The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กลุ่ม 4 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ กับ ...

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by medsiam2566, 2023-08-24 04:44:17

กลุ่ม 4 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ กับ ...

กลุ่ม 4 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ กับ ...

รายงานการวิจัย รายวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ชุมชน การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ กับ การรับรู้ภาวะสุขภาพ ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรี Association Between Health Perception and Self-care Behavior Among Diabetes Mellitus Type II Patients in Pranangklao hospital, Nonthaburi Province โดย นศพ.อนัญญา ทองน้อย รหัสนักศึกษา 6006300003 นศพ.ธีร์ เศรษฐการ รหัสนักศึกษา 6006300012 นศพ.จิตรลดา ชินสรนันท์ รหัสนักศึกษา 6006300021 นศพ.พิมพ์พิชชา มาตรา รหัสนักศึกษา 6006300023 เสนอ ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เฉลิม วราวิทย์ แพทย์หญิงสิริรัตน์ ลิมกุล แพทย์หญิงพัชรมน ภู่สันติสัมพันธ์ อาจารย์ยุพา สุทธิมนัส ปีการศึกษา2565 ศูนย์แพทยศาสตร์ชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสยาม ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ กับ การรับรู้ภาวะสุขภาพ ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรี Association Between Health Perception and Self-care Behavior Among Diabetes Mellitus Type II Patients in Pranangklao hospital, Nonthaburi Province โดย นศพ.อนัญญา ทองน้อย รหัสนักศึกษา 6006300003 นศพ.ธีร์ เศรษฐการ รหัสนักศึกษา 6006300012 นศพ.จิตรลดา ชินสรนันท์ รหัสนักศึกษา 6006300021 นศพ.พิมพ์พิชชา มาตรา รหัสนักศึกษา 6006300023 ปีการศึกษา2565 ศูนย์แพทยศาสตร์ชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสยาม ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


ก หัวข้อวิจัย การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ กับการ รับรู้ภาวะสุขภาพในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี ผู้ดำเนินการวิจัย นศพ.อนัญญา ทองน้อย และคณะ หน่วยงาน ศูนย์แพทยศาสตร์ชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า, มหาวิทยาลัยสยาม ปีพ.ศ. 2565 บทคัดย่อ ภูมิหลัง โรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน เป็นปัญหาสุขภาพอันดับหนึ่งของ ประชาชนไทย ความชุกของโรคเบาหวานในปีพ.ศ. 2557 เท่ากับร้อยละ 8.9 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับปีพ.ศ. 2552 หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 8.2 แสนคนโรคเบาหวานมีผลกระทบ ทั้งในแง่สุขภาพและสังคม เนื่องจากทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนกับหลอดเลือดขนาดใหญ่และหลอดเลือดขนาดเล็ก เช่น โรคหัวใจ ภาวะแทรกซ้อนทาง ไต,ตา, ปลายประสาท และเท้า มีผลกระทบทางสังคมอันเนื่องมาจากอัตราการเสียชีวิต และทุพพลภาพของประชากรเพิ่มขึ้น และผลกระทบทางเศรษฐกิจซึ่งเกิดจากภาระค่าใช้จ่าย ใน การรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น หากผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมีการปฏิบัติตาม กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพที่ ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ น่าจะช่วยให้ผู้ป่วย โรคเบาหวานมีความสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ลดภาวะแทรกซ้อน หรือ ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพอันจะนำไปสู่การมีคุณภาพ ชีวิตที่ดีขึ้น วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วนโรค เบาหวานชนิดที่ 2 และความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง กับการรับรู้ภาวะสุขภาพ ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามโดย คุณลักษณะ ของอาสาสมัครคือกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยแบ่งเป็น กลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับ น้ำตาลในเลือดได้ และกลุ่ม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้การศึกษานี้เราใช้โปรแกรม SPSS version 22.0 ในการคำนวณหาความสัมพันธ์ระหว่าง พฤติกรรม การดูแลสุขภาพ กับ การรับรู้ภาวะสุขภาพ ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรี ผลการศึกษา การรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวาน การรับรู้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพตนเอง และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพของตนเอง มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพใน กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเหล้าจังหวัดนนทบุรีอย่างมีนัยสำคัญ สรุปผลการวิจัย การรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวาน มีผลต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ป่วย ในเชิงบวก ดังนั้นการขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวานนั่นถือ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 ส่งผลให้ผู้ป่วยมีวิธีดูแลตนเองที่ไม่ เหมาะสมดังนั้นควรนำผลการศึกษางานวิจัยเป็นแนวทางต่อไป ในการให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย รวมถึงความรู้ในเรื่องของตัวโรคอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยตระหนักรู้ถึงความสำคัญ และมีสุขภาพที่ดีต่อไป ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


Research Title Relationship between self-care behavior and health awareness in patients with type 2 diabetes mellitus in Pranangklao Hospital, Nonthaburi Researcher Ananya Thongnoi et al Organization Pranangklao Hospital, Faculty of medicine, Siam university Year 2022 Abstract Background Diabetes and its complications , It is one of the top health issues in Thailand. The prevalence of diabetes in 2014 was 8.9%, an increase of 29% compared to 2009, or representing more than 820,000 people. Diabetes affects both health and society. Because it causes complications with macrovascular and microvascular. There is a social impact due to the death and disability rate of the population increasing. and the economic impact arising from the burden of increasing medical expenses. If people with high blood sugar consistently follow the correct health promotion activities, it may help people with diabetes to control their blood sugar levels and reduce complications or prevent the occurrence of complications effectively. which will lead to a better quality of life. Objective To study self-care behavior among type 2 diabetes mellitus patients and the relationship between self-care behavior and health awareness in diabetic patients. Method This study is an analysis of data from a questionnaire. The characteristics of the volunteers were type 2 diabetic mellitus patients divided into groups of diabetics who could control their blood sugar levels. and diabetics who are unable to control their blood sugar levels. In this study, SPSS version 22.0 was used to calculate the relationship between selfcare behavior and health awareness in patients with type 2 diabetes mellitus. Result Perception of risk and severity of diabetes, benefits in self-care, barriers to self-care in patient with type 2 diabetic mellitus were significantly positive correlated with patient health care behaviors in Pranangklao Hospital , Nonthaburi. Conclusion In this study It has been shown that risk perception and severity of diabetes positively affecting the patient's health care behavior Therefore, the lack of knowledge about risk and severity of type 2 diabetic mellitus is a major obstacle to health care among patients with type 2 diabetes, lead to patient’s inappropriate self-care methods. Therefore, the results of research studies should be used as a guideline. in giving advice on the behavior of the patient including knowledge of the disease appropriately to make patients aware of the importance and continue to have good health. ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


จ กิตติกรรมประกาศ โครงการวิจัยฉบับนี้สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีด้วยการสนับสนุนของบุคคลที่ เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ซึ่งผู้วิจัยขอกล่าวนามเพื่อแสดงความขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงไว้ณ ที่นี้ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์แพทย์หญิงพชรมน ภู่สันติสัมพันธ์อาจารย์ที่ปรึกษา โครงการวิจัย ที่ได้สละเวลาให้ความรู้คำปรึกษา คำแนะนำ แนวทางในการดำเนินงาน ช่วย สนับสนุนในการเก็บข้อมูลแบบสอบถาม และผลักดันให้โครงการวิจัยสำเร็จลุล่วงด้วยดี ขอกราบขอบพระคุณ ความกรุณาจาก อาจารย์ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เฉลิม วราวิทย์และอาจารย์ยุพา สุทธิมนัส อาจารย์ผู้สอนวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ชุมชน และ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วมโครงการวิจัย ที ่อนุมัติในการจัดทำงานวิจัยตลอดจนให้ความรู้ ข้อมูลในการทำงาน และให้คำปรึกษาในการจัด ทำโครงการวิจัย รวมถึงให้ข้อเสนอแนะ และช่วยแก้ไขข้อบกพร่องในการทำงาน จนสำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยดี ขอบคุณวอร์ดอายุรกรรม โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ที่อำนวยความสะดวกในการเก็บ ข้อมูลที่ใช้ในโครงการวิจัยและขอบคุณ ผู้ตอบแบบสอบถามที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นศพ. อนัญญา ทองน้อย นศพ. ธีร์ เศรษฐการ นศพ. จิตรลดา ชินสรนันท์ นศพ. พิมพ์พิชชา มาตรา ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


ฉ สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค กิตติกรรมประกาศ จ สารบัญ ฉ สารบัญตาราง ซ บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและความสำคัญ 1 คำถามวิจัย 4 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 4 สมมติฐานการวิจัย 5 ขอบเขตการวิจัย 5 ข้อตกลงเบื้องต้น 5 นิยามศัพท์เฉพาะ 5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 7 ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน 7 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน 14 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 23 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 25 กรอบแนวคิดในการศึกษา 35 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย 37 การกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 37 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัย 38 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือการวิจัย 40 การเก็บรวบรวมข้อมูล 40 การวิเคราะห์ข้อมูล 40 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


ช บทที่ 4 ผลการวิจัย 41 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 59 สรุปผลการวิจัย 59 อภิปรายผล 65 ข้อจำกัดในการศึกษา 66 ข้อเสนอแนะ 66 บรรณานุกรม 67 ภาคผนวก 69 ภาคผนวกกแบบสอบถาม 71 ภาคผนวกขการคำนวณค่า IOC 81 ภาคผนวกค ประวัติผู้วิจัย 93 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


ซ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 4.1 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามเพศ 41 4.2 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอายุ 41 4.3 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามระดับการศึกษา 42 4.4 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามสถานภาพ 42 4.5 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอาชีพ 43 4.6 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 43 4.7 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามญาติสายตรงที่ป่วยเป็นเบาหวาน 43 4.8 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามระดับน้ำตาลในเลือด 44 4.9 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามระดับน้ำตาลสะสมในเลือด 44 4.10 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามระยะเวลาในการป่วยเป็นเบาหวาน 45 4.11 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามการควบคุมภาวะแทรกซ้อน 45 4.12 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามภาวะแทรกซ้อน 45 4.13 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอาการที่ผิดปกติ 46 4.14 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามความถี่ในการตรวจน้ำตาลในเลือด 46 4.15 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามสถานที่ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด 47 4.16 ระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน 47 4.17 ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน 48 4.18 การรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน 49 4.19 ข้อมูลการรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน 49 4.20 สิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพตนเองในกลุ่ม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน 51 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


ฌ 4.21 สิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพตนเองในกลุ่ม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน 51 4.22 ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง ด้านการบริโภค 53 4.23 ข้อมูลพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภค 53 4.24 ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง ด้านการออกกำลังกาย 54 4.25 ข้อมูลพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ออกกำลังกาย 55 4.26 ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง ด้านการใช้ยา 56 4.27 ข้อมูลพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา 57 4.28 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ภาวะสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาล พระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรี 58 ก-1 ความรู้ในเรื่องโรคเบาหวาน 76 ก-2 การรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน 77 ก-3 สิ่งที่ชักนำให้ปฏิบัติการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน 78 ก-4 ด้านการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน 78 ก-5 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภค 79 ก-6 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกาย 79 ก-7 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา 80 ข-2 ความรู้ในเรื่องโรคเบาหวาน 86 ข-3 การรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวาน 87 ข-4 สิ่งที่ชักนำให้ปฏิบัติการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน 88 ข-6 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภค 89 ข-7 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกาย 90 ข-8 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา 90 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาที่ทำการวิจัย กลุ่มโรค NCDs (Noncommunicable diseases หรือโรคไม่ติดต่อ) ยังคงเป็นปัญหาสุขภาพอันดับ หนึ่งของโลกทั้งในมิติของจำนวนการเสียชีวิตและภาระโรคโดยรวม โดยประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิต จากกลุ่มโรคไม่ติดต่อต่ำสุดเมื่อเทียบในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียใต้ตะวันออก (SEARO) จากข้อมูลปี พ.ศ. 2559 โรคไม่ติดต่อยังคงเป็นปัญหาสุขภาพอันดับหนึ่งของประชาชนไทย ทั้งในแง่ภาระโรคและ อัตราการเสียชีวิต อัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร (30-69 ปี) จากโรคไม่ติดต่อที่สำคัญประกอบด้วยโรค หลอดเลือดสมองโรคหัวใจขาดเลือด, โรคเบาหวานภาวะความดันโลหิตสูงและโรคทางเดินหายใจอุดกั้น เรื้อรัง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2557 ถึงปีพ.ศ. 2559 สถานการณ์โรคเบาหวานและปัจจัยที่เกี่ยวข้องที่สำคัญ ทบทวนจากฐานข้อมูลที่สำคัญ หลากหลายฐานในประเทศไทยในอดีตถึงปีพ.ศ. 2562 ความชุกของโรคเบาหวานในปีพ.ศ. 2557 เท่ากับ ร้อยละ8.9 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ29 เมื่อเทียบกับปีพ.ศ. 2552 หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 8.2 แสนคน โดยเพศ หญิงมีความชุกและอุบัติการณ์สูงมากกว่าเพศชายภายหลังจากปีพ.ศ. 2558 ในปีพ.ศ. 2561 ผู้ป่วย โรคเบาหวานในโรงพยาบาลในกระทรวงสาธารณสุข และสถานพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ร้อยละ36.5 ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (รายงานสถานการณ์โรค NCDs เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง พ.ศ.2562 กรมควบคุมโรค) ระหว่างปีพ.ศ. 2560-2562 การบริโภคน้ำตาลทรายมีปริมาณใกล้เคียงกันที่ปริมาณ 2.5-2.6 ล้าน ตันต่อปีและในปีพ.ศ. 2562 คนไทยดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลเฉลี่ย 3 แก้ว (519.3 มิลลิลิตร) ต่อวันโดย ผู้ชายดื่มมากกว่าผู้หญิงและพบว่าในกลุ่มเด็กอายุ 6-14 ปีเป็นกลุ่มที่ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลเฉลี่ยต่อ สัปดาห์มากที่สุดมาตรการเพิ่มการจัดเก็บภาษีน้ำตาลทำให้ธุรกิจเครื่องดื่มมีการปรับตัวโดยปรับสูตร เครื่องดื่ม แต่มาตรการภาษีดังกล่าวนั้นไม่ครอบคลุมธุรกิจเครื่องดื่มรายย่อยซึ่งยังมีปริมาณน้ำตาลสูงเช่น ชานมไข่มุกที่ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำตาลต่อแก้วเกิน 6 ช้อนชาและมีการเติบโตในตลาดสูงขึ้นโดยคนไทย ดื่มชานมไข่มุกเฉลี่ย6 แก้วต่อเดือน อาจกล่าวได้ว่าการลดลงของอุบัติการณ์เบาหวานและปัจจัยเสี่ยงเป็น ผลจากมาตรการการควบคุมป้องกันโรคถึงแม้ว่าในบางช่วงเวลาความชุกของปัจจัยเสี่ยงนอกจากนั้นอาจ สะท้อนว่าควรเพิ่มมาตรการและโดยเฉพาะมาตรการด้านการควบคุมการบริโภคที่บริโภคต่อวันที่ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ทว่ายังคงเป็นการเปลี่ยนแปลงในอัตราที่ไม่มากความ เข้มข้นในการดำเนินมาตรการเพื่อปรับแนวโน้มให้เปลี่ยนแปลงมากขึ้นนอกจากนั้นควรมีการสำรวจ ข้อมูลสถานการณ์การบริโภคอาหารอาหารหวานอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยนั้นกลุ่มโรคไม่ติดต่อยังคงเป็นปัญหาสุขภาพอันดับหนึ่งของ ประเทศทั้งในมิติของจำนวนการเสียชีวิตและภาระโรคโดยรวมซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


2 สถานการณ์ระดับโลกจากการกการรายงานข้อมูลของกองยุทธศาสตร์และแผนงานสำนักงาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขระหว่างปีพ.ศ. 2557-2561 พบอัตราการเสียชีวิตอย่างมีสาเหตุมาจากโรคไม่ ติดต่อที่สำคัญมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประชากรไทย (รายงานสถานการณ์โรค NCDs เบาหวาน ความดัน โลหิตสูงและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง พ.ศ.2562 กรมควบคุมโรค) “โรคที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่เกิดขึ้น ทั้ง หลอดเลือดขนาดใหญ่และหลอดเลือดขนาดเล็กเช่น โรคหัวใจภาวะแทรกซ้อนทางไต ตา ปลาย ประสาท และเท้า เป็นต้น ซึ่งมีผลกระทบทางสังคมอันเนื่องมาจากอัตราการเสียชีวิตและทุพพลภาพ ของประชากรเพิ่มขึ้น และผลกระทบทางเศรษฐกิจซึ่งเกิดจากภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น ตามมาประเทศไทยกำลังเป็น สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในปีพ.ศ. 2558 โดยจะมีประชากรที่มีอายุ มากกว่า 60 ปีเพิ่มขึ้นประมาณ 14.4 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ20 ของประชากรทั้งหมดและจะมี ผู้สูงอายุ1 คนในทุกๆ 5 คนเป็นโรคเบาหวาน สหพันธ์เบาหวานนานาชาติได้คาดการณ์ว่าในปีพ.ศ. 2583 ประเทศไทยจะมีผู้ป่วยเบาหวานสูงถึง 5.3 ล้านคน กระทรวงสาธารณสุขได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ ดังกล่าวโดยระบุให้เบาหวานเป็นหนึ่งในโรคที่กระทรวงให้ความสำคัญในแง่ของการป้องกันและรักษา ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ20 ปี (ด้านสาธารณสุข) ซึ่งจัดทำโดยสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ในปี พ.ศ. 2560 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติในหลักการของแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ 5 ปี (พ.ศ. 2560-2564) เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการเพื่อสุขภาพของ ประชาชนบูรณาการการทำงานร่วมกันและเน้นป้องกันโรคมากกว่าการรักษาโดยการสร้างเสริมสุขภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยตลอดช่วงชีวิตทุกกลุ่มวัยเพื่อการก้าวสู่สังคมสุขภาพที่ยั่งยืน” ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทรรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทยกล่าว ปัจจุบันคนไทยมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น ด้านเลือกการรับประทานอาหารการทำงานที่เร่งรีบ ไม่มีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอไม่ได้ออกกำลังกาย ทำให้เผชิญกับความเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ มากมาย เบาหวานเป็นโรคหนึ่งที่มีแนวโน้มมากขึ้น ทั้งในชุมชนเมืองและชนบท เบาหวานเป็นทั้งโรคและปัจจัย สำคัญที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายได้เช่น ภาวะแทรกซ้อนทางสายตาจนถึงขั้น ตาบอด โรคไต จนเกิดภาวะไตวาย โรคความดันโลหิตสูง ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท โรคของ หลอดเลือดส่วนปลาย โรคหลอดเลือดในสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ หรืออาจเป็นแผลเรื้อรังจาก เบาหวาน ผลเสียของการเป็นโรคเบาหวานจะมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ป่วยและต่อครอบครัวคือผลเสีย ทางอ้อมอันเกิดจากภาวะแทรกซ้อน และมีพยาธิสภาพซึ่งอาจทำให้เกิดความพิการหรือไร้สมรรถภาพ รวมทั้งการสูญเสียอวัยวะและความพิการซึ่งเกิดขึ้นได้มากกว่าคนปกติและบางครั้งมีผลถึงสภาพจิตใจ ด้วย นอกจากนี้สมรรถภาพในการทำงานลดลงจึงไม่สามารถประกอบอาชีพได้ทําให้ขาดรายได้จากการ ทํางานและต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการรักษาพยาบาล ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


3 การรักษาเพื่อควบคุมโรคนั้นประกอบไปด้วยการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารโดย การลดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลลดอาหารที่มีไขมันมากควรรับประทานผักและผลไม้เพิ่มขึ้น หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวาน เช่น ทุเรียน ลำไยละมุด การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ และรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง การตรวจร่างกายเป็นประจําป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจาก โรคเบาหวาน ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายระมัดระวังไม่ให้ร่างกายเกิดแผลเพราะจะทำให้แผล หายช้าการออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ แนวทางในการรักษาโรคเบาหวานสอดคล้องกับแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) ที่กล่าวว่า บุคคลจะแสวงหาแนวทางการปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อการป้องกัน การฟื้นฟูสภาพ ตราบเท่าที่การปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าเชิงบวกมากกว่าความยากลำบากที่จะเกิดขึ้น โดย การปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าวบุคคลจะต้องมีความรู้สึกกลัวต่อโรค หรือรู้สึกว่าโรคคุกคามตนและ จะต้องมีความรู้สึกว่าตนเองมีพลังที่จะต่อต้านโรคได้ (ประภาเพ็ญ สุวรรณ, สวิง สุวรรณ, 2536) กลุ่มผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานทุกคน จะถูกคาดหวังจากบุคลากรทางการแพทย์ในการควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งคาดหวังบุคคลสามารถแสดงพฤติกรรมหรือแสดงบทบาทในการเป็นผู้ป่วย เบาหวานได้อย่างเหมาะสม และสามารถควบคุมโรคให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ สถิติสาเหตุการป่วยของผู้ป่วยสูงอายุภายในจังหวัดนนทบุรีระหว่างปี2558 ถึง 2560 ได้มีการ จัดกลุ่มโรค10 อันดับแรกโดยโรคเบาหวานมีอัตราผู้ป่วยประมาณ 21,000 คน ต่อประชากร100,000 คน ซึ่งนับเป็นอันดับสองรองจากผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่มีสาเหตุนำ ซึ่งในผู้ป่วยกลุ่มนี้มีจำนวน หนึ่งที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองที่ไม่ถูกต้อง สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ที่ นำมาสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน ด้วยเหตุดังที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแล สุขภาพตนเองกับการรับรู้ภาวะสุขภาพ จากกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระ นั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้และไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาล ในเลือดได้ โดยใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) มาเป็นแนวทางในการศึกษาผู้ ศึกษาเชื่อว่าหากผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมีการปฏิบัติตามกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพที่ถูกต้องอย่าง สม่ำเสมอน่าจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ลด ภาวะแทรกซ้อนหรือป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การมีคุณภาพ ชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถนำผลที่ได้มาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน พัฒนาการให้ความรู้แก่ผู้ป่วย โรคเบาหวานเพื่อจะก่อให้เกิดเจตคติที่ดีและส่งผลไปยังการปฏิบัติที่ถูกต้องมีผลต่อการควบคุมระดับ น้ำตาลในเลือดได้อย่างต่อเนื่องต่อไป ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


4 1.2 คำถามวิจัย 1. พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 เป็นอย่างไร 2. พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองกับการรับรู้ภาวะสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิด ที่2 มีความสัมพันธ์กันหรือไม่ 1.3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วนโรคเบาหวานชนิดที่ 2 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองกับการรับรู้ภาวะสุขภาพ ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน 1.4 สมมติฐานของการวิจัย การรับรู้ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีไม่มีความสัมพันธ์กัน 1.5 ขอบเขตการศึกษาวิจัย 1.5.1 ขอบเขตประชากร ประชากรที่ใช้ในการทำวิจัยครั้งนี้เป็นกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 ซึ่งรักษาที่โรงพยาบาล พระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีจำนวนทั้งหมด 360คน การเลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางการประมาณขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซีย์และมอร์แกน โดยผู้วิจัยได้ดำเนินการสุ่มตัวอย่างจากการใช้วิธีสุ่มอย่างง่ายโดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างของผู้ป่วย โรคเบาหวานเป็น 2 ประเภท ได้แก่กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ และกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ 1.5.2 ขอบเขตด้านเนื้อหา การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมการ ดูแลสุขภาพ ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระ นั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้และไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาล ในเลือดได้โดยทำการศึกษาตั้งแต่เดือน สิงหาคม ถึงธันวาคม พุทธศักราช 2565 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


5 1.6 ข้อตกลงเบื้องต้น การศึกษาครั้งนี้กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินที่มารับการรักษาที่ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีจำนวน 360 คน ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรีโดยมีคุณสมบัติดังนี้ 1. เป็นประชาชนที่มารับบริการที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรี 2. สามารถอ่านออกเขียนได้และสามารถตอบแบบสอบถามได้ 3. ยินยอมให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม 1.7 นิยามศัพท์เฉพาะ • พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ = การปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของ ตนเอง ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ • การรับรู้ภาวะสุขภาพ = การรับรู้และมีความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ความรุนแรงของ โรคเบาหวาน การรับรู้ถึงการปฏิบัติตัวในผู้ป่วยโรคเบาหวาน รับรู้ถึงประโยชน์ของการรักษา โรคเบาหวานและโทษจากการไม่รักษาโรคเบาหวาน • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน = ผู้ป่วยที่มีระดับ HbA1C มากกว่าหรือเท่ากับ 6.5% (อ้างอิงจากแนวทาง เวชปฎิบัติของสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ปี2563) • ผู้ป่วยที่ควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ได้ = ผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือด >7% (อ้างอิง จากรายงานประจำปีกรมควบคุมโรคกองโรคไม่ติดต่อ ปี2563) 1.8 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชนิดที่2 มีพฤติกรรมการดูแลตนเองได้อย่างถูกต้อง โดยสามารถควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเหมาะสม 2. ศึกษาพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 เพื่อเป็นข้อมูลและแนวทางในการส่งเสริมการ รักษาและป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่2 ในโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรี ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาครั้งนี้เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีโดยผู้ศึกษาได้กำหนดขอบเขตทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตามลำดับ ดังนี้ 2.1 ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน 2.2 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน 2.3 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.5 กรอบแนวคิดในการศึกษา 2.1 ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน โรคเบาหวาน (อ้างอิง : https://medicalcenter.mch.mfu.ac.th/dm/ เข้าถึงข้อมูลวันที่20 ธันวาคม 2564) เบาหวาน เป็นภาวะเรื้อรังของการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเกิดจากความบกพร่องของการ สร้างอินซูลิน หรือของการทำงานของอินซูลิน หรือทั้งสองกรณีซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเรา จำเป็นต้องมีอินซูลิน เพื่อนำน้ำตาลในกระแสเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะสมองและ กล้ามเนื้อในภาวะที่อินซูลินมีความผิดปกติไม่ว่าจะเป็นการลดลงของปริมาณอินซูลินในร่างกาย หรือการ ที่อวัยวะต่างๆของร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินลดลง (หรือที่เรียกว่า ภาวะดื้ออินซูลิน) จะทำให้ร่างกาย ไม่สามารถนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีปริมาณน้ำตาลคงเหลือใน กระแสเลือดมากกว่าปกติหากน้ำตาลในกระแสเลือดสูงมากขึ้นถึงระดับหนึ่ง จะทำให้ไตซึ่งปกติจะมี หน้าที่ดูดกลับน้ำตาลจากสารที่ถูกกรองจากหน่วยไตไปใช้ดูดกลับน้ำตาลได้ไม่หมด ส่งผลให้มีน้ำตาลรั่ว ออกมากับปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของคำว่า “โรคเบาหวาน” ซึ่งมักจะเกี่ยวพันกับโรคแทรกซ้อน ที่ร้ายแรง หลายโรคและอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรอย่างไรก็ตามผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานสามารถที่จะ ดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นได้ ชนิดและสาเหตุของโรคเบาหวาน (อ้างอิง :https://www.dmthai.org/index.php/knowledge/เข้าถึงข้อมูลวันที่21 ธันวาคม 2564) ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานแต่ละคนจะมีอาการไม่เหมือนกันแม้เป็นโรคโรคเบาหวานชนิดเดียวกันก็ ตาม สาเหตุเนื่องจากการตอบสนองของร่างกายต่อปัจจัยที่มีผลกระทบในแต่ละคนไม่เท่ากัน ความ รุนแรงของโรคเบาหวานไม่เหมือนกัน และระยะเวลาที่เป็นโรคเบาหวานไม่เท่ากัน ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


8 ชนิดของโรคเบาหวาน หากตามเกณฑ์ของสมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา (American Diabetes Association : ADA) และองคร์กรอนามัยโลกจำแนกโรคเบาหวานออกเป็น 4 ชนิด ตามสาเหตุ การเกิดดังนี้ เบาหวานชนิดที่1 เป็นชนิดพึ่งอินซูลิน (IDDM) พบประมาณ 5-10% ของโรคเบาหวานทุก ประเภท เกิดจากบีตาเซลล์ของตับอ่อนถูกทำลายจากจนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้จึงขาดอินซูลินที่จะ ควบคุมระดับน้ำตาลการทำลายบีตาเซลล์ของตับอ่อนจำนวนมากเป็นผลจากการที่ระบบภูมิคุ้มกัน ทำงานผิดปกติสร้างภูมิที่ทำลายบีตาเซลล์ของตนเอง (Autoimmune Process) ส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่ ทราบสาเหตุและพบว่ามีสายพันธุกรรมที่เป็นความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่1 ที่ทำให้เกิด โรค ซึ่งสายพันธุกรรมที่เป็นความเสี่ยงในแต่ละชนชาติจะไม่เหมือนกันโดยโรคเบาหวานชนิดที่1 มักพบ ในเด็กและผู้ที่มีอายุน้อยมีอาการชัดเจนและรวดเร็วเนื่องจากมีภาวะขาดอินซูลินจึงจำเป็นต้องใช้ยาฉีด อินซูลินเพื่อรักษาตั้งแต่เริ่มแรกและเพื่อป้องกันการเกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงและเป็นกรด (Diabetic Ketoacidosis) การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สนับสนุนคือพบระดับซีเปปไทด์ (C-peptide) ใน เลือดต่ำหรือวัดไม่ได้เลย หรือตรวจพบปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อส่วนของเซลล์ไอส์เลท ได้แก่ islet cell autoantibody, antibody ต่อ อินซูลิน, GAD65 และ ZnT8 (Zinc transporter 8) เบาหวานชนิดนี้มี ความสัมพันธ์กับยีน HLA DQA DQB ซึ่งการตรวจพบ autoantibody ต่างๆในญาติพี่น้องของผู้ป่วย สามารถพยากรณ์การเกิดโรคในบุคคลนั้นๆว่ามีโอกาสเป็น โรคเบาหวานชนิดที่1 ได้ (ถ้ามีautoantibody ตั้งแต่2 ตัวขึ้นไป จะมีโอกาสในการเกิดโรคเบาหวานร้อยละ70 ในเวลา10 ปีและร้อยละ84 ในเวลา15 ปีทำให้การเฝ้าระวังโรคสามารถทำได้ดีขึ้น) ในบางกรณีผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่1 อาจจะพบร่วมกับโรค ภูมิคุ้มกันผิดปกติชนิดอื่นๆ เช่น Hashimoto’s thyroiditis, Graves’ disease, Pernicious anemia, Autoimmune hepatitis, Vitiligo หรือ Celiac disease เบาหวานชนิดที่2 คือ ชนิดไม่ต้องพึ่งอินซูลิน (NIDDM) พบเป็นจำนวน 90-95% ของจำนวน โรคเบาหวานทุกประเภท เกิดจากปัจจัยหลายๆอย่างร่วมกัน โดยมีทั้งปัจจัยทางพันธุกรรม และปัจจัย ภายนอก ทั้งนี้สายพันธุกรรมที่เป็นความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แตกต่างจาก โรคเบาหวานชนิดที่1 โดยมีปัจจัยซ้ำเติมอื่นจากภายนอกเป็นส่วนประกอบสำคัญ สาเหตุหลักที่ทำให้ เกิดโรคเบาหวานชนิดที่2 คือ ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin resistance) และความบกพร่องในการผลิต อินซูลินที่เหมาะสม (Relative insulin deficiency) ในระยะแรกตับอ่อนต้องผลิตและหลั่งอินซูลินมาก ขึ้นเพื่อเอาชนะภาวะดื้ออินซูลิน หากไม่มีการแก้ไขในระยะยาวสมรรถภาพของตับอ่อนจะเริ่มลดลงจน เกิดภาวะพร่องอินซูลิน และเป็นโรคเบาหวานในที่สุด เมื่อเกิดโรคเบาหวานแล้ว สมรรถภาพของตับ อ่อนจะลดลงเป็นลำดับตามระยะเวลาที่เป็นโรคและผลการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดท้ายที่สุดเกิด ภาวะขาดอินซูลิน การที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ทำให้ตับอ่อนเสื่อมสมรรถภาพเร็ว ขึ้น ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่2 ที่มีภาวะพร่องอินซูลินหรือขาดอินซูลิน จึงต้องได้รับยาฉีด อินซูลินเสริมเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนมากมักจะพบในคนที่อายุ30 ปีขึ้นไป รูปร่างท้วม ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


9 หรืออ้วน (ดัชนีมวลกายในคนเอเชีย >23 กก./ม2) อาจไม่มีอาการผิดปกติหรืออาจมีอาการของ โรคเบาหวานได้อาการมักจะไม่รุนแรงและค่อยเป็นค่อยไป มักมีประวัติโรคเบาหวานชนิดที่2 ใน ครอบครัวโดยที่ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดนี้พบมากเมื่อมีอายุสูงขึ้น มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น พฤติกรรมการดำรงชีวิต และการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม การขาดการออกกำลังกาย ภาวะเร่ง รีบและภาวะเครียด และพบมากขึ้นในหญิงที่มีประวัติการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เบาหวานที่เกิดในช่วงตั้งครรภ์เกิดขึ้น 2-5% ของจำนวนหญิงตั้งครรภ์ทั้งหมด เกิดจากการที่มี ภาวะดื้ออินซูลินมากขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ร่วมกับผลของฮอร์โมนจากรกฮอร์โมนเพศที่สูงขึ้นมาก ขณะตั้งครรภ์และตับอ่อนของมารดาไม่สามารถผลิตอินซูลินให้เพียงพอกับความต้องการได้ส่วนใหญ่ พบว่าหลังการคลอดบุตรแล้วผู้หญิงที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีโอกาสเสี่ยงเพิ่มขึ้นของการพัฒนา ที่จะเป็นเบาหวานชนิดที่2 มีงานวิจัยกล่าวไว้ว่า ร้อยละ 40 ของผู้หญิงที่มีประวัติเป็นเบาหวานขณะ ตั้งครรภ์จะพัฒนาเป็นเบาหวานได้ในอนาคต สามารถตรวจพบจากการทำ Oral glucose tolerance test (OGTT) ในหญิงมีครรภ์ในไตรมาสที่2 หรือ3 โดยจะตรวจที่อายุครรภ์24-28 สัปดาห์ด้วยวิธีone-step ซึ่งเป็นการตรวจครั้งเดียวโดยการใช้75 กรัม OGTT หรือtwo-step ซึ่งจะใช้การตรวจกรองด้วย 50 กรัม glucose challenge test แล้วตรวจยืนยัน ด้วย100 กรัม OGTT ในหญิงตั้งครรภ์ที่พบระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร>126 มก./ดล. หรือมีค่า HbA1C >6.5% ในไตรมาสที่1 จะจัดอยู่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานอยู่เดิมแล้วก่อนการตั้งครรภ์ซึ่ง อาจจะเป็นชนิดที่1 หรือชนิดที่2 หรือชนิดอื่นๆก็ได้การวินิจฉัยแยกว่าเป็นชนิดใด มีความสำคัญต่อการ ดูแลรักษาผู้ป่วยให้เหมาะสม เบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะเป็นโรคเบาหวานที่มีสาเหตุชัดเจน ได้แก่โรคเบาหวานที่เกิดจาก ความผิดปกติทางพันธุกกรม เช่น MODY (Maturity-Onset Diabetes of the Young) โรคเบาหวานที่เกิด จากโรคของตับอ่อน จากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อจากยาการติดเชื้อจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน หรือโณค เบาหวานที่พบร่วมกับกลุ่มอาการต่างๆ ผู้ป่วยจะมีลักษณะจำเพาะของโรคหรือกลุ่มอาการนั้นๆ หรือมี อาการและอาการแสดงของโรคที่ทำให้เกิดเบาหวาน สาเหตุการเกิดโรคเบาหวาน (อ้างอิง : https://www.pobpad.com/diabetes เข้าถึงข้อมูลวันที่20 ธันวาคม 2564) พันธุกรรม สาเหตุหลักของผู้ป่วยเบาหวาน คือ พันธุกรรม พบว่าประมาณหนึ่งในสามของ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีประวัติคนในครอบครัวหรือเครือญาติเป็นเบาหวาน ความอ้วน เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคเบาหวาน เนื่องจากจะทำให้เซลล์ของร่างกาย ตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินน้อยลงอินซูลินจึงไม่สามารถพาน้ำตาลเข้าสุ่เซลล์ได้เหมือนเดิม ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


10 อายุเมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะต่างๆ ย่อมต้องเสื่อมลง รวมทั้งตับอ่อนที่มีหน้าที่สังเคราะห์และ ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ก็จะทำหน้าที่ได้ลดลงจึงเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคเบาหวาน ตับอ่อนไม่สมบูรณ์เกิดจากการที่ตับอ่อนได้รับการกระเทือนหรืออาจเกิดจากโรคเช่น ตับอ่อน อักเสบเรื้อรังจากการที่ดื่มสุรามากจนเกินไป การใช้ยาบางชนิด ซึ่งส่งผลต่อการเกิดโรคเบาหวานได้เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาคุมกำเนิด เนื่องจากทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา ภาวะการตั้งครรภ์เนื่องจากฮอร์โมนที่รกสังเคราะห์ขึ้นมา มีผลยับยั้งการทำงานของฮอร์โมน อินซูลิน ผู้ทีตั้งครรภ์จึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ที่มียีนเบาหวานเป็นทุนเดิม สิ่งแวดล้อมและการดำเนินชีวิตประจำวัน ความเครียด และการขาดการออกกำลังกาย อาการของโรคเบาหวาน (อ้างอิง : https://medicalcenter.mfu.ac.th/-diabetes-mellitus-dm/ วันที่20 ธันวาคม 2564) 1. ปัสสาวะบ่อยจนถึงบ่อยมากเนื่องจากกระบวนการกรองน้ำตาลในเลือดที่สูงมากออกมากทาง ปัสสาวะ ไตจำเป็นต้องดึงน้ำออกมาด้วย ดังนั้น ผู้ป่วยยิ่งมีระดับน้ำตาลสูงมากเท่าใดก็ยิ่ง ปัสสาวะบ่อยและมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนหลายครั้ง 2. คอแห้งกระหายน้ำ เป็นผลมาจากการที่ร่างกายเสียน้ำไปจากการปัสสาวะบ่อยและมาก ทำให้ เกิดภาวะขาดน้ำจึงต้องชดเชยด้วยการดื่มน้ำบ่อยๆ 3. หิวบ่อยเนื่องจากร่างกายขาดพลังงาน จึงทำให้รู้สึกหิวบ่อยและรับประทานมากขึ้น 4. น้ำหนักลด ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้ร่วมกับการขาดน้ำจาก การปัสสาวะบ่อย ร่างกายจึงจำเป็นต้องนำเอาโปรตีนและไขมันที่เก็บสะสมไว้ในเนื้อเยื่อมาใช้ แทน จึงทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียและน้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ 5. อาการทางประสาท เช่น ชาปลายมือ ปลายเท้า 6. อาการอื่นๆ เช่น คันตามผิวหนัง เป็นแผลง่าย หายยาก ตามัว ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน (อ้างอิง : https://www.sikarin.com/health/diabetes/ เข้าถึงข้อมูลวันที่20 ธันวาคม 2564) โรคตาจอประสาทตาเสื่อม และต้อกระจกเมื่อระดับน้ำตาลในร่างกายมีมากขึ้น ร่างกายจะขับ น้ำตาลออกมาตามส่วนต่างๆ รวมถึงบริเวณเลนส์ตา ส่งผลให้อาจจะเกิดโรคเกี่ยวกับดวงตาหลายชนิด เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ประสาทตาเสื่อม และอาจส่งผลให้จอรับภาพเกิดการฉีกขาดหรือแตก ทำให้มี โอกาสตาบอดได้ดังนั้น ถ้าผู้เป็นเบาหวานเริ่มมีอาการปวดตา เห็นภาพซ้อน ตาพร่ามัว มองเห็นแสงไฟ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


11 หรือใยแมงมุมอยู่ในอากาศควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์แต่ถ้าเป็นไปได้เมื่อทราบแล้วว่ากำลังเป็นเบาหวาน ต้องรับการตรวจดวงตาเป็นประจำทุกปีเพื่อช่วยป้องกันดวงตาจากอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน โรคไตเสื่อม ไตวายอวัยวะซึ่งทำหน้าที่กรองสารต่างๆ ที่อยู่ในกระแสเลือด มีหลอดเลือดขนาด เล็กจำนวนมากบริเวณไต เมื่อผนังหลอดเลือดถูกทำลายโดยน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่เป็นเวลานาน การทำ หน้าที่กรองของไตจะเริ่มเสื่อมลง ทำให้โปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะผู้เป็นเบาหวานมานานกว่า10 ปีมัก เกิดปัญหาไตเสื่อม แต่ความรุนแรงและระยะการเกิดจะมาก หรือน้อยขึ้นกับการควบคุมน้ำตาลในเลือด เมื่อตรวจพบว่าเป็นเบาหวานควรพยายามรักษาระดับน้ำตาลในกระแสเลือดให้เป็นปกติรวมทั้งผู้สูบ บุหรี่ควรเลิกสูบบุหรี่ หันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีก็จะ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไต ที่มีสาเหตุมาจากโรคเบาหวานได้ โรคความดันโลหิตสูง พบค่อนข้างมากในจำนวนผู้เป็นเบาหวาน และเมื่อเริ่มเป็นโรคความดัน โลหิตสูงก็มักจะมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาด้วยเช่น โรคหัวใจโรคไต โรคตาและโรคทางสมองผู้เป็น เบาหวานควรควบคุมระดับความดันเลือดให้เป็นปกติโดยการพบแพทย์เพื่อตรวจวัดระดับความดันของ เลือด ถ้าเป็นคนอ้วนก็ต้องควบคุมน้ำหนัก หรือลดน้ำหนักก็จะช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และเลือก รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยควบคุมความดันโลหิตสูงให้เป็นปกติได้เช่นเดียวกัน โรคผิวหนัง เกิดจากร่างกายขาดน้ำ ทำให้ผิวหนังแห้งและเกิดการติดเชื้อได้ง่ายโดยเฉพาะเชื้อรา ทำให้เกิดอาการคันและเกิดเป็นแผลตามผิวหนัง ทั้งนี้แผลที่เกิดขึ้นมักจะหายยากและเกิดการอักเสบ. ผู้เป็นเบาหวานจึงควรหมั่นดูแลรักษาผิวให้สะอาดอยู่เสมอ ทาครีม หรือโลชั่นบำรุงผิว คอยสำรวจ ร่างกายอยู่เสมอว่ามีตุ่ม หรือแผลที่บริเวณใดบ้างถ้าเกิดมีฝีหรือแผลควรรีบรักษาตั้งแต่เริ่มต้น โรคหลอดเลือดหัวใจ นับเป็นโรคแทรกซ้อนที่คุกคามต่อชีวิตได้ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่น หน้าอกจากหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จนกระทั่งกล้ามเนื้อหัวใจตายในที่สุด ปัจจัย ส่งเสริมให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้แก่ควบคุมเบาหวานไม่ดีความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง ไม่ ออกกำลังกายอ้วน สูบบุหรี่มีประวัติในครอบครัวเป็นโรคหัวใจและผู้ที่มีความเครียดเป็นประจำ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวข้างต้น และตรวจร่างกายเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรค หลอดเลือดหัวใจได้มาก โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากหลอดเลือดที่มาเลี้ยงบริเวณสมองตีบ ตัน ทำให้เกิดการพิการ หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้โอกาสเกิดหลอดเลือดสมองตีบ ตัน จะสูงมากขึ้น ในผู้เป็นเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย ทำให้อวัยวะที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่อ่อนแรงลงไป เกิดอัมพฤกษ์หรืออัมพาต ซึ่งเมื่อได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด ผ่านพ้นภาวะอันตรายแล้วการ ทำกายภาพบำบัด จะช่วยฟื้นฟูสภาพการทำงานของขาที่อ่อนแรงนั้นได้ดียิ่งขึ้น ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


12 ภาวะปลายประสาทเสื่อม ลักษณะของโรคนี้ไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ทำให้รู้สึก รำคาญ และทุกข์ทรมาน เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลายไม่สามารถส่งออกซิเจน มาตามกระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้รวมถึงการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่บริเวณ เส้นประสาทเองด้วย จึงทำให้การทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลงความรู้สึกในการรับรู้ต่างๆ ลดลง โดยเฉพาะบริเวณปลายมือ ปลายเท้า จะเกิดอาการชา เมื่อกระทบถูกความร้อน หรือเจ็บปวดจะไม่ค่อย รู้สึกจึงเป็นอันตรายกับผู้เป็นเบาหวาน เพราะอาจทำให้เกิดแผลได้ง่ายโดยไม่รู้สึกตัวเมื่อเป็นมากอาจทำ ให้กล้ามเนื้อลีบ เล็กลง ทำกิจวัตรประจำวันได้น้อยลง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อเส้นประสาทที่มาเลี้ยง บริเวณระบบทางเดินอาหารด้วย จึงทำให้เกิดอาการท้องผูกโดยไม่ทราบสาเหตุสำหรับผู้ชายที่เป็น เบาหวานมานานมักพบปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศร่วมด้วยการรักษาอาการปลายประสาทเสื่อม จากเบาหวาน ทำได้เพียงบำบัดตามอาการเท่านั้น ไม่สามารถรักษาให้คืนกลับสู่สภาพเดิมได้แต่การ ควบคุมน้ำตาลในเลือดจะช่วยลดความรุนแรงได้ โรคในช่องปาก มักมีสาเหตุจากร่างกายขาดน้ำ ทำให้ผลิตน้ำลายได้น้อย ปากแห้ง มีผลทำให้เกิด การติดเชื้อในช่องปาก มีอาการเหงือกอักเสบ เกิดหินปูน ฟันผุสำหรับวิธีการป้องกัน คือผู้ป่วยควรดื่ม น้ำให้มากขึ้น และควรรักษาความสะอาดบริเวณช่องปากอย่างสม่ำเสมอแปรงฟันอย่างน้อยวันละ2 ครั้ง และพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน เพื่อตรวจรักษาช่องปากและฟัน การวินิจฉัยเบาหวาน (อ้างอิง :https://www.bangkokhospital.com/dm-and-endocrinology 20 ธันวาคม 2564) ทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งใน 4 วิธีดังต่อไปนี้ 1. มีอาการโรคเบาหวานชัดเจน ได้แก่ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมาก น้ำหนักตัว ลดลงโดยไม่มีสาเหตุร่วมกับตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องอดอาหารถ้า มีค่า≥200 มก./ดล. 2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (อย่างน้อย8 ชั่วโมง) ≥ 126 มก./ดล. 3. การตรวจความทนต่อกลูโคส โดยให้รับประทานกลูโคส 75 กรัม แล้วตรวจระดับน้ำตาลใน เลือดที่2 ชั่วโมงถ้ามีค่า≥ 200 มก./ดล. 4. การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) ≥ 6.5% โดยวิธีการตรวจและห้องปฏิบัติการต้อง ได้รับการรับรองตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งยังมีน้อยในประเทศไทยจึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้ ตามแนวทางเวชปฏิบัติของสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2560 กล่าวว่าการ วินิจฉัยโรคเบาหวานตามข้อที่ 2-4 ต้องมีการตรวจยืนยันอีกครั้งโดยใช้ตัวอย่างเลือดอันใหม่ ด้วยวิธี เดียวกันหรือต่างกันในวันถัดไป อย่างไรก็ตามแนวทางเวชปฏิบัติของสมาคมโรคเบาหวานแห่ง สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2562 ได้มีการเปลี่ยนแปลงว่า สามารถตรวจยืนยันอีกครั้งโดยใช้ตัวอย่างเลือดอันเดิม หรืออันใหม่ก็ได้เพื่อให้การวินิจฉัยโรคเบาหวาน ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


13 เมื่อได้รับการวินิจฉัยโรคเบาหวานควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อลด ภาวะ แทรกซ้อน ระยะยาวจากเบาหวาน ในปัจจุบันระดับน้ำตาลที่เป็นเป้าหมายจะมีค่าที่ เหมาะใน ผู้ป่วยแต่ละราย โดยขึ้นกับอายุระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน การมีโรคแทรกซ้อน ความเจ็บป่วยและโรค ร่วม รวมถึงประวัติการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำถ้าเป็นเบาหวานมาไม่นาน ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือโรค ร่วม ควรควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงค่าปกติหรือระดับ A1C < 6.5% (ถ้าเป็นไปได้) หรือ< 7% ในขณะผู้ที่เป็นเบาหวานมานานและมีภาวะแทรกซ้อน หรือโรคร่วมหลายโรคที่รุนแรง เป้าหมายของ ระดับ A1C ประมาณ 7-8% ส่วนในผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปีถ้าไม่มีโรคร่วม ควรควบคุมให้เป้าหมายของ A1C < 7% ถ้ามีโรคร่วมแต่ยังช่วยเหลือตัวเองได้เป้าหมายของ A1C ควรอยู่ที่ 7-7.5% ถ้าเป็นผู้สูงอายุที่ มีเปราะบางอาจให้เป้าหมาย A1C สูงได้ถึง8.5% ดังนั้นการตั้งเป้าหมาย A1C ขั้นตอนการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (อ้างอิง :https://chulalongkornhospital.go.th/kcmh/ เข้าถึงข้อมูลวันที่20 ธันวาคม 2564) ถ้าPlasma glucose ตอน fasting < 180 mg/dL or A1C < 8% : ให้โภชนบำบัด ออกกำลัง 1-3 เดือน ถ้าคุมไม่ได้ถึงรักษาด้วยยา ถ้าPlasma glucose ตอน fasting > 180 mg/dL or A1C >8% ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมพร้อมกับ เริ่มยาดังนี้ 1. ให้ยา metformin (ยาทางเลือก : sulfonylurea , glitazone , DPP-4 inhibitor) 2. ใช้ยา2ชนิดร่วมกัน metformin ร่วมกับ sulfonylurea 3. 3.1 ยาเม็ดลดน้ำตาลร่วมกับฉีดbasal insulin ก่อนนอน 3.2 ยาลดน้ำตาล3ชนิด ถ้าไม่ได้ตาม เป้าหมายให้ตาม3.1 4. ยาเม็ดลดน้ำตาล+ basal insulin + 1 Prandial insulin or ยาเม็ดลดน้ำตาล + basal insulin + GLP 1 -RA or ยาเม็ดลดน้ำตาล + 1-2 premixed insulin 5. basal insulin + 2-3prandial +metformin ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


14 2.2 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน (อ้างอิง : สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย,สมาคมโรคต่อมไร้ท่อ,กรมการแพทย,์หลักประกัน สุขภาพแห่งชาติ. แนวเวชปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน 2562.กรุงเทพฯ:พิมพ์ครั้งที่1 ; ศรีเมืองการ พิมพ์จำกัด.2562) 2.2.1 การควบคุมอาหาร เนื่องจากโรคเบาหวานเป็นภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากไม่สามารถนำกลูโคสไป ใช้ได้ตามปกติการควบคุมอาหารจึงช่วยลดปริมาณกลูโคสที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายโดยการลดปริมาณหรือ เปลี่ยนสัดส่วนหรือชนิดของอาหาร เพื่อให้น้ำตาลดูดซึมได้ช้าลง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้ โดยจุดมุ่งหมายในการควบคุมอาหารได้แก่ 1. เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติหรือใกล้กับ ระดับปกติ 2. เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารต่างๆ เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน และ เกลือแร่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 3. เพื่อช่วยป้องกันภาวะไขมันในเลือดสูง 4. เพื่อลดอาการแทรกซ้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เช่น ภาวะหลอดเลือด แดงแข็ง ภาวะหมดสติเนื่องจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือจากการมีระดับ น้ำตาลในเลือดต่ำ 5. เพื่อควบคุมน้ำหนักของผู้ป่วยให้อยู่ในเกณฑ์ที่ควรเป็น ถ้าเป็นเด็กให้ได้รับพลังงาน เพียงพอเพื่อการเจริญเติบโต 6. เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ 7. เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมหรือทำงานต่างๆ ได้เป็นปกติ ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถควรควบคุมอาหารได้ดังนี้ การควบคุมอาหารเบาหวานที่ถูกต้องนั้น ต้องควบคุมพลังงานในอาหารผู้ป่วยให้เหมาะสมกับ แรงงานที่ผู้ป่วยใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ มิใช่จำกัด หรือควบคุมเฉพาะข้าวและน้ำตาลเท่านั้น ถ้า รับประทานเนื้อสัตว์และไขมันมากระดับน้ำตาลก็สูงได้เพราะอาหารทุกอย่างให้พลังงานเมื่อได้รับ มากๆ พลังงานที่ได้รับจะมากกว่าที่ร่างกายต้องการ ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูง ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควร รับประทานข้าวเนื้อสัตว์ไขมัน ผลไม้ในปริมาณที่กำหนดเพื่อให้ได้พลังงานเหมาะสมกับความต้องการ ของร่างกายผู้ป่วยควรงดน้ำตาลและอาหารที่มีน้ำตาลทุกชนิด ผู้ป่วยเบาหวานจะรับประทานอาหารโดย 1. ทานอาหารครบ 5 หมู่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ข้าวหรือแป้งอื่น ๆ 2. ทานข้าวเป็นประจําตามที่กำหนด ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


15 3. ทานผักให้มากโดยเฉพาะผักประเภทใบและถั่วสด 4. ตักข้าวตามจํานวนที่กําหนด ไม่ควรเติมอีกถ้าไม่อิ่ม ทานผักเพิ่ม ลดอาหารประเภทแป้ง 5. หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ขนุน น้อยหน่าละมุด อ้อย มะขามหวาน 6. ทานผลไม้ที่หวานน้อยเช่น ส้ม มะละกอ พุทราฝรั่ง 7. งดของหวานทุกชนิดและขนมที่ใส่น้ำตาลเช่น ทองหยิบ ฝอยทอง สังขยาขนมหม้อ แกงกะละแม ข้าวเหนียวแก้วข้าวเหนียวแดง เม็ดขนุน มะพร้าวแก้วขนมเด็กอาหาร เชื่อมทุกชนิด เช่น ลูกตาลเชื่อม กล้วยเชื่อม มันเชื่อม มะตูมเชื่อม พุทราจีนเชื่อม สาเก เชื่อม ไอศกรีม ฯลฯ 8. หลีกเลี่ยงการทานเครื่องในสัตว์ต่าง ๆ 9. หลีกเลี่ยงการทานไขมันสัตว์น้ำมันหมูเนย มันหมูมันไก่ เนื้อติดมัน หมูสามชั้น ครีม และน้ำมันพืช จําพวกกะทิน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม หนังไก่ 10. ใช้น้ำมันพืชที่มีส่วนผสมของน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำ น้ำมันฝ้าย น้ำมันข้าวโพด ให้ มากขึ้น โดยใช้ในการประกอบอาหารเป็นประจํา 11. หลีกเลี่ยงอาหารทอดที่มีน้ำมันมากเช่น ปาท่องโก๋ข้าวเกรียบทอด ข้าวตังทอด มัน ทอด ฯลฯ 12. ทานอาหารให้ตรงเวลาและไม่ควรงดอาหารมื้อหนึ่งมื้อใด โดยเฉพาะผู้ได้รับการรักษา ด้วยการฉีดอินซูลิน เพราะอาจมีผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำจนหมดสติได้ 2.2.2 การออกกําลังกาย คนปกติเวลาออกกําลังกายร่างกายจะใช้Glycogen, triglyceride, free fatty acid และ glucose เป็นพลังงาน ร่างกายจะปรับตัวมิให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ โดยการลดการหลั่งอินซูลิน เพิ่มการหลั่งกลูคา กอน (glucagons) ในระยะเริ่มต้น เพิ่มการหลั่งสารอะดรีนาลิน (adrenalin) ในระยะต่อมาผลทำให้ ร่างกายใช้น้ำตาลอย่างเหมาะสม ไม่เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่หนึ่งกลไกการหลั่งฮอร์โมนเสียไป กล่าวคือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่หนึ่ง ถ้ารักษาไม่ดีได้รับอินซูลิน (Insulin)ไม่พอเวลาออกกำลังกายมีการหลั่งสารอะดรีนาลิน (Adrenalin) มาก ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงเกิดภาวะขาดอินซูลิน (Ketoacidosis) ได้ง่ายและในทางตรงกันข้ามหากได้ อินซูลินมากเกินไปจะเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ (Hypoglycemia) ได้ง่าย ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองภาวะ ดังกล่าวพบได้น้อย ประโยชน์จากการออกกำลังกาย 1. ลดปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดแดงแข็ง เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันใน เลือดสูง 2. ทําให้น้ำหนักลดลง ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


16 3. ทำให้การคุมเบาหวานดีขึ้น เนื่องจากการเพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน (insulin sensitivity) หลังออกกำลังกาย48 ชั่วโมงร่างกายยังไวต่ออินซูลิน หากออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอจะทำให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินดีขึ้น โดยที่น้ำหนักไม่ เปลี่ยนแปลง 4. สามารถลดยาฉีดอินซูลิน หรือยากิน 5. เพิ่มคุณภาพชีวิต ข้อแนะนำการออกกำลังกายกับเบาหวานชนิดที่หนึ่ง 1. ไม่ควรออกกำลังกายถ้าน้ำตาลตอนเช้ามากกว่า250 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 2. ให้กินนํ้าตาลถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 3. ตรวจน้ำตาลก่อนและหลังออกกำลังกาย 4. เตรียมน้ำตาลไว้ขณะออกกําลังกาย 5. ปรับการฉีดอินซูลินและอาหารเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำ แนวทางออกกำลังกายอย่างปลอดภัยในผู้ป่วยเบาหวาน 1. ปรึกษาแพทย์และได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์อย่างละเอียด 2. ผู้ป่วยต้องมีป้ายแสดงตัวว่าเป็นเบาหวานติดตัวไว้เสมอ 3. ควบคุมน้ำตาลไม่ให้สูงเกินไปคือไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในเบาหวานชนิดที่ 1 และไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในเบาหวานชนิดที่ 2 4. เรียนรู้อาการและวิธีป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ 5. ตรวจดูเท้าว่ามีแผลตาปลาหรือการอักเสบใด ๆ 6. ใส่รองเท้าอย่างเหมาะสมสำหรับการออกกำลังกายและต้องสวมถุงเท้าทุกครั้ง 7. ผู้ป่วยที่ใช้ยาฉีดอินซูลินแนะนำให้เลี่ยงการออกกำลังกายช่วงขณะที่ยาออกฤทธิ์สูงสุด และไม่ฉีดอินซูลินบริเวณที่ออกกำลังกายให้ฉีดบริเวณหน้าท้องแทน 8. ถ้าผู้ป่วยฉีดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์ระยะกลาง (Intermediate-acting) ให้ลดขนาดยาลง ร้อยละ30-35 9. ถ้าผู้ป่วยฉีดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์ระยะกลาง (Intermediate-acting) ร่วมกับออกฤทธิ์ ระยะสั้น (Short-acting) ให้ลดหรืองด และลดลง1/3 10. ถ้าผู้ป่วยฉีดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์ระยะสั้น (Short-acting insulin) ให้ลดยาฉีดก่อน ออกกำลังกาย 11. ต้องสามารถทราบภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำและมีน้ำตาลติดตัว 12. ดื่มน้ำให้พอทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


17 สรุปแนวทางออกกําลังกาย 1. จะต้องออกกำลังกายจนรู้สึกหัวใจเต้นหรือเหงื่อออกหรือจับชีพจรได้ร้อยละ60-80 ของอัตราเต้นสูงสุด 2. จะต้องอบอุ่นร่างกายอย่างน้อย5 นาทีโดยต้องออกกำลังกายวันละ20-40 นาที 3. วิธีการออกกำลังอาจทำได้โดยการวิ่งอยู่กับทีวิ่งเหยาะ ๆ เดินเร็ว ๆ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ 4. ออกกําลังกายวันละครั้งอย่างน้อย3 ครั้งต่อสัปดาห์ 5. แนะนําให้ออกกำลังกายช่วงเย็น 6. เริ่มต้นออกกําลังแบบเบา ๆ ก่อนและเพิ่มขึ้นเมื่อท่านแข็งแรงขึ้น 7. พยายามออกกำลังเวลาเดียวกันสำหรับผู้ที่ฉีดอินซูลินควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังเวลา ที่อินซูลินออกฤทธิ์สูงสุด 8. อินซูลินควรจะฉีดที่หน้าท้อง 9. ไม่ควรออกกำลังกายหลังอาหารมื้อหนักโดยทันที 10. งดออกกำลังกายเมื่อรู้สึกไม่สบาย 11. จับชีพขจรขณะออกกำลังกายและควบคุมมิให้การเต้นของหัวใจเกินเป้าหมาย 12. ควรออกกำลังกายเป็นกลุ่ม 13. พกบัตรประจําตัวว่าเป็นเบาหวาน 14. นำลูกอมติดตัวไปด้วยทุกครั้ง เพื่อช่วยในกรณีที่น้ำตาลในกระแสเลือดลดต่ำลง (Hypoglycemia) 2.2.3 การใช้ยารักษา (อ้างอิง : สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย,สมาคมโรคต่อมไร้ท่อ,กรมการแพทย,์หลักประกัน สุขภาพแห่งชาติ. แนวเวชปฏบิตัสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน 2562.กรุงเทพฯ:พิมพ์ครั้งที่1 ; ศรีเมืองการ พิมพ์จำกัด.2562) ปัจจุบันการรักษาด้วยยาได้รับความนิยมใช้ในการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่สอง เนื่องจากปัจจัย ดังต่อไปนี้ 1. มีหลักฐานยืนยันว่าการควบคุมเบาหวานที่ดีสามารถลดโรคแทรกที่เกิดจากเบาหวาน 2. การวินิจฉัยเบาหวานใช้เกณฑ์126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ทำให้เริ่มรักษาเบาหวาน 3. ความปลอดภัยของยามีมากขึ้นเกิดภาวะน้ำตาลน้อยลง ยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในเลือดมีกี่ประเภทเราแบ่งยาเม็ดลดระดับน้ำตาลออกเป็น 2 ประเภท เสริมการออกฤทธิ์ของอินซูลิน (Agents Enhancing the Effectiveness of Insulin) ยาในกลุ่มนี้ไม่ทำให้ เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำยาในกลุ่มนี้ได้แก่ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


18 Metforminผลทำให้เบื่ออาหาร ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีนํ้าหนักมากยาลดน้ำหนักได้ ประมาณ 0.6 กิโลกรัม มีผลดีต่อระดับไขมันในเลือด เพราะสามารถลด Triglyceride ร้อยละ 10-20 ลด Cholesterol ร้อยละ 5-10 ลด LDL ร้อยละ8 เพิ่ม HDL ร้อยละ2 ทำให้ลด Fasting blood sugar ลงได้58 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรลด HbA1c ได้ร้อยละ 1.8 หากใช้ร่วมกับ sulfonylurea สามารถลด FPG ได้100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรดังนั้นหากน้ำตาลในเลือดมากกว่า 300 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรมักไม่ได้ผลจากยา รับประทาน กลไกการออกฤทธิ์ 1. ลดการสร้างนํ้าตาลจากตับ (decrease glycogenolysis, decrease gluconeogenesis) 2. ทําให้น้ำตาลเข้าเซลล์ดีขึ้น (insulin-stimulated glucose transport in muscle cell) ผลข้างเคียงของยา 1. มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องอืด ท้องเสียควรแนะนำให้รับประทานยาพร้อมอาหาร หรือหลังอาหาร 2. ภาวะเป็นกรดในเลือด (Lactic acidosis) โดยมากพบในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคไต โรคตับ ภาวะติดเชื้อ ข้อห้ามใช้ 1. ไตเสื่อมค่า serum creatinine >1.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 2. มีภาวะอื่น ๆ ที่มีโอกาสเกิดภาวะเป็นกรดในเลือด (Lactic acidosis) 3. ผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจโรคตับ และผู้สูงอายุควรใช้อย่างระมัดระวัง Troglitazoneยาตัวนี้ดูดซึมเร็วให้พร้อมอาหารตอนเช้าสามารถลด FPG 25-40 มิลลิกรัมต่อ เดซิลิตรลด HbA1c ร้อยละ0.6-1 ยาตัวนี้ลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ลดระดับอินซูลิน แต่เพิ่มระดับ HDL และระดับ LDL กลไกการออกฤทธิ์ 1. เพิ่มการออกฤทธิ์ของอินซูลิน แต่ไม่เพิ่มการหลังการหลั่งอินซูลิน 2. เพิ่มการใช้กลูโคสในกล้ามเนื้อ 3. ลดการสร้างนํ้าตาลจากตับ ข้อบ่งชี้ในการใช้ยา 1. ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่2 ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลินร่วมด้วย 2. ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่2 ที่ไม่สามารถทนต่อ Metformin ข้อห้ามใช้ 1. เบาหวานชนิดที่1 ที่ไม่ได้รับอินซูลิน 2. ตั้งครรภ์ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


19 3. โรคตับระยะเฉียบพลัน 4. หัวใจล้มเหลว ผลข้างเคียงของยา 1. มีการลดลงของความเข้มของเลือด แต่อยู่ในเกณฑ์ปกติ 2. อาจทำให้ตับอักเสบ ควรเจาะเลือดตรวจการทำงานของตับทุก2 เดือน เป็นเวลา1 ปี 3. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ 4. ภาวะบวมเกิดจากการคั่งของพบได้ประมาณร้อยละ 7-15 5. น้ำหนักตัวเพิ่มประมาณ 2 กม. ข้อควรระวังควรระวังในโรคตับ คนให้นมบุตรคนท้องและคนที่หัวใจวาย Acarbose นำมาใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวานลดการดูดซึมสารอาหารที่ลำไส้เล็กส่วนต้น สามารถลด FPG ได้16-20 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรลด HbA1c ได้0.59% และลดน้ำตาลหลังอาหารได้51 มิลลิกรัมต่อ เดซิลิตร ข้อบ่งชี้ในการใช้ 1. ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองที่มีระดับน้ำตาลสูงไม่มาก 2. ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองที่มีระดับน้ำตาลหลังอาหารสูง 3. ใช้ร่วมกับยาเม็ดลดาตาลชนิดอื่น 4. ใช้ร่วมกับอินซูลินในการรักษาเบาหวานชนิดที่ 1 ผลข้างเคียงของยา 1. ท้องอืด ท้องเดิน ปวดท้องควรเริ่มยาแต่น้อยเคี้ยวพร้อมอาหาร 2. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ 3. ทําให้ตับอักเสบได้ ข้อห้ามใช้ 1. โรคทางเดินอาหารเช่น แผลในกระเพาะลำไส้อักเสบ 2. ไตเสื่อม 3. เบาหวานชนิดที่หนึ่งที่ไม่ได้รับอินซูลิน 4. ผู้ป่วยโรคตับแข็ง ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


20 2. ยาเพิ่มการหลั่งของอินซูลิน (Agents Augmentation the supply of Insulin) ยาในกลุ่มนี้เพิ่มการหลั่ง ของอินซูลิน ได้แก่ Sulfonylureaยากลุ่มนี้ดูดซึมได้ดีเมื่อให้ยาก่อนอาหาร ยาจะถูกขับออกทางไตเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นผู้ป่วยที่ไตเสื่อมจึงไม่ควรใช้ยาในกลุ่มนี้ยาในกลุ่มนี้จะมีกลไกการออกฤทธิ์คล้ายกันต่อระยะเวลา ในการออกฤทธิ์ต่างกัน ดังนั้นจึงห้ามใช้ยาในกลุ่มนี้ร่วมกัน ควรรับประทานยาก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง กลไกการออกฤทธิ์ของยา 1. การกระตุ้นการหลั ่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ของตับอ ่อนพบว ่าการกระตุ้นเกิด เพียงชั่วคราว 3-6 เดือนหลังจากนั้นการหลั่งของอินซูลินจะมีลักษณะเหมือนก่อน รักษา 2. กดการสร้างกลูโคสที่ตับ 3. เพิ่มความสามารถของอินซูลิน ข้อบ่งชี้ในการใช้ยาผู้ป่วยจะตอบสนองต่อยากลุ่มนี้ได้ดีจะมีลักษณะดังนี้ 1. เป็นเบาหวานน้อยกว่า5 ปีและเป็นชนิดที่สอง 2. อายุมากกว่า40 ปี 3. คนอ้วน 4. นํ้าตาลก่อนอาหารเช้าน้อยกว่า200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 5. ถ้าเคยได้อินซูลินมาก่อนควรได้น้อยกว่า40 ยูนิตต่อวัน ข้อห้ามใช้ยาในกลุ่มนี้ 1. เป็นเบาหวานชนิดทีหนึ่ง 2. ผู้ป่วยถูกตัดตับอ่อนออกหมด 3. มีโรคแทรกซ้อนของเบาหวานอย่างเฉียบพลัน 4. มีภาวะติดเชื้ออย่างรุนแรง 5. มีโรคตับหรือได 6. ระหว่างผ่าตัดใหญ่ 7. ระยะตั้งครรภ์ 8. มีประวัติแพ้ยากลุ่มซัลโฟนาไมด์ 9. ในภาวะช็อก ผลข้างเคียงของยา 1. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า70 ปีภาวะขาดอาหารติดสุรา การทํางานของไตผิดปกติ 2. ภาวะเกลือแร่โซเดียมต่ำ(Hyponatremia) ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


21 3. มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 2.8 กิโลกรัม 4. เกร็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวต่ำ 5. ผื่นแพ้ตามผิวหนัง Repaglinideยาลดน้ำตาลชนิดนี้ออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นให้ตับอ่อนสร้างอินซูลิน แต่ยานี้จะ ออกฤทธิ์เร็วหลังรับประทานยา15 นาทียาก็ออกฤทธิ์ทำให้ระดับน้ำตาลหลังอาหารลดลงเนื่องจากออก ฤทธิ์สั้นจึงป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำได้ ข้อบ่งชี้ในการใช้ 1. เบาหวานชนิดที่2 โดยใช้ยานี้ร่วมกับการออกกำลังกายและคุมอาหาร 2. สามารถใช้ยาร่วมกับยา Metformin ข้อควรระวังและข้อห้ามใช้ 1. ผู้ป่วยที่แพ้ยานี้ 2. ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 3. ตั้งครรภ์เลี้ยงลูกด้วยนม 4. เด็กอายุต่ำกว่า12 ปี อินซูลิน (Insulin) เป็นยาที่จำเป็นในการรักษาเบาหวานชนิดที่หนึ่งทุกราย นอกจากนั้นยัง จำเป็นสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองที่ไม่ตอบสนองต่อยาเม็ด การใช้อินซูลินเหมาะสำหรับผู้ป่วย เบาหวานซึ่งอาการเกิดเร็วและน้ำหนักลด อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ออกฤทธิ์โดยการนำ น้ำตาลจากเลือดเข้าไปในเซลล์ของร่างกาย เพื่อใช้เป็นพลังงานในผู้ป่วยที่ขาดอินซูลินหรืออินซูลินไม่ สามารถออกฤทธิ์ได้ตามปกติ(ดื้อต่ออินซูลิน) ทำให้เซลล์ไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้จึงทำให้ระดับ น้ำตาลในเลือดสูงจึงเกิดโรคเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดไหนควรใช้อินซูลิน 1. เบาหวานชนิดที่หนึ่งทุกราย 2. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ 3. เบาหวานทีมีโรคไตหรือตับ 4. เบาหวานชนิดที่สองที่ใช้ยาเม็ดลดนํ้าตาลไม่ได้ผล 5. เบาหวานที่มีภาวะเครียด เช่น การติดเชื้อผ่าตัด เป็นต้น 6. ผู้ป่วยซึ่งไม่สามารถทนผลข้างเคียงของยาลดน้ำตาล 7. ผู้ป่วยเบาหวานซึ่งไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลด้วยการคุมอาหารหรือการออกกำลังกาย 8. ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลเกิน 250 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร คนที่เป็นเบาหวานหากตั้งครรภ์ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


22 หากท่านเป็นเบาหวานรับประทานยาเม็ดอยู่เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ท่านต้องรีบรายงาน แพทย์โดยด่วนเพื่อแพทย์จะได้เปลี่ยนยารับประทานเป็นอินซูลินเนื่องจากยา รับประทานอาจจะไหลผ่านจากรถไปสู่ลูกคุณได้เมื่อคลอดบุตรแล้วอาจจะให้ยา รับประทานใหม่ ผู้ป่วยที่มีน้ำตาลในเลือด 126-140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แนวทางการเลือกใช้ยาเม็ดลดน้ำตาลหากผู้ป่วยมีHbA1c สูงเล็กน้อยและน้ำตาลหลัง อดอาหาร (fasting blood sugar) อยู่ระหว่าง 126-140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรให้เลือกใช้ acarbose ผู้ป่วยกลุ่มนี้หากเป็นคนอ้วนให้ใช้Metformin แทน แต่ถ้าสงสัยว่าจะมี insulin resistant โดยตรวจพบว่ามีcentral obesity คือมีอัตราส่วนของรอบเอวต่อรอบ สะโพกมากกว่า1 หรือ0.8 ในชายและหญิงตามลำดับให้ใช้Troglitazone ผู้ป่วยที่มีนํ้าตาลในเลือด >140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ให้ใช้กลุ่ม sulfonylurea โดยเริ่มใช้ยาในขนาดต่าถ้าน้ำตาลมากกว่า 250 มิลลิกรัมต่อ เดซิลิตรให้เริ่มยาครั้งละ 1 เม็ดถ้าน้ำตาลมากว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร HbA1c> 10% ให้เริ่มยาลดน้ำตาล2 ชนิด การปฎิบัติตัวเมื่อรับประทานยาลดน้ำตาลในเลือด 1. รับประทานอาหารให้สม่ำเสมอและตรงต่อเวลา 2. รับประทานยาตามมื้อที่แพทย์สั่ง 3. หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา 4. ควรทราบผลข้างเคียงของยาโดยสอบถามจากแพทย์หรือศึกษาจากคู่มือในการใช้ยาเมื่อ สงสัยว่าจะเกิดอาการแพ้ยาควรปรึกษาแพทย์ 5. ควรแจ้งแพทย์ว่ามีประวัติแพ้ยาอะไรบ้าง 6. ควรทราบวิธีแก้ไขเมื่อมีอาการน้ำตาลต่ำ 7. ทราบวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเวลาเจ็บป่วย 8. หากการควบคุมน้ำตาลยังไม่ดีควรจะเจาะน้ำตาลปลายนิ้วที่บ้าน วิธีป้องกันมิให้ลืมรับประทานยา 1. รับประทานยาเวลาเดียวกันทุกวัน 2. รับประทานยาเวลาเดียวกับยาอื่น ๆ ที่ใช้อยู่หรือสัมพันธ์กับกิจกรรมอื่น เช่น หลังแปรง ฟัน เป็นต้น 3. เก็บยาไว้ในที่มองหาง่ายและหยิบง่ายไม่ต้องแช่เย็น 4. ให้ความสนใจมื้อที่มักลืมเสมอ 5. แบ่งขนาดยาเป็นมื้อ ๆ ต่อวัน ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


23 2.3 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง (อ้างอิง :http://doh.hpc.go.th/data/bse_manual/pdf เข้าถึงข้อมูลวันที่26 ธันวาคม 2564) Health Belief Model (HBM) ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี1950 เพื่ออธิบายว่าทำไมการคัดกรองโรค ต่างในสหรัฐอเมริกา เช่นวัณโรคถึงไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรซึ่งทฤษฎีได้อธิบายว่าพฤติกรรมทาง สุขภาพถูกกำหนดโดยความเชื่อ (Belief) หรือการรับรู้ (Perception) ส่วนบุคคลเกี่ยวกับโรคนั้น ๆ และ วิธีการที่จะจัดการโรคนั้น ๆ ซึ่ง Intrapersonal Factors ในตัวบุคคลนั้นจะมีอิทธิพลต่อความเชื่อส่วน บุคคล ซึ่งมีสมมติฐานว่าบุคคลจะหันเหตนเอง ไปสู่พื้นที่ที่บุคคลให้ค่านิยมเชิงบวกและขณะเดียวกัน จะ หลีกเลี่ยงจากพื้นที่ที่มีค่านิยมเชิงลบอธิบายได้ว่า บุคคลจะแสวงหาแนวทางเพื่อจะปฏิบัติตามคำแนะนำ เพื่อการป้องกันและฟื้นฟูสภาพตราบเท่าที่การปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าเชิงบวกมากกว่า ความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าว บุคคลจะต้องมีความรู้สึกกลัวต่อโรค หรือรู้สึกว่าโรคคุกคามตน และจะต้องมีความรู้สึกว่า ตนเองมีพลังที่จะต่อต้านโรค ซึ่งต่อมาโรเซน สต๊ อก ได้สรุป องค์ประกอบพื้นฐานของแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพไว้คือ การรับรู้ของบุคคล และ แรงจูงใจการที่บุคคลจะมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงจากการเป็นโรคจะต้องมีความเชื่อว่าเขามีโอกาสเสี่ยงต่อ การเป็นโรคโรคนั้นมีความรุนแรงและมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต รวมทั้งการปฏิบัตินั้นจะเกิดผลดี ในการลดโอกาสเสี่ยง ต่อการเป็นโรคหรือช่วยลดความรุนแรงของโรคโดยไม่ควรมีอุปสรรคด้านจิตวิทยา มาเกี่ยวข้อง เช่น ค่าใช้จ่ายความไม่สะดวกสบายความเจ็บป่วยและความอาย เป็นต้น (Rosenstock, 1974) ต่อมาเบคเกอร์ (Becker, 1974) เป็นผู้ปรับปรุงแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพเพื่อ นำมาใช้อธิบาย และทำนายพฤติกรรม การป้องกันและพฤติกรรมอื่นๆ โดยเพิ่มปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากการรับรู้ของ บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติในการป้องกันโรค ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค (Perceived Susceptibility) การรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยง ต่อการ เป็นโรค หมายถึงความเชื่อของบุคคลที่มีผลโดยตรงต่อการปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขภาพทั้ง ในภาวะ ปกติและภาวะเจ็บป่วยแต่ละบุคคลจะมีความเชื่อในระดับที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จึง หลีกเลี่ยง ต่อการเป็นโรคด้วยการปฏิบัติตามเพื่อป้องกันและรักษาสุขภาพที่แตกต่างกัน จึงเป็นความเชื่อของ บุคคลต่อความถูกต้องของการวินิจฉัยโรคของแพทย์การคาดคะเนถึงโอกาสของการเกิดโรคซ้ำ หรือการ ง่ายที่จะป่วยเป็นโรคต่างๆ มีรายงานการวิจัยหลายเรื่องที่ให้การสนับสนุนความเชื่อต่อโอกาส เสี่ยงของ การเป็นโรคว่ามีความสัมพันธ์ในทางบวกกับพฤติกรรมการปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ เช่นเมื่อ บุคคลป่วยเป็นโรคใดโรคหนึ่งความรู้สึกของบุคคลที่ว่าตนเองจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนั้นๆอีกจะมี ความสัมพันธ์เชิงบวกกับการปฏิบัติพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคไม่ให้เกิดกับตนเองอีก (Heinze, 1962; Elling et al.,1960) การรับรู้ความรุนแรงของโรค (Perceived Severity) เป็นการประเมินการรับรู้ความ รุนแรงของ โรค ปัญหาสุขภาพหรือผลกระทบจากการเกิดโรคซึ ่งก ่อให้เกิดความพิการหรือเสียชีวิต การประเมินความรุนแรงนั้นอาศัยระดับต่างๆของการกระตุ้นเร้าของบุคคลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยนั้นซึ่ง ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


24 อาจจะมองความรุนแรงของการเจ็บป่วยนั้นทำให้เกิดความพิการหรือตายได้หรือไม่ หรืออาจมี ผลกระทบต่อหน้าที่การงานเมื่อบุคคลเกิดการรับรู้ความรุนแรงของโรคหรือการเจ็บป่วยแล้วจะมีผลทำ ให้บุคคลปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อการป้องกันโรคซึ่งจากผลการวิจัยจำนวนมากพบว่าการรับรู้ความ รุนแรงของโรคมีความสัมพันธ์ในทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันโรคการรับรู้ถึงประโยชน์ของการ รักษาและป้องกันโรค (Perceived Benefits)การรับรู้ถึง ประโยชน์ของการรักษาและป้องกันโรค หมายถึงการที่บุคคลแสวงหาวิธีการปฏิบิตัให้หายจากโรค หรือป้องกันไม่ให้เกิดโรคโดยการปฏิบัตินั้น ต้องมีความเชื่อว่าเป็นการกระทำที่ดีมีประโยชน์และเหมาะสมที่จะทำให้หายหรือไม่เป็นโรคนั้นๆ ดังนั้นการตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบถึงข้อดีและข้อเสียของพฤติกรรม นั้น โดยเลือกปฏิบัติในสิ่งที่ก่อให้เกิดผลดีมากกว่าผลเสีย การรับรู้ต่ออุปสรรค (Perceived Barriers)การรับรู้ต่ออุปสรรคของการปฏิบัติหมายถึงการ คาดการณ์ล่วงหน้าของบุคคลต่อการปฏิบัติพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ อนามัยของบุคคลในทาง ลบ ซึ่งอาจได้แก่ค่าใช้จ่าย หรือผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติกิจกรรมบางอย่าง เช่น การตรวจเลือด หรือ การตรวจพิเศษทำให้เกิดความไม่สุขสบายการมารับบริการหรือพฤติกรรมอนามัยนั้น ขัดกับอาชีพ หรือ การดำเนินชีวิตประจำวัน ดังนั้นการรับรู้อุปสรรคเป็นปัจจัยสำคัญต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคและ พฤติกรรมของผู้ป่วยนั้นสามารถใช้ทำนายพฤติกรรมการให้ความร่วมมือในการรักษาโรคได้ สิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติ (Cues to Action) สิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติเป็นเหตุการณ์หรือสิ่ง ที่มากระตุ้นบุคคลให้เกิดพฤติกรรมที่ต้องการออกมาซึ่ง Becker, Maiman (1975) ได้กล่าวว่า เพื่อให้แบบ แผนความเชื่อมีความสมบูรณ์นั้น จะต้องพิจารณาถึงสิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติซึ่งมี2 ด้าน คือ สิ่งชักนำ ภายในหรือสิ่งกระตุ้นภายใน (Internal Cues) ได้แก่การรับรู้สภาวะของร่างกายตนเอง เช่น อาการของ โรคหรือการเจ็บป่วยส่วนสิ่งชักนำภายนอกหรือสิ่งกระตุ้นภายนอก(External Cues) ได้แก่การให้ ข่าวสารผ่านทางสื่อมวลชนหรือการเตือนจากบุคคลที่เป็นที่รักหรือนับถือเช่น สามีภรรยา บิดา มารดา ปัจจัยร่วม (Modifying Factors) ปัจจัยร่วมเป็นปัจจัยที่ไม่มีผลโดยตรงต่อพฤติกรรมสุขภาพ แต่ เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะส่งผลไปถึงการรับรู้และการปฏิบัติได้แก่ 1. ปัจจัยด้านประชากรเช่นอายุระดับการศึกษาเป็นต้น 2. ปัจจัยทางด้านสังคมจิตวิทยา เช่น บุคลิกภาพ สถานภาพทางสังคม กลุ่มเพื่อน กลุ่ม อ้างอิง มีความเกี่ยวข้องกับบรรทัดฐานทางสังคม ค่านิยมทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้ เกิดการปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคที่แตกต่างกัน 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเช่นความรู้เรื่องโรคประสบการณ์เกี่ยวกับโรคเป็นต้น แรงจูงใจด้านสุขภาพ (Health Motivation) แรงจูงใจด้านสุขภาพ หมายถึง สภาพ อารมณ์ที่ เกิดขึ้นจากการถูกกระตุ้นด้วยเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยได้แก่ระดับความสนใจความใส่ใจ ทัศนคติและค่านิยมทางด้านสุขภาพ เป็นต้น ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


25 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรม การดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 Thidarat Kanungpiarn Boromrajonani college of nursing , Surin (2563) การศึกษาเชิงพรรณนาครั้งนี้ (Descriptive Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างการรับรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการ คลินิกพิเศษผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งจำนวน 80 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ข้อมูลส่วนบุคคลแบบสอบถามการรับรู้ด้านสุขภาพและแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพค่า ดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1, 0.93และ0.97และค่าความเที่ยงด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.80 และ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 63.8 อายุระหว่าง 61-70 ปีร้อยละ41.2 มีสถานภาพคู่/สมรส ร้อยละ 93.8 ระดับการศึกษาสูงสุด ประถมศึกษา ร้อยละ 71.2 อาชีพเกษตรกร ร้อยละ 37.5 และ มีค่าระดับน้ำตาลในเลือด (DTX) ≥126 mg% ร้อยละ 70กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้ด้านสุขภาพส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง (mean=3.06, S.D=0.32) และพฤติกรรมสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง (mean=2.19, S.D=0.36)และพบว่ารับรู้ด้านสุขภาพมี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในระดับต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.338, p<0.01) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าการรับรู้ต่ออุปสรรคมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.543, p<0.01) แต่การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค การรับรู้ความรุนแรงของโรคและการรับรู้ประโยชน์ของการรักษาและป้องกันไม่มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ Reference: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnpy/article/view/237177 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


26 ผลของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อการควบคุมระดับน้ำตาบในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 ที่ไม่ สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ (2563) การวิจัยเป็นรูปแบบการศึกษากึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมต่อการควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 ที่มีระดับนํ้าตาลสะสมใน เลือดมากกว่า หรือเท่ากับร้อยละ8 และรับการรักษาด้วยยารับประทานที่มารับบริการที่คลินิกโรคเรื้อรัง ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบลในจังหวัดสุรินทร์ได้กลุ่มทดลองจำนวน 31 คน และกลุ่ม เปรียบเทียบ จำนวน 32 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมที่ประยุกต์ทฤษฎี ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง เป็นกรอบแนวคิดในการจัดกิจกรรม 4 ครั้ง ได้แก่การสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้ตื่นตัวฝึกทักษะ และการเสริมแรงด้านบวกในขณะที่กลุ่มเปรียบเทียบได้รับการพยาบาลตามปกติทำการเก็บรวบรวม ข้อมูล ด้วยแบบสอบถามที่ระยะก่อนทดลองระยะหลังทดลอง สัปดาห์ที่8 และระยะติดตามผล สัปดาห์ที่ 12 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติIndependent t-test และ Paired Sample t-testผลการวิจัย พบว่ากลุ่ม ทดลองมีคะแนนพฤติกรรมในการควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการทดลองทั้งใน สัปดาห์ที่8 และ 12 และค่าความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ ในสัปดาห์ที่12 (p<.05) กลุ่มทดลองมีคะแนนการรับรู้ความสามารถในการควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดเพิ่มขึ้นมากกว่า ก่อนการทดลองในสัปดาห์ที่8 และ12 (p <.05) แต่ผลต่างคะแนนเฉลี่ยไม่แตกต่างจากกลุ่มเปรียบเทียบทั้ง ในสัปดาห์ที่8 และ 12 และกลุ่มทดลองมีระดับนํ้าตาลสะสมในเลือดลดลงกว่าก่อนการทดลองแต่ไม่ แตกต่าง จากกลุ่มเปรียบเทียบ (p >.05) ข้อเสนอแนะการทำวิจัยคือควรเพิ่มระยะเวลาในการศึกษาเพื่อ ติดตาม ความคงอยู่ของพฤติกรรม และการลดลงของระดับนํ้าตาลสะสมในเลือด พยาบาลเวชปฏิบัติ ชุมชนสามารถนำโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อการควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดของผู้ป่วย โรคเบาหวานชนิดที่2 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดได้ไปส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยในชุมชนได้ Reference : https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/246233/167549 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


27 การรับรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัด สุรินทร์ อ้อมใจแต้เจริญวิริยะกุล (2559) การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจมีวัตถุประสงค์เพื่อจะศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้าน สุขภาพกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาทจังหวัดสุรินทร์ จำนวน70คน เป็นเพศชายจำนวน24คน และเพศหญิงจำนวน46คน โดยใช้แบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรมประมวลผลสำเร็จรูปสถิติที่ใช้ได้แก่จำนวนร้อยละและค่าไควส์แควร์ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีการรับรู้ด้านสุขภาพในระดับปานกลางและมีพฤติกรรมการดูแลตนเองในระดับดี ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีเพศอายุสถานะภาพสมรสอาชีพรายไดเ้ฉลี่ยต่อเดือนระยะเวลาที่ทราบว่าเป็น โรคเบาหวานภาวะแทรกซ้อนที่ต่างกัน มีแบแผนการรับรู้ด้านสุขภาพที่ไม่แตกต่างกัน ผู้ป่วย โรคเบาหวาน ที่มีระดับการศึกษากับแหล่งของรายได้ที่ต่างกัน มีแบบแผนการรับรู้ด้านสุขภาพที่ต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีเพศระยะเวลาที่ทราบว่าเป็นโรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนที่ต่างกันมีแบบแผนการรับรู้ด้านสุขภาพที่ไม่แตกต่างกัน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอายุ สถานะภาพสมรสระดับการศึกษาอาชีพรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่ต่างกัน มีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนแบบแผนการรับรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วย โรคเบาหวานมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเองอยา่งมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 Reference: https://physicaltherapy.swu.ac.th/sites/default/files/2021-04/วิจัยตีพิมพ์. pdf ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


28 ภาวะโภชนาการและพฤติกรรมการบริโภคของผู้ป่วยเบาหวาน ตำบลท่าสองคอน อำเภอเมืองจังหวัด มหาสารคามชมนาถแปลงมาลย์, นุชนาถ มีนาสันติรักษ์ (2561) การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi experimental research design) ประชากรเป็นผู้ป่วย โรคเบาหวานของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านอุปราช ตําบลท่าสองคอน อําเภอเมืองจังหวัด มหาสารคาม ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive sampling) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ พร้อมปฏิบัติ (prepared group) และกลุ่มลังเล- สงสัย (hesitant group) นํามาเข้าโปรแกรมการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสุขภาพโดยใช้โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพจนสิ้นสุดโปรแกรมเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูลท้ังนี้เป็นแบบสอบถามทั้งหมด 4 ตอน ได้แก่ข้อมูลทั่วไป ความรู้เรื่องโรคเบาหวาน ความถี่ พฤติกรรมสุขภาพ 3 ด้าน คือการรับประทานอาหารการออกกําลังกายและการใช้ยา จากการศึกษานี้ พบว่ากลุ่มพร้อมปฏิบัติและกลุ่มลังเลสงสัย มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทั้งความรู้และการปฏิบัติตัว ไปสู่การมีสุขภาพที่ดีซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของสมพงษ์หามวงศ์และ พรรณีบัญชรหัตถกิจ (2560) เช่น เดียวกับอภิญญา เมืองคําและศิริตรีสุทธจิตต์ (๒๕๕๖) ได้ทําการศึกษาพบว่าควรให้ทางเลือกใน การดูแลตนเองของผู้ป่วยจะส่งผลให้มีค่าHbA1c ลดลงจนถึงระดับHbA1c< 7 ได้ดีกว่า ซึ่งหมายความว่า การให้ผู้ป่วยเป็นผู้เลือกการปฏิบัติตนเองเพื่อสุขภาพด้วยตนเองดีกว่าวางแผน วิธีการให้ทําซึ่งอาจไม่ สอดคล้องต่อชีวิตประจําวันของแต่ละบุคคล และศรีรัตน์อินถาและคณะ (2555) ใช้โปรแกรมการ พยาบาลการดูแลตนเองในเรื่องการกินอาหารการกินยาการออกกําลังกายและการดูแลสุขภาพทั่วไปใน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่2 รายใหม่พบว่าการใช้โปรแกรมวางแผนโดย ทีมสหวิชาชีพจะได้ผลดีในผู้ป่วยที่ เป็นรายใหม่มากกว่าผู้ป่วยที่มารับบริการนาน และยังพบว่าแรง สนับสนุนจากบุคคลอื่นมีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน Reference :http://research.rmu.ac.th/rdi-mis//upload/fullreport/1631525455.pdf ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


29 การพัฒนาการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลแห่งหนึ่งอำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานีหทัยรัตน์กันหาชิน พย.ม. , เพชรไสวล้มตระกูลวท.ม. [2563] การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อศึกษาสถานการณ์และพัฒนาการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบลอำเภอพิบูลย์รักษ์จังหวัดอุดรธานีโดยใช้กรอบแนวคิดการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ภาคขยายกลุ่มเป้าหมายได้แก่ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ดูแลอสม. ผู้นำชุมชนและเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและสถิติดำเนินการระหว่างเดือน กรกฎาคม 2562- กุมภาพันธ์2563 ผลการวิจัยในระยะศึกษาสถานการณ์พบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานมีพฤติกรรมสุขภาพไม่เหมาะสม การ สนับสนุน การดูแลผู้ป่วยจากผู้ดูแลมีน้อยอสม.มีการรับรู้เรื่องโรคเบาหวานไม่เพียงพอเข้าถึงบริการ ล่าช้า ให้ความรู้ไม่ครอบคลุม และฐานข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน ขาดแนวทางในการติดตามเยี่ยมบ้าน ผู้นำ ชุมชนยังไม่มีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย ระยะพัฒนาการดูแลผู้ป่วยเบาหวานโดยการมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการระดมสมอง วางแผนและดำเนินการพัฒนา มี4 องค์ประกอบดังนี้คือ 1) พัฒนาทักษะส่วนบุคคลโดยจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ติดตามเยี่ยมบ้านผู้ป่วยและผู้ดูแล 2) ปรับการให้บริการผู้ป่วยเบาหวาน โดยกำหนดบทบาทของเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจนและให้อสม. เข้ามามีส่วนร่วมในคลินิกเบาหวาน 3) พัฒนาฐานข้อมูลผู้ป่วย 4) จัดทำแนวทางในการเยี่ยมบ้านของเจ้าหน้าที่และอสม.ให้ชัดเจน การประเมินผลพบว่าผู้ป่วย มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดีขึ้นส่งผลให้ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมลดลง 21 ราย ผู้ดูแลและ อสม.มี ความรู้และมีความมั่นใจการดูแลผู้ป่วย มีฐานข้อมูลผู้ป่วยที่เป็นปัจจุบันมีแนวทางในการติดตาม เยี่ยมบ้านผู้นำชุมชนให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย Reference : https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/253273 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


30 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อรนุช ประดับทอง (2562) การศึกษาเชิงพรรณนาครั้งนี้ (Descriptive Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างการรับรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการ คลินิกพิเศษผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งจํานวน 80 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ข้อมูลส่วนบุคคลแบบสอบถามการรับรู้ด้านสุขภาพและแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพค่า ดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1, 0.93และ0.97และค่าความเที่ยงด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟุาของครอนบาค เท่ากับ 0.80และ0.89วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันผลการศึกษาพบว่าผู้ปุวยเบาหวานส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ63.8อายุ ระหว่าง 61-70 ปีร้อยละ41.2 มีสถานภาพคู่/สมรส ร้อยละ 93.8 ระดับการศึกษาสูงสุดประถมศึกษา ร้อยละ71.2 อาชีพเกษตรกร ร้อยละ37.5 และ มีค่าระดับน้ําตาลในเลือด (DTX) ≥126 mg%ร้อยละ70 กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้ด้านสุขภาพส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง (mean=3.06, S.D=0.32) และพฤติกรรม สุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง (mean=2.19, S.D=0.36)และพบว่ารับรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพในระดับต่ําอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ(r=0.338, p<0.01) เมื่อพิจารณาราย ด้าน พบว่าการรับรู้ต่ออุปสรรคมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในระดับปานกลางอย่างมี นัยสําคัญทางสถิติ(r=0.543, p<0.01) Reference : https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnpy/article/view/237177/164374 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


31 Association Between Health Perception and Self-care Behavior Among Diabetes Mellitus Type II Patients in Payuhakiri District, Nakhonsawan Province Atchara Suhiran ( 2018) This descriptive research study aimed to study health perception factors associated with selfcare behavior among type II diabetes mellitus patients in Payuhakiri district, Nakhonsawan province. Population was 308 type II diabetes mellitus patients which be either registered in census registration or lived more than 6 months in Payuhakiri district, Nakhonsawan province, and sample size calculating used Daniel formula for 181 cases, and systematic random sampling was determine. Data collected by questionnaire which are used to examine content validity and reliability test by coefficient Cronbach’s alpha about 0.89. An association analysis used Pearson Product Moment Correlation Coefficient. The result showed that health perception factors including, perceived risk of disease, perceived severity of disease, perceived benefits of disease prevention, and perceived barriers of disease prevention had mean score with high level ( X =2.69, S.D.=0.46). Moreover, self-care behavior among type II diabetes mellitus patients including, diet, exercise, emotion, drug consumption, and cure continuously participation had mean score with high level ( X =2.51, S.D.=0.50). An association analyzed reported that health perception factors was associated with self-care behavior among type II diabetes mellitus patients in Payuhakiri district, Nakhonsawan province with statistic significant (r=0.415, pvalue<0.001). Considering health perception factors, reported perceived risk of disease, perceived benefits of treatment, perceived barriers of treatment were association with statistic significant (r=0.377, p-value<0.001, r=0.302, p-value<0.001, r=0.224, p-value<0.001, respectively) conversely, perceived severity of disease, was not found association (r=0.083, p-value=0.266). Based on finding health care providers should pay more attention on providing care, and to encourage patients for health perception appropriately, and supporting patients with diabetes to prevent complication behaviors to develop this dimension of self- care which can promote a better health status Reference: https://research.kpru.ac.th/journal_science/journal/15222019-03-12.pdf ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


32 Type 2 diabetes and quality of lifeAikaterini Trikkalinou, Athanasia K Papazafiropoulou, and Andreas Melidonis (2017) It is true that a primary goal of diabetes early diagnosis and treatment is quality of life (QoL). The term QoL is still confusing but it is agreed that it composes of four components : The physical component, mental , cogitative component, psychological and social component. During the last five years 15500 articles and reviews have been written addressing diabetes and coronary arterial disease, In order to confront this metabolic anomaly and its consequences, researchers developed numerous generic and disease specific psychometric tools. With the aid of those psychometric tools the scientific community has started to realize the gruesome effect of diabetes on patients’ lives. Diabetic’s QoL becomes worse when complications start to develop or comorbidities coexist. Dominant amongst complications, in health-related quality of life (HRQoL) lowering, but not related to risk factors (genetic, the weight of birth, or others) is coronary arterial disease followed by renal failure, blindness, and the combination of micro- and macro-vascular complications and in some studies by sexual dysfunction. Moreover many are the comorbidities which deteriorate further the effect of diabetes in a patient life. Among them obesity, hypertension, dyslipidemia, depression, arthritis are the most common. Most intriguing field for research is the interaction of diabetes and depression and in some cases the progression to dementia. Many aspects and combinations of actions are under researchers’ microscope regarding the improvement of HRQoL scores. Until now, the studies performed, have demonstrated little to moderate benefit. More of them are needed to draw safe conclusions on the topic of the best combination of actions to optimize the HRQoL scores. Reference : https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5394731/ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


33 Changing Physical Activity Behavior in Type 2 Diabetes (2016) Objective: Behavioral interventions targeting "free-living" physical activity (PA) and exercise that produce long-term glycemic control in adults with type 2 diabetes are warranted. However, little is known about how clinical teams should support adults with type 2 diabetes to achieve and sustain a physically active lifestyle. Research design and methods: We conducted a systematic review of randomized controlled trials (RCTs) (published up to January 2012) to establish the effect of behavioral interventions (compared with usual care) on free-living PA/exercise, HbA(1c), and BMI in adults with type 2 diabetes. Study characteristics, methodological quality, practical strategies for increasing PA/exercise (taxonomy of behavior change techniques), and treatment fidelity strategies were captured using a data extraction form. Results: Seventeen RCTs fulfilled the review criteria. Behavioural interventions showed statistically significant increases in objective (standardized mean difference [SMD] 0.45, 95% CI 0.21-0.68) and self-reported PA/exercise (SMD 0.79, 95% CI 0.59-0.98) including clinically significant improvements in HbA(1c) (weighted mean difference [WMD] -0.32%, 95% CI -0.44% to -0.21%) and BMI (WMD -1.05 kg/m(2), 95% CI -1.31 to -0.80). Few studies provided details of treatment fidelity strategies to monitor/improve provider training. Intervention features (e.g., specific behavior change techniques, interventions underpinned by behavior change theories/models, and use of ≥10 behaviour change techniques) moderated effectiveness of behavioral interventions. Conclusions: Behavioral interventions increased free-living PA/exercise and produced clinically significant improvements in long-term glucose control. Future studies should consider use of theory and multiple behavior change techniques associated with clinically significant improvements in HbA(1c), including structured training for care providers on the delivery of behavioural interventions. Reference :https://www.researchgate.net/ _meta-analysis_of_behavioral_interventions ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


34 Outcomes monitoring of health, behavior, and quality of life after nutrition intervention in adults with type 2 diabetes (2014) Prospective, noncontrolled descriptive study. This study aimed to examine changes in health and lifestyle indicators over 6 months in persons with type 2 diabetes mellitus receiving nutrition counseling from a registered dietitian, and to promote dietetics professionals’ participation in outcomes monitoring and research. Subjects are Two hundred forty-four physician-referred adults with type 2 diabetes mellitus from 31 sites who received usual and customary nutrition counseling, and 83 registered dietitians. The results are Weight and glycemic control, coronary heart disease risk, and selfmanagement behaviors improved significantly between baseline and 3 months and baseline and 6 months. Weight, body mass index, and glycosylated hemoglobin value also improved significantly between 3 months and 6 months. Increased time and/or number of sessions with the registered dietitian were associated with weight loss and reduced glycosylated hemoglobin, fasting plasma glucose, total cholesterol, and triglyceride levels. Self-perceived health status and missed workdays were significantly improved at 6 months. Difficulty obtaining current laboratory values, lack of time, and inability to reach subjects for follow-up presented the greatest obstacles for the dietitians. The conclusion in this study, Positive outcomes were observed in adults receiving nutrition intervention for type 2 diabetes. Clinical improvements were greatest between baseline and 3 months, with stabilization between 3 months and 6 months, suggesting ongoing intervention is needed to support continued clinical progress. Dietitians found participation in this state affiliate-coordinated research project rewarding. Reference : https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0002822304015718 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


35 2.5 กรอบแนวคิดในการศึกษา ตัวแปรต้น พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่สอง, การรับรู้ภาวะสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่สอง ตัวแปรตาม ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่สอง ตัวแปรควบคุม ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่สอง ในวอร์ดอายุรกรรม โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ที่ มีอายุอยู่ในช่วง50-70 ปี ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


37 บทที่ 3 วิธีการดำเนินวิจัย การศึกษาคร้ังนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา (Descriptive Research) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่าง การรับรู้ด้านสุขภาพ กับ พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 และ เปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลใน เลือดได้และไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นผู้ป่วยวอร์ดอายุรกรรมของ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีดังขั้นตอนดังต่อไปนี้ 3.1 การกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัย 3.3 การรวบรวมข้อมูล 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 การกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรที่ใช้ในการทำวิจัยครั้งนี้เป็นกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 ซึ่งรักษาที่โรงพยาบาล พระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีจำนวนทั้งหมด 5523 คน ข้อมูลจากงานเวชระเบียนปี2563 โรงพยาบาล พระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีโดยแบ่งเป็น ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่คุมระดับน้ำตาลในเลือดได้และไม่ สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ กลุ่มตัวอย่าง การเลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางการประมาณขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซีย์และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่างคือ360 คน โดยผู้วิจัยได้ดำเนินการสุ่มตัวอย่างจากการใช้วิธีสุ่มอย่างง่ายโดยกำหนดกลุ่ม ตัวอย่างของผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็น 2 ประเภท ได้แก่กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับ น้ำตาลในเลือดได้และกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


38 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลของการศึกษาคร้ังนี้ใช้แบบสอบถามซึ่งผู้ศึกษา พัฒนาขึ้นจากงานวิจัย เรื่องพฤติกรรมสุขภาพในการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานในศูนย์สุขภาพ ชุมชนตำบลสันนาเม็งอำเภอสันทรายจังหวัดเชียงใหม่ (เกจุรีย์พันธุ์เขียน, 2549) ส่วนที่1 ข้อมูลส่วนบุคคลจำแนกเพศระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพหลักรายได้ต่อดือน ค่าระดับ น้ำตาลในเลือด ระยะเวลาในการป่วยการควบคุมโรคภาวะแทรกซ้อน อาการที่ผิดปกติ ส่วนที่2 ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่1 ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน มีข้อคำถาม 5 ข้อแบ่งการประเมินความรู้โรคเบาหวาน ออกเป็น 2 ระดับ คือ ใช่หมายถึงผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าข้อความนั้นตรงกับความรู้สึก ไม่ใช่หมายถึงผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าข้อความนั้นไม่ตรงกับความรู้สึก เกณฑ์การให้คะแนน (จรรยาธัญน้อม , 2560) ดังนี้ ใช่ ค่าคะแนนคือ1 คะแนน ไม่ใช่ ค่าคะแนน คือ0 คะแนน การแปลผลคะแนน จำนวนคะแนน 0.51 - 1 คะแนน แสดงว่ามีความรู้ในระดับสูง จำนวนคะแนน 0-0.5 คะแนน แสดงว่ามีความรู้ในระดับต่ำ ตอนที่2 การรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน มีข้อคำถาม 10 ข้อ แบ่งการประเมินการรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวานออกเป็น 2 ระดับ คือ เห็นด้วย หมายถึงข้อความนั้นตรงกับความรู้สึกของผู้ตอบแบบสอบถาม ไม่เห็นด้วย หมายถึงข้อความนั้นไม่ตรงกับความรู้สึกของผู้ตอบแบบสอบถาม เกณฑ์การให้คะแนน (จรรยาธัญน้อม,2560) ดังนี้ เห็นด้วยค่าคะแนน คือ1 คะแนน ไม่เห็นด้วยค่าคะแนน คือ0 คะแนน การแปลผลคะแนน จำนวนคะแนน 0.51 - 1.01 คะแนน แสดงว่ามีความรู้ในระดับสูง จำนวนคะแนน 0-0.5 คะแนน แสดงว่ามีความรู้ในระดับต่ำ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


39 ตอนที่3 สิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพของ ตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีข้อคำถาม 10 ข้อแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ใช่หมายถึงผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าข้อความนั้นตรงกับความรู้สึก ไม่ใช่หมายถึงผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าข้อความนั้นไม่ตรงกับความรู้สึก เกณฑ์การให้คะแนน (จรรยาธัญน้อม, 2560) ดังนี้ ใช่ค่าคะแนน คือ1 คะแนน ไม่แน่ใจค่าคะแนน คือ0 คะแนน การแปลผลคะแนน จำนวนคะแนน 0.51 - 1.00 คะแนน แสดงว่ามีความรู้ในระดับสูง จำนวนคะแนน 0-0.5 คะแนน แสดงว่ามีความรู้ในระดับต่ำ ส่วนที่3 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ทั้ง3 ด้าน ได้แก่ - แบบสอบถามพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพของตนเองด้านการบริโภค จำนวน 5 ข้อ - แบบสอบถามพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพของตนเองด้านการออกกาลังกายจำนวน 5 ข้อ - แบบสอบถามพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพของตนเองด้านการใช้ยาจำนวน 5 ข้อ ลักษณะคำถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) โดยแบ่งเป็น 2 ระดับ ซึ่งผู้ตอบ สามารถเลือกตอบได้เพียงคำตอบเดียว ดังนี้ ปฏิบัติเป็นประจำ หมายถึงการปฏิบัติกิจกรรมนั้นสม่ำเสมอทุกวันใน 1 สัปดาห์ ปฏิบัติเป็นบางครั้ง หมายถึงการปฏิบัติกิจกรรมนั้นเป็นบางครั้ง หรือเป็นบางครั้ง ไม่เคยปฏิบัติหมายถึง ไม่เคยปฏิบัติกิจกรรมนั้นเลยใน 1 สัปดาห์ เกณฑ์การให้คะแนน (จรรยาธัญน้อม, 2549) ดังนี้ ปฏิบัติเป็นประจำค่าคะแนน คือ 2 คะแนน ปฏิบัติเป็นบางครั้งค่าคะแนน คือ1 คะแนน ไม่เคยปฏิบัติค่าคะแนน คือ 0 คะแนน การแปลผลคะแนน จำนวนคะแนน 1.34-2.00คะแนน แสดงว่ามีพฤติกรรมในระดับสูง จำนวนคะแนน 0.67-1.33คะแนน แสดงว่ามีพฤติกรรมในระดับปานกลาง จำนวนคะแนน 0-0.66คะแนน แสดงว่ามีพฤติกรรมในระดับต่ำ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


40 3.3 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือการวิจัย การตรวจสอบความตรงของเนื้อหา (Content validity) - ผู้วิจัยได้นำแบบสอบถามไปตรวจสอบความตรงของเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ2 ท่าน การตรวจสอบความเชื่อมั่นของเครื่องมือ (Reliability) - ผู้วิจัยนำแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวาน ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน ในโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ซึ่งได้ตรวจสอบความ ตรงของเนื้อหาและปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำ ของผู้ทรงคุณวุฒิแล้วไปทดลองใช้ กับกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่ม ตัวอย่าง ในโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจำนวน20รายจากน้ันนำไปหาค่าความเชื่อมั่นของ แบบสอบถามความรู้โรคเบาหวาน 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่ม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมีการดำเนินงานดังนี้ 1. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานผู้ป่วยโรคเบาหวานของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า 2. ผู้วิจัยเข้าชี้แจงวัตถุประสงค์ของการศึกษาพร้อมท้ังขอความร่วมมือในการศึกษา 3. ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลและนำไปวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้คอมพิวเตอร์ โปรแกรมสำเร็จรูป 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษานำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป มีรายละเอียด ดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลและความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ด้วยการแจกแจงความถี่ร้อยละ 2.วิเคราะห์ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลตนเองกับการรับรู้ในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวานโดยใช้สถิติเชิงอนุมาน Pearson Product Moment Correlation ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


41 บทที่ 4 ผลการวิจัย การวิจัยเรื่องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพกับการรับรู้ภาวะ สุขภาพในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีผู้วิจัยได้สร้างเครื่องมือ เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามจำนวน 360 ชุด โดยแบ่งออกเป็น 4 ตอนดังนี้ ตอนที่1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่2 ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน ตอนที่3 ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ตอนที่4 ผลการทดสอบสมมติฐาน ตอนที่1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตารางที่4.1แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามเพศ เพศ จำนวน ร้อยละ ชาย 119 33.10 หญิง 237 65.80 ไม่ระบุ 4 1.10 รวม 360 100.0 จากตารางที่4.1 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงจำนวน 237 คน คิดเป็นร้อยละ 65.80 รองลงมาคือ เพศชาย จำนวน 119 คน คิดเป็นร้อยละ 33.10 และน้อยที่สุดคือ ไม่ระบุเพศ จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ1.10 ตามลำดับ ตารางที่4.2แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอายุ อายุ จำนวน ร้อยละ น้อยกว่า50 ปี 51 14.2 50-60 ปี 116 32.2 61-70 ปี 193 53.6 รวม 360 100 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


42 จากตางรางที่ 4.2 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอายุ61-70 ปีจำนวน 193 คน คิดเป็นร้อยละ 53.6 รองลงมาคืออายุ50-60 ปีจำนวน 116 คน คิดเป็นร้อยละ32.2 และน้อยที่สุดคืออายุน้อยกว่า 50 ปี จำนวน 51 คน คิดเป็นร้อยละ14.2 ตามลำดับ ตารางที่4.3แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามระดับการศึกษา ระดับการศึกษา จำนวน ร้อยละ ไม่ได้ศึกษา 71 19.70 ประถมศึกษา 85 23.60 มัธยมศึกษา 95 26.40 ปริญญาตรี 105 29.20 อื่นๆ 4 1.10 รวม 360 100 จากตารางที่ 4.3 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีจำนวน 105 คน คิด เป็นร้อยละ 29.20 รองลงมาคือ ระดับมัธยมศึกษา จำนวน 95 คน คิดเป็นร้อยละ 26.40 ต่อมาคือ ระดับ ประถมศึกษา จำนวน 85 คน คิดเป็นร้อยละ 23.60 ต่อมาคือไม่ได้ศึกษา จำนวน 71 คน คิดเป็นร้อยละ 19.70 และน้อยที่สุดคืออื่นๆ จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ1.10 ตามลำดับ ตารางที่4.4แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามสถานภาพ สถานภาพ จำนวน ร้อยละ โสด 74 20.60 สมรส 157 43.60 หย่าร้าง 80 22.20 แยกกันอยู่ 49 13.60 รวม 360 100 จากตารางที่ 4.4 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่สถานภาพสมรส จำนวน 157 คน คิดเป็นร้อยละ 43.60 รองลงมาคือ สถานภาพหย่าร้าง จำนวน 80 คน คิดเป็นร้อยละ 22.20 มีสถานภาพโสด จำนวน 74 คน คิดเป็นร้อยละ 20.60 และน้อยที่สุดคือ สถานภาพแยกกันอยู่ จำนวน 49 คน คิดเป็นร้อยละ 13.60 ตามลำดับ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


43 ตารางที่4.5 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอาชีพ อาชีพ จำนวน ร้อยละ ข้าราชการ 61 16.90 รับจ้าง 104 28.90 ค้าขาย 94 26.10 ว่างงาน 88 24.40 อื่นๆ 13 3.60 รวม 360 100 จากตารางที่4.5 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้างจำนวน 104 คน คิดเป็นร้อย ละ28.90 รองลงมาคืออาชีพค้าขายจำนวน 94 คน คิดเป็นร้อยละ26.10 ต่อมาคือว่างงาน จำนวน 88 คน คิดเป็นร้อยละ 24.40 อาชีพข้าราชการ จำนวน 61 คน คิดเป็นร้อยละ 16.90 และน้อยที่สุดคืออาชีพอื่นๆ จำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ3.60 ตามลำดับ ตารางที่4.6แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามรายได้เฉลี่ยต่อเดือน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน จำนวน ร้อยละ ไม่มีรายได้ 61 16.90 น้อยกว่า10,000 บาท 129 35.80 มากกว่า10,000 บาท 170 47.20 รวม 360 100 จากตารางที่4.6 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า10,000 บาท จำนวน 170 คน คิดเป็นร้อยละ 47.20 รองลงมาคือ รายได้น้อยกว่า 10,000 บาท จำนวน 129 คน คิดเป็นร้อยละ 35.80 และน้อยที่สุดคือไม่มีรายได้จำนวน 61 คน คิดเป็นร้อยละ16.90 ตามลำดับ ตารางที่4.7แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามญาติสายตรงที่ป่วยเป็นเบาหวาน ญาติสายตรงที่ป่วยเป็นเบาหวาน จำนวน ร้อยละ ไม่มีญาติที่ป่วยเบาหวาน 32 8.90 ปู่-ย่า / ตา-ยาย 61 16.90 พ่อแม่ 179 49.70 พี่น้องร่วมบิดามารดา 86 23.90 บุตร 2 0.60 รวม 360 100 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


Click to View FlipBook Version