The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กลุ่ม 4 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ กับ ...

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by medsiam2566, 2023-08-24 04:44:17

กลุ่ม 4 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ กับ ...

กลุ่ม 4 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ กับ ...

44 จากตารางที่ 4.7 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีญาติสายตรงที่ป่วยเป็นเบาหวานเป็นพ่อแม่ จำนวน 179 คน คิดเป็นร้อยละ 49.70 รองลงมาคือ พี่น้องร่วมบิดามารดา จำนวน 86 คน คิดเป็นร้อยละ 23.90 ต่อมาคือ ปู่-ย่า / ตา-ยาย จำนวน 61 คน คิดเป็นร้อยละ 16.90 ต่อมาคือไม่มีญาติที่ป่วยเบาหวาน จำนวน 32 คน คิดเป็นร้อยละ8.90 และน้อยที่สุดคือ บุตรจำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ0.60 ตามลำดับ ตารางที่4.8 แสดงจำนวนและร้อยละจำแนกตามระดับน้ำตาลในเลือด (ภายในเดือนที่เก็บข้อมูล) ระดับน้ำตาลในเลือด จำนวน ร้อยละ น้อยกว่า100 mg/dl 43 11.90 100 -125 mg/dl 133 36.90 มากกว่า126 mg/dl 184 51.10 รวม 360 100 จากตารางที่4.8 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 126 mg/dl จำนวน 184 คน คิดเป็นร้อยละ51.10 รองลงมาคือระดับ 100 - 125 mg/dl จำนวน 133 คน คิดเป็นร้อยละ36.90 และน้อยที่สุดคือระดับน้อยกว่า100 mg/dl จำนวน 43 คน คิดเป็นร้อยละ11.90 ตามลำดับ ตารางที่4.9 แสดงจำนวนและร้อยละจำแนกตามจำแนกตามระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) (ภายในปีที่เก็บข้อมูล) ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด จำนวน ร้อยละ น้อยกว่า6.5% 62 17.20 6.5 -7% 126 35.00 มากกว่า7% 172 47.80 รวม 360 100 จากตารางที่4.9 พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีระดับน้ำตาลสะสมในเลือดมากกว่า 7% จำนวน 172 คน คิดเป็นร้อยละ47.80 รองลงมาคือ6.5 - 7% จำนวน 126 คน คิดเป็นร้อยละ35.00 และน้อยที่สุด คือ น้อยกว่า6.5% จำนวน 62 คน คิดเป็นร้อยละ17.20 ตามลำดับ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


45 ตารางที่4.10แสดงจำนวนและร้อยละจำแนกตามระยะเวลาในการป่วยเป็นโรคเบาหวาน ระยะเวลาในการป่วยเป็นโรคเบาหวาน จำนวน ร้อยละ น้อยกว่า5 ปี 240 66.70 มากกว่า5 ปี 120 33.30 รวม 360 100 จากตารางที่4.10 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีระยะเวลาในการป่วยเป็นโรคเบาหวาน น้อยกว่า 5 ปีจำนวน 240 คน คิดเป็นร้อยละ66.70 รองลงมาคือมีระยะเวลาในการป่วยเป็นโรคเบาหวาน มากกว่า 5 ปีจำนวน 120 คน คิดเป็นร้อยละ33.30 ตามลำดับ ตารางที่4.11แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามการควบคุมโรคตามภาวะแทรกซ้อน การควบคุมโรคตามภาวะแทรกซ้อน จำนวน ร้อยละ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ออกกำลังกาย 42 11.70 ยาเม็ด 106 29.40 ยาฉีด 28 7.80 ใช้ทั้งยาเม็ดและยาฉีด 182 50.60 อื่นๆ 2 0.60 รวม 360 100 จากตารางที่ 4.11 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีการควบคุมโรคตามภาวะแทรกซ้อนโดยวิธีใช้ ทั้งยาเม็ดและยาฉีด จำนวน 182 คน คิดเป็นร้อยละ50.60 รองลงมาคือยาเม็ด จำนวน 106 คน คิดเป็นร้อย ละ 29.40 ต่อมาคือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ออกกำลังกาย จำนวน 42 คน คิดเป็นร้อยละ 11.70 และ โดยวิธียาฉีด จำนวน 28 คน คิดเป็นร้อยละ 7.80 และน้อยที่สุดคือ วิธีอื่นๆ จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 0.60 ตามลำดับ ตารางที่4.12แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามภาวะแทรกซ้อน ภาวะแทรกซ้อน จำนวน ร้อยละ ไม่มี 174 48.30 มี 186 51.70 รวม 360 100 จากตารางที่4.12 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีภาวะแทรกซ้อน จำนวน 186 คน คิดเป็นร้อยละ 51.70 รองลงมาคือ พี่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน จำนวน 174 คน คิดเป็นร้อยละ48.30 ตามลำดับ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


46 ตารางที่4.13 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอาการที่ผิดปกติ อาการที่ผิดปกติ จำนวน ร้อยละ ปัสสาวะบ่อยมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน 201 55.80 กระหายน้ำบ่อยกว่าปกติ 166 46.10 มีอาการอ่อนเพลีย 228 63.30 หิวบ่อยรับประทานอาหารเยอะขึ้น แต่น้ำหนักลดลง 143 39.70 แผลหายช้า มีอาการคันตามผิวหนัง 122 33.90 เห็นภาพไม่ชัด ตาพร่ามัว 130 36.10 มีอาการชาตามแขนและขา 127 35.30 มีอาการคลื่นไส้และอยากอาเจียน 61 16.90 รวม 360 100 จากตารางที่ 4.13 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอาการที่ผิดปกติคือ มีอาการอ่อนเพลีย จำนวน 228 คน คิดเป็นร้อยละ63.30 รองลงมาคือ ปัสสาวะบ่อยมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน จำนวน 201 คน คิด เป็นร้อยละ 55.80 ต่อมาคือ กระหายน้ำบ่อยกว่าปกติจำนวน 166 คน คิดเป็นร้อยละ 46.10 หิวบ่อย รับประทานอาหารเยอะขึ้น แต่น้ำหนักลดลงจำนวน 143 คน คิดเป็นร้อยละ39.70 เห็นภาพไม่ชัด ตาพร่า มัว จำนวน 130 คน คิดเป็นร้อยละ 36.10 มีอาการชาตามแขนและขา จำนวน 127 คน คิดเป็นร้อยละ 35.30 แผลหายช้า มีอาการคันตามผิวหนัง จำนวน 122 คน คิดเป็นร้อยละ 33.90 และน้อยที่สุดคือ มี อาการคลื่นไส้และอยากอาเจียน จำนวน 61 คน คิดเป็นร้อยละ16.90 ตามลำดับ ตารางที่4.14 แสดงจำนวนและร้อยละ ตามความถี่ในการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ความถี่ในการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด จำนวน ร้อยละ ไม่ได้ไปรับการตรวจ 74 20.60 ตรวจอย่างน้อย1ครั้ง ภายในระยะเวลา3เดือน 152 42.20 ตรวจเป็นประจำทุกเดือน 134 37.20 รวม 360 100 จากตารางที่ 4.14 พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความถี่ในการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด จำนวน 152 คน คิดเป็นร้อยละ42.20 รองลงมาคือ ตรวจเป็นประจำทุกเดือน จำนวน 134 คน คิดเป็นร้อย ละ37.20 และน้อยที่สุดคือไม่ได้ไปรับการตรวจจำนวน 74 คน คิดเป็นร้อยละ20.60 ตามลำดับ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


47 ตารางที่4.15แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามสถานที่ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด สถานที่ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด จำนวน ร้อยละ สถานีอนามัย 124 34.40 โรงพยาบาล 232 64.40 อื่นๆ 4 1.10 รวม 360 100 จากตารางที่ 4.15 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดที่โรงพยาบาล จำนวน 232 คน คิดเป็นร้อยละ64.40 รองลงมาคือ สถานีอนามัยจำนวน 124 คน คิดเป็นร้อยละ34.40 และอื่นๆ จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ1.10 ตามลำดับ ตอนที่2 ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน ตารางที่4.16ระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน จำนวน ร้อยละ ระดับสูง (ช่วงคะแนนระหว่าง0.51-1.10) 291 80.90 ระดับต่ำ (ช่วงคะแนนระหว่าง0.00-0.50) 69 19.20 รวม 360 100.00 Mean = 0.78 S.D. = 0.265 Min = 0.20 Max = 1.00 จากตารางที่4.16 พบว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานอยู่ในระดับสูง จำนวน 291 คน คิดเป็นร้อยละ 80.90 และระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานอยู่ในระดับต่ำ จำนวน 69 คน คิดเป็นร้อยละ 19.20 โดยคะแนนเฉลี่ยระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานเท่ากับ 0.78 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.265 คะแนนต่ำสุดเท่ากับ 0.20 คะแนน และคะแนนสูงสุดเท่ากับ 1.00 คะแนน ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


48 ตารางที่4.17ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ตอบใช่ จำนวน (ร้อยละ) ตอบไม่ใช่ จำนวน (ร้อยละ) 1. โรคเบาหวานสามารถรักษาให้หายได้ 258 (71.70) 102 (28.30) 2. ผู้ป่วยเบาหวานต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ 293 (81.40) 67 (18.60) 3. ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ มีผลให้เกิดโรคไต หัวใจโรคความดันโลหิตสูง 285 (79.20) 75 (20.80) 4. ผู้ป่วยเบาหวานควรกำหนดเวลาในการทานยาให้ชัดเจนและ ทานยาตรงเวลาทุกวัน 296 (82.20) 64 (17.80) 5. ผู้ป่วยเบาหวานต้องดูแลร่างกายโดยเฉพาะเท้าและผิวหนัง ไม่ให้เกิดแผล 283 (78.60) 77 (21.40) จากตารางที่4.17 ผลการศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ตอบใช่3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 “ผู้ป่วยเบาหวานควรกำหนดเวลา ในการทานยาให้ชัดเจนและทานยาตรงเวลาทุกวัน” จำนวน 296 คน คิดเป็นร้อยละ 82.20 อันดับที่ 2 “ผู้ป่วยเบาหวานต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ” จำนวน 293 คน คิดเป็นร้อยละ 81.40 และ อันดับที่ 3 “ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ มีผลให้เกิดโรคไต หัวใจ โรค ความดันโลหิตสูง” จำนวน 285 คน คิดเป็นร้อยละ79.20 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ตอบไม่ใช่3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 “โรคเบาหวานสามารถรักษาให้ หายได้” จำนวน 102 คน คิดเป็นร้อยละ28.30 อันดับที่2 “ผู้ป่วยเบาหวานต้องดูแลร่างกายโดยเฉพาะเท้า และผิวหนังไม่ให้เกิดแผล” จำนวน 77 คน คิดเป็นร้อยละ 21.40 และอันดับที่ 3 “ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่ สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้มีผลให้เกิดโรคไต หัวใจ โรคความดันโลหิตสูง” จำนวน 75 คน ศ คิดเป็นร้อยละ20.80 ตามลำดับ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


49 ตารางที่4.18การรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน การรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรง ของโรคเบาหวาน จำนวน ร้อยละ ระดับสูง (ช่วงคะแนนระหว่าง0.51-1.10) 304 84.50 ระดับต่ำ (ช่วงคะแนนระหว่าง0.00-0.50) 56 15.70 รวม 360 100.00 Mean = 0.83 S.D. = 0.214 Min = 0.20 Max = 1.10 จากตารางที่ 4.18 พบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีระดับการรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความ รุนแรงของโรคเบาหวานอยู่ในระดับสูงจำนวน 304 คน คิดเป็นร้อยละ84.50 และมีระดับการรับรู้โอกาส เสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวานอยู่ในระดับต่ำ จำนวน 56 คน คิดเป็นร้อยละ 15.70 โดย คะแนนเฉลี่ยการรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวานเท่ากับ 0.83 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.214 คะแนนต่ำสุดเท่ากับ 0.20 คะแนน และคะแนนสูงสุดเท่ากับ 1.10 คะแนน ตารางที่4.19ข้อมูลการรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน การรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของ โรคเบาหวาน ตอบใช่ จำนวน (ร้อยละ) ตอบไม่ใช่ จำนวน (ร้อยละ) x S.D. 1. การมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคเบาหวานจะเพิ่มโอกาส เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน 302 (83.90) 58 (16.10) 0.83 0.368 2. การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์และ อาหารรสหวาน จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน 277 (76.90) 83 (23.10) 0.76 0.421 3.การไม่ออกกำลังกายจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็น โรคเบาหวาน 273 (75.80) 87 (24.20) 1.24 0.428 4. การเป็นโรคเบาหวานระยะเริ่มแรกจะไม่มีอาการหรือ อาการที่แสดงออก 272 (75.60) 88 (24.40) 0.75 0.430 5.การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เสี่ยงต่อการเกิด ภาวะแทรกซ้อนทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง 300 (83.30) 60 (16.70) 0.83 0.373 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


50 ตารางที่4.19ข้อมูลการรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน (ต่อ) การรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของ โรคเบาหวาน ตอบใช่ จำนวน (ร้อยละ) ตอบไม่ใช่ จำนวน (ร้อยละ) x S.D. 6.การรักษาโรคเบาหวานต้องรับประทานยาลดน้ำตาลใน เลือดเป็นประจำ 291 (80.80) 69 (19.20) 0.80 0.394 7.การมีแผลเรื้อรังในผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจก่อให้เกิด การสูญเสียอวัยวะได้ 279 (77.50) 81 (22.50) 0.77 0.418 8.การรักษาโรคเบาหวานหากมีการควบคุมโรคได้ดีจะทำ ให้หายขาดจากการเป็นเบาหวานได้ 270 (75.00) 90 (25.00) 0.75 0.433 9.กลุ่มที่มีภาวะน้ำหนักเกินจะมีความเสียงต่อ โรคเบาหวานมากกว่าคนปกติ 289 (80.30) 71 (19.70) 0.80 0.398 10.ผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน และควบคุมโรคได้ไม่ดีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อ ระบบประสาท 263 (73.10) 97 (26.90) 0.73 0.444 จากตารางที่4.19 ผลการศึกษาการรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ตอบใช่ 3 อันดับแรก ได้แก่อันดับที่ 1 “การมีสมาชิกในครอบครัวเป็น โรคเบาหวานจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน” จำนวน 302 คน คิดเป็นร้อยละ83.90 อันดับที่ 2 “การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง” จำนวน 300 คน คิดเป็นร้อยละ 83.30 และอันดับที่ 3 “การรักษาโรคเบาหวานต้องรับประทานยาลดน้ำตาลใน เลือดเป็นประจำ” จำนวน 291 คน คิดเป็นร้อยละ80.80 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบไม่ใช่3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 “ผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือด สูงเป็นระยะเวลานานและควบคุมโรคได้ไม่ดีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบประสาท” จำนวน 97 คน คิดเป็นร้อยละ 26.90 อันดับที่ 2 “การรักษาโรคเบาหวานหากมีการควบคุมโรคได้ดีจะทำให้หายขาด จากการเป็นเบาหวานได้” จำนวน 90 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 และอันดับที่ 3 “การเป็นโรคเบาหวาน ระยะเริ่มแรกจะไม่มีอาการหรืออาการที่แสดงออก” จำนวน 88 คน คิดเป็นร้อยละ24.40 ตามลำดับ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


51 ตารางที่4.20 สิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพตนเอง ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน สิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์ และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพตนเอง จำนวน ร้อยละ ระดับสูง (ช่วงคะแนนระหว่าง0.51-1.10) 288 80.00 ระดับต่ำ (ช่วงคะแนนระหว่าง0.00-0.50) 72 20.00 รวม 360 100.00 Mean = 0.77 S.D. = 0.232 Min = 0.20 Max = 1.00 จากตารางที่4.20 พบว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีระดับสิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และ การรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานอยู่ในระดับสูง จำนวน 288 คน คิดเป็นร้อยละ 80.00 และมีระดับสิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการ ดูแลสุขภาพตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานอยู่ในระดับต่ำ จำนวน 72 คน คิดเป็นร้อยละ 20.00 โดย คะแนนเฉลี่ยระดับสิ่งชักนำให้ปฏิบัติ การรับรู้ประโยชน์ และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพ ตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานเท่ากับ 0.77 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.232 คะแนนต่ำสุดเท่ากับ 0.20 คะแนน และคะแนนสูงสุดเท่ากับ 1.00 คะแนน ตารางที่4.21 สิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพตนเอง ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน สิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์ และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพตนเอง ตอบใช่ จำนวน (ร้อยละ) ตอบไม่ใช่ จำนวน (ร้อยละ) x S.D. 1.เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยให้คำแนะนำโรคเบาหวานแก่ท่าน ท่านจึงมีวิธีการดูแลตนเองที่เหมาะสม 290 (80.60) 70 (19.40) 0.80 0.396 2.การมีบริการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเคลื่อนที่ในหมู่บ้าน ทำให้ท่านอยากจะรับบริการ 277 (76.90) 83 (23.10) 0.76 0.421 3.ท่านไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อทราบความผิดปกติ ของร่างกาย 253 (70.30) 107 (29.70) 0.70 0.457 4.การรับประทานยาสม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่งจะช่วยควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือดได้ 288 (80.00) 72 (20.00) 0.80 0.400 5.การควบคุมประเภทและปริมาณอาหารที่รับประทานจะ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ 309 (85.80) 51 (14.20) 0.85 0.349 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


52 สิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์ และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพตนเอง ตอบใช่ จำนวน (ร้อยละ) ตอบไม่ใช่ จำนวน (ร้อยละ) x S.D. 6.ถ้ามีการดูแลตนเองเป็นอย่างดีเมื่อทราบว่าตนเองมีโอกาส เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้ 284 (78.90) 76 (21.10) 0.78 0.408 7.ท่านมีความกังวลเมื่อทราบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น 272 (75.60) 88 (24.40) 0.75 0.430 8.การที่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูงในการดูแลสุขภาพทำให้ท่านต้อง ใช้เงินจำนวนมาก 280 (77.80) 80 (22.20) 0.78 0.419 9.การเดินทางที่ไม่สะดวกทำให้ท่านไม่อยากไปรับการตรวจ ระดับน้ำตาลในเลือด 280 (77.80) 80 (22.20) 0.77 0.416 10.ท่านไม่มีเวลาที่จะไปรับบริการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง 270 (75.00) 90 (25.00) 0.75 0.433 จากตารางที่4.21 ผลการศึกษาสิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของ การดูแลสุขภาพตนเองในกลุ่ม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ตอบใช่3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 “การควบคุมประเภทและปริมาณ อาหารที่รับประทานจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้” จำนวน 309 คน คิดเป็นร้อยละ85.80 อันดับ ที่ 2 “เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยให้คำแนะนำโรคเบาหวานแก่ท่านท่านจึงมีวิธีการดูแลตนเองที่เหมาะสม” จำนวน 290 คน คิดเป็นร้อยละ80.60 และอันดับที่3 “การรับประทานยาสม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่งจะช่วย ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้” จำนวน 288 คน คิดเป็นร้อยละ80.00 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ตอบไม่ใช่ 3 อันดับแรก ได้แก่อันดับที่ 1 “ท่านไปพบแพทย์ตามนัดทุก ครั้งเพื่อทราบความผิดปกติของร่างกาย” จำนวน 107 คน คิดเป็นร้อยละ29.70 อันดับที่2 “ท่านไม่มีเวลา ที่จะไปรับบริการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง” จำนวน 90 คน คิดเป็นร้อยละ25.00 และอันดับที่3 “ท่านมีความกังวลเมื่อทราบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น” จำนวน 88 คน คิดเป็นร้อยละ ศ 24.40 ตามลำดับ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


53 ตอนที่3 ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานด้านการบริโภค ตารางที่4.22 ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภค พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง ด้านการบริโภค จำนวน ร้อยละ ระดับสูง (คะแนน 1.34-2.00) 146 40.50 ระดับปานกลาง (คะแนน 0.67-1.33) 110 30.50 ระดับต่ำ (คะแนน 0.00-0.66) 104 28.90 รวม 360 100 Mean = 1.10 S.D. = 0.674 Min = 0.00 Max = 2.00 จากตารางที่ 4.22 พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่ม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภคอยู่ในระดับสูงจำนวน 146 คน คิดเป็นร้อยละ40.50 รองลงมาคือ มี พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภคอยู่ในระดับปานกลาง จำนวน 110 คน คิดเป็นร้อยละ 30.50 และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวาน ด้านการบริโภคอยู่ในระดับต่ำ จำนวน 104 คน คิดเป็นร้อยละ 28.90 ตามลำดับ คะแนน เฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภคเท่ากับ 1.10 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.674 คะแนนต่ำสุดเท่ากับ 0.00 คะแนน และคะแนนสูงสุดเท่ากับ 2.00 คะแนน ตารางที่4.23 ข้อมูลพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภค พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองด้าน การบริโภค เป็นประจำ จำนวน (ร้อยละ) บางครั้ง จำนวน (ร้อยละ) ไม่เคย จำนวน (ร้อยละ) x S.D. 1.ท่านรับประทานอาหารประเภทอาหารที่มี ไขมันสูง เช่น ข้าวขาหมูอาหารประเภททอด 164 (45.60) 98 (27.20) 98 (27.20) 1.18 0.834 2 ท่านรับประทานอาหารประเภทขนมหวาน 149 (41.40) 98 (27.20) 113 (31.40) 1.10 0.848 3.ท่านรับประทานผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน มะม่วง 176 (48.90) 64 (17.80) 120 (33.30) 1.15 0.894 4.ท่านดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้ 148 (41.10) 82 (22.80) 130 (36.10) 1.05 0.878 5.ท่านดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ 164 (45.60) 48 (13.30) 148 (41.10) 1.04 0.931 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


54 จากตารางที่4.23 ผลการศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภค ที่กลุ่มตัวอย่างเลือกตอบจำแนกเป็นรายข้อ พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ บริโภคเป็นประจำ 3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านรับประทานผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน มะม่วง” จำนวน 176 คน คิดเป็นร้อยละ 48.90 อันดับที่2 ข้อความว่า “ท่านรับประทานอาหาร ประเภทอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ข้าวขาหมูอาหารประเภททอด” จำนวน 164 คน คิดเป็นร้อยละ45.60 และ “ท่านดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่” จำนวน 164 คน คิดเป็นร้อยละ 45.60 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่านดื่มน้ำตะไคร้ต้ม เพื่อรักษาอาการถ่ายปัสสาวะไม่สุท่านรับประทาน อาหารประเภทขนมหวาน” จำนวน 149 คน คิดเป็นร้อยละ41.40 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ บริโภคบางครั้ง 3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านรับประทานอาหารประเภทอาหารที่มี ไขมันสูง เช่น ข้าวขาหมูอาหารประเภททอด” จำนวน 98 คน คิดเป็นร้อยละ27.20 อันดับที่2 ข้อความ ว่า “ท่านรับประทานอาหารประเภทขนมหวาน” จำนวน 98 คน คิดเป็นร้อยละ 27.20 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่านดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้” จำนวน 82 คน คิดเป็นร้อยละ22.80 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ บริโภคไม่เคย3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และ สูบบุหรี่” จำนวน 148 คน คิดเป็นร้อยละ 41.10 อันดับที่2 ข้อความว่า “ท่านดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำ ผลไม้” จำนวน 130 คน คิดเป็นร้อยละ 36.10 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่านรับประทานผลไม้ที่มี น้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน มะม่วง” จำนวน 120 คน คิดเป็นร้อยละ33.30 ตามลำดับ ตารางที่4.24ข้อมูลพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกาย พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง ด้านการออกกำลังกาย จำนวน ร้อยละ ระดับสูง (คะแนน 1.34-2.00) 108 30.10 ระดับปานกลาง (คะแนน 0.67-1.33) 110 30.60 ระดับต่ำ (คะแนน 0.00-0.66) 142 39.30 รวม 360 100 Mean = 0.97 S.D. = 0.620 Min = 0.00 Max = 2.00 จากตารางที่ 4.24 พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่ม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกายอยู่ในระดับต่ำจำนวน 142 คน คิดเป็นร้อยละ39.30 รองลงมา คือ มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกายอยู่ในระดับ ปานกลาง จำนวน 110 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 และมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่ม ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


55 ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกายอยู่ในระดับอยู่ในระดับสูง จำนวน 108 คน คิดเป็นร้อยละ 30.10 ตามลำดับ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ ออกกำลังกายเท่ากับ 0.97 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.620 คะแนนต่ำสุดเท่ากับ 0.00 คะแนน และ คะแนนสูงสุดเท่ากับ 2.00 คะแนน ตารางที่4.25ข้อมูลพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกาย พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองด้านการ ออกกำลังกาย เป็นประจำ จำนวน (ร้อยละ) บางครั้ง จำนวน (ร้อยละ) ไม่เคย จำนวน (ร้อยละ) x S.D. 1.ท่านออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ3 ครั้ง และไม่หักโหม จนเกินไป 169 (46.90) 83 (23.10) 108 (30.00) 1.16 0.861 2.ท่านออกแรงทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น ถู บ้านจนเหงื่อออก ทำสวน เดินอย่างน้อย20 นาที 190 (52.80) 91 (25.30) 79 (21.90) 1.30 0.808 3.ท่านบันทึกน้ำหนักของตัวท่านเปรียบเทียบกับ เดือนที่แล้ว 112 (31.10) 57 (15.80) 191 (53.10) 0.78 0.892 4.ท่านออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยครั้ง ละ30นาที 150 (41.70) 59 (16.40) 151 (41.90) 0.99 0.915 5.ท่านออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารมื้อ หนักโดยทันที 95 (26.40) 34 (9.40) 231 (64.20) 0.62 0.874 จากตารางที่4.25 ผลการศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกาย ที่กลุ่มตัวอย่างเลือกตอบจำแนกเป็นรายข้อ พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ บริโภคเป็นประจำ3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านออกแรงทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเช่น ถูบ้านจนเหงื่อออก ทำสวน เดินอย่างน้อย 20 นาที” จำนวน 190 คน คิดเป็นร้อยละ 52.80 อันดับที่ 2 ข้อความว่า “ท่านออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ3 ครั้งและไม่หักโหม จนเกินไป” จำนวน 169 คน คิด เป็นร้อยละ46.90 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่านออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยครั้งละ30นาที” จำนวน 150 คน คิดเป็นร้อยละ41.70 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ บริโภคบางครั้ง3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านออกแรงทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น ถู บ้านจนเหงื่อออก ทำสวน เดินอย่างน้อย 20 นาที” จำนวน 91 คน คิดเป็นร้อยละ 25.30 อันดับที่ 2 ข้อความว่า “ท่านออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ3 ครั้งและไม่หักโหม จนเกินไป” จำนวน 83 คน คิด ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


56 เป็นร้อยละ23.10 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่านออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยครั้งละ30นาที” จำนวน 59 คน คิดเป็นร้อยละ16.40 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ บริโภคไม่เคย 3 อันดับแรก ได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารมื้อ หนักโดยทันที” จำนวน 231 คน คิดเป็นร้อยละ64.20 อันดับที่2 ข้อความว่า “ท่านบันทึกน้ำหนักของตัว ท่านเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว” จำนวน 191 คน คิดเป็นร้อยละ53.10 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่าน ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยครั้งละ30 นาที” จำนวน 151 คน คิดเป็นร้อยละ41.90 ตามลำดับ ตารางที่4.26ข้อมูลพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง ด้านการใช้ยา จำนวน ร้อยละ ระดับสูง (คะแนน 1.34-2.00) 103 28.70 ระดับปานกลาง (คะแนน 0.67-1.33) 198 54.70 ระดับต่ำ (คะแนน 0.00-0.66) 60 16.70 รวม 360 100 Mean = 1.13 S.D. = 0.520 Min = 0.00 Max = 2.00 จากตารางที่ 4.26 พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่ม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยาอยู่ในระดับปานกลาง จำนวน 198 คน คิดเป็นร้อยละ 54.70 รองลงมา คือ มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยาอยู่ในระดับสูง จำนวน 103 คน คิดเป็นร้อยละ 28.70 และมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวาน ด้านการใช้ยาอยู่ในระดับต่ำ จำนวน 60 คน คิดเป็นร้อยละ 16.70 ตามลำดับ คะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยาเท่ากับ 1.13 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.520 คะแนนต่ำสุดเท่ากับ 0.00 คะแนน และคะแนนสูงสุดเท่ากับ 2.00 คะแนน ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


57 ตารางที่4.27ข้อมูลพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองด้านการใช้ยา เป็นประจำ จำนวน (ร้อยละ) บางครั้ง จำนวน (ร้อยละ) ไม่เคย จำนวน (ร้อยละ) x S.D. 1.ท่านรับประทานยาเบาหวานตรงเวลาและตาม จำนวนที่แพทย์สั่ง 256 (71.10) 59 (16.40) 45 (12.50) 1.58 0.702 2.ท่านปรับขนาดยาเบาหวานโดยลดหรือเพิ่มยาหรือ หยุดยาด้วยตัวเอง 127 (35.30) 90 (25.00) 143 (39.70) 0.95 0.866 3.ถ้าท่านลืมรับประทานยาเบาหวานท่านจะ รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ 168 (46.70) 92 (25.60) 100 (27.80) 1.18 0.843 4.ท่านรับประทานยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมอื่น ร่วมกับยาแผนปัจจุบันเพื่อรักษาเบาหวาน 143 (39.70) 64 (17.80) 153 (42.50) 0.97 0.907 5.ท่านตรวจสอบวันหมดอายุของยาก่อน รับประทานยา 155 (43.10) 32 (8.90) 173 (48.10) 0.95 0.954 จากตารางที่4.27 ผลการศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา ที่กลุ่มตัวอย่างเลือกตอบจำแนกเป็นรายข้อ พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา เป็นประจำ3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 “ท่านรับประทานยาเบาหวานตรงเวลาและตามจำนวนที่แพทย์ สั่ง” จำนวน 256 คน คิดเป็นร้อยละ 71.10 อันดับที่ 2 “ถ้าท่านลืมรับประทานยาเบาหวานท่านจะ รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้” จำนวน 168 คน คิดเป็นร้อยละ46.70 และอันดับที่3 “ท่านตรวจสอบวัน หมดอายุของยาก่อนรับประทานยา” จำนวน 155 คน คิดเป็นร้อยละ43.10 กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา บางครั้ง 3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 “ถ้าท่านลืมรับประทานยาเบาหวานท่านจะรับประทานยาทันทีที่ นึกขึ้นได้” จำนวน 92 คน คิดเป็นร้อยละ25.60 อันดับที่2 “ท่านปรับขนาดยาเบาหวานโดยลดหรือเพิ่มยา หรือหยุดยาด้วยตัวเองท่านปรับขนาดยาเบาหวานโดยลดหรือเพิ่มยาหรือหยุดยาด้วยตัวเอง” จำนวน 90 คน คิดเป็นร้อยละ25.00 และอันดับที่3 “ท่านรับประทานยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมอื่นร่วมกับยาแผน ปัจจุบันเพื่อรักษาเบาหวาน” จำนวน 64 คน คิดเป็นร้อยละ17.80 กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา ไม่เคย 3 อันดับแรก ได้แก่อันดับที่ 1 “ท่านตรวจสอบวันหมดอายุของยา ก่อนรับประทานยา” จำนวน 173 คน คิดเป็นร้อยละ48.10 อันดับที่2 “ท่านรับประทานยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมอื่นร่วมกับยาแผน ปัจจุบันเพื่อรักษาเบาหวาน” จำนวน 153 คน คิดเป็นร้อยละ 42.50 และอันดับที่ 3 “ท่านปรับขนาดยา เบาหวานโดยลดหรือเพิ่มยาหรือหยุดยาด้วยตัวเอง” จำนวน 143 คน คิดเป็นร้อยละ39.70 ตามลำดับ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


58 ตอนที่4 ผลการทดสอบสมมติฐาน สมมติฐานที่1 การรับรู้ภาวะสุขภาพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรี ตารางที่4.28ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ภาวะสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรี ตัวแปร พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน r P-value 1.การรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวาน 0.260 0.000* 2.สิ่งที่ชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้ อุปสรรคของการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวาน 0.230 0.000* จากตารางที่ 4.28 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ภาวะสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพใน กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรีพบว่า การรับรู้โอกาสเสี่ยง และความรุนแรงของโรคเบาหวานกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลพระนั่งเหล้า จังหวัดนนทบุรีมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่าระดับความสัมพันธ์ในระดับต่ำ ด้านสิ่งที่ชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพของ ตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีพบว่า ด้านสิ่งที่ชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานกับ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรี มีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่าระดับความสัมพันธ์ใน ระดับต่ำ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


59 บทที่ 5 สรุปผลอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้เป็นกรวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) แบบภาคตัดขวาง (Cross Section Study) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 และเพื่อศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองกับการรับรู้ภาวะสุขภาพของผู้ป่วย โรคเบาหวาน ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 ที่เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีจำนวน 360 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามที่ผ่านการทดสอบคุณภาพด้านความเที่ยงตรงและ ความน่าเชื่อถือ ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ส่วนที่1 แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ส่วนที่2 ข้อมูลเกี่ยวกับ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน ประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้โอกาสเสี่ยงและ การรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน และสิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรค ของการดูแลสุขภาพตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ส่วนที่3 ข้อมูลพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของ ตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ประกอบด้วย ด้านการบริโภค ด้านการออกกำลังกายและด้านการใช้ ยา หลังจากเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติเพื่อตอบ วัตถุประสงค์ของการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าร้อยละ (Percent) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard deviations) สถิติไคสแควร์ (Chi-square) และสถิติค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของ เพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) โดยสามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 5.1 สรุปผลการวิจัย งานวิจัยเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพกับการรับรู้ภาวะ สุขภาพในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรีกลุ่มตัวอย่างคือกลุ่ม ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรีจำนวน 360 คน โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม เมื่อกลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถาม เสร็จแล้วผู้วิจัยจึงตรวจสอบความครบถ้วน ถูกต้องและสมบูรณ์เรียบร้อยแล้วหลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้ จากแบบสอบถามมาลงรหัสและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติโดยสามารถสรุปผล วิจัยออกเป็น 4 ส่วนดังนี้ - A ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


60 ส่วนที่1 สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 237 คน คิดเป็นร้อยละ 65.80 อายุระหว่าง 61-70 ปีจำนวน 193 คน คิดเป็นร้อยละ 53.60 มีระดับการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี จำนวน 105 คน คิดเป็นร้อยละ29.20 มีสถานภาพสมรส จำนวน 157 คน คิดเป็นร้อยละ43.60 มีอาชีพ รับจ้าง จำนวน 104 คน คิดเป็นร้อยละ 28.90 และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า 10,000 บาท จำนวน 170 คน คิดเป็นร้อยละ47.20 ตามลำดับ ส่วนใหญ่มีญาติสายตรงที่ป่วยเป็นเบาหวานคือพ่อแม่จำนวน 179 คน คิดเป็นร้อยละ49.70 มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 126 mg/dl จำนวน 184 คน คิดเป็นร้อยละ 51.10 มีระดับน้ำตาลสะสมในเลือดมากกว่า 7% จำนวน 172 คน คิดเป็นร้อยละ 47.80 และส่วนใหญ่ ป่วยเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่า 5 ปีจำนวน 240 คน คิดเป็นร้อยละ66.70 ใช้ทั้งยาเม็ดและยาฉีด จำนวน 182 คน คิดเป็นร้อยละ 50.60 และส่วนใหญ่มีภาวะแทรกซ้อน จำนวน 186 คน คิดเป็นร้อยละ 51.70 และพบอาการผิดปกติได้แก่ มีอาการอ่อนเพลีย จำนวน 228 คน คิดเป็นร้อยละ 63.30 และไปรับการ ตรวจระดับน้ำตาลอย่างน้อย 1 ครั้งภายในระยะเวลา 3 เดือน จำนวน 152 คน คิดเป็นร้อยละ 42.20 ที่ โรงพยาบาลจำนวน 232 คน คิดเป็นร้อยละ64.40 ตามลำดับ ส่วนที่2 สรุปผลความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานอยู่ในระดับสูงจำนวน 291 คน คิดเป็น ร้อยละ80.90 และระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานอยู่ในระดับต่ำจำนวน 69 คน คิดเป็นร้อยละ19.20 โดยคะแนนเฉลี่ยระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานเท่ากับ 0.78 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.265 คะแนนต่ำสุดเท่ากับ 0.20 คะแนน และคะแนนสูงสุดเท่ากับ 1.00 คะแนน เมื่อพิจารณาผลการศึกษา ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบใช่3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 “ผู้ป่วยเบาหวานควรกำหนดเวลา ในการทานยาให้ชัดเจนและทานยาตรงเวลาทุกวัน” จำนวน 296 คน คิดเป็นร้อยละ 82.20 อันดับที่2 “ผู้ป่วยเบาหวานต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ” จำนวน 293 คน คิดเป็นร้อยละ81.40 และ อันดับที่3 “ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้มีผลให้เกิดโรคไต หัวใจ โรค ความดันโลหิตสูง” จำนวน 285 คน คิดเป็นร้อยละ79.20 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบไม่ใช่3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 “โรคเบาหวานสามารถรักษาให้ หายได้” จำนวน 102 คน คิดเป็นร้อยละ28.30 อันดับที่2 “ผู้ป่วยเบาหวานต้องดูแลร่างกายโดยเฉพาะเท้า และผิวหนังไม่ให้เกิดแผล” จำนวน 77 คน คิดเป็นร้อยละ 21.40 และอันดับที่3 “ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่ สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้มีผลให้เกิดโรคไต หัวใจโรคความดันโลหิตสูง” จำนวน 75 คน คิดเป็นร้อยละ20.80 ตามลำดับ 2. กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีระดับการรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน อยู่ในระดับสูงจำนวน 304 คน คิดเป็นร้อยละ84.50 และมีระดับการรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


61 รุนแรงของโรคเบาหวานอยู่ในระดับต่ำ จำนวน 56 คน คิดเป็นร้อยละ 15.70 โดยคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวานเท่ากับ 0.83 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.214 คะแนนต่ำสุดเท่ากับ 0.20 คะแนน และคะแนนสูงสุดเท่ากับ 1.10 คะแนน เมื่อพิจารณาผลการศึกษาการ รับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ตอบใช่3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 “การมีสมาชิกในครอบครัวเป็น โรคเบาหวานจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน” จำนวน 302 คน คิดเป็นร้อยละ83.90 อันดับที่ 2 “การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง” จำนวน 300 คน คิดเป็นร้อยละ 83.30 และอันดับที่3 “การรักษาโรคเบาหวานต้องรับประทานยาลดน้ำตาลใน เลือดเป็นประจำ” จำนวน 291 คน คิดเป็นร้อยละ80.80 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบไม่ใช่3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 “ผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือด สูงเป็นระยะเวลานานและควบคุมโรคได้ไม่ดีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบประสาท” จำนวน 97 คน คิดเป็นร้อยละ26.90 อันดับที่2 “การรักษาโรคเบาหวานหากมีการควบคุมโรคได้ดีจะทำให้หายขาด จากการเป็นเบาหวานได้” จำนวน 90 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 และอันดับที่3 “การเป็นโรคเบาหวาน ระยะเริ่มแรกจะไม่มีอาการหรืออาการที่แสดงออก” จำนวน 88 คน คิดเป็นร้อยละ24.40 ตามลำดับ 3. กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีระดับสิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของ การดูแลสุขภาพตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานอยู่ในระดับสูงจำนวน 288 คน คิดเป็นร้อยละ80.00 และมีระดับสิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพตนเองใน กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานอยู่ในระดับต่ำจำนวน 72 คน คิดเป็นร้อยละ20.00 โดยคะแนนเฉลี่ยระดับสิ่งชัก นำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพตนเองในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวานเท่ากับ 0.77 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.232 คะแนนต่ำสุดเท่ากับ 0.20 คะแนน และ คะแนนสูงสุดเท่ากับ 1.00 คะแนน เมื่อพิจารณาผลการศึกษาสิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และ การรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบใช่3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 “การควบคุมประเภทและปริมาณ อาหารที่รับประทานจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้” จำนวน 309 คน คิดเป็นร้อยละ 85.80 อันดับที่2 “เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยให้คำแนะนำโรคเบาหวานแก่ท่านท่านจึงมีวิธีการดูแลตนเองที่ เหมาะสม” จำนวน 290 คน คิดเป็นร้อยละ 80.60 และอันดับที่3 “การรับประทานยาสม่ำเสมอตามที่ แพทย์สั่งจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้” จำนวน 288 คน คิดเป็นร้อยละ80.00 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ตอบไม่ใช่3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 “ท่านไปพบแพทย์ตามนัดทุก ครั้งเพื่อทราบความผิดปกติของร่างกาย” จำนวน 107 คน คิดเป็นร้อยละ29.70 อันดับที่2 “ท่านไม่มีเวลา ที่จะไปรับบริการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง” จำนวน 90 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 และอันดับที่3 “ท่านมีความกังวลเมื่อทราบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น” จำนวน 88 คน คิดเป็น ร้อยละ24.40 ตามลำดับ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


62 ส่วนที่3 สรุปผลความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวาน 1. กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภคอยู่ในระดับสูงจำนวน 146 คน คิดเป็นร้อยละ40.50 รองลงมาคือ มีพฤติกรรมการดูแล สุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภคอยู่ในระดับปานกลางจำนวน 110 คน คิด เป็นร้อยละ30.50 และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภค อยู่ในระดับต่ำจำนวน 104 คน คิดเป็นร้อยละ28.90 ตามลำดับ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภคเท่ากับ 1.10 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.674 คะแนนต่ำสุดเท่ากับ 0.00 คะแนน และคะแนนสูงสุดเท่ากับ 2.00 คะแนน เมื่อพิจารณาผลการศึกษา พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภค ที่กลุ่มตัวอย่าง เลือกตอบจำแนกเป็นรายข้อ พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ บริโภคเป็นประจำ 3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านรับประทานผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน มะม่วง” จำนวน 176คน คิดเป็นร้อยละ 48.90 อันดับที่2 ข้อความว่า “ท่านรับประทานอาหาร ประเภทอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ข้าวขาหมูอาหารประเภททอด” จำนวน 164 คน คิดเป็นร้อยละ45.60 และ “ท่านดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่” จำนวน 164 คน คิดเป็นร้อยละ 45.60 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่านดื่มน้ำตะไคร้ต้ม เพื่อรักษาอาการถ่ายปัสสาวะไม่สุท่านรับประทาน อาหารประเภทขนมหวาน” จำนวน 149 คน คิดเป็นร้อยละ41.40 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ บริโภคบางครั้ง 3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านรับประทานอาหารประเภทอาหารที่มี ไขมันสูง เช่น ข้าวขาหมูอาหารประเภททอด” จำนวน 98 คน คิดเป็นร้อยละ27.20 อันดับที่2 ข้อความ ว่า “ท่านรับประทานอาหารประเภทขนมหวาน” จำนวน 98 คน คิดเป็นร้อยละ 27.20 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่านดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้” จำนวน 82 คน คิดเป็นร้อยละ22.80 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ บริโภคไม่เคย3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และ สูบบุหรี่” จำนวน 148 คน คิดเป็นร้อยละ 41.10 อันดับที่2 ข้อความว่า “ท่านดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำ ผลไม้” จำนวน 130 คน คิดเป็นร้อยละ 36.10 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่านรับประทานผลไม้ที่มี น้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน มะม่วง” จำนวน 120 คน คิดเป็นร้อยละ33.30 ตามลำดับ 2. กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกายอยู่ในระดับต่ำ จำนวน 142 คน คิดเป็นร้อยละ 39.30 รองลงมาคือ มีพฤติกรรม การดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกายอยู่ในระดับปานกลาง ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


63 จำนวน 110 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 และมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกายอยู่ในระดับอยู่ในระดับสูง จำนวน 108 คน คิดเป็นร้อยละ 30.10 ตามลำดับ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการออก กำลังกายเท่ากับ 0.97 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.620 คะแนนต่ำสุดเท่ากับ 0.00 คะแนน และ คะแนนสูงสุดเท่ากับ 2.00 คะแนน เมื่อพิจารณาผลการศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองใน กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกาย ที่กลุ่มตัวอย่างเลือกตอบจำแนกเป็นรายข้อ พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ บริโภคเป็นประจำ 3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านออกแรงทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น ถูบ้านจนเหงื่อออก ทำสวน เดินอย่างน้อย20 นาที” จำนวน 190 คน คิดเป็นร้อยละ52.80 อันดับที่ 2 ข้อความว่า “ท่านออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ3 ครั้งและไม่หักโหม จนเกินไป” จำนวน 169 คน คิดเป็นร้อยละ 46.90 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่านออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที” จำนวน 150 คน คิดเป็นร้อยละ41.70 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ บริโภคบางครั้ง3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านออกแรงทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น ถู บ้านจนเหงื่อออก ทำสวน เดินอย่างน้อย 20 นาที” จำนวน 91 คน คิดเป็นร้อยละ 25.30 อันดับที่2 ข้อความว่า “ท่านออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ3 ครั้งและไม่หักโหม จนเกินไป” จำนวน 83 คน คิด เป็นร้อยละ23.10 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่านออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยครั้งละ30นาที” จำนวน 59 คน คิดเป็นร้อยละ16.40 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการ บริโภคไม่เคย 3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารมื้อ หนักโดยทันที” จำนวน 231 คน คิดเป็นร้อยละ64.20 อันดับที่2 ข้อความว่า “ท่านบันทึกน้ำหนักของตัว ท่านเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว” จำนวน 191 คน คิดเป็นร้อยละ53.10 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่าน ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยครั้งละ30 นาที” จำนวน 151 คน คิดเป็นร้อยละ41.90 ตามลำดับ 3. กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยาอยู่ในระดับปานกลางจำนวน 198 คน คิดเป็นร้อยละ54.70 รองลงมาคือ มีพฤติกรรมการ ดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยาอยู่ในระดับสูงจำนวน 103 คน คิดเป็น ร้อยละ28.70 และมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยาอยู่ใน ระดับต่ำ จำนวน 60 คน คิดเป็นร้อยละ 16.70 ตามลำดับ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของ ตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยาเท่ากับ 1.13 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.520 คะแนนต่ำสุดเท่ากับ 0.00 คะแนน และคะแนนสูงสุดเท่ากับ 2.00 คะแนน เมื่อพิจารณาผลการศึกษา พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา ที่กลุ่มตัวอย่างเลือกตอบ จำแนกเป็นรายข้อ พบว่า ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


64 กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา เป็นประจำ 3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านรับประทานยาเบาหวานตรงเวลาและตาม จำนวนที่แพทย์สั่ง” จำนวน 256 คน คิดเป็นร้อยละ71.10 อันดับที่2 ข้อความว่า “ถ้าท่านลืมรับประทาน ยาเบาหวานท่านจะรับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้” จำนวน 168 คน คิดเป็นร้อยละ46.70 และอันดับที่3 ข้อความว่า “ท่านตรวจสอบวันหมดอายุของยาก่อนรับประทานยา” จำนวน 155 คน คิดเป็นร้อยละ 43.10 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา บางครั้ง 3 อันดับแรก ได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ถ้าท่านลืมรับประทานยาเบาหวานท่านจะ รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้” จำนวน 92 คน คิดเป็นร้อยละ25.60 อันดับที่2 ข้อความว่า “ท่านปรับ ขนาดยาเบาหวานโดยลดหรือเพิ่มยาหรือหยุดยาด้วยตัวเองท่านปรับขนาดยาเบาหวานโดยลดหรือเพิ่มยา หรือหยุดยาด้วยตัวเอง” จำนวน 90 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 และอันดับที่ 3 ข้อความว่า “ท่าน รับประทานยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมอื่นร่วมกับยาแผนปัจจุบันเพื่อรักษาเบาหวาน” จำนวน 64 คน คิดเป็นร้อยละ17.80 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา ไม่เคย 3 อันดับแรกได้แก่อันดับที่1 ข้อความว่า “ท่านตรวจสอบวันหมดอายุของยาก่อนรับประทาน ยา” จำนวน 173 คน คิดเป็นร้อยละ 48.10 อันดับที่2 ข้อความว่า “ท่านรับประทานยาสมุนไพรหรือ อาหารเสริมอื่นร่วมกับยาแผนปัจจุบันเพื่อรักษาเบาหวาน” จำนวน 153 คน คิดเป็นร้อยละ 42.50 และ อันดับที่3 ข้อความว่า “ท่านปรับขนาดยาเบาหวานโดยลดหรือเพิ่มยาหรือหยุดยาด้วยตัวเอง” จำนวน 143 คน คิดเป็นร้อยละ39.70 ตามลำดับ ส่วนที่4 ผลการทดสอบสมมติฐาน ผลวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ภาวะสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่ม ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรีจากการทดสอบสมมติฐานด้วย สถิติค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) ได้ ดังนี้ 1. การรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวานกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่ม ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรีมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่าระดับความสัมพันธ์ในระดับต่ำ (r=260) 2. สิ่งที่ชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพของตนเอง ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลพระนั่งเหล้าจังหวัดนนทบุรีมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่าระดับความสัมพันธ์ในระดับต่ำ (r=230) ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


65 5.2 อภิปรายผล การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) แบบภาคตัดขวาง (Cross Section Study) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 และเพื่อ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองกับการรับรู้ภาวะสุขภาพของผู้ป่วย โรคเบาหวานชนิดที่2 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 ที่เข้ารับการ รักษาที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีจำนวน 360 คน สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ จากผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ภาวะสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพใน กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีพบว่า ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวานกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพใน กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่าระดับความสัมพันธ์ในระดับต่ำ เนื่องจากคนไข้มีความ เชื่อส่วนบุคคลที่มีผลโดยตรงต่อการปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขภาพ ทั้งในภาวะปกติและภาวะเจ็บป่วย แต่ละบุคคลจะมีความเชื่อในระดับทีไม่เท่ากัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จึงหลีกเลียงต่อการเป็นโรคด้วยการ ปฏิบัติตามเพื่อปองกันและรักษาสุขภาพทีแตกต่างกัน จึงเป็นความเชื่อของบุคคลต่อความถูกต้องของ การวินิจฉัยโรคของแพทย์การคาดคะเนถึงโอกาสของการเกิดโรคซ้ำ หรือการง่ายที่จะป่วยเป็นโรคต่างๆ มีรายงานการวิจัยหลายเรืองทีให้การสนับสนุนความเชื ่อต ่อโอกาสเสี ่ยงของการเป็นโรคว ่ามี ความสัมพันธ์ในทางบวกกับพฤติกรรมการปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ เช่นเมื่อบุคคลป่วยเป็น โรคใดโรคหนึ่งความรู้สึกของบุคคลที่ว่าตนเองจะมีโอกาสป่วยเป็น โรคนั้นๆอีกจะมีความสัมพันธ์เชิง บวกกับการปฏิบัติพฤติกรรมเพื่อปองกันโรคไม่ให้เกิดกับตนเองอีก ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของอรนุช ประดับทองและคณะ (2563) ผลการวิจัยพบว่าการรับรู้ต่ออุปสรรคมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ ดูแลสุขภาพในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและการรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคการ รับรู้ความรุนแรงของโรคและการรับรู้ประโยชน์ของการรักษาและป้องกันมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การดูแลสุขภาพข้อเสนอแนะ ในการพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วย เบาหวานอย่างเหมาะสมพยาบาลควรตระหนักถึงการส่งเริมการรับรู้สุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ด้านสิ่งที่ชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพของ ตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่าระดับความสัมพันธ์ในระดับต่ำ เนื่องจากสิงชักนำให้เกิดการปฏิบัติเป็นเหตุการณ์หรือสิ่ง ที่มากระตุ้นบุคคลให้เกิดพฤติกรรมที่ต้องการออกมาซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Becker, Maiman (1975) ได้กล่าวว่า เพื่อให้แบบแผนความเชื่อมีความสมบูรณ์นั้น จะต้องพิจารณาถึงสิ่งชักนำให้เกิดการ ปฏิบัติซึ่งมี2 ด้าน คือ สิ่งชักนำภายในหรือสิ่งกระตุ้นภายใน (Internal Cues) ได้แก่การรับรู้สภาวะของ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


66 ร่างกายตนเอง เช่น อาการของโรค หรือการเจ็บป่วยส่วนสิ่งชักนำภายนอกหรือสิ่งกระตุ้นภายนอก (External Cues) ได้แก่การให้ข่าวสารผ่านทางสื่อมวลชนหรือการเตือนจากบุคคลที่เป็นที่รักหรือนับถือ เช่น สามีภรรยา บิดา มารดา เป็นต้น 5.3 ข้อจำกัดในการศึกษา 5.3.1 เนื่องจากการทำวิจัยอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อโควิด-19 ทำให้ ผู้วิจัยมีอุปสรรคในการเก็บรวบรวมข้อมูลรวมไปถึงจำนวนของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษามีจำนวนลด น้อยลงจึงทำให้ผู้วิจัยใช้เวลาในการเก็บข้อมูลที่ค่อนข้างนาน 5.3.2 เนื่องจากเวลาในการเก็บข้อมูลที่ค่อนข้างจำกัด จึงทำให้ผู้วิจัยและคนไข้ไม่สามารถสื่อสาร กันได้อย่างเต็มที่ดังนั้นอาจทำให้ข้อมูลที่ได้รับมามีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้ 5.4 ข้อเสนอแนะ การศึกษาวิจัยนี้เป็นการศึกษาด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวานกับ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรี มีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 พบว่า มีความสัมพันธ์อยู่ในระดับ ต่ำ ซึ่งการขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวานนั่นถือเป็น อุปสรรคสำคัญต่อการเกิดพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 เป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีวิธีดูแลตนเองที่ผิดๆ และไม่เหมาะสม เนื่องจากยังขาดความรู้และความเข้าใจในเรื่อง ของการรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวาน ดังนั้นควรนำผลการศึกษางานวิจัยเป็น แนวทางในการปฏิบัติตนให้ผู้ป่วยเข้าใจได้อย่างถูกต้องมากขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีต่อไปในอนาคต 5.5 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1. การวิจัยในครั้งนี้มุ่งหาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ภาวะสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแล สุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีจึงควรมีการศึกษา ความสัมพันธ์ของลักษณะทางประชากรศาสตร์ด้วยเช่น หาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ทัศนคติและ การรับรู้การเปิดรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 เพื่อใช้ผลิต สื่อที่มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนต่อไปได้ 2. ควรมีการศึกษาวิจัยเชิงทดลองโดยการพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมอันจะนำไปสู่แนวทางสร้างเสริม สุขภาพด้านการดูแลตนเองได้ในอนาคต ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


67 บรรณานุกรม 1. ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. (2560). โรคเบาหวาน. สืบค้นเมื่อ20 ธันวาคม 2564 จากhttps://medicalcenter.mch.mfu.ac.th/dm/ 2. ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. (2559).อาการของโรคเบาหวาน. สืบค้นเมื่อ20 ธันวาคม 2564 จากhttps://medicalcenter.mch.mfu.ac.th/dm/ 3. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย. (2560). ชนิดและสาเหตุของโรคเบาหวาน. สืบค้นเมื่อ21 ธันวาคม 2564 จากhttps://www.dmthai.org/new/index.php/sara-khwamru/understand-diabetes 4. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย. (2560).อาการของโรคเบาหวาน. สืบค้นเมื่อ21 ธันวาคม 2564 จากhttps://www.dmthai.org/new/index.php/sara-khwamru/understand-diabetes 5. โรงพยาบาลศิขรินทร์. (2558). ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน. สืบค้นเมื่อ20 ธันวาคม 2564 จาก https://www.sikarin.com/health/diabetes/ 6. โรงพยาบาลกรุงเทพฯ. (2558). การวินิจฉัยโรคเบาหวาน. สืบค้นเมื่อ20 ธันวาคม 2564 จากhttps://www.bangkokhospital.com/dm-and-endocrinology-center/ 7. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์. (2559). ขั้นตอนการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่2. สืบค้นเมื่อ20 ธันวาคม 2564 จาก https://chulalongkornhospital.go.th/kcmh/ 8. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย,สมาคมโรคต่อมไร้ท่อ,กรมการแพทย์, หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. แนวเวชปฏบิตัสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน 2562.กรุงเทพฯ: พิมพ์ครั้งที่1 ; ศรีเมืองการพิมพ์จำกัด. 2562 9. ธิดารัตน์คะนึงเพียร. (2563).ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรม การดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่2. สุรินทร์ : วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สืบค้นเมื่อ 21 ธันวาคม 2564 จากhttps://he01.tcithaijo.org/index.php/bcnpy/article/view/237177 10. อ้อมใจแต้เจริญวิริยะกุล. (2559). การรับรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วย โรคเบาหวาน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์. สุรินทร์. สืบค้นเมื่อ22 ธันวาคม 2564 จาก https://physicaltherapy.swu.ac.th/sites/default/files/2021-04/ ผลงานวิจัยตีพิมพ์_อ.อ้อมใจ.pdf 11. ผลของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อการควบคุมระดับน้ำตาบในเลือดของผู้ป่วย โรคเบาหวานชนิดที่2 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้. (2563). สืบค้นเมื่อ 22ธันวาคม 2564 จากhttps://he01.tcithaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/246233/167549 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


68 12. ชมนาถแปลงมาลย์, นุชนาถ มีนาสันติรักษ์. (2561). ภาวะโภชนาการและพฤติกรรมการ บริโภคของผู้ป่วยเบาหวาน ตำบลท่าสองคอน อำเภอเมืองจังหวัดมหาสารคาม. สืบค้น เมื่อ22 ธันวาคม 2564 จาก http://research.rmu.ac.th/rdimis//upload/fullreport/1631525455.pdf 13. หทัยรัตน์กันหาชิน พย.ม. , เพชรไสวล้มตระกูลวท.ม. (2563).การพัฒนาการดูแล ผู้ป่วยเบาหวานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลแห่งหนึ่งอำเภอพิบูลย์รักษ์จังหวัด อุดรธานี. สืบค้นเมื่อ23 ธันวาคม 2564จากhttps://he02.tcithaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/253273 14. อรนุช ประดับทอง. (2562). ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรม การดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่2. สืบค้นเมื่อ23 ธันวาคม 2564 จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnpy/article/view/237177/164374 15. Atchara Suhiran. Association Between Health Perception and Self-care Behavior Among Diabetes Mellitus Type II Patients in Payuhakiri District, Nakhonsawan Province. (2018). สืบค้นเมื่อ26ธันวาคม 2564 จาก https://research.kpru.ac.th/journal_science/journal/15222019-03-12.pdf 16. Aikaterini Trikkalinou, Athanasia K Papazafiropoulou, and Andreas Melidonis. Type 2 diabetes and quality of life. (2017). สืบค้นเมื่อ26ธันวาคม 2564 จาก https://www.researchgate.net/publication/233746367_Changing_Physical_Activity_B ehavior_in_Type_2_Diabetes_A_systematic_review_and_metaanalysis_of_behavioral_interventions 17. Outcomes monitoring of health, behavior, and quality of life after nutrition intervention in adults with type 2 diabetes. (2014). สืบค้นเมื่อ26ธันวาคม 2564 จาก https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0002822304015718 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


69 ภาคผนวก ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


71 ภาคผนวกก แบบสอบถาม ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


73 เลขที่แบบสัมภาษณ์______ (สำหรับผู้วิจัย) แบบสอบถามเพื่อการทำวิจัย เรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ กับ การรับรู้ภาวะสุขภาพในผู้ป่วย โรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรี แบบสอบถามนี้เป็นแบบสอบถามสําหรับการวิจัยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการ ดูแลสุขภาพตนเอง ในกลุ่มผู้ป่วนโรคเบาหวานชนิดที่2 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรีผู้วิจัย ขอความกรุณาท่านตอบแบบสอบถามตามความเป็นจริงมากที่สุด ผู้วิจัยขอรับรองว่าข้อมูลที่ได้จากท่าน จะถือเป็นความลับ และจะนำเสนอในเชิงวิชาการเท่านั้น แบบสอบถามชุดนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่1 ข้อมูลพื้นฐานทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนที่2 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 3 ตอน 25 คำถาม ส่วนที่2 ตอนที่1 ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวาน ส่วนที่2 ตอนที่2 การรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวาน ส่วนที่2 ตอนที่3 สิ่งชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และอุปสรรคของการดูแลสุขภาพของ ตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ส่วนที่3 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน 15 คำถาม ผู้วิจัยขอขอบคุณท่านที่ให้ความอนุเคราะห์ในการตอบแบบสอบถามเป็นอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้ คณะผู้ทําวิจัย ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


74 ส่วนที่1 ข้อมูลพื้นฐานทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม คำชี้แจง. โปรดทำเครื่องหมาย / ลงใน O หรือเติมข้อความลงในช่องว่างตามความเป็นจริง 1. อายุ O น้อยกว่า50ปี O 50-60 ปี O 61-70 ปี 2. เพศ O ชาย O หญิง 3. ระดับการศึกษา O ไม่ได้เรียน O ประถมศึกษา O มัธยมศึกษา O ปริญญาตรี O อื่นๆ 4. สถานภาพ O โสด O สมรส O หย่าร้าง O แยกกันอยู่ O อื่นๆ 5. ประกอบอาชีพหลัก O ข้าราชการ O รับจ้าง O ค้าขาย O ว่างงาน O อื่นๆ 6. รายได้ต่อเดือน O ไม่มีรายได้ O ต่ำกว่า10,000 บาท O สูงกว่า10,000 บาท 7. ในครอบครัวของท่านมีญาติสายตรงที่ป่วยเป็นเบาหวานหรือไม่ O ไม่มี O ปู่-ยา / ตา-ยาย O พ่อแม่ O พี่น้องร่วมบิดามารดา O บุตร 8. ระดับน้ำตาลในเลือดก่อนอาหารเช้า หลังจากงดน้ำงดอาหารเป็นเวลา8 ชั่วโมง (ภายในเดือนที่มีการสัมภาษณ์) O น้อยกว่า100 mg/dl O 100-125mg/dl O มากกว่า126 mg/dl 9. ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) ครั้งล่าสุด ภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี O น้อยกว่า6.5% O 6.5 - 7% O มากกว่า7% 10.ระยะเวลาในการป่วยเป็นโรคเบาหวาน O น้อยกว่า1 ปี O มากกว่า5 ปี ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


75 11.วิธีการรักษาที่ท่านได้รับในปัจจุบัน O ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ออกกำลังกาย O ยาเม็ด O ยาฉีด O ใช้ทั้งยาเม็ดและยาฉีด O อื่นๆ 12.ปัจจุบันท่านมีภาวะแทรกซ้อนหรือไม่ O ไม่มี O มี 13.ท่านมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้หรือไม่ (ตอบได้มากกว่า 1ข้อ) 13.1 ปัสสาวะบ่อยมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน O มี O ไม่มี 13.2 หิวน้ำบ่อย O มี O ไม่มี 13.3 อ่อนเพลีย O มี O ไม่มี 13.4 กินเก่ง หิวเก่งแต่น้ำหนักลดลง O มี O ไม่มี 13.5 แผลหายช้าคันตามผิวหนัง O มี O ไม่มี 13.6 เห็นภาพไม่ชัด ตามัว O มี O ไม่มี 13.7 ชา ไม่มีความรู้สึกเจ็บตามแขนขา O มี O ไม่มี 13.8 อาเจียน O มี O ไม่มี 14. ภายในระยะ3เดือนที่ผ่านมา ท่านมีการตรวจค่าระดับน้ำตาลในเลือดบ่อยอย่างไร O ไม่ได้ไปรับการตรวจ O ตรวจอย่างน้อย1ครั้ง ภายในระยะเวลา3เดือน O ตรวจเป็นประจำทุกเดือน 15. สถานที่ที่ไปรับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด O สถานีอนามัย O โรงพยาบาล O อื่นๆ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


76 ส่วนที่2 ตอนที่1 ความรู้ในเรื่องโรคเบาหวาน คำชี้แจงโปรดทำเครื่องหมายถูกต้องลงในช่องคำตอบที่ตรงกับการปฏิบัติของท่าน โดยแต่ละช่องมีความหมายดังนี้ ใช่ หมายถึงผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าข้อความนั้นตรงกับความรู้สึกของผู้ตอบ ไม่ใช่หมายถึงผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าข้อความนั้นไม่ตรงกับความรู้สึกของผู้ตอบ ที่ ข้อความ ใช่ ไม่ใช่ 1 โรคเบาหวานสามารถรักษาให้หายได้ 2 ผู้ป่วยเบาหวานต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ 3 ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้มีผลให้เกิดโรค ไต หัวใจโรคความดันโลหิตสูง 4 ผู้ป่วยเบาหวานควรกำหนดเวลาในการทานยาให้ชัดเจน และทานยาตรงเวลา 5 ผู้ป่วยเบาหวานต้องดูแลร่างกายโดยเฉพาะเท้าและผิวหนังไม่ให้เกิดแผล ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


77 ส่วนที่2 ตอนที่2 การรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวาน คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมายถูกต้องลงในช่องคำตอบที่ตรงกับการปฏิบัติของท่าน โดยแต่ละช่องมีความหมายดังนี้ เห็นด้วย หมายถึงข้อความนั้นตรงกับความรู้สึกของผู้ตอบแบบสอบถาม ไม่เห็นด้วย หมายถึงข้อความนั้นไม่ตรงกับความรู้สึกของผู้ตอบแบบสอบถาม ที่ ข้อความ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย 1 การมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคเบาหวานจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการ เป็นโรคเบาหวาน 2 การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เช่น เหล้า เบียร์และอาหารรสหวาน จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน 3 การไม่ออกกำลังกายจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน 4 การเป็นโรคเบาหวานระยะเริ่มแรกจะไม่มีอาการหรืออาการที่แสดงออก 5 การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนทั้ง เฉียบพลันและเรื้อรัง 6 การรักษาโรคเบาหวานต้องรับประทานยาลดน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ 7 การมีแผลเรื้อรังในผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจก่อให้เกิดการสูญเสียอวัยวะได้ 8 การรักษาโรคเบาหวานหากมีการควบคุมโรคได้ดีจะทำให้หายขาดจาก การเป็นเบาหวานได้ 9 ภาวะน้ำหนักเกินจะมีความเสียงต่อโรคเบาหวานมากกว่าคนปกติ 10 ผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานานและควบคุมโรคได้ ไม่ดีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบประสาท ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


78 ส่วนที่2 ตอนที่3 สิ่งที่ชักนำให้ปฏิบัติการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพ ของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมายถูกต้องลงในช่องคำตอบที่ตรงความเข้าใจและความนึกคิดของท่าน โดยแต่ละช่องมีความหมายดังนี้ ใช่ หมายถึงผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าข้อความนั้นตรงกับความรู้สึกของท่าน ไม่ใช่หมายถึงผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าข้อความนั้นไม่ตรงกับความรู้สึกของท่าน สิ่งที่ชักนำให้ปฏิบัติการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่ ข้อความ ใช่ ไม่ใช่ 1 เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยให้คำแนะนำโรคเบาหวานแก่ท่านท่านจึงมีวิธีการดูแล ตนเองที่เหมาะสม 2 การมีบริการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเคลื่อนที่ในหมู่บ้านทำให้ท่านอยากจะรับ บริการ 3 ท่านไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อทราบความผิดปกติของร่างกาย 4 การรับประทานยาสม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่งจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ 5 การควบคุมประเภทและปริมาณอาหารที่รับประทานจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ในเลือดได้ 6 ถ้ามีการดูแลตนเองเป็นอย่างดีเมื่อทราบว่าตนเองมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน 7 ท่านมีความกังวลเมื่อทราบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ด้านการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน 8 การที่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูงในการดูแลสุขภาพทำให้ท่านต้องใช้เงินจำนวนมาก 9 การเดินทางที่ไม่สะดวกทำให้ท่านไม่อยากไปรับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด 10 ท่านไม่มีเวลาที่จะไปรับบริการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


79 ส่วนที่3 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผ้ปู่วยโรคเบาหวาน คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมายถูกต้องลงในช่องคำตอบที่ตรงกับการปฏิบัติของท่าน โดยแต่ละช่องมีความหมายดังนี้ ปฏิบัติเป็นประจำ หมายถึงการปฏิบัติกิจกรรมนั้นสม่ำเสมอทุกวันใน 1 สัปดาห์ ปฏิบัติเป็นบางครั้ง หมายถึงการปฏิบัติกิจกรรมนั้นเป็นบางครั้ง หรือเป็นบางครั้ง ไม่เคยปฏิบัติหมายถึง ไม่เคยปฏิบัติกิจกรรมนั้นเลยใน 1 สัปดาห์ ด้านการบริโภค ที่ ข้อความ ปฏิบัติ ประจำ ปฏิบัติ บางครั้ง ไม่เคย ปฏิบัติ 1 ท่านรับประทานอาหารประเภทอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ข้าว ขาหมูอาหารประเภททอด 2 ท่านรับประทานอาหารประเภทขนมหวาน 3 ท่านรับประทานผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน มะม่วง 4 ท่านดื้มน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้ 5 ท่านดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ด้านการออกกำลังกาย ที่ ข้อความ ปฏิบัติ ประจำ ปฏิบัติ บางครั้ง ไม่เคย ปฏิบัติ 6 ท่านออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ3คร้ังและไม่หักโหม 7 ท่านออกแรงทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น ถูบ้านจนเหงื่อ ออก ทำสวน เดินอย่างน้อย20 นาที 8 ท่านบันทึกน้ำหนักของตัวท่านเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว 9 ท่านออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยคร้ังละ30นาที 10 ท่านออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารมื้อหนักโดยทันที ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


80 ด้านการใช้ยา ที่ ข้อความ ปฏิบัติ ประจำ ปฏิบัติ บางครั้ง ไม่เคย ปฏิบัติ 11 ท่านรับประทานยาเบาหวานตรงเวลาและตามจำนวนที่ แพทย์สั่ง 12 ท่านปรับขนาดยาเบาหวานโดยลดหรือเพิ่มยาหรือหยุดยา ด้วยตัวเอง 13 ถ้าท่านลืมรับประทานยาเบาหวานท่านจะรับประทานยา ทันทีที่นึกขึ้นได้ 14 ท่านรับประทานยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมอื่นร่วมกับยา แผนปัจจุบันเพื่อรักษาเบาหวาน 15 ท่านตรวจสอบวันหมดอายุของยาก่อนรับประทานยา ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


81 ภาคผนวก ข การคำนวณค่า IOC ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


83 ข้อมูลพื้นฐานทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ที่ ข้อคำถาม ความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ -1 0 1 1 อายุ O น้อยกว่า50ปี O 50-60ปี O 61-70ปี / 2 เพศ O ชาย O หญิง / 3 ระดับการศึกษา O ไม่ได้เรียน O ประถมศึกษา O มัธยมศึกษา O ปริญญาตรี O อื่นๆ / 4 สถานภาพ O โสด O สมรส O หย่าร้าง O แยกกันอยู่ O อื่นๆ / 5 ประกอบอาชีพหลัก O ข้าราชการ O รับจ้าง O ค้าขาย O ว่างงาน O อื่นๆ / 6 รายได้ต่อเดือน O ไม่มีรายได้ O ต่ำกว่า10,000 บาท O สูงกว่า10,000 บาท / 7 ในครอบครัวของท่านมีญาติสายตรงที่ป่วยเป็น เบาหวานหรือไม่ O ไม่มี O ปู่-ยา / ตา-ยาย O พ่อแม่ O พี่น้องร่วมบิดามารดา O บุตร / ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


84 8 ระดับน้ำตาลในเลือดก่อนอาหารเช้า หลังจากงดน้ำงด อาหารเป็นเวลา8 ชั่วโมง (ภายในเดือนที่มีการ สัมภาษณ์) O น้อยกว่า100 mg/dl O 100-125mg/dl O มากกว่า126 mg/dl / 9 ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) ครั้งล่าสุด ภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี O น้อยกว่า6.5% O 6.5 - 7% O มากกว่า7% / 10 ระยะเวลาในการป่วยเป็นโรคเบาหวาน O น้อยกว่า1 ปี O มากกว่า5 ปี / 11 วิธีการรักษาที่ท่านได้รับในปัจจุบัน O ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ออกกำลังกาย O ยาเม็ด O ยาฉีด O. ใช้ทั้งยาเม็ดและยาฉีด O. อื่นๆ / 12 ปัจจุบันท่านมีภาวะแทรกซ้อนหรือไม่ O ไม่มี O มี / 13 ท่านมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้หรือไม่ (ตอบได้ มากกว่า 1ข้อ) 13.1 ปัสสาวะบ่อยมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน O มี O ไม่มี 13.2 หิวน้ำบ่อย O มี O ไม่มี ศ / ู นย์แพทยศาสตรช์ ัน้ คลิ นิ ก โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสยาม


85 13.3 อ่อนเพลีย O มี O ไม่มี 13.4 กินเก่ง หิวเก่งแต่น้ำหนักลดลง O มี O ไม่มี 13.5 แผลหายช้าคันตามผิวหนัง O มี O ไม่มี 13.6 เห็นภาพไม่ชัด ตามัว O มี O ไม่มี 13.7 ชา ไม่มีความรู้สึกเจ็บตามแขนขา O มี O ไม่มี 13.8 อาเจียน O มี O ไม่มี 14 ภายในระยะ3เดือนที่ผ่านมา ท่านมีการตรวจค่าระดับ น้ำตาลในเลือดบ่อยอย่างไร O ไม่ได้ไปรับการตรวจ O ตรวจอย่างน้อย1ครั้ง ภายในระยะเวลา3เดือน O ตรวจเป็นประจำทุกเดือน / 15 สถานที่ที่ไปรับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด O สถานีอนามัย O โรงพยาบาล O อื่นๆ / ศู นย์แพทยศาสตรช์ ัน้ คลิ นิ ก โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสยาม


86 ความรู้ในเรื่องโรคเบาหวาน ที่ ข้อคำถาม ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ -1 0 1 1 โรคเบาหวานสามารถรักษาให้หายได้ / 2 ผู้ป่วยเบาหวานต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ / 3 ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้มีผล ให้เกิดโรคไต หัวใจโรคความดันโลหิตสูง / 4 ผู้ป่วยเบาหวานควรกำหนดเวลาในการทานยาให้ชัดเจนและทาน ยาตรงเวลาทุกวัน / 5 ผู้ป่วยเบาหวานต้องดูแลร่างกายโดยเฉพาะเท้าและผิวหนังไม่ให้ เกิดแผล / ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


87 การรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคเบาหวาน ที่ ข้อคำถาม ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ -1 0 1 1 การมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคเบาหวานจะเพิ่มโอกาสเสี่ยง ต่อการเป็นโรคเบาหวาน / 2 การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เช่น เหล้า เบียร์และอาหารรส หวาน จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน / 3 การไม่ออกกำลังกายจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน / 4 การเป็นโรคเบาหวานระยะเริ่มแรกจะไม่มีอาการหรือมีอาการ / 5 การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เสี่ยงต่อการเกิด ภาวะแทรกซ้อนทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง / 6 การรักษาโรคเบาหวานต้องรับประทานยาลดน้ำตาลในเลือดเป็น ประจำ / 7 การมีแผลเรื้อรังในผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจก่อให้เกิดการสูญเสีย อวัยวะได้ / 8 การรักษาโรคเบาหวานหากมีการควบคุมโรคได้ดีจะทำให้ หายขาดจากการเป็นเบาหวานได้ / 9 กลุ่มที่มีภาวะน้ำหนักเกินจะมีความเสียงต่อโรคเบาหวานมากกว่า คนปกติ / 10 ผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานานและควบคุม โรคได้ไม่ดีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบประสาท / ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


88 สิ่งที่ชักนำให้ปฏิบัติการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่ ข้อคำถาม ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ -1 0 1 1 เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยให้คำแนะนำโรคเบาหวานแก่ท่านท่านจึง มีวิธีการดูแลตนเองที่เหมาะสม / 2 การมีบริการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเคลื่อนที่ในหมู่บ้านทำ ให้ท่านอยากจะรับบริการ / 3 ท่านไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อทราบความผิดปกติของ ร่างกาย / 4 การรับประทานยาสม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่งจะช่วยควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือดได้ / 5 การควบคุมประเภทและปริมาณอาหารที่รับประทานจะช่วย ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ / 6 ถ้ามีการดูแลตนเองเป็นอย่างดีเมื่อทราบว่าตนเองมีโอกาสเสี่ยง ต่อภาวะแทรกซ้อนได้ / 7 ท่านมีความกังวลเมื่อทราบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น / ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


89 ด้านการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่ ข้อคำถาม ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ -1 0 1 8 การที่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูงในการดูแลสุขภาพทำให้ท่านต้องใช้ เงินจำนวนมาก / 9 การเดินทางที่ไม่สะดวกทำให้ท่านไม่อยากไปรับการตรวจ ระดับน้ำตาลในเลือด / 10 ท่านไม่มีเวลาที่จะไปรับบริการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง / พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผ้ปู่วยโรคเบาหวาน ด้านการบริโภค ที่ ข้อคำถาม ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ -1 0 1 1 ท่านรับประทานอาหารประเภทอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ข้าวขา หมูอาหารประเภททอด / 2 ท่านรับประทานอาหารประเภทขนมหวาน / 3 ท่านรับประทานผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน มะม่วง / 4 ท่านดื้มน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้ / 5 ท่านดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ / ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


90 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผ้ปู่วยโรคเบาหวาน ด้านการออกกำลังกาย ที่ ข้อคำถาม ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ -1 0 1 6 ท่านออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ3คร้ังและไม่หักโหม / 7 ท่านออกแรงทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น ถูบ้านจนเหงื่อออก ทำสวน เดินอย่างน้อย20 นาที / 8 ท่านบันทึกน้ำหนักของตัวท่านเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว / 9 ท่านออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยคร้ังละ30นาที / 10 ท่านออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารมื้อหนักโดยทันที / พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้านการใช้ยา ที่ ข้อคำถาม ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ -1 0 1 11 ท่านรับประทานยาเบาหวานตรงเวลาและตามที่แพทย์สั่ง / 12 ท่านปรับยาเบาหวานโดยลดหรือเพิ่มยาหรือหยุดยาด้วยตัวเอง / 13 ถ้าท่านลืมรับประทานยาเบาหวานท่านจะรับประทานยาทันที ที่นึกขึ้นได้ / 14 ท่านรับประทานยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมอื่นร่วมกับยา แผนปัจจุบันเพื่อรักษาเบาหวาน / 15 ท่านตรวจสอบวันหมดอายุของยาก่อนรับประทานยา / ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


91 แบบสอบถามนี้ได้รับการตรวจสอบโดยอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ลงชื่อ…………… ลงชื่อ………………….. (……………………...) (……………………...) ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิ วิธีการคํานวณหากลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของkrejcie & morgan สูตร เมื่อ n = จำนวนตัวอย่างที่ต้องการจะสุ่ม N = จำนวนประชากรทั้งหมด e = ค่าความคลาดเคลื่อนของการสุ่มตัวอย่างที่ยอมรับได้ X² = ค่าไคสแควร์ที่df = 1 และระดับความเชื่อมั่น95% (X² = 3.841) p = สัดส่วนของลักษณะที่สนใจในประชากร แทนค่า n = 3.841 x 5523 x 0.5 (1-0.5) 0.05²(5523-1)+ 3.841x0.5x(1-0.5) n = 359.2 n ~ 360 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


93 ภาคผนวก ค ประวัติผู้วิจัย ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


95 ประวัติอาจารย์ที/ปรึกษา 1. ชื$อ-สกุล (ภาษาไทย) นายเฉลิม วราวิทย์ (ภาษาอังกฤษ) MR. CHALOEM VARAVITHYA 2. ตําแหน่งปัจจุบัน อาจารย์ประจําศูนย์แพทยศาสตร์ชัHนคลินิค 3. อายุการทํางานนับตัH งแต่บรรจุเข้าคณะแพทยศาสตร์ / โรงพยาบาลพระนังเกล้า $ 7 ปี 4. หน่วยงานที$อยู่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสยาม โทรศัพท์087-8249012 โทรสาร - E-mail address [email protected] 5. ประวัติการศึกษา พบ. Dip, Sub-specialty American Board of Pediatric cardiology 6. สาขาวิชาการที$มีความชํานาญพิเศษ (แตกต่างจากวุฒิการศึกษา) Medical Education 7. ประสบการณ์ที$เกี$ยวข้องกบการบริหารงานวิจัยทั ัH งภายในและภายนอกประเทศ - กรรมการวิจัยคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ - ประธานกรรมการการวิจัยแพทยศาสตร์ศึกษา MedResNet สภาวิจัยแห่งชาติ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


96 ประวัติอาจารย์ที/ปรึกษา 1. ชื$อ– สกุล (ภาษาไทย) นางยุพา สุทธิมนัส (ภาษาอังกฤษ) Mrs. YUPA SUTHIMANUS 2. ตําแหน่งปัจจุบัน พยาบาลวิชาชีพชํานาญการพิเศษ หัวหน้างานรักษาพยาบาลชุมชน 3. อายุการทํางานนับตัH งแต่บรรจุเข้าคณะแพทยศาสตร์ / โรงพยาบาลพระนังเกล้า $ 19 ปี 4. หน่วยงานที$อยู่กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลพระนังเกล้า $ โทรศัพท์02-5284567 ต่อ1610, 1661, 1683โทรสาร02-5284567 ต่อ1683 Email address [email protected] 5. ประวัติการศึกษา - ป.ตรีพยาบาลศาสตร์ปี26 , นิติศาสตร์ปี49 - ป.โท พยาบาลศาสตร์สาขาเวชปฏิบัติชุมชน ปี52 - อบรมการวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ปี51 - อบรมการวิจัยของหน่วยงาน หมาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ปี40 6. สาขาวิชาการที$มีความชํานาญพิเศษ (แตกต่างจากวุฒิการศึกษา) ...ไม่มี... 7. ประสบการณ์ที$เกี$ยวข้องกบการบริหารงานวิจัยทั ัH งภายในและภายนอกประเทศ - ร่วมเป็นทีมวิจัยของกรมการแพทย์ปี52 - ร่วมเป็นทีมวิจัยของกรมอนามัย ปี50 - เป็นทีมอ่านวิจัยของวารสารเขต 4 - เขียนบทความในสารสัมพันธ์ของโรงพยาบาลพระนังเกล้า $ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


97 คณะผ้วิจัยู 1. ชื$อ-สกุล (ภาษาไทย) นายธีร์ เศรษฐการ (ภาษาอังกฤษ) MR. THIR SETTHAKAN 2. วัน เดือน ปี เกิด 29 ตุลาคม 2540 3. ที$อยูปัจจุบัน ่ บ้านเลขที$28/1679โครงการเดอะโพลิแทน รีฟ ถนนนนทบุรีซอยนนทบุรี15 ตําบลบางกระสออําเภอเมืองนนทบุรีจังหวัดนนทบุรี11000 นักศึกษาแพทย์ชัHนปีที$ 6 โทรศัพท์0622628952 E-mail address [email protected] 4. ประวัติการศึกษากาลังศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ํ มหาวิทยาลัยสยาม ชัHนปีที$ 6 5. ประสบการณ์ที$เกี$ยวข้องกบการบริหารงานวิจัยทั ัH งภายในและภายนอกประเทศ กาลังศึกษาวิจัยเรื$อง ํ การศึกษาความสัมพันธ์ระหวาง่ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ กบัการรับรู้ ภาวะสุขภาพ ในผู้ป่ วยโรคเบาหวานชนิดที$2โรงพยาบาลพระนังเกล้า $จังหวัดนนทบุรี ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


98 คณะผ้วิจัยู 1. ชื$อ-สกุล (ภาษาไทย) นางสาวอนัญญา ทองน้อย (ภาษาอังกฤษ) Ms. ANANYA THONGNOI 2. วัน เดือน ปี เกิด 30 มกราคม 2541 3. ที$อยูปัจจุบัน ่ บ้านเลขที$28/1037โครงการเดอะโพลิแทน รีฟ ถนนนนทบุรีซอยนนทบุรี15 ตําบลบางกระสออําเภอเมืองนนทบุรีจังหวัดนนทบุรี11000 นักศึกษาแพทย์ชัHนปีที$5 โทรศัพท์0885720552 E-mail address [email protected] 4. ประวัติการศึกษากาลังศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ํ มหาวิทยาลัยสยาม ชัHนปีที$5 5. ประสบการณ์ที$เกี$ยวข้องกบการบริหารงานวิจัยทั ัH งภายในและภายนอกประเทศ กาลังศึกษาวิจัยเรื$อง ํ การศึกษาความสัมพันธ์ระหวาง่ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ กบั การรับรู้ ภาวะสุขภาพ ในผู้ป่ วยโรคเบาหวานชนิดที$2โรงพยาบาลพระนังเกล้า $จังหวัดนนทบุรี ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


Click to View FlipBook Version