ความสุขของกะทิ
" อัจฉริยะไม่ได้มีมาแต่กำ เนิด แต่เกิดจากการเรียนรู้และฝึกฝน ลาสซโล โปลการ์ (Laszlo Polgar) "
สมุดเล่มเล็กเล่มนี้จัดทำ ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาภษา ไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ เพื่อให้ ได้ศึกษาหาความรู้ใน หนังสือนอกเวลา เรื่อง ความสุขบองกะทิ และได้ศึกษาอย่าง เข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กั น์ กั บการเรียน ผู้จัดทำ หวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประ โยชน์กั น์ กั บผู้อ่าน หรือ นักเรียน นักศึกษา ที่กำ ลัง หาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำ หรือข้อผิดพลาดประการ ใด ผู้จัดทำ ขอน้อ น้ มรับไว้และขอ อภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ผู้จัดทำ กันตวิชญ์ ชูดำ เลขที่ 1 ธนโชติ ศรีถะภูมิ เลขที่ 9 ม.1/11 วันที่ 10 ก.พ. 2566 คำ นำ
บ้านริมคลอง กระทะกับตะหลิว ปิ่นโต กะละมังกับไม้หนึบผ้า เรืออีแปะ ศาลาริมน้ำ โอ่งและอ่าง กระต่ายขูดมะพร้าว ไม้ขัดหม้อ กระถางธูป สารบัญ เรื่อง หน้า น้ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
บ้ า น ช า ย ท ะ เ ล ห า ง น ก ยู ง ปู ล ม ผั ก บุ้ ง ท ะ เ ล แ ม ง ก ะ พ รุ น ลั่ น ท ม ปึ่ ง ต้ น ส น จั ก จั่ น พ ยั บ ห ม อ ก บ้ า น ก ล า ง เ มื อ ง พ ว ง กุ ญ แ จ ลิ้ น ซั ก ก ร ะ เ ป๋ า ป๋ เ ดิ น ท า ง ก ร ะ จ ก เ ง า ดิ น ส อ สี ชิ ง ช้ า ตู้ ไ ป ร ษ ณี ย์ บ้ า น ท ร ง ไ ท ย บ ท ส่ ง ท้ า ย เ รื่ อ ง ห น้ า น้ 1 1 1 2 1 3 1 4 1 5 1 6 1 7 1 8 1 9 2 0212223242526272829303132
" บ้านริมคลอง " 1
กระทะกับตะหลิว 2
"แม่ไม่เคยสัญญาว่าจะกลับมา " เสียงกระทะกับตะหลิวปลุกกะทิให้ตื่นขึ้นเหมือนวันก่อนๆ ที่จริงแล้วกลิ่นหอมกรุ่นๆ ของข้าวสุกก็มีส่วนด้วย รวมทั้ง กลิ่นควันจากเตาและกลิ่นไข่ทอด แต่เสียงตะหลิวเดาะ กระทะต่างหากที่ดึงกะทิให้พ้นจากภวังค์นิทราและภาพฝัน สู่วันใหม่ กะทิไม่เคยใช้เวลาล้างหน้า น้ แต่งตัวนาน ตาล้อบ่อยๆ ว่าวิ่งผ่านน้ำ เสร็จแล้วหรือ ยายหันมามองเมื่อกะทิเข้ามาในควัว ยายไม่เคยยิ้มตอบหรือทักทาย ตาบอกว่ายิ้มของยายมีน้อ น้ ย ต้องสงวนเอาไว้อัดกระป๋อ ป๋ งส่งออกไปขายต่างประเทศ กะทิดดข้าวใส่ข้น สีขาวๆ ของข้าวสวยเข้ากันดีกับ อากาศสดชื่นยามเช้าแบบนี้ ไออุ่นจากขันข้าวในอ้อมแขน แผ่ซ่านทั่วทั้งอกและใจที่รัวจังหวะกระชั้นขึ้นเมื่อกะทิออกวิ่ง ไปท่าน้ำ ตานั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่แล้วกับถาดอาหาร เหมือนเคย ไม่นานเสียงพายกระทบน้ำ ก็ดังขึ้น พร้อมกับ ที่หัวเรือพันคุ้งน้ำ ออกมาให้เห็น สีจีวรของหลวงลุงเพิ่มความ สดใสให้บรรยากาศ พี่ทองลูกศิษย์ยิงฟันขาวมาแต่ไกล ตาบอกว่าพี่ทองน่าไปอยู่คณะตลกชวนยิ้ม ยิ้มของพี่ทอง เหมือนโรคติดต่อ ยิ้มที่ส่งมาจากหัวใจระรื่น ต่อสายตรง ถึงปากและแววตา แผ่รัศมีเป็นคลื่นรอบๆ เหมือนเวลาโยน ก้อนหินลงในน้ำ จนคนรอบข้างรู้สึกได้ ตากรวดน้ำ ใต้ต้นโพใหญ่ กะทิอนุโ นุ มทนาบุญกับตา และอธิษฐานอยู่ในใจ สำ รับกับข้าวรออยู่แล้ว มื้อใหญ่แบบนี้ทุกเช้า ตาจะ ยึดผักต้มกับน้ำ พริกเป็นหลัก ผัดผักกับปลาทอดเป็นของ กะทิเกือบคนเดียว ตาเลี่ยงของทอดน้ำ มันทุกชนิด ตาบ่น ลับหลังยายว่า อาหารของยายเหมือนทาเชลแล็ก สักวัน จะเอากระทะกับตะหลิวของยายไปบริจาคกองทัพหลอมทำ ปืนใหญ่กู้ชาติ ถ้ายายได้ยินก็จะปิ้งปัง และวันนั้นเสียง ตะหลิวเคาะกระทะของยายก็จะดังลั่นสะท้านสะเทือนและถี่ กระแทก จนน่าแปลกใจที่กระทะยังอยู่ดีและทำ หน้า น้ ที่เช่นเดิม ได้ในวันต่อมา
ปิ่นโต 3
"กะทิรอแม่ทุกวัน " ปิ่นโตเป็นของรักของกะทิ ขนาดกะทัดรัด น้ำ หนักเบา ยายรู้ขนาดกระเพาะของกะทิ ไม่อยากเห็นของเหลือกลับมา บูดเสีย จึงจัดข้าวให้กินอิ่มพอดี ตาเลยเรียกปิ่นโตว่า อาหาร มือถือ เพราะสะดวกพกพา ส่วนรายการอาหารก็ไม่หนี ไข่ตาวกับไก่ผัดกะเพรารสเด็ด ไข่พะโส้สีน้ำ ตาลเข้มเข้าน้ำ เข้าเนื้อเพร ราะทิ้งไว้ข้ามคืน ไข่ลูกเขยฉ่ำ น้ำ ข้นเหนียว ไข่ตุ๋น เนื้อเนียนสนิท ไข่นกกระทาชุบแป้ง ป้ ทอด ตาเรียกกะทิว่า "ตัวกินไข่" เมื่อรู้จากยายว่าถ้ารายการอาหารเป็นไข่ ไม่ต้อง ชวน กะทิก็ชิมจนหมดทุกครั้ง รถสองแถววิ่งผ่านปากทางเข้าบ้าน ตาขี่จักรยานพา กะทิไปรอขึ้นรถ กะทิชอบกอดเอวตาแน่นๆ ชอบกลิ่น โคโลญตราเรือใบหอมๆ ของตา ชอบลมอ่อนๆ ที่พัดมาไส่ เหงื่อขึ้นให้แห้งหายไป เด็กๆอัดแน่นมาเต็มรถแล้ว เพราะ โรงเรียนอยู่อีกไม่ไกล ตาส่งเสียงให้ผู้โดยสารขยับที่ให้กะทิ แล้วร้องสั่งให้ลุงหล่อคนขับออกรถช้าๆ อย่ากระซาก กระชั้น ไปโรงเรียน ไม่ใช่ไปกองถ่ายหนัง อย่าเทกระจาดล่ะ ตาสั่ง ลุงหล่อได้แต่หัวเราะแทนคำ ตอบ เด็กๆเอาปิ่นโตไปวางเรียงในโรงอาหารก่อนเอากระเป๋า ป๋ หนังสือไปเก็บในห้องเรียน ปิ่นโตเล็กใหญ่สูงต่ำ ต่างสี มัน คงจะคุยกันว่าวันนี้บรรจุอะไรไว้ข้างใน รสเด็ตเผ็ดมันแค่ไหน ผู้ปรุงเป็นใดร คดข้าวใส่มาด้วยรักหรือด้วยหน้า น้ ที่ มีแต่ของ เย็นชีดค้างคืนใส่มาพอให้เจ้าของอิ่มท้อง หรือมีของอร่อย สุดฝีมือเพราะเป็นเจ้าตำ รับรสเด็ดจนตักขายแทบไม่ทัน ในตลาด บางเถามีคราบจากวันวานที่ล้างไม่หมด มีมดไข่ตอม หรือไม่ก็มีรอยกะเทาะ เพราะตกทอดกันมาหลายมือเต็มที่ ตบท้ายคงไม่พ้นส่งเสียงกระซิบกระชาบกันว่า คอยดูนะ เที่ยงนี้ปิ่นโตหรูเถานั้นต้องมา "อวดแสดง" ตามเคย *หรู" คือตนถือปิ่นโตที่มาในชุดเครื่องแบบราวกับ สาวใช้ประจำ จวนข้าหลวง "หรู" คือรถเก่งติดแอร์ที่ชับมา เทียบหน้า น้โรงเรียน และ "หรู" สุด ๆ คือลวดลายบนปิ่นโต ที่เปิดออกก็จะเป็นข้าวสวยร้อนๆ แกงจืดควันกรุ่น และ อาหารนานาชาติที่ปั่นโตอื่นไม่อาจรู้ได้ เพราะไม่เคยมีโอกาส ได้เสวนากับปิ่นโตหรูสักครั้ง ปิ่นโตหรูมาถึงโรงอาหารก่อน พักเที่ยงเพียงชั่วอึดใจ และจากไปแทบจะพร้อมๆกับการเริ่ม เรียนภาดบ่าย เสียงริ่งสัญญาณพักเที่ยงตังก้องกังวาน กะทิวิ่งแช่ง ลงบันไดมากับเพื่อนๆ สวนกับพี่ทองที่หน้า น้ ห้องพักครู พี่ทอง ยิ้มให้ก่อนจ จะแยกตัวกลับไปวัด พี่ทองบอกว่าทุกกลางวัน มีอาหารบุฟเฟต์รออยู่ ตอนเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน กะทิล้างปิ่นโตและวางคว่ำ ไร้ที่อ่างในครัว ต่ำ ๆต่อยมาเช็ตให้สะอาดอีกที แล้วยกไปวาง ข้างเตาใกล้มือยายตอนเช้า ในยามค่ำ คืน ปิ่นโตคงถามเตาไฟ แก้เหงาว่า วันที่ผ่านมายายทำ อะไรบ้างนอกจากโมโหตา
กะละมังกับไม้หนีบผ้า 4
"ในบ้านไม่มีรูปถ่ายแม่เลย " กะละมังบอกให้รู้ว่ายายอยู่ตรงส่วนไหนของบ้าน กะทิมี หน้า น้ ที่เก็บผ้าจากราวใส่กะละมังให้ยาย ทำ มาตั้งแต่เอื้อมมือ ไม่ถึงไม้หนึบผ้าบนราว ตาเลยประดิษฐ์บันไดติดล้อพร้อม ตะแกรงสำ หรับวางกะละมังใส่ผ้า ตาจะเข็นบันไดพากะทิ เคลื่อนที่ซ้ำ าๆ ไประหว่างราวตากผ้า ลมพัดฉิว เสื้อผ้าโบก สะบัดตามแรงลม กระพือจนโป่ง ป่ พองอยู่กับที่เพราะถูก ไม้หนีบผ้าหลากสียึดไว้ เหมือนนกขยับปีก แต่ไม่อาจโบยบิน ไปได้อย่างใจปรารถนา ที่จริงไม้หนีบผ้าเมื่อตอนซื้อมาก็เป็นไม้หนีบผ้าทำ กะทิเองที่เอามาลงสีเทียนบ้าง สีไม้บ้าง สีน้ำ บ้าง ตามถนัดในแต่ละวัย ตาชอบคุยว่าสมัยหนุ่ม นุ่ ๆ เคยเป็นครูสอนศิลปะเด็ก สีหน้า น้ประหลาดใจของยายยิ่ง ทำ ให้ตาขยายความในรายละเอียดว่าด้วยเรื่องแม่สี สีร้อน สีเย็น ตู่สี ตบท้ายด้วยการหยิบฉวยวัสดุใกล้มือมาสาธิต วันนั้นบังเอิญไม้หนีบผ้าอยู่ในรัศมืมือของตาเอื้อมถึงพอดี บันไดติดล้อยังบอกให้รู้ถึงความสูงของกะทิ เดี่ยวนี้ กะทิแด่ก้าวขึ้นบันไดขั้นเดียวก็พอแล้ว แต่กะทิชอบให้ตัวเอง สูงพันขึ้นมาเหนือราวตากผ้า เพลงระบำ ของผ้าในแรงลม ไม่เคยซ้ำ ลีลา กะทิจะวางท่าเหมือนวาทยกรกำ กับบทเพลง แบบเดียวกับมิกกี้มาส์ใน แฟนเตเชีย บางครั้งกว่าจะเก็บผ้า หมดราว ตวงอาทิตย์ก็คล้อยต่ำ มากแล้ว ในห้องอเนกประสงค์ของยาย หรือที่ตาเรียกออฟฟิศ ของยาย จะมีกะละมังวางเข้าแถวไว้ กะทิต้องแยกผ้าที่เก็บ มาใส่ลงในกะละมังให้ถูกต้อง เสื้อผ้าของตา ของยาย ของ กะทิเอง แยกคนละใบ ผ้าปูที่นอนปลอกหมอนอีกใบ ผ้า เช็ดชาม ผ้าเช็ดปาก ผ้าที่ใช้ทำ ความ มสะอาดหรือ "ผ้าขี้เหร่" อย่างที่ตาเรียก ก็ต้องแยกไว้ นอกจากเห ตุผลในเรื่องความ สะอาด (ซึ่งเกินพอดีในความเห็นของตาแล้ว) ยังเพื่อความ สะดวกในการเข้ากำ กับดูแลให้พี่สดับรีดอีกด้วย ยายจะเข้า มาตรวจดูและขยับกะละมังเรียงลำ ดับหนึ่งสองสามก่อนหลัง ตามความต้องการ กะละมังใส่เสื้อผ้าชุดนักเรียนของกะทิ อยู่หัวแถวเสมอ เพราะต้องใส่หมุนเวียนกันไป เสียงฝนสาดซ่ากระทบหลังคาชวนฟังมากขึ้นเมื่อมี เสียงเปาะแปะกระทบกะละมังที่ใครคง อลืมไว้นอกชายคา แทรกผสมเข้ามา กะทินอนฟังเพลิน แต่จะเริ่มสะดุ้ง หากเสียงรัวกราวพ่ายต่อเสียงครั่นครื้นของฟ้า ฟ้ เสียงสายฟ้า ฟ้ ฟาดเหมือนตามมาด้วยเสียงคนกรีดร้องปานใจสลายทุกครั้ง ไม่รู้ว่าหูของกะทิแว่วไปเองหรือเสียงนั้นดังมาจากเบื้องลึก ของความทรงจำ นาทีนั้นยายจะเปิดประตูห้องนอนเข้ามา และนอนกอดกะทิไว้จนหลับไปด้วยกันถึงเช้า กะทิเบียด ซุกในอ้อมกอดของยาย ไม่อยากได้ยินเสียงฟ้า ฟ้ เสียงฝน เสียงคน...เสียงผู้หญิงคนนั้น.. ...เนื้อเนียนเย็นของยายหอม อ่อนๆ ยายไม่เล่านิทานปลอบขวัญหรือร้องเพลงกล่อม แต่ ลูบหลังกะทิเบา ๆ สม่ำ เสมอชวนเคลิ้มหลับ ครั้งหนึ่งกะทิ ปรือตาขึ้นดูหน้า น้ ยาย เห็นลูกตาวาวๆ ฟ้า ฟ้ แลบไกลๆ พอมี แสงสว่างให้กะทิแน่ใจว่ายายร้องไห้อยู่ในความมืด
เรืออีแปะ 5
"ไม่เคยมีใครพูดถึงแม่" ตาหาซื้อเรืออีแปะหรือที่ชาวบ้านในละแวกเรียกเรือป๊า ป๊ บมาไว้ พายเที่ยวเล่นในทุ่งหน้า น้ น้ำ ตาบอกว่าเป็นการปลีกวิเวก พ้นจากมลพิษทางเสียง (ของยาย กะทิกับตาจะไปกันสองคน ออกเดินทางกันตอนสายๆ ตาพายเรือสบายๆผ่านมาในคลอง ที่สองข้างทางมีไม้ผลให้เห็น เช่น มะม่วง ชมพู่ ต้นโสน ที่ชอบขึ้นริมน้ำ บ้าง ตาไม่หยุดแวะพัก แต่ร้องทักทาย ทุกคนที่เห็น ลุงสนกำ ลังทอดแหอยู่ที่ท่น้ำ หน้า น้ บ้าน ท่าทางจะได้ปลาตะเพียนหลายตัว ตาบอกว่าขากลับจะแวะ ขอปันไปให้ยายแช่น้ำ ปลาทอดกรอบเป็นอาหารเย็นให้กะทิ เรือพ้นจากคลองร่มครึ้มสูทุ่งกว้างสุดสายตา น้ำ ปริ่ม ต้องลมอ่อนเป็นริ้วระลอกน้อ น้ ยๆ ทุ่งนาสีเขียวสดเห็นอยู่ไกลๆ ตาลอยเรือกลางทุ่ง แล้วลงมือถอนสายบัว เป็นบัวผัน ไม่ใช่บัวเผื่อนที่รสเฝือนขม บัวผันใบกลมไม่มี ต้องดูให้ดีว่า แฉก ดอกสีเหลืองจัด สายบัวกรอบสดจิ้มน้ำ พริกที่ยายห่อ ใบบัวมาพร้อมข้าวใหม่ จะเป็นอาหารกลางวันมื้ออร่อยทีเดียว กะทิยังนึกสนุก นุ หักสายบัวเป็นข้อๆห้อยคอต่างสายสร้อยด้วย บางทีก็จะมีกระจับขึ้นเป็นแพ กะทิชอบกินมากกว่า แห้ว ตาจะเก็บใส่ในเรือเอาไว้กลับไปต้มกินที่บ้าน ที่เห็น แน่ๆทุกครั้งคือผักปอดหรือผักตบ ดอกสีม่วงอ่อนจางดู บอบบาง ถือไว้ในมือไม่นานก็จะสลดหมดสวย ดอกผักบุ้ง สีขาวก็ดูสวยดี ตาบอกว่าถ้าเป็นศิลปิ้นมีฝีมือแบบโมเน่ต์ ก็จะถ่ายทอดลงบนผ้าใบให้สวยหยด ตาจะพายเรืออย่างสบายอารณ์ ไม่นึกกะเกณฑ์ว่า จะต้องออกจากบ้านกี่โมง จอดแวะตรงไหนกี่โมง และกลับ ถึงบ้านกี่โมง ไม่ใช่รายการท่องเที่ยวกับทัวร์ตามตารางรถไฟ ตาบอก แต่เป็นทัวร์ตามอำ เภอใจต่างหาก เรือท้องแบนหัวเรือสั้นๆลำ นี้ ทำ หน้า น้ ที่เป็นพาหนะ ชั้นดี ไม่ก่อมลพิษ เคลื่อนที่แหวกสายน้ำ ใสไปตามแรงของ คนพาย ถ้าผ่านเข้าไปกลางฝูงจิงโจ้น้ำ ก็จะพากันแตกหนี ดูวุ่นวายจ้าละหวั่นดี ตากับกะทิแทบไม่ส่งเสียงพูดกัน ปล่อย ให้เรือกับผืนน้ำ ทักทายกันให้พอ ดวงอา าทิตย์ดูไกลอยู่บนฟ้า ฟ้ ทั้งๆที่เริ่มทอแสงแรง แต่น้ำ รอบกายทั่วทั้งทุ่งราวเกราะแก้ว กางกั้นไอร้อน นาทีราวหยุดนิ่ง น้ำ กับฟ้า ฟ้ ลมกับตะวัน คือกรอบภาพที่มีเรือลำ หนึ่งปรากฎอยู่ตรงกลาง รือย่อมมุ่งหน้า น้ไปอย่างไม่ถึงจดหมายไม่ได้ แม้การ เดินทางจะชวนหฤหรรษ์เพียงใดก็ตาม
ศาลาริมน้ำ 6
"กะทิจำ หน้า น้ แม่ไม่ได้แล้ว" จุดหมายที่ตาเลือกตามเสียงบงการจากกระเพาะคือ ศาลา ริมน้ำ ใต้ต้นก้ามปูใหญ่ ที่จริงก็เกือบจะเป็นจุดพักทุก ครั้ง ของการเที่ยวทุ่ง เพราะอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม ต้น ก้ามปู ขึ้นโดดเดี่ยวอยู่ริมทุ่ง เรือนยอดแผ่กว้างอย่างอิสระจน ได้ รูปสวย ทอดเงาลงเหมาะเจาะบนหลังดาผุพังของศาลา ริมน้ำ หลังนี้ ที่น่าจะเก่าแก่พอดู ไม้กระดานแผ่นหนายังทำ หน้า น้ ที่ ได้ดี ส่งเสียงเอียดออดตามก้าวย่างของตากับกะทิ ฟัง เหมือน เสียงทักทายจากผู้สูงวัยยามดีใจที่มีผู้มาเยี่ยมเยือน แสงแดตอ่อนจางทอลอดผ่านกิ่งก้านใบของต้นก้ามปู กพื้นเตี้ยๆที่ตาเอา ทะลุรูโหว่บนหลังคา ตกกระทบลงบนยก ผ้าขาวม้าปัดพอเป็นพิธีและปรองนั่ง กะทิเปิดตะกร้าที่ ยาย เตรียมมา น้ำ พริกลงเรือ ปลาดุกฟู หมูหวาน ไข่เค็ม คลุกเคล้ากันแล้วเคี้ยวหายๆ ตาพึมพำ ว่ารักยายก็ตรงนี้เอง ยังไม่ทันจะหนังตาเริ่มหย่อน ก็มีเสียงร้องเรียกดัง มาไกลๆ เรือหลายลำ มุ่งหน้า น้ มา ผู้ใหญ่บุญพาลูกบ้านมาหาตา ไม่นัดก็เหมือนนัดกัน ทุกคนเกรงใจตา แต่ตาเป็นที่พึ่ง ของ หลายคนในยามยาก พี่ทองมากับคณะด้วย บุ้ยใบ้ให้กะทิ ลุกไปหา ผู้ใหญ่จะคุยกัน แต่กะทิชอบฟังตอนผู้ใหญ่ บุญ เกริ่นนำ พูดเหมือนกันได้ทุกครั้ง หมู่บ้านริมคลองโชคดีจริงๆ ที่ตาเกษียณจากงานใน กรุงเทพฯแล้วเลือกกลับมาอยู่ที่บ้านหลังเดิมของทวดที่ ปิดร้าง มานาน ตาร่ำ เรียนจากเมืองนอกเมืองนา เป็นนัก กฎหมาย มือหนึ่ง เป็นที่ยอมรับทั่วบ้านทั่วเมือง ทำ เงินเป็นถุงเป็นถัง ช่วยเหลือคนมามาก หากไม่ได้ตา ชาวบ้านคงถูกเอาเปรียบ ที่ดินทำ กินขอ องบรรพบุรุษคง...ตายกมือห้าม ถามเรียบๆ ว่า จะทำ ขวัญนาคกันหรืออย่างไร ร่ายยาวตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เลยดีไหม เรียกเสียงฮาลั่นทั่วกุ้งน้ำ กะทิเลี่ยงออกมา จังหวะนี้เอง ด้านหลังศาลาเป็นบันไดทอดลงน้ำ กะทินั่งห้อยขา เอาเท้าแช่น้ำ เล่น พี่ทองไม่เคยอยู่นิ่ง มีของเล่นลอยน้ำ ทำ เองมาฝากกะทิ กาบมะพร้าวธรรมตาๆนี่เอง เอาใบไม้ มาเสียบต่างใบเรือ แล้วลอยแข่งกัน วักน้ำ ใส่เร่ง ความเร็ว ถ้าลอยไปไกลจากศาลาจนไม้เขี่ยไม่ถึง พี่ทองก็จะว่าย น้ำ ไป เอามาให้ พี่ทองว่ายน้ำ แข็ง ดำ น้ำ ได้นานๆ ถ้าเปรียบพี่ ทอง เป็นปลา ก็นึกไม่ออกว่าเป็นปลาอะไรดี ที่เห็นฟันขาว ก่อน อย่างอื่นตอนโผล่พันน้ำ ขึ้นมา เหนื่อยแล้วก็จะนั่งพักกัน พี่ทองชอบถามถึงหนังสือ ที่กะทิกำ ลังอ่านหรือเพิ่งอ่านจบไป พี่ทองบอกว่า เวลา อ่านอง ทำ ไมไม่เห็นสนุก นุ เหมือนฟังกะทิเล่าเลย นานทีเดียวกว่าคณะจะจากไป ตะวันคล้อยมากแล้ว เมื่อกะทิเดินเข้าไปในศาลา ตากำ ลังพับจดหมายใส่ซอง สีหน้า น้ ของตาขณะมองตรงมาที่กะทิดูเหนื่อยล้าและโรย แรง ไม่ต่างจากศาลาริมน้ำ หลังนี้ ที่ผ่านแตด ผ่านฝน ผ่าน โลก มานานจนทุกอณูเนื้อไม้อาบอิ่มด้วยอดีต และไม่ ปรารถนาใด ในอนาคตอีกแล้ว
โอ่งและอ่าง 7
"กะทิอยากให้แม่ไปรับที่โรงเรียนบ้าง" หนังสือเล่มหนึ่งที่กะทิอ่านได้ไม่รู้เบื่อ ชื่อบ้านที่มีพ่อหกสิบคน เป็นเรื่องการผจญภัยของเด็กกำ พร้าจากสงครามในเมืองจีน กับหมูอ้วนๆตัวหนึ่งที่เจ้าของตั้งชื่อว่า เจ้าความร่งโรจน์ข น์ อง หมู่บ้าน สุดท้ายทั้งสองได้ไปพบกับนายทหารอเมริกัน เรื่องนี้ถูกใจกะทิ หกสิบคนหลังจากระหกระเหินกันอยู่นาน มาก ตาต้องอ่านให้ฟังจนคอแหบคอแห้งกว่ากะทิจะอ่าน หนังสือได้เอง แล้วกะทิก็ชอบเรียกบ้านริมคลองนี้ว่า บ้าน ที่มีโอ่งสิบเจ็ดใบ ฟังดูเหมือนมีโองหรือตุ่มเกินความจำ เป็น แต่จำ นวน สิบเจ็ดใบมีเหตุผลแอบแฝงอยู่ตรงที่ยายถือเรื่องความสะอาด ใบไหนใส่น้ำ กิน น้ำ ใช้ น้ำ ดื่ม ต้องแยกกันเด็ดขาด ห้าม ปะปน ตาเกาหัวว่ามันจะต่างอะไรกันนักหนา ลงดอ ล้างเท้า ก็เหมือนๆ กัน ยายยืนกรานว่าไม่เหมือน น้ำ กินใส่ในโอ่ง มังกรใบโตตั้งไว้ในครัวสำ หรับใช้ประกอบอาหารอย่างเดียว น้ำ ใช้ใสในตุ่มซีเมนต์อยู่ใต้ถุน เอาไว้ซักผ้าล้างจาน ส่วนน้ำ ดื่ม นั้นพิเศษสุด ตั้งไว้ใต้รางน้ำ ฝน เอาไว้ต้มใส่ขวดดื่มดับ กระหาย ตาบอกว่าน้ำ ประปาก็ไหล ทำ ไมยายต้องชอบ สร้างสรรค์งานในบ้าน โชคดีที่ยายไม่ได้ยิน โอ่งที่กะทิชอบมากที่สุดเป็นโอ่งใบน้อ น้ ยลายมังกร มองดูเป็นของดีมีราคาเกินหน้า น้โอ่งอ่างดินเผาที่มีคนใส่เรือ เอามาขายถึงท่าน้ำ หน้า น้ บ้านบ่อย ๆ โอ่งใบนี้เป็นโอ่งเคลือบ ด้านในสีเขียว ตาบอกว่าสีเขียวไข่กา ด้านนอกเป็นลายมังกร ที่สำ คัญมีฝาปิด ยายใช้ใส่ข้าวสาร รวมน้ำ หนักโอ่งกับ ข้าวสารข้างในแล้ว คงจะเกินความสามารถที่คนคนเดียว จะยกไหวแน่ๆ ตรงเชิงบันไดมีโอ่งใบเล็กๆใส่น้ำ ไว้ล้างเท้าก่อนขึ้นบ้าน ตามทางเดินไปถนนใหญ่ปากทางเข้าบ้านก็ยังมีอ่างบัวที่ตา เลี้ยงเองกับมือ นับไปนับมาก็น่าต้องถึงสิบเจ็ดใบจริงๆ เมื่อหมดหน้า น้ฝนก็จะต้องล้างโอ่งใสน้ำ ดื่มเป็นการใหญ่ เพื่อปิดรอไว้รับน้ำ ฝนปีถัดไป กะทิชอบปืนลงไปเล่นในโอ่ง เนื้อดินข้างในเ เย็นฉ่ำ โอ่งใบใหญ่มีเนื้อที่พอให้กะทิตัวเล็กๆ ลงไปนั่งได้สบาย เป็นที่ช่อนตัวที่มีแต่กะทิรู้อยู่คนเดียว ตาจึงไม่รู้ว่ากะทิได้ยินเสียงของตาพูดกับใครคนหนึ่งทาง โทรศัพท์ว่า "จะให้รอจนโรงเรียนปิดเทอมก่อนหรือ เรามีเวลา มากขนาดนั้นจริงหรือเปล่า"
กระต่ายขูดมะพร้าว 8
"กะทิอยากเห็นแม่หิ้วตะกร้ากลับจากคลาด " "กำ ลังต้องการแรงงานพอดีเลย" ยายร้องทักพี่ทองที่เดินเข้ามาในครัว เมื่อตอนสาย ยายแกงหมูเทโพหม้อโตไปถวายเพล ถือเป็นการทำ บุญ ปีใหม่ ทั้งๆที่ตาท้วงว่าคนแถวนี้จะทำ บุญใหญ่กันตอน สงกรานต์ ยายพูดลอย ๆ ฟังคล้ายๆเผื่อว่าตอนนั้นไม่อยู่ แถวนี้ มีศรัทธาตอนนี้ ใครจะทำ ไม พี่ทองเอาหม้อจากวัดมาส่งคืนอย่างนอบน้อ น้ ม ยาย ชี้มือไปที่กระต่ายขูดมะพร้าวที่มุมครัว มีมะพร้าวผ่าซีกวางรอ อยู่แล้ว พี่ทองคว้ากระต่ายกับกะละมังใส่มะพร้าวได้ก็เดิน พรวด ๆลงไปใต้ถุน เสียงยายร้องตามหลังว่าขูดละเอียดไว้ คลุกขนมต้มขาวสองฝา ที่เหลือจะคั้นกะทิทำ แกงบวด ก่อนหน้า น้ นี้กะทิเดยสงสัยว่าทำ ไมถึงเรียกกระด่าย มองยังไงก็ไม่เห็นเหมือนกระต่ายหูยาวๆ ลงเอยกะทิก็เข้าใจ ว่า คงจะเหมือนตรงแผ่นเหล็กมีซี่เล็กๆ ยื่นออกมาที่เอาไว้ใช้ ขดมะพร้าว มองดีๆเหมือนฟันกระต่าย พี่ทองชำ นาญงานนี้ เห็นจากท่านั่งชันเข่าข้างหนึ่งบนตัวกระต่าย เข่าข้างหนึ่งจดพื้น พี่ทองยิ้มไป มือหมุนกะลาอย่างว่องไว ฟันขาวๆของพี่ทอง กับฟันกระต่ายดูจะมีอะไรคล้ายกันอยู่ มื้อค่ำ ผ่านไปเงียบ ๆ แตกต่างจากความโกลาหลใน ครัวตลอดบ่าย ลมจากแม่น้ำ เย็นบาดเนื้อส่งท้ายปี พระจันทร์ ดวงโตเปล่งรัศมือวดความงามอยู่กลางฟ้า ฟ้ เห็นกระต่ายใน ดวงจันทร์ชัดถนัดตา สามชีวิตบนระเบียงชมจันทร์ราวถูก สะกด ตาพูดลอยๆ ว่า อยู่ที่ไหนก็ดูพระจันทร์ดวงเดียวกัน กะทิรู้ได้เองว่า ตาหมายถึงใครคนหนึ่งก็กำ ลังมองดู ดวงจันทร์บนฟ้า ฟ้ อยู่ตอนนี้เหมือนกัน ใครคนที่หัวใจของกะทิ ร่ำ ร้องเรียกหาอยู่ทุกลมหายใจ
ไม้ขัดหม้อ 9
"อยากรู้ว่าแม่คิคถึงกะทิบ้างไหมนะ" ตาเรียกไม้ขัดหม้อของยายว่า ไม้ขัดใจ ยายขัดใจตา ไม่ยอมหุงข้าวด้วยหม้อไฟฟ้า ฟ้ โลก พัฒนาแล้วนะคุณ ตาส่งเสียงอยู่ที่ประตูครัว แล้วจึงเดิน สายหน้า น้ ออกมาพึมพำ กับกะทิว่า ยายกลัวคนจะไม่เห็นว่าเป็น ชาวบ้านหรือยังไง ชาวบ้านยังเสียบปลั๊กหุงข้าวกันแล้วเลย แน่นอนว่ายายไม่ใช่แม่บ้านมาทั้งชีวิต ตาบอกว่ายาย ตืบทแตกในช่วงไม่กี่ปี ไม่เหลือร่องรอยเลขาๆนายใหญ่ โรงแรมห้าดาวเลยสิน่า ตารู้สึกขัดอกขัดใจที่ยายชอบทำ ให้ตัวเองลำ บาก บางที กะทิรู้สึกเหมือนยายกลัวตัวเองว่าง ในครัวจึงมีงานน้อ น้ ยใหญ่ ทำ ขนมแจก ทำ ขนมใส่บาตร ทำ ขนมทำ บุญ ตาบอกว่า ฝีมือก็งั้นๆ อาศัยทุ่มทุนถึงเครื่องเป็นหลัก กะทิมีขนมกินอิ่มท้องเมื่อกลับจากโรงเรียนทุกวัน ถ้า ต้องทำ การบ้านหรือดูหนังสือเตรียมสอบแบบนี้ยิ่งหายห่วง ยายจะยกมาตั้งข้างตัว ใส่ขวดโหลมาวางเรียงให้เลือกอย่างกับ ร้านลุงเชียงที่ป้า ป้ ยรถสองแถว กะทิไม่ห่วงเรื่องสอบ แต่อยาก ให้เสร็จสิ้นเร็วๆ ปิดเทอมนี้น่าสนุก นุ มีกิจกรรมรออยู่ไม่น้อ น้ ย อย่างแรกน่าจะเป็นกิจกรรมดูดาว ตาให้กล้องดูดาวกับแผนที่ ดาราศาสตร์เป็นของขวัญเมื่อตอนปีใหม่ ยังไม่ได้แกะกล่อง ออกมาเลย กะทิยังอยากไปเข้าค่ายที่โรงเรียนจัดเป็นพิเศษ คงต้องขออนุญนุ าตตาตอนยายอารมณ์ดี ณ์ ดี ถ้ายายขัดคอตา มีหวังกะทือดไปแน่ บางทีกะทิอาจจะไปส่องนกกับพี่ทอง ส่วนใหญ่เป็น นกน้ำ หรือนกริมทุ่ง พี่ทองมีสมุดคู่กาย พอเห็นนกก็จะร่าง เป็นภาพเก็บไว้ แล้วเอาไปเทียบดูในตำ ราว่าเป็นนกอะไร ตาสนับสนุน นุ หาหนังสือต่างประเทศเรื่องนกให้พี่ทองบ่อยๆ ทุกคนในบ้านดูจะนับพี่ทองเป็นสมาชิกคนหนึ่ง กะทิสงสัย บ่อยๆว่าพี่ทองทำ ความดีความซอบอะไรไว้กับตายาย นอกเหนือ จากแวะมาให้ยายขอแรงทำ นู่นทำ นี่เสมอๆ หม้อข้าวเดือดอยู่บนเตา กะทิมองหาไม้ขัดหม้อ จะได้ เอามาเช็ดน้ำ ข้าว แล้วดงบนเตาให้ข้าวระ ไม่น่าจะทำ ยาก กะทิเคยดูยายทำ บ่อยๆ ยายเดินเร็ว ๆ เข้ามา กราดสายตามองไปรอบๆ พร้อมกับเดินวนรอบครัว ปากก็บ่นหาไม้ขัดหม้อ กะทิได้ แต่ทำ หน้า น้ งง ๆ ก็ยายถือไม้ขัดหม้ออยู่ในมือแล้ว แต่กลับ บ่นว่หาไม่เจอ พอกะทิบอก ยายก็ทำ ท่าขัดอกขัดใจ ไล่ให้ กะทิไปตั้งสำ รับ หมู่นี้ยายดูใจคอเลื่อนลอย เหมือนมีเรื่องหนักใจ ให้ต้องคิดมาก
กระถางธูป 10
"เหลือเพียงเสียงของแม่ที่กะทิยังจำ ได้คื" ห้องพระเป็นอีกห้องหนึ่งที่ยายใช้เวลาในแต่ละวันรองจาก ห้องครัว กะทิเก็บดอกมะลิมาเสียบทางมะพร้าวและจัดใส่ แจกัน พออาบน้ำ จนสะอาดดีกว่าตอนเช้าแล้ว ก็ยกแจกัน เข้าไปให้ยายในห้องพระ บรรยากาศในห้องเย็นฉ่ำ ยายบอก ว่าเป็นอภินิหารจากหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกคุ้มครอง คนในบ้าน ตาพึมพำ ว่าห้องนี้อยู่ทางทิศเหนือ ลมพัดเข้า ทั้งวัน ไม่โดนแดดต่างหาก ที่สะดุดตาตรงหน้า น้โต๊ะหมู่บูชาคือกระถางธูปใหญ่ ยายชอบจุดธูปบูชาพระ กะทิไม่ชอบกลิ่นชวนเวียนหัวของธูป แสบคอเสบจมูก แต่ชอบเปลวเทียนในครอบแก้วที่ดูนิ่งสนิท กะทิจ้องมองได้ครั้งละนานๆ ระหว่างที่ยายสวดมนต์บทแล้ว บทเล่าเหมือนไม่รู้จบ ตาพูดลอยๆว่า ถ้ายายสวดมนต์สะสม แต้มได้มากแบบนี้ น่าจะมีตัวฟรีแถมให้ตาไปสวรรค์ด้วย อีกคน ตาหัวเราะชอบใจมุกตลกของตัวเอง แต่ยายโกรธตา ไปหลายวัน กระถางธูปบรรจุทรายเนื้อละเอียดขาวไว้จนเต็มปริ่ม กะทินึกไม่ออกว่ายายไปได้ทรายขาวๆแบบนี้มาจากไหน แถว บ้านไม่มีแน่ๆ มีแต่ทรายสีน้ำ ตาลมอมๆหยาบๆ กะทิชอบ ความรู้สึกยามก้านธูปแทรกเบียดผ่านอณูเนื้อทราย นานๆ ครั้งก็จะต้องมีการยกกระถางธูปออกไปเททิ้งเพื่อเปลี่ยน ทรายใหม่ กะทิยกไหว แต่ยกเดินขึ้นลงบันไดไม่ไหว ยาย ก็ไม่เสี่ยงทำ เอง จึงมักเรียกแรงงานตามแต่จะหาได้ให้มาช่วย บางทีก็เป็นพี่ทอง ที่ไหนๆถูกเรียกตัวมาก็มักลงเอยช่วยยาย สรงน้ำ พระพุทธรูป เช็ดทิ้งพระ ปัดกวาดหยากไย่เสียด้วย เลย ส่วนมากงานทำ ความสะอาดแบบนี้จะเกิดขึ้นใกล้ๆ วันสงกรานต์ ล้าง ชำ ระ ทิ้งของสกปรกเพื่อเตรียมพร้อมรับ ของใหม่ ของมงคล ยายบอกกะทิ หลวงลุงเคยเทศน์ไน์ ว้คล้ายๆว่า ถ้าใจคนเหมือนทราย ในกระถางธูปที่เททิ้งเปลี่ยนใหมให้ขาวผ่องได้ ก็คงจะดีไม่น้อ น้ ย ความคิดของกะทิสะดุดลงเมื่อยายก้มลงกราบพระ และหันมามองกะทิ เป็นภาพที่แม้วันคืนจะผ่านไปอีกนาน สักเท่าใด กะทิก็คงจะจำ ได้ไม่ลืม ภาพของยายที่มีเสียง ประกอบว่า "กะทิ อยากไปหาแม่ไหมลูก"
" บ้านชายทะเล " 11
หางนกยูง 12
"นานหลายปีทีเดียวที่กะทิไม่ได้พบแม่" ดอกสีแดงของต้นหางนกยูงสองข้างทางผ่านตาไป อย่างรวดเร็ว รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า น้ เหมือนลอยไปในอากาศ ในตัว ของ กะทิเบาโหวงเหมือนกล่องเปล่า ทั้งๆ ที่ตลอดสองวันที่ ผ่านมา หัวใจเต้นรัวถี่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหตุการณ์ห ณ์ ลังจากคำ ถามในห้องพระเหมือนเกิดขึ้น กับคนอื่น เหมือนกะทิมองดูตัวเองเคลื่อนไหวโต้ตอบ กะทิเห็นตาเดินเข้ามาในห้องพระ ตึงกะทิไปกอดไว้ และ พูดกับกะทิช้าๆ บอกกะทิว่า เม่ปวย ป่ว ป่ ยมาก ไปรักษา ตัว มาหลายแห่งแล้ว แต่ไม่หาย น้า น้ ฎาเป็นคนขับรถมารับกะทิและตากับยาย ตาให้ กะทิตัดสินใจเองว่าจะไปหาแม่หรือไม่ไป ตาส่ายหน้า น้ เหมือน ไม่แน่ใจเมื่อพูดว่า ที่ผ่านมาคนอื่น ๆคิดแทนกะทิมา ตลอด ครั้งนี้กะทิเลือกได้ ในรถเย็นฉ่ำ แสงแดดภายนอกแรงกล้าขึ้นทุกที ครอบครัวเราออกเดินทางกันแต่เช้า รถแล่นมาบน ถนนสาย ใหญ่ ชะลอเมื่อถึงด่านเก็บเงิน และเร่งความเร็วเมื่อขึ้น บนถนนลอ ลอยฟ้า ฟ้ ที่วกวนร้ายขวาเหมือนรถไฟเหาะในสวนสนุก นุ ขณะแท ทรกผ่านหมู่ตึกสูง ป้า ป้ ยโฆษณาเข้าแทนที่หิวทัศน์ ธรรมชาติ กะทิดูเพลิน และนึกชมว่น้ฎ น้ าขับรถก่ง และ ราวเพียงอึดใจรถก็กลับลงบนถนนที่วิ่งออกนอกเมือง อีกครั้ง กะทิเผลอหลับไป และลืมตาตื่นมาพบกับสีแตงเพลิง ของ รถวิ่งลงใต้ ซ้ายมือเป็นทะเลและหาดทราย ขวามือ เป็นทิวเขาที่เห็นอยู่ไกล ๆ เสียงยายกับตาพูดคุยเบาๆ อยู่ เบาะหลัง นันฎาพูดโทรศัพท์มือถือเป็นระยะ ฟังแล้วกะ ทิ้ ก็รู้ว่าไปอีกไม่ไกลกะทิก็จะพบแม่ ตาเรียกต้นหางนกยูงว่า "เพลิงแห่งพนาไพร" กะทิ เพิ่งรู้ว่าชื่อเต็มๆคือหาง นกยูงฝรั่ง ถ้าเป็นต้นหางนกยูงพันธ์ ไทย ดอกจะมีหลายสีแดง ไม่ใช่ แดงอมส้มอย่างที่เห็นเต็มตาอยู่ในตอนนี้ กะทิชอบที่ ต้น หางนกยูงขึ้นเรียงเป็นระเบียบ ตาบอกว่าสมัยก่อนมี มากกว่านี้ อีก ตอนสร้างสนามบินถูกโด่นทิ้งไปเยอะ น้า น้ ฎาคงเห็น กะทิ ชะเง้อคอมองดอกสีแดงๆ จึงจอดรถที่ศาลาริมทาง ตา ชอบใจว่ได้ยืดแข้งยืดขา ยายยกตะกร้าของขบเดี้ยวลง มา ด้วย ต้นไม้แถวนี้ดูแปลกตากว่าแถวบ้านที่กะทิจากมา มีกลิ่น ไม่คุ้นจมูกแทรกอยู่ในบรรยากาศ กะทิเตาเอาเองว่า เป็นกลิ่น น้ำ เค็ม เสียงโทรศัพท์มือถือตังขึ้นเบาๆ แต่ก็ทำ ทุกคนนิ่ง ชะงัก นัฏาพูดค่อยๆว่า จะไปกันเตี๋ยวนี้เลย เป็นครั้ง แรก ที่ทะทิเห็นตาจูงมือยาย ยายบีบหูตะกร้าจนข้อนิ้วเป็นสี ขาว ปลายนิ้วของนัฎาเย็นจัดเมื่อสัมผัสอุ้งมืออุ่นๆ ของกะทิ กะทิก้มลงเก็บกิ่งเล็ก ๆ ของหางนกยูงจากพื้นใกล้ตัว ดอก สีแดงยังพอมึกลืบสวยงามให้เห็น กะทิจะเอาไปฝากแม่ รถจอดหน้า น้ บ้านหลังเล็กสีชาวสะอาดตา ตัตกับ กรอบหน้า น้ ต่างสีฟ้า ฟ้ สด ไม่มีใตรต้องบอก ไม่มีใครต้อง สั่ง กะทิเปิดประตูรถและปล่อยให้หัวใจนำ ทาง แม่พรมจูบกะทิซ้ำ แล้วซ้ำ อีก ผมนุ่ม นุ่ ยาวของแม่หอม ชื่นใจ เสียงของแม่ที่กะทิจำ ไต้ดังอยู่ที่ริมหู "กะทิลูกแม่ กอดแม่แน่นๆซึจ๊ะ ลูกรัก" ไม่ต่างกันตรงไหนที่แม่กอดกะทิหรือกะทิกอดแม่ น้ำ ตาจากดวามดีใจไหลรินรวมกัน กะทิกางแขนกอด แม่ อย่างที่ฝันไร้ กอดแม่แทนคำ ว่รักจากใจ แทนคำ ว่าเข้าใจ ที่ต้องแยกห่างจากกัน แทนคำ ว่าคิดถึง นานเท่าไหร่ ไม่รู้ กว่ากะทิจะปล่อยแขนจากแม่ ดอกหางนกยูงปักอยู่ในแจกันแก้ววางอยู่ข้างเตียงแล้ว ทั้งเหลือง ชมพู แล
ปูลม 13
"ไม่มีใครรู้ว่าแม่เหลือเวลาอีกนานเท่าไร" กะทิเข้าใจมาตลอดว่หาดทรายจะเป็นเนื้อทรายชาว เรียบๆ แผ่ทอดยาว จนสุดสายตา ยามมาเห็นกับตาตัวเองจึงรู้ว่า มีรายละเอียดมากกว่านั้น มองจากระเบียงบ้านจะเห็น แอ่งน้ำ เล็กๆที่พะเลมาลืมทิ้งไว้เมื่อคืนก่อน มีรอยเท้าม้าเป็นทาง ยาวๆ ส่วนใหญ่จะริมชายน้ำ คนจูงมัาก็ทิ้งรอยเท้าไว้เหมือนกัน ตาบอกว่าตีเท่าไหร่แล้วที่ม้ไม่ทิ้งของเสียไว้ให้ดูต่างหน้า น้ ด้วย สมัยนี้พัฒนาแล้ว คนเสี้ยงม้ามีอาวุธประจำ กายเป็นถุง พลาสติกสำ หรับเก็บขี้ม้ากลิ่นแรงไปทิ้งลงในถังขยะที่ เทศบาล เอามาวางไว้เป็นระยะ บนเนื้อทรายยังมีรอยประหลาด กะทิมานั่งพินิจดู อย่างเพลินตา เป็นทรายเม็ดนิด ๆ ที่เหมือนปั้นเล่นแล้ว มา โปรยไว้ กลายเป็นลวดลายประหลาด น้กั น้กั นต์บอกว่าฝีมือ ของปูลม เวลามันยุดรูจะเขี่ยทรายทิ้งเป็นเม็ดเล็กๆ ดูท่า ประชากรปูลมจะมีจำ นวนไม่น้อ น้ ยทีเดียว สงสัยแต่ว่ามัน วิ่งเร็วปานสายลมสมชื่อไหมนะ น้า น้ กันต์ไม่ต่อยพูด แต่กะทิกลับรู้สึกเหมือนน้า น้ กันต์ บอกเล่าให้กะทิรู้และเข้าใจอะไรมากมาย รวมทั้งรู้ใจกะทิ ด้วย บางครั้งมีแต่ความเงียบขณะเดินไปด้วยกันตามหาด ทราย ยามเย็น เมื่อยก็จะหาที่นั่งพัก ส่วนมากเป็นกำ แพงบ้าน ตากอากาศที่เจ้าของปิตทิ้งไว้ กะทิฟังนำ กันต์พูดเรื่อย ๆถึงโรดเตียวกันที่มีหลายชื่อ อมริกันเรียก เอแอลเอส อังกฤษเรียก เอ็มเอ็นดี ฝรั่งเศส เรียก มาลาดี เตอ ซารโก (ตามชื่อนายแพทย์ชารุโก ผู้ต้นพบโรคนี้เป็นครั้งแรกเมื่อ ๓๕0 ปีก่อน) นำ ากันต์ ยังพูดถึง นักเบสบอลชาวอมริกันชื่อลู เทห์ริก ที่ป่ว ป่ ยด้วยโรคนี้ และ ทำ ให้คนทั่วไปสนใจอาการของโรค กะทิยังได้รับฟังเรื่อง เครื่องสไปโรมิเตอร์ เครื่องไบแพพ และอื่นๆ ที่ผ่านหู ลอย หายไปกับสมทะเล น้า น้ ฎาบอกว่าน้ำ กันต์เป็นมือเขียน โฆษณา วิทยุระดับเชียน คงจะจริง เพราะเมื่อน้ำ กันต์อธิบายให้กะทิ ที่อายุเท้าขวบพังถึงโรคร้ายของแม่ เรื่องจับซ้อนก็กลาย เป็น เรื่องพอเข้าใจได้ไม่ยาก ตัวเลขที่นักันต์ยกมาก็ฟังง่ายๆ ผู้ชายเป็นมากกว่า ผู้หญิง ส่วนใหญ่เกิดกับคนอายุ ๔0 .๗๐ ปี ผู้ป่ว ป่ ย ร้อยละ ๕- ตายภายใน ๓๘ เตือน ร้อยละ ๒๐ อยู่ได้นาน เกิน ๕ ปี มีเพียงร้อยละ ๓0 ที่อยู่ได้นานเกิน ๓๐ ปี ผู้ป่ว ป่ ย ที่เริ่มมีอาการเมื่ออายุ ๒0 -๔. ปี มีโอกาสอยู่ได้นานกว่า กะทิสงสัยว่ ถ้าเป็นตัวเลขสถิติทั่วไป กะทิจะรู้สึก เหมือนที่กำ ลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ไหมนะ แม่เริ่มมือาการเมื่อ อายุ ตn แม่ป่ว ป่ ยมาได้นานเกือบ 4 ปีแล้ว ปูลมวิ่งลงรูไปต่อหน้า น้ ต่อตา น้า น้ กันต์ถามลอยๆว่า วิ่งแช่งกันไหม พร้อมกับต่อให้กะทิถึงแนวต้นสนข้างหน้า น้ ใตรถึงหน้า น้โรงแรมก่อนชนะ ไม่ต้องรอให้ถามซ้ำ กะทิก็ ออกวิ่งแล้ว สายลมปนไอร้อนที่ลอยขึ้นจากพื้นทรายกระทบใบหน้า น้ กะหวิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ วิ่งไปให้ถึงขอบฟ้ เท้าสัมผัสทราย เนื้อละเอียดอย่างที่แม่ทำ ไม่ได้...อย่างที่แม่เคยทำ ได้ สอง มือ ทำ เข้าหากัน ขยับขึ้นลงตามจังหวะการวิ่งอย่างที่แม่ทำ ไม ได้... อย่างที่แม่เคยทำ ได้ กะทิยกมือขึ้นปาดน้ำ ตา กิริยาง่ายๆ แบบนี้แม่ก็ทำ ไม่ได้...ทั้งๆที่เคยทำ ได้ กะทิเห็นประตูโรงแรมแวบผ่านปลายตา แต่ขา เหมือนหยุดไม่ได้ กะทิยังคงทะยานไปข้างหน้า น้ และ ภาวนา ให้หาดทรายทอดยาวอย่ารู้จบ จวบจนเมื่อเช่าอ่อนทรุดลงบนพื้นทราย กะทิจึงรู้ว่า เหงื่อไหลโชมกาย ขาสั่นระริก เหมือนๆกันกับไหล่ที่สั่น ตามแรงสะอื้น กะทิร้องไห้อย่างไม่อายใดร อย่างทำ นบพัง มาท่อน ใครคนหนึ่งทิ้งตัวลงช้างๆ รั้งตัวกะทิ ไปกอดไว้ พักใหญ่ทีเดียวกว่าที่น้า น้ กันต์จะพูดว่า น้ำ ตา ท่วม รูปูกันพอดี กะทิหัวเราะทั้งน้ำ ตา แล้วน้า น้ กันต์จึงขยับตัว บุ้ยใบ้ให้กะทิขึ้นขี่หลัง วิวสองข้างทางแปลกตาไปเมื่อมอง จากที่สูง เสียงน้ำ กันต์พูดปนหัวเราะว่า ตอนวิ่งมาไม่ทัน นึก สินะว่าขากลับจะทำ ยังไง ฟ้า ฟ้ มืดแล้ว แสงไฟจากระเบียงบ้านขมดลื่นปรากฏ ให้เห็น น้ำ ทะเลขึ้นสูงจนเหลือหาดทรายแคบ ๆ และบน พื้นทรายไม่มีปูลมเหลือให้เห็นแล้ว อย่างที่ไม่เคยม
ผักบุ้งทะเล 14
“ทุกคนรู้แต่ว่าเ ว ล า น า ที ข อ ง แ ม่ เหลือน้อ น้ ยลงทุกที" “นี่แม่โฉมชฎา ถ้าหล่อนไม่รวบหัวรวบหาง ฉันจะกินกลาง ตลอดตัวซะเอง แล้วอย่ามาว่ากันนะ” เสียงของถุงตองดังมาจากในครัวเรือนใหญ่ ทุกคน แยกมาอยู่ที่เรือนหลังนี้เพราะมีโอกาสที่แม่จะติดเชื้อได้ง่าย เรือนสองหลังทาสีขาว เหมือนกัน ทากรอบหน้า น้ ต่างสีฟ้า ฟ้ สด เหมือนกัน แต่หลังใหญ่มีสองชั้น ส่วนหลังเล็กเป็นบังกะโล ชั้นเดียว แต่เดิมเจ้าของสร้างไว้เป็น รีสอร์ท ต่อมาซื้อที่ ผืนใหญ่กว่าได้จึงย้ายไป เก็บตรงนี้ไว้อยู่เอง น้ำ ตาเล่าให้ ดาฟังว่า แม่มีบุญคุณกับเจ้าของมาก ช่วยให้ไม่ถูกฟ้อ ฟ้ ง ล้ม ละลาย เมื่อรู้ว่าแม่หาที่พักรักษาตัวจึงชวนมาดู และยก ให้แม่อยู่ตามสบาย นัยว่าแม่ไม่ฟังเสียง แต่ขอให้น้า น้ าจ่าย ค่าเช่าให้เจ้าของทุก เดือน น้า น้ หน้า น้ เป็นสีชมพูเมื่อกะทิกับน้า น้ กันต์ก้าวเข้าไป ในครัว น้า น้ กัน ถามว่าใครจะรวบอะไรใคร แทนค่าตอบ น้า น้ ฎาเดินสวนออกไปดื้อๆ ลุงสอง ทำ เสียงดังว่าน้ำ กันต์ไม่ ต้องมายืนทำ หล่อแถวนี้ ไปช่วยน้า น้ ตาตั้งโต๊ะอาหารค่ำ จะ เข้าท่ากว่า น้า น้ กันเดินออกไปอย่างงงๆ กะทิก็งง ถ้าจะ มี ใคร “หล่อ” อยู่แถวนี้ ก็น่าจะเป็นตัวลุงตองเอง เพียงแต่ ต้องเราะพุงออกหน่อย และเติมผมลงบนศีรษะอีกนิด ดอกไม้เล็กๆ สีม่วงที่ขึ้นแซมประปรายบนเถายาวๆ ในมือของลุงดองดูคุ้นตา แล้วกะทิก็นึกได้ว่าผักบุ้งทะเล นั่นเอง เห็นขึ้นอยู่บน ชายหาดข้างรั้วหน้า น้ บ้าน ใบของมัน สีเขียวสด มองดูเหมือนรูปหัวใจที่ตรงปลายเว้าเข้าหากัน หาทางลุงดองไม่ได้เก็บมาทำ สมุนไพร แต่ เอามาจัดแต่งโต๊ะ อาหารค่ำ คืนนี้เสียมากกว่า มือของลุงทองเหมือนมีคาถาวิเศษ หยิบจับอะไรมาวางตรงไหนดูสวยเข้าที่ไปหมด แต่ก็กินไม่ได้ ยายพูดโพล่งออกมาเมื่อตอนที่ตา ชมเชยลุงตองลับหลัง เหมือนเป็นสงครามย่อย ๆ ระหว่าง ยายกับลุงตอง ถ้ายายรู้ว่าลุง ดองจะมา ยายจะเข้าครัว ปรุงอาหารสุดฝีมือ ซึ่งพอลุงดองรู้เข้า ก็จะสรรหาสรรพสิ่ง มาเนรมิตฉากอลังการ ที่ถ้าไม่ช่วยเชิดชูรสอาหารก็ ข่มให้หงอ ไปเลย นี่เป็นสำ นวนของลุงตองเอง ไม่ใช่ของกะทิ แล้วคืนนี้ ตำ แหน่งราชินีแห่งมวลบุปผาเห็นทีจะตกเป็นของดอกผักบุ้ง ทะเล “ไงจ๊ะ สาวพม่าคนสวยของลุง” ลุงต้องร้องทัก ยายยกหม้อเดินเข้ามาได้ยินพอดี จึงส่งสายตาอุ่นเขียวไปให้ กะทิเลี่ยงออกมาจาก เขมรภูมิ อาบน้ำ แต่งตัวแล้วไปหาแม่ แม่ยังหลับอยู่ กะทิเข้าไปนั่งใกล้ๆ ใบหน้า น้ ของแม่ ใต้หน้า น้ กากที่มีท่อเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องใบแพดูสงบ กะทิ นึกถึงคำ พูดของน้ำ กันต์ แม่ เลือกที่จะไม่เจาะคอใส่เครื่อง ช่วยหายใจเพื่อยืดอายุ เพราะจะทำ ให้แม่พูดไม่ได้ แม่เลือก ที่จะลดเวลาชีวิตของตัวเองลง แต่พูดได้จน นาทีสุดท้าย กะทินึกถึงนิทานเรื่องเงือกน้อ น้ ยที่ยอมตัดสั้นเพื่อเปลี่ยนหาง ให้เป็นรา แล้วไปตามหาเจ้าชายคนรัก แม่คงไม่มีความรัก ให้ต้องติดตามหาแล้ว คืนนั้นสนุก นุ สนานรื่นรมย์มากเป็นพิเศษ เพราะมีทุกคน อยู่พร้อมหน้า น้ ยิ่งแม่นอนหลับและครั้งละนานๆ ก็ดูเหมือน ทุกคนจะยิ่งแวะมาใช้เวลากับแม่มากขึ้น น้ำ ยาอยู่กับแม่เกือบ ตลอดเวลา ตาบอกว่าน้า น้ ยาเป็นมือขวา มือซ้าย เท้าขวา เท้าซ้ายของแม่ แถมยังเป็นคนมีหัวคิด ทำ หน้า น้ ขึงขังและ ย้ำ ว่า ผมไปคนมีหัว แต่ไม่รู้จักเอาไว้คิด ถ้าน้า น้ ต้องเข้า กรุงเทพฯไปทำ ธุระ น้า น้ กันก็จะมาอยู่แทน ในทันที บางครั้ง จะมาถึงกลางดึก เพราะกะที่ตื่นเช้ามาก็เห็นน้า น้ กันต์นั่งหลับ อยู่บนโซฟาปลายเตียงของแม่แล้ว หัวข้อสนทนาที่โต๊ะอาหารเป็นเรื่องเกมโชว์ที่กำ ลัง ได้รับความนิยม ใครจะเชื่อว่าเป็นความคิดริเริ่มและฝีมือ การเจรจาสัญญากับต่าง ประเทศของแม่ แม่ชวนทุกคน ลงขันเข้าหุ้นและมอบหมายให้น้า น้ กันต์ออกหน้า น้ วันนี้ทุกคน ที่โต๊ะ แก้วฉลองให้กับกะทิ กำ ไรที่ได้จะเป็นก องทุนเพื่อ การศึกษาของกะทิ เสียงฮาครืนดังขึ้นทั่วทั้งโต๊ะเมื่อกะทิ อดกลั้นความสงสัยยังปากไว้ไม่ได้และถามออกไปว่า “แต่ กะทิอยู่โรงเรียนวัด ไม่เห็นต้องใช้เงินเยอะเลยนี่คะ” อาหารอร่อยสมความตั้งใจของผู้ปรุง ของแม่เป็น อาหารเหลวที่ผ่านสายตรงหน้า น้ ท้องเข้ากระเพาะ แต่แม่ก็ พูดคุยและเหมือนจะเอร็ดอร่อยไปกับคนร่วมโต๊ะด้วย ฟ้า ฟ้ มืดนานแล้ว แต่แสงจากเทียนเล่มน้อ น้ ยที่ลุงดอง บรรจงจุดและจัดวางไว้ตามแนวขอบระเบียงสายวับแวม หอแสนเย็นตา ราวกับจะท้าแข่งกับดวงจันทร์สุกสว่างกลางฟ้า ฟ้ แสงสีเงินทอลงสู่ผืนน้ำ ที่สะท้อนรับอย่างเต็มใจ แม่แหงนหน้า น้ มองดวง จันทร์และบอกกะทิว่า อีกไม่นานแม่จะไปอยู่บนนั้น และคอยเฝ้า ฝ้ ดูกะทิลอดไป กะที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนแม่เงียบๆ พระจันทร์สวยจริงๆ จนกะทิอยากให้ทุกคืนเป็นคืนเดือนเพ็ญ พี่อ้อยพยาบาล รองแม่เอาผ้าคลุมไหล่มาให้ กะทิจึงลุกออกมา ตั้งใจจะไป รินน้ำ ดื่มในห้องเตรียมอาหาร ภาพที่กะทิเห็นคือน้า น้ าทอด ยายร้องไห้จนตัวสั่น น้ำ ตาไหลอาบแก้มลุงดอง น้า น้ กันต์กับ ตายืนหันหลัง กะที่มองเห็นดอกสีม่วงบอบบางของผักบุ้ง ทะเลบนหลังตู้เย็น ลดเดี่ยว ใครคงลืมเติมน้ำ ในแจกันตอน ยกมา ตั้งไว้
แมงกะพรุน 15
“การอยู่กับปัจจุบัน นาที ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย " ฟ้า ฟ้ ผืนกว้างวันนี้ไม่มีเมฆให้เห็น มองดูเหมือนผ้าสีฟ้า ฟ้ สด ผืนใหญ่ผืนเดียว กะที่นอนหงาย ลอยคออยู่ในทะเลที่ เรียบราวแผ่นกระจก ดวงอาทิตย์สีส้มเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ฟ้ อากาศจึงยังเป็นรื่น ที่จริงกะทิชอบลงเล่นน้ำ ทะเลตอนเย็นๆ มากกว่า เพราะคลื่นจะถาโถมลูก แล้วลูกเล่า ซัดเข้าหน้า น้ เข้าตา ท้าทายและมีรสชาติกว่าการแหวกว่ายในนาที่แทบจะไม่ต่าง จากน้ำ นิ่งๆ ในคลอง แต่น้า น้ ฎาไม่ชอบ แม่ ไม่ยอมให้กะทิ ลงเล่นคนเดียว กะทิจึงเดินต้อยๆ ตามน้า น้ ฏามา “มอร์นิ่งสวม ตามที่ตาชอบเรียกเป็นภาษาอังกฤษ มองจากทะเล บ้านหลังน้อ น้ ยสีขาวตั้งอยู่บนเนินสูง มีรั้วเตี้ยกันพอเป็นพิธีเหนือเขื่อนหินที่ทำ หน้า น้ ที่เป็นปราการ ป้อ ป้ งกันน้ำ ทะเลกัด เซาะ ผนังฉาบปูนสีขาวจัดแบบนี้เหมือน บ้านแถบริมทะเลกรีซ กะที่ไม่เคยเห็น แต่ได้ยินลุงต้องพูด บนระเบียงมีม้านั่งยาวที่แขวน ไว้เหมือนชิงช้า เบาะสีเหลือง มะนาวช่วยเพิ่มความสบายและความสดใส ไม่เคยมีบรรยากาศ ห่อเหี่ยวหดหู่ในบ้านหลังนี้ ไม่เชื่อก็ ต้องเชื่อ น้ำ สูงถึงเอวของน้า น้ ฎาพอดี น้า น้ ฎายังไม่ยอมว่ายน้ำ จริงๆ ได้แต่เดินลุยน้ำ เล่น น้า น้ อาบอกว่าต้องดูให้แน่ใจก่อน ว่าไม่มีแมงกะพรุน กะทิชอบแมงกะพรุน อยากให้พี่ทอง มาเห็นจัง พี่ทองต้องร้องว่าไม่เห็นเหมือนในชามเย็นตาโฟ เลยแน่ๆ เมื่อขึ้นจากน้ำ ทะเลและอาบน้ำ แต่งตัวแล้ว กะทิรีบ ไปบอกแม่ว่าชอบดูแมงกะพรุนลอยมากับคลื่นในทะเล แม่ บอกว่าแม่ก็ชอบ มอง ดูเหมือนร่มชูชีพกลางฟ้า ฟ้ กะทิ ก ไม่ออก แม่จึงหาในอินเทอร์เน็ต น็ ให้กะทิ แมงกะพรุน สบายอารมณ์พิ ณ์ พิลึกยามล่องลอยอยู่ในน้ำ ส่วน บนที่มองดู เหมือนดอกเห็ดหุบ ๆ บาน ๆ เหมือนร่มชูชีพของทหาร คอนโดดลงมาจากเครื่องบินจริงๆ เสียด้วย แม่บอกว่าอยาก ทำ ตัวเหมือนแมงกะพรุน ที่เคลื่อนที่ไปอย่างไม่มีจุดหมาย ทั้งชีวิตที่ผ่านมาของแม่มีจุดหมายที่แน่ชัดมาตลอด แม้ ในช่วงสุดท้าย ของชีวิตตอนนี้ก็เหมือนกัน คอมพิวเตอร์ของแม่ใช้เสียงสั่งงานได้ น้า น้ กันต์บอกว่า แม่ทา wav file เตรียมไว้ล่วงหน้า น้ ก่อนจะใช้มือทำ งานไม่ได้ แม่ถือหนังสืออ่านไม่ได้ ก็ใช้วิธีฟังจากเทปแทน มีเพื่อนส่ง มาให้จากแดนไกล บางม้วนเป็นหนังสือเด็ก แม่จะชวนกะทิ มาฟัง ถ้ามีหนังสือต้นฉบับ กะทิจะดูภาพประกอบและอ่าน ในใจตามเสียงจากเทป แม่ชอบใจว่าเป็นการฝึกภาษาไปในตัว แต่ที่แม่ชอบมากที่สุดคือดูภาพถ่ายในอัลบั้มด้วยกัน เป็นรูปกะทิคน เดียวเกือบทั้งหมด ฝีมือตาล้วน ๆ กะทิเข้าใจ ว่าตาส่งมาให้แม่เป็นระยะ แม่จะขอให้กะทิเล่าเรื่องที่เห็น ในภาพให้ฟัง ดาเรียก กิจกรรมนี้ว่า รายการข้างหลังภาพ คนนี้ครูประจำ ชั้นของกะทิค่ะ ซึ่งครูราตรี สามีของครูก็เป็นครูเหมือนกันนะคะแม่ แต่สอนอยู่ที่จังหวัด อื่น ครูทำ เรื่องขอย้ายตามสามีไปตั้งนานหลายปีแล้ว แต่ ไม่เห็นได้ย้ายสักที รุ่นพี่ชอบพูดว่าครูอารมณ์เ ณ์ สียเพราะ กลัวสามีไปมีผู้ หญิงใหม่ กะทิว่าครูยิ้มสวย แต่ไม่ค่อยยิ้ม บางคนบอกว่าโชคดีที่ครูไม่มีลูก บางคนบอกว่า ถ้ามีลูก ครู จะได้ไม่เหงา น่าแปลกนะคะที่ ตอนปิดเทอมกะทีก็ยังเห็น ครูมาที่โรงเรียน ไม่เห็นไปหาสามี แล้วก็ไม่เคยมีใครเห็น สามีของครูด้วยค่ะ กะทิเล่าเจื้อยแจ้วไปเรื่อยๆ บางทีแม่ก็จะจัดการ บรรยายและตั้งคำ ถาม อย่างเช่น ทำ ไมเพื่อนของกะทิคนนี้ ยิ้มแปลกๆ อ่อ พิราวรรณ หกล้มค่ะแม่ ตกบันไดลื่นลงมา ขากรรไกรหัก ต้องใส่อะไรไม่รู้ไว้ในปาก น้ำ ลายไหลตลอด เวลาเลย เพื่อน ๆ ชอบเรียกว่ายายเอ๋อ ไม่ยอมเล่นด้วย กะทิเลยชวนพิราวรรณมานั่งอ่านหนังสือสนุก นุ ๆ จะชวนคุย ก็ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะพูดไม่ค่อยถนัด ตอนเก็บอัลบั้มใส่ลิ้นชัก กะทิเห็นกล่องใบหนึ่งซุก อยู่ข้างใต้ กะทิเปิดดู ข้างในมีอัลบั้มใส่ภาพที่กะทิไม่เคย เปิดดูมาก่อน กะทิหยิบ มายื่นให้แม่และชวนดูรูปข้างใน แม่ลังเลเล็กน้อ น้ ย กะทิเข้าใจว่าแม่คงจะเหนื่อยแล้ว แต่แม่ ปุ๋ย ปุ๋ ใบ้ให้กะทิขึ้นมานั่งบนเตียงและวาง อัลบั้มลงบนตัก ภาพแรกเป็นภาพเด็กทารกในอ้อมแขนของแม่ ลายมือ ตัวโตเขียนไว้ ณกมล พจนวิทย์ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖
ลั่นทม 16
" อดีตเหมือนเงา บางครั้ง ท อ ด น า ท า ง อ น า ย " " หนูเกิดหลังเที่ยงคืน ก็เลยเป็นวันแห่งความรักพอดี ลุงตอง ดีใจมาก ไม่รู้ไปหากุหลาบสีแดงมาจากไหน เต็มห้องไปหมด จน ทะเลาะกับพยาบาล แต่ก็สวยจริงๆ มองไปทางไหนเห็น แต่สีแดงสลับขาว” แม่นิ่งไปเหมือนกำ ลังนึกภาพห้องพัก ในโรงพยาบาลที่ แปรสภาพกลายเป็นห้องแห่งความรักด้วย ฝีมือนักจัดดอกไม้มืออาชีพอย่างลุงตอง “ตาตั้งชื่อให้หนูว่าณกมล แห่งหัวใจ ตาชอบ ณ เณร ชื่อแม่ก็มี ณ เณร ตาตั้งให้เหมือนกัน แม่ชื่อ ณภัทร ตาบอกว่าแปลว่า แห่ง ความดีความ งาม ดูเหมือนจะเข้ากันดีกับแม่ “ตอนนั้นตากับยายยังไม่ได้ย้ายไปอยู่บ้านริมคลอง ตาเห่อหนูมาก ที่จริงก็เห่อกันหมดทุกคน ลุงตองยุ่งวุ่นวาย ที่สุด แม่ไม่เคยเห็น ลุงตองชอบเด็กคนไหนมาก่อน แต่ กลับเห่อหนูมากขนาดทิ้งงานมานั่งเฝ้า ฝ้ แล้วเลยเป็นไม้เบื่อ ไม้เมากับยายมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย นี่ไงจ๊ะ รูปนี้ตัดผมไฟ ให้หนู ครบเดือนพอดี แล้วนี่ก็ไปตั้งชื่อของหนู ตาลงมือ เขียนใส่กรอบโก้เขียว ดูจะเป็นวันคืนแห่งความสุขของทุกคน แม้ว่าในสายตา ของคนทั่วไป ใครคนหนึ่งขาดหายไปจากภาพนี้อย่าง ที่ไม่มี การพูดถึง ห้องพักของแม่หันหน้า น้ ออกทะเลที่ยามบ่ายถอยไปไกล เห็นลิบๆ ตาบอกว่า ถ้าจะลงทะเลตอนนี้ เห็นทีจะต้อง เรียกสามล้อให้พาไป ส่ง ผนังด้านข้างเป็นบานหน้า น้ ต่างตลอด แนว มองออกไปเห็นต้นลั่นทมต้นใหญ่ ดอกสีขาวเหลือง ส่งกลิ่นหอม ยายไม่ชอบเลย บอกว่าคนโบราณถือ ไม่ปลูก ลั่นทมในบ้าน ตามง่าว่านี่เป็นรีสอร์ท ไม่ใช่บ้านสักหน่อย ตายังอยากจะตอนกิ่งเอาไปปลูกที่บ้านริม คลองด้วยซ้ำ แต่ กลัวยายจะอาละวาดบ้านพัง “แม่เพิ่งย้ายกลับมาทํางานที่กรุงเทพฯ เราสองคน แม่ลูกอยู่คอนโดกลางเมือง แม่โชคดีมีคนคอยช่วยเลี้ยง หนูตลอด วันเกิดปีแรก ของหนู มีรูปน้า น้ ตาด้วย น้า น้ ฏามา ฝึกงานในสำ นักงานตั้งแต่เป็นนักศึกษา พอเรียนจบแม่ก็รับ มาเป็นผู้ช่วย หนูชอบน้า น้ ฎาตั้งแต่พบ หน้า น้ กันครั้งแรก แม่ถึง แน่ใจว่าเลือกคนไม่ผิด” กะทิ ก าตัวเองที่แทบไม่มีผม แม่คงกลัวลูกสาว ไม่สวย สู้อุตส่าห์เอาโบอันเล็กนิดมาผูกบ่อยผมกลาง กระหม่อมให้ ทรงผมนี้ดูจะขึ้น กล้องดี เพราะกี่รูปๆ หลัง จากนั้นก็เป็นทรง ตลอด กะทิดเพลิน แม่เว้นจังหวะเป็นระยะเพื่อหันหน้า น้ไป อมท่อยาว ๆ ที่เชื่อมต่อกับเครื่องไปแพพ โรคเอแอลเอส ทำ ให้กล้ามเนื้ออ่อน แรงจนใช้งานไม่ได้ในที่สุด นอกจาก แขนขาแล้ว ที่อันตรายถึงชีวิตก็คือกล้ามเนื้อช่วยในการ หายใจทำ งานไม่ได้ อย่างเช่น กะบังลม กล้ามเนื้อหน้า น้ อก เครื่องใบแพนปั๊มอากาศเข้าปอดให้แม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ เวลาหลับแม่จะสวมหน้า น้ กาก แต่กลางวันแบบนี้แม่จะเพียง อมท่อ เวลาที่รู้สึกหายใจไม่สะดวก รูปนี้กะเตงกันไปเที่ยวสิงคโปร์ หนูสามขวบกว่าแล้ว แม่ไปทำ งาน ลุงของลากน้า น้ กันต์ไปด้วย น้า น้ กันต์ไม่ได้เรียน กฎหมายเหมือน แม่ แต่เราอยู่ชมรมเทนนิสเหมือนกัน แม่ อยู่ปีสามแล้วตอนน้า น้ กันต์เข้าปีหนึ่ง เปล่าจ๊ะ ลุงตองไม่ได้ เล่นเทนนิส แต่ชอบมาขลุกที่ ชมรม ดูหนุ่ม นุ่ ๆ” แม่หัวเราะ -วันหลังแม่จะหารูปลุงตอง น้า น้ กันต์ กับแม่สมัยเป็น นักศึกษาให้ดู น้า น้ ฎาเคยเห็น หัวเราะจะเป็นจะตาย เลยละ แม่ดูมีความสุขกับชีวิตและเพื่อนฝูงดี ภาพถ่ายเป็น พยาน แล้วกะทิก็เป็นศูนย์รวมความรักของทุกคน กะทิพลิกมาถึงกลางอัลบั้มก็ต้องแปลกใจที่หมดลงแค่นี้ ที่น่าแปลกใจมากขึ้นอีก คือรูปถ่ายสองรูปสุดท้าย เป็นภาพ เดี่ยวของกะทิในสภาพที่ขำ ไม่ออก ตากับยายย้ายไปอยู่บ้านริมคลองแล้ว แม่สนับสนุน นุ เอง เพราะตาผัดผ่อนมาเกือบปีตั้งแต่ทำ บ้านใหม่เสร็จ แม่รู้ ว่าเป็นความฝัน ของคาที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณแบบชาวบ้าน แม่ไม่มีโอกาสไปเยี่ยมบ่อยอย่างที่ตั้งใจ งานของแม่มากจน นมือ คนกำ ลังเห่อ อีคอมเมิร์ซ ขายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต น็ ไงจ๊ะ แม่จับด้านนี้มาตั้งแต่ประจำ อยู่ที่ฮ่องกง มอบงานให้ใคร ช่วยแทบไม่ได้ ต้องคอยแก้ ปัญหา เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ให้บริษัทต่างชาติที่มาตั้งในเมืองไทย “แล้วแม่ก็เริ่มป่ว ป่ ย ทีแรกแม่ก็นึกว่าทำ งานหนัก
พักผ่อนไม่พอ แม่ท่าของหล่นบ่อย ก้าวพลาดตกบันได ประจำ ทั้งที่บ้านและสำ นักงาน รูปนี้แม่ทำ หนูตกบันได สะพานลอย ถลอก ปอกเปิกทั้งแม่ทั้งลูก รอยแผลทายาสีแดงพาดเต็มแก้มของกะทิ เจ้าตัว คงไม่ค่อยเดือดร้อน เพราะยิ้มเผล่ให้กล้องอย่างดี แต่หัวใจ ของตนถ่ายรูปนี้คงมีรอยช้ำ ไม่น้อ น้ ย เสียงของแม่เริ่มเครือ "หลายหน มากเลยที่แม่ทำ หนูเจ็บตัว หัวปูดใน ปาก แตก หนูร้องไห้เสียงดังตอนเจ็บ พอหายเจ็บก็เล่นซนได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สมกับ ที่แม่ขอพระไว้ตอนท้องหนูว่า แม่ขอลูกที่มีความสุขในหัวใจได้เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรในชีวิต “แต่แม่เริ่มแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่สบาย แม่ลางาน กลับไปอยู่กับตายายหลังจากรู้ผลตรวจแน่นอน แม่ยังนึก ออกว่าจะจัดการกับ ชีวิตยังไง แล้วก็เกิดเรื่อง กะทิซักไม่แน่ใจว่าควรจะอยู่กับแม่สองคนหรือไปตาม พี่อ้อยมาตี แม่เคยขอไว้ว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะอยู่กับกะทิ ตามลำ พัง ต้องการอะไรจะให้กะทิไปบอก แต่ตอนนี้แม่ดู หน้า น้ ซีดและเว้นจังหวะกับเครื่องไปแพพขึ้น ลึกๆ แล้วแม่คงยังไม่ยอมรับว่าตัวเองไม่เหมือนเดิม แม่พาหนูลงเรือพายไปเที่ยวในคลอง ตากับยายไม่ทันเห็น ไม่อย่างนั้นคงห้าม เสียงแข็ง ไม่รู้เหมือนกันนะจ๊ะว่าแม่จะฟัง ไหม แม่อยากพาหนูไปดูต้นก้ามปูใหญ่ริมทุ่ง เราสองคน ไปถึงศาลากันอย่างปลอดภัยดี หนูขอบน้ำ มาก ชอบเรือ ชอบศาลา ชอบดอกผักบุ้ง เราเพลินเล่นเพลินคุยจนไม่ทัน เห็นเมฆที่ตั้งเค้ามาแต่ไกล “แม่ตัดสินใจผิดซ้ำ สอง แทนที่จะรออยู่ในศาลาให้ ฝนตกจนหยุดแล้วค่อยกลับบ้าน แต่แม่เห็นหลังคาศาลา ผุๆพังๆ ก็กลัวจะกัน ฝนไม่ได้ มองอีกที เมฆฝนยังอยู่ อีกไกล ก็คิดว่ามีเวลาพอพายเรือพ่นทุ่ง ถ้าไปไม่ถึงบ้านก็ จะแวะหลบฝนที่บ้านหลังแรกริมคลองที่ ไปถึง “แม่ลนลานเก็บของใส่ตะกร้า สวมหมวกให้หนู จูง หนูลงบันได ลมพัดแรงขึ้นทุกที เรือไม่อยู่นิ่ง โคลงเคลง ไปมา แม่วางหนูในเรือ แล้วหันไปปลดเชือกล่ามเรือ แต่ มือของแม่...แม่ยิ่งรีบก็ยิ่งงุ่มง่าม แม่ก้าวขึ้นจากเรือไปแก้ปม เชือกให้ถนัดขึ้น พอเชือกหลุดจาก หลักก็หลุดจากมือแม่ด้วย แม่ตกใจรีบคว้าไม้พายเพื่อยึดเรือไว้ แม่กะจังหวะผิดหมด ของง่ายๆ แม่ก็ทำ ไม่ได้ แล้วเรือก็ลอยห่าง จากท่าตามระลอก คลื่นในน้ำ เรือที่มีหนูนั่งอยู่คนเดียว” กะที่มองเห็นภาพทุ่งปริ่มน้ำ ไกลสุดตากลายเป็นทะเล บ้ายามลมพายุพัด ฟ้า ฟ้ คงไม่สว่างใสเหมือนยามเที่ยวทุ่งกับตา หมู่เมฆหนา คงเข้าครอบคลุม ทุกอย่างรอบตัวเป็นสีเทา เสียงฟ้า ฟ้ ลั่นครืนคงดังมาจากที่ไกล ผสมผสานกับเสียงลม และเสียงร้องของแม่ แม่พยายามกุมสติ ร้องบอกให้หนูนั่งนิ่งๆ แม่กลัวว่า หนูจะตกใจ ลุกขึ้นโผมาหาแม่แล้วเรือจะล่ม แม่รู้แล้วว่า ตัวเองไม่อยู่ในสภาพ เหมือนก่อน แม่ไม่มีทางกระโดดลงน้ำ ไปอุ้มหนูขึ้นมาได้ แต่ไม้พายที่แม่พยายามยื่นจนสุดแขน ไปยึดเรือกลับมาหาได้แค่แตะ ถูกตัวเรือ แขนของแม่ไม่มีแรง พอจะลากเรือสู้แรงลมแรงน้ำ ได้ แล้วไม้พายก็หลุดมือหล่นน้ำ ไปอีก “แม่เหมือนบ้า ฝนเทลงมาเหมือนฟ้า ฟ้ รั่ว แม่ร้อง ตะโกนแข่งกับเสียงฟ้า ฟ้ให้หนูนั่งนิ่งๆ แม่ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำ ยังไงดี แม่ร้องไห้แข่ง กับฝน โกรธตัวเอง โกรธฝน โกรธฟ้า ฟ้ ที่สำ คัญคือ กลัวจนเหมือนหัวใจหยุดเต้น แม่ร้องโหยหวน ใครก็ได้ช่วยที ช่วยลูกของแม่ ด้วย แม่ตะเบ็งจนสุดเสียง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีทางที่ใครจะได้ยิน ต่อให้ไม่มีเสียงฝนฟ้า ฟ้ คะนอง แบบนี้ “แล้วแม่ก็สวดมนต์อยู่ในใจ ทุกคาถาที่ยายเคยสอน เท่าที่นึกได้ สวดมนต์แล้วก็อธิษฐาน จะเรียกว่าบนบานก็ได้ กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าอภินิหารมีจริง ขอให้ลูกของแม่ปลอดภัย แม่ยอมแลกทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ คนทั่วไปคงอธิษฐาน เอาชีวิตตัวเองเข้าแลก แต่ ชีวิตของแม่คงแลกอะไรไม่ได้ ทั้งนั้น ในเมื่อแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว ฟ้า ฟ้ ผ่าเปรี้ยงเหมือน รับรู้เมื่อแม่อธิษฐานว่า ถ้าลูกปลอดภัย แม่จะไม่แตะต้องตัว ลูกอีกเลย แม่จะไปให้ไกลจากลูก ไม่ทำ ให้ลูกต้องตกอยู่ใน อันตราย กลัว น้ำ ตาไหลอาบแก้ม แม่สะอื้นจนตัวโยน กะทิจับมือ ของแม่มาจูบ มาแตะแก้มตัวเอง ยกแขนแม่ให้โอบรอบคอ ของกะทิไว้ กะทิกอดแม่ไว้แน่น แม่ซบหน้า น้ ลงกับแก้มของ กะทิ เนื้อตัว ของแม่เย็นชืด กะทิพกระซิบว่ากะทิอยู่ตรงนี้ อยู่กับแม่ แล้วเราสองคนจะไม่แยกจากกันอีก ดอกลั่นทมร่วงลงพื้นอยู่นอกหน้า น้ ต่าง เหมือนทนรับรู้ ความทุกข์ระทมของดวงใจสองดวงนี้ไม่ไหว
ปึ่ง 17
“ หนทางในวันข้างหน้า น้ ดูเหมือนไม่มีจริง" กะทิซอบนั่งเล่นทรายตรงชายน้ำ ก่อปราสาททรายเล่นกับ น้า น้ กันต์ ที่ไม่ชอบก็คือตัววิ่งที่มักกัดแบบ ไม่รู้ตัว แมลง ตัวเล็กนิดเท่าแมลงหวี่ หากแต่ฤทธิ์แรงซุกซ่อนรอเหยื่ออยู่ใน ทราย กว่าจะรู้ตัวก็เห็น ตุ่มแดงตอนอาบน้ำ ตุ่มนี้ยิ่งเกายิ่งคัน ลุงตองบอกว่าเหมือนรักในรอยทราย คันได้คันดี ลืมไม่ลง เตือนใจไม่รู้เลิก กะทิใช้สองมือขุดทรายให้เป็นหลุม พอ คลื่นซัดมาก็จะกลายเป็นบ่อน้ำ แต่ทรายจะมา กับน้ำ ด้วย บ่อลึกก็จะกลายเป็นบ่อตื้นให้ต้องลงแรงขุดใหม่ แต่ก็เพลินดี ทำ ให้มือไม่ว่าง ระหว่างที่ สมองของกะทินึกย้อนไปถึงเรื่องที่ แม่เล่าให้ฟังเมื่อบ่าย สรุปว่าพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยกะทิกับแม่ไม่ใช่ใคร ที่ไหน พี่ทองยิ้มสยามนั่นเอง แม่บอกว่าพี่ทองตื่น เต้นกับ "สาวชาวกรุง” วัยสี่ขวบมาก ชอบพายเรือมาชมโฉมสาวบ่อยๆ วันนั้นพี่ทองคงมาอย่างเคย แล้วเลยพายเรือตามมา ตั้งใจ จะมาเล่นด้วย เรือของพี่ทองปรากฏให้เห็นแทบในทันทีที่ สิ้นเสียงฟ้า ฟ้ ผ่า พี่ทองว่ายน้ำ แข็งแบบเด็กริมคลองของแท้ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะประคองเรือที่กะทินั่งอยู่ให้เข้ามา เทียบท่า อย่างปลอดภัย อีกทั้งอุ้มกะทิมาส่งให้ถึงมือแม่ “เหมือน แมวคาบหนู” แม่เล่าทั้งน้ำ ตา พี่ทอง ตัวเล็กกว่าอายุ แถม กะทิก็อ้วนกลมแบบเด็กอยู่ดีกินดี แม่กอดกะทิกอดพี่ทอง ไว้ด้วยกัน ร้องไห้บนหัวเราะอยู่กลางสายฝน ก่อนจะขึ้น ไปหาที่หลบฝนในศาลา แม่เล่าต่อว่า ไม่นานตากับลุงๆ หลายคนในละแวก ก็ฝ่า ฝ่ ฝนพายเรือมาร้องตามหาแม่กับกะทิ เอาผ้าห่ม เอาร่ม มาด้วย แต่ทั้งแม่ ทั้งพี่ทอง ทั้งกะทิ ก็เปียกปอนไม่มีเหลือ คืนนั้นกะทิจับไข้ ต้องนั่งเฝ้า ฝ้ เช็ดตัว กันทั้งคืนกว่าจะสร่างไข้ ตอนใกล้รุ่ง พอฟ้า ฟ้ สางแม่ก็เก็บกระเป๋า ป๋ และจากบ้านริมคลอง ไปอย่างไม่ล่ำ ลา และไม่หวนกลับมาอีกเลย กะทินึกออกว่ายายจะโวยวายแค่ไหน แต่ก็นึกออกไป พร้อมๆ กันถึงสีหน้า น้ เคร่งๆ ของตาที่คงจะพูด สั้นๆว่า “ภัทร ต้องมีเหตุผลที่ทำ แบบนี้ สักวันคงจะบอกให้เรารู้” แล้วตา ก็คงเลี้ยงดูกะทิเรื่อยมา กะที่รู้สึกคันๆ ในหัวใจ สุดท้ายก็วางมือจากบ่อทราย และหันไปหาน้า น้ กันต์ “ขอที่ยืมโทรศัพท์มือถือหน่อยได้ไหมคะ” เช้าวันที่จากบ้านริมคลองมา พี่ทองส่งกระดาษชิ้นน้อ น้ ย ให้กะทิ พร้อมกับบอกยิ้มๆ ว่า เบอร์มือถือของหลวงลุงน่ะ เพื่อกะทิอยากคุย โทร.มาตอนไหนก็ได้ พี่ ทองเป็นคนรับเอง แล้วยังต่อท้ายว่า หรือจะ “เมล” มาก็ได้ มีที่อยู่อีเมลเขียน มาให้เสร็จ กะทิเห็นน้า น้ กันต์กลั้นยิ้มเมื่อกะทิส่งเสียงพูดกับคน ปลายทาง เสียงคุ้นหูที่มีกระแสความดีใจอย่างปิด ไม่มืด ท่าให้รอยคันๆ ในอกเหมือนจะจางลงในพริบตา “พี่ทอง ทิพูดนะ พี่ทองอยากฟังเสียงทะเลไหม
ต้นสน 18
“ไม่น่าเชื่อว่า พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์ จะยังขึ้นให้เห็นบนฟ้า ฟ้ เหมือนเดิม" แม่เป็นไข้สูงมาหลายวันแล้ว คุณลุงหมอประดิษฐ์มีสีหน้า น้ ไม่ดีทุกครั้งที่กลับออกไปจากบ้านชมคลื่น นับ คุณ หมออยากให้แม่เข้าพักรักษาในโรงพยาบาล จะเป็นที ว กรุงเทพฯก็ได้ อาางจากเราจะเก็บมา ก็ไม่สาเร็จร้อย” ลุงตอ เสียงสูง ก่อนทองพึ่งพากะทิไปเที่ยวเขาตะเกียบ ชมวิวจากบนเขา มองลงมาเห็นบ้านสีขาวอยู่ ไกลๆ ที่ตีนเขา มีบริการให้ ช้าง ลุงดอนตลอดเวลาว่าผิดที่ผิดทาง แต่ก็มีลูกค้ามาใช้บริการให้เห็นประปราย ชาวต่างประเทศ มี ทองบอกว่า ประเดี๋ยวควาญ ช้างก็พาไปฆ่าชิงทรัพย์ ในป่าป่กัน น้า น้ กัน กระจิบบอกกะทีว่า โชคดี ลุงทอง ไม่ หางานการท่องเที่ยว อย่างนั้น ประเทศชาติ สูญเสียรายได้จากต่างประเทศ เพราะความไม่ไว้ใจผู้ประกอบ ธุรกิจบริการรายย่อย ลุงทองคงได้ยินแว่วๆ จึงต่อความยาว ว่า ะ ราะใหญ่ อยู่เย็นๆ พยายามหลีกชุดการใช้เครื่องช่วยหายใจ นัยน์ต น์ าของแม่เด็ดเดี่ยว และทุกคนที่รักแม่ก็ต้องยอมทำ ตาม แม่บอกว่าแม่โชคดีแล้วที่เลือกทางตายได้ คนเราเลือกเกิด ไม่ได้ เลือกตายก็ไม่ได้ แต่กรณีของแม่ แม่ถือว่าขอใช้สิทธิ เท่าที่ชะตาชีวิตเปิดช่องว่างให้ ขออย่าให้ใครขัดขวางเลย เห็นทุกประชุมปรึกษาหนทางหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ต้องเรียกว่าการประชุมสัญจร ยกกะที่มา บังหน้า น้ ว่าพา อกมานั่งรถ. น ย ต อ โ ฝ้า ฝ้ เอง ตาบอกว่า แล้ว เสนอความเห็นอะไร จะถูกตา และ กล้าง ย แถมท้ายว่าไม่อยากต่อกรกับทนายฝีปากกล้าให้เสีย แรงเปล่า การขับรถเล่นมาสิ้นสุดปลายทาง สวนสน นน นนทรง แรง ครีม เรือนเป็นรูปกรวยแหลม ตาบอกว่ากันลมดี เพราะลู่ตามแรงลม ไม่หักโค่น ต่อให้ พายุพัดโหมกระหน่ำ แค่ไหน ตาม เอาเข้าจริง การประชุม แทบไม่เป็นวาระอย่างที่ควร จะเป็น ดองบอกว่ากลายเป็นประชุมกลุ่มปาดความเศร้า เสียมากกว่า หนทางข้างหน้า น้ ดูชัดเจน แม่เหมือนเทียน ที่เหลือแสงริบหรี่เต็มที่แล้ว นกะทิ มากลาก รู้ แปลกในใจ กล อาจเป็นเพราะคำ พูดของแม่เมื่อตอนนั่งดูพระอาทิตย์ตกดิน ด้วยกัน แม่พูดลอยๆว่า ไม่อยากให้ฟ้า ฟ้ มืดเลย คงไม่ใช่แต่กะทิคนเดียวที่นอนไม่หลับ กะทิย่องลง บินโตมาถึงเรียนตก และเห็นกันนั่งอยู่ข้างเคียงองแม่ น้า น้ กันต์เป็นคนเดียวที่กะทิไม่เคยเห็นแสดง อารมณ์ห ณ์ รือน้ำ ตา แต่ในแสงสลัวรองห้องพักคนเจ็บ กะที่เห็นไหล่ทั้งคู่ของ น้า น้ กันต์สั่นสะท้าน สุดท้ายกะทิเห็นน้า น้ กันต์ซบหน้า น้ ลงข้างตัว รอบบ่อยู่เนิ่นนาน ไม่มีสัญญาณรับรู้ใดๆ จากใบหน้า น้ใต้หน้า น้ กากเตรี วาด เหลือเพียกๆอยู่กลางฟ้า ฟ้ เพ้น ใบแพ ริมรั้วเอนตามแรงลมน้อ น้ ยๆ นาทีเหมือนหยุดนิ่ง นิ่งจนกว่า ดวงตะวันจะขึ้นอีกครั้อย่างสดชื่นสวยงามพ้นจากขอบฟ้า ฟ้ เหนือทะเล ปลุกสรรพชีวิตบนโลกให้ตื่นขึ้น แต่ไม่มีแม่ รามอยู่ด้วย กล่อไป
จักจั่น 19
“น้ำ ตา ไม่อาจแทนความโศกเศร้าได้" แม่โคม่าอยู่สามวันก่อนจะจากไปอย่างสบ น้า น้ เดินออกมาจากห้องเป็นคนแรกและกอดกะทิไว้ ไม่จำ เป็นต้องพูดอะไรดูจะสื่อความหมายได้ดี ไม่มีน้ำ ตา ให้เห็น ดวงตก อง และบียน ไปจากเดิมในชั่วข้ามคืน แม่บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล พิธีสวดจึงมีเพียง สามวัน ตาเลือกวัดบนเขาที่มีศาลาโอ่โถงกว้างขวาง ลุงตอง เป็นเจ้าพิธี และฝ่า ฝ่ ยสถานที่ มีแขกทยอยมาทุกคืน ทั้งเพื่อน ว่าน รุ่น ม ก า ต วงแรกที่ม มาก เพราะต้องเดินทางมาไกล แต่ทุกคนก็ ยินดีมาล่ำ ลาแม่ เป็นครั้งสุดท้าย บันไดขึ้นสู่ศาลาทอดยาว ลุงต้องจัดเสาสีขาวมาตั้งไว้ เป็นระยะ ประดับยอดเสาด้วยดอกไม้หลากสี พร้อมกับ ตามประทีป ทุกขั้นบันได กลิ่นหอม สายลมเย็น และ แสงเทียน กล่อมให้บรรยากาศห่างไกลจากความโศกเศร้า ลุงตองบอกว่าแม่สั่งเสีย ไว้แบบนี้ ขอให้เป็นเหมือนงาน ชุมนุม นุ รำ ลึกความหลังร่วมกันเงียบๆ ในศาลาตกแต่งด้วยผ้า ราง จนดอกไม้สดใส กะทิระรูป ในกรอบมากที่สุด แม่เหมือนมีชีวิต และเฝ้า ฝ้ ลูกที่มาอย่างเหอ แม่ คงหลุดพ้นจากการจองจำ ในร่างอันมีข้อจำ กัด และคงล่องลอย อย่างมีความสุขไปทุกหนแห่งที่ใจปรารถนา และกะทิมั่นใจ ว่าที่หนึ่งที่แม่ต้องมาคือ ข้างกายของกะทินี่เอง น้า น้ การวบผมที่เคยปล่อยยาวให้เป็นมวยเล็ก ๆ ที่ ท้ายทอย กำ ไลครึ่งแขนคุ้น ตาหายไป เหลือเพียงต่างหูมุก เม็ดจ้อย น้า น้ ตาเป็นคนแต่งตัวแบบที่ดูเพลิน เอาผ้ามาพัน มาผูกตรงไหน ใส่หรือประดับ อะไร ก็ดูดีมีสีสันชวนแดง บัดนี้ความสดชื่นบนเรือนกายหายไปจนหมดสิ้น ชุดสีดำ ทำ ให้ร่างของน้า น้ าบางลงผิดตาและ เซียวซีด กะทิเห็นสายตา อาน อาน้า น้ อย่างเป็นห่วง ขณะที่น้า น้ รับแขก ผู้ใหญ่ ดูแลการบริการ ว่าง เครื่องไทยธรรม ถวายพระ และอื่นๆ น้า น้ กันต์อยู่กับกะทิตลอด ราวกับเงาตามตัวก็ไม่ปาน ทั้งสองคนไม่มีหน้า น้ ที่ในงาน กรมอเดินเสียงออกมา นั่งเล่นบนผ้า นม เฟื่องฟ้า ฟ้ ฟังเสียงดนตรีธรรมรา ที่ ดูเหมือนจะมีจักจั่นเป็นต้นเสียง จะว่าฟังหนวกหูก็ไม่เชิง เพราะระดับเสียงไร้กังวานที่ดัง ต่อเนื่องเข้ากันดีกับบรรยากาศ รอบตัว นี่ถ้าลำ พังกะทิคนเดียว ย่อมไม่มีวันออกมานั่ง กๆ แน่ๆ การกดท้ายจะลากลับ พล จากละ ก็เหลือน้อ น้ ยเต็มที่ ลุงตองพาตากับยายกลับลงไปบ้านพักแล้ว ท่าที่นิ่งๆ ของยายทำ ให้กะทิไม่ค่อยนึกอยากเข้าใกล้ ตาหลิ่วตา ให้กะทิ เป็นทำ นองว่าต้องเอาใจยายหน่อย กะทิกลับกับน้า น้ คันละ าอากันรัวกัน รากราบพระและนั่งอยู่หน้า น้ รูปถ่ายของแน่เนิ่นนาน จนน้า น้ กันต์สะกิดให้กะทิไปนั่งข้างน้า น้ ฎา กะทิสบตาแม่ใน ภาพถ่ายและ เหมือนจะเข้าใจว่าแม่ต้องการอะไร กะทิจูงมือน้า น้ ฎาพาเดินออกมาจากศาลาพร้อมกับน้า น้ กันต์ ทั้งสามคนก้าวลงบันไดมาเงียบๆ กะทิจับมือน้า น้ ฎาไว้ ข้างหนึ่ง น้า น้ กันต์ข้างหนึ่ง แล้ววางมือน้า น้ ฎาลงในอุ้งมือ แข็งแรงของน้า น้ กันต์ แรงบีบกระชับเหมือนถ่ายเทความ อบอุ่น กับ อนอมบาง กะ เ ดิ น หายไปปรากฏบน ใบหน้า น้ แห แม่คงดีใจกับภาพนี้ ภาพที่มีเสียงประกอบเป็นเสียง กรีดก้องของจักจั่นในราตรี
พยับหมอก 20
“ชีวิตดำ เนินต่อไป” หลวงลุงพาพี่ทองมาทันงานสวดคืนสุดท้าย หอบข้าวของมา พะรุงพะรัง หลวงลุงบอกว่าขากลับจะตรงไปสนามบินเลย ญาติโยมนิมนต์ไว้ให้ไปไกล ถึงอเมริกาโน่น เลยจะพาพี่ทอง ไปด้วย เปิดหูเปิดตา หาลู่ทางเรียนหนังสือ ต่อถ้าเป็นไปได้ “ยังไม่อยู่เรียนหรอก” พี่ทองบอกกะทิ “จะรอสอบ ชิงทุนตอนจบ ม. 5” นั่นก็ คืออย่างน้อ น้ ยอีกสามปีข้างหน้า น้ กะทิรู้ดีว่าความใฝ่ฝัฝ่ ฝั นของพี่ทองคือ มี นามบัตรพิมพ์ชื่อว่า ดร.สุวรรณ วินัยดี ลุงตองบอกว่า ถ้าพี่ทองทำ ได้ก็ เท่ากับ เป็นช้างเผือกงาดำ ของหายาก แม่บอกว่าคนเราต้องมีความใฝ่ฝัฝ่ ฝั น และทำ วันแต่ละวัน ให้ดีที่สุดไปพร้อม ๆ กันด้วย กะทินึกไม่ออกว่าตัวเองมีกับ เขาหรือเปล่า แต่วันนี้ชีวิตก็มีความ สุขดีตรงที่มีพี่ทองมา ยืนชมทะเลอยู่ด้วยกัน แม้ว่ากะทิเพิ่งสูญเสียคนที่ กะทิรัก มากที่สุดไป พยับหมอกออกดอกอยู่ริมรั้ว เห็นเป็นสีม่วงอมฟ้า ฟ้ อยู่บนแนวไม้ระแนงสี ขาวสะอาดตา ลุงต้องบอกว่ามีคาถา เสกให้ออกดอกได้ตามเวลาที่ต้องการ แต่คาถาของลุงตอง คงเสื่อมไปหน่อย เพราะแม่อยากเห็นก็ไม่ได้เห็น ดอก พยับหมอกอวดความงามวันที่แม่จากไปพอดี ลุงต้องโทษฝน ตามปกติถ้าตัดกิ่งทิ้ง เมื่อครบสามสิบวันก็จะออกดอก ฝน ทำ ให้ล่าไปจน แม่ไม่ได้เห็นความงามจากธรรมชาตินี้ กะทินั่งดูดอกไม้แทนแม่ มีหลายอย่างในชีวิตที่กะทิ ไม่เข้าใจ ความตาย เป็นเรื่องหนึ่ง พี่ทองบอกว่าต้องใช้ธรรมะ เข้าช่วย โตกว่านี้กะทิจะเข้าใจเอง อ้อ...ต้องโตกว่าพี่ทอง ตอนนี้ด้วยนะ พี่ทองตบท้ายพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ข้าวของในบ้านเริ่มทยอยเก็บลงกล่อง พี่อ้อยจะกลับ กรุงเทพฯพรุ่งนี้พร้อม กับหลวงลุงและพี่ทอง ลุงตองจะ พาตากับยายกลับบ้านริมคลอง แล้วจึงจะ ไปพบกับกะทิ ที่บ้านกลางเมือง กะทิจะไปตามหาชิ้นส่วนปริศนาในชีวิตอีกชิ้นที่ยัง ขาดหายไป
" บ้านกลางเมือง " 21
พวงกุญแจ 22
"แม่รู้ว่าวันหนึ่งหนูจะมาที่นี่" ใกล้เทียงแก้ว รถเลี้ยวเข้าซอยเล็กที่แยกจากถนนใหญ่ใน จอแจ ในทันทีนั้น การจราจรหนาแน่นเหมือนถอยห่างไปไกล กะทิเห็นคลองเล็กๆ นาน ไปกับถนนอยู่ทางขวามือ มีต้น ก้ามปูนเป็นระยะ ไม่มีอะไรเหมือนบ้านชายทะเลจาก และแตกต่างอย่างลิบลับกับบ้านริมคลองที่กะทิยังไม่กลับไป ในตอนนี้ กระนั้นบ้านกลางเมืองก็ดึงดูดความสนใจของ กะที นา นรกที่ย่านาง องโถงกลางปูหินอ่อน เสียงในรองเท้าของน้า น้ ก้องสะท้อนอยู่ในความ, กะทิเดินตาม น ไปชั้นสิบสาม น้า น้ กันต์หันมาบอกว่า แม่ชอบเลขสิบสาม ตอน มา ท้อง ที ก็ถูกใจ มีห้องว่างชั้นสิบสามพอดี มฝีปากก่อนจะส่งพวงกุญแจรูปดาว และ กร ร.4 สั่งไว้ให้เป็นคนใจประตู” กะที ได้ยินเสียงน้า น้ หันไปพูดค่อยๆ กับน้า น้ กันท์ ดูเหมือนว่าแม่ จะออก ต่างๆที่จะเกิดขึ้นหลังแม่จากไปแล้วโดยละเอียด กะทิไม่รู้สึกอึดอัด กลับรู้สึกเหมือนมีแม่อยู่ใกล้ๆ ช่วยคลาย ความรู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่าในอกลง ไปได้บ้าง ประตูไม่เเนะกอกเปิก วอ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนนะ นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่แม่มีแรง เปิดประตูเอง พื้นปาร์เกต์สะอาดเอี่ยมรับกันดีกับผนังสีครีม โซฟา นั่งสบายลายดอกไม้เล็กน้อ น้ ยสีเหลือง เขียว ขาว เพิ่ม บรรยากาศอบอุ่น ทุกอย่างดูเนี้ยบ เหมาะเจาะ สะท้อน บุคลิก รองจากไป ที พญ. จน ประ ก จากการเปิดประตู ก ต ก กระหายใคร่รู้ จนคนใหญ่ หนึ่งห้อง แค่กวาดตามองก็รู้ว่าเป็นห้องของแม่ ติดกันเป็น ห้องนอนเล็กสอง ห้อง ห้องหนึ่งเห็นชัดว่าเป็นห้องเด็ก ซึ่ง ก็คงเคยเป็นห้องของกะทินั่นเอง อีกห้องเป็นห้องรับรอง สําหรับแรก เพราะดูโล่งๆ เดาว่าคงต้องเคยใช้ เป็นห้อง ของพยาบาลอย่างพี่อ้อยด้วย สุดท้ายมีบันไดเวียนทอดนำ สู่ ชั้นบน แต่น้า น้ กาดึงกะทิไว้ พลางส่ายหน้า น้ และบอกว่า “เอาไว้ ทีหลังดีกว่า" มุมนั่ง กระจกบานกว้างเชิญชวนให้ สายตา สวนที่มีคน พากันบอกว่าเป็นบ้านพักพูด บางน มีงานเลี้ยงจะประดับไฟสวยงาม และมีเสียงดนตรีเพ ราะๆ ลอยมาถึงบนนี้ กะทิเห็นนกแปลกตาหลายตัว พี่ทองมาเห็น คงชอบใจ น่าสงสัยว่าอะไรจะมาอาศัยอยู่กลางเมืองแบบนี้ กะทิ น น น หน้า น้ เคาน์เ น์ ตอร์ ที่ อุ่นอาหาร เจอกลางทางในตาไมโครเวฟ พร้อมๆ กับที กับเปิดผู้หยิบจานช้อน ตลก หรับสามคน ก น้า น้ และน้ำ กันก็จะคุ้นเคยกับสถาน ที่ดี กะทิแอบเห็นน้ำ ยา กด าง และปลายจมูกอ สถาน แห่ อวลกลิ่น อ แ อย่างไม่ต้องงงัน มีอะไรหลายอย่างที่คุ้นตาคุ้นใจของกะทิอย่างประหลาด คง จะชวน กวางวา ทรงอยู่ ก และบัดนี้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากนิทรา ในพวงกุญแจยังเหลือกุญแจอีกดอกที่ยังไม่ได้ไ ไขประตู กะทิเข้าใจว่าเป็นห้องชั้นบนที่น้า น้ ยังไม่อยากให้ กะทิขึ้นไป คงจะมีอะไรรอกะที่อยู่หลังประตูบานสุดท้าย บานนั้น บ่ายนี้กะทิจะขึ้นไปดู
ลิ้นชัก 23
“ หนู คือ อนาคตของแม่ ตั้งแต่วันที่ ชี วิ ต แ ม่ นับถอยหลัง" ภายในห้องชั้นบนมืดสนิทก่อนที่ลุงตองจะรูดเปิดม่านหนา หนักเพื่อรับแสงตะวันที่สาดส่องเข้ามา กะทิหยีตาสู้แสง และ พบว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องขนาดเท่ากับครึ่งหนึ่งของชั้นล่าง จุดเด่นของห้องคือโต๊ะทำ งานขนาดใหญ่สีขรึม เก้าอี้บุหนัง ตัว โตตั้งอยู่ด้านหลัง เชิญชวนให้กะทิเดินไปทรุดตัวลงนั่ง ลุงตองยืนกอดอก ทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง มองจากตรงนี้ เห็น สระว่ายน้ำ เต็มตา น้า น้ กันต์บอกว่ากะทิอยากว่ายน้ำ ตอนไหน ก็ให้บอก น้า น้ กันต์จะลงเป็นเพื่อน แต่สำ หรับนาทีนี้ กะทิเข้าใจว่าเป็นหน้า น้ ที่ของลุงตอง สีหน้า น้ ของลุงตองเมื่อหันมาหากะทิดูแปลกตากว่าที่เคย ไม่มีแววเย้า หยอก ยั่วแหย่ เริงรื่นกับชีวิต ลุงตองผายมือ ด้วยท่าทีที่ในอารมณ์ปณ์ กติกะทิคงจะหลุดปากออกไปว่าเหมือน มัคคุเทศก์พา ชมพิพิธภัณฑ์ กะทิเคยไปทัศนศึกษากับโรงเรียน ที่พระที่นั่งวิมานเมฆ ดูจะมีอารมณ์บ ณ์ างอย่างคล้ายๆ กันกับ ครั้งนี้ อัด / กะทีเป็นนอก เริ่มป่ว ป่ ยใหม่ๆ ก่อนหน้า น้ นั้นใช้เป็นห้องทำ งานธรรมดา หนูที่ดูของในห้องนี้ วันเดียวคงไม่หมด เริ่มตั้งแต่มุมโน้น น้ นะ กะทิหันไปมองตามมือของลุงตอง ตรงนั้นเป็นตู้ติด พนัง เนื้อทีตลอดแนว จอ แบ่งเป็น นกใหญ่, ก ชั้นวางของ และตู้โชว์ที่บางส่วนมีกระจกใสปิดไว้ อยากให้แมน จนไปได้ ถ้าไม่นับคุณตาคุณยายของหนู ลุงก็เป็นคนที่อยู่กับแม่นาน กว่าใคร แม้จึงเลือกลุงให้เป็นคนพาหนู มาที่ห้องนี้ เสียงของ ลุงตองแหบห้าวกว่าเคย กะทิเกือบลืมไปว่าลุงตองเป็นญาติ กับแม่ด้วย แม่ของลุงตองกับยายเป็น ลูกพี่ลูกน้อ น้ งกัน แต่ ลุงตองมาสนิทกับแม่ตอนอยู่รั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน บางคน เตรียมทำ หนังสืองานศพตัวเองอย่างที่ อยากให้คนอยู่หลังได้ รู้จัก แม่ของหนูที่จัดห้องนี้ไว้ให้หนูโดยเฉพาะคนเดียว รวบรวมทุกอย่างในชีวิตมาไว้ที่นี่ หนูอยาก รู้จักแม่ตอน ช่วงไหนของชีวิตก็ทำ ได้เลย กะทีอยากรู้จักทุกนาทีในชีวิตของแม่ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจ ว่า ที่ยากจะรู้จักมากที่สุดเริ่มตั้งแต่ตอนไหน ลิ้นชักทุกลิ้นชักมีตัวเลข พ.ศ. กำ กับไว้ แม่เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ ที่กรุงเทพฯนี่เอง ลิ้นชักแถวแรกเป็นวัยเด็ก ของแม่ ทั้งหมด กะที่ดึงลิ้นชักเปิดออกและพบอัลบั้มเรียง ซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ อีกลิ้นชักเป็นสมุดพกรายงาน ผลการเรียน ใบประกาศเกียรติคุณ โล่รางวัลแข่งขันตอบ ปัญหาภาษาอังกฤษ มีกระทั่งงานฝีมือที่แม่ทำ ส่งครูใส่ซอง พลาสติกไว้อย่างดี ลายมือตัวโตเขียนไว้บนซองใส่ผ้าพันคอ ไหมพรมว่า ผืนนี้ยายเป็นคนถัก เอาไว้ส่งครู ซองเล็กกว่า มีลายมือเขียนว่า ผืนนี้ ฝีมือตัวเอง เอาไว้ถักให้ครูเห็นใน ชั้นเรียน แต่ไม่ส่งเอาคะแนน เพราะไม่เอาไหนเลย ไม่ไกลจากตู้ “นั่นลายมือแม่หนูจริงๆ หลังๆ จะเป็นลายมือ ลุงบ้าง กันต์บ้าง มาบ้าง พูดใส่เทปอัดไว้ก็มีนะ แต่ไม่มี วิดีโอ กันต์จะทำ ให้ แต่แม่หนูไม่ยอม ยายมาเห็นของพวกนี้เข้าก็มีหวังร้องไห้เป็นทำ นบพัง แต่วันก่อนตอนพับผ้าห่มผืนที่แม่ใช้ประจำ ยังแทบแย่ ตา ส่ายหน้า น้ บอกว่าไม่ต้องดูหนังเรื่องธรณีกันแสงให้เสียเวลา หรอก ดูยายนี่แหละ กะทิไล่สายตาไปตามเลข พ.ศ. เดาได้ว่าจะต้องมีช่วง อยู่มหาวิทยาลัย พอจบปริญญาตรีแล้ว แม่สอบเนติบัณฑิต ก่อนแล้ว จึงไปต่างประเทศ แม่ได้อีกสองปริญญาจากสถาบัน สองแห่งของอังกฤษ กะที่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำ ลังงมหา ของที่ ต้องการ แต่ไม่มีวี่แววว่าจะพบง่ายๆ ทุกขึ้นจากพื้นตอนไหนไม่รู้ และจะพาไป นั่งบนตักที่เก้าอี้โยกข้างหน้า น้ ต่าง "ลุงจะเล่าอะไรให้ฟัง ปล่อยลิ้นชักพวกนั้นไว้ก่อน ไทม
กระเป๋า ป๋ เดินทาง 24