม พนื้ ปกมสี เี หลือง ปลายปกมีสีนา้� ตาล
มีลายแตมสนี �้าตาลกระจายตามปก
พชื อาหาร: พชื สกลุ หูหยาง P VMVT spp.
3 4 CG N M M N M
(101) Scienti c name: OB IBMPDSPDJT NFEJOBMJT
PNNPO O N The Rice Leafroller Moth
5I O N มอธหนอนหอใบขาว
ความกวางระหวางมุมปกทงั้ สองขาง ประมาณ 15-20 มลิ ลิเมตร พนื้ ปกสี
เหลอื ง บรเิ วณขอบปกมสี ีด�า บนพ้นื ปกมีเสนสีด�าลากตามยาวจากขอบปกดานหนาไป
จนถึงขอบปกดนหลงั
พชื อาหาร: ขาว SZ B TBUJWB
OB IBMPDSPDJT NFEJOBMJT OB IBMPDSPDJT NFEJOBMJT
(Dorsal side) (Ventral side)
OB IBMPDSPDJT NFEJOBMJT OB IBMPDSPDJT NFEJOBMJT
(Dorsal side) (Ventral side)
3 4 CG N M M N M
(102) Scienti c name: NJPEFT EJFNFOBMJT
PNNPO O N The Bean Leafroller Moth
5I O N มอธหนอนมวนใบถวั่ ลายเขม
ความกวางระหวางมุมปกทงั้ สองขาง ประมาณ 15-20 มลิ ลเิ มตร ล�าตวั และ
พ้นื ปกสีเหลือง บรเิ วณสวนทองมเี สนสขี าวคาดบรเิ วณรอยตอปลองทอง บรเิ วณขอบ
ปกมีสีน้�าตาลเขม บริเวณกลางปกสีลายรางแหสนี ้�าตาล
พืชอาหาร: ถ่ัวเหลอื ง MZDJOF NBY ถ่ัวฝกยาว JHOB VOHVJDVMBUF
3 4 CG N M M N M
(103) Scienti c name: .BSVDB UFTUVMBMJT
PNNPO O N The Legume Pod Borer
5I O N มอธหนอนเจาะฝกลายจุด
ความกวางระหวางมุมปกทั้งสองขาง ประมาณ 15-20 มลิ ลิเมตร พืน้ ปกสี
นา�้ ตาลเหลอื ง ปกคหู นาบริเวณกลางปกมีแตมและแถบขาวโปรงแสงเรียงตามยาวจาก
ขอบปกดานหนาไปจนเกอื บถงึ ขอบปกดานหลงั ปกคหู ลงั มสี ีขาวโปรงแสง 3 ใน 4 จาก
โคนปก บริเวณขอบปกมีสีนา�้ ตาลเหลอื ง
พืชอาหาร: พืชวงศถ่วั (Leguminosae) หลายชนดิ
NJPEFT EJFNFOBMJT NJPEFT EJFNFOBMJT
(Dorsal side) (Ventral side)
.BSVDB UFTUVMBMJT .BSVDB UFTUVMBMJT
(Dorsal side) (Ventral side)
3 4 CG N M D C
(104) Scienti c name: DJS P IBHB JODFSUVMBT
PNNPO O N The Yellow Stem Borer Moth
5I O N มอธหนอนกอสคี รมี
ความกวางระหวางมุมปกท้งั สองขาง ประมาณ 15-20 มิลลเิ มตร พนื้ ปกสขี าว
ครมี มจี ุดสีด�าหนงึ่ จุดบริเวณกลางปกคหู นา
พชื อาหาร: ขาว SZ B TBUJWB
3 4 CG N M Pyraustinae
(105) Scienti c name: BMJHB NBDIPFSBMJT
PNNPO O N -
5I O N มอธหนอนกนิ ผิวใบสัก
ความกวางระหวางมมุ ปกทง้ั สองขาง ประมาณ มลิ ลิเมตร พื้นปกสีเหลือง
บริเวณขอบปกมีเสนสีน�้าตาลขนานกันสองเสน มแี ตมและรอยกระสีน้�าตาลทวั่ ทั้งปก
พชื อาหาร: สกั FDUPOB HSBOEJT
BMJHB NBDIPFSBMJT BMJHB NBDIPFSBMJT
(Dorsal side) (Ventral side)
BMJHB NBDIPFSBMJT BMJHB NBDIPFSBMJT
(Dorsal side) (Ventral side)
ภาพหนอนผีเสอ้ื
ท่พี บในพน้ื ทเี่ ขาจ�าปาและเขาถ้�าเสอื
SPJEFT BFBDVT Pachliopta aristolochiae
B JMJP DMZUJB Catopsilia pomona
VSFNB sp. Charaxes solon
หนอนใน Family Charaxinae BOBVT DISZTJ VT
หนอนใน Tribe Adoliadini หนอนใน Family Limenitinidae
(cf. VUIBMJB BDPOUIFB)
SJPOBUB UPSVT NCMZ PEJB BOJUB
TPUB sp. FOJDJMBSJB KPDPTBUSJY
-ZNBOUSJB BUFNFMFT VEPDJNB sp.
SHZJB UVSCBUB Orgyia postica
FSDVMJB sp. Odites atonopa
.JSFTB BMCJ VODUB หนอนใน Family Pyralidae
BSBTB sp.1 .JSFTB sp.
IPTFB TJBNJDB BSBTB sp.2
DIFSPOUJB TUZY IPTFB sp.
ดักแด SHZJB PTUJDB .BDSPHMPTTVN sp.
การเปรียบเทยี บพืชอาหาร
ของหนอนผเี สอ้ื กลางวันในพื้นทีก่ ับรายงานการพบ
พชื อาหารในพืน้ ทจ่ี ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย จังหวัดสระบุรี
[องุน ลิว่ วานชิ , 2544; Gadgil, 2006; ทีม่ รี ายงานการพบ
Jin and Khoon, 2012] ในพ้นื ที่
1. DIMJP U 1. SJTUPMPDIJ spp. [คณะวิทยาศาสตร,์ 2550;
SJTUPMPDIJ F พงษ์ชัย ด�ารงโรจนว์ ัฒนา,
2. JMJP 1. JUSVT VS OUJGPMJ 2555]
EFNPMFVT 2. JUSVT N JN
3. JUSVT NJDSPD S SJTUPMPDIJ JFSSFJ
3. JMJP 1. JUSVT VS OUJGPMJ JUTF sp.
PMZUFT 2. JUSVT N JN JMJVT FMVUJO
3. JUSVT NJDSPD S
4. JMJP 1. JUSVT VS OUJGPMJ
NFNOPO 2. JUSVT N JN
5. JMJP DMZUJ JOO NPNVN sp.
JUTF HMVUJOPT
6. S IJVN 1. OOPO M JJ
OUJ I UFT 2. JMJVT spp.
3. SJ spp.
[องนุ ล่วิ วานิช, 2544; Gadgil, 2006; ทม่ี ีรายงานการพบ
Jin and Khoon, 2012] ในพื้นท่ี
[คณะวทิ ยาศาสตร,์ 2550;
พงษ์ชยั ด�ารงโรจน์วฒั นา,
2555]
7. S IJVN 1. JMJVT UPNFOUPTVN JMJVT FMVUJO
OPNJVT 2. JMJVT FMVUJO
3. PMZ MUIJ MPOHJGPMJ
8. S IJVN 1. FTNPT DIJOFOTJT PMZ MUIJ sp.
EPTPO 2. JDIFMJ MC
3. PMZ MUIJ MPOHJGPMJ
9. S IJVN 1. FTNPT DIJOFOTJT PMZ MUIJ sp.
H NFNOPO 2. PMZ MUIJ MPOHJGPMJ
3. HOPMJ DI N D
4. OOPO NVSJD U
5. OOPO DIFSJNPM
10. SPJEFT 1. SJTUPMPDIJ spp. SJTUPMPDIJ JFSSFJ
F DVT
11. N SP UFS 1. MMJHFS FOEJDVM U
DVSJVT
12. UP TJMJ 1. Cassia stula Cassia stula
PNPO
13. VSFN 1. S UP ZMVN DPDIJODIJOFOTF S UP ZMVN
IFD CF 2. S UP ZMVN GPSNPTVN DPDIJODIJOFOTF
3. FT M JOJ VMDIFSSJN
4. JUIFDFMMPCJVN EVMDF
[องุน ลิว่ วานชิ , 2544; Gadgil, 2006; ทม่ี ีรายงานการพบ
Jin and Khoon, 2012] ในพื้นท่ี
14. VSFN 1. FOUJM HP DSJTU U [คณะวทิ ยาศาสตร์, 2550;
OEFSTPOJ 2. FOUJM HP EFOUJDVM U พงษช์ ัย ด�ารงโรจน์วฒั นา,
15. VSFN 1. EFO OUIFS POJ 2555]
CSJHJUU 2. F JTFOUIFT SVCJHJOPT
FSV TJ NFOTJT
16. J T 1. SJT TF J SJ FOESP IUIPF
PMGFSO 2. SJT FZM OJD
3. MFPNF spp. FOU OES
4. FSV spp.
17. FMJ T 1. FOESP IUIPF FOU OES
IZ SFUF
18. F UPTJ OJO 1. MFPNF spp.
19. FUI TJ 1. Passi ora foetida
DZ OF
20. FM OJUJT 1. MJTNFOVT DPN PTJUVT
MFE 2. SZ T UJ
3. F spp.
21. VOPOJ 1. VFMMJ spp.
MFNPOJ T 2. ZHSP IJM spp.
22. VOPOJ 1. VFMMJ spp.
MN O 2. ZHSP IJM spp.
[องนุ ลิ่ววานชิ , 2544; Gadgil, 2006; ที่มีรายงานการพบ
Jin and Khoon, 2012] ในพื้นท่ี
[คณะวิทยาศาสตร,์ 2550;
พงษช์ ยั ด�ารงโรจน์วฒั นา,
2555]
23. VOPOJ 1. VFMMJ spp.
IJFSU 2. ZHSP IJM spp.
24. JSSPDISP 1. ZEOPD S VT JMJDJGPMJ
UZDIF
25. DS F 1. Passi ora foetida
UFSTJDPSF
26. Z PMJNO T 1. TZTU TJ H OHFUJD
CPMJO
27. I M OU 1. J U HF spp. M DPVSUJ JOEJD
I M OUI 2. M DPVSUJ spp.
3. MJ C CZMPOJD
28. PMZVS S 1. EFO OUIFS POJ
2. FOFH MJ FOO U
29. F UJT IZM T 1. FTDIZOPNFOF NFSJD O
2. FOO M U
3. TP IPD S VT UFUS HPOPMPCVT
30. F UJT 1. SDIJEFOESPO DMZ F SJ
IPSEPOJ
[องุน ลว่ิ วานชิ , 2544; Gadgil, 2006; ทม่ี รี ายงานการพบ
Jin and Khoon, 2012] ในพ้ืนที่
31. I S FT 1. D DJ spp. [คณะวทิ ยาศาสตร์, 2550;
TPMPO พงษช์ ยั ด�ารงโรจนว์ ัฒนา,
32. FC EF 1. PS spp. 2555]
N SUI
D DJ D UFDIV
33. O VT 1. MPUSP JT HJH OUF PS DJCEFM
DISZTJ VT
MPUSP JT
34. O VT 1. IJTUFNN VMDIFMMVN HJH OUF
HFOVUJ
ZD T TJ NFOTJT
35. S OUJD 1. ZMP IPS JOEJD
HMF 2. SZ UPMF JT CVDI O OJ JNPT JHS
36. V MPF DPSF 1. FSJVN PMF OEFS
2. EFOJVN PCFTVN
37. IJM EFT 1. ZD T spp.
OE
38. TU MJVT 1. J J IVT J Z IVT
SPTJNPO
39. SFZFSJ VUMJ 1. FMJPUSP JVN JOEJDVN
40. J JO PUJT 1. JNPT spp.
2. MZTJD S VT HJO MJT
[องนุ ลิว่ วานชิ , 2544; Gadgil, 2006; ท่มี รี ายงานการพบ
Jin and Khoon, 2012] ในพื้นที่
41. JOE TJT 1. NFMJO SCPSF [คณะวิทยาศาสตร์, 2550;
TZ N พงษช์ ยั ด�ารงโรจน์วัฒนา,
42. VSFOES 1. D DJ spp. 2555]
RVFSDFUPSVN
D DJ D UFDIV
43. FMJDPU 1. SZ spp.
DPMPO 2. DDI SVN spp.
สรุป
จากการศึกษาของชิษณพุ งศ พานเทียนในป พ.ศ. 2558 พบวา จากการ
วิเคราะหขอมูลจ�านวนตวั และจ�านวนชนดิ ของผีเสอื้ กลางวันในแตละพื้นที่ พบวา ใน
พน้ื ทเ่ี สนทางศึกษาธรรมชาติ พบผเี ส้อื กลางวัน 29 ชนิด โดยพบในบรเิ วณปา 23 ชนดิ
และบรเิ วณทงุ หญา 17 ชนิด ในขณะทพี่ บผเี สอื้ กลางวัน 20 ชนดิ ในพื้นท่ีแปลงเกษตร
โดยพบในบริเวณแปลงไมยนื ตน 17 ชนดิ และบรเิ วณแปลงไมลมลกุ 13 ชนดิ และเมอื่
วิเคราะหคา Shannon-Wiener’s diversity index และ Shannon-Wiener’s
evenness index พบวาในพน้ื ท่ีเสนทางศึกษามคี วามหลากหลายและการกระจายตัว
ท่ีมากกวาพนื้ ทแี่ ปลงเกษตร โดยมีความหลากหลายและการกระจายตัวมากที่สดุ ใน
บริเวณปา และนอยที่สุดในบรเิ วณแปลงไมยนื ตน แตเมื่อพิจารณาจากคา Sorensen’s
similarity index พบวามีความคลายคลึงกันมากถึง 0.71 ในพน้ื ท่เี สนทางศกึ ษา
ธรรมชาตกิ บั พน้ื ที่แปลงเกษตร 0.65 ในบริเวณปาและบรเิ วณแปลงไมยนื ตน และ 0.60
ในบรเิ วณทงุ หญาและแปลงไมลมลกุ แสดงวาผีเสื้อกลางวนั หลายชนดิ สามารถพบได
ในหลายบริเวณ แตอาจเปนเพราะวาในพื้นทแ่ี ปลงเกษตรถูกรบกวน (Disturbances)
จากการจัดการของมนษุ ยจึงท�าใหมผี เี สื้อกลางวันมาลงใชพนื้ ทนี่ อยกวา และจากการ
วเิ คราะหทางสถิติแลวพบวา จ�านวนชนิดในพ้ืนที่เสนทางศึกษาธรรมชาติและพื้นที่
แปลงเกษตรน้ัน แตกตางกันอยางมีนยั สา� คญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับความเช่ือม่นั ท่ี 95% ใน
ขณะทีจ่ า� นวนตัวไมมีความแตกตางกนั อยางมนี ยั ส�าคัญ และเมื่อจ�าออกเปน 4 บริเวณ
ท่ีไดท�าการศึกษาพบวาไมมีความแตกตางกันอยางมีนยั ส�าคัญทั้งจ�านวนชนิดและ
จ�านวนตวั แสดงวาความแตกตางกนั ในสวนของจ�านวนชนดิ ของทงั้ สองพื้นทใี่ หญน้ัน
อาจเกดิ จากการเพม่ิ ขน้ึ ของคาความคลาดเคลอื่ นทเ่ี กดิ จากการรวมกนั ของขอมูลของ
สองบริเวณยอยของแตละพ้นื ท่ี
และเมื่อพจิ ารณาความสมั พนั ธของปจจยั แวดลอมและผีเสอื้ กลางวนั พบวา
หากมีคาของความชื้นสมั พัทธและอุณหภูมสิ งู ข้นึ จะสงผลใหมีดัชนีความรอนทส่ี งู ขึ้น
ตามไปดวย โดยดชั นคี วามรอนทีเ่ พิ่มสงู ขนึ้ น้นั มีความสัมพนั ธกับความชมุ ช้นื ในดนิ โดย
เมอื่ ดัชนคี วามรอนมีคาสูงข้ึน จะพบวาความชุมช้นื ในดินมีคาลดลง เนื่องจากมีคา
Correlation coef cient มคี าเปนลบ ในขณะท่ที ัง้ ดัชนคี วามรอนและความชมุ ชน้ื ใน
ดนิ เปนเพยี งสองปจจัยในการศกึ ษาน้ีเทานัน้ ท่ีมีความสมั พันธกบั ผีเสื้อกลางวัน ท้ังใน
สวนของจา� นวนชนิดและจ�านวนตวั ซง่ึ สอดคลองกับสมมติฐานท่ีต้งั ไว คือ ความชุมชื้น
มีความสมั พันธกับผเี ส้อื กลางวัน โดยจะพบวามีจ�านวนมาก ถามีความชมุ ช้ืนของดิน
มาก ในขณะท่ีจะพบวามจี า� นวนนอย ถามีความชุมช้ืนมาก ซึ่งสอดคลองกับผลการ
ศึกษาในแตละสปั ดาหทีไ่ ดทา� การศกึ ษา คอื มีจา� นวนชนดิ ท่ีพบลดลงเรือ่ ย ๆ เม่ือมคี า
ดชั นคี วามรอนท่ีเพิ่มมากขนึ้ เม่ือเขาสูชวงแลงรอน โดยผเี สื้อนน้ั มีการหายใจและแลก
เปลยี่ นแกสผานทางทอ Spiracle ท่ีอยขู างล�าตวั ดังนัน้ ย่งิ ถามดี ชั นคี วามรอนสูง อาจ
ท�าใหผเี สอ้ื เกดิ การสญู เสียนา้� จากรางกาย เน่อื งจากการทน่ี า้� ระเหยออกจากตัวผานทาง
ทอ Spiracle มาก แตจากตารางคาความสมั พันธพบวาขอมลู หลายคา มีคา Correlation
coef cient ประมาณ 0.3 และมคี า P อยูในชวง 0.05-1.00 ซึง่ เปนชวงรอยตอระหวาง
การมีและไมมคี วามสมั พันธกนั ของขอมลู จึงอาจจา� เปนตองไดรบั ศกึ ษาเพมิ่ เตมิ ในการ
ศกึ ษาครั้งถดั ไป และจากการศกึ ษาคา water holding capacity ของดินบรเิ วณพื้นที่
แปลงเกษตรในพน้ื ทีจ่ ุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลยั พบวามดี ินมีความสามารถในการอมุ นา�้
ไดเฉลี่ยถงึ 69.7% แตจากศกึ ษาในครง้ั น้ีพบวาดนิ มีความชุมช้ืนเพยี ง 2-25% ซ่ึง
นอยกวาคาดินท่ีสามารถรองรบั ไดคอนขางมาก อาจเปนเพราะในแปลงเกษตรมสี วนที่
เปนรมเงาคอนขางนอย ท�าใหหนาดินถูกแสงแดดตลอดเวลา ทา� ใหนา�้ ระเหยออกจาก
ดนิ ไดโดยงาย และจากการสอบถามเจาหนาทข่ี องศนู ยจฬุ าลงกรณมหาวิทยาลัย จงั หวัด
สระบุรี พบวาทางศนู ยมีนโยบายประหยดั นา้� เนือ่ งจากในพ้นื ทม่ี ีความแหงแลงมาก
จงึ สงวนน้�าไวเพอ่ื การดบั ไฟปา
เมือ่ จ�าแนกผีเสอ้ื กลางวนั ท่พี บในการศกึ ษาชวงหนาแลงออกเปน 4 กลมุ แลว
พบวากลมุ หายากมากนาจะไดรบั ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอมกอน
เปนอันดบั แรก เนื่องจากมีความถใี่ นการพบที่ตา่� และมจี �านวนตวั ท่ีพบนอย ซ่ึงผเี สอ้ื
กลางวนั บางชนิด พบในบางบริเวณเทาน้นั อาทิ ผเี สื้อถงุ ทองธรรมดา SPJEFT BFBDVT
BFBDVT และผีเสอ้ื แพนซีมยรุ า VOPOJB BMNBOB BMNBOB และนอกจากนี้ ยงั มี
ผีเส้ือสองชนิดที่พบเฉพาะบริเวณแปลงเกษตรเทานั้นคือ ผีเส้อื กะลาสีแดงธรรมดา
F UJT IPSEBOJB IPSEBOJB และผีเสอื้ ฟาอะเคเซยี ธรรมดา VSFOESB RVFSDFUPSVN
RVFSDFUPSVN แตจากการศึกษาในชวงเดือนมถิ ุนายน 2014 จนถงึ เดือนพฤษภาคม
2015 มีการพบผีเสอ้ื หลายชนิดในกลมุ หายากมากกระจายตัวอยูทุกบริเวณถ่ินที่อยู
อาศัยตาง ๆ อาทิ ผเี สอื้ ถุงทองธรรมดา SPJEFT BFBDVT BFBDVT ทพ่ี บในพืน้ ทีแ่ ปลง
เกษตร แตจากการศกึ ษาชวงหนาแลง พบเฉพาะในพืน้ ท่เี สนทางศกึ ษาธรรมชาติเทานน้ั
และผเี ส้ือกะลาสแี ดงธรรมดา F UJT IPSEBOJB IPSEBOJB ทพ่ี บในพ้ืนทเี่ สนทาง
ศึกษาธรรมชาติ แตจากการศกึ ษาชวงหนาแลง พบเฉพาะในพืน้ ท่แี ปลงเกษตรเทาน้นั
จึงอาจเปนไดวามีจ�านวนตวั ของผเี สื้อกลางวนั ในชวงหนาฝนมากจงึ ทา� ใหมกี ารกระจาย
ตวั ของผเี สอ้ื กลางวนั ไปทวั่ ท้ังพ้นื ที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลยั จังหวัดสระบุรี แตในหนา
แลงท่มี จี �านวนตัวนอยจงึ พบเพยี งบางบริเวณเทาน้ัน หรอื อาจเปนเพราใชระยะเวลาที่
ใชในการศึกษาคอนขางนอยและจ�ากัด จึงอาจศึกษาไดไมครอบคลุมทง้ั หมดทุกพืน้ ที่
ซึ่งอาจจา� เปนไดตองไดรบั การศึกษาเพิ่มเตมิ ในการศกึ ษาครัง้ ตอไป และเมอ่ื ตรวจสอบ
รายงานการพบพืชอาหารของหนอนผีเส้ือกลางวันในพื้นที่พบวาจากผเี สอื้ กลางวัน
จ�านวน 43 ชนดิ ในพ้ืนที่ มรี ายงานการพบพชื อาหารเพียง 17 ชนดิ ซึ่งสวนมากมกี าร
เจริญเติบโตอยใู นปา ซึ่งสอดคลองกบั จ�านวนชนดิ ของผเี สอ้ื กลางวนั ท่ีมีการพบในปา
มากทีส่ ดุ และจากการสังเกตพฤตกิ รรมของผเี ส้ือกลางวนั ทม่ี าลงใชพ้นื ที่แปลงเกษตร
แลวนน้ั จะมาเพื่ออาหารจากดอกไมเทานั้น โดยลงใชดอกหญาตีนตุกแกและดอก
กระดมุ ทองทเ่ี ปนวชั พชื ในแปลงไมยืนตน และดอกทานตะวันกบั ดอกปอเทืองท่ีทาง
ศูนยจฬุ าลงกรณมหาวิทยาลัย จังหวัดสระบุรี ปลูกไวในแปลงไมลมลุก และเน่ือง
ปริมาณดอกไมในแปลงไมยนื ตนไดมาจากดอกของวชั พืชเปนสวนมาก เมอื่ มีการตดั
หญาในพื้นท่ี จงึ ทา� ใหมปี ริมาณของดอกไมลดลงอยางรวดเรว็
เอกสารอางองิ
คณะวทิ ยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลัย. 2550. โครงการสา� รวจสง่ิ แวดลอมทาง
ชีวภาพ กายภาพ และการประเมนิ สถานภาพทางนิเวศวทิ ยาในพน้ื ทีโ่ ครงการ
พัฒนาทด่ี นิ ของจุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลัย อ�าเภอแกงคอย จงั หวัดสระบรุ .ี ใน
รายงานฉบบั สมบูรณ, กรงุ เทพฯ: สา� นกั บริหารระบบกายภาพ จฬุ าลงกรณ
มหาวิทยาลยั .
พงษชยั ด�ารงโรจนวฒั นา. 2555. ความหลากชนิดของพันธุพชื ในพื้นท่ีจฬุ าลงกรณ
มหาวิทยาลัย จังหวัดสระบุรี. รายงานวิจัย. คณะวิทยาศาสตร จุฬาฯ:
ศูนยความเปนเลศิ ดานความหลากหลายทางชีวภาพ.
พพิ ธิ ภัณฑแมลง ภาควิชากฏี วทิ ยา คณะเกษตร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร, ผีเส้อื .
กรงุ เทพฯ, ประเทศไทย: ผูแตง.
องุน ล่ิววานิช. 2544. ผีเส้ือและหนอน Lepidopterous Adults and Larvae.
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย: กองกฏี และสตั ววทิ ยา กรมวิชาการเกษตร.
เอกชยั จิรฏั ฐิตกิ ลุ . 2549. อนกุ รมวิธานของผีเส้อื สกุล VSFNB HÜbner (Lepidop-
tera: Pieridae) จากตัวอยางอางองิ ในประเทศไทย. โครงการการเรียนการ
สอนเพ่ือเสรมิ ประสบการณ, คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลยั .
Beadle D. and Leckie S. 2012. Peterson eld guide to moths of
northeastern north America. United States of America: Houghton
Mif in Harcourt.
Ek-Amnuay P. 2012. Butter ies of Thailand 2 E E . Thailand:
Amarin Publishing.
Gadgil M. 2006. India, a lifescape: Butter ies of Peninsular India. India:
Indian academy of Science, Universities Press.
Hoskins A. 2015. Butter ies of the World. Australia Reed New Holland
Publishers.
Inoue H., Kennett D.R. and Kitching J. I. 1997. Moths of Thailand volume
two: Sphingidae. Thailand: Chok Chai Press.
Jin C.T. and Khoon S.K. 2012. Caterpillars of Singapore’s Butter ies.
Singapore: NParks’ Publication.
Kirton G.L. 2014. A naturalist’ guide to the butter ies of peninsula
Malaysia, Singapore and Thailand. United Kingdom: John Beaufoy
Publishing.
Klorvuttimontara S., McClean J.C. and Hill K.J. 2011. Evaluating the
effectiveness of protected areas for conserving tropical forest
butter ies of Thailand. Biological Conservation. 144: 2534-2540.
Kononenko S.V. and Pinratana A. Moths of Thailand volume three:
D E . Thailand: Brothers of Saint Gabriel in Thailand.
Morgan S. 2012. The illustrated world encyclopedia of butter ies & moths.
United Kingdom: Lorenz Books.
Orenstein R. and Marent T. 2015. Butter ies. United States of America:
Fire y Book.
Pinratana A. 1981. Butter ies in Thailand volume four: Lycaenidae.
Thailand: Viratham press.
Pinratana A. 1983. Butter ies in Thailand volume two: Pieridae and
N T E . Thailand: Viratham press.
Pinratana A. 1985. Butter ies in Thailand volume ve: Hesperiidae.
Thailand: Viratham press.
Pinratana A. 1988. Butter ies in Thailand volume six: Satyridae, Libythei-
dae and Riodinidae. Thailand: Viratham press.
Pinratana A. and Eilot N.J. 1992. Butter ies in Thailand volume one:
Papilionidae and Danaidae. Thailand: Bosco offset.
Pinratana A. and Eilot N.J. 1996. Butter ies in Thailand volume three:
N M E . Thailand: Bosco offset.
Rader R., Bartomeus I., Garibaldi A.L., Garratt P.D.M., Howlett G.B., Winfree
R., FU BM 2015. Non-bee insects are important contributors to
global crop pollination. Proceedings of the national academy of
TD D T. 113: 146-151
Redhead J.W., Fox R. and Oliver T.H. 2015. Assessing species’ habitat
associations from occurrence records, standardised monitoring
data and expert opinion: A test with British butter ies. Ecological
Indicators. Article in press.
Rodrigues J.S.J., Brown S.K. and Ruszczyk A. 1993. Resources and
conservation of neotropical butter ies in urban forest fragments.
Biological Conservation. 64: 3-9.
Sang A., Teder T., Helm A. and Partel M. 2010. Indirect evidence for
an extinction debt of grassland butter ies’ half century after
habitat loss. Biological Conservation. 143: 1405-1413.
Vane-Wright D. 2015. Butter ies: A complete guide to their biology and
behaviour. United Kingdom: Natural History Museum.
Zeydanli S.U., Turak S.A., Balkiz O., Ozut D., Erturk A.., Welch H , FU BM
2012. Identi cation of prime butter y areas in Turkey using sys-
tematic conservation planning: challenges and opportunities.
Biological Conservation. 150: 86-93.