The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัย 5 บทนาฏศิลป์พื้นเมือง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pimploy Surintha, 2024-06-17 13:40:33

วิจัย 5 บทนาฏศิลป์พื้นเมือง

วิจัย 5 บทนาฏศิลป์พื้นเมือง

รายงานวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยการใช้สื่อการสอน PowerPoint ในรายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์ ผู้วิจัย นางสาวพิมพลอย สุรินทะ โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดศรีดอนไชย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565


ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยการใช้สื่อการสอน PowerPoint ในรายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์ ชื่อผู้วิจัย นางสาวพิมพลอย สุรินทะ สาขาวิชา นาฏศิลป์ศึกษา ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง เรียนด้วยสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อ สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง ตัวอย่างที่ใช้ทดลองสื่อในการวิจัย ครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดศรีดอนไชย จำนวน 31 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมิน ความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความสอดคล้อง และค่าที (t-test) แบบ Dependent ผลการวิจัยพบว่า 1) จากการสอนโดยใช้สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียน คือ 5.32 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 1.07 และค่าเฉลี่ยคะแนนหลัง เรียน คือ 7.64 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 1.11 และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียน และค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียน พบว่า มีค่า t-test เท่ากับ 12.768 และค่า Sig. เท่ากับ 0.01 แสดงว่า การการสอนโดยใช้สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง ทำให้นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนดีขึ้น 2) การสำรวจความพึงพอใจที่มีต่อสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์ พื้นเมือง พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจด้านเนื้อหาอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.60 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 รองลงมาด้านสื่ออยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.59 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.53 ตามลำดับ


ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ สำเร็จลุล่วงโดยได้รับความกรุณา และช่วยเหลืออย่างดียิ่งมาโดย ตลอดคุณครูอรัญญา รุ่งเรือง ที่ท่านได้กรุณาแนะนำ และให้ข้อความคิดเห็นที่เป็นสารประโยชน์อย่าง ยิ่งแก่ผู้วิจัย โดยเฉพาะการสละเวลาอันมีค่าของท่านในการช่วยตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ผู้วิจัยจึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานวิจัยฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่บุคคลที่สนใจในการศึกษา การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรูปแบบการสอนของสื่อ power point ซึ่งจะสามารถนำไปใช้ เป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต นางสาวพิมพลอย สุรินทะ ผู้วิจัย


ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญภาพ จ สารบัญตาราง ฉ บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัย 3 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 1.3 สมติฐานการวิจัย 3 1.4 กรอบแนวคิดของการวิจัย 3 1.5 ขอบเขตของการวิจัย 4 1.6 ประโยชน์ที่ได้รับ 1.7 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 5 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 2.1 สื่อการสอน PowerPoint 6 2.2 นาฏศิลป์พื้นเมือง 8 2.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 14 2.4 ความพึงพอใจ 15 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 16 3 วิธีการวิจัย 20 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 20 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 20 3.3 ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 20


ง สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 3.4 วิธีดำเนินการวิจัย 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 23 23 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 23 4 ผลการวิจัย 26 4.1 การวิเคราะห์ข้อมูล 26 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 26 5 สรุปผลการวิจัย 31 5.1 สรุปผลการวิจัย 31 5.2 อภิปรายผลการวิจัย 31 5.3 ข้อเสนอแนะ 32 บรรณานุกรม 33 ภาคผนวก 35 ก สื่อการสอน Power point 36 ข แผนการจัดการเรียนรู้ 39 ค แบบทดสอบวัดผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 48 ง แบบประเมินในงานวิจัย 51 จ ภาพกิจกรรม 58 ประวัติผู้วิจัย 60


จ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1.1 กรอบแนวคิดของการวิจัย 3


ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 4.1 ผลการประเมินค่าความสอดคล้องของแบบทดสอบ 26 4.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 27 4.3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 29 4.4 ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียน 29


1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัย จากสภาวะการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างรวดเร็วของสังคมศิลปวัฒนธรรม รวมทั้ง วิทยาการประกอบกับกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้โลกไร้พรมแดนการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว และไร้ซึ่ง ข้อจำกัด ส่งผลกระทบแก่ประเทศไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยจะได้รับข่าวสารเกี่ยวกับ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแล้ว ประเทศไทยยังรับ วัฒนธรรมและค่านิยมที่แปลกใหม่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรมและค่านิยมหลาย หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การสื่อสาร การพูดจา แต่มีวัฒนธรรมที่ไทยยังคงรักษาไว้เป็น เอกลักษณ์ประจำชาติ และเป็นสิ่งที่สามารถบ่งชี้ความเป็นมาของประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์ความ เป็นไทยได้ดีอย่างยิ่งคือ นาฏศิลป์ซึ่งศิลปวัฒนธรรมทางด้านนาฏศิลป์อันอ่อนช้อยงดงามนี้ เป็นสิ่งที่ บรรพบุรุษไทยได้รักษาและสืบทอดมาแต่โบราณ เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งแห่งความเจริญของชาติ การที่จะทำให้นาฏศิลป์ไทยรุ่งเรืองต่อไปนั้นจะต้องอนุรักษ์พัฒนาบำรุงและส่งเสริมเพื่อสืบทอดสู่ เยาวชนรุ่นหลังอย่างมีระบบระเบียบ นาฏศิลป์นับว่าเป็นศิลปะที่โดดเด่นที่สุดสามารถแสดงออก ได้ด้วยตัวเอง ทั้งในลักษณะที่เข้มแข็งและอ่อนโยน นาฏศิลป์ถือว่าเป็นภาษาสากลเช่นเดียวกับดนตรี แต่ดีกว่าตรงที่ได้เห็นด้วยตาซึ่งทำให้เข้าใจได้ทันที อีกทั้งมีความแนบเนียนกว่าตรงที่ความละมุนละไม กว่า เรณู โกศินานนท์ (2544: 42) นาฏศิลป์ไทย เป็นศาสตร์หนึ่งในแขนงวิชาวิจิตรศิลป์ ที่จัดเป็นศิลปะแห่งความงดงามที่ มุ่งหมายให้เกิดความบันเทิงให้แก่จิตใจ สะท้อนวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต สังคม ความเป็นอยู่ ของมนุษย์ในสมัยต่าง ๆ โดยมีนาฏศิลป์พื้นเมืองแต่ละท้องถิ่นของไทยเป็นรากเหง้าแห่งประวัติศาสตร์ ของมนุษยชาติ บ่งบอกถึงความเป็นอารยธรรมของชนเผ่าได้อย่างชัดเจน นาฏศิลป์พื้นเมืองจึงเป็น ศิลปะเฉพาะตนที่แสดงถึงเรื่องราวของชาติพันธุ์ได้เป็นอย่างดีการศึกษาเรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง จึงมีความสำคัญต่อการเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของ ชาติไทยผ่านการแสดงของชนเผ่าทั้ง 4 ภาค ของไทย ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันตามวิถีประเพณีสังคม และวัฒนธรรม อันจะนำไปสู่ความเข้าใจ ในศิลปะการแสดงที่เป็นองค์ความรู้สำคัญต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในวิชาชีพนาฏศิลป์ต่อไป ปิ่นเกศ วัชรปาณ (2560: 5) นาฏศิลป์พื้นเมือง เป็นรากเหง้าแห่งอารยธรรมของมนุษย์ เป็นเครื่องบ่งบอกความเป็นมา อารยธรรม วิถีชีวิต ชนเผ่า นาฏศิลป์พื้นเมืองของไทยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นสื่อกลางในการประกอบ พิธีกรรมและความสนุกสนานรื่นเริง ในงานประเพณีต่างๆ นาฏศิลป์พื้นเมืองมีลักษณะนาฏศิลป์ ที่รวมกลุ่มกันเต้น ไม่จำกัดจำนวน เพศ และอายุ เป็น การฟ้อนรำที่พัฒนามาจากการประกอบ พิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อ ยังไม่มีรูปแบบหรือท่าฟ้อนที่เป็นกิจจะลักษณะ ตอบสนองสังคม


2 ท้องถิ่นในรูปแบบของพิธีกรรมและความบันเทิง โดยท่าฟ้อนแตกต่างกันไปตามสภาพสังคม ภูมิศาสตร์ วิถีชีวิต การกินอยู่ ประเพณี วัฒนธรรม รูปแบบนาฏศิลป์พบว่ามีการใช้การย่ำเท้าตาม จังหวะดนตรีที่สนุกสนานเป็นหลักมากกว่าการใช้มือ มีการใช้อุปกรณ์ตามความเชื่อในการปัดเป่า สิ่งชั่วร้าย นอกจากนี้นาฏศิลป์พื้นเมืองในยุคต่อมายังถูกนำไปปรับปรุงในลักษณะนาฏศิลป์ประจำชาติ นาฏศิลป์พื้นเมืองยังสามารถแบ่งได้ตามลักษณะ ภูมิประเทศได้เป็น 4 ภาค คือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคใต้ซึ่งนาฏศิลป์พื้นเมืองยังสามารถแบ่งได้ตามลักษณะของจุดมุ่งหมาย ในการฟ้อนรำ คือนาฏศิลป์พื้นเมืองในพิธีกรรม ความเชื่อ นาฏศิลป์พื้นเมืองในวิถีชีวิต การทำมา หากิน การสร้างสรรค์นาฏศิลป์พื้นเมืองเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เกิดการสืบสานการฟ้อนแบบท้องถิ่น ให้ยั่งยืน จึงควรต้องมีการศึกษาทำความเข้าใจเรื่องรูปแบบ องค์ประกอบสำคัญต่างๆ ในการ สร้างสรรค์อย่างเป็นระบบ ดังนั้นนาฏศิลป์พื้นเมือง เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งวัฒนธรรมชนเผ่าของ ไทยในแต่ละภูมิภาคที่แฝงไว้ด้วยคุณค่าในปรัชญา สังคม วิถีถิ่นของชุมชนที่สั่งสมเป็นวัฒนธรรมอย่าง ยาวนาน ประกอบด้วยความงามของการฟ้อนรำที่มีความเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างกันทั้ง 4 ภาค ของประเทศไทย การศึกษาในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพการเรียนการสอนในโรงเรียน โดยได้นำ แนวคิดทางเทคโนโลยีการศึกษา และนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทในการจัดการเรียนการสอน เพื่อทำ ให้ผลการเรียนรู้มีประสิทธิภาพทางการเรียนการสอนดียิ่งขึ้น จากการติดตามกระบวนการจัดการเรียน การสอนพบปัญหาหลายประการ เช่น การจัดการเรียนการสอนไม่เป็นไปตามหลักสูตร ไม่เป็นไปตาม ปรัชญาที่ต้องการ คือ การให้นักเรียนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียน สำหรับวิชานาฏศิลป์นั้น แนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้ผลการจัดการเรียนการสอนก่อให้เกิดประสิทธิภาพ มากขึ้น จากการศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนนาฏศิลป์ในปัจจุบัน ปัญหาที่พบ คือ นักเรียน บางคนไม่ค่อยชอบเรียนวิชานาฏศิลป์ไทย และรวมทั้งคิดว่าวิชานาฏศิลป์เป็นวิชาที่น่าเบื่อ การจดจำ ท่ารำได้ยาก และไม่สนุก ซึ่งข้อความดังกล่าวแสดงถึงเจตคติที่ไม่ดีต่อการเรียนนาฏศิลป์ไทย ซึ่งมีผล มาจากสภาพการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งจารีต และวัฒนธรรมการสอนของครูทางด้านนาฏศิลป์ โดยเฉพาะการฝึกปฏิบัตินาฏศิลป์ตั้งแต่สมัยโบราณ ที่จะเน้นการจำ ที่ผู้ถ่ายทอดมีจุดมุ่งหมาย ให้ผู้เรียนเป็นฝ่ายรับความรู้จากครูอาจารย์แต่เพียงอย่างเดียว จากการศึกษาสาเหตุ และปัญหาที่ทำให้ทักษะทางการเรียนนาฏศิลป์ ของผู้เรียนอยู่ในระดับ ต่ำ เนื่องจากนักเรียนไม่ชอบในวิชานาฏศิลป์ไทย มองว่าเป็นวิชาที่น่าเบื่อ ไม่สามารถนำความรู้ด้าน นาฏศิลป์ไทยมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ และในการจัดการเรียนการสอนของครูที่ไม่มีกิจกรรม ที่หลากหลาย และไม่มีสื่อการเรียนการสอนี่ดึงดูด ทำให้การเรียนวิชานาฏศิลป์ไทยเป็นวิชาที่น่าเบื่อ และไม่สนุก ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้เพื่อดึงดูดความสนใจของนักเรียน ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะนำ


3 สื่อการเรียนการสอน power point มาใช้เป็นตัวกลางในการเรียนรู้ ที่จะช่วยให้นักเรียนเกิดความ สนุกสนาน และสามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ให้ได้ดียิ่งขึ้น 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง 1.2.2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์ พื้นเมือง 1.3 สมมติฐานการวิจัย 1.3.1 สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง กว่าก่อนเรียน 1.3.2 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง 1.4 กรอบแนวคิดของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยเพื่อประมวลความคิดรวบยอดของ งานการวิจัยดังนี้ ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม ภาพที่ 1.1 กรอบแนวคิดของการวิจัย สื่อ Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง 1. สื่อการสอน Power Point เรื่อง นาฏศิลป์พื้นเมือง ทำให้ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อสื่อ การสอน Power Point เรื่ อ ง นาฏศิลป์พื้นเมือง


4 1.5 ขอบเขตของการวิจัย 1.5.1 ขอบเขตเนื้อหา เนื้อหาที่ใช้ในการพัฒนาสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง ประกอบด้วย นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง ชุดรำกลางยาว นาฏศิลป์พื้นเมืองภาถอีสาน ชุดเซิ้งสวิง นาฏศิลป์ พื้นเมืองภาคเหนือ ชุดฟ้อนเทียน และนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ชุดตารีกีปัส 1.5.2 ขอบเขตระยะเวลา การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยตลอดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 1.5.3 ขอบเขตด้านประชากร/กลุ่มตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดศรี ดอนไชยจำนวน 6 ห้อง 113 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดศรี ดอนไชย ที่ศึกษาเรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 1 ห้อง 31 คน 1.5.4 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยดังนี้ 1.5.4.1 ตัวแปรต้น (Independent Variable) ได้แก่ สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง 1.5.4.2 ตัวแปรตาม (Dependent Variable) ได้แก่ 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ใช้สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง 2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง 1.6 ประโยชน์ที่ได้รับ 1.6.1 เป็นแนวทางในการใช้สื่อการสอน Power Point ในการเรียนดนตรี-นาฏศิลป์ ในเรื่อง อื่น ๆ ต่อไป 1.6.2 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้นจากการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง 1.6.3 ทราบความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์ พื้นเมือง


5 1.7 นิยามศัพท์เฉพาะ สื่อ Power Point หมายถึง โปรแกรมหนึ่งที่อยู่ในชุดของ Microsoft Office โปรแกรมนี้เน้น ในเรื่องการแสดงภาพประกอบคำอธิบาย ใช้เพื่อการนำเสนองาน (Presentation) โดยทำเป็นหน้า ๆ อาจทำให้มีเสียง บรรยายประกอบด้วยก็ได้ โดยสื่อ Power Point นี้เป็นเนื้อหาในเรื่องละครในยุค สมัยต่าง ๆ นาฏศิลป์พื้นเมือง หมายถึง การร่ายรำที่เกิดจากวัฒนธรรม ประเพณีตามแบบของ ท้องถิ่น ของตน ตามคนพื้นเมืองหรือชนเผ่า นาฏศิลป์พื้นเมืองถูกจัดเป็นประเภทหนึ่งของนาฏศิลป์ ไทยโดย ประกอบไปด้วย การแสดงพื้นเมืองและเพลงพื้นเมือง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการ สอนจึงเป็นการตรวจสอบความสามารถหรือความสัมฤทธิ์ของบุคคลว่าเรียนรู้แล้วมีความสามารถ อย่างไรจากงานวิจัยนี้ เป็นการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในเรื่องคุณลักษณะ และประสบการณ์ การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการสอน จึงเป็นการตรวจสอบความสามารถหรือความสัมฤทธิ์ของบุคคลว่า เรียนรู้แล้วมีความสามารถอย่างไรในเรื่องละครในยุคสมัยต่าง ๆ ในรายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์ ความพึงพอใจ หมายถึง ความชอบที่มีต่อสื่อ Power Point ที่ผู้วิจัยใช้สอน อันประกอบด้วย รูปแบบ และการนำเสนอ สีสัน ความสวยงาม น่าสนใจ และสร้างการร่วมเรียนรู้ จากการเรียนรู้จาก สื่อทำให้นักศึกษามีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์มากขึ้น และโดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจต่อสื่อ


6 บทที่ 2 ในการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยการใช้สื่อการสอน PowerPoint ในรายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 2.1 สื่อการสอน Power Point 2.2 นาฏศิลป์พื้นเมือง 2.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.4 ความพึงพอใจ 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 สื่อการสอน Power Point 2.2.1 ความหมายของสื่อการสอน Power Point เป็นชื่อโปรแกรมหนึ่งที่อยู่ในชุดของ Microsoft Office โปรแกรมนี้เน้นในเรื่องการ แสดงภาพประกอบคำอธิบายใช้เพื่อการนำเสนองานโดยทำเป็นหน้า ๆ อาจทำให้มีเสียงบรรยาย ประกอบด้วยก็ได้ หรือจะสั่งพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์เพื่อแจกผู้ฟังก็ได้ นอกจากการสร้างงานนพรีเซน ออกทางจอภาพแล้ว ยังสามารถสร้างเอกสารประกอบการบรรยาย เช่น เอกสารแจกผู้ฟัง บันทึกย่อ สำหรับผู้บรรยาย เป็นต้น รวมทั้งการนำเสนองานในรูปแบบของเว็บเพจ และใน Microsoft Power Point ยังสามารถบันทึกผลงานลงในซีดีรอมเพื่อนำไปแสดงบนคอมพิวเตอร์ที่ได้ติดตั้ง โปรแกรม Microsoft Power Point ได้ด้วยการนำเสนอข้อมูล หมายถึง การบรรยายหรือการนำเสนอ ผลงานให้แก่ ผู้ฟังหรือการถ่ายทอดความคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่มีวัตถุประสงค์แน่ชัดให้ผู้ฟังเข้าใจ ภายในเวลาที่จำกัดดังนั้น การนำเสนอจะต้องทราบวัตถุประสงค์ให้แน่ชัดเพื่อให้สามารถถ่ายทอด ความคิดได้ตรงตามความต้องการครบถ้วนและกระชับโดยทั่วไปมักใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ปัจจุบันการนำเสนอผลงานหรือสินค้าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จัก ของตลาดผู้ซื้อรวมไปถึงเรื่องการเรียนการสอน สื่อที่ใช้นำเสนอให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น จนบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนการสอนนั้น มีหลายชนิดให้เลือกใช้ในการนำเสนอตามความถนัดและ ความเหมาะสมของเนื้อหาการเรียนการสอน เช่น วีดีทัศน์ แผ่นใส สไลด์ แผนภาพ แผนภูมิ ฯลฯ แล้วแต่ผู้ใช้จะเลือกให้เหมาะสมกับเนื้อหา โปรแกรมนำเสนอที่ได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ โปรแกรม Power Point ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก รูปแบบการนำเสนอมีสีสันสวยงาม ความน่าสนใจ สามารถทำให้ตัวอักษร และภาพ เคลื่อนไหวได้ ทำให้งานที่นำเสนอดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการนำเสนอผลงานในรูปแบบต่าง ๆ ได้ดี Power Point เป็นโปรแกรมหนึ่งที่มี ประสิทธิภาพในการนำเสนอ เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียนได้เป็นอย่างดี และเป็น การเตรียมความพร้อมอย่างดีของผู้สอน เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางให้ผู้สอนสามารถสื่อสารกับ


7 ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีการนำเสนอผลงานด้วยสื่อที่หลากหลาย โปรแกรม Power Point เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการผลิตสื่อเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สินค้า รวมไปถึงการใช้ โปรแกรม Power Point ผลิตสื่อประกอบการบรรยายเนื้อหาต่าง ๆ จนได้รับความนิยมอย่างมากใน หมู่วิทยากรอาชีพที่ต้องเดินทางไปบรรยายในสถานที่ต่าง ๆ อยู่เป็นประจำแม้กระทั่งในแวดวง การศึกษา คณาจารย์ ครู นักวิชาการศึกษาก็นิยมใช้โปรแกรมนี้ในการผลิตสื่อการเรียนการสอน เพราะเป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่าย สะดวก ประหยัดเวลา ไม่มีค่าใช้จ่าย และมีประสิทธิภาพในการ นำเสนอ วิชยุตม์ ศรีสะอาด (2560: 13) 2.2.2 ความสำคัญด้านการศึกษาของสื่อ Power Point 2.2.2.1 ช่วยเพิ่มคุณภาพในการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนที่ผลิตด้วย โปรแกรม Power Point สามารถนำไปประยุกต์กับสื่ออื่น ๆ ได้หลายประเภท 2.2.2.2 ทำให้การเรียนการสอนสะดวกรวดเร็วกว่าวิธีดั้งเดิม ประหยัดงบประมาณ และเวลา ในการผลิตสื่อการเรียนการสอน 2.2.2.3 ทำให้เกิดเครือข่ายของความรู้ สื่อการเรียนการสอนที่ผลิตด้วยโปรแกรม Power Point สามารถจัดเก็บไว้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนสามารถเข้าไปค้นคว้า ศึกษาได้อย่าง ไม่จำกัด เวลา และสถานที่ ทำให้เกิดคลังความรู้ขนาดมหาศาล และเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัยกว่า เอกสารและตำราทั่วไป เพราะมีการปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ 2.2.2.4 ความสำคัญด้านการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารความรู้ และการอบรม งานทุก อย่างจะต้องมีการสื่อสารเพื่อถ่ายทอดข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ซึ่งกันและกัน เช่น การที่ครูสอนนักเรียน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยการสื่อสารที่ดีมีคุณภาพ เพื่อให้การเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2.2.2.5 เป็นเครื่องประกันประสิทธิภาพการเรียนการสอน ขั้นตอนการสอนที่ ออกแบบไว้ ต้องมีการทดสอบ และการนำไปใช้ เพื่อสร้างความมั่นใจว่า การดำเนินการสอนตาม ขั้นตอนที่ออกแบบไว้ทำให้ การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 2.2.2.6 เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน เนื้อหาการเรียนการสอนได้ถูก จัดทำในรูปแบบของชุดการสอน ด้วยโปรแกรม Power Point ผู้สอนคนอื่นสามารถนำไปสอนได้ 2.2.2.7 เป็นเครื่องมือเตรียมความพร้อมระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ระบบการสอนที่ ถูกออกแบบไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว และได้กำหนดลำดับขั้นตอนต่าง ๆ ไว้อย่างดีแล้ว ทำให้ผู้สอน สอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จนบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ 2.2.2.8 เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนการสอน จากการนำเสนอเนื้อหาต่าง ๆ ด้วยโปรแกรม Power Point จะมีข้อมูลย้อนกลับทั้งข้อดีและข้อจำกัด เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุง พัฒนาต่อไป ภัสฉัฐ ภาคีฉาย (2561: 7)


8 สรุปได้ว่า Power Point ถึงจะเป็นโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพในการนำเสนอ ก็ย่อม มีข้อจำกัดบ้างเป็นธรรมดา ดังนั้น ผู้ใช้จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อหา จึงจะทำให้เกิดประสิทธิ สูงสุด สิ่งสำคัญ คือ ผู้ใช้ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะบรรยายเป็นอย่างดี จึงจะ สามารถส่งสารไปถึงผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรม Power Point เป็นเพียงเครื่องมืออย่าง หนึ่งที่ช่วยให้มนุษย์ใช้สื่อสาร รวมถึงความตั้งใจจริงของผู้ส่งสารที่จะถ่ายทอดความรู้ และผู้รับสารก็มี ความพร้อมที่จะเรียนรู้การสื่อสารนั้นจึงจะประสบความสำเร็จ 2.2 นาฏศิลป์พื้นเมือง นาฏศิลป์ของไทย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนสำคัญตามการร่ายร าตามแบบมาตรฐาน และแบบท้องถิ่น โดยการร่ายร าแบบละครในวังจัดให้เป็นการร าแบบมาตรฐาน (Classical Dance) ส่วนการร่ายร าตามท้องถิ่นในภูมิภาคต่างๆของไทย จัดให้เป็นการร าแบบพื้นเมือง (Folk Dance) ซึ่ง นาฏศิลป์พื้นเมืองยังแบ่งออกเป็น 4 ภาค ตามการแบ่งเขตพื้นที่ของประเทศ และพบว่ามีลักษณะ องค์ประกอบของนาฏศิลป์แตกต่างกันไปตามสังคมและวัฒนธรรมของชนในท้องถิ่น 2.2.1 ลักษณะของนาฏศิลป์พื้นเมือง ลักษณะนาฏศิลป์พื้นเมืองของไทยปรากฏอยู่ในการละเล่นที่มีการแสดงการร่ายรำ มีเพลง ดนตรีประกอบที่ได้วางเป็นแบบแผน และนิยมเล่นหรือถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนแพร่หลายโดยมี มูลเหตุอยู่หลายประการ อาจเกิดจากการบูชาบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น ขอให้สิ่งที่ตนนับถือ ประทาน สิ่งที่ตนปรารถนาหรือขจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่ปรารถนา นอกจากนี้ ก็เป็นการแสดงเพื่อความบันเทิงรื่นเริง มีลักษณะการใช้เพลงพื้นเมืองประกอบกับการขับร้องเพลงเป็นเรื่องเป็นราว มีการแสดงเป็นละคร การใช้ลูกคู่ร้องรับ เช่น ละครซอของทางภาคเหนือ ลำตัด ลิเก ของภาคกลาง หมอลำของภาคอีสาน และลิเกฮูลู ของภาคใต้ ปิ่นเกศ วัชรปาณ (2560: 8) สามารถอธิบายลักษณะสำคัญของนาฏศิลป์ พื้นเมือง ได้ดังนี้ 2.2.1.1 นาฏศิลป์พื้นเมือง สะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ ประเพณี วัฒนธรรมของ ท้องถิ่นนั้นๆ นอกจากนี้ ยังช่วยให้เข้าใจในวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของชนชาติอื่น เพราะ นาฏศิลป์พื้นเมืองเป็นเครื่องคุณค่าแห่งวัฒนธรรมและเป็นวิถีแห่งการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์ และสุมนรตี นิ่มเนติพันธ์(2547: 100) 2.2.1.2 นาฏศิลป์พื้นเมือง มักมีความเรียบง่ายและมีอิสระในการแสดงออก ผู้ฟ้อน สามารถที่จะสร้างสรรค์พลิกแพลงท่วงท่าลีลาการเคลื่อนไหวออกไปได้หลายทาง มิได้มีท่าแม่บทเป็น หลัก แบบนาฏศิลป์ที่เป็นแบบแผนอย่างของราชสำนักหรือของกรมศิลปากร แต่มีลีลาที่งดงาม สอดคล้องกับท่วงทำนองเพลงพื้นบ้านและแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้นๆ ที่ทำให้ สามารถบอกได้ว่าเป็นนาฏศิลป์หรือการฟ้อนรำของท้องถิ่นใด


9 2.2.1.3 นาฏกรรมพื้นบ้านจะเน้นให้เห็นลักษณะของท้องถิ่นทั้งเพลง ดนตรี รูปแบบ การแต่งกาย ท่ารำ ท่าเต้น ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น เครือจิต ศรีบุญนาค (2554: 1) 2.2.1.4 นาฏศิลป์พื้นเมืองจะเน้นลักษณะและลีลาการร ามากขึ้นกว่าการเล่นเพลง ความหมายของการใช้ท่าทางจะมีมากกว่า การแต่งกายของผู้แสดงจะดูพิถีพิถันต้องการความสวยงาม เพื่อให้การฟ้อนรำนั้นดูงดงามและเป็นเอกลักษณ์ อมรา กล่ำเจริญ (2531: 64) 2.2.2 คุณค่าของนาฏศิลป์พื้นเมือง การแสดงพื้นเมือง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่บรรพบุรุษไทยได้สั่งสม สร้างสรรค์ และสืบทอดไว้เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เรียนรู้และรักในคุณค่าในศิลปะ ไทยในแขนงนี้ เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทยและพร้อมที่จะช่วยสืบทอด จรรโลง และธำรงไว้ เป็นสมบัติของชาติสืบไป กล่าวได้ว่าการแสดงพื้นเมืองในแต่ละภาคจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันใน เรื่องของมูลเหตุแห่งการแสดง ปิ่นเกศ วัชรปาณ (2560: 11) ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้ 2.2.21 แสดงเพื่อเซ่นสรวงหรือบูชาเทพเจ้า เป็นการแสดงเพื่อแสดงความเคารพต่อ สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ หรือเซ่นบวงสรวงดวงวิญญาณที่ล่วงลับ 2.2.2.2 แสดงเพื่อความสนุกสนานในเทศกาลต่างๆ เป็นการรำเพื่อการรื่นเริง ของ กลุ่มชน ตามหมู่บ้าน ในโอกาสต่าง ๆ หรือเพื่อเกี้ยวพาราสีกันระหว่างชาย – หญิง 2.2.2.3 แสดงเพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นการรำเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสต่าง ๆ หรือใช้ในโอกาสต้อนรับแขกผู้มาเยือน 2.2.2.4 แสดงเพื่อสื่อถึงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอันเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ และ วัฒนธรรม ประเพณีเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จัก 2.2.3 นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง ภาคกลางจัดว่าเป็นเมืองหลวงและมีศิลปะการแสดงของหลวง อันได้แก่ โขน ละคร รำ ระบำ มาจากในราชสำนักแต่โบราณกาล และยังคงสืบทอดอนุรักษ์โดยกรมศิลปากรอย่างต่อเนื่อง หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 1932 กรมศิลปากรซึ่งสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ กลายเป็นหน่วยงานรัฐบาลที่รับผิดชอบการฝึกอบรมและสร้างศิลปินทั้งด้านนาฏศิลป์ โขน ละคร และ ดนตรี โดยสืบทอดนาฏศิลป์หลวงซึ่งเป็นแนวนาฏศิลป์ที่พัฒนาขึ้นในราชสำนัก และยังคงเป็น ศูนย์กลางที่มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานของนาฏลีลาอันเป็นแบบแผนมาตรฐานทั่วประเทศ มาจนปัจจุบัน นอกจากการแสดงแบบหลวงแล้ว ยังมีนาฏศิลป์พื้นเมืองในบริเวณภาคกลางที่เป็น นาฏศิลป์ของชาวบ้าน ที่มีการพัฒนาควบคู่กันไปกับนาฏศิลป์ของหลวง ปิ่นเกศ วัชรปาณ (2560: 61) 2.2.3.1 ประวัติการแสดงชุดรำกลองยาว รำกลองยาว ประเพณีการเล่นเทิงบ้องกลองยาว หรือ เถิดเทิง มีผู้เล่าให้ฟังเป็นเชิง สันนิษฐานว่าเป็นของพม่า นิยมเล่นกันมาก่อนเมื่อครั้งที่พม่ามาทำสงครามกับไทยในสมัยกรุงธนบุรี


10 หรือสมัยต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาพักรบพวกทหารพม่าก็จะเล่นสนุกสนานกันด้วยการเล่นต่าง ๆ ซึ่งทหารพม่าบางพวกก็เล่น “กลองยาว” พวกไทยเราได้เห็นก็จำมาเล่นกันบ้าง เมื่อชาวไทยเห็นว่ารำ กลองยาวเป็นการเล่นที่สนุกสนาน และเล่นได้ง่ายก็นิยมเล่นกันไปแทบ ทุกบ้านทุกเมืองมาจนทุกวันนี้ ประวัติความเป็นมา คณะกลองยาวที่มีชื่อเสียงมากของชาวอำเภอพยุหะคีรี ได้แก่ คณะ บ.รุ่งเรืองศิลป์ ของนายบุญ เอี่ยมเวช ซึ่งได้ดัดแปลงท่าร่ายรำมาจากท่าร่ายรำของลิเก พร้อมได้ ดัดแปลงประดิษฐ์ชุดแต่งกายขึ้น โดยเลียนแบบจากเครื่องแต่งกายของลิเกเช่นกัน และใช้ชื่อว่า “กลองยาวประยุกต์” และได้นำออกแสดงเป็นครั้งแรกราวปี พ.ศ. 2500 2.2.3.2 การแต่งกาย แต่เดิมการแต่งกายไม่มีแบบแผนแต่งกะนแบบชาวบ้าน ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ ปรับปรุงการแต่งกายและกำหนดไว้เป็นแบบฉบับ คือ ชายนุ่งกางเกงขายาวครึ่งแข้ง สวมเสื้อคอกลม แขนสั้น เหนือศอก มีผ้าโพกศีรษะและผ้าคาดเอว หญิงนุ่งผ้าซิ่นมีเชิงยาวกรอมเท้า สวมเสื้อแขน กระบอกคอปิด ห่มสไบทับเสื้อ สวมสร้อยตัวคาดเข็มขัดทับนอกเสื้อ สร้อยคอ และต่างหูปล่อยผมทัด ดอกไม้ด้านซ้าย 2.2.3.3 เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการเล่นก็มีกลองยาว เครื่องประกอบจังหวะ ประกอบไป ด้วย ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง มีประมาณ 4 คน คนตีกลองยืน 2 คน คนตีกลองรำ 2 คน และหญิงที่รำล่อ อีก 2 คน 2.2.3.4 ลักษณะและวิธีการแสดง รำเถิดเทิงกลองยาว เป็นการแสดงที่ปรับปรุงให้เป็นแบบแผนโดยพัฒนาจากการ แสดงกลองยาวพื้นบ้าน รำเถิดเทิงกลองยาว เน้นที่จังหวะกลอง และลีลาท่ารำ ท่าเต้น ในการแสดง นั้นผู้ชายจะตีกลองระบำคู่กับผู้หญิง เรียกว่า กลองรำ และมีผู้ชายอีกพวกหนึ่งยืนประกอบจังหวะ พร้อมด้วยฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง ที่เรียนว่า กลองยืน ก่อนเล่นมีการทำพิธีไหว้ครู มีดอกไม้ธูปเทียน เหล้าขาว บุหรี่และเงินค่ายกครู 12 บาท การไหว้ครูใช้การขับเสภา เมื่อไหว้ครูแล้วจะโห่ขึ้น 3 ลา แล้วเริ่มแสดง โดยนักดนตรีประกอบ เริ่มบรรเลง ผู้ร่ายรำก็จะเดินและร่ายรำไปตามจังหวะกลอง มีท่าร่ายรำทั้งหมด 33 ท่า ท่าที่หวาดเสียว และตื่นเต้นมากที่สุดก็เห็นจะเป็นท่าที่ 30-31 คือท่าที่มีการต่อกลองขึ้นไป 3 ใบ ให้ผู้แสดงคนหนึ่งขึ้น ไปยืนบนกลองใบที่ 3 แล้วควงกลอง และคาบกลอง ซึ่งผู้แสดงต้องใช้ความสามารถพิเศษ 2.2.3.5 โอกาสที่แสดง ประเพณีเล่น “เถิดเทิง”หรือ “เทิงบ้องกลองยาว” ในเมืองไทย มักนิยมเล่นกันใน งานตรุษ งานสงกรานต์ หรือในงานแห่ ซึ่งต้องเดินเคลื่อนขบวน เช่น ในงานแห่นาค แห่พระ และแห่ กฐิน เป็นต้น เคลื่อนไปกับขบวน พอถึงที่ตรงไหนเห็นว่ามีลานกว้างหรือเป็นที่เหมาะก็หยุดตั้งวงเล่นรำ แล้วก็เคลื่อนขบวนต่อไปใหม่แล้วก็มาหยุดตั้งวงเล่นและรำกันอีก


11 2.2.4 นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน มีการฟ้อนร าที่หลากหลายทางวัฒนธรรมชนเผ่าที่ หลากหลาย ประกอบกับลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบสูงค่อนข้างแห้งแล้ง ส่งผลให้นาฏศิลป์พื้นเมือง อีสาน เป็น การฟ้อนที่มุ่งฟ้อนรำเพื่อการเซ่นสรวงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สังเวยวิญญาณผู้ตาย และยังเป็น การฟ้อนรำ เพื่อความเป็นสิริมงคล และสร้างความสนุกสนานในเทศกาลต่างๆกลองยาวเป็นการเล่นที่ สนุกสนาน และเล่นได้ง่ายก็นิยมเล่นกันไปแทบ ทุกบ้านทุกเมืองมาจนทุกวันนี้ ปิ่นเกศ วัชรปาณ (2560: 165) 2.2.4.1 ประวัติการแสดงชุดเซิ้งสวิง เซิ้งสวิง เป็นการละเล่นพื้นบ้านของภาคอีสาน ซึ่งเป็นการละเล่นเพื่อการส่งเสริม ทางด้านจิตใจของประชาชนในท้องถิ่น อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เซิ้งสวิงเป็นชุดฟ้อนที่มีความ สนุกสนาน โดยดัดแปลงท่าฟ้อนจากการที่ชาวบ้านออกไปหาปลา โดยมีสวิงเป็นหลักในการหาปลา นอกจากมีสวิงแล้วจะมีข้อง ซึ่งเป็นภาชนะในการใส่ปลาที่จับได้ เซิ้งสวิงมีการประยุกต์กันมาเรื่อย ๆ และในปี พ.ศ.๒๕๑๕ ทางกรมศิลปากรจึงได้นำท่าฟ้อนของท้องถิ่นมาปรับปรุงให้มี ท่วงท่ากระฉับกระเฉงขึ้น ท่าฟ้อนจะแสดงให้เห็นถึงการออกไปหาปลา การช้อนปลา จับปลา และการ รื่นเริงใจ เมื่อหาปลาได้มากๆ ผู้แสดงฝ่ายหญิงจะเป็นผู้ถือสวิงไปช้อนปลา ส่วนฝ่ายชายจะนำข้องไป คอยใส่ปลาที่ฝ่ายหญิงจับได้ 2.2.4.2 การแต่งกาย ผู้ชายจะสวมเสื้อม่อฮ่อม นุ่งกางเกงขาก๊วยผ้าขาวม้าคาดเอว ใช้คล่องสะพายไหล่ ประกอบการแสดง ผู้หญิงจะสวมเสื้อคอกลม แขนกระบอก นุ่งผ้าซิ่นป้ายข้าง ยาวคลุมเข่า ห่มสไบ พาดไหล่ปล่อยชายข้างหน้า เกล้ามวยผมติดดอกไม้ สวมเครื่องประดับเงิน เช่นต่างหู สร้อยคอ กำไล มือ กำไลเท้า เข็มขัด เป็นต้น 2.2.4.3 เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีที่พื้นเมองภาคอีสาน ประกอบไปด้วย กลองยาว กลองเต๊ะ แคน ฆ้อง โหม่ง กั๊บแก๊บ ฉิ่ง ฉาบ กรับ 2.2.4.4 ลักษณะและวิธีการแสดง การแสดงเซิ้งสวิงเป็นการรำคู่ชายหญิง ลักษณะการแสดงจะมีการแปรแถวสัมพันธ์คู่ และสัมพันธ์กลุ่ม ในลักษณะของชุดศิลปาชีพ คือการประกอบอาชีพจับสัตว์น้ำ ในที่นี้คืออาชีพหาปลา ผู้หญิงจะถือสวิงช้อนปลาส่งให้ผู้ชายจับปลาใส่ข้อง แล้วช้อนปลาใหม่เมื่อจับปลาได้พอประมาณก็ หยอกล้อ เกี้ยวพาราสี ลักษณะการแสดงจะมีการแปรแถวสัมพันธ์คู่และสัมพันธ์กลุ่ม เน้นการเต้นจังหวะ และทำนองเพลงที่กระฉับกระเฉง รวดเร็ว แต่ยังคงอนุรักษ์ความเป็นเซิ้ง คือเต้นท่าเขย่ง โดยเท้าใช้ จมูกเท้าย่ำไปกับพื้น แสดงออกถึงความสนุกสนานร่าเริงด้วยท่วงท่าอันรวดเร็ว


12 2.2.5 นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ ภาคเหนือมีวัฒนธรรมประเพณีที่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียม และมีวัฒนธรรมชนเผ่า ของแคว้นต่างๆ เข้ามาผสมผสานอยู่มากมาย ศิลปะการฟ้อนร าของไทยภาคเหนือ มีแบบอย่างดั้งเดิม ที่รักษากันไว้แบบหนึ่งกับแบบอย่างที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ ตลอดจนแบบอย่างสร้างขึ้นแต่มีพื้นฐานดั้งเดิม อยู่ในตัวและมีเอกลักษณ์ด้านการฟ้อนร าที่ยังคงมีรูปแบบจากการฟ้อนดั้งเดิมในอดีต ปิ่นเกศ วัชรปาณ (2560: 127) 2.2.5.1 ประวัติการแสดงชุดฟ้อนเทียน ภาคเหนือของประเทศไทยมีสภาพดินฟ้าอากาศค่อนข้างหนาวอากาศสดชื่นไม่แห้ง แล้ง ฉะนั้นคนในภาคเหนือจึงมีนิสัยเยือกเย็น ศิลปะที่แสดงออกมาจึงมีลีลาค่อนข้างช้าอ่อนช้อย งดงามอยู่ในตัวเอง ประณีตในท่าร าอันได้แก่ประเภทฟ้อนต่างๆ ตลอดถึงการแต่งกายอันเป็น สัญลักษณ์ของหญิงชาวเหนือ เมื่อพูดถึงฟ้อนคนไทยทุกคนจะต้องรู้จักและนึกภาพได้ทันที นับว่าฟ้อน เป็นตัวแทนของศิลปะภาคเหนือได้ดียิ่ง ฟ้อนเทียน เดิมทีเป็นการฟ้อนสักการบูชาแด่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช้แสดงประกอบพิธีเฉพาะ ในงานสำคัญในพระราชฐาน โดยผู้ฟ้อนมากล้วนเป็นเจ้านายเชื้อพระราชวงศ์ฝ่ายใน การฟ้อนเทียน ครั้งสำคัญที่เราได้ยินเลื่องลือกัน เมื่อคราวที่เจ้าดารารัศมีทรงฝึกหัดหญิงชาวเหนือ ให้ฟ้อนถวายรับ เสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวเสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือ จากนั้นครูนาฏศิลป์ ของกรมศิลปากรได้ฝึกจำมาใช้แสดงจนถึงปัจจุบัน 2.2.5.2 การแต่งกาย โดยผู้แสดงแต่งกายแบบฟ้อนเล็บ คือ การสวมเสื้อแขนกระบอก นุ่งซิ่นมีเชิงกรอม เท้า มุ่นผมมวย มีอุบะห้อยข้างศีรษะ ในมือเป็นสัญลักษณ์ คือ ถือเทียน 1 เล่ม การแต่งกายของฟ้อน เทียนนี้ ปัจจุบันแต่งได้อีกหลายแบบ คืออาจสวมเสื้อในรัดอก ใส่เสื้อลูกไม้ทับแต่อย่างอื่นคงเดิม และ อีกแบบคือสวมเสื้อรัดอก แต่มีผ้าสไบเป็นผ้าทอลายพาดไหล่อย่างสวยงาม แต่ยังคงนุ่งซิ่นกรอมเท้า และมุ่นผมมวย มีอุบะห้อยศีรษะใช้ผู้แสดงเป็นผู้หญิงล้วน นิยมแสดงหมู่คราวละหลายคน โดยจำนวน คนเป็นเลขคู่ เช่น 8 หรือ 10 คน แล้วแต่ความยิ่งใหญ่ของงานนั้น และความจำกัดของสถานที่ 2.2.5.3 เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีที่พื้นเมองภาคอีสาน ประกอบไปด้วย ซึง สะล้อ กลองแอว์ และกลอง ตะโล้ดโป๊ด 2.2.5.4 ลักษณะและวิธีการแสดง ผู้แสดงเป็นหญิงล้วน มือทั้งสองถือเทียนแบบจุดข้างละเล่ม มีการแปรขบวน ควงคู่ สลับแถว เข้าวง นิยมแสดงในเวลากลางคืน


13 กระบวนท่ารำการฟ้อนเทียนจะมีกระบวนท่าที่เคลื่อนไหวค่อนข้างช้าเนิบนาบก้าว เท้าเดินเรียงเท้าไปข้างหน้าหันหน้าด้านขวาและด้านซ้ายใช้กระบวนท่าแม่บท และหากมีเนื้อร้องก็จะ ตีบทไปตามบทร้องด้วยการใช้ภาษาท่ารำและภาษานาฏศิลป์และจะจบด้วยการเข้าซุ้มต่อเทียน 2.2.6 นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ การแสดงพื้นเมืองภาคใต้ ด้วยเหตุที่ภาคใต้เป็นภาคที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศมาลาเซีย และเป็นดินแดนที่ติดทะเล ทำให้เกิดการผสมผสานทั้งทางศาสนา วัฒนธรรม และอารยธรรมจากกลุ่ม ชนหลายเชื้อชาติ เกี่ยวโยงถึงศาสนาและพิธีกรรม จนทำให้นาฏศิลป์และดนตรีในภาคใต้มีลักษณะที่ เป็นเครื่องบันเทิงทั้งในพิธีกรรม และพิธีชาวบ้าน รวมทั้งงานรื่นเริงโดยมีลักษณะการแสดงที่เป็น เอกลักษณ์เฉพาะ คือมีจังหวะที่เร่งเร้า กระฉับกระเฉง ผิดจากภาคอื่นๆ และเน้นจังหวะมากกว่า ท่วงทำนอง โดยมีลักษณะที่เด่นชัดของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีให้จังหวะเป็นสำคัญ ส่วนลีลาท่า รำจะมีความคล่องแคล่วว่องไว สนุกสนาน การแสดงพื้นเมืองภาคใต้มีทั้ง แบบพื้นเมืองเดิมและแบบ ประยุกต์ที่ได้แนวความคิดมาแล้วพัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบใหม่ หรือรับมาบางส่วนแล้วแต่งเติมเข้าไป ปิ่นเกศ วัชรปาณ (2560: 209) 2.2.6.1 ประวัติการแสดงชุดฟ้อนเทียน ตารีกีปัส เป็นระบำพื้นเมืองไทยชาวมุสลิมทางภาคใต้ ใช้พัดประกอบการแสดง ได้รับการฟื้นฟูโดยคณะครูโรงเรียนยะหริ่ง ตำบลยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ควบคุมการฝึกซ้อมโดยนาย สุนทร ปิยวสันต์ ซึ่งได้ไปชมการแสดงในประเทศมาเลเซียเมื่อปี พ.ศ.2518 และได้นำรูปแบบการ แสดงมาปรึกษากับผู้เฒ่าผู้แก่ในจังหวัดและพบว่า มีการแสดงที่คล้ายครึ่งกัน จึงได้ฟื้นฟูการแสดง ขึ้นมาใหม่ โดยนำมาแสดงครั้งแรกในงานเกษียณอายุราชการคุณครู ต่อมาได้มีการถ่ายทอดไปสู่ประชาชนทั่วไปด้วยเปิดสอนให้คณะลูกเสือของจังหวัด ปัตตานี เพื่อนำไปแสดงในงานชุมชนลูกเสือแห่งชาติ ต่อมาได้รับการคัดเลือกให้เป็นชุดเปิดสนามกีฬา เขตแห่งประเทศไทยครั้งที่ 15 ของจังหวัดปัตตานี เมื่อปีพ.ศ. 2525 ทำให้ระบำตารีกีปัสได้เผยแพร่ทั่ว ประเทศไทย และเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่นั้นมา 2.2.6.2 การแต่งกาย การแต่งกายแบบผู้หญิงล้วน แต่งกายตามแบบที่ได้รับการปรับปรุงประดิษฐ์ขึ้นเพื่อ ใช้เป็นการแต่งกายของตารีกีปัส ชุดพิธีเปิดสนามงานกีฬาเขตแห่งประเทศไทย (กีฬาแห่งชาติปัจจุบัน) ครั้งที่ 14 จังหวัดปัตตานี เมื่อปีพ.ศ. 2524 ผู้หญิงสวมเสื้อในนาง ไม่มีแขนสีดำ ผ้านุ่งเป็นโสร่งบาติก หรือผ้าซอแกะ สอดดิ้นเงิน – ทอง ประปรายแบบมาเลเซีย ตัดเย็บแบบหน้านาง หรือเลียนแบบจับจีบ หาไหลผ้าสไบสำหรับคลุมไหล่ จับจีบเป็นโบว์ด้านหน้า สวมเข็มขัด สร้องคอ ต่างหูทัดดอกซัมเป็ง การแต่งกายฝ่ายชายสวมเสื้อตือโล๊ะบลางอ กางเกงขายาว ผ้ายกเงิน ผ้ายกทอง หรือ ผ้าซอแกะ รัดเข็มขัดเป็นแนะ สวมหมวกสีดำ


14 2.2.6.3 เครื่องดนตรี ใช้วงดนตรีพื้นเมืองภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งประกอบไปด้วย ไวโอลิน รำมะนา ฆ้อง แมนโดลิน ขลุ่ย และมาราคา 2.2.6.4 ลักษณะและวิธีการแสดง การแสดงตารีกีปัส มีรูปแบบการแสดงเป็นหมู่ระบำ ซึ่งรูปแบบการแสดงมีอยู่ 2 ลักษณะคือ การแสดงเป็นคู่ ระหว่างผู้ชายผู้หญิง และการแสดงเป็นหมู่ระบำโดยใช้ผู้หญิงแสดงล้วน ลักษณะเฉพาะของระบำตารีกีปัสที่เด่นชัด คือ การเต้นรำโดยการยักย้ายส่ายสะโพก และการเตะเท้า เล่นจังหวะเท้า ตามจังหวะทำนองเพลง และยังมีศิลปะการใช้พัดต่อกันเป็นรูปร่าง ต่าง ๆ รวมทั้งการต่อสัมพันธ์คู่ หรือการต่อแบบสัมพันธ์กลุ่ม ทำให้การแสดงดูตระการตา และเกิด ความประทับใจแก่ผู้ชม และมีทำนองเพลงที่สนุกสนาน 2.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2553: 146) ได้ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า เป็นแบบทดสอบที่วัดความรู้ของผู้เรียนที่ได้เรียนไปแล้ว ซึ่งมักจะเป็น คําถามให้ผู้เรียนตอบด้วยกระดาษ และดินสอ อารมณ์ สนานภู่ (2539:17) ได้ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นผลมาจากการ กระทำที่ต้องอาศัยความสามารถทั้งทางร่างกายและสติปัญญา ดังนั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงเป็น ขนาดของความสำเร็จที่ได้จากการเรียน โดยอาศัยความสามารถ เฉพาะตัวบุคคล ผลสัมฤทธิ์การเรียน อาจได้มาจากกระบวนการที่ไม่ต้องอาศัยการทดสอบ เช่น อาจจะได้จากการสังเกต การตรวจการบ้าน หรืออาจได้มาในรูปของระดับคะแนน ที่ได้จาก โรงเรียน ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการที่ซับซ้อนและ ระยะเวลาที่นาน หรืออาจได้มาด้วยการวัดจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั่วไป ทิศนา แขมมณี (2458: 10) ได้ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ คือการทำให้สำเร็จ ส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การเข้าถึงความรู้มีการพัฒนาทักษะในด้านการเรียน ซึ่งอาจดู ได้จากผลการเรียนที่ได้จากการทดสอบ ไพศาล หวังพานิช (2533: 209) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึงคุณลักษณะ และความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และประสบการณ์การเรียนรู้ ที่เกิดจากการฝึกอบรมและการสั่งสอน การวัดผลสัมฤทธิ์จึงเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถหรือความสัมฤทธิ์ผลของบุคคลว่าเรียนรู้ แล้วเท่าไหร่ มีความสามารถชนิดใด ซึ่งสามารถวัดได้ 2 แบบตามจุดมุ่งหมาย และลักษณะวิชาที่สอน จากความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงระดับผลความสำเร็จของผู้เรียน ที่เกิดจากเหตุแห่งองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา


15 หรือองค์ประกอบที่ไม่ใช่สติปัญญา ซึ่งสามารถวัดได้จากคะแนนในการทำแบบทดสอบ หรือคะแนนที่ ได้มาจากงานที่ได้รับมอบหมาย 2.4 ความพึงพอใจ ประสาท อิศรปรีดา (2557: 300) ให้ความหมายไว้ว่าความพึงพอใจ หมายถึง พลังที่เกิดจาก พลังทางจิต ซึ่งเป็นภาวะภายในที่กระตุ้นพฤติกรรมเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ หรือเป้าหมายที่ต้องการ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2556: 244) ได้อธิบายว่าความพึงพอใจเป็นความรู้สึกของบุคคลที่ มีต่อสิ่งต่าง ๆ หลังจากที่บุคคลได้มีประสบการณ์ในสิ่งนั้น โดยความรู้สึกนั้นเป็น ความรู้สึกทางบวก ภาวิณี เพชรสว่าง (2552: 46) กล่าวว่า ทัศนคติในการทำงานที่มีความสำคัญสำหรับองค์การ คือ ความพึงพอใจในการทำงาน หมายถึง ความรู้สึกหรืออารมณ์ทางบวกโดยเป็นผลจากประสบการณ์ ในการทำงาน รจนา เตชะศรี (2550: 12) กล่าวว่า ความพอใจในการทำงานเป็นความรู้สึก ชอบ พอใจหรือ เต็มใจที่จะปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์มีความสุขในการทำงาน รวมทั้งประโยชน์ที่ได้รับจากการ ปฏิบัติงานนั้น ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2553: 15) ได้ให้ความหมาย ความพึงพอใจในการ ตอบสนองว่า เป็นความรู้สึกพอใจในการร่วมกิจกรรมแบบเต็มใจ และพึงพอใจจนเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เช่น ร้องรำทำเพลง ร่วมกับคนอื่นด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินสนุกกับการเล่นเกม ตัวเลขเป็นต้น สุนทร เพ็ชร์พราว (2551: 17) กล่าวว่า ความพึงพอใจในงาน หมายถึงความรู้สึกของบุคคลที่ มีต่องานและการทำงานนั้น ถ้าบุคคลมีความรู้สึกพร้อมจะเสียสละ ทุกอย่างอุทิศ แรงกาย แรงใจ และ สติปัญญาให้แก่งาน และทางตรงกันข้ามถ้าบุคคลมีความรู้สึกไม่พึงพอใจต่องานก็จะไม่กระตือรือร้นใน การทำงานเพียงทำงานตามหน้าที่ให้เสร็จไปในแต่ละวันเท่านั้น ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานเป็น ความรู้สึกรวมของบุคคลในทางบวกเป็นความสุขของบุคคลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน และได้รับ ผลตอบแทน ความพึงพอใจทำให้บุคคลกระตือรือร้นในการทำงานที่มีความมุ่งมั่นมีขวัญ และกำลังใจ จากสิ่งเหล่านี้ จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกภายในของบุคคลที่พอใจ ชอบใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นทัศนคติในทางบวกและทางลบ


16 2.5 วิจัยที่เกี่ยวข้อง ศรินทิพย์ พิมพเสน (2564) ศึกษางานวิจัยเรื่อง การวิจัยและพัฒนาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอน นาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชุด ออนซอนโพนพิสัย ด้วย รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน สำหรับนักเรียนที่เรียนชุมนุมนาฏศิลป์การวิจัย ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาการพัฒนาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ 2) สร้างและพัฒนา ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอนนาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชุด ออนซอนโพน พิสัย 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 4) ประเมินทักษะปฏิบัติ นาฏศิลป์ 5) ประเมินความพึงพอใจของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชุมนุม นาฏศิลป์ ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้างดงกำพี้ จำนวน 96 คน คัดเลือกโดยใช้เทคนิคการเลือกแบบ เจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ เอกสารประกอบการเรียนการสอนนาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชุด ออนซอนโพนพิสัย แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประเมินทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล คือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า E1 / E2 ค่า E.I. และทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ค่า t-test แบบ Dependent Samples Test ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาการพัฒนาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ พบว่า มี ปัญหาอยู่ในระดับมากที่สุด 2. การสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนการ สอนนาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชุด ออนซอนโพนพิสัย มีประสิทธิภาพ 87.65/88.53 3. ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. ผลการ ประเมินทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ ผู้เรียนมีทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับดีมาก 5. ความพึง พอใจของผู้เรียนมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเอกสารประกอบการเรียนการสอน โดยรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุด พิษณุ เข็มพิลา,สุธีระพงษ์ พินิจพล และประภาพร ศุภตรัยวรพงศ์(2560) ศึกษางานวิจัย เรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์พื้นเมืองอีสาน การวิจัยครั้งนี้มี วัตถุประสงค์คือ 1. เพื่อสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์พื้นเมืองอีสาน 2. เพื่อประเมินผลการสร้างสรรค์ ผลงานนาฏศิลป์พื้นเมืองอีสาน 3. เพื่อนำเสนอผลงานการสร้างสรรค์ผลนาฏศิลป์พื้นเมืองอีสานใน รูปแบบของสื่อสู่ชุมชน ประชากร และกลุ่มเป้าหมายได้แก่นักศึกษาหลักสูตรสาขาวิชานาฏศิลป์และ การละครชั้นปีที่ 4 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ประจำปี การศึกษา 2559 จำนวน 26 คน คัดเลือกโดยวิธีการเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้วิธีการ วิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ทำการทดลองโดยทำความเข้าใจและข้อตกลงในการเรียน การสอน แล้วแบ่งกลุ่มศึกษาสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์พื้นเมืองอีสาน ผลการวิจัยพบว่า การ สร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์พื้นเมืองอีสาน ของนักศึกษาหลักสูตรสาขาวิชานาฏศิลป์และการละครที่ได้ สร้างสรรค์ขึ้น มีความเหมาะสมสวยงาม สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนและเผยแพร่สู่ชุมชนได้


17 อภิรดี สังขพันธ์ (2556) ศึกษางานวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา กฎหมาย พาณิชย์โดยใช้สื่อ Power Point ของนักเรียนระดับชั้นปวช.ปีที่2 (แผนกวิชาธุรกิจค้าปลีก) วิทยาลัย เทคโนโลยี ปัญญาภิวัฒน์ ผลการศึกษาพบว่า ดังนี้ความคิดเห็นเรื่องตัวอักษรและสีที่ใช้สื่อ ความหมาย เข้าใจง่ายเฉลี่ยอยู่ระดับที่ 4.40 หมายถึงความพึงพอใจอยู่ในระดับมากรองลงมาความ คิดเห็นเรื่อง เนื้อหาสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของรายวิชาเฉลี่ยอยู่ระดับที่ 4.26 หมายถึงมีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมาก รองมาเรื่องเข้าใจเนื้อหาบทเรียนชัดเจนเฉลี่ยอยู่ระดับที่ 4.16 หมายถึงความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมาก รองมาเรื่องเนื้อหาน่าสนใจและมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันเฉลี่ยอยู่ระดับที่ 4.13 หมายถึงมี ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก และอันดับสุดท้ายความคิดเห็นเรื่องสไลด์ในการนำเสนอมีความ เหมาะสมเฉลี่ยอยู่ระดับที่ 4.03 ระดับความพึงพอใจของผู้เรียน ด้านประสิทธิภาพบทเรียนผ่านสื่อ Power Point รายวิชากฎหมายพาณิชย์ เฉลี่ยอยู่ระดับที่ 4.21 ทั้งนี้สามารถสรุปความพึงพอใจของ ผู้เรียนด้านประสิทธิภาพบทเรียนผ่านสื่อ Power Point รายวิชา กฎหมายพาณิชย์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.21 หมายถึงความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก นุชจิรา แจ่มกระจ่าง (2553) ได้ศึกษางานวิจัย เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาอังกฤษโดยใช้สื่อ Power Point ในเรื่อง Space สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน อัสสัมชัญธนบุรี ผลการศึกษาสรุปผลดังนี้ 1) สื่อประกอบการเรียน Power Point วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง Space ทำให้ผลคะแนนของการทดสอบหลังเรียนมีคะแนนสูงขึ้นกว่าผลคะแนนทดสอบก่อน เรียน คิดเป็นร้อยละ 38.03 2) แบบประเมินการใช้สื่อ Power Point เรื่อง Space นักเรียนมีความพึง พอใจมากที่สุดถึงร้อยละ 62.74 ในเรื่องการลำดับขั้นตอนในการนำเสนอเนื้อหา และภาษาที่ใช้มีความ เหมาะสมถูกต้อง นิตยา ฉัตรเมืองปัก (2550) ได้ศึกษางานวิจัยเรื่องการใช้สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดสื่อการ สอนโปรแกรม Microsoft Power Point รายวิชานิทรรศการงานห้องสมุด รหัสวิชา ง 40213 เรื่องการจัดนิทรรศการห้องสมุด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนมัธยมราชวินิต การดำเนินการครั้งนี้มี จุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพและของสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดสื่อการสอนโปรแกรม Microsoft Power Point รายวิชานิทรรศการงานห้องสมุด รหัสวิชา ง 40213 เรื่องการจัดนิทรรศการ ห้องสมุด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 85/85 และหาความพึงพอใจในการเรียน ของผู้เรียนที่มีต่อ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดสื่อการสอนโปรแกรม Microsoft Power Point กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราชวินิตมัธยมที่ลงทะเบียน เรียนวิชาสาระเพิ่มเติมกลุ่มสาระการ เรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี รายวิชานิทรรศการงาน ห้องสมุด รหัสวิชา ง 40213 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 25 คน โดยได้มาจากการสุ่ม ตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการ ได้แก่ สื่อคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ชุดสื่อการสอนโปรแกรม Microsoft Power Point เรื่องการจัดนิทรรศการห้องสมุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 50 ข้อ เป็นแบบปรนัย เลือกตอบ 4 ตัวเลือก ซึ่งมีค่า


18 ความยากง่ายค่าอำนาจจำแนกรายข้อตั้งแต่ 0.43 ถึง 0.76 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.79 แบบ ประเมินคุณภาพของสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดสื่อการสอนโปรแกรม Microsoft Power Point สำหรับผู้เชี่ยวชาญมีคุณภาพด้านเนื้อหามีค่าเฉลี่ย 4.53 ในระดับดีมากและด้านเทคโนโลยีการศึกษา มีค่าเฉลี่ย 4.44 ในระดับดี และแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนของผู้เรียนที่มีต่อ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดสื่อการสอนโปรแกรม Microsoft Power Point เป็นมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 10 ข้อ มีค่าเฉลี่ย 4.02 ในระดับมาก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการ ดำเนินการครั้งนี้ พบว่า สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดสื่อการสอนโปรแกรม Microsoft Power Point ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 86.73/88.33 มีความพึงพอใจในการเรียนของผู้เรียนเท่ากับ 4.02 และมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงว่า สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดสื่อการสอนโปรแกรม Microsoft Power Point เป็นสื่อการสอนที่มีความเหมาะสมมีประโยชน์สามารถนำไปใช้สอนได้ผลดี และ นักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนต่อสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนชุดสื่อการสอนโปรแกรม Microsoft Power Point เรื่องการจัดนิทรรศการห้องสมุดที่พัฒนาอยู่ในระดับมาก และผู้เรียนที่เรียนโดยใช้ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดสื่อการสอนโปรแกรม Microsoft Power Point รายวิชานิทรรศการงาน ห้องสมุด รหัสวิชา ง 40213 เรื่องการจัดนิทรรศการห้องสมุด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราชวินิต มัธยม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยสรุป สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดสื่อ การสอนโปรแกรม Microsoft Power Point รายวิชานิทรรศการงานห้องสมุด รหัสวิชา ง 40213 เรื่องการจัดนิทรรศการห้องสมุด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสามารถนำ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดสื่อการสอนโปรแกรม Microsoft Power Point ที่สร้างขึ้นไปประยุกต์ใช้ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาอื่น ๆ ได้ตามความเหมาะสม และพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ชุดสื่อการสอนโปรแกรม Microsoft Power Point ที่มีคุณภาพต่อไป นพดล ทองสุระวิโรจน์ ( 2555 ) ได้ศึกษางานวิจัย เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของ นักศึกษาปวส.2/4 วิทยาลัยเทคโนโลยียานยนต์ วิชาเชื้อเพลิงและวัสดุหล่อลื่น เรื่องน้ำมันหล่อลื่นโดยการ สอนแบบบรรยายด้วยสื่อ Power Point การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษาใน วิชาเชื้อเพลิงและวัสดุหล่อลื่น เรื่องน้ำมันหล่อลื่นระดับชั้น ปวส. 2/4 สาขางานเทคนิคยานยนต์ ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2555 จำนวน 36 คน โดยใช้วิธีการสอนใน รูปแบบบรรยายด้วยสื่อ Power Point เพื่อเพิ่ม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเชื้อเพลิงและวัสดุหล่อลื่น เรื่องน้ำมันหล่อลื่น ให้นักศึกษามีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ของนักศึกษาทั้งหมด กลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักศึกษาชั้น ปวส.2/4 แผนกวิชาช่างยนต์จำนวน 36 คน เครื่องมือในการ วิจัยเป็นแบบทดสอบความรู้เรื่องน้ำมันหล่อลื่น ในการวิเคราะห์หาค่าร้อยละ เปรียบกับเกณฑ์ที่ กำหนด คือ ร้อยละ 60 ระหว่างการทดสอบ ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่าสอนในแบบบรรยาย ด้วยสื่อ Power Point ซึ่งผลคะแนนจากการประเมินหลังทำกิจกรรมการเรียนการสอนผู้ได้คะแนนสูงสุด


19 อยู่ที่ร้อยละ 90 ของคะแนน ส่วนต่ำสุดร้อยละ 40 ของคะแนน เกณฑ์การประเมินต่ำสุดที่ยอมรับได้ ร้อยละ 60 ของคะแนน จึงมีผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ถึง 7 คน จากจำนวนทั้งหมด 36 คน คิดเป็นร้อยละ 19.444 จัดว่าต่ำกว่า เกณฑ์การประเมินที่ยอมรับได้จากการสังเกตของผู้สอน พบว่า นักศึกษาพูดคุย กันระหว่างที่ทำการอธิบายอยู่ บ่อยครั้ง ส่วนผู้ที่ผ่านเกณฑ์มี29 คน จากจำนวนทั้งหมด 36 คน คิด เป็นร้อยละ 80.556 จัดว่าอยู่ในเกณฑ์การประเมินที่ยอมรับได้และนักศึกษาทุกคนมีคะแนนการ พัฒนาเพิ่มสูงขึ้นทุกคน ตั้งแต่ 1 ถึง 5 คะแนน คิดเป็น ร้อยละ 100 ของนักศึกษาทั้งหมด ซึ่งสูงกว่า วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ว่าไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของนักศึกษาทั้งหมด


20 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย วิจัยในชั้นเรียนการพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยการใช้สื่อการสอน PowerPoint ในรายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์ ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการ ตามขั้นตอนดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3 ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.4 วิธีดำเนินการวิจัย 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2.1 ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัด ศรีดอนไชยจำนวน 6 ห้อง 113 คน 3.2.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัด ศรีดอนไชย ที่ศึกษาเรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 1 ห้อง 31 คน 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3.1 สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง 3.3.2 แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง จำนวน 1 แผน 3.3.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1 ชุด ซึ่งเป็นแบบชนิดเลือกตอบจำนวน 10 ข้อ 3.3.4 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอน Power Point เรื่อง นาฏศิลป์พื้นเมือง 3.3 ขั้นตอนและวิธีการสร้างเครื่องมือ 3.3.1 สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง ผู้วิจัยดำเนินการสร้างสื่อตาม ขั้นตอนดังต่อไปนี้ 3.3.1.1 ศึกษาข้อมูลจากเอกสาร ตำรา ข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ รวมถึงสื่อ Power Point และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสื่อสอน Power Point เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาสื่อ


21 3.3.1.2 วิเคราะห์เนื้อหาบทเรียน รวบรวมข้อมูล แล้วนำมาเขียน storyboard เรียงลำดับการนำเสนอเนื้อหา แบ่งเนื้อหาออกเป็นหมวดหมู่ พร้อมลงรายละเอียดภาพ เสียง และ คำบรรยาย 3.3.1.3 นำเนื้อหาบทเรียนที่เขียนสตอรี่บอร์ดเสร็จเรียบร้อยแล้วเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบความถูกต้อง และนำกลับมาปรับปรุงแก้ไข 3.3.1.4 นำเนื้อหาบทเรียนที่ปรับปรุงถูกต้องสมบูรณ์แบบเสร็จเรียบร้อยแล้วมาสร้าง เป็นสื่อการสอน Power Point 3.3.1.5 นำสื่อการสอน Power Point ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปทดลองใช้กับ นักเรียนกลุ่มทดลอง 3.3.2 แผนจัดการเรียนรู้เรื่องละครในยุคสมัยต่าง ๆ ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยมีขั้นตอนการสร้าง แผนจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 3.3.2.1 ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3.3.2.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ตัวชี้วัด และมาตรฐานการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่ 3 นาฏศิลป์ เนื้อหาที่ นำมาใช้ในการเรียนการสอนเกี่ยวกับ เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ และนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ 3.3.2.3 ศึกษารายละเอียดด้านเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง 3.3.2.4 จัดทำแผนการจดการเรียนรู้ เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง จำนวน 1 แผน ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง 3.3.2.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องละครในยุคสมัยต่าง ๆ ไปทดลองหาคุณภาพ ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ ได้แก่ สื่อการสอน Power Point และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดศรีดอนไชย 3.3.2.6 ปรับปรุงและแก้ไขข้อบกพร่องของแผนการจัดการเรียนรู้ และนำไปทดลอง ใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3.3.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1 ชุด ซึ่งเป็นแบบชนิดเลือกตอบจำนวน 10 ข้อ มีขั้นตอนในการสร้างดังนี้ 3.3.3.1 ศึกษาข้อมูลจากเอกสาร ตำรา ข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ รวมถึงงานวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหลักสูตรคู่มือการวัดผลประเมินผล 3.3.3.2 ศึกษาวิธีการสร้างข้อสอบเพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตัวเลือกจำนวน 10 ข้อให้ครอบคลุมเนื้อหา และจุดประสงค์


22 3.3.3.3 นำแบบทดสอบที่สร้างเสร็จแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินค่าดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) ระหว่างแบบทดสอบกับวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ โดยมีเกณฑ์ในการให้ คะแนนดังนี้ +1 หมายถึง แน่ใจว่าบททดสอบมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ - 1 หมายถึง แน่ใจว่าบททดสอบไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ 3.3.3.4 นำแบบทดสอบไปทดลองกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนชุมชน เทศบาลวัดศรีดอนไชยจำนวน 31 คน เพื่อเก็บข้อมูลต่อไป 3.3.4 แบบประเมินความพึงพอใจต่อสื่อการสอน Power Point ผู้วิจัยดำเนินการสร้างแบบ ประเมินและหาคุณภาพของแบบประเมินตามขั้นตอนต่อไปนี้ 3.3.4.1 ศึกษาข้อมูลจากเอกสาร ตำรา ข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ รวมถึงงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องกับการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบประเมินความพึงพอใจ 3.3.4.2 สร้างแบบประเมินความพึงพอใจ โดยกำหนดค่าของแบบประเมินเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยกำหนดระดับคะแนนไว้ 5 ระดับ ดังนี้ ให้คะแนน 5 ระดับความพึงพอใจ มากที่สุด ให้คะแนน 4 ระดับความพึงพอใจ มาก ให้คะแนน 3 ระดับความพึงพอใจ ปานกลาง ให้คะแนน 2 ระดับความพึงพอใจ น้อย ให้คะแนน 1 ระดับความพึงพอใจ น้อยที่สุด เกณฑ์การแปลความหมาย ค่าเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ มาก ค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ ปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ น้อย ค่าเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ น้อยที่สุด 3.3.4.3 นำแบบประเมินความพึงพอใจที่สร้างขึ้นให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบ ความถูกต้องแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ก่อนนำไปใช้จริง


23 3.4 วิธีดำเนินการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้มีการวางแผนและดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 3.4.1 การจัดเตรียมโครงการวิจัย เพื่อให้เกิดระบบการดำเนินการตามโครงการอย่างเป็น ขั้นตอน โดยศึกษาเอกสาร ตำรา ข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ รวมถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาสร้าง พัฒนาและปรับปรุงเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.4.2 สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และนำเสนอผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบความ สอดคล้องเพื่อหาคุณภาพของเครื่องมือ แล้วนำกลับมาพัฒนาและปรังปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ 3.4.3 นำเครื่องมือที่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงมาใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ศึกษาเรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 1 ห้อง 31 คน 3.1.4 เก็บรวมรวมข้อมูลที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างและผู้เชี่ยวชาญนำมาวิเคราะห์ สรุปผลและ นำเสนอผลการวิจัย โดยจัดทำเป็นรูปเล่มฉบับสมบูรณ์ 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างในการทำวิจัยตามขั้นตอนดังนี้ 3.5.1. ผู้วิจัยดำเนินการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาและเก็บ ข้อมูลเพื่อเข้าพบ และชี้แจงวัตถุประสงค์และขอความร่วมมือในการทำวิจัย 3.5.2 ผู้วิจัยชี้แจงให้ทราบถึงรายละเอียดที่สำคัญ เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้สื่อการสอน Power Point ก่อนการสอนจริง 3.5.3 ให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน 3.5.4 จากนั้นผู้วิจัยได้ทำการทดลองสอนโดยใช้สื่อการสอน Power Point จำนวน 1 แผน 2 คาบ คาบเรียนละ 60 นาที รวม 120 นาที 3.5.5 เมื่อเรียนจบ ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียน 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวมข้อมูลมาจากกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้โปรแกรมทางสถิติสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ข้อมูลและมีขั้นตอนในการวิเคราะห์ โดยนำข้อมูล จากแบบประเมินที่ได้เก็บรวบรวมมาจำแนกเปลี่ยนข้อมูลเป็นรหัสตัวเลข (Code) แล้วป้อนข้อมูลลง ในโปรแกรมเพื่อดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล 3.6.1 การวิเคราะห์ข้อมูลได้แบ่งการวิเคราะห์ข้อมูลไว้ดังนี้ 3.6.1.1 อธิบายคุณภาพเครื่องมือ หาค่าความสอดคล้องของแบบทดสอบ เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยใช้สูตร (IOC)


24 3.6.1.2 วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนที่เรียนด้วยสื่อการ สอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง วิเคราะห์โดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 3.6.1.3 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อการ สอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent 3.6.1.4 วิเคราะห์ค่าระดับความพึงพอใจต่อสื่อการสอน Power เรื่องนาฏศิลป์ พื้นเมือง ในงานวิจัย โดยใช้สถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) 3.6.2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมทางสถิติสำเร็จรูป ในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าทางสถิติดังนี้ 3.6.2.1 สถิติวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ ค่าดัชนีความสอดคล้องของส่วนประกอบ IOC = ΣR N เมื่อ ICO แทน ดัชนีความสอดคล้อง R แทน คะแนนของผู้ทรงคุณวุฒิ Σ R แทน ผลรวมคะแนนของผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละคน N แทน จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิ 3.6.2.2 ค่าเฉลี่ย (Mean) = ∑ เมื่อ µ แทน ค่าเฉลี่ย ∑ X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง


25 3.6.2.3 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) σ = ∑2 − (∑X) 2 ( − 1) เมื่อ แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน N แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง ∑X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ∑X2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละข้อยกกำลังสอง (∑X) 2 แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกำลังสอง 4) สถิติทดสอบที (t-test แบบ dependent) = ∑ √ ∑ 2 − (∑ ) 2 − 1 เมื่อ t แทน ค่าสถิติทดสอบที D แทน ผลต่างของคะแนนแต่ละคู่ n แทน จำนวนคู่หรือจำนวนตัวอย่าง 3.6.2.4 การอภิปรายผลข้อมูล ผู้วิจัยนำผลจากการวิเคราะห์ทั้งหมดมานำเสนอใน รูปแบบตาราง ประกอบคำอธิบาย


26 บทที่ 4 ผลการวิจัย ในการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยการใช้สื่อการสอน PowerPoint ในรายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์ ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบตาราง และความเรียงดังนี้ 4.1 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลแบ่งออกเป็น 4 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 อธิบายคุณภาพเครื่องมือ หาค่าความสอดคล้องของเรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยใช้ สูตร (IOC) ตอนที่ 2 วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนที่เรียนด้วยสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง วิเคราะห์โดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation) ตอนที่ 3 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent ตอนที่ 4 วิเคราะห์ค่าระดับความพึงพอใจต่อสื่อการสอน Power เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง ในงานวิจัย โดยใช้สถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 อธิบายคุณภาพเครื่องมือ หาค่าความสอดคล้องของแบบทดสอบ เรื่องนาฏศิลป์ พื้นเมือง โดยใช้สูตร (IOC) ตารางที่ 4.1 ผลค่าความสอดคล้อง IOC ระหว่างแบบทดสอบกับวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง (N=3) แบบทดสอบ IOC ความหมาย การแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นด้านการแต่งการ คนตรี ประกอบการแสดง และท่าทางร่ายรำ คือการแสดงนาฏศิลป์ประเภท ใด 1 สอดคล้อง ข้อใดคือความหมายของนาฏศิลป์พื้นเมือง 1 สอดคล้อง ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง 1 สอดคล้อง นาฏศิลป์พื้นเมืองของภาคใดมีลักษณะเชื่องช้า ละเมียดละไม 1 สอดคล้อง


27 แบบทดสอบ IOC ความหมาย การแสดงของภาคใดมีลักษณะเป็นการเต้นประกอบดนตรี เน้นลีลาการ เคลื่อนไหวของมือและเท้าเป็นหลัก 1 สอดคล้อง ข้อใดเป็นชื่อเรียกการแสดงรำพื้นเมืองของภาคอีสาน 1 สอดคล้อง ข้อใดเป็นชื่อเรียกการแสดงรำพื้นเมืองของภาคเหนือ 1 สอดคล้อง ข้อใดไม่จัดเป็นกลุ่มวัฒนธรรมท้องถิ่นอีสาน 1 สอดคล้อง การแสดงกลองยาวภาคกลาง ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศใด 1 สอดคล้อง การแสดงพื้นบ้านของภาคกลางส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากข้อใด 1 สอดคล้อง ค่าเฉลี่ยโดยรวม 1.00 สอดคล้อง จากตารางที่ 4.1 ผลค่าความสอดคล้อง IOC ระหว่างแบบทดสอบกับวัตถุประสงค์ในการ เรียนรู้เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง แสดงให้เห็นว่าการประเมินค่าความสอดคล้องของแบบทดสอบเรื่อง นาฏศิลป์พื้นเมือง ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมีค่าดัชนีสอดคล้องอยู่ที่ระดับ 1.00 สรุปได้ว่า ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นว่าแบบทดสอบเรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง มีความสอดคล้องกัน ตอนที่ 2 วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนที่เรียนด้วยสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง วิเคราะห์โดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation) ตารางที่ 4.2 ผลคะแนนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง คนที่ ทดสอบก่อนเรียน (pre-test) (10 คะแนน) ทดสอบหลังเรียน (post-test) (10 คะแนน) 1 5 8 2 4 6 3 4 6 4 5 7 5 6 9 6 6 9 7 5 8 8 4 6


28 คนที่ ทดสอบก่อนเรียน (pre-test) (10 คะแนน) ทดสอบหลังเรียน (post-test) (10 คะแนน) 9 6 7 10 6 8 11 3 5 12 4 7 13 5 8 14 6 9 15 4 8 16 7 8 17 6 7 18 6 9 19 4 8 20 7 7 21 5 7 22 4 6 23 6 7 24 6 9 25 7 8 26 7 8 27 5 7 28 6 9 29 6 9 30 5 8 31 5 9 5.32 7.64 S.D. 1.07 1.11 ตารางที่ 4.2 แสดงผลคะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียนโดยใช้สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง จากแบบทดสอบชุดเดียวกัน


29 จำนวน 10 ข้อ ที่ผ่านการประเมินค่าความสอดคล้องจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว จากผลการทดสอบพบว่า หลังการเรียนโดยใช้สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง นักเรียนมีค่าเฉลี่ยของคะแนน สูงขึ้นกว่าก่อนเรียนโดยมีค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังเรียน 7.64 ( =7.67) และค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อน เรียน 5.32 ( = 5.32) แสดงว่าการเรียนโดยใช้สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง ช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น ตอนที่ 3 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent ตารางที่ 4.3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง การทดสอบ n S.D. t Sig. ก่อนเรียน 31 5.32 1.07 12.768 .001 หลังเรียน 31 7.64 1.11 จากตารางที่ 4.3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อการ สอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อ การสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ 0.01 โดยมีค่า t = 12.768 ตอนที่ 4 วิเคราะห์ค่าระดับความพึงพอใจต่อสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์ พื้นเมือง ในงานวิจัยโดยใช้สถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) ตารางที่ 4.4 ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง รายการประเมิน S.D. ระดับความพึงพอใจ เนื้อหาของบทเรียนชัดเจน เข้าใจง่าย 4.64 0.55 มากที่สุด เนื้อหามีความยากง่ายเหมาะสมกับ ผู้เรียน 4.51 0.62 มากที่สุด เนื้อหามีความสอดคล้องกับบทเรียน 4.61 0.49 มากที่สุด


30 นักเรียนได้รับความรู้และเข้าในเนื้อหา การเรียนมากขึ้น 4.64 0.60 มากที่สุด รวม 4.60 0.56 มากที่สุด สื่อมีความทันสมัย 4.19 0.70 มาก สื่อสามารถเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน 4.64 0.48 มากที่สุด สื่อสามารถดึงดูดความสนใจของ นักเรียน 4.77 0.42 มากที่สุด สื่อมีความเหมาะสมในการนำไปใช้ใน การเรียนการสอน 4.70 0.52 มากที่สุด รูปแบบสื่อสวยงาม น่าสนใจ 4.67 0.54 มากที่สุด รวม 4.59 0.53 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยโดยรวม 4.59 0.54 มากที่สุด จากตารางที่ 4. ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.59 ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.54 เมื่อพิจารณาในรายด้านแต่ละด้าน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจ ด้านเนื้อหาอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.60 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 รองลงมาด้านสื่ออยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.59 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.53 ตามลำดับ


31 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ จากการทำวิจัยในชั้นเรียน เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยการใช้ สื่อการสอน PowerPoint ในรายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง และศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง สามารถสรุป ผลการวิจัยได้ ดังนี้ 5.1 สรุปผลการวิจัย การเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยการใช้สื่อการสอน PowerPoint ในรายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์ สามารถสรุปผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ได้ดังนี้ 5.1.1 จากการสอนโดยใช้สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง พบว่า ค่าเฉลี่ย คะแนนก่อนเรียน คือ 5.32 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 1.07 และค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียน คือ 7.64 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 1.11 และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียนและค่าเฉลี่ย คะแนนหลังเรียน พบว่า มีค่า t-test เท่ากับ 12.768 และค่า Sig. เท่ากับ 0.01 แสดงว่าการการสอน โดยใช้สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง ทำให้นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดีขึ้น 5.1.2 การสำรวจความพึงพอใจที่มีต่อสื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจด้านเนื้อหาอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.60 ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 รองลงมาด้านสื่ออยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.59 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.53 ตามลำดับ 5.2 อภิปรายผล จากการทำวิจัยในชั้นเรียน เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยการใช้สื่อ การสอน PowerPoint ในรายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์ สามารถอภิปรายผล ได้ดังนี้ 5.2.1 จาการวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์โดยการใช้สื่อการสอน Power Point พบว่า การใช้สื่อ การสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น สอดคล้องกับงานวิจัยของ ศรินทิพย์ พิมพเสน (2564) ศึกษางานวิจัยเรื่อง การวิจัยและพัฒนาทักษะ ปฏิบัตินาฏศิลป์ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอน นาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชุด ออนซอน โพนพิสัย ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน สำหรับนักเรียนที่เรียนชุมนุม นาฏศิลป์การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาการพัฒนาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ 2) สร้าง และพัฒนาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอนนาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์


32 ชุด ออนซอนโพนพิสัย 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 4) ประเมิน ทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ 5) ประเมินความพึงพอใจของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชุมนุมนาฏศิลป์ ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้างดงกำพี้ จำนวน 96 คน คัดเลือกโดยใช้ เทคนิคการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ เอกสารประกอบการเรียนการสอน นาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชุด ออนซอนโพนพิสัย แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประเมินทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า E1 / E2 ค่า E.I. และทดสอบ สมมุติฐานโดยใช้ค่า t-test แบบ Dependent Samples Test ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาการพัฒนา ทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ พบว่า มีปัญหาอยู่ในระดับมากที่สุด 2. การสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพของ เอกสารประกอบการเรียนการสอนนาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชุด ออนซอนโพนพิสัย มีประสิทธิภาพ 87.65/88.53 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. ผลการประเมินทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ ผู้เรียนมีทักษะปฏิบัติ นาฏศิลป์เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับดีมาก 5. ความพึงพอใจของผู้เรียนมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย เอกสารประกอบการเรียนการสอน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 5.2.2 การสำรวจความพึงพอใจที่มีต่อสื่อการสอน Power Point พบว่า ความพึงพอใจของ นักศึกษาที่มีต่อเรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง อยู่ในระดับมากที่สุด สอดคล้องกับงานวิจัยของ อภิรดีสังขพันธ์ (2556) ศึกษางานวิจัยเรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชากฎหมายพาณิชย์ โดยใช้สื่อ Power Point ของนักเรียนระดับชั้นปวช.ปีที่ 2 ได้สำรวจความพึงพอใจต่อสื่อ PowerPoint วิชากฎหมายพาณิชย์ อยู่ในระดับมาก และนุชจิรา แจ่มกระจ่าง (2553) ได้ศึกษางานวิจัย เรื่องการ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาอังกฤษโดยใช้สื่อ Power Point ในเรื่อง Space สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี พบว่า สื่อประกอบการเรียน Power Point วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง Space ทำให้นักเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุดถึง ร้อยละ 62.74 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.3.1 ผู้สอนควรเพิ่มเนื้อหาใบบทเรียนให้ละเอียดยิ่งขึ้น 3.5.2 ผู้สอนควรจัดการเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรมเพาเวอร์พอยท์ในการสอนวิชาอื่นๆ เพราะน่าสนใจและส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้นกว่าการบรรยาย


33 บรรณานุกรม เครือจิต ศรีบุญนาค. (2554). นาฏกรรมพื้นบ้านอีสาน. โครงการจัดทำตำราและงานวิจัยเฉลิมพระ เกียรติ 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์. ทิศนา แขมมณี. (2458). ศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อการจัดการกระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย. นิตยา ฉัตรเมืองปัก. (2550). การจัดทำและผลการใช้สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดสื่อการ สอน โปรแกรม Microsoft PowerPoint รายวิชานิทรรศการงานห้องสมุด รหัสวิชา ง 40213 เรื่องการจัดนิทรรศการห้องสมุด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ : โรงเรียนราชวินิต มัธยม. นุชจิรา แจ่มกระจ่าง. (2553). การพัฒนาการเรียนวิชาภาษาอังกฤษในเรื่อง“Space” สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้สื่อการสอน PowerPoint. งานวิจัยในชั้นเรียน โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี. นพดล ทองสุระวิโรจน์. (2555). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยี ยานยนต์ วิชาเชื้อเพลิงและวัสดุหล่อลื่น เรื่องน้ำมันหล่อลื่น โดยการสอนแบบบรรยายด้วย สื่อ PowerPoint. งานวิจัยในชั้นเรียน วิทยาลัยเทคโนโลยียานยนต์สำนักงานคณะกรรมการ การส่งเสริมการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ. ประสาท อิศรปรีดา. (2557). สารัตถะจิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ: นำอักษรการพิมพ์. ปิ่นเกศ วัชรปาณ. (2560). เอกสารประกอบการสอนรายวิชานาฏศิลป์พื้นเมือง.คณะครุศาสตร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี, อุดรธานี. ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. (2556). จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่งเสริมกรุงเทพ. พิษณุ เข็มพิลา,สุธีระพงษ์ พินิจพล และประภาพร ศุภตรัยวรพงศ์. (2560). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์พื้นเมืองอีสาน. คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, มหาสารคาม. ไพศาล หวังพานิช. (2533). การวัดผลการศึกษา. กรุงเทพฯ: สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ภัสฉัฐ ภาคีฉาย. (2561). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์โดยการใช้สื่อ PowerPoint ในรายวิชา การค้าปลีก และการค้าส่งของนักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 3 สาขา วิชาการ ตลาดวิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: สาขาวิชา การตลาด, วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ.


34 รจนา เตชะศรี. (2550). ความพึงพอใจของครูต่อการบริการงานของผู้บริหารโรงเรียนสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสระแก้วเขต 1. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชา การบริหารการศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยบูรพา, ชลบุรี. เรณูโกสินานนท์. (2558). นาฏยศัพท์ภาษาท่านาฏศิลป์. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2553). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่3. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาสน์. วิชยุตม์ ศรีสะอาด. (2560). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ Power Point กับการ บรรยาย วิชากฎหมายพาณิชย์ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: สาขาวิชาการตลาด, วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ. สุนทร เพ็ชรพราว. (2551). ความพึงพอใจของครูต่อการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจันทรบุรี 1. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัย บูรพา, ชลบุรี. สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์ และ สุมนรตี นิ่มเนติพันธ์. (2547). หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ นาฏศิลป์ ม.4 – ม.6. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์. ศรินทิพย์ พิมพเสน. (2564). เรื่องการวิจัยและพัฒนาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ โดยใช้เอกสาร ประกอบการเรียนการสอน นาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชุด ออนซอนโพนพิสัย ด้วย รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน สำหรับนักเรียนที่เรียนชุมนุม นาฏศิลป์. หนองคาย. อมรา กล่ำเจริญ. (2531). สุนทรียนาฏศิลป์ไทย. กรุงเทพฯ: โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์. อภิรดี สังขพันธุ์. (2556). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนักเรียน ระดับชั้น ปวช.ปีที่ 2 โดยใช้สื่อการสอน PowerPoint. งานวิจัยในชั้นเรียน วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์. อารมณ์ สนานภู่. (2539). ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับงานวิจัย. ราชบัณฑิตยสถาน, . กรุงเทพฯ.


35 ภาคผนวก


36 ภาคผนวก ก สื่อการสอน Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง


37


38


39 ภาคผนวก ข แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง


40 แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ รายวิชานาฏศิลป์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 นาฏศิลป์ไทย ท้องถิ่นไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง นาฏศิลป์พื้นเมือง เวลา 2 ชั่วโมง สอนวันที่ …………………..เดือน…………………….พ.ศ……………………. ภาคเรียนที่2/2565 ครูผู้สอน นางสาวพิมพลอย สุรินทะ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัด มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของนาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นภูมิปัญญาไทยและสากล ตัวชี้วัด ศ 3.2 ม.2/1 เปรียบเทียบลักษณะเฉพาะของ การแสดงนาฏศิลป์จากวัฒนธรรม ต่างๆ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ (Knowledge) 1. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง 2. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน 3. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ 4. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ 2.2 ด้านทักษะและกระบวนการ (Process) 1. มีทักษะในการเปรียบเทียบลักษณะเฉพาะของนาฏศิลป์พื้นเมืองได้ 2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attitude) (คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551) 1. ใฝ่เรียนรู้ 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การแสดงที่เกิดขึ้นตามท้องถิ่นและตามพื้นที่ต่างๆ ของแต่ละภูมิภาค โดยอาจมีการพัฒนา ดัดแปลง มาจากการละเล่นพื้นเมืองของท้องถิ่นนั้นๆ การแสดงพื้นเมือง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ที่บรรพบุรุษ ไทยได้สั่งสม สร้างสรรค์ และสืบทอดไว้เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เรียนรู้และรักใน คุณค่าในศิลปะไทยในแขนงนี้ เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทย และพร้อมที่จะช่วยสืบทอด จรรโลง และ ธำรงไว้เป็นสมบัติของชาติสืบไป


41 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการคิด 4.2 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. สาระการเรียนรู้ 5.1 นาฏศิลป์พื้นเมือง 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้ชั่วโมงที่ 1 ขั้นนำ 1. นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน 2. ครูเปิดรูปการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง ทั้ง 4 ภาค ให้นักเรียนดู จากนั้น ครูตั้งคำถามกับรักเรียนตาม หัวข้อดังนี้ - นักเรียนรู้จัก หรือเคยเห็นการแสดงที่ครูเปิดรูปให้ดูข้างต้นหรือไม่ 3. ครูสนทนากับนักเรียนเรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง จากนั้นโยงเนื้อหาเข้าสู่การเรียนรู้ ขั้นการจัดการเรียนรู้ 1. ครูเปิดสื่อการสอน Power Point อธิบายองค์ความรู้เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง ให้นักเรียนดู ตามหัวข้อดังนี้ - นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง ชุดรำกลองยาว - นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสานชุดเซิ้งสวิง - นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ ชุดรำกลองฟ้อนเทียน - นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ชุดตารีกีปัส 2. ครูอธิบายรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม โดยให้ครอบคลุมเนื้อหานาฏศิลป์พื้นเมืองทั้ง 4 ภาค และ ยกตัวอย่างการเปรียบเทียบลักษณะเฉพาะของนาฏศิลป์พื้นเมือง 3. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน พร้อมทั้งครูอธิบายเพิ่มเติมในส่วน ที่นักเรียนสงสัย โดยใช้คำที่ตรงไปตรงมา และเข้าใจง่าย ชั่วโมงที่ 2 1. จากนั้นครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบเรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง จำนวน 10 ข้อ ขั้นสรุป 1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมืองครบทั้ง 4 ภาค 7. ภาระงาน / ชิ้นงาน / ร่องรอย / หลักฐานการเรียนรู้ 7.1 แบบทดสอบเรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง


42 8. แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียน ดนตรี-นาฏศิลป์ ป.5 8.2 Power Point เรื่องนาฏศิลป์พื้นเมือง 9. การวัดและประเมินผล เป้าหมาย การประเมินผล ประเด็นที่ประเมิน วิธีการประเมิน เครื่องมือการประเมิน เกณฑ์การ ประเมิน ความรู้(K) 1. มีความรู้ความเข้าใจ เ ก ี ่ ย ว ก ั บ น า ฏ ศ ิ ล ป์ พื้นเมืองภาคกลาง 2. มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองภาคอีสาน 3. มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองภาคเหนือ 4. มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองภาคใต้ ในสมัยรัตนโกสินทร์ 1. สังเกตพฤติกรรม รายบุคคล 1. แบบสังเกตพฤติกรรม รายบุคคล ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ ทักษะกระบวนการ (P) 1. ทักษะทางด้านการ สื่อสาร การคิด และการใช้ทักษะชีวิต 1. สังเกตพฤติกรรม รายบุคคล 1. แบบสังเกตพฤติกรรม รายบุคคล ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ คุณลักษณะอันพึง ประสงค์(A) 1. ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน การทำงาน 1. สังเกตความใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน 1. แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์


Click to View FlipBook Version