The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 119 วราพร อัคราช, 2024-01-30 22:18:09

โครงร่างวิจัย

โครงร่างวิจัย

การวิจัยในชั้นเรียน สาขาสังคมศึกษา มหาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 ชื่อ - สกุล นางสาววราพร อัคราช รหัสนักศึกษา 63040110119 สถานศึกษา โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตและการแข่งขัน สินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 นวัตกรรม / กระบวนการที่ใช้แบบฝึกทักษะ ระดับชั้นที่ทำวิจัย ชั้นประถมศึกษาปีที่3 สาระการเรียนรู้ที่ทำวิจัย สาระเศรษฐศาสตร์


การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 วราพร อัคราช วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิต และการแข่งขันสินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 ผู้วิจัย นางสาววราพร อัคราช สาขาวิชา สังคมศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตร์จารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตร์จารย์ ยุทธยา หมื่นสาย ครูพี่เลี้ยง นางสาวจิดาภา พันชะโก อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (.................................................................) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (ผู้ช่วยศาสตร์จารย์ ดร.วินัย ภารเวช) .................................................................................. กรรมการ (ผู้ช่วยศาสตร์จารย์ ยุทธยา หมื่นสาย) .................................................................................. กรรมการ (นางสาวจิดาภา พันชะโก) .................................................................................. กรรมการ (นางทิติภา อิ้มพัฒน์)


ก หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิต และการแข่งขันสินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 ผู้วิจัย นางสาววราพร อัคราช สาขาวิชา สังคมศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตร์จารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตร์จารย์ ยุทธยา หมื่นสาย ครูพี่เลี้ยง นางสาวจิดาภา พันชะโก บทคัดย่อ


ข กิตติกรรมประกาศ


ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 1.3 สมมติฐานของการวิจัย 3 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 3 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 1.6 ประโยชน์ที่จะได้รับ 5 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 หลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 6 2.2 การพัฒนากลักกสูตรสถานศึกษาโรงเรียนอนุบาลอุดรธานี 9 2.3 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 10 2.4 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ 13 2.5 แนวคิดและทฤษฎีในเรื่องแบบฝึกทักษะ 14 2.6 ความหมายแผนจัดการเรียนรู้ 29 2.7 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 39 2.8 ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 47 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 48 2.10 กรอบแนวคิดในการวิจัย 53 3 วิธีดำเนินการวิจัย 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 54 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 54 3.3 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ 56 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 59


ง สารบัญ (ต่อ) หน้า 3.5 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 60 บรรณานุกรม 64 ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในวิจัย 68 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้วัด 70 ภาคผนวก ค ผลการหาคุณภาพของเครื่องมือวิจัย 78 ภาคผนวก ง ผลการหาประสิทธิภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประวัติย่อของผู้วิจัย 92


จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 4.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง 14 ตารางค.1 ผลวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล่อง (IOC) 79 ของชุดการสอนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ค.2 ผลการประเมินคุณภาพชุดการสอนสาระเศรษฐศาสตร์ 80 เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ค.3 ผลวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นคุณภาพการสอนสาระเศรษฐศาสตร์ 81 เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ค.4 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 83 ของแผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ชั้นประถมศึกษาปีที่3 ค.5 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 84 ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ค.6 ผลการวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก 86 (r) ของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการผลิตและการแข่ง ขันสินค้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ค.7 แสดงคะแนนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างทำถูกในการทำแบบทดสอบ 87 วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ค.8 ผลวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 89 เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ที่ได้คัดเลือกมาแล้ว จำนวน 27ข้อ โดยใช้สูตร KR-20


ฉ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า กรอบแนวคิดวิจัย 53


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ได้บัญญัติในเรื่องแนวทางการ จัดการศึกษาหมวด 4 ตามมาตรา 22 ไว้ว่าการจัดการศึกษา ต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญ ที่สุดในกระบวนการเรียนรู้ด้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัด ของผู้เรียนคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลจัดให้ผู้เรียนเรียนรู้ตัวยวิธีต่าง ๆตามสติปัญญาและ ความสามารถของตนการจัดการศึกษามุ่งเน้นความสำคัญทั้งค้านความรู้ความคิด ความสามารถ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อพัฒนาคนให้มีความสมดุล โดยยึด หลักผู้เรียนสำคัญที่สุด (กระทรวงศึกษาธิการ.2542: 23) การวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยให้การปฏิรูปการเรียนรู้ประสบความสำเร็จดังจะ เห็นได้จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บททางการศึกษาของ ไทย ได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยและกำหนดมาตรา หลายมาตราที่ชี้ให้เห็นว่าการวิจัยเป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการเรียนรู้กล่าวคือ มาตรา 24 (5) ระบุให้ใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เรียนรู้ผู้เรียนสามารถใช้การวิจัยเพื่อศึกษาคันคว้ามาคำดอบหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นการวิจัยจึง สัมพันธ์กับกระบวนการเรียนรู้ซึ่งจะช่วยฝึก กระบวนการคิด วิเคราะห์หาเหตุผลในการตอบปัญหา และแก้ไขปัญหา มาตรา 30 ระบุให้ครูผู้สอนทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียน ผู้สอนนอกจากจัดกระบวนการเรียนการสอนแล้ว ยังใช้การวิจัยเพื่อศึกษาปัญหาหรือสิ่งที่ต้องการรู้ คำตอบ พัฒนาควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการกระบวนการจัดการเรียนการสอนและทำการ วิจัยให้เป็นกระบวนการเดียวกัน การเรียนการสอนกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมในโรงเรียน ส่วนใหญ่จัดผู้เรียนเป็นห้อง ๆ แต่ละห้องมีผู้เรียนจำนวนมาก โดยให้ผู้เรียนเรียนคละกันทั้งกลางและอ่อน ดังนั้นการปลูกฝังความ มีระเบียบวินัย คุณธรรม ความซื่อสัตย์ความเป็นมนุษย์ความกตัญญูรักเกียรติภูมิแห่งตน เห็นแก่ ประโยชน์ส่วนรวม มีความรู้จักคิดวิเคราะห์การทำงานเป็นกลุ่ม เคารพสิทธิของผู้อื่นเสียสละรัก ประเทศชาติเห็นคุณค่าอนุรักษ์และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ศรัทธาในศาสนา จึงพัฒนา ให้ผู้เรียนมีคุณธรรมจริยธรรม และเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ได้ยาก เพราะขัดกับหลักจิตวิทยาและ ธรรมชาติของการเรียนรู้เพราะผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันในด้านสติปัญญาความถนัด คุณธรรมจริยธรรม ความสามารถและประสบการณ์จึงทำให้ผู้เรียนมีความรู้และความเข้าใจ ในเรื่องที่ เรียนแตกต่างกัน ถ้าครูสอนเร็วผู้เรียนที่เรียนอ่อนจะตามไม่ทันครูสอน ซ้ำอธิบายมาก ๆ


2 ผู้เรียนก็จะเกิดความเบื่อหน่ายและถ้าเป็นผู้เรียนที่ยังอายุน้อย การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมจึงเป็นไป ได้ยากครูผู้สอนต้องหาวิธีการสอนหลายๆอย่างเพื่อทำให้ผู้เรียนสนใจและมีเจคดีที่ดีต่อกลุ่มสาระ สังคมศึกษาศาสนาแลวัฒนธรรม ในการแก้ปัญหาดังกล่าวนี้วิธีหนึ่งที่จะช่วยในการเรียนการสอนให้มี ประสิทธิภาพและยังปลูกฝังระเบียบวินัยคุณธรรมจริยธรรมให้ดีขึ้นได้แก่การนำเอาวิธีการสอนมาให้ใช้ เหมาะสมกับลักษณะวิชา กล่าวคือครูจะต้องหาวิธีการสอน ที่ได้ผลมาใช้กับนักเรียน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำ ให้การเรียนการสอนดำเนินไปอย่าง มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมปัจจุบันการเจริญก้าวหน้าทาง วิทยาการด้านต่างๆ ของโลกยุคโลกาภิวัฒน์มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม คุณธรรม จริยธรรม ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติจึงทำให้นักเรียนมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป การศึกษาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมเป็นการศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ ลักษณะทางกายภาพและสภาพสิ่งแวดล้อมที่อยู่ล้อมรอบตัวเรา เป็นการเรียนรู้ที่จะสามารถปรับตัวให้ เข้ากับสภาพสังคมปัจจุบันได้อย่างมีความสุข ผสมพร ประจันตะเสน (2550 หน้า 2) กล่าวว่า ปัญหา ที่พบในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องการผลิตและการ แข่งขันสินค้า นักเรียนมีความสับสนเรื่องสิ่งแวดล้อมทางด้านต่าง ๆ ในท้องถิ่นของประเทศไทย ทำให้ นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายที่ต้องจดตามกระดานครูโดยที่ไม่มีงานหรือแบบฝึกหัดที่น่าสนใจทำให้ไม่มี ความตื่นเต้น ไม่สนการใจเรียน ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนไม่ดี ชุดฝึกทักษะ เป็นสื่อการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งที่เหมาะสมในการนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอน เพราะชุดฝึกทักษะเปรียบเสมือนครูผู้สอน ให้ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้า ทำกิจกรรมการเรียน การ ประเมินผลด้วยตนเอง ซึ่งเป็นสื่อการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น โดยกำหนดเนื้อหา วัตถุประสงค์ วิธีการ ตลอดจนอุปกรณ์การสอนที่นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อย ๆ เรียกว่าชุด โดยลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก แต่ละชุดมีคำถาม คำตอบเพื่อให้นักเรียนสามารถ เรียนรู้ได้ตามศักยภาพของตนเอง ดังนั้นผู้วิจัยจึงเห็นสมควรแก้ปัญหาโดยการสร้างชุดฝึกทักษะจะ ส่งผลให้นักเรียนสนใจเรียนมากขึ้นและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงมรความสนใจในการที่จะพัฒนาชุดฝึกทักษะ เพื่อ นำมาใช้ประกอบการเรียนการสอน และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดธานี อำเภอ เมือง จังหวัดอุดรธานี


3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องการผลิตและการ แข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีที่มี ประสิทธิภาพ 80/80 2.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องการผลิตและ การแข่งขันสินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนสำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 โรงเรียน อนุบาลอุดรธานีอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สมมติฐานของการวิจัย 1.แผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพของเครื่องมือตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 2.นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 ที่ได้เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้แบบฝึกทักษะมี สัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษอุดรธานี เขต1 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 44 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะทางการเรียนเรื่อง การผลิตและการแข่งขัน สินค้า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 44 คน 2.2ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 โรงเรียนอนุบาล อุดรธานีอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 44 คน 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือวิชาสังคมศึกษาศาสนาและ วัฒนธรรม เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า สาระเศรษฐศาสตร์ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีรายละเอียดดังนี้


4 3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่1 แบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง 3.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่2 เรื่องการผลิตและการบริโภค สินค้าและบริการ1 จำนวน 1ชั่วโมง 3.3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่3 เรื่องการผลิตและการบริโภค สินค้าและบริการ2 จำนวน 1ชั่วโมง 3.4 แผนการจัดการเรียนรู้ที่4เรื่องปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด1 จำนวน 1 ชั่วโมง 3.5 แผนการจัดการเรียนรู้ที่5 เรื่องปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด2 จำนวน 1 ชั่วโมง 3.6 แผนการจัดการเรียนรู้ที่6เรื่องการแข่งขันทางการค้า1 จำนวน 1 ชั่วโมง 3.7 แผนการจัดการเรียนรู้ที่7 เรื่องการแข่งขันทางการค้า2 จำนวน 1 ชั่วโมง 3.8 แผนการจัดการเรียนรู้ที่8 แบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 วิชาฃเศรษฐศาสตร์เรื่อง เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ตามแผนการจัดการเรียนรู้ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จำนวน 8 แผน ใช้เวลา 8 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ 1. แบบฝึกทักษะการเรียน หมายถึง แบบฝึกทักษะที่ผู้ค้นคว้าสร้างขึ้นโดยใช้เนื้อหาวิชาสังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระเศรษฐศาสตร์เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ในระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 2โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อ.เมือง จ.อุดรธานี แบ่งเนื้อหาออกเป็น 8 ชุด 2. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียน อนุบาลอุดรธานีอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานีเขต 1 จำนวน 44คน 3. แบบทดสอบ หมายถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง เครื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น เพื่อทดสอบนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่3 ห้อง 4 ก่อนและหลังการทดลอง 4. แผนการจัดการเรียนรู้หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม เกี่ยวกับเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาเศรษฐศาสตร์เรื่องการผลิตและ การแข่งขันสินค้าของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีอ.เมือง จ. อุดรธานีโดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนที่ผู้รายงานสร้างขึ้น


5 5. โรงเรียน หมายถึง โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีอ.เมือง จ.อุดรธานีสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานีเขต 1 6. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่นักเรียนทำได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น 7. ประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะการเรียน ผู้ศึกษาได้กำหนดไว้ที่ 80 / 80 80 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละของประสิทธิภาพของการฝึก 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละของการทดสอบหลังเรียน ประโยชน์ที่จะได้รับ 1. ครูผู้สอนได้แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาระสังคมศึกษา เรื่อง การผลิตและการ แข่งขันสินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ 2. สามารถนำไปพัฒนาและปรับปรุงให้เกิดประโยชน์ในการเรียนการสอนกลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมต่อไป


6 บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม สาระเศรษฐศาสตร์เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษา ปีที่ 3/4โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี โดยใช้ แบบฝึกทักษะการเรียน ผู้ศึกษาได้ค้นคว้าเอกสารงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง โดยลำดับเนื้อหาที่เป็นสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้ 1.หลักสูตรการศึกษาขันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 3. หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 4. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ 5. แนวคิดและทฤษฎีในเรื่องแบบฝึกทักษะ 6. แผนจัดการเรียนรู้ 7. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 8.ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 9. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 10. กรอบแนวคิดในการวิจัย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1.หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 1.1วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาชั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของ ชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐานรวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษา ตลอดชีวิตโดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ได้เต็มตามศักยภาพ 1.2 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ 1)เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดมุ่งหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็น


7 เป้าหมายสำหรับการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณธรรม บนพื้นฐานของ ความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ 3) เป็นหลักสูตรสถานศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการ จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยึดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้เวลาและการจัดการเรียนรู้ 5) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 6) เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบนอกระบบ และตามอัธยาศัยครอบคลุมทุก กลุ่มเป้าหมายสามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ 1.3 จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีจุดมุ่งหมายเพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็น คนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพจึงกำหนดเป็นจุดมุ่งหมาย เพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาชั้นพื้นฐาน ไว้ดังนี้ 1) มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึ่งประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเองมีวินัย และปฏิบัติ ตนตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหาการใช้ เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 3) มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 4) มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5) มีจิตสำนึกในการนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยใน การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสารธารณะที่มุ่งเน้นทำประโยชนืและสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคมและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข 1.4 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้นจะช่วย ให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มี วัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบกรณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้ง การเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วย


8 หลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึง ผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การ สร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้ มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่ เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและ การอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและ ความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้าน การเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสมและมีคุณธรรม 1.5 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อให้ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐาน เป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ


9 2. การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้นจะช่วย ให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มี วัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบกรณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้ง การเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วย หลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึง ผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การ สร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้ มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่ เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและ การอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและ ความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้าน การเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสมและมีคุณธรรม


10 3. หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 3.1 ทำไมต้องเรียนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจการ ดำรงชีวิตของมนุษย์ ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตาม สภาพแวดล้อมการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เข้าใจถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลา ตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ เกิดความเข้าใจในตนเองและผู้อื่น มีความอดทน อดกสั้น ยอมรับใน ความแตกต่างและมีคุณธรรม สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เป็นพลเมืองดีของ ประเทศชาติและสังคมโลก 3.2 เรียนรู้จะไรในสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความเชื่อม สัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเองกับบริบท สภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม โดยได้กำหนดสาระต่าง ๆ ไว้ดังนี้ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมของ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การนำหลักธรรมคำสอนไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง และ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระทำความดี มีคำนิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้ง บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม ระบบการเมืองการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและความสำคัญ การเป็นพลเมืองดีความ แตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ปลูกฝังค่านิยมด้านประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ การดำเนินชีวิตอย่างสันติสุขในสังคมไทย และสังคมโลก เศรษฐศาสตร์การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ การบริหารจัดการทรัพยากรที่ มีอยู่อย่างจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดำงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียง ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการของ มนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ผลกระทบที่ เกิดจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในอดีต ความ เป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรมที่สำคัญของโลก


11 ภูมิศาสตร์ลักษณะกายภาพของโลก แหล่งทรัพยากร และภูมิอากาศของประเทศไทยและภูมิภาค ต่าง ๆ ของโลก การใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์กันของสิ่งต่าง ๆในระบบ ธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นการ นำเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 3.3 คุณภาพผู้เรียน 3.3.1 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้าง ตลอดจนสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นที่อยู่อาศัย และ เชื่อมโยงประสบการณ์ไปสู่โลกกว้าง มีทักษะกระบวนการและมีข้อมูลที่จำเป็นต่อการพัฒนาให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรมประพฤติปฏิบัติ ตามหลักคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ มีความเป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบการอยู่ร่วมกันและ การทำงานกับผู้อื่น มีส่วนร่วมในกิจกรรมของห้องเรียน และได้ฝึกหัดในการตัดสินใจมีความรู้เรื่องราว เกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน และชุมชนในลักษณะการบูรณาการผู้เรียนได้เข้าใจแนวคิด เกี่ยวกับปัจจุบันและอดีตมีความรู้พื้นฐานทางเศรษฐกิจได้ข้อคิดเกี่ยวกับรายรับ รายจ่ายของ ครอบครัว เข้าใจถึงการเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค รู้จักการออมขั้นต้นและวิธีการเศรษฐกิจพอเพียง รู้และเข้าใจในแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมืองเศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจในขั้นที่สูงต่อไป 3.3.2 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความรู้เรื่องของจังหวัด ภาค และประเทศของตนเอง ทั้งเชิงประวัติศาสตร์ ลักษณะทางกายภาพ สังคม ประเพณีและวัฒนธรรม รวมทั้งการเมืองการปกครอง และสภาพเศรษฐกิจโดยเน้นความเป็น ประเทศไทย มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตนตามหลักคำสอนของศาสนาที่ ตนนับถือ รวมทั้งมีส่วนร่วมศาสนพิธีและพิธีกรรมทางศาสนามากยิ่งขึ้น ปฏิบัติตนตามสถานภาพ บทบาท สิทธิ หน้าที่ในฐานะพลเมืองดีของท้องถิ่น จังหวัดภาค และประเทศ รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมของท้องถิ่นตนเองมากยิ่งขึ้น สามารถเปรียบเทียบเรื่องราวของจังหวัดและภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้รับ การพัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์เกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์เพื่อขยายประสบการณ์ไปสู่การทำความเข้าใจในภูมิภาค ซีกโลก ตะวันออกและตะวันตกเกี่ยวกับศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมการดำเนินชีวิต การจัดระเบียบทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจาก อดีตสู่ปัจจุบัน


12 3.3.3 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลก โดยการศึกษาประเทศไทยเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาค ต่าง ๆ ในโลก เพื่อพัฒนาแนวคิดเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีทักษะที่จำเป็นต่อการเป็นนักคิดอย่างมีวิจารณญาณ ได้รับการพัฒนาแนวคิดและขยายประสบการณ์ เปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ในโลก ได้แก่ เอเชียโอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ในด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมความเชื่อขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ด้วยวิธีการ ทาง ประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์ รู้และเข้าใจแนวคิดและวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต และวางแผนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม 3.3.4 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลกอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือมีค่านิยม อันพึงประสงค์ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รวมทั้งมีศักยภาพเพื่อ การศึกษาต่อในชั้นสูงตามความประสงค์ได้ มีความรู้เรื่องภูมิปัญญาไทย ความภูมิใจในความเป็นไทย ประวัติศาสตร์ของชาติไทยยึดมั่นใน วิถีชีวิต และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีนิสัยที่ดีในการ บริโภค เลือกและตัดสินใจบริโภคได้อย่างเหมาะสม มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรมไทยและสิ่งแวดล้อม มีความรักท้องถิ่นและประเทศชาติ 3.4 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือ ศาสนา ที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตาม หลักธรรม เพื่ออยู่ร่วมกันอย่าง สันติสุข มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดีและธำรงรักษาพระพุทธศาสนาหรือ ศาสนาที่ตนนับถือ สาระที่ 2 หน้าที่พลเมืองวัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม มาตรฐานส2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดีมีค่านิยมที่ดีงามและธำรงรักษา ประเพณีและวัฒนธรรมไทยดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบันยึดมั่นศรัทธาและธำรงรักษาไว้ซึ่ง การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


13 สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภคการใช้ ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ารวมทั้งเข้าใจหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ มาตรฐานส 3.2 เข้าใจระบบและสถาบันทางเศรษฐกิจต่างๆความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความ จำเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมายความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สามารถใช้ วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันในด้านความสัมพันธ์และการ เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่องตระหนักถึงความสำคัญและสามารถ วิเคราะห์ผลกระทบที่ เกิดขึ้น มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจ และธำรงความเป็นไทย สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งซึ่งมีผลต่อกันใช้ แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการค้นหาวิเคราะห์และสรุปข้อมูลตาม กระบวนการทาง ภูมิศาสตร์ ตลอดจนใช้ภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ก่อให้เกิดการ สร้างสรรค์วิถีการดำเนินชีวิต มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการจัดการ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อ การพัฒนาที่ยั่งยืน 4. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาตรฐาน ส.3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภค การใช้ ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเอย่างคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจหลักการของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการ ดำรงชีวิตอย่างที่ดุลภาพ


14 ตารางที่ 4.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ 5. แนวคิดและทฤษฎีในเรื่องแบบฝึกทักษะ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Jean Piaget ซึ่งเป็น Cognitive Psychologist ที่ศึกษาเกี่ยวกับ เรื่องที่ว่า "คนเราคิดได้อย่างไร" การเรียนรู้ที่จะคิดแก้ปัญหาได้อย่างไร ลักษณะของความสามารถใน การคิดเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ วามคิดในเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้ครูมีความสามารถที่ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.3 1.จำแนกความต้องการและความจำเป็นใน การใช้สินค้าและบริการในการดำรงชีวิต สินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ที่เรียกว่าปัจจัย 4 สินค้าที่เป็นความต้องการของมนุษย์อาจ เป็นสินค้าที่จำเป็นหรือไม่จำเป็นต่อการ ดำรงชีวิต ประโยชน์และคุณค่าของสินค้า และบริการที่สนองความต้องการของ มนุษย์ หลักการเลือกสินค้าที่จำเป็น 2.วิเคราะห์การใช้จ่ายของตนเอง ใช้บัญชีรับจ่ายวิเคราะห์การใช้จ่าย ที่จำเป็นและเหมาะสม วางแผนการใช้จ่ายเงินของตนเอง วางแผนการแสวงหารายได้ที่สุจริต และเหมาะสม วางแผนการนำเงินที่เหลือจ่าย มาใช้อย่างเหมาะสม 3. อธิบายได้ว่าทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดมี ผลต่อการผลิตและบริโภคสินค้าและบริการ ความหมายของผู้ผลิตและผู้บริโภค ความหมายของสินค้าและบริการ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความ หายากของทรัพยากรกับ ความต้องการของมนุษย์ที่มีไม่จำกัด


15 จะพัฒนาสติปัญญาของผู้เรียนให้เพิ่มพูนขึ้น และสามารถเลือกใช้วิธีสอนให้เหมาะสมและสอดคล้อง กับความสามารถทางสติปัญญาของผู้เรียน (กึ่งฟ้า สินธุวงษ์ 2526, หน้า139 -149) ทฤษฎีการลองผิดลองถูกของ ธอร์นไดด์ซึ่งได้สรุปเป็นกฎเกณฑ์การเรียนรู้ ดังนี้ 1) กฎความพร้อม หมายถึง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลพร้อมที่จะกระทำ 2) กฎผลที่ได้รับ หมายถึง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเพราะบุคคลกระทำซ้ำ และยิ่งทำ มากความชำนาญจะเกิดขึ้นได้ง่าย ไพบูลย์ เทวรักษ์ (2540) ได้กล่าวถึงกฎการฝึกหัดไว้ว่า การฝึกหัดให้บุคคลทำกิจกรรมต่างๆ นั้น ผู้ฝึกจะต้องควบคุมและจัดสภาพการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของตนเอง บุคคลจะถูกกำหนด ลักษณะพฤติกรรมที่แสดงออก ดังนั้น ผู้สร้างแบบฝึกจึงจะต้องกำหนดกิจกรรมตลอดจนคำสั่งต่าง ๆ ในแบบฝึก ให้ผู้ฝึกได้แสดง พฤติกรรมสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ผู้สร้างต้องการ ทฤษฎีพฤดิกรรมนิยมของสกินเนอร์ซึ่งมีความเชื่อว่าสามารถควบกุมบุคคลให้ทำ ตามความประสงค์ หรือแนวทางที่กำหนดได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกทางจิตใจของบุคคลผู้นั้นว่า จะรู้สึกนึกคิดอย่างไร โดยมีการเสริมแรงเป็นตัวการ เมื่อบุคคลตอบสนองการเร้าของสิ่งเร้าควบคู่กัน ในช่วงเวลาที่เหมาะสม สิ่งเร้านั้นจะรักษาระดับหรือเพิ่มการตอบสนองให้เข้มขึ้นวิธีการสอนของกาย่ ซึ่งมีความเห็นว่า การเรียนรู้มีลำดับขั้นและผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เนื้อหาที่ง่ายไปหายาก พรรณี ช.เจนจิต (2538) ได้กล่าวถึงแนวคิดของกาเย่ ไว้ดังนี้ การเรียนรู้มีลำดับขั้น ดังนั้นก่อนที่จะสอนเด็กแก้ปัญหาได้นั้น เด็กจะต้องเรียนรู้ ความคิดรวบยอด หรือกฎเกณฑ์มาก่อน ซึ่งในการสอนให้เด็กได้ความคิดรวบยอดหรือกฎเกณฑ์นั้นจะ ทำให้เด็กเป็นผู้สรุปความคิดรวบยอดด้วยตนเองแทนที่ครูจะเป็นผู้บอก การสร้างแบบฝึกจึงควร คำนึงถึงการฝึกตามลำดับขั้นจากง่ายไปหายาก แนวคิดของบลูม ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่า มีความแตกต่างกัน ผู้เรียนสามารถ เรียนรู้เนื้อหาในหน่วยย่อยต่าง ๆ ได้โดยใช้เวลาเรียนที่แตกต่างกันดังนั้นการสร้างแบบฝึกจึงต้องมีการ กำหนดเงื่อนไขที่จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนสามารถผ่านลำดับขั้นตอนของทุกหน่วยการเรียนได้ถ้า นักเรียนได้เรียนตามอัตราการเรียนของตน ก็จะทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จได้มากขึ้น สุจริต เพียรชอบ ( 2536:65-73 ) กล่าวถึง การสร้างแบบฝึกว่า ต้องยืดตามทฤษฎีการเรียนรู้ ทางจิตวิทยา ดังนี้


16 ความแตกต่างระหว่างบุคคล ( Individual Difference ) นักเรียนแต่ละคนมีความรู้ความถนัด ความสามารถและความสนใจทางภาษาแตกต่างกัน ก่อนสอนควรมีการทดสอบความสามารถทาง ภาษาของเด็กก่อน เด็กที่มีความสามารถสูงก็ให้การสนับสนุนให้มีทักษะสูงขึ้น ส่วนเด็กคนใดมีทักษะ ต่ำ ก็พยายามสอนซ่อมเสริมให้เป็นพิเศษการเรียนรู้โดยการกระทำ ( Lcaming by Doing นักเรียน สามารถเรียนรู้ทักษะการเขียนได้คล่องแคล่วชำนาญ ก็เพราะมีประสบการณ์ตรงจากการลงมือฝึก กระทำด้วยตนเอง จึงมีโอกาสที่จะได้รับประ โยชน์จากการเรียนรู้มากที่สุด 3.การเรียนรู้จากการฝึกฝน ( Law of Exercise ) การฝึกฝนเป็นกฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thomdike ) ได้กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีก็ต่อเมื่อได้ฝึกฝน หรือกระทำซ้ำ ผู้เรียนจะมี ทักษะทางภาษาดี มีความรู้ความเข้าใจ และเกิดทัศนะติที่ดี ถ้ำผู้เรียนได้ฝึกฝน ได้ใช้ภาษามากเท่าใดก็ จะช่วยให้มีทักษะดีมากขึ้นเท่านั้น 4.กฎแห่งผล ( Law of cffect) นักเรียนได้เรียนรู้แล้ว ย่อมต้องการทราบผลการเรียนของตนว่าเป็น อย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อมีงานให้นักเรียนทำ ครูควรรีบตรวจและคืนนักเรียนโดยเร็วผู้เรียนจะมีความ พึงพอใจที่ได้รับผลการเรียน 5.กฎการใช้และไม่ได้ใช้ ( Law of Use and Disuse ) ภาษาเป็นวิชาทักษะต้องมีการฝึกฝนอยู่เสมอ จึงจะคล่องแคล่วและชำนาญ ถ้าเรียนแล้วไม่ได้ใช้นานๆ ก็ลืมหรือมีทักษะไม่ดีเท่าที่ควร 6. แรงจูงใจ ( Motivation ) เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะเป็นสิ่งเร้าเพื่อจูงใจให้นักเรียนสนใจเรียนตั้งใจ ฝึกฝน และมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์(2522) ได้แนะนำหลักจิตวิทยาที่ควรนำมาสร้าง แบบฝึก พอสรุปได้ดังนี้ 1. กฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thorndike) เกี่ยวกับการฝึกหัด ซึ่งสอดคล้องกับการทดลอง ของวัตสัน (Watson) นั่นคือสิ่งใดก็ตามที่มีการฝึกหัดหรือกระทำบ่อย ๆ ยิ่งทำให้ผู้ฝึกกล่องแคล้ว สามารถทำได้ดี ในทางตรงข้ามสิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้รับการฝึก ทอดทิ้งไปนานแล้ว ย่อมทำได้ไม่ดี เหมือนเดิม ต่อเมื่อมีการฝึกฝนหรือกระทำซ้ำก็จะช่วยให้เกิดทักษะเพิ่มขึ้น 2. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ครูควรคำนึงว่านักเรียนแต่ละคนมีความรู้ ความถนัดความสามารถ และความสนใจที่ต่างกัน ฉะนั้นในการสร้างแบบฝึก จึงควรพิจารณาถึงความเหมาะสมไม่ยากหรือง่าย เกินไป และควรมีหลายแบบ 2.1 การจูงใจผู้เรียน สามารถทำได้โดยจัดแบบฝึกจากง่ายไปหายาก เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เรียน เป็นการกระตุ้นให้ติดตามต่อไป และทำให้นักเรียนประสบผลสำเร็งในการทำแบบฝึกนอกจากนั้นการ ใช้แบบฝึกสั้น ๆ จะช่วยไม่ให้ผู้เรียนเบื่อหน่ายการนำสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตและการเรียนรู้มาให้ นักเรียนได้ทดลองทำภาษา


17 ที่ใช้เขียนในชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้เรียนได้เรียนและทำแบบฝึกในสิ่งที่ใกล้ตัว นอกจากจำได้แม่นยำ แล้วนักเรียนยังสามารถนำหลักและความรู้ที่ได้รับไปใช้ประ โยชน์อีกด้วยนอกจากนี้ พรรณี ชูทัย (2522) ได้เสนอการนำหลักจิตวิทยาการศึกษามาใช้ในการสร้างแบบฝึก พอสรุปได้ดังนี้ 1. การสาธิตและการอธิบายแนะนำ เริ่มแรกควรบอกให้นักเรียนทราบว่า จะทำอย่างไร ชี้แจง ให้เห็นความสำคัญของสิ่งที่จะเรียนนั้น เพื่อเร้าให้เด็กเกิดความสนใจ 2. ให้เด็กได้มีโอกาสฝึกทันทีหลังจากการสาธิต และสิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ การทำซ้ำ และการเสริมแรง ควรให้โอกาสเด็กได้ฝึกซ้ำ ๆ และควรให้ได้รับการเสริมแรงอย่างทั่วถึง 3. ในขณะที่ฝึกหัด ควรมีการให้คำแนะนำเพื่อให้เด็กได้ฝึกทักษะนั้น ๆ ได้ด้วยตนเอง 4. ให้คำแนะนำที่อยู่ในบรรยากาศที่สบาย ๆ ครูผู้สอนต้องใจเย็น ไม่คุ บรรยากาศไม่ ตรึงเครียด จะยั่วยุให้เด็กเกิดความพยายามที่จะฝึก 5. สิ่งที่จะทำให้ผู้เรียนพบปัญหายุ่งยากในการฝึกทักษะใหม่ คือการที่ทักษะเก่าของ ผู้เรียนจะมารบกวนการเรียนทักษะใหม่ ซึ่งควรแก้ไขด้วยการอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจว่า ทักษะใหม่ที่จะ ฝึกฝนนั้นจะมีวิธีการของมันเอง ซึ่งต่างไปจากวิธีการของทักษะเก่า และพยายามกระตุ้นนักเรียนให้ ระลึกอย่างเสมอว่า เขากำลังเรียนทักษะใหม่ หลักจิตวิทยาดังกล่าว ผู้ศึกษาค้นคว้านำมาเป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกให้น่าสนใจเหมาะสมกับ วัย ความสามารถและความถนัดของนักเรียน เพื่อให้การเรียนการสอนสนุกสนานนักเรียนมีความ พอใจที่จะเรียนและประสบความสำเร็จในการเรียนนั้น ๆในการสร้างแบบฝึกหัดต้องอาศัยหลักสำคัญ ตามทฤษฎีการเรียนรู้ทางจิตวิทยาประกอบด้วย 1. ความใกล้ชิด ( Contiquition ) การใช้สิ่งเร้าและการตอบสนองที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียง กันจะสร้างความพอใจให้กับผู้เรียน 2. แบบฝึกหัด ( Practice ) คือการให้ผู้เรียนได้กระทำกิจกรรมที่ซ้ำๆ เพื่อช่วยในการสร้าง ความแม่นยำชำนาญ 3. กฎแห่งผล ( Law of Effict ) คือการให้ผู้เรียน ได้ทราบผลการทำงานของตนโดยรวดเร็ว ซึ่งนอกจากจะกระทำให้ผู้เรียนได้ทราบว่าผลการทำงานของตนเองเป็นอย่างไร แล้วยังเป็นการสร้าง ความพอใจให้กับผู้เรียนอีกด้วย 4. การจูงใจ ( Motivation )ได้แก่การเรียงแบบฝึกหัดจากง่ายไปหายากและ จากแบบฝึกหัด ที่สั้นไปสู่ที่ยาวขึ้น ทั้งนี้เรื่องที่จะนำมาสร้างแบบฝึกควรมีหลายรสและหลายรูปแบบตลอดจนมี ภาพประกอบเรื่องเพื่อเร้าความสนใจของนักเรียนมากขึ้น กรมวิชาการ ( 2543 : 20 ) ได้นำเสนอไว้ว่า "การเรียนรู้เป็นกระบวนการของการตอบสนอง ต่อสิ่งเร้า เช่นแนวคิดของธอร์นไดด์ เชื่อว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งเร้ามาเร้าและผู้เรียนจะเลือก ตอบสนองจนเป็นที่พอใจของผู้เรียน การตอบสนองใดไม่พึงพอใจก็จะถูกตัดทิ้งไป แนวคิดนี้มีอิทธิพล


18 ต่อการจัดการเรียนการสอนของไทยมานาน นับตั้งแต่ไทยรับความคิดทางการศึกษามาจาก สหรัฐอเมริกา จากที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ทราบว่าการสร้างแบบฝึกจะต้องคำนึงถึงจิตวิทยาเพื่อให้ได้แบบ ฝึกที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถของนักเรียน และยังเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียน 5.1แบบฝึกทักษะ ความหมายของแบบฝึกทักษะ มีนักการศึกษาหลายท่านกล่าวถึงความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ดังนี้ ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 18) กล่าวไว้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง นวัตกรรมที่ใช้ พัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมมีความหลากหลาย และปริมาณ เพียงพอที่สามารถตรวจสอบและพัฒนาทักษะกระบวนการดิด กระบวนการเรียนรู้ สามารถนำ นักเรียนสู่การสรูปดวามดิดรวบยอดและหลักการสำคัญของสาระการเรียมรู้ รวมทั้งทำให้นักเรียน สามารถ ตรวจสอบความเข้าใจในบทเรียนด้วยตนเองได้ ดวงมณี กันทะยอม (2551 : 26) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ฝึกทักษะ เพื่อให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริงและทำซ้ำ 1 อย่างต่อเนื่องเป็นการเสริมให้เกิดทักษะที่ถูกต้องและเป็น ส่วนที่เพิ่มหรือเสริมจากบทเรียน ช่วยฝึกทักษะการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น อนงพันธุ์ ใบสุขันธ์ (2551 : 33) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนที่ครู สร้างขึ้นเพื่อใช้ฝึกทักษะผู้เรียนหลังจากเรียนจบเนื้อหาให้เกิดความรู้ความเข้าใจจนเกิดทักษะสูงสุด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เต็มดามศักยภาพ กิติยาพร เนื้ออ่อน (2552 : 155) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะ ไว้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนประเภทหนึ่งที่ฝึกให้นักเรียนปฏิบัติด้วยความสนใจ สนุกสนานทำเกิด ความรู้ความเข้าใจ มีพัฒนาการทางภาบาดีขึ้น มีทักษะและประสบการณ์เพิ่มขึ้น ภพ เลาหไพบูลย์ (2552 : 225) กล่าวไว้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง การรวมสื่อการสอนอย่าง สมบูรณ์ ตามแบบแผน เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการสอน เป็นสื่อผสมสำเร็จรูป เพื่อใช้สอนมี อุปกรณ์การเรียน คู่มือครู เนื้อหาสื่อการสอนและอ้างอิง หยาดนภา ยัพราษฎร (2552 : 30) กล่าวว่า แบบฝึก คือ แบบฝึกหัดหรือชุดฝึกที่ครูจัดให้ นักเรียน เพื่อให้มีทักษะเพิ่มขึ้นหลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องนั้น ๆ มาบ้างแล้ว โดยแบบฝึกต้องมีทิศ ทางตรงตามจุดประสงค์ ประกอบกิจกรรมที่น่าสนใจและสนุกสนาน ศุภรณ์ ภูวัด (2553 : 21) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อประกอบกิจกรรมการเรียน การสอน ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง ได้ฝึกทักษะเพิ่มเดิมจากเนื้อหาจน ปฏิบัติได้ อย่างชำนาญและให้ผู้เรียนสามารถไปใช้ในชีวิตประจำวันได้โดยมีครูเป็นผู้แนะนำ


19 สมศรี อภัย (2553 : 21) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการสอนที่ครูสร้างขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และความชำนาญในเรื่องนั้น ๆ มากขึ้น นักเรียน มีทักษะเพิ่มขึ้นสามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง ณัฐชา อักษรเดช (2554 : 19) กถ่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นอย่าง มีจุดหมายที่แน่นอน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการกระทำจริง เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนสามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งที่เรียนได้ดีและนำการเรียนรู้และ ความรู้ที่ได้ไปใช้ในสถานการณ์อื่นที่มีลักษณะคล้ายกันได้ สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง อุปกรณ์หรือสื่อการเรียนการสอนประเภทหนึ่งที่ให้ นักเรียนได้ใช้เพื่อฝึกทักษะ หรือเสริมทักษะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นการทบทวนเนื้อหาให้ผู้เรียนมี ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนและเพื่อตรวจสอบความรู้ของนักเรียนในเรื่องนั้น ๆ ว่ามีพัฒนาการ และความสามารถบำความรู้นั้นไปใช้ได้มากน้อยเพียงใด 5.2ขั้นตอนในการสร้างแบบฝึกทักษะ มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ขั้นตอนในการสร้างแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ ดวงมณี กันทะยอม (2551 : 29) กล่าวถึง ขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ 1. สำรวจสภาพปัญหาความต้องการที่จะพัฒนาการเรียนการสอนแต่ละจุดประสงค์ 2. กำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝึกให้ชัดเจน คือ ฝึกอะไร ต้องการให้นักเรียน เป็นอย่างไร 3. วิเคราะห์เนื้อหาที่เรียนในแต่ละจุดประสงค์ว่าประกอบด้วยอะไร มีปัญหาในการ อ่านเขียนอย่างไร แล้วระบุปัญหารวบรวมไว้ 4. ศึกษาจิตวิทยาการเรียนรู้การอ่าน การเขียน ประกอบด้วย การใช้สิ่งเร้าเพื่อ ตอบสนองความพอใจ การฝึกหัดทำซ้ำ สร้างความรู้ความเข้าใจความแม่นยำและการให้ผู้เรียน ได้ ทราบผลการทำงานของตนเอง ข้อดี ข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงแก้ไข 5. กำหนดกรอบการสร้างแบบฝึกว่าควรประกอบด้วย เรื่องอะไรบ้างมีลักษณะ อย่างไรกิจกรรมมีอะไรบ้าง นำเสนอในรูปแบบไหน ระบุให้ชัดเจน 6.ลงมือเขียนและสร้างแบบฝึกแต่ละชุด 7. นำแบบฝึกที่สร้างไปให้ผู้เชี่ยวชาญการตรวจความถูกต้อง ความตรงต่อเนื้อหา เช่น ครูผู้สอนที่มีประสบการณ์ ศึกษานิเทศก์ เป็นต้น เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องก่อนนำไป ทคลองกับนักเรียน 8. จัดพิมพ์หรืออัดสำเนาแบบฝึกเพื่อให้นักเรียนได้ทดลองใช้ ธีราภรณ์ ทรงประศาสน์ (2551 : 29) กล่าวถึง ขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะว่า 1. สำรวจสภาพปัญหาความต้องการที่จะพัฒนาการเรียนการสอน


20 2. กำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝึกให้ชัดเจน 3. วิเคราะห์เนื้อหาที่เรียนในแต่ละจุดประสงค์ว่าประกอบด้วยอะไร 4. ศึกษาจิตวิทยาการเรียนรู้ประกอบด้วย การใช้สิ่งเร้าเพื่อตอบสนองสร้างความพอใจ การฝึกหัดทำซ้ำ สร้างความรู้ความเข้าใจความแม่นยำและการให้ผู้เรียน ได้ทราบผลการทำงาน ของตนเอง ข้อดี ข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงแก้ไข 5. กำหนดกรอบการสร้างแบบฝึกทักษะว่าควรประกอบด้วยเรื่องอะไรบ้างมีลักษณะอย่างไร กิจกรรมมีอะไรบ้าง นำเสนอในรูปแบบไหน ระบุให้ชัดเจน ศศิพิมพ์ ศรกิจ (2551 : 22) ได้สรุปขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะไว้ดังนี้ 1. ศึกษาปัญหาและความต้องการ โดยศึกษาจากการผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน 2. วิเคราะห์เนื้อหาหรือทักษะที่เป็นปัญหาออกเป็นเนื้อหาหรือทักยะย่อย ๆ เพื่อใช้ในการสร้าง แบบทดสอบให้ สอดคล้องกับเนื้อหา หรือทักษะที่ได้วิเคราะห์และบัตรฝึกหัด 3. นำแบบฝึกหัดไปทดลองใช้เพื่อหาข้อบกพร่องคุณภาพของแบบฝึก 4. ปรับปรุงแก้ไข 5. รวบรวมเป็นชุด จัดทำคำชี้แจง คู่มือการใช้สารบัญ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป สำลี รักสุทรี (2553 : 34) ได้กล่าวถึง ขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ 1. สำรวจปัญหา สาระ ตัวบ่งชี้ที่เป็นปัญหาและความต้องการ เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนไปแล้ว ครูผู้สอนย่อมทราบดีว่า บรรลุตามจุดประสงค์หรือไม่ รวบรวมปัญหาและความต้องการ ในการแก้ปัญหา หรือความต้องการที่จะพัฒนาการเรียนการสอนในแต่ละตัวบ่งชี้ 2. กำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝึก ให้ชัดเจนตรงตามตัวบ่งชี้ที่เป็นปัญหาเพื่อตอบ คำถามว่าแบบฝึกเพื่ออะไร ต้องการให้ผู้เรียนรู้อะไร และเป็นอย่างไร 3. วิเคราะห์ปัญหาที่เรียนในแต่ละจุดประสงค์ ว่าประกอบด้วยอะไร ถ้าเป็นภาษาไทย ก็คือคำและความหมายว่าอย่างไร คำใดมักมีปัญหาในการอ่านและการเขียน รวบรวมคำเหล่านั้นไว้ 4. ศึกษาจิตวิทยาการเรียนรู้ จิตวิทยาการอ่านของผู้เรียนในแต่ละชั้นว่าเด็กแต่ละคนมีความ สนใจในเรื่องอะไร เช่น จิตวิทยาการอ่านที่นำไปใช้แบบฝึกทักษะ ประกอบด้วยความเข้าใกล้ชิด คือ การใช้สิ่งเร้าและตอบสนองเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน จะสร้างความพอใจให้แก่ผู้เรียนการฝึกหัด คือ การให้ผู้เรียนได้ฝึกซ้ำๆ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่แม่นยำกฎแห่งผลคือ การให้ผู้เรียนได้ทราบผล การทำงานของตนด้วยการเฉลยคำตอบจะช่วยให้ผู้เรียนได้ทราบข้อบกพร่อง เพื่อปรับปรุงแก้ไขและ เป็นการสร้างความพอใจให้แก่ผู้เรียนการงใจ คือ การจัดแบบฝึกหัดเรียงลำดับจากแบบฝึกที่ง่ายและ สั้นใช้เรื่องยาวและยากขึ้น ควรมีภาพประกอบและหลายรูปแบบ


21 5. กำหนดกรอบการสร้างแบบฝึกว่าควรประกอบด้วย เรื่องอะไรบ้าง แต่ละเรื่องควรมีกิจกรรม อะไรบ้าง มีความยาวเพียงใด จะนำเสนอโดยใช้ภาพประกอบหรือไม่ 6. ลงมือเขียนแบบฝึกแต่ละชุด 7. นำแบบฝึกนั้นไปให้ผู้ชำนาญการตรวจสอบความถูกต้อง ความตรงตามเนื้อหา เช่นครูสอนก ภาษาไทยที่มีประสบการณ์ ศึกษานิเทตก์ เป็นต้น หรือนำไปทคลองกับผู้เรียน จำนวน 1 - 5 คนเพื่อ นำไปรวบรวมข้อมูลเพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง 8. จัดพิมพ์หรืออัดสำเนาแบบฝึกเพื่อให้ผู้เรียนนำไปใช้เสริมการเรียนการสอนภาษาไทยจาก ขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะที่นักการศึกษากล่าวไว้ข้างต้น สรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกต้องมีการ วิเคราะห์สภาพปัญหา หรือสิ่งที่ต้องการพัฒนา มีการกำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝึกศึกษา หลักจิตวิทยาเกี่ยวกับการเรียนรู้ หลักการสร้างแบบฝึก ลงมือสร้างแบบฝึก แล้วนำแบบฝึกไปให้ ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้อง นำแบบฝึกไปใช้กับผู้เรียน จากขั้นตอนในการสร้างแบบฝึกทักษะดังกล่าว สรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกทักษะเพื่อ เสริมนั้น ผู้สร้างต้องรู้ในเนื้อหาวิชาที่จะสร้างแบบฝึกนั้น ๆ อย่างถ่องแท้กำหนดกรอบการสร้างให้ ชัดเจนมีส่วนประกอบที่ครบถ้วนสมบูรณ์และมีการเรียงลำดับความยากง่ายไว้ตามความเหมาะสม และในระยะเวลาที่เหมาะสมในการฝึกแต่ละครั้ง เพื่อที่จะ ได้กำหนดขั้นตอนในการสร้างได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 5.3ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ มีนักวิชาการหลายท่าน ได้กล่าวถึง ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 21) ได้สรุปว่า แบบฝึกทักษะมีประโยชน์ ดังนี้ 1. เป็นสื่อการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน 2. ผู้เรียนมีสื่อสำหรับฝึกทักษะด้านการอ่าน การคิด การวิเคราะห์ และการเขียน 3.เป็นสื่อการเรียนรู้สำหรับการแก้ปัญหาในการเรียนรู้ของผู้เรียน 4. พัฒนาความรู้สำหรับการแก้ปัญหาในการเรียนรู้ของผู้เรียน สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53) ได้กล่าวว่าประโยชน์ของ แบบฝึกทักษะ ได้ดังนี้ 1. ทำให้เข้าใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเป็นเครื่องอำนวยประ โยชน์ในการเรียนรู้ 2. ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน 3. ฝึกให้เด็กมีความเชื่อมั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได้ 4.ฝึกให้เด็กทำงานตามลำพัง โดยมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย 5. ช่วยลดภาระครู 6. ช่วยให้เด็กฝึกฝนได้อย่างเต็มที่


22 7. ช่วยพัฒนาตามความแตกต่างระหว่างบุคคล 8. ช่วยเสริมให้ทักษะคงทน ซึ่งลักษณะการฝึกเพื่อช่วยให้เกิดผลดังกล่าวนั้น ได้แก่ 8.1 ฝึกทันทีหลังจากที่เด็กได้เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ 8.2 ฝึกซ้ำหลาย ๆ ครั้ง 8.3 เน้นเฉพาะในเรื่องที่ผิด 9. เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้ง 10. ใช้เป็นแนวทางเพื่อทบทวนด้วยตนเอง 11. ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กได้ชัดเจน 12. ประหยัดค่าใช้จ่ายแรงงานและเวลาของครู ธีราภรณ์ ทรงประศาสน์ (2551 : 17 ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ 1. เป็นส่วนเพิ่มหรือเสริมหนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เป็นอุปกรณ์การสอนที่ช่วย ลดภาระของครูได้มาก เพราะแบบฝึกหัดเป็นสิ่งที่จัดทำอย่างเป็นระบบระเบียบ 2. ช่วยเสริมทักษะทางการใช้ภาษาแบบฝึกทักษะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กฝึกทักษะ การใช้ภามาได้ดีขึ้น แต่ต้องอาศัยการส่งเสริมและเอาใจใส่จากดรูผู้สอนด้วย 3. ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากเด็กมีความสามารถทางภาษาแตกต่างกัน การให้เด็กทำแบบฝึกทักษะที่เหมาะสมกับความสามารถจะช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จในด้านจิตใจ มากขึ้น สุคนธ์ สินธพานนท์ (2551 : 88) กล่าวถึง ประ โยชน์ของการใช้แบบฝึกในการจัด การเรียนรู้ไว้ว่า 1. แบบฝึกทักษะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง เด็กแต่ละคนมีความสามารถต่างกัน การเรียนรู้ด้วยตนเองจะทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพ ทาให้เกิดกำลังใจในการเรียนและยังเป็น การซ่อมเสริมผู้ไม่ผ่านการประเมิน 2. แบบฝึกทักษะช่วยเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะที่คงทน สามารถฝึกทันทีหลังจากจบบทเรียน หรือฝึกซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่แม่นยา และเน้นให้ทำเพิ่มเติมในเรื่องที่ผิด 3. เป็นเครื่องมือในการวัดผลหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้งเพื่อตรวจสอบความรู้ของตนเอง ถ้าทำผิดหรือไม่เข้าใจก็สามารถซ่อมเสริมได้ด้วยตนเอง เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าทั้งผู้สอนและผู้เรียน ผู้เรียนก็ไม่เป็นปมด้อยเมื่อผิดก็จะแก้ไขด้วยตนเอง 4. ช่วยเสริมบทเรียนหรือคำสอนของครู ซึ่งครูผู้สอนทำขึ้นฝึกทักษะนอกเหนือจากบทเรียน เสริมให้ผู้เรียนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น เพื่อฝึกแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต 5. ฝึกได้เป็นรายบุคคลจะฝึกเมื่อไรก็ได้ ไม่จำกัดเวลา สถานที่ โดยครูเร้าหรือกระตุ้นให้เกิด ความยากเรียนรู้ด้วยตนเอง


23 6. ลดภาระการสอนของครู ไม่ต้องทบทวนความรู้ตลอดเวลา ไม่ต้องตรวจงานด้วยตนเองทุก ครั้งเพราะฝึกทักษะการคิดไม่มีการเฉลยที่ตายตัวมีแนวหลากหลาย 7. เป็นการฝึกความรับผิดชอบของผู้เรียน ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกตามลำพังเป็นการเสริมสร้าง ประสบการณ์ในการทำงาน 8. ผู้เรียนมีเจคติที่ดีต่อการเรียน ผู้เรีอนทำแบบฝึกที่หลากหลายทำให้ผู้เรือนสนุกสนาน เพลิดเพลิน ท้าทายให้ลงมือทำกิจกรรม อนงพันธุ์ ใบสุขันธ์ (255 1 : 33) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนการสอนที่ครูสร้างขึ้น เพื่อใช้ฝึกทักษะผู้เรียนหลังจากเรียนจบเนื้อหาให้เกิดความรู้ความเข้าใจจนเกิดทักษะสูงสุดโดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ สมศรี อภัย (2553 : 22) กล่าวว่า ประ โยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ว่าเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองอย่างเต็มความสามารถของแต่ละ บุคคลก่อให้เกิดความชำนาญในการแก้ปัญหาอีกทั้งเป็นเครื่องมือประเมินผลการเรียนและการสอน ของครู สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะมีประโยชน์ต่อตัวของเด็กและครู ซึ่งเด็กจะเกิดความชำนาญและมี ทักษะที่ดีได้นั้น ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งแบบฝึกทักษะจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ แสวงหาองค์ความรู้ใหม่ ๆ เกิดความสนุกกับเนื้อหาแบบฝึกทักษะนอกจากจะเป็นเครื่องมือสำคัญต่อ การเรียนของนักเรียนแล้วยังมีประ โยชน์สำหรับครูผู้สอน ซึ่งทำให้ทราบพัฒนาการทางทักษะนั้น ๆ ของนักเรียน และเห็นข้อบกพร้องใน การเรียนซึ่งจะได้แก้ไขปรับปรุงได้ทันท่วงทีอันมีผลทำให้นักเรียน ประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้ในสาระนั้น ๆ 5.4หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ มีนักวิชาการหลายท่าน ได้กล่าวถึง หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 19) กล่าวว่า หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ มีดังนี้ 1. สร้างแบบฝึกเสริมทักษะให้สอดคล้องกับหลักจิตวิทยาและพัฒนาการของนักเรียนตามลำคับ ขั้นการเรีขนรู้ แบบฝึกทักษะต้องอาศัยรูปภาพจูงใจผู้เรียน และควรเรียงเนื้อหาตามลำดับจากง่ายไป หายาก เพื่อช่วยให้นักเรียนมีกำลังใจที่จะทำแบบฝึกทักษะ 2. มีจุดประสงค์ที่แน่นอนว่าจะฝึกทักษะด้านใดแล้ว จัดเนื้อหาให้ตรงกับจุดประสงค์ที่กำหนด ไว้ 3. ต้องคำนึงถึงความสามารถระหว่างบุคคลของนักเรียน ถ้าสามารถทำได้ควรแบ่งนักเรียน ออกเป็นกลุ่มย่อยตามความสามารถแล้วจึงทำแบบฝึกทักษะ 4. แบบฝึกทักษะที่ดีต้องมีคำชี้แจงง่าย ๆ สั้น ๆ ที่นักเรียนอ่านเข้าใจและทำแบบฝึกทักษะได้ ด้วยตัวเอง


24 5. แบบฝึกทักษะต้องมีความถูกต้อง ครูต้องพิจารณาให้รอบคอบ ทดลองทำด้วยตนเองเสียก่อน อย่าให้มีข้อผิดพลาด 6. ให้นักเรียนทำแบบฝึกทักษะแต่ละกรั้งต้องเหมาะสมกับช่วงเวลาและช่วงความสนใจ 7. แบบฝึกทักษะควรมีหลายรูปแบบ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวางส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 4) ได้สรุปหลักในการสร้างแบบฝึกว่าต้องมี การกำหนดเงื่อน ไขที่จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนสามารถผ่านลำดับขั้นตอนของทุกหน่วยการเรียนได้ ถ้า นักเรียนได้เรียนตามอัตราการเรียนของตนก็จะทาให้นักเรียนประสบความสำเร็จมากขึ้น สำราญ วังบุราช (2550 : 27) ได้เสนอขั้นตอนในการสร้างแบบฝึก ดังนี้ 1. ศึกษาปัญหาความต้องการจากจุตประสงค์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2. วิเคราะห์เนื้อหาหรือทักษะที่เป็นปัญหาเพื่อใช้สร้างแบบฝึก 3. พิจารณาวัตถุประสงค์รูปแบบและขั้นตอนการใช้แบบฝึก 4. สร้างแบบทลสอบให้สอดคล้องกับเนื้อนาและทักษะ 5. สร้างบัตร์ฝึกหัดในแต่ละบัตรจะมีคำถามให้นักเรียนตอบ 6. สร้างบัตรอ้างอิงเพื่อเป็นแนวทางการตอบ 7. สร้างแบบบันทึกผลการทดสอบให้เห็นความก้าวหน้า 8. ทดลองใช้ เพื่อหาคุณภาพของแบบฝึกและคุณภาพของแบบทคสอบ 9. ปรับปรุงแก้ไข 10. รวบรวมแบบฝึกเป็นชุดโดยจัดทำคำชี้แจง คู่มือการใช้ วิไลลักษณี มีทิศ (2551 : 48) กล่าวว่า ในการสร้างแบบฝึกนั้นผู้สร้างต้องคำนึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคกกแบบฝึกที่สร้างต้องมีหลาย ๆ รูปแบบ สร้างจากง่ายไปหายากมีความถูก ต้องห้ามผิดพลาดในแบบฝึกที่สร้างมีการสอคแทรกทักษะวิชาอื่นเข้าไปด้วย ควรจัดทำแบบฝึกไว้ ล่วงหน้าเพราะแบบฝึกควรทำหลังจากผู้เรียนได้เรียนบทเรียนในเรื่องนั้น ๆ จบลงทันที อนงพันธุ์ ใบสุขันธ์ (2551 : 33) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนการสอนที่ครูสร้างขึ้น เพื่อใช้ฝึกทักษะผู้เรียนหลังจากเรียนจบเนื้อหาให้เกิดดวามรู้ความเข้าใจจนเกิดทักษะสูงสุดโดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ เบญจวรรณ วิเชียรครุฑ (2552 : 15) ได้กล่าวถึง หลักการให้แบบฝึกทักษะแก่นักเรียนไว้ว่าครู มีหลักการในการให้แบบฝึกทักษะเพื่อให้เกิดประ โยชน์แค่นักเรียน ดังนี้ 1. แบบฝึกทักษะต้องแจ่มแจ้งและแน่นอน กรจะต้องอธิบายวิธีทำให้ชัดเจนให้นักเรียนเข้าใจได้ ถูกต้อง และกำหนดขอบเขตให้แน่นอนไม่กว้างขวางเกินไป 2. ใช้ภาบาที่เข้าใจง่าย เหมาะสมกับวัยและพื้นฐานความรู้ของนักเรียน


25 3. แบบฝึกทักษะควรเป็นเรื่องที่นักเรียนได้เรียนมาแล้วเพราะความรู้เดิมย่อมเป็นรากฐานหรือ ประสบการณ์ใหม่ ช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปได้ง่ายเละสะดวกขึ้น 4. ชี้แจงให้นักเรียนเข้าใจความสำคัญของแบบฝึกทักษะ เพื่อให้นักเรียนมองเห็นคุณค่าอันเป็น เรื่องเร้าใจให้นักเรียนทำสำเร็จจุล่วงไปด้วยดี 5. ครูต้องเร้าความสนใจของนักเรียนให้มีต่อแบบฝึกทักษะนั้น 6. ครูต้องเป็นผู้ตั้งปัญหาขึ้น และปัญหานั้นไม่ยากเกินความสนใจของนักเรียนแต่เร้าควาอยาก รู้อยากเห็น และยั่วยุให้นักเรียนอยากแก้ปัญหานั้น ๆ 7. การให้นักเรียนรู้เค้าโครงเสียก่อนจะเป็นเครื่องเร้าใจให้นักเรียนทำต่อให้สำเร็จ 8. เนื่องจากนักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกัน แบบฝึกทักษะที่กำหนดให้นักเรียนเก่ง นักเรียนปานกลาง และนักเรียนอ่อนควรยากง่านต่างกัน ถ้าให้อย่างเดียวกันก็พิจารณาค้านคุณภาพให้ แตกต่างกัน หรือให้นักเรียนที่เรียนมีเวลาทำมากกว่า 9. ควรยั่วยุให้นักเรียนพยายามทำเพื่อผลงานมากกว่าหวังรางวัลหรือเกรงกลัวการลงโทษการ เข้าใจคุณค่าคำถาม ยั่วยุให้นักเรียนเกิดความสนใจและตั้งใจทำจริง ๆ 10. ควรคำนึงถึงวัยของนักเรียน เด็กเล็กควรมุ่งให้เกิดความรู้ ความชำนาญ สำหรับเด็กโตรู้จัก ใช้ความคิดแล้ว ควรให้งานที่ส่งเสริมให้ใช้ความคิดมากขึ้น 11. การใช้แบบฝึกทักษะควรเหมาะสมกับเวลาที่นักเรียนมีอยู่ไม่ควรให้มากเกินไปจนนักเรียน ไม่สามารถทำสำเร็จได้ และไม่ควรให้น้อยจนมีเวลามากเกินไป ควรให้นักเรียนใช้เวลาทำแบบฝึก ทักษะจนเกิดความรู้และทักษะจริง 12. แบบฝึกทักษะที่ให้ควรมีความแตกต่างกัน และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อมิให้ซ้ำจนเกิด ความเบื่อหน่าย สรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกทักษะควรคำนึงถึงตัวผู้เรียนเป็นหลัก โดยมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนว่า จะฝึกเรื่องใด ด้านใด ควรจัดเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เนื้อหาไม่ยากเกินไปและมีรูปแบบ หลายแบบที่น่าสนใจ มีกิจกรรมที่ยั่วยุท้าทายให้เด็กเกิดความอยากรู้อยากเห็นอยากทดลอง อยากทำ สิ่งใหม่ ๆ 5.5ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะ มีนักวิชาการหลายท่าน ได้กล่าวถึง ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 21) ได้อธิบายขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ ดังนี้ 1. ศึกษาเนื้อหาสาระสำหรับการจัดทำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะ 2. วิเคราะห์เนื้อหาสาระโดยละเอียดเพื่อกำหนดจุดประสงค์ในการจัดทำ 3. ออกแบบการจัดทำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะตามจุดประสงค์ 4. สร้างแบบฝึกหัด และแบบฝึกทักษะและส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น


26 4.1 แบบทดสอบก่อนฝึก 4.3 ขั้นตอนกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องปฏิบัติ 4.4 แบบทดสอบหลังฝึก 5. นำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะ ไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6. ปรับปรุงพัฒนาให้สมบูรณ์ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 62) ได้กำหนดส่วนประกอบของ แบบฝึกทักษะได้ดังนี้ 1. คู่มือการใช้แบบฝึก เป็นเอกสารสำคัญประกอบการใช้แบบฝึก ว่าใช้ เพื่ออะไรและมี วิธีใช้อย่างไร เช่น ใช้เป็นงานฝึกท้ายบทเรียน ใช้เป็นการบ้าน หรือใช้สอนซ่อมเสริม ประกอบด้วย 1.1 ส่วนประกอบของแบบฝึก จะระบุว่าในแบบฝึกชุดนี้ มีแบบฝึกทั้งหมดกี่ชุด อะไรบ้าง และมีส่วนประกอบอื่น ๆ หรือไม่ เช่น แบบทดสอบ หรือแบบบันทึกผลการประเมิน 1.2 สิ่งที่ครูหรือนักเรียนต้องเตรียม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกให้ครูหรือนักเรียน เตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้าก่อนเรียน 1.3 จุดประสงค์ในการใช้แบบฝึก 1.4 ขั้นตอนในการใช้ บอกข้อตามถาคับการใช้ และอาจเขียนในรูปแบบของแนว การสอนหรือแผนการสอนจะชัดเจนยิ่งขึ้น 1.5 เฉลยแบบฝึกในแต่ละชุด 2. แบบฝึกเป็นสื่อที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนฝึกทักยะ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ที่ถาวรควรมี องค์ประกอบ ดังนี้ 2.1 ชื่อชุดฝึกในแต่ละชุดย่อย 2.2 จุดประสงค์ 2.3 คำสั่ง 2.4 ตัวอย่างชุดฝึก 2.5 ภาพประกอบ 2.6 ข้อทดสอบก่อนและหลังเรียน 2.7 แบบประเมินบันทึกผลการใช้ 2.8 รูปแบบการสร้างแบบฝึก สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 62) ได้เสนอแนะรูปแบบการสร้างแบบฝึก ทักษะ โดยอธิบายว่าการสร้างแบบฝึกรูปแบบก็เป็นสิ่งสำคัญในการที่จะงใจให้ผู้เรียนได้ทดลองปฏิบัติ แบบฝึกจึงควรมีรูปแบบที่หลากหลาย มิใช่ใช้แบบเดียวจะเกิดความจำเจน่าเบื่อหน่ายไม่ท้าทายให้


27 อยากรู้อยากลองจึงขอเสนอรูปแบบที่เป็นหลักใหญ่ไว้ก่อน ส่วนผู้สร้างจะนำไปประยุกต์ใช้ ปรับเปลี่ยนรูปแบบอื่น ๆ ก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคน ซึ้งจะเรียงลาดับจากง่ายไปหายากดังนี้ 1. แบบถูกผิด เป็นแบบฝึกที่เป็นประโยคบอกเล่าให้ผู้เรียนอ่านแล้วใส่เครื่องหมายถูก หรือผิดตามดุลยพินิจของผู้เรียน 2. แบบจับคู่ เป็นแบบฝึกที่ประกอบด้วยตัวดำถามหรือตัวปัญหา ซึ่งเป็นตัวยืนไว้ในสดมภ์ซ้ำย มือโดยมีที่ว่างไว้หน้าข้อเพื่อให้ผู้เรียนเลือกหาคำตอบที่กำหนดไว้ในสดมภ์ขวามือมาจับคู่กับคำถามให้ สอดคล้องกัน โดยใช้หมายเลขหรือรหัสคำตอบไปวางไว้ที่ว่างหน้าข้อความหรือจะใช้การโยงเส้นก็ได้ 3. แบบเติมคำหรือเติมข้อความ เป็นแบบฝึกที่มีข้อความไว้ให้ แต่ะเว้นช่องว่างไว้ให้ ผู้เรียนเติมคำหรือข้อความที่ขาดหายไป ซึ่งคำหรือข้อความที่นามาเติมอาจให้เติมอย่างอิสระหรือ กำหนดตัวเลือกให้เติมกี่ได้ 4. แบบหมายตัวเลือก เป็นแบาฝึกเชิงแบบทคสอบ โดยจะมี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นคำถามซึ่ง จะต้องเป็นประโยดกาถามที่สมบูรณ์ ชัดเจมไม่คลุมเครือ ส่วนที่ 2 เป็นตัวเลือก คือคำตอบซึ่งอาจจะมี 3 - 5 ตัวเลือกก็ได้ ตัวเลือกทั้งหมดจะมีตัวเลือกที่ถูกที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวส่วนที่เหลือเป็นตัวลวง 5. แบบอัตนัย คือ ความเรียงเป็นแบบฝึกที่ตัวคำถาม ผู้เรียนต้องเขียนบรรยายตอบอย่างเสริม ตามความรู้ความสามารถ โดยไม่จำกัดคำตอบ แต่กำจัดคำตอบ แต่จำกัดในเรื่องเวลา อาจใช้คำถามใน รูปทั่ว ๆ ไป หรือเป็นคำสั่งให้เขียนเรื่องราวต่าง ๆ ก็ได้ อัมพา ปัญญาคำ (2550 : 21) กล่าวถึง ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะไว้ว่าควรมีจุดประสงค์ ปลายทางหรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังในการทำแบบฝึกของนักเรียน แสดงจุดประสงค์บ่อยในแต่ละ หน่วยหรือชุดของแบบฝึกในส่วนของเนื้อหาควรเลือกเนื้อหาให้เหมาะสมกับระดับพื้นฐาน ความสามารถของนักเรียน โดยเรียงลำคับจากง่ายไปยาก กาษาที่ใช้เป็นภาษาที่เหมาะสมกับวัยและ ความสามารถในการอ่านและการทำความเข้าใจของนักเรียน เนื้อหาที่จัดควรเป็นไปตามขั้นตอนการ เรียนรู้ตามหลักวิชา ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และมีเฉลยไว้ท้ายแบบฝึกเพื่อให้นักเรียนตรวจสอบไว้ ท้ายแมงฝึกทักษะเพื่อให้นักเรียนตรวจสอบความถูกต้องด้วยคนเอง กชกร ธิปัตดี (2551 : 1) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้ 1. มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน 2. มีกระบวนการเรียนรู้ที่เริ่มต้นจากง่ายไปยาก คือทบทวนความรู้เดิมก่อนเรียนรู้สิ่งใหม่ 3. เน้นให้ผู้เรียนปฏิบัติจริง และขัดให้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ 4. ใช้สื่อย่างหลากพลายหรือสื่อประสมและใช้วิธีการเรียนรู้หลากหลาย 5. จัดให้มีการอภิปรายโดยมุ่งมั่นให้เกิดการนำความรู้ไปใช้ในเชิงการประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ ใหม่ๆ


28 กิตติยาพร เนื้ออ่อน (2552 : 81) กล่าวว่า แบบฝึกที่ดีจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน คือ มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนว่าจะฝึกค้าน ใดตรงตามเนื้อหา เหมาะสมกับวัย เวลาความสามารถ ความสนใจความแตกต่างระหว่างบุคคล สภาพปัญหาของนักเรียนใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายส่งเสริม ความคิดยั่วยุ จูงใจ ท้าทายผู้ฝึกให้ใช้ความสามารถ มีความพอใจในการเรียนและเกิดทักษะตรงตาม จุดประสงค์ สรุปได้ว่า ลักษณะแบบฝึกที่ดีนั้นควรมีลักบณะสั้น ๆ สถานการณ์ที่ต่างกันเข้าใจง่ายมี คำอธิบายที่ชัดเจน มีความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน เป็นสิ่งที่น่าสนใจท้าทายความสามารถ และเกิด ประโยขน์แก่ผู้เรียน สำลี รักสุทรี (2553 : 36) กล่าวถึง ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะว่ามีส่วนประกอบ ที่สำคัญ ดังนี้ 1. คำแนะนำการ ใช้แบบฝึกทักษะ 1.1 สำหรับครู เป็นคำแนะนำเพื่อให้ครูทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้แบบฝึกนั้น ๆ ว่าครู จะต้องทำอย่างไร เตรียมอะไรบ้าง บทบาทของครูเป็นอย่างไรบ้าง ขณะนักเรียนปฏิบัติครูควรมี บทบาทอย่างไร 1.2 สำหรับผู้เรียน เป็นคำแนะนำเพื่อให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมตามที่แบบฝึกกำหนด ไว้ให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งจะมีคำชี้แจง ดำอธิบายไว้ชัดเจนในการปฏิบัติกิจกรรม 2. แบบทดสอบก่อนเรียน เป็นแบบทคสอบเพื่อประเมินความรู้เดิมของนักเรียน 3. สาระสำคัญ เพื่อบอกให้รู้ถึงความสำคัญ ใจความสำคัญสั้น ๆ ของเรื่องนั้น 4. ตัวบ่งชี้ เพื่อบอกให้หราบถึงตังบ่งชี้ที่เป็นปัญหาที่ต้องใช้ลื่อนวัดกรรมขุดนี้ 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อบอกให้ทราบว่าผู้เรียนต้องรู้อะไร เป็นอย่างไร 6. เนื้อหาสาระ 7. กิจกรรม 8. สรูป 9. แบบทดสอบหลังเรียน สรุปได้ว่าแบบฝึกทักษะประกอบด้วยคำแนะนำในการฝึกทักษะซึ่งมีทั้งคำแนะนำสำหรับครู และคำแนะนำ สำหรับผู้เรียน จุดประสงค์ในการฝึกทักษะ เนื้อหาสาระ กิจกรรมในการฝึกทักษะ แบบทคสอบหรือแขบประเมินผลการใช้แบบฝึกทักษะ และชื่อชุดฝึกในแต่ละชุดย่อย จุดประสงค์กำสั่ง ตัวอย่าง ชุดฝึก ภาพประกอบ ข้อทดสอบก่อนและหลังเรียน แบบประเมิน บันทึกผลการใช้ซึ่ง ส่วนประกอบเหล่านี้จะทำให้นักเรียน ได้เรียนรู้ ได้ฝึกปฏิบัติดามขั้นตอนเพื่อให้เกิดทักษะที่ตั้งไว้


29 6.แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นสิ่งสำคัญในการจัดการเรียนการสอน เป็นสิ่งที่ครูผู้สอนได้ว่าง กำหนดไว้ว่าจะสอนอะไรให้กับผู้เรียน เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ตามหลักสูตรการศึกษาอีกทั้งยัง เป็นหลักฐานที่แสดงข้อมูล การจัดการเรียนรู้ การวัดผล ประเมินผล เพื่อใช้ประโยชน์ในการปรับปรุง การเรียนการสอนครั้งต่อไปให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังที่มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของ แผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ 6.1ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ ชวลิต ชูกำแพง (255 1 : 93) ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ว่า หมายถึงการ วางแผนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนล่วงหน้าอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรของผู้สอนเพื่อเป็นแนวทาง ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง โดยใช้สื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับผล การเรียนรู้ที่คาคหวัง เนื้อหา เวลา เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้เป็นไปอย่างเต็มศักยภาพ มนัส ธาตุทอง (2551 : 133) ให้ความหมายของแผนการจัดการการเรียนรู้ว่า หมายถึงเอกสาร ที่ผู้สอนแต่ละคนได้นำเนื้อหาวิชา สาระการเรียนรู้หรือประสบการณีที่จะต้องทำการสอนในระยะเวลา หนึ่ง มาเตรียมการสอนเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อเพิ่มคุณภาพการเรียนรู้ สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2551 : 58 ให้ความแผนของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึงแผนการ เตรียมการสอนหรือการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ และจัดทำไว้เป็นลาย ลักษณ์อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุ จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ โดยเริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์จะให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลง ด้าน ใด (สติปัญญาเจตคติทักษะ) จะจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิธี ใด ใช้สื่อการสอนหรือแหล่งการเรียนรู้ ใดและจำประเมินผลอย่างไร วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 109 ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึงแผนการ จัดกิจกรรมการเรียนการจัดการเรียนรู้ การใช้สื่อการขัดการเรียนรู้การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้อง กับเนื้อหาและจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร หรือแผนการจัดการเรียนรู้เป็นแผนที่ผู้จัดการเรียนรู้ จัดทำขึ้นจากคู่มือหรือแนวการจัดการเรียนรู้ของกรมวิชาการทำให้ผู้จัดการเรียนรู้ทราบว่าจะจัดการ เรียนรู้เนื้อหาใด เพื่อจุตประสงค์ใด ถัดการเรียนรู้อย่างไรใช้สื่ออะไร และวัดผลประเมินผลโดยวิธีใดผู้ ศึกษาค้นคว้าได้ศึกษากวามหมายของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สรุปได้ว่าแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การเตรียมการวางแผนจัดกิจกรรมการเรียน การสอนล่วงหน้าอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งแผนที่ผู้จัดการเรียนรู้จัดทำขึ้นมาจากคู่มือหรือ แนวการจัดการเรียนรู้ของกรมวิชาการ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง โดยใช้สื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เนื้อหา เวลา


30 โดยมีการราบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนด ไว้ 6.2 ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ นักวิชาการได้ให้ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ต่าง ๆ ดังนี้ ฆนัท ธาตุทอง (255 1 : 131) ได้ตรูปถึงความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ทำให้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความหมายยิ่งขึ้น 2. ครูมีคู่มือการสอนที่มีคุณภาพ 3. เป็นผลงานที่มีศักยภาพการเป็นครูมืออาชีพ 4. ครูผู้อื่นใช้สอนแทนเราได้ 5. ทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามสภาพที่เป็นจริง 6. ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบองค์รวมที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ใด้หลายอย่างในขณะเดียวกัน 7. ทำให้ขยายขอบเขตการศึกษาไปได้อย่างไม่จำกัดโดยมีความเกี่ยวข้องกับวิชาอื่น ๆ ได้ อย่างกลมกลืน 8. ช่วยให้การเรียนการสอนมีคุณภาพตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรสถานศึกบา 9. ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้มีความสมบูรณ์ครบถ้วน โดยไม่จำกัดเวลา ชวลิต หูกำแพง (2551 : 95 - 9) ได้ให้ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ 1. ช่วยให้ครูมีความรู้ ความเข้าใจจุดมุ่งหมายของเรื่องที่จะจัดกิจกรรม และเลือกจัดกิจกรรมได้ เหมาะสมกับวัยของนักเรียน มีคุณภาพตรงกับเจตนารมณ์ของหลักสูตร ซึ่งส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการ เรียนรู้ตามลำดับขั้นตอน และทันเวลา 2. ช่วยให้ครูมีความเชื่อมั่นในตนเองมากยิ่งขึ้น เมื่อได้เตรียมการสอนมาอย่างดีแล้วการสอนก็จะ เป็นไปอย่างเรียบร้อย 3. ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้เร็ว เพราะเมื่อครูเตรียมการสอนดีย่อมทำให้การจัดกิจกรรมเป็นไป ตามขั้นตอน จนนักเรียนได้รับความรู้ความเข้าใจเร็วขึ้น 4. ทำให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อกลุ่มประสบการณ์ที่เรียน การที่ครูเตรียมการสอน ทำให้ครูมั่นใจใน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และจัดกิจกรรมได้เหมาะสมกับวัยของนักเรียน ทำให้นักเรียนเรียน ด้วยความสนุกสนาน และเกิดเจตคติที่ดีต่อเรื่องที่เรียน 5.ทำให้นักเรียนเกิดความเสื่อมใสในตัวครู เพราะครูมีความมั่นใจมีการเตรียมการเรียนการสอนมา อย่างดี กระบวนการเรียนการสอนเป็นไปตามขั้นตอนอย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนก็เกิดความเลื่อมใส ศรัทธาในตัวครูยิ่งขึ้น 6. ถ้าครูมีความจำเป็นไม่ได้สอนด้วยตนเอง ผู้มาสอนแทนก็จะมาสอนแทนได้บรรลุตามจุดประสงค์ที่ กำหนด


31 7. ทำให้การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นไปตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ช่วยให้ครู สามารถวินิจฉัยจุดอ่อนของนักเรียนที่จะ ได้รับการแก้ไข และทราบจุดเด่นที่ควรได้รับการส่งเสริม ต่อไป นถกกากนี้ยังช่วยส่งเสริมให้ครูเห็นภาพการทำงานของตนเองได้เด่นชัดยิ่งขึ้น 8. ครูผู้สอนสามารถใช้ปืนช้อมูลที่ถูกต้องที่ยงตรง เพื่อเสนอแนะแก่บุคลากรและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมวิชาการ ศึกษานิเทศก็ และผู้บริหาร เพื่อปรับปรุงหลักสูตร ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น 9. ช่วยให้ผู้บริหารหรือผู้เกี่ยวข้องได้ทราบขั้นตอน กระบวนการต่าง ๆ ในการสอน ของครูเพื่อการนิเทศติดตามและประเมินผลการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 10. เป็นการพัฒนาวิชาชีพครู ที่แสดงว่าการสอนต้องได้รับการฝึกฝนที่มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะมีเครื่องมือและเอกสารที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ 11. เป็นผลงานทางวิซาการอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความชำนาญพิเศษหรือความเชี่ยวชาญ ของผู้จัดทำแผนการสอน ซึ่งสามารถนำไปพัฒนางานในหน้าที่และเสนอเลื่อนระดับให้สูงขึ้น สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2551 : 58) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ เปรียบได้กับพิมพ์เขียว ของวิศวกรหรือสถาปนิกที่ใช้เป็นหลักในการควบคุมงานก่อสร้าง วิสวกรหรือสถาปนิกจะขาพิมพ์เขียว ไม่ได้ฉันใด สู้เป็นครูก็ขาดแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไม่ได้ฉันนั้นผลดีของการทำ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สรุปได้ดังนี้ 1. ทำให้เกิดการวางแผนวิธีสอนวิธีเรียนที่มีความหมายยิ่งขึ้น เพราะเป็นการจัดทำ อย่างมีหลักการที่ถูกต้องช่วยให้ครูมีคู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำไว้ล่วงหน้ำด้วยตนเองและทำ ให้ครูมีความมั่นใจในการจัดการเรียนรู้ได้ตามเป้าหมาย 2. ช่วยให้ครูผู้สอนทราบว่า การสอนของตนได้เดินทางไปทิศทางใด หรือทราบว่าจะสอนอะไร ด้วยวิธี ใด สอนทำไม สอนอย่างไร จะใช้สื่อและแหล่งเรีขนรู้อะไร และจะวัดและประเมินผลอย่างไร 3. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนใฝ่ศึกษาหาความรู้ ทั้งเรื่องหลักสูตร วิธีจัดการเรียนรู้จะจัดหาและใช้สื่อแหล่ง เรียนรู้ ตลอดจนการวัดและประเมินผล 4. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำไปใช้ และพัฒนาแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อวงการศึกษา 5. เป็นผลงานทางวิชาการที่แสดงถึงความชำนาญ และความเชี่ยวชาญของครูผู้สอนสำหรับ ประกอบการประเมินเพื่อขอเลื่อนตำแหน่งและวิทยฐานะครูให้สูงขึ้นสามารถเผยแพร่เป็นตัวอย่างได้ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 109) ได้ให้ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ 1. ทำให้เกิดการวางแผนวิธีการจัดการเรียนรู้ วิธีเรียนที่มีความหมายยิ่งขึ้นเพราะเป็น การจัดทำอย่างมีหลักการที่ถูกต้อง 2. ช่วยให้ครูมีสื่อการจัดการเรียนรู้ที่ทำด้วยตนเอง ทำให้เกิดความสะดวกต่อการจัดการเรียนการ จัดการเรียนรู้ ทำให้การจัดการเรียนรู้ใด้ครบถ้วนตรงตามหลักสูตรและจัดการเรียนรู้ได้ทันเวลา


32 3. เป็นผลงานวิชาการที่สามารถเผยแพร่เป็นตัวอย่างได้ 4. ช่วยให้ความสะดวกแก่ครูผู้จัดการเรียนรู้แทน ในกรณีที่ผู้จัดการเรียนรู้ไม่สามารถ เข้าจัดการเรียนรู้ได้ สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีความสำคัญต่อครูผู้สอนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่จะช่วย ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ทำให้ครูทำงานอย่างมีระบบ การเรียนการสอนมีกุณภาพตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา ทำให้การประเมินผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเป็นไปตามจุดประ สงค์ที่กำหนดไว้ช่วยให้ครูสามารถวินิจฉัยจุดอ่อนของนักเรียนที่จะ ได้รับการแก้ไข และทราบจุคเด่นที่ควรได้รับการส่งเสริมต่อไป 6.3 องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ มีนักวิชาการได้กล่าวถึงองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ต่าง ๆ คังนี้ ชวลิต ชูกำแพง (2551 : 3 - 97) ได้นำสนอตารางเกี่ยวกับองค์ประกอบของแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ สุวิทย์ มูลคำและคณะ (2551 : 63) ได้สรุปถึงแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ว่าประกอบด้วย ส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ส่วนนำหรือหัวแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นส่วนประกอบที่แสดงให้เห็นภาพรวมของ แผนว่า เป็นแผนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ใช้กับผู้เรียนระดับชั้นใด เรื่องอะไร ใช้เวลาในการจัดกิจกรรม นานเท่าใด ส่วนที่ 2 ตัวแผนการจัดกิจกรรมคารเรียนรู้ (องค์ประกอบที่สำคัญ) ประกอบด้วย 1. สาระ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ 4. สาระสำคัญ 6. จุดประสงค์การเรียนรู้ ประกอบด้วย 6.1 จุดประสงค์ปลายทาง 6.2 จุดประสงค์นำทาง 7. สาระการเรียนรู้เนื้อหา 8. กิจกรรม/กระบวนการเรียนรู้ 9. สื่อ/นวัตกรรม/แหล่งเรียนรู้ 10. การวัดและประเมินผล ประกอบด้วย 10.1 วิธีการประเมิน 10.2 เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน 10.3 เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมิน


33 1 1. เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 12. บันทึกผลหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ส่วนที่ 3 ท้ายแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วยบันทึกผลการใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้สอนบันทึกข้อสังเกตที่พบ จากการนำเผนไปใช้ เช่น ปัญหาและแนวทางแก้ไข กิจกรรมเสนอแนะและข้อมูลอื่น ๆเพื่อประโยชน์ ในการปรับปรุงแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในการนำไปใช้ต่อไปอีกส่วนหนึ่งของท้ายแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ เอกสารประกอบการสอน เช่น ใบงานแบบทคสอบที่ใช้ในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ตามแผนนั้น ๆ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์(2554 : 342) ได้ให้กล่าวถึงองค์ประกอบของแผนการจัด การเรียนรู้ไว้ ดังนี้ 1. กลุ่มสาระการเรียนรู้ หน่วยที่สอนและสาระสำคัญ (ความคิดรวบยอด) ของเรื่อง 2. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 3. สาระการเรียนรู้ 4. กิจกรรมการเรียนการสอน 5. สื่อการเรียนการสอน 6. วัดผลประเมินผล ดังนั้นองค์ประกอบของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จึงเป็นการวางแนวทางและเขียน ไว้เพื่อแสดงถึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะจัดขึ้นตามบทเรียน ซึ่งประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนการวัคผลประเมินผล ลักษณะของเผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี สุวิทย์ มูลคำ และคณ ะ (2551 : 59) สรุปแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะช่วยให้การเรียน การสอนประสบความสำเร็จได้ดีคือกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ไว้ซัดเจน (ในการสอนเรื่องนั้น ๆ ต้องการให้ผู้เรียนเกิดคุณสมบัติอะไร หรือด้านใด) 2. กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้ชัดเจน และนำไปสู่ผลการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ ได้จริง (ระบุบทบาทของครูผู้สอนและผู้เรียนไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องทำอะไรจึงจะทำให้การเรียน การสอนบรรลุผล) 3. กำหนดสื่ออุปกรณ์หรือแหล่งเรียนรู้ไว้ชัดเจน (จะใช้สื่อ อุปกรณ์ หรือแหล่งเรียนรู้อะไรช่วยบ้างและ จะใช้อย่างไร) 4. กำหนดวิธีการวัดและประเมินผลไว้ชัดเจน (จะใช้วิธีการและเครื่องมือในการวัดและประเมินผลใด เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้นั้น)


34 5. ยึดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ (ในกรณี ที่มีปัญหาเมื่อมีการนำไปใช้ หรือไม่สามารถกำหนดการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนนั้น ได้ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้โดยไม่กระทบต่อการเรียน การสอนและผลการเรียนรู้) 6. มีความทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ และสอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง ที่ผู้เรียนดำเนินชีวิตอยู่ 9. แปลความได้ตรงกัน แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เขียนขึ้นจะต้องสื่อความหมาย ได้ตรงกัน เขียนให้อ่านเข้าใจง่าย กรณีมีการสอนแทนหรือเผยแพร่ ผู้นำไปใช้สามารถข้าใจและใช้ได้ ตรงตามจุดประสงค์ของผู้เขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 8. มีการบูรณาการ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะสะท้อนให้เห็นการบูรณาการแบบองค์ รวมของเนื้อหาลาระ ความรู้ และวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เข้าด้วยกัน 9. มีการเชื่อมโยงความรู้ไปใช้อย่างต่อเนื่อง เปีด โอกาสให้ผู้เรียนได้นำความรู้และประสบการณ์ เดิมมาเชื่อมโยงกับความรู้และประสบการณ์ใหม่ และนำไปใช้ในชีวิตจริงกับการเรียนในเรื่องต่อไ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 342) ได้กล่าวถึงลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีจะต้องช่วยให้การเรียนการจัดการเรียนรู้ประสบผลสำเร็จได้ดี ดังนั้น ผู้จัดการเรียนรู้จึงควรทราบถึงลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ซึ่งมีดังนี้ 1. สอดคล้องกับหลักสูตร และแนวการจัดการเรีขนรู้ของกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ 2. นำไปใช้ได้จริงและมีประสิทธิภาพ 3. เขียนอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เหมาะสมกับผู้เรียนและเวลาที่กำหนด 4. มีความกระจ่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและเข้าใจได้ตรงกันพรรณี 5. มีรายละเอียดมากพอที่ทำให้ผู้อ่านสามารถนำไปใช้จัดการเรียนรู้ได้ ดังนั้นลักษณะของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทีดีจะต้องสอดคล้องกับหลักสูตรแนวการ จัดการเรียนรู้ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ เขียนอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการมีความชัดเจน ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ เหมาะสมกับผู้เรียน และสามารถนำไปใช้ได้จริง 6.4 การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นงานสำคัญอย่างยิ่งของผู้เป็นครู เพราะเป็นการเตรียมการ จัดการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยให้การเรียนการจัดการเรียนรู้บรรลุผลตามขูดมุ่งหมายของหลักสูตร อย่างแท้จริง ในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้จัดการเรียนรู้ต้องศึกษาเอกสารหลักสูตรเป็น เบื้องต้นก่อนที่จะลงมือเขียน นักวิชาการหลายท่านใด้กล่าวถึงการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ไว้ดังนี้ ชวลิต ชูกำแพง (2550 : 57) ได้ให้ความหมายขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ดังนี้


35 1. ตัวขี้วัดรายปี จุดประสงค์การเรียนรู้) เป็นการวิเคราะห์รายปี/รายภาค หรือหน่วยการเรียนรู้ ที่กำหนดให้ครบองค์ประกอบทั้ง 3 ด้านคือความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณธรรมจริยธรรมและค่านิยม 2. สาระการเรียนรู้ (สาระสำคัญ)เป็นการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้กับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ด้านความรู้โดยการวิเคราะห์ในหัวเรื่องต่อไปนี้ 2.1 เลือกและขยายสาระการเรียนรู้ให้สอดกล้องกับผู้เรียน ชุมชนและท้องถิ่น 2.2 ต้องมีความเที่ยงตรง ปฏิบัติได้จริง ทันสมัย และเป็นตัวแทนความรู้ 2.3 มีความสำคัญในแนวกว้างและลึก น่าสนใจ เรียนรู้จากง่ายไปหายากมีความต่อเนื่องและ สัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ 3. กระบวนการจัดการเรียนรู้การวิเคราะห์กระบวนการจัดการเรียนรู้โดยการวิเคราะห์ ในหัวเรื่องดังต่อไปนี้ 3.1 เลือกวิธีการนำเข้าสู่บทเรียน 3.2 เลือกรูปแบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 3.3 เน้นให้ผู้เรียนทำกิจกรรมตามความสนใจของตนเอง 3.4 เน้นกิจกรรมที่ปฏิบัติต้องมีทั้งในห้องเรียน นอกห้องเรียน และสอดคล้องกับ ชีวิตประจำวันและชีวิตจริง 3.3.5 เปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกฝนและถ่ายทอดการเรียนรู้ไปสู่สถานการณ์ใหม่ ๆพร้อมทั้งทำ ให้เกิดความจำระยะยาว 3.3.6 ตรวจสอบความเข้าใจ โดยให้ผู้เรียนสรุป ทั้งส่งเสริมให้เชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้ และสิ่งที่ เรียนต่อไป 4. กระบวนการวัดผลประเมินผลในการวัดผลประเมินผล โดยมีหลักการดังนี้ 4.1 วิธีการวัดผลประเมินผล ต้องสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ 4.2 ใช้วิธีวัดที่หลากหลาย 4.3 เลือกใช้เครื่องมือที่มีความเชื่อมั่น 4.4 การแปรผลการวัดการประเมินผล เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและปรับปรุงการเรียนรู้ 5. แหล่งการเรียนรู้ให้มีการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งในและนอกห้องเรียนจาก ธรรมชาติ ความงาม ความจริง ความดี จิตนาการ และเครือข่ายต่างๆ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 250 - 251) ได้ให้แนวทางในจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ดังนี้ 1. ศึกษาและวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ที่จะจัดการเรียนรู้ 1.1 จุดประสงค์ประจำวิชา 1.2 ตัวขี้วัด 1.3 คำอธิบายรายวิชา


36 1.4 โครงสร้างของหลักสูตรสถานศึกษา 1.5 การวิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้ 1.6 แผนการเรียนรู้ 2. ศึกษาแนวทางการสอนของกรมวิชาการ เพื่อ 2.1 ศึกษารายละเอียดสาระการเรียนรู้กับผลการเรียนรู้ที่คาดหวังในแต่ละช่วงชั้น และระดับชั้นว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่ เพื่อเพิ่มเติมอีกให้สมบูรณ์ 2.2 วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ในกลุ่มสาระ การเรียนรู้หรือไม่ ถ้าไม่สอดคล้องควรปรับและนำมาเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ชัดเจน ต่อไป 2.3 นำกิจกรรมในแนวการสอน มาพิจารณาประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการจัด การเรียนรู้ในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ต่อไป 3. ขั้นเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ขั้นเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นขั้นสำคัญซึ่งผู้เขียนต้องวางแผน อย่างรอบกอบโดยกำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม กำหนดเนื้อหาให้เหมาะสมกับเวลากำหนด กิจกรรมการเรียนการจัดการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้จริง กำหนดสื่อการจัดการเรียนรู้ และการวัคผลที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การจัดการเรียนรู้ อย่างไรก็ตามควรได้จัดกิจกรรมการเรียน การจัดการเรียนรู้ อย่างเป็น กระบวนการและใช้กระบวนการต่าง ๆ เช่น คระบวนการคลุ่มการบวน การแก้ปัญหา กระบวนการ 9 ประการ เพื่อผู้เรียนเกิดทักษะกระบวนการ สามารถนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน สรุปได้ว่า การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ได้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีนั้น ผู้จัดทำแผน ต้องมีการวิเคราะห์เพื่อให้เกิดองค์ประกอบทั้งด้านกระบวนการ คุณธรรมจริยธรรม และค่านิยม ต้องมี การวางแผนอย่างรอบคอบและส่งสริมการเชื่อมโยงสิ่งที่จะเรียนรู้และการเรียนรู้ที่หลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน เพื่อให้เกิดการนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ 6.5 หลักการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 351 - 361) ได้กล่าวไว้ว่า การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ จำเป็นต้องฝึกเขียนให้ถูกต้องตามหลักการ สิ่งที่ควรเขียนให้ชัดเจน ได้แก่ 1. ส่วนหัวเรื่อง 2. สาระสำคัญ 3. ตัวชี้วัด 4. เนื้อหา 5. กิจกรรมการเรียนรู้


37 6. สื่อการเรียนรู้ 7. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ แต่ละหัวข้อมีหลักการเขียน ดังนี้ 1. ส่วนหัวเรื่อง ส่วนหัวเรื่อง เป็นส่วนแรกของการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นส่วนที่บอกรายละเอียดเบื้องต้น ของแผนการจัดการเรียนรู้ มีแนวการเขียน ดังนี้ 1.1 ลำดับที่ของแผนการเรียนรู้ 1.2 ระบุกลุ่มสาระการเรียนรู้ 1.3 ระบุชั้นที่จัดการเรียนรู้ 1.4 ระบุหัวข้อเรื่อง 1.5 ระบุเวลาที่ใช้จัดการเรียนรู้ 1.6 ระบุวันที่ เดือน ปี และช่วงเวลาในการจัดการเรียนรู้ 2. สาระสำคัญ สาระสำคัญ คือ ข้อความที่เขียนเพื่อระบุให้เห็นแก่น หรือเห็นข้อสรุปที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับ ผู้เรียนหลังจากเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทั้งค้านเนื้อหา ความรู้ ด้านทักษะ และด้านเจตกติซึ่งขึ้นอยู่กับ ความเหมาะสมของเรื่องที่นำเสนอสระสำคัญเป็นคำที่ใช้ในความหมายเดียวกับความคิดรวบยอดมโน ทัศน์ และมโนดติ ขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือความนิยมใช้มีแนวการเขียนดังต่อไปนี้ 2.1 เขียนในลักษณะของการสรุปเนื้อหาความรู้ ทักษะ หรือเจตคติที่เป็นเป้าหมาย ด้วยภายาที่รัดกุม และชัดเจน 2.2 เขียนในลักษณะความเรียงหรือเขียนเป็นข้อในกรณีที่การจัดการเรียนรู้ครั้งนี้ มีมากกว่า 1 สาระสำคัญ 2.3 การจัดการเรียนรู้ในระดับชั้นต้น ๆ ควรมีสาระสำคัญเดียวในการเรียนรู้ครั้งหนึ่ง 3. ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด คือ ข้อความระบุคุณลักษณะค้านเนื้อหา กวามรู้ ทักษะ หรือด้านเจตกติที่ต้องการให้เกิด ขึ้นกับผู้เรียน หลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง การเขียนจุดประสงค์ในแผนการจัดการเรียนรู้มี วิธีการเขียนหลายลักษณะแต่ โดยทั่วไปนิยมเขียนในลักษณะของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม หรือใน ลักษณะของจุดประสงค์ปลายทางและจุดประสงค์นำทางซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 3.1 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Bahavioral Objective)จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม คือ จุดประสงค์ที่บ่งขี้ถึงพฤติกรรมที่ผู้เรียน สามารถแสดงออกหลังจากที่ได้เรียนรู้ตามแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูกำหนดไว้ พฤติกรรมดังกล่าวต้องเป็นพฤติกรรมที่ครูสังเกตได้อย่างชัดเจนจาก การ ได้ยินและการมองเห็น จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่สมบูรณ์ควรจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน


38 ได้แก่ สถานการณ์หรือเงื่อนไขที่ครูตั้งไว้(Condition) พฤติกรรมของผู้เรียนที่คาดหวังให้แสดงออก (Terninal Behavior) และเกณฑ์บ่งชี้ความสามารถของนักเรียนที่จะแสดงพฤติกรรม (Crieria) 3.2 จุดประสงค์ปลายทางและจุดประสงค์นำทางจุดประสงค์ปลายทางหรือตัวชี้วัด คือ ข้อความที่ระบุถึงสิ่งที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนหลังจากที่ได้เรียนรู้ในแต่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือแต่ละเรื่องลักษณะของจุคประสงค์ปลายทางจะเป็นจุดประสงค์ที่ ไม่เฉพาะเจาะจงถึงรายละเอียดของพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกจุดประสงค์นำทาง คือ จุดประสงค์ ย่อยที่แตกออกจากจุดประ สงค์ปลายทาง เพื่อแสดงให้เห็นพฤติกรรมที่ดาคหวังให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน เมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมได้ตามกำหนดไว้ก็จะบรรลุตามเป้าหมายของจัดประสงค์ปลายทาง จุดประสงค์นำทางนิยมเขียนในรูปแบบของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมแนวการเขียนจุดประสงค์ 2. เขียนให้ครอบคลุมทั้งทางค้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domrain) 3. เขียนให้เห็นรายละเอียดของพฤติกรรมที่สามารถวัดและสังเกต ได้ 4. เขียนด้วยภาษาที่รัดกุม ชัดเจน สื่อความได้ดี 4. เนื้อหา เนื้อหาเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ผู้จัดการเรียนรู้เห็นภาพของสิ่งที่จะต้องจัดการเรียนรู้โดยรวม อาจประกอบด้วย ทฤษฎี หลักการ วิธีการ ขั้นตอน หรือแนวปฏิบัติการระบุเนื้อหาในแผนการจัดการ เรียนรู้มีแนวการเขียนดังต่อไปนี้ 4.1 เขียนให้สอดคล้องกับสาระสำคัญและจุดประสงค์ 4.2 กำหนดเนื้อหาของการจัดการเรียนรู้แต่ละครั้งให้เหมาะสมกับระยะเวลาวัยและ ความสามารถของผู้เรียน 4.3 เขียนเนื้อหาแบบย่อ โดยสรุปเป็นหัวข้อ หรือประเด็น หากมีเนื้อหามากให้ทำ เป็นใบความรู้ไว้กาคผนวกท้าขแผนการจัดการเรียนรู้ 4.4 เขียนเนื้อหาที่จะให้ผู้เรียนเรียนรู้ไว้ตามลำดับ หากแบ่งเป็นหัวข้อย่อยได้ควร แบ่งความชัดเจน 5. กิจรรมการเรียนรู้กิจกรรมการเรียนรู้ คือ สภาพการณ์ที่ครูออกแบบเพื่อนำเสนอเนื้อหา หรือ การปฏิบัติให้ผู้เรียนเกิดการเรียน มีแนวเขียน ดังต่อไปนี้ 5.1 เขียนให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหา วิธีการหรือการปฏิบัติ 5.2 เขียนเป็นข้อกวามตามลำดับขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้ หรือเขียนโดย แบ่งเป็นขั้นได้แก่ ขั้นน้ำเข้าสู่บทเรียน ขั้นดำเนินการจัดการเรียนรู้ และขั้นสรุปบทเรียน โคยเขียนเป็น ข้อเรียงตามลำคับขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้ในแต่ละขั้น หากขั้นใดมีกิจกรรมเดียวไม่ต้องใส่เลข ลำดับหัวข้อ


39 5.3 เขียนโดยระบุให้รู้ว่ากิจกรรมการเรียนรู้แต่ละขั้นใครเป็นผู้มีบทบาทผู้เรียน ผู้จัดการเรียนรู้ หรือผู้จัดการเรียนรู้และผู้เรียนร่วมกันกระทำ เป็นต้น 5.4 ไม่ควรระบุรายละเอียดของคำพูดทั้งคำพูดและผู้จัดการเรียนรู้และผู้เรียน 6. สื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ คือ สิ่งที่เป็นตัวกลางที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป 6.1 ระบุสื่อให้สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ 6.2 ระบุเฉพาะสื่อที่ใช้จริงในการจัดการเรียนรู้ 6.3 ระบุชนิดและรายละเอียดของสื่อการเรียนรู้ เช่น ภาพยุงลาย แผนภูมิเพลง คุณธรรมสี่ประการ แถบบันทึกภาพและเสียงเรื่องชีวิตในบ้าน เป็นต้น 6.4 กรณีที่เป็นสื่อที่ใช้เพื่อทำกิจกรรมเป็นรายกลุ่มหรือรายบุคคลให้ระบุจำนวนชิ้น ต่อกลุ่มหรือต่อรายบุคคล 6.5 ไม่ควรระบุสิ่งที่มีคยู่แล้วคย่างถาวรให้คงเรียนว่าสื่อการเรียนรู้ เช่น กระดานดำ ชอล์ก ดินสอ ปากกา เป็นต้น 7. การวัดและประเมินผล การเรียนรู้การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เป็นการกระทำเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ การวัดเป็นการรวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือและวิธีการ ต่างๆเช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การสอบถาม การตรวจผลงาน และการทดสอบ เป็นต้นส่วนการ ประเมินผลเป็นการกำหนดคำหรือการตัดสินสิ่งที่วัด เช่น ผ่าน-ไม่ผ่าน, ดี-ปานกลาง-อ่อนหรือ กำหนดค่าเป็นระดับ 4 3 2 1 0 เป็นต้น สรุปได้ว่า การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นภารกิจสำคัญของครูผู้สอน จำเป็นต้องฝึกเขียน ให้ถูกต้องตามหลักการ โดยเรียงสำดับตามนี้ 1) ส่วนหัวเรื่อง 2) สาระสำคัญ 3)ตัวชี้วัด 4)เนื้อหา5) กิจกรรมการเรียนรู้ 6) สื่อการเรียนรู้ และ 7) การวัดและการประเมินผลการเรีขนรู้ ซึ่งการที่ผู้สอนได้ เขียนแผ่นอย่างถูกต้องตามหลักการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แล้วย่อมช่วยให้เกิดความมั่นใจในการ สอน ทำให้สอนได้ครอบคลุมเนื้อหา สอนอย่างมีแนวทางและมีเป้าหมาย และเป็นการสอนที่ให้คุณค่า แก่ผู้เรียน 7. ประเภทของแบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกิจ รัตนสุวรรณ (2525 : 210) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ดังนี้ 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้เอง ครูผู้สอนจัดสร้างขึ้นเพื่อวัดความก้าวหน้าของนักเรียน ภายหลังจากได้มีการเรียนการสอนไประยะหนึ่งแล้วโดยปกติแบบทดสอบประเภทนี้ จะใช้เฉพาะ


40 ภายในกลุ่มนักเรียนที่ครูผู้ออกข้อสอบเป็นผู้สอน จะไม่นำไปใช้กับนักเรียนกลุ่มอื่นทั้งนี้ โดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบนักเรียน มีความรู้ความสามารถตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้มากน้อย เพียงใดและจะนำผลการทดสอบนี้ไปใช้ทั้งปรับปรุงซ่อมเสริมการเรียนการสอนกับนำไปใช้ตัดสินผล การเรียนด้วยตัวอย่างแบบทดสอบที่ครูใช้ในการสอบปลายภาค หรือปลายปี หรือเมื่อสิ้นสุดการเรียน การสอนในแต่ละบทแต่ละตอนนั้นเอง 2. แบบทดสอบมาตรฐาน เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เช่นเดียวกับแบบทดสอบที่ครู สร้างขึ้นใช้เองแต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบการเรียนด้านต่าง ๆ ของนักเรียนที่ต่างกลุ่มกัน บุญชม ศรีสะอาด (2532 : 8-9) ได้แบ่งลักษณะของแบบทดสอบออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. แบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตามจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมมีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์ที่ใช้สำหรับตัดสินว่า ผู้เรียนมีความรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ไว้หรือไม่การวัดเพื่อให้ตรงตามจุดประสงค์ซึ่งเป็นหัวใจของข้อสอบในการทดสอบประเภทนี้ 2. แบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างเพื่อวัดให้ครอบคลุมหลักสูตร สร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร สามารถจำแนกผู้เรียนตามความเก่งอ่อนได้ การรายงานผลการ สอบอาศัยคะแนนมาตรฐานซึ่งเป็นคะแนนที่สามารถวัดได้ ที่แสดงสถานภาพความสามารถของบุคคล เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นที่ใช้เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2538 : 171-177) ได้แบ่งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ได้เป็น 2 พวกคือ 1. แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดของคำถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้นซึ่งเป็นข้อคำถาม เกี่ยวกับความรู้ที่นักเรียนได้เรียนในห้องเรียนว่านักเรียนมีความรู้มากแค่ไหน บกพร่องที่ตรงไหนจะได้ ซ่อมเสริม หรือวัดดูความพร้อมที่จะขึ้นบทเรียนใหม่ ตามแต่ครูปรารถนา 2. แบบทดสอบมาตรฐาน แบบทดสอบประเภทนี้สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละ สาขาวิชาหรือจากครูผู้สอนวิชานั้น แต่ผ่านการทดลองคุณภาพหลายครั้งจนกระทั่งมีคุณภาพดีจึงสร้าง เกณฑ์ปกติของแบบทดสอบนั้น สามารถใช้เป็นหลักเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่าของการเรียนการ สอนในเรื่องใด ๆ ก็ได้ จะใช้วัดอัตราความงอกงามของเด็กแต่ละวัยในแต่ละกลุ่มแต่ละภาคก็ได้ จะใช้ สำหรับให้ครูวินิจฉัยผลสัมฤทธิ์ระหว่างวิชาต่าง ๆ ในเด็กแต่ละคนก็ได้ข้อสอบมาตรฐานนอกจากจะมี คุณภาพของแบบทดสอบสูงแล้วยังมีมาตรฐานในด้านวิธีดำเนินการสอบ คือไม่ว่าโรงเรียนใด หรือส่วน ราชการใดจะนำไปใช้ต้องดำเนินการสอบเป็นแบบเดียวกัน แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือดำเนินการ สอบบอกวิธีการสอบว่าทำอย่างไรและยังมีมาตรฐานในด้านการแปลคะแนน


Click to View FlipBook Version