สนุ ทรยี ภาพดา้ นนาฏศลิ ป์ และการละคร
ความรูท้ ว่ั ไปเกยี่ วกบั นาฏศลิ ป์ และการละครไทย
พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2544 ให้
ความหมายว่า นาฏศลิ ป์ หมายถงึ ศิลปะการละคร
หรอื การฟ้อนราหรอื หลายสานวนทส่ี ามารถสื่อ
ความหมายนาฏศิลป์ เช่น ร้องราทาเพลง หรือรอ้ งเตน้
เลน่ ละคร
กาเนิดนาฏศลิ ป์ ไทย
นาฏศิลป์เปน็ ศิลปะการฟอ้ นราทีม่ นุษย์สรา้ งขน้ึ ด้วยความประณีต
งดงามเพ่ือใหค้ วามบนั เทิง ใหผ้ ้ดู ูมคี วามร้สู กึ คลอ้ ยตาม การรา่ ยราต้อง
ประกอบไปดว้ ยศลิ ปะ 3 ประการ คอื
1. การฟอ้ นรา
2. การระบา
3. โขน
ซึง่ แตล่ ะท้องถิ่นจะมีช่อื เรียกและมีลีลาการแสดงท่ีตา่ งกัน สาเหตหุ ลกั
มาจากภมู อิ ากาศ ภูมิประเทศ ความเชอ่ื ศาสนา ภาษา นิสัยใจคอของ
ผคู้ น ชีวติ ความเป็นอยู่
กาเนิดนาฏศลิ ป์ ไทย
นาฏศิลปไ์ ทยมีทม่ี าและเกดิ ขึ้นจากสาเหตุตาม
แนวคดิ ต่างๆ
1. เกิดจากการเลียนเสยี งธรรมชาติ
2. เกิดจากความเชื่อในส่ิงศกั ดิส์ ทิ ธิ์
เชน่ การราแก้บน
3. ไดร้ บั อิทธิพลจากประเทศอินเดีย
กาเนิดนาฏศลิ ป์ ไทย
1. เกดิ จากการเลยี นเสยี งธรรมชาติ แบง่ ออกเป็น 3 ข้ัน ดงั นี้
ขั้นที่ 1 เกดิ จากอุปนิสยั ของมนษุ ยแ์ ละสตั ว์ เมือ่ เกิดสขุ เวทนา
หรอื ทุกขเวทนา ก็แสดงออกมาใหเ้ ห็นปรากฏ เชน่ ทารกเมอื่ พอใจก็
หวั เราะตบมือกระโดดโลดเต้น เม่อื ไม่พอใจก็ร้องไห้ด้นิ รน
ขน้ั ท่ี 2 เม่ือมนุษยร์ ูค้ วามหมายของกริ ยิ าทา่ ทางมากข้นึ ใชก้ ริยา
เหล่าน้ันเปน็ ภาษาสอื่ ความหมายให้ผู้อนื่ รูค้ วามร้สู ึกและความประสงค์
เช่น ต้องการแสดงความเสนห่ ากย็ ้มิ แย้มกรุ้มกรม่ิ ชมอ้ ยชมา้ ยชายตา
หรือโกรธเคืองทาหน้าตาถมงึ ทงึ กระทบื กระแทกแล้วนามาปรับ
ประยุกต์ด้วยการเอากรยิ าทา่ ทางตา่ งๆ มาเรยี บเรียงสอดคลอ้ ง ตดิ ตอ่ กนั
เปน็ ขบวนฟ้อนราให้สวยงาม
กาเนิดนาฏศลิ ป์ ไทย
ขนั้ ที่ 3 มนุษยส์ รา้ งศลิ ปะการแสดงโดยเลยี นแบบธรรมชาติของมนุษย์
และสตั ว์
ทา่ ออกรบ เลยี นแบบท่านก ทา่ ประกอบหมายถงึ ตัวเรา
กาเนิดนาฏศลิ ป์ ไทย
2. เกดิ จากความเช่อื ในสงิ่ ศักดิส์ ิทธิ์
มนษุ ย์ในสมยั โบราณมคี วามเชอ่ื ในส่ิงศักดิ์สทิ ธ์ิ จงึ
มีการบูชา เช่น บวงสรวง เพอ่ื ขอใหส้ ิง่ ศักดสิ์ ทิ ธ์ิ
ประทานพรใหต้ นสมปรารถนา หรือขอใหข้ จัดปัดเปา่
สิ่งทต่ี นไม่ปรารถนาใหส้ ้นิ ไป
งานนมสั การพระบรมธาตนุ าดนู จ.มหาสารคาม
กาเนิดนาฏศลิ ป์ ไทย
3. ได้รบั อารยธรรมจากประเทศอินเดีย
การรบั อารยธรรมจากประเทศอินเดยี เมื่อไทยมาอย่ใู น
สวุ รรณภมู ใิ หมๆ่ มีชนชาติมอญและชนชาตขิ อม
เจรญิ รุ่งเรืองอยู่ก่อน ซง่ึ ชาติท้งั สองได้รบั อารยธรรมของ
ประเทศอินเดีย เม่อื ไทยได้มีการตดิ ตอ่ กับชนชาตมิ อญและ
ชนชาตขิ อมอยา่ งใกลช้ ดิ จึงไดร้ ับอารยธรรมของประเทศ
อนิ เดียดว้ ย เช่น ภาษา ประเพณี
ศลิ ปะการละคร ไดแ้ ก่ ระบา ละคร และโขน
โขนพระราชทาน ตอน สบื มรรคา
ศวิ นาฏราช พระศิวะร่ายราเพือ่ ปราบอสูร
พระศิวะ (พระอศิ วร) เปน็ บดิ าของพระพฆิ เนศ มีชายา คอื พระแม่ ศิวนาฏราช พระศวิ ะรา่ ยราเพ่อื ปราบอสรู
อมุ าเทวี ภาคศิวะ ทรงเป็นมหาเทพผเู้ ป็นใหญใ่ นจักรวาล หนง่ึ ในตรมี ูติ
หรือ 3 มหาเทพสูงสุดแห่งศาสนาพราหมณฮ์ นิ ดู (พระพรหม พระวษิ ณุ
พระศิวะ) และทรงเป็นเทพแห่งคตี า คือ เทพเจา้ แหง่ การดนตรี และการ
ร่ายรา ระบาฟ้อน
ศวิ นาฏราช เปน็ ปางหนงึ่ ของพระศิวะ เปน็ บรมครูของศลิ ปะการรา่ ย
ราหรือนาฏยศาสตรข์ องอนิ เดีย ความเชอ่ื ว่าการเตน้ ราของพระศวิ ะ
กอ่ ใหเ้ กิดปฏกิ ริ ยิ าของการสรา้ งโลกและมนุษยศ์ วิ นาฏราช จะปรากฏให้
ท่าย่างสามขุม (ตรีวกิ ลม) ซึ่งเป็น 1 ใน 108 ทา่ ท่อี อกแบบโดยพระศวิ ะ
โดยมีสญั ลักษณ์ทพี่ ระกรขวาถอื กลอง คือ การสรา้ งโลก พระกรซา้ ยถือ
เปลวเพลิงลอ้ มเป็นกรอบ คอื การสน้ิ สดุ ท่ไี ฟจะเผาผลาญโลก
ศวิ นาฏราช พระศิวะร่ายราเพือ่ ปราบอสรู
พระศิวะไดท้ รงพนันกับพระอมุ าวา่ โลกท่สี ร้างใหมแ่ ข็งแรงหรือไม่ ศิวนาฏราช พระศวิ ะรา่ ยราเพื่อปราบอสรู
โดยพระศวิ ะทรงยืนขาเดียวบนก้อนหนิ โดยทีข่ าต้องไมต่ ก ในขณะที่
พญานาคขวางลาตัววดิ นา้ ในมหาสมุทรให้สะเทอื น พระศิวะทรงชนะ
พระองค์สรา้ งโลกใหมด่ ว้ ยการเต้นราบนก้อนหนิ น้นั ในระหว่างท่ีทรง
เต้นราเกดิ เปลวไฟและนา้ หลงั่ ไหลจากพระวรกายเปน็ สิ่งหล่อเลยี้ งชวี ิต
พระศิวะในฐานะของบรมครูองค์แรกแหง่ การร่ายรา พระหัตถข์ วา
ด้านบนทรงถือครองรปู ร่างคล้ายๆนาฬิกาทรายกลอ่ งเล็กๆ ใบนี้ใหจ้ ังหวะ
ประกอบการฟ้อนราของพระศวิ ะ และท่สี าคญั ไม่แพก้ ัน ก็คือเสยี งกลอง
เป็นสญั ลกั ษณ์แทนธาตแุ รกทถี่ ือกาเนิดขน้ึ ในจักรวาลนั้น คือ กลอง เปน็
สัญลกั ษณแ์ หง่ การสรา้ งสรรค์ส่ิงต่างๆท้ังมวล
ศวิ นาฏราช พระศวิ ะร่ายราเพื่อปราบอสูร
พระหตั ถซ์ า้ ยดา้ นบนถอื อัคนีเปน็ สัญลักษณ์แห่งการทาลายล้าง
โดยคาวา่ ทาลายลา้ งในท่นี หี้ มายถึง ล้างความช่ัว ล้างอวิชาให้หมดไป
เพอ่ื เปิดทางการสรา้ งสรรค์สิ่งตา่ งๆ ข้นึ มาใหม่
พระกรและพระหตั ถ์คูซ่ า้ ย ซ่ึงแทนการสร้างสรรค์และการทาลาย
ล้างนี้กางออกไปในระดับเสมอกัน อันบง่ บอกถึงความหมายทว่ี ่า มเี กดิ ก็
ยอ่ มมีดบั นัน่ เอง
พระหตั ถข์ วาด้านล่างแบออก เรยี กวา่ ปางอภัย ซงึ่ มคี วามหมายว่า
จงอยา่ กลัวเลย เพราะไม่มภี ัยใดๆ จะมากล้ากราย ทา่ น้ี บง่ บอกว่าพระ
ศวิ ะเปน็ ผูป้ กปอ้ งอีกดว้ ย
ศวิ นาฏราช พระศวิ ะร่ายราเพ่อื ปราบอสรู
ศิวนาฏราช พระศวิ ะรา่ ยราเพื่อปราบอสูร
ส่วนพระบาทขวานั้นเหยยี บอยู่ยนอสูรมลู าคนี ซึง่ เปน็ ตัวแทนของ ศวิ นาฏราช พระศิวะรา่ ยราเพื่อปราบอสรู
อวิชา เม่ืออวิชาถูกเหยยี บไมใ่ หผ้ มข้นึ มาบดบังความจริง ความรแู้ จง้ กจ็ ะ
ปรากฏขึ้นนน่ั เอง
วงกลมที่ลอ้ มพระศวิ ะอยู่กค็ ือ ขอบเขตแหง่ การร่ายรา อันเป็น
ตัวแทนของจกั รวาลทั้งมวล โดยมขี อบด้านนอกเปน็ เปลวไฟ และมีขอบ
ด้านในเป็นน้าในมหาสมทุ ร พระศวิ ะในปางนาฏราชน้ี ยังแสดงคู่ตรงข้าม
กัน เชน่ กอง = สร้าง , ไฟ = ทาลาย แม้พระศวิ ในปางนาฏราช จะร่าย
ราขยับมอื ขยบั เท้าและแขนอย่างต่อเนือ่ ง แตพ่ ระหัตถ์กลับสงบนิ่งเฉย
เหมอื นไรค้ วามรู้สกึ ซง่ึ เป็นเสมอื นการสอนวา่ การเกิดดบั ของสรรพสงิ่ ท่ี
เกดิ ขึน้ อยโู่ ดยตลอด พระเกศา ของพระศิวะยาวสยาย ปลิวสะบัดยนื่
ออกไปทางซา้ ยขวา เป็นสญั ลักษณแ์ ทนผู้ละทิ้งชวี ิตทางโลก
พระพฆิ เนศ
เช่ือกนั วา่ พระพฆิ เนศ เปน็ โอรสของพระศวิ ะ กบั พระศรี
มหาอมุ าเทวี หรอื พระแมอ่ มุ า พระพฆิ เนศมกี ายเปน็ มนษุ ย์ มี
เศยี รเปน็ ช้าง อกี ชื่อหนง่ึ จึงเรียกว่า คชานนท์ มงี าข้างเดียว
อว้ นเตี้ย ทอ้ งพล้ยุ หยู าน พระวรกายสีแดง สขี าว สีเหลือง
นุง่ หม่ ภษู าแดง มี 4 กร ถอื บว่ งบาศ ขอสับชา้ ง และมเี ทพศาต
ราวธุ อีกหลายชนิด ซ่งึ ได้รับประทานจากพระศิวะ มพี าหนะ
บริวาร คอื หนู นามว่า มุสกิ ะ
พระพิฆเนศ
พระพฆิ เนศ เป็นมหาเทพผู้ทรงภมู ปิ ญั ญายิง่ ใหญ่ ผู้ขจัด
อปุ สรรคและอานวยความสาเรจ็ ในทุกสงิ่ พระองค์ทรงเปน็ เทพ
เจา้ แห่งสากล ท่ีมีผู้เคารพนบั ถอื มากทีส่ ดุ องคห์ นึ่งในทว่ั โลก
ไม่ว่าในอนิ เดยี เนปาล ภฏู าน ทเิ บต มองโกล จีน ญป่ี ่นุ เกาหลี
พม่า ไทย เขมร อนิ โดนีเซยี พระพิฆเนศ คือ เทพเจา้ ทมี่ ีปรชี า
ชาญ เฉลยี วฉลาด มีฤทธานุภาพมากและทรงคณุ ธรรม คอย
ปราบภยั พาลและอภิบาลคนดี อีกทงั้ ยงั เป็นเทพผ้กู ตญั ญถู ึง
พรอ้ มดว้ ยความดงี าม
พระพฆิ เนศ
พระพฆิ เนศ ด้วยกายเปน็ มหาเทพทเ่ี ก่ยี วข้องกบั วถิ ีชีวิตของ
คนไทยมากองคห์ นง่ึ นับถือทา่ นเปน็ ประธานในการประกอบ
พธิ ีกรรมต่างๆ เป็นสัญลักษณป์ ระจากรมศลิ ปากร วิทยาลัยช่าง
ศิลป์ และสถาบนี บัณฑติ พัฒนศิลป์ พธิ ไี หว้ครูนาฏศิลป์ โขน
ละคร พิธไี หว้ครขู องควาญชา้ ง พธิ คี รอบครูเรียนสรรพวิชาตา่ งๆ
พธิ เี ปดิ กล้องถ่ายภาพยนตร์ ตอ้ งกลา่ วคาบชู าพระพฆิ เนศก่อน
จงึ จะเป็นศริ มิ งคลและทากจิ การงานหรอื เล่าเรียนสาเรจ็
พระพรตฤาษี
พระพรตมุนี เปน็ มหาฤาษี ผู้แตง่ ตาราฟ้อนรา เปน็
ครูนาฏศลิ ป์ ผรู้ วบรวมทา่ ราของพระศวิ ะ 108 ทา่ ผู้
รจนาคัมภีรน์ าฏยศาสตร์ เป็นประโยชน์แกก่ ารศกึ ษา
การฟ้อนรา ในอินเดียและประเทศตา่ งๆในภาคพน้ื เอเชยี
อาคเนย์ ซ่ึงมีประวตั ติ ามตานาน ดังนี้
พระพรตฤาษี
ตานานการฟอ้ นราของอินเดียตามทปี่ รากฏใน โกยิลปรุ า
ฉบบั อนิ เดยี ได้กลา่ ว ไวว้ า่ ในการหน่งึ ฤาษกี ลมุ่ หนึง่ ท่ตี ้ังอาศรม
บาเพ็ญพรตอยกู่ บั ภรรยาในป่า ตาระคา ฤาษีพวกนผ้ี ิดบตุ รธิดา
ภรรยาและสามขี องกนั และกนั ซึง่ เป็นการฝ่าฝืนเทวบญั ญัติ ร้อน
ถึงพระอิศวร ต้องชวนพระนารายณล์ งมาปราบ พระอิศวรทรง
แปลงเป็นโยคหี นุ่มรูปงาม พระนารายณท์ รงแปลงเปน็ สาวสวย
ภรรยาของโยคีหนมุ่ ทั้งน้เี พือ่ ลอ่ ใหพ้ วกฤาษีและภรรยาเกิด
ความหลงใหลในความงามด้วยอานาจ ราคะ จนเกิดทะเลาะ
วิวาทแยง่ ชงิ ในหมฤู่ าษแี ละภรรยานั่นเอง
พระพรตฤาษี
แตพ่ ระเป็นเจ้าทัง้ สองไมป่ ลงใจดว้ ย เม่อื พวกฤาษีและ
ภรรยาไมป่ ระสบความสาเร็จจงึ บันดาลโทสะกล่าวคาสาปพระ
เปน็ เจ้าทงั้ สอง แตพ่ ระองคห์ าไดร้ บั อันตรายแตอ่ ยา่ งใด พวก
ฤาษีจึงเนรมติ เสือข้นึ มา เพื่อจะฆ่าโยคีปลอมและภรรยาให้ตาย
พระอิศวรฆา่ เสือแลว้ ถลกหนงั มาทาเครอื่ งฉลองพระองค์เสยี
พวกฤาษพี ากนั เนรมติ พญานาคข้นึ อีกเพ่อื พ่นพษิ ใส่โยคี
หนมุ่ และภรรยา พระอศิ วรทรงจับพญานาคนัน้ มาพนั เปน็ สงั วาล
ประดับพระองค์ ต่อจากน้นั ทรงกระทาปาฏิหาริย์ดว้ ยการ
เต้นราอยไู่ ปมา แต่พวกฤาษยี งั ไม่สิน้ ฤทธ์ิ
พระพรตฤาษี
ฤาษีเนรมิตยักษค์ อ่ มมกี ายสีดาสนทิ ขนึ้ ตนหนงึ่ ชือ่ อสรู มู
ยะลาคะ พระอศิ วรเหน็ ดังนัน้ จงึ ใช้พระบาทขวาเหยียบยกั ษม์ ู
ยะลาคะ จนหลงั หักแล้ว ทรงฟ้อนราอย่บู นหลังยักษ์ตนนน้ั
ต่อไป จนหมดขบวนฟ้อนราท่ี ฤาษเี หน็ การเปลีย่ นแปลงดังน้ีก็
ส้นิ ทฐิ ิ ยอมรบั ผิดทลู ขอขมาโทษและใหส้ ัญญาว่าจะปฏิบตั ิตน
อยูใ่ นเทวบัญญัติอย่างเครง่ ครัดตอ่ ไป
พระพรตฤาษี พระสุรสั วดี
ในกาลสมัยต่อมาพระอศิ วรมีพระประสงค์ท่ีจะแสดงการ
ฟอ้ นราให้ปรากฏเปน็ แบบฉบับตามคาทูลขอของพระพรตมุนี
ซง่ึ เป็นผไู้ ด้รับพระบญั ชาจากพระพรหม ให้เปน็ ผูร้ วบรวมตารา
การฟ้อนราข้ึนในคร้งั น้ี พระอิศวรเชญิ พระอมุ ามาเปน็ ประธาน
เสดจ็ ประทับเหนือสุวรรณบัลลงั ก์ ให้พระสรุ ัสวดีดดี พณิ พระ
อินทร์เปา่ ขลุ่ย พระพรหมตฉี งิ่ พระลกั ษณ์มขี ับร้อง และพระ
นารายณต์ ีโทน พระอศิ วรทรงฟอ้ นรา พระพรตมนุ ีบันทึกท่า
ฟ้อนราของภาคส่วนในทกุ กระบวนท่าเพอื่ เป็นตาราการฟอ้ นรา
แก่มนษุ ยส์ บื ไป
พระพรตฤาษี
ตานานที่กล่าวมาน้ีจะเหน็ ไดว้ า่ พระอิศวรทรงเปน็
ผ้เู ช่ียวชาญการฟ้อนราเปน็ อยา่ งยง่ิ ดว้ ยเหตุนช้ี าวอินเดยี จงึ นับ
ถอื พระอิศวรว่าทรงเป็นนาฏราช ในประเทศอนิ เดยี ทเี่ มือง
จิตัมพรัม มเี ทวาลยั แห่งหนง่ึ ช่ือ วดั ธลิ ลัยนาฏราช จิตัมพรัม
ชาวบา้ นนิยมเรียกเทวาลยั นาคราช สรา้ งขนึ้ เมื่อ พ.ศ. 1800
ภายในชอ่ งทางเดินเขา้ สู่ตัวเทวาลยั ช้ันในมีภาพแกะสลกั หินเป็น
รูป ตัวระบาผู้หญงิ แสดงท่าราต่างๆ 108 ทา่ ท่าราตา่ งๆเหล่านี้
ตรงกับท่กี ลา่ วไว้ในตารา นาฏยศาสตร์ ซ่ึงบันทึกโดยพระพรต
มุนีพราหมณเ์ หลา่ นเี้ ป็นทา่ รานาฏศลิ ป์อินเดยี ใชเ้ ป็นแบบฉบับใน
การฟอ้ นรา
ลกั ษณะเดน่ ของนาฏศิลป์ไทย
นาฏศิลปไ์ ทยเปน็ ศิลปะแบบอดุ มคติ การดรู าไทย โขน
ละคร ฟอ้ นราทุกชนิด ผชู้ มจะตอ้ งอาศัยจินตนาการเขา้
ประกอบดว้ ย จงึ จะเกิดความสนกุ สนานและมีอารมณ์คลอ้ ย
ตาม เป็นศิลปะท่ีมีความบนั เทงิ ใจ ด้วยการรอ้ งราทาเพลง สรุป
ลกั ษณะเด่นไดด้ งั นี้
1. มีรปู ลักษณด์ ้านทศั นศลิ ป์
2. การเคลื่อนไหวมลี กั ษณะเดน่
3. ถ้าเรามคี วามสัมพนั ธ์กบั ดนตรี
4. มีใบหน้าที่ใช้สอ่ื ความหมาย
ลักษณะการเคลื่อนไหวของนาฏศลิ ปไ์ ทย
แบง่ ได้ 2 ลักษณะ คือ
1. ลักษณะของการเคลือ่ นไหวทปี่ ระดษิ ฐ์เปน็ แบบแผนทเี่ รียกวา่
นาฏยศัพท์ ไดแ้ ก่ ท่าราแม่บท ทา่ ราเพลงช้า เพลงเร็ว รา
หน้าพาทย์
2. ลกั ษณะของการเคล่อื นไหวท่ีเลียนแบบ เชน่ เลยี นแบบ
ธรรมชาตขิ องสตั ว์ บคุ ลกิ ภาพของตวั ละครในวรรณคดี เรยี กวา่
ภาษาท่าทางนาฏศิลป์
ทา่ อาย
การราหนา้ พาทยต์ ระนมิ ติ
นาฏยศัพท์
นาฏยศพั ท์ หมายถึง คาทเ่ี รยี กใชใ้ นวงการนาฏศิลปไ์ ทย
สามารถสอื่ สารความหมายกันไดท้ ุกฝา่ ยในการแสดงตา่ งๆ
นาฏยศพั ท์ ในนาฏศิลปไ์ ทยมีมากมาย และบางคาก็มี
ความหมายรู้กนั เฉพาะตวั แสดงพวกเดียวกันเทา่ นั้น เชน่ ตัว
พระ ตัวนาง ยักษ์และลงิ นอกจากนก้ี ารแสดงนาฏศลิ ป์หรือ
การฟ้อนราน้ันจะต้องเคล่ือนไหวอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้
สอดคลอ้ งกลมกลืนกนั ไม่วา่ จะเปน็ ศรษี ะ แขน ขา มือ และ
เทา้
นาฏยศพั ท์
ประเภทของนาฏศลิ ป์ไทย ละครนอก สงั ขท์ อง
ราชบณั ฑิตยสถาน ไดแ้ บง่ ประเภทของนาฏศิลปไ์ ทยออกเปน็ 2
ประเภท คอื
1. ระบา เป็นการร่ายราตามจงั หวะเพลงท่พี ร้อมเพรียงงดงาม
แลว้ เพลิดเพลินสนุกสนาน มีระบาเด่ียว ระบาค่แู ละระบาหมู่
2. ละคร คอื การแสดงราทเ่ี ป็นเรอ่ื งราวดาเนนิ ไปโดยลาดบั
แบง่ เปน็ ละครไทยแท้ ละครโนราห์ ละครนอก ละครใน ละคร
พนั ทาง ละครดึกดาบรรพ์ และโขน ละครทไ่ี ดร้ ับอทิ ธพิ ลจากทาง
ประเทศตะวนั ตก ละครรอ้ ง ละครพูด ละครพูดสลบั ลา และละคร
สงั คีต ในทน่ี ี้จะนาเสนอแบ่งออกเป็น 3 เร่ือง คอื
ประเภทของนาฏศลิ ปไ์ ทย
1. ราและระบา คือ การแสดงเป็นชดุ เปน็ หมู่ ไมไ่ ดแ้ สดงเปน็ เรอ่ื งราว ท่ารา คานึงถงึ ความ
ประสานกลมกลนื และความพรอ้ มเพรียง
ระบา ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ เมอื่ ดีใจมากกท็ ากิริยากระโดดโลดเตน้ ไปมา เชน่ แสดงความดี
ใจ ในชัยชนะกับส่งิ ใดสงิ่ หน่งึ ในบางคร้ังก็จัดเฉลมิ ฉลองในความสาเรจ็ คนไทยแต่เดิมคงผูกพัน
กบั ธรรมชาตแิ ละสงิ่ นอกเหนือธรรมชาติ ดังนัน้ เพอื่ เป็นการเอาใจธรรมชาติ หรือการแสดงการ
เคารพบูชาต่อส่งิ ท่ีตนนบั ถือ ก็จะมกี ารแสดงระบา รา ฟ้อน เพอ่ื บวงสรวงทไี่ ดร้ บั ความสาเรจ็
และความสขุ ตามทป่ี รารถนา ในข้ันต้นการแสดงระบาเพื่อบูชาสงิ่ ศกั ดส์ิ ิทธิ์ คงไมพ่ ถิ พี ถิ นั เท่าไหร่
นัก ต่อมาจึงปรับปรงุ ให้งามข้ึน จนเปน้ สิง่ ท่ีมไี วใ้ นสังคมมนุษยเ์ พอ่ื ดูเลน่ และความเพลนิ ใจ
ลกั ษณะของระบา
การแสดงระบามลี ักษณะที่สาคัญดงั นี้
1. เปน็ การแสดงหมู่ คอื ต้งั แต่ 2 คนข้นึ ไป กระบวนท่าราสมบรู ณ์ในตวั เอง ในแตล่ ะชดุ ไม่
ตอ้ งแสดงเปน็ เรอื่ ง กระบวนท่าราจะมีท่าทางหลากหลาย แต่ในบางครง้ั ทาทา่ เดมิ ซา้ อยู่
หลายจงั หวดั เชน่ ระบาโบณาณคดี ระบาสัตว์ตา่ งๆ
2. การแสดงรน่ื เริง เชน่ ระบาไกรลาศสาเริง ระบาดาวดึงส์
3. แสดงกริ ิยาอาการของสตั ว์ เชน่ ระบาไก่ ระบามา้ ระบาวิมานภิรมย์
4. แสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศเพอ่ื นบา้ น เชน่ ระบาจนี -ไทยไมตรี ระบาพม่า-ไทย
อธิษฐาน
5. แสดงความเข้มแขง็ และฮกึ เหิมในการเตรียมพร้อม เช่น ระบาวีรชยั เสนยักษ์ ระบากราว
วีรสตรี
ลักษณะของระบา
กระบวนท่ารามักจะเริม่ จากจงั หวะ
ช้า ตอนท้ายจะเป็นจงั หวะเรว็
กระบวนท่าราจะอาศยั การเปลีย่ น
แปรแถวมาก เชน่ การเข้าวงรวมกลมุ่
แยกกลุ่มย่อย เดินสลับซา้ ยขวา
ประเภทของระบาจดั เปน็ 3 ประเภท
1. ระบามาตรฐาน หมายถงึ การแสดงทม่ี ี
ลกั ษณะการแตง่ กายแบบยืนเคร่ือง ตวั พระและตวั
นาง ตลอดจนทา่ รา เพลงรอ้ ง และดนตรที ีม่ ี
กาหนดไว้เปน็ แบบแผนลกั ษณะเฉพาะตวั เช่น
ระบาส่ีบท ระบาย่องหงดิ ระบาดาวดงึ ส์ ระบา
กฤษดาภนิ ิหาร ระบาเทพบันเทิง ซ่ึงระบาเหล่าน้ี
เป็นระบาทม่ี ที ่าราพิถพี ถิ นั เพราะแต่งกายเปน็
เทวดานางฟ้า เสมอื นวา่ ผนู้ าไม่ใช่มนษุ ย์ธรรมดา
จึงได้ชอื่ ว่า ระบามาตรฐาน
ประเภทของระบาจัดเปน็ 3 ประเภท
2. ระบาเบ็ดเตล็ด หมายถงึ การแสดงที่มี
การแตง่ กายตามรปู ลักษณข์ องการแสดงนน้ั
หรอื การแสดงเฉพาะทอ้ งถ่นิ เชน่ ระบากนิ รี
ร่อน ระบาชุมนุมเผา่ ไทย ระบาสตั วต์ ่างๆ
ระบามิตรสมั พนั ธ์กบั ประเทศต่างๆ
ประเภทของระบาจัดเป็น 3 ประเภท
3. ระบาพน้ื เมอื ง หมายถึง ศิลปะการแสดงที่
สะทอ้ นใหเ้ หน็ ภาพความเปน็ อยู่ วิถีชวี ติ ค่านิยม
ความเช่อื ขนมธรรมเนียมประเพณี สภาพเศรษฐกจิ
สงั คม ของแตล่ ะท้องถิน่ ซ่ึงมคี วามหมายแตกต่างกัน
ออกไป ตามลกั ษณะภมู ิประเทศ สามารถบ่งบอก
เอกลักษณ์ได้อยา่ งชัดเจน ในปัจจบุ ัน มีการปรับปรงุ
เพ่ือให้เหมาะกับการแสดงบนเวที ลักษณะระบา
พืน้ เมอื ง 4 ภาค ดังน้ี
ภาคเหนือ
ภาคเหนอื มลี กั ษณะโดยรวม เนน้ ให้เห็นถึง
ความอ่อนช้อย น่มุ นวล ทว่ งทานองเพลงและ
จงั หวะค่อนข้างช้า ตามลักษณะภูมภิ าค ซค่งมี
บรรยากาศอบอนุ่ การเคลือ่ นไหวสมา่ เสมอ กา้ ว
เท้าไปเรื่อยๆ มอื เปลย่ี นไปเร่อื ยๆ เชน่ ฟ้อนเงีย้ ว
ฟอ้ นสาวไหม ฟอ้ นเล็บ ฟอ้ นเทยี น และระบาเกบ็
ใบชา เปน็ ต้น
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ภมู ิประเทศ
เป็นท่รี าบสงู อากาศรอ้ น การดาเนนิ ชีวติ
ตอ้ งรวดเรว็ การแสดงจึงเน้น ความ
สนกุ สนาน ดนตรีมีจงั หวะเร้าใจ
เคล่อื นไหวดว้ ยสะโพก และทุกส่วนของ
ร่างกาย เชน่ การเซง้ิ ตา่ งๆ เซง้ิ สวิง และ
ฟ้อนภูไท เปน็ ต้น
ภาคกลาง
ภาคกลาง ภูมิประเทศเปน็ ทีร่ าบลุ่ม
ใกลแ้ มน่ ้า การแสดงส่วนใหญ่ แสดงตาม
ฤดกู าลตา่ งๆ และสะท้อนภาพความเปน็ อยู่
เชน่ ราเกี่ยวขา้ ว ราเหย่อย รากลองยาว
ภาคใต้
ภาคใต้ ภมู ปิ ระเทศอยู่ใกลท้ ะเล มีภเู ขา
ปา่ ไม้ การแสดงเนน้ จงั หวะหนกั ชดั เจน
กระชบั เชน่ โนรา หนงั ตะลุง และจากที่
ไดร้ บั อิทธพิ ลจากประเทศเพอื่ นบา้ น จงึ มี
การแสดงทต่ี า่ งออกไป ซึง่ เนน้ จงั หวะการ
เตน้ เชน่ รองเง็ง ตารกี ปี สั หรอื การ
แสดงในลักษณะศิลปาชีพ เปน็ ตน้
ละคร
ละคร มบี ทบาทในชวี ิตมนุษย์มาแตโ่ บราณ นับแต่มนุษยเ์ รม่ิ พฒั นาการขนั้ พ้นื ฐานเร่มิ รจู้ กั
แสดงออกดว้ ยทา่ ทางการเคล่ือนไหว น้าเสยี ง เรมิ่ เหน็ ความสาคญั ของการอยู่เป็นหม่เู หลา่
อริสโตเตลิ้ กลา่ วว่า สัญชาตญิ าณหรือ ความสามารถพเิ ศษในการเลยี นแบบมนุษย์ ซ่งึ เขาถอื วา่
เปน็ บอ่ เกิดของละครไว้ในหนงั สือเร่อื ง politics เป็นใจความวา่ มนุษยม์ สี ัญชาตญาณเลียนแบบ
มาแตก่ าเนิด ซงึ่ ทาใหม้ นุษย์มีความเปน็ เลศิ เหนอื สัตว์ทัง้ ปวง และสามารถเรียนรู้ส่ิงต่างๆ ในชวี ิต
ได้ ฉะนั้นมนษุ ย์ จงึ มคี วามช่นื ชมในผลงานทเี่ กิดขึ้นจากความสามารถในการเลียนแบบน้ี
ละคร
นอกจากมนษุ ยจ์ ะมีความสามารถสงู ในการเลยี นแบบ
แล้ว มนษุ ยจ์ ะชอบแสดงออก เชน่ ในสมัยก่อน
ประวัตศิ าสตร์มนุษย์กส็ ามารถนาความสามารถในการ
แสดงออกไปใช้ประโยชน์ในการดารงชีวิตหลายประการ
เช่น
1. ใชป้ ระโยชนใ์ นการเล่าเรอ่ื งแทนภาษาพดู ทีย่ งั ไม่
สมบรู ณ์
2. ใชใ้ นพธิ ศี กั ด์ิสิทธิต์ ่างๆ เพ่ือสร้างขวัญและกาลังใจ
3. ใช้ในการแสดงอารมณเ์ พือ่ เฉลมิ ฉลองและยกยอ่ ง
ความหมายของละคร ความหมายของละคร ศิลปะการละคร
เปน็ คาท่มี ีความหมายกวา้ งและได้รวมเอา
ศลิ ปะการแสดงประเภทต่างๆ ผสมผสาน
เข้าด้วยกนั ซึ่งนยิ ามของละครนัน้ สรปุ ได้
วา่ ละคร คอื การแสดงรูปแบบหนึ่งเปน็
รปู ธรรม มเี รอ่ื งราวท่ีชัดเจนสามารถสอ่ื ให้
ผู้รับชมเข้าใจและเขา้ ถึงความหมายที่
ต้องการจะบอก เพ่อื ให้คนดูเกิดการ
เปล่ยี นแปลงทางความคดิ และพฤติกรรม
ในทางทดี่ ขี น้ึ กบั ชวี ิตและสังคมของตน
คณุ ค่าและความสาคญั ของละคร
ละครถอื ได้วา่ มีความสาคญั ตง้ั แตอ่ ดีต โดย
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หัว ได้นาเอาละครมา
ใชส้ ่ือ เพอ่ื สรา้ งคา่ นิยมเผยแพรแ่ นวคิดที่มีประโยชนใ์ ห้
ประชาชนไดช้ ม ในสมยั จอมพล ป. พิบูลสงครามไดส้ ง่ เสริม
และสนบั สนนุ การใช้สื่อ ละคร เพ่อื เป็นเคร่ืองมอื สรา้ งชาติ
และแทรกแนวคิดชาตนิ ิยม จึงมีอทิ ธิพลตอ่ การสร้าง
วัฒนธรรมชาตนิ ิยม และยังสบื ทอดมาถึงปจั จุบัน คอื เพลง
ปลกุ ใจ และสานวนต่างๆ ในบทละครตลอดจน
แนวความคดิ ในการทาละครองิ ประวัตศิ าสตร์ในปจั จบุ นั
คณุ คา่ และความสาคญั ของละคร
คณุ ค่าและประโยชนข์ องละคร คอื ทาให้เกดิ ความบนั เทงิ เพลดิ เพลิน สนุกสนาน คลาย
เครียด มีความสขุ สมองแจม่ ใส จิตใจรา่ เริง และช่วยใหค้ วามร่นื รมยแ์ กผ่ ูช้ ม ในแงค่ ดิ ดา้ น
ต่างๆ ในการดาเนินชวี ติ จะเห็นไดว้ า่ ละครเป็นการรวมศิลปะหลายแขนงเข้าดว้ ยกัน นับต้งั แต่
ศลิ ปะการประชาสัมพันธก์ ารแสดง การกากบั การแสดง การออกแบบสรา้ งฉากและเคร่ืองแต่ง
กาย การออกแบบและจดั แสง ศลิ ปะด้านดนตรกี ารร่ายรา หรือการเตน้ ราตามแต่ลกั ษณะของ
ละคร ลักษณะทีข่ าดไมไ่ ดข้ องศิลปะการละคร คือ การสื่อสารกนั ในระดับความรสู้ ึก ซง่ึ ยากตอ่
การตคี วามวเิ คราะห์ และถ่ายทอดด้วยภาสอนเพราะมนั เป็นภาษาที่เกิดขน้ึ ในปจั เจกแจง้ ต่อหน้า
ต่อตา สัมพันธใ์ นทนั ที ของกระบวนการความสัมพันธ์ของมนุษย์ ผดู้ ู ผแู้ สดงโดยไมม่ ีสอ่ื ใดขวาง
กัน้
ประเภทของละคร
ละครเปน็ สงิ่ ทีม่ นุษยส์ ร้างขน้ึ มรี ูปแบบการเล่นหรอื
การแสดงทม่ี ีลักษณะเป็นข้นั ตอน กระบวนการ เพ่อื
สื่อสารให้มนษุ ยด์ ว้ ยกันเองรับรูเ้ รื่องราวความเป็นไปที่
เกี่ยวข้องกบั เทพเจา้ มนุษย์ สังคม ประวัติศาสตร์
วฒั นธรรม ความเชอ่ื ค่านิยม โดยผ่านการแสดงหรือ
การกระทาของผู้แสดงขณะเดยี วกนั ก็สอดแทรกความ
สนุกสนานเพลดิ เพลนิ ให้แกผ่ ูช้ มไปด้วย ซ่ึงแบ่ง
ประเภทละครไวด้ งั น้ี
ประเภทของละคร
1. ละครรา คอื ละครท่ใี ชศ้ ลิ ปะการรา่ ยรา ในการดาเนินเร่อื ง แบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ
1.1 ละครแบบด้งั เดมิ หรอื ละครมาตรฐาน เป็นละครที่เกิดข้ึนมานานและเปน็ แบบแผนในการพฒั นา
ไปสู่ละครยคุ ตอ่ มา มี 3 ชนิด คอื ละครชาตรี ละครนอก ละครใน
1.2 ละครท่ปี รบั ปรุงข้ึนใหมเ่ ปน็ ละครท่ปี รับปรงุ ขนึ้ มาภายหลังสว่ นใหญจ่ ะเกิดในสมัยรชั กาลที่ 5 และ
รชั กาลท่ี 6 รอรบั อทิ ธพิ ลจากตะวันตก มี 3 ชนิด คือ
- ละครดกึ ดาบรรพ์
- ละครพันทาง
- ละครเสภา
ประเภทของละคร
2. ละครร้อง คือ ละครทีใ่ ช้ศิลปะการรอ้ งดาเนนิ เรือ่ งเปน็ ละครแบบใหม่ ทไี่ ดร้ ับอทิ ธิพลมาจากตะวนั ตก มี
2 ชนิด คอื
2.1 ละครร้องสลบั พูดมที ้งั บทร้องและบทพดู เช่น เร่อื งต๊กุ ตายอดรักและภารตะ
2.2 ละครรอ้ งล้วนๆ ดาเนนิ เรือ่ งด้วยการร้องเพลงล้วนๆ ไมม่ ีบทพูดแทรก เช่น เร่ืองสาวติ รี สาวเครือ
ฟา้ ละครรอ้ ง เป็นละครของเอกชนทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายหลงั การเปลีย่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดยปรับปรุงจาก
เพลงไทยเดมิ ทานองเล่อื นมาเปน็ เพลงไทยสากล ไมม่ ีทานองเลือ่ นบรรเลงดว้ ยวงดนตรีสากล
ประเภทของละคร
3. ละครสังคีต ดาเนินเรื่องดว้ ยการร้อง
และพูด มีความสาคัญเทา่ กัน ตัดอย่างใด
อยา่ งหนงึ่ ออกไมไ่ ด้ จะทาให้เนื้อหาขาดไป
เชน่ เรื่องววิ าหพ์ ระสมุทร วงั ตี ในรัชกาลที่
5 ดาเนินเร่ืองดว้ ยการพดู ลว้ นกริ ยิ าท่าทาง
อย่างธรรมชาติ
ประเภทของละคร
4. ละครเวที คือ รูปแบบหนงึ่ ของการแสดงสด
ประพันธโ์ ดยนักเขียนบทละคร เป็นรุปแบบของวรรณกรรม
โดยมักจะมบี ทพูดกันระหวา่ งตวั ละคร ซง่ึ มีลกั ษณะการแสดง
มากกว่าการอ่าน คาดกนั วา่ ละครเวที มตี ั้งแต่สมยั กรกี
อริสโตเตลิ บนั ทึกไว้ว่า ละครของกรกี เรมิ่ ตน้ ข้ึนจากการกลา่ ว
คาบชู าเทพเจ้า ไดโอนซี สุ เทพเจ้าแห่งไวนแ์ ละความอุดม
สมบรู ณ์ จุดเด่นของละครเวที คอื การสอ่ื สารระหว่างผชู้ ม
กบั นกั แสดง ซง่ึ จะเกดิ ขน้ึ ไปพรอ้ มๆกัน
โขน
โขน เป็นศลิ ปะโบราณของไทย มีมาตงั้ แต่ราวพทุ ธศตวรรษ
ท่ี 20 โดยถือกาเนดิ มาจากการแสดง ชกั นาคดึกดาบรรพ์ หนัง
ใหญแ่ ละการเลน่ กระบี่กระบอง แต่เดิมผแู้ สดงทุกตัวสวมหัวโขน
เป็นหนา้ กากปดิ หน้าหมดทั้งหน้า ในการเล่นโขน จงึ ต้องมีผอู้ อก
เสียงแทนผแู้ สดง เรียกว่า คนพากย์เจรจา ผแู้ สดงตอ้ งทาทา่
เตน้ รา ทาอริยบทไปตามคาพากยค์ าเจรจา และบทขบั ร้องและ
ตอ่ มาการเล่นโขนไดว้ วิ ฒั นาการใหผ้ ู้แสดงเปน็ มนษุ ยช์ ายหญิง
เทวดา นางฟา้ สวมแต่งเครื่องประดับศรีษะ ไม่ใช้หน้ากากปิด
หน้าอยา่ งผู้แสดงตัวยกั ษแ์ ละลิง ก็ยังนิยมใหผ้ พู้ ากยเ์ ปน็ คนออก
เสียงแทนผู้แสดงอยูอ่ ยา่ งเดมิ เรือ่ งทแี่ สดงคือ รามเกียรต์ิ ใช้วงปี่
พาทยบ์ รรเลงประกอบการแสดง