41 7.1 กระบวนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์ (2526:21-30) ได้กล่าวถึง ขั้นตอนของกระบวนการสร้าง แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ ขั้นที่ 1 การวางแผนสร้างแบบทดสอบพิจารณาถึงจุดประสงค์ของการนำแบบทดสอบไป ใช้การวางแผนสร้างแบบทดสอบว่าจะสร้างแบบทดสอบอะไรจำเป็นต้องเรียนรู้เสียก่อนว่าเราจะนำ แบบทดสอบไปใช้เพื่อทำอะไรหรือต้องทราบจุดประสงค์ของการนำแบบทดสอบไปใช้นั่นเองโดย หลักการแล้วการนำแบบทดสอบไปใช้จะสัมพันธ์อยู่กับการสอนเช่นการสอบเพื่อตรวจสอบความรู้เดิม จะสอบก่อนการทำการสอนการสอบเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนและวินิจฉัยข้อบกพร่องจะสอบใน ระหว่างดำเนินการสอนและการสอบเพื่อสรุปผลการเรียนจะสอบหลังจากการสอนเสร็จสิ้นทั้ง หมดแล้วดังนั้นจุดประสงค์ของการนำแบบทดสอบไปใช้อาจจำแนกเป็น 4 จุดประสงค์ดังนี้ 1. ใช้ตรวจสอบความรู้เดิมจะทำการสอบก่อนที่จะเริ่มต้นการสอนเมื่อพิจารณา 1.1 นักเรียนมีความรู้พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับเนื้อหาที่จะเรียนเพียงพอหรือไม่ 1.2 นักเรียนมีความรู้เนื้อหาที่จะสอนหรือไม่ 2. ใช้ตรวจสอบความก้าวหน้าและปรับปรุงการเรียนการสอน 3. ใช้วินิจฉัยผู้เรียน 4. ใช้สรุปผลการเรียน ขั้นที่ 2 การตระเตรียมงาน และเขียนข้อสอบ เมื่อวางแผนการสร้างแบบทดสอบโดย การสร้างเป็นตารางวิเคราะห์หลักสูตรเรียบร้อยแล้ว ต้องเตรียมงาน และเขียนข้อสอบต่อไป ขั้นที่ 3 การทดลองสอบเมื่อเขียนข้อสอบ และจัดพิมพ์เรียบร้อย ก็นำไปทดลองสอบ ขั้นที่ 4 การประเมินผลแบบทดสอบ การประเมินผลแบบทดสอบเป็นการตรวจสอบ ว่าแบบทดสอบมีคุณภาพหรือไม่ โดยพิจารณาตามคุณลักษณะที่ดีของแบบทดสอบซึ่งมีอยู่ 10 ประการคือ 1. ความแม่นตรง หมายถึง แบบทดสอบสามารถวัดพฤติกรรมได้ตรงตามที่ระบุไว้ใน จุดประสงค์และตามที่ทำการสอนจริง 2. ความเชื่อมั่น หมายถึง แบบทดสอบให้ผลการสอบสอดคล้องตรงกันทุกครั้ง 3. อำนาจจำแนก หมายถึง ข้อสอบที่แบ่งแยกคนเก่งอ่อนออกจากกันได้กล่าวคือคน เก่งจะตอบถูกคนอ่อนจะตอบผิด 4. ความยากง่าย หมายถึง จำนวนเปอร์เซ็นผู้ตอบถูกทั่วไปแล้วความยากง่ายที่ เหมาะสมจะมีจำนวนครึ่งหนึ่งตอบถูก 5. ความเป็นปรนัย หมายถึง ข้อสอบที่มีคำถามชัดเจนและการให้คะแนนชัดเจน 6. ความเฉพาะเจาะจง หมายถึง ข้อสอบที่มีคำถามชัดเจนและการให้คะแนนชัดเจน
42 7. ประสิทธิภาพ หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้นั้นประหยัดเวลาการสร้างการ ดำเนินการสอบการตรวจให้คะแนนแต่ให้ผลการสอบถูกต้อง 8. ความสมดุล หมายถึง แบบทดสอบสามารถวัดได้ครอบคลุมตามจุดประสงค์และ เนื้อหามีสัดส่วนจำนวนข้อสอบสอดคล้องตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร 9. ความยุติธรรม หมายถึง แบบทดสอบมีความชัดเจนไม่คลุมเครือและเปิดโอกาสให้ ทุกคนมีโอกาสที่จะตอบถูกได้เท่ากัน 10. ความเหมาะสมของเวลา หมายถึง แบบทดสอบได้กำหนดเวลาได้อย่างเพียงพอ ในการตอบข้อสอบจนเสร็จ 7.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่จะกล่าวต่อไปนี้ ได้แก่ ความหมายการวัดและประเมิน และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 7.3 ความหมายของผลลัมฤทธิ์ทางการเรียน มีนักการศึกษากล่าวถึงความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ กู๊ด (Good. 1973 : 7) ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ หมายถึง การทำให้สำเร็จ (Accomplishment) หรือประสิทธิภาพของการปฏิบัติในลักษณะที่กำหนดให้ หรือด้านความรู้ สมพร เชื้อพันธ์ (2547 : 53) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียนการ สอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ของเเต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ พิมพันธ์ เคชะคุปต์ และพยาว์ ยินดีสุข (2548 : 125) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ขนาดของความสำเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินคา (2549 : 42) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ ผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนเปลงพฤติกรรมและประสบการณ์ เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตาม ลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่ตกต่างกัน เยาวคี วิบูลย์ศรี(2549 : 16) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลจากการเรียนรู้ที่ แต่ละคนได้ศึกษาเรียนรู้มาแล้วในอดีตหรือในปัจจุบัน โดยเป็นผลจากการประเมินความรู้ทางด้าน
43 เนื้อหาวิชาการเป็นหลัก เน้นความตรงเชิงเนื้อหาที่มีตวามสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการศึก ษา เป็นสำคัญ อุทุมพร จามรมาน (2549 : 15) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง เครื่องขึ้นความ สำเร็จในการจัดการศึกษาของหลักสูตรนั้น ๆ ซึ่งการจัดการศึกษาตามหลักสูตรต่างๆมีความเกี่ยวช้อง กับจุดมุ่งหมายของหลักสูตร เนื้อหาสาระ การจัดการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล ดังนั้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงเป็นตัวชี้ความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายเละเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้อง ชัชวาล รัตนสวนจิก (2550 : 51) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลสำเร็จในการ เรียนรู้ โดยใช้ความสามารถทางสติปัญญาที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ สามารถใช้ความรู้ความเข้าใจและ ความสามารถในการคิดเพื่อแก้ปัญหาที่คำหนดได้ นิ่มน้อย แพงปัสสา (2551 : 79) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะความรู้ ความสามารถ และมวลประสบการณ์ของบุคคล อันเป็นผลมาจากการจัดการเรียนรู้ และเป็นผลให้ บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในค้านต่างๆ ซึ่งตรวจสอบได้จากการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประทินรัตน์ นิยมสิน (2554 :18 - 19) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การวัดความรู้ความ เข้าใจเนื้อหาสาระวิชาคณิตศาสตร์ และทักษะกระบวนการต่าง ๆ ทักษะการแก้ปัญหาทักษะการให้ เหตุผล ทักษะการติดตำนวณ การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ รวมถึงการวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ ใหม่ จากความหมายตั้งกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ความสำเร็จที่ได้ จากกระบวนการเรียนการสอนการฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถวัดได้จากการ ทดสอบด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยเป็นผลจากการประเมินความรู้ทางด้านเนื้อหาวิชาการเป็นหลักที่มีความ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาเป็นสำคัญ และเป็นเครื่องชี้ความ สำเร็จในการจัดการศึกษา ของหลักสูตรนั้น ๆ ดังนั้นผสสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงเป็นตัวชี้ความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายและเนื้อหา สาระที่เกี่ยวข้อง 7.3 การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษากล่าวถึงการวัดเละประมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ดังนี้ ชวลิต ชูกำแพง (2551 : 18) สรุปการวัดผลไว้ว่า การวัดผล (Mcasuremcn) เป็นกระบวนการ ในการกำหนดตัวเลขหรือปริมาณให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างมีกฎเกณฑ์โดยใช้เครื่องมือเช่น การใช้ แบบทดสอบของครูเพื่อวัดความสามารถทางสมองของเด็ก ใช้ตลับเมตรวัดความยาวของต้นไม้ เป็น ต้นการวัดผลต้องอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ 1. จุดมุ่งหมายของการวัค ว่าต้องการวัดอะไร ในสถานการณ์เช่นไรและวัดไปทำไม
44 2. เครื่องมือที่ใช้วัด เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม การสังเกต สัมภาษณ์ 3. การแปลผลและการนำผลไปใช้ เช่น คะแนนสอบ ความสูง ความยาวการประเบินผล (Evaluation) เป็นกระบวนการตัดสินใจหรือตีค่าที่ได้จากการวัดผลโดยอาศัยเกณฑ์ เช่น วัดความสูงของคนได้ 190 เซนติเมตร ประเมินผลว่าเป็นคนสูงโดยใช้เกณฑ์ที่เป็นบรรทัดฐานคน ไทย การประเมินผลมี องค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ 1. ประเมินในสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้และสามารถทำได้ 2. เน้นวัตถุประสงค์ความหมายโดยตรงมากกว่าโดยอ้อม 3. ลักษณะหรือกิจกรรมมีลักษณะความเป็นจริงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต 4. ใช้งานส่งเสริมความกว้างขวางมากกว่าคำตอบคำตอบเดียว ชนิษฎา อินนวล (2554 : 59) ได้กล่าวถึง การวัดผล คือ กระบวนการหรือเทคนิด วิธีการอย่างได้อย่างหนึ่ง เพื่อตรวจสอบคุณลักยณะของบุคคล เพื่อให้ได้ข้อมูลจกนามธรรมให้ออกมา เป็นรูปธรรม ความหมายของการประเมินพัฒนาการ สรุปได้ว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการคารคำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทน ปริมาณหรือคุณภาพของคุณลักษณะของสิ่งของที่ต้องการวัดโดยสิ่งที่ต้องการวัดนั้น เป็นผลมาจาก การกระทำหรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน เช่น การวัดผลการเรียนรู้ สิ่งที่ ต้องการวัดคือผลที่เกิดจากการเรียนรู้ของผู้เรียน 7.5 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษากล่าวถึงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตังนี้ กาญจนา วัฒายุ (2545 : 173 - 174) ได้สรุปถึง แบบทตสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (AchievementTest) เป็นแบบทดสอบที่วัดความรู้ ทัดยะ และสมรรถภาพสมองค้านต่าง ๆ ที่ผู้เรียน ได้เรียนรู้มาแล้ว ได้แก่ แบบทดสอบความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์การประเมินค่า แบบทดสอบวัคผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Icacher - made Tcst) หมายถึง แบบทคสอบที่ครู สร้างขึ้น 2. แบบทคสอบมาตรฐาน (Standardize Test) หมายถึง แบบทคสอบที่มุ่งวัคผลสัมฤทธิ์ ของผู้เรียนทั่วๆ ไป แบบทคสอบนี้ต้องผ่านการวิเคราะห์แล้วว่ามีคุณภาพดีและมีมาตรฐานในการ ดำเนินการสอบ และมีมาตรฐานในวิธีการแปลความหมายคะแนน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545 : 96) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทคสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่า บรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด
45 สิริพร ทิพย์ตง (2545 : 193) กล่าวว่า แบบทตสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ชุดคำถามที่มุ่งวัดพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพค้านสมองด้าน ต่าง ๆ ในเรื่องที่เรียนรู้ไปแล้วมากน้อยเพียงใด สมพร เชื้อพันธ์ (2547 : 59) กล่าวว่า แบบทตสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบหรือชุดของข้อสอบที่ใช้วัดความสำเร็จหรือความสามารถในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ ของนักเรียนที่เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าผ่านจุดประสงค์ การเรียนรู้ที่ตั้งไว้เพียงใดแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประเภทที่ครูสร้างมีหลายแบบ แต่ที่ นิยมใช้มี 6 แบบดังนี้ 1. ข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง (Subjcctive or Essay โes) เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะ คำถามแล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้และเขียนข้อคิดเห็นของแต่ละคน 2. ข้อสอบแบบถูก-ผิด (Truc - falsc Test)คือข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือกแต่ ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง เหมือนกัน-ต่างกัน เป็นต้น 3. ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion Lest) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยค หรือ ข้อความ ที่ยังไม่สมบูรณ์แล้วให้ตอบเติมคำหรือประ โยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้น เพื่อให้ มีใจความสมบูรณ์และถูกต้อง 4. ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ (Short Answer Test) เป็นข้อสอบที่คล้ายกับข้อสอบ แบบ เติมคำแต่แดกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ เขียนเป็นประโยตคำถามสมบูรณ์ (ข้อสอบเติมคำเป็น ประโยคหรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์ แล้วให้ผู้ตอบเขียนตอบ คำตอบที่ต้องการ จะสั้นและกะทัดรัดได้ ใจความสมบูรณ์ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง 5. ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching Test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีค่า หรือข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 แล้วให้ผู้ตอบเถือกจับคู่ว่าแต่ละข้อความในชุดหนึ่งจะคู่กับคำ หรือข้อความใดในอีกชุดหนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ออกข้อสอบกำหนดไว้ 6. ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Muliple Choice Tes) คำถามแบบเลือกตอบโดยทั่วไปจะ ประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนนำหรือคำถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือกนั้นจะ ประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นตำตอบถูกและตัวเถือกลวง ปกติจะมีคำถามที่กำหนดให้นักเรียนพิจารณา แล้วหาตัวเลือกที่ถูกต้องมากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่น ๆ และคำถามแบบเลือกตอบที่ดี นิยมใช้ตัวเลือกที่ใกล้เคียงกัน ดูเผิน ๆ จะเห็นว่าตัวเลือกถูกหมด แต่จริง ๆมีน้ำหนักถูกมากน้อย ต่างกัน
46 บุญชม ศรีสะ อาด (2556 : 53) กล่าวว่าแบบทคสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการ ซึ่งเป็นผลจาก การเรียนรู้ในเนื้อหาสาระและดามจุดประสงค์ของวิซาหรือเนื้อหาที่สอน โดยทั่วไปจะวัค ผลสัมฤทธิ์ในวิชาต่าง ๆ อาจจำแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบอิงเคณฑ์ (Citerion Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้น ตามจุตประสงค์เชิงหฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์ สำหรับใช้ตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่ การวัดตรงตามจุดประสงค์เป็นหัวใจสำคัญของข้อสอบในแบบทคสอบ ประเภทนี้ 2. แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Nom - referenced Tes!) หมายถึง แบบทคสอบที่มู่งสร้างเพื่อ วัดให้ครอบคลุมหลักสูตร จึงสร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจำแนกผู้สอบ ตามความเก่งอ่อน ได้ดีเป็นหัวใจสำคัญของข้อสอบประเกทนี้ การรายงานผลการสอบอาศัยคะแนน มาตรฐาน ซึ่งเป็นคะแนนที่สามารถให้ความหมายแสดงถึงสถานภาพความสามารถของบุคกลนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่น ๆ ที่ใช้เป็นกลุ่มเปรียบเทียน โดยทั่วไปจะวัดผลสัมฤทธิ์ใบวิชาต่าง ๆ ที่เรียนตามโรงเรียน วิทยาสัย มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และให้หลักการเกี่ยวกับ การสร้างแบบทศสอบชนิดเลือกตอบไว้ ดังนี้ (อรนุช ศรีสะอาค. 2547 : 39 - 60) ควรถามในเรื่องที่มีคุณค่าต่อการวัค 2. เขียนตอนนำหรือตอนถามให้อยู่ในรูปของคำถาม 3. ตัวคำถามมีความหมายแจ่มชัด 4. คำตอบที่ถูกต้องเป็นคำตอบที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ 5. คำตอบที่ถูกกับคำตอบที่ผิดไม่แตกต่างกันเด่นชัดจนเกินไป 6. แต่ละข้อจะต้องมีคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำตอบเดียว 7. ตัวคำตอบที่ถูกต้อง จะต้องไม่มีลักบณะรูปแบบแตกต่างๆจากตัวลวงอื่น ๆ อย่าง เห็นได้ชัด 8. ตัวลวงควรเป็นคำถามที่มีคุณค่าสำหรับเป็นตัวลวง 9. อย่าให้ตัวเลือกก้าวก่ายกัน 10. การใช้ตัวเลือกปลายเปิดควรใช้ให้เหมาะสม 11. ควรรียงลำคับตัวเลข หรือข้อความในตัวเลือกต่างๆ 12. ไม่ควรใช้คำฟุ่มเฟือย 13. ควรมีตัวเลือก 3,4 หรือ 5 ตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับของผู้สอบ 14. ถ้าจำเป็นต้องใช้คำถามแบบปฏิเสธ กวรขีดเส้นใต้หรือพิมพ์ตัวเอนหรือพิมพ์ด้วย ตัวหนักๆ ตรงคำปฏิเสธนั้น
47 15. ควรออกให้เป็นรูปภาพให้มาก 16. ไม่ควรให้ตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่ง มีโอกาสถูกบ่อยจนเกินไป 17. ในการพิมพ์ข้อสอบควรแยกตอนถามกับตอนเถือกออกจากกันให้ชัดเจน 18. ควรถามในหลักวิชาการนั้นจริง สรุปได้ว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ความสามารถของผู้เรียนซึ่งเป็นผลจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในเนี้ยหาวิชาที่สอบนั้น การศึกษาใน ครั้งนี้ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นข้อสอบแบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตัวเลือกที่เป็น แบบทดสอบอิงเกณฑ์และเป็นแบบทคสอบมาตรฐาน 8.ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 8.1 การกำหนดเกณฑ์การหาประสิทธิภาพ การกำหนดเกณฑ์ E1 / E2 ให้มีค่าเท่าใด ควรกำหนดไว้ก่อนว่าในครั้งนี้ว่าจะให้มาตรฐาน หรือเกณฑ์มาตรฐานเท่าใด โดยยึดเกณฑ์ในการพิจารณากำหนดเกณฑ์มาตรฐาน ดังนี้ 1.1 เนื้อหาวิชาที่เป็นความรู้ ความจำ ควรตั้งเกณฑ์ให้สูงไว้ คือ 80/80, 85/85, 90/90 1.2 เนื้อหาวิชาที่เป็นทักษะหรือเจตคติ ควรตั้งเกณฑ์ให้ต่ำลงมาเล็กน้อย คือ 70/70, 75/75 แต่อาจตั้งเกณฑ์สูงกว่านี้ก็ได้ 8.2 การคำนวณหาประสิทธิภาพ การคำนวณหาประสิทธิภาพ คือ การหาค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และประสิทธิภาพของ ผลลัพธ์ (E2) ซึ่งมีแนวทางการคำนวณ ดังนี้ 2.1 การคำนวณหาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) (เผชิญ กิจระการ, 2544:49) 100 1 1 x NxA X E = เมื่อ E1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ X1 คือ คะแนนรวมของแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมในบทเรียน A คือ คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมในบทเรียน N คือ จำนวนผู้เรียน
48 2.2 การคำนวณหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) (เผชิญ กิจระการ, 2544:49) x100 NxB X E 2 2 = เมื่อ E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ X2 คือ คะแนนรวมของแบบทดสอบหลังเรียน B คือคะแนนเต็มขอแบบทดสอบหลังเรียน N คือ จำนวนผู้เรียน 8.3 การยอมรับประสิทธิภาพ 3.1 สูงกว่าเกณฑ์ คือ ตั้งเกณฑ์ E1 / E2 ไว้ แล้วได้ค่าประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ กำหนดไว้ เช่น ตั้งเกณฑ์มาตรฐานไว้ 70/70 แล้วคำนวณค่าประสิทธิภาพบทเรียนสำเร็จรูปได้ 75/75 3.2 เท่าเกณฑ์ คือ ตั้งเกณฑ์ E1 / E2 ไว้ แล้วได้ค่าประสิทธิภาพเท่ากับเกณฑ์ที่ตั้ง ไว้พอดี เช่น ตั้งเกณฑ์มาตรฐานไว้ 75/75 แล้วคำนวณค่าประสิทธิภาพบทเรียนสำเร็จรูปได้ 75/75 3.3 ต่ำกว่าเกณฑ์ คือ ตั้งเกณฑ์ E1 / E2 ไว้ แล้วได้ค่าประสิทธิภาพต่ำกว่าเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ไม่เกิน +2.5% 9. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ใขรี่ยะ ม่าเหร็ม ( 2564 : บทคัดย่อ ) ได้ทำการวิจัยเรื่องการใช้แบบฝึกทักษะการ อ่านอัลกุลอานเบื้องต้นเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนอิสลามศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่5งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อัลกุรอาน ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านอัสกุนอานเบื้องตันกลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาบีที่ 5/1 โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละ จังหวัดสตูล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน จำนวน 30 คน ใช้เวลาทดลองทั้งสิ้น 3 ดาบ คาบละ 50นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจับครั้งนี้ประกอบด้วย 1.แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 1 แผน 2. นวัตกรรมที่ใช้คือแบบฝึกทักษะการอ่านอัลกุรอานเบื้องตัน 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนรายวิชาอิสลามศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ และค่าเฉสี่ย ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้1. คะแนนหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านกุรอานเบื้องตัน นักเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับและ มากกว่า ร้อยละ60 ทุกคน2. คะแนนก่อนเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านอัลกุรอานเบื้องต้น นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 8คะแนน คะแนนต่ำสุดได้ 0 คะแนน คะแนนเฉลี่ย 4.03 และหลังเรียน ด้วยการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านอัลกุรอานเบื้องต้น นักเรียนทำคะแนนสูงสุตได้ 10 คะแนน และ
49 คะแนนต่ำสุดได้ 6 คะแนนคะแนนเฉลี่ย 8.27 คะแนน แสดงให้เห็นว่าหลังการเรียนรู้โดยการใช้แบบ ฝึกทักษะการอ่านอัลกุรอานเบื้องต้น นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน วิไลลักษณ์ อินพุ่ม ( 2558 : บทคัดย่อ ) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่ม สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ราชวิชาประวัติศาสตร์ เรื่อง พัฒนาการทาง ประวัติศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีอาณาเขตติดต่อกับไทย ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียน ด้วยแบบฝึกทักษะทางการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 / 2558 โรงเรียนบ้านปรือน้อย จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบฝึกทักษะทางการเรียนที่ผู้วิจัย ได้จัดทำขึ้น และค้นคว้า มาจากอินเทอร์เน็ต สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยผลการวิจัยพบว่า1. แบบฝึกทักษะทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกยา ศาสนา และวัฒนธรร มรายวิชา ประวัติศาสตร์ เรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีอาณาเขตติดต่อกับไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้วิจัยจัดทำและคันคว้า มีประสิทธิภาพ 86.98/ 82.38ซึ่งเป็นไป ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/802.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระ การเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ราชวิชาประวัติศาสตร์ เรื่อง พัฒนาการทาง ประวัติศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกับไทย สูงขึ้นร้อยละ 82.38 ซึ่งเป็นไปตาม เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ขวัญจิตร วิรัตน์จันทร์( 2562 : บทคัดย่อ ) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สาระภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3/3 โรงเรียนวัด มณีจักร โดยใช้แบบฝึกทักษะการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชา สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง ภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3/3 ที่มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์80 /80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนด้วย แบบฝึกทักษะการเรียนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/3ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 33 ภาคเรียนที่ 2 / 2562โรงเรียนวัดผาสุกมณีจักร จำนวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบฝึกทักษะการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละและ ค่าเฉลี่ยผลการวิจัยพบว่า1.แบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 86.98 / 87.00 ซึ่ง เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/802.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถม ศึกยาปีที่ 3/3 สูงขึ้นร้อยละ 87.16 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 บุญเพ็ง ศิริกาล( 2559 : บทคัดย่อ )ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องศีลธรรมจริยธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
50 โรงเรียนบ้านสงเปือยเหนือ โดยใช้แบบฝึกทักษะ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะ ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ประชากรที่ใช้ ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 ภาคเรียนที่ 2/2559 โรงเรียนบ้านสงเปือยเหนือ จำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบฝึกทักษะการเรียน สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยผลการวิจัย1. แบบฝึกทักษะทางการเรียนวิช าสังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องศาสนาศีลธรรม จริยธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 86.98/87.00ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/802. ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สูงขึ้นร้อยละ 87.14 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 พระมหาภาคภมิ ฐานิสฺสฺโร ( 2561 : บทคัดย่อ )ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์โดยใช้แบบฝึกทักษะนิทานชาดกรายงิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4 โรงเรียนวัดดอกไม้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร การ วิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบเชิงทดลอง (Experimental Research) มีวัตถุประสงค์1) เพื่อพัฒนาแบบ ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์จากนิทานชาดกรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดดอกไม้ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การคิดวิเคราะห์ จากนิทานชาดกก่อนเรียนและหลังเรียน รายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดดอกไม้ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 4/1 จำนวนทั้งหมด30 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์จ ากนิทานชาดก จำนวน 4 ชุด หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง หลักธรรมและการปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนา จำนวน 5 แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 20 ข้อผลการวิจัยพบว่า1) ผลการศึกษาการพัฒนาแบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์จากนิทานชาดกรายวิชาพระพุทธศาสนา ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดดอกไม้ เขตยานนาวากรุงเทพมหานคร มีประสิทธิภาพ เนื้อหาต้องไม่ยาวเกินไปไม่สั้นเกินไป ใช้ภาษาที่สละสลวย อ่านแล้วเกิดความรู้ความเข้าใจนำไปสู่ กระบวนการคิดวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบ เกิดแรงบันดาลใจในการอ่านสามารถบอก สรุป อธิบาย เรื่องที่อำนได้อย่างเป็นขั้นตอน เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้2) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การคิด วิเคราะห์จากนิทานชาดกก่อนเรียนและหลังเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดดอกไม้ เขตยานนาวากรุงเทพมหานคร หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง หลักธรรมและการปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนมีคำา
51 เฉลี่ย เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การคิดวิเคราะห์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ .05ผลการวิจัยโดยภาพรวม พบว่า ผู้เรียนมีความสนใจอยากรู้อยากเห็นในเนื้อหา ที่เรียนมากขึ้น สามารถแยกแยะลำดับเนื้อหาได้ดี ผลสัมฤทธิ์การคิดวิเคราะห์ทางการเรียนของ นักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แสดงว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ จากนิทานชาดกสามารถพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนได้จริง ณิชกมล ร่มโพธิ์ ( 2563 : บทคัดย่อ )ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษาของนักเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 5โดยใช้แบบฝึกทักษะพัฒนาการเรียนรู้เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนาผู้จัดทำได้หาแบบฝึกทักษะพัฒนาการเรียนรู้ ไปทดลองกับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 29 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563ผลการวิจัยจากการศึกษา และวิเคราะห์การประเมินความคิดเห็นในการทำแบบทดสอบส่งเสริมทักษะสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 แสดงให้เห็นว่า โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก โดยระดับคะแนนเฉลี่ยก่อนการ วิจัย (̅) ได้5.15 คะแนน และหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะมาช่วยในการสอนทำให้ระดับคะแนน เฉลี่ยหลังการวิจัย (̅) ได้ 8.60คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 3.45 คะแนน คิดเป็นคะแนนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.99%พบว่าแบบทดสอบพัฒนาการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้จัดทำได้ทำขึ้น นี้ สามารถช่วยพัฒนาการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆให้นักเรียนได้รับประโยชน์ สนุกสนานเพลิดเพลิน นักเรียนจับหลักการในเนื้อหา นิกร ไชยบุตร( 2563 : บทคัดย่อ )ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา สัคมศึกษาขอนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่โดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้สาระเศรษศาสตร์ ประจำปี การศึกษา 2563 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพ และ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2/2563 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จำนวน 120 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบฝึกทักษะการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยผลการวิจัยพบว่า 1. แบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ของ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคม ศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 สูงมากขึ้น กิตติยา คุ่มเครายม และอารีย์ วุฒิจันทร์ ( 2564 : บทคัดย่อ ) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิซาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระภูมิศาสตร์เรื่อง ลักษณะและ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของนักเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบฝึกทักษะทางการเรียน
52 โรงเรียนธิดาแม่พระการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ลักษณะและการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 ที่ มี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ต า ม เ ก ณ ฑ์ 8 0 / 8 0 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน ก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียน สำหรับนักเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ภาคเรียนที่ 2 / 2564 โรงเรียนธิดา แม่พระ จำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบฝึกทักษะการเรียน สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยผลการวิจัยพบว่า1.แบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ลักษณะและการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4/4 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 86.98 /87.00 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/802.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลักษณะและการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4/4 สูงขึ้นร้อยละ 87.14 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ชลิดา กรชนกธนรงค์( 2564 : บทคัดย่อ ) ได้ทำวิจัยเรื่องรายงานการใช้แบบฝึกทักษะเรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา(พระรัตนตรัย) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม (สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาปรากฏผลว่าผลสัมฤทธิ์ในการเรียน เรื่อง หลักธรรมท าง พระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแคมป์สนวิทยาคม ก่อนและหลังการใช้ แบบฝึกทักษะ แตกต่างกัน ค่าเฉลี่ยของคะแนนการทดสอบก่อนการใช้ แบบฝึกทักษะ ได้ค่าเฉลี่ย 5.20 ส่วนคะแนนการทดสอบหลังการใช้แบบฝึกทักษะ เฉลี่ย 10.40 แสดงว่าคะแนนเฉลี่ยหลังการใช้ แบบฝึกทักษะ สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนการใช้แบบฝึกทักษะ ซึ่งหมายความว่าหลังจากที่ได้ใช้แบบฝึก ทักษะ เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา แล้วนักเรียนได้คะแนนสูงขึ้นซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5โรงเรียนแคมป์สนวิทยาคม ก่อนใช้แบบฝึกทักษะ มีค่าเท่ากับ 52 มี ค่าเฉลี่ย 5.20 และหลังการใช้แบบฝึกทักษะ มีค่าเท่ากับ 104 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ10.40 ค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 42 คิดเป็นร้อยละ 42เมื่อพิจารณารายคน พบว่า ทุกคนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า ร้อยละ 20 ตามเกณฑ์คุณภาพความสำเร็จที่กำหนดไว้ แสดงว่า แบบฝึกทักษะ เรื่อง หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา ส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา สูงขึ้น จริง ซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้จริง มะลิ ชีถนอม ( 2559)ได้ทำวิจัยเรื่องการใช้แบบฝึกทักษะพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องพุทธ ประวัติ ของนักเรียนชันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน อนุบาลเบตงสุภาพอนุสรณสรุปผลการวิจัย1. จากการจัดกิจกรรม เรื่องพุทธประวัติ นักเรียนชั้น
53 ประถมศึกษาปีที่ 2 ได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 172.29 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่นักเรียนทำคะแนนได้มากที่สุด คือ ชุดที่ 2 ได้คะแนนเฉลี่ย 7.94และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีคะแนนต่างชุดที่ 1ได้คะแนนเฉลี่ย 7.56 ผลรวมประสิทธิภาพทั้ง 2 ครั้ง มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 77.70ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้2. จากการจัด กิจกรรม เรื่องพุทธประวัติ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 ประสิทธิภาพ กระบวนการของแผนการ จัดการเรียนรู้ (E1 ที่การจัดกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 23.27 คิดเป็นร้อยละ 77.57และประสิทธิภาพ ของของการจัดกิจกรรมเรื่องพุทธประวัติ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 มีค่าเฉลี่ย 8.59 คิดเป็นร้อย ละ 85.90 ดังนั้นการจัดกิจกรรมจึงมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์3. จากการจัดกิจกรรมเรื่องพุทธประวัติ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเบตงสุภาพอนุสรณ์ ดัชนีประสิทธิผลของการเรียน ด้วยการจัดกิจกรรมเรื่องพุทธประวัติ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.6910หมายความ ว่า คะแนนการทดสอบหลังเรียนของนักเรียนเพิ่มขึ้นจากการทดสอบก่อนเรียนคิดเป็นร้อยละ 69.10 10.กรอบแนวคิดในการวิจัย ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม แผนการเรียนรู้วิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขันทางการค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา เศรษฐศาสตร์ เรื่องผลิตและการแข่งขัน ทางการค้าของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี
54 บทที่3 วิธีการดำเนินวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตและ การแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แบบฝึกทักษะ ผู้วิจัย ได้ดำเนินการเป็น ขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษา ในปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 โรงเรียนอนุบาลอุดนธานีอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีจำนวน 11 ห้องเรียน รวม 462 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/4โรงเรียนอนุบาลอุดนธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีจำนวน 11 ห้องเรียน รวม 44 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. ชุดการสอน เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า จำนวน 8 ชุด ชุดที่ 1 แบบทดสอบก่อน เรียนชุดที่ 2 เรื่องการผลิตและการบริโภคสินค้าและบริการ1 ชุดที่ 3 การผลิตและการบริโภคสินค้า และบริการ2 ชุดที่ 4 ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด1 ชุดที่ 5 ปัญหา พื้นฐานทางเศรษฐกิจและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด2 ชุดที่ 6 เรื่องการแข่งขันทางการค้า1 ชุดที่ 7 เรื่องการแข่งขันทางการค้า2 และชุดที่ 8 แบบทดสอบหลังเรียน 2. แผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชาเศรษฐศาสตร์เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่3 โดยใช้แบบฝึกทักษะ จำนวน 8 แผน รวม 8 ชั่วโมง
55 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่3 ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจำนวน 30 ข้อ ต้องใช้จริง 20 ข้อ วิธีการสร้างเครื่องมือ 1. แบบทักษะการเรียน ผู้วิจัยได้พัฒนาชุดฝึกทักษะการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/4 ดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกมาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 1.2 ศึกษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จากแนวการจัดสาระการเรีนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 1.3 ศึกษาสาระการเรียนรู้รายปี และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปี ช่วงชั้นที่ 3(ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4-6) จากแนวการจัดสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 1.4 ศึกษาค้นคว้า ตำรา วารสาร บทความ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาสังคมศึกมา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า และ รายละเอียดวัตถุประสงค์ของการศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างชุดฝึกการเรียน 1.5 สร้างชุดฝึกทักษะการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 8 ชุด 1.6 นำชุดฝึกทักษะที่สร้างขึ้น เสนอผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำในส่วนที่ยัง บกพร่อง แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข จำนวน 3 ท่าน 1.7 นำแบบฝึกทักษะการเรียน ที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไข มาใช้สอนจริง โดยใช้คู่ กับแผนการจัดการเรียนรู้ มาจัดกิจกรรมสอนซ่อมเสริม ในขั้นสรุปบทเรียนของแผนการจัดการเรียนรู้ 1.8 หลังจากทคลองใช้ชุดฝึกทักษะคู่กับแผนการจัดการเรียนรู้เสร็จสิ้นแล้ว นำแบบทดสอบชุด เดิมกับก่อนเรียนมาทำการทดสอบหลังเรียนอีกครั้ง แล้วนำผลการทคสอบมาวิเคราะห์เพื่อหา ประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะ ตามเกณฑ์มาตร ฐาน 80/80 หมายถึง คะแนนของ กระบวนการเรียนต่อคะแนนสอบหลังเรียน 80 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละของประสิทธิภาพของการฝึก 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละของการทดสอบหลังเรียน
56 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 1.ชุดการสอน 1.1 จัดทำชุดการสอน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า จำนวน 6 ชุด ชุดละ 1 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง 1.2 สร้างแบบประเมินคุณภาพของชุดการสอนโดยใช้ข้อคำถามแบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีการของ Likert ซึ่งมี 5 ระดับ 1.3 สร้างข้อคำถามแบบประเมินคุณภาพของชุดการสอนจำนวน 15 ข้อ 1.4 นำชุดการสอนที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ประเมินคุณภาพ ของชุดการ สอน เพื่อขอคำแนะนำในส่วนที่บกพร่อง และนำมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสอนวิชาสังคมศึกษา ประกอบด้วย 1.4.1 นางทิติภา อิ้มพัฒน์ 1.4.2 นางสาวจิดาภา พันชะโก 1.4.3 นางสาวปัฌฑิตา นาคสร้อย 1.5 นำคะแนนที่ได้จากการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ โดยใช้เกณฑ์ของ บุญชม ศรี สะอาด ดังนี้ ค่าเฉลี่ย ระดับความคิดเห็น 4.50 – 5.00 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด 3.50 – 4.49 หมายถึง เหมาะสมมาก 2.50 – 3.49 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถึง เหมาะสมน้อย 1.00 – 1.49 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด 1.6 พิมพ์ผลแบบประเมินคุณภาพชุดการสอน 1.7หาค่าความเชื่อมั่นของชุดการสอน โดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coeffient) ตามวิธี ของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.902 2. แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน ผู้วิจัย ได้ดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 2.1 ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ 2.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ การเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม คู่มือครู หนังสือเรียนวิชาสังคมศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่3และหลักสูตร สถานศึกษาของโรงเรียน
57 2.3 วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่องการ ผลิตและการแข่งขันสินค้า 2.4 กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน การประเมินผล โดยให้สอดคล้องกับ เนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน 61 2.5 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ สาระเศรษฐศาสตร์เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า โดยใช้ แบบฝึกทักษะ เรื่อง จำนวน 8 ชั่วโมง ใช้เวลา 8 ชั่วโมง ซึ่งมีสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 2.5.1แผนการจัดการเรียนรู้ที่1 แบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง 2.52แผนการจัดการเรียนรู้ที่2 เรื่องการผลิตและการบริโภค สินค้าและบริการ1 จำนวน 1ชั่วโมง 2.5.3แผนการจัดการเรียนรู้ที่3 เรื่องการผลิตและการบริโภค สินค้าและบริการ2 จำนวน 1ชั่วโมง 2.5.4แผนการจัดการเรียนรู้ที่4เรื่องปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด1 จำนวน 1 ชั่วโมง 2.5.5แผนการจัดการเรียนรู้ที่5เรื่องปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด2 จำนวน 1 ชั่วโมง 2.5.6แผนการจัดการเรียนรู้ที่6เรื่องการแข่งขันทางการค้า1 จำนวน 1 ชั่วโมง 2.5.7แผนการจัดการเรียนรู้ที่7 เรื่องการแข่งขันทางการค้า2 จำนวน 1 ชั่วโมง 2.5.8แผนการจัดการเรียนรู้ที่8 แบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย ชื่อแผนการจัดการเรียนรู้ตัวชี้วัด สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการการเรียนรู้สื่อและแหล่งเรียนรู้ การวัด ประเมินผลการเรียนรู้ 2.6 นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพื่อประเมินคุณภาพ ของแผนการ จัดการเรียนรู้ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับรูปแบบ เนื้อหา กิจกรรม จุดประสงค์ และการวัด ประเมินผลเพื่อ ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ โดยใช้ดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) ระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน 1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นวัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ระบุไว้ ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นวัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ระบุไว้ ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นไม่ได้วัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ระบุไว้ 2.7 นำผลการประเมินมาวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง ซึ่งดัชนีความสอดคล้อง ได้ค่า เท่ากับ 1.00 27 แผน ถือว่าแผนการจัดการเรียนรู้นั้นมีคุณภาพสามารถนำไปสอนได้ 2.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขเป็นฉบับสมบูรณ์และนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง
58 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นเป็น แบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก โดยครอบคลุมเนื้อหาและตัวชี้วัดในแต่ละ แผนการจัดการ เรียนรู้ จำนวน 20 ข้อ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้ 3.1 ศึกษาเอกสารและหลักสูตร คู่มือครู สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ราย เศรษฐศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือของ แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชนิดปรนัย 4 ตัวเลือก 3.2 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้แกนกลางและตัวชี้วัด โดยพิจารณาจากความสำคัญ ของตัวชี้วัดให้ ครอบคลุมเนื้อหา เรื่อง ศาสนาอื่น ๆ ในประเทศไทย 3.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ชนิดปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 3.4 นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์การเรียนรู้(Index of Item - Objective Congruence: IOC) (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543: 249) โดยมีเกณฑ์การให้ คะแนน ดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับ จุดประสงค์การ เรียนรู้และเนื้อหา ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับ จุดประสงค์การ เรียนรู้และเนื้อหา ให้คะแนนเป็น -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับ จุดประสงค์การ เรียนรู้และเนื้อหา 3.5 นำคะแนนมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (Index of Item - Objective Congruence: IOC) 3.6 นำแบบทดสอบมาปรับปรุงแก้ไขและเลือกข้อสอบที่ต้องใช้จริง จำนวน 27 ข้อ แล้ว นำไป ทดลองใช้กับกับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) พบว่า มีค่าอยู่ระหว่าง 0.43 ถึง 0.75 และค่าอำนาจจำแนก (r) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.33 ถึง 0.88 3.2.7 นำผลที่ได้จากการทดสอบมาวิเคราะห์แบบทดสอบรายข้อ และนำข้อสอบ ไป คำนวณหาค่าความเชื่อมั่น โดยใช้สูตรของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder Richardson) สูตร KR-20 ได้ค่า ความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.95 3.2.8 นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปใช้ทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง เพื่อใช้เป็น แบบ ทดลองก่อนเรียนและหลังเรียนฉบับจริง
59 การรวบรวมข้อมูล ผู้ค้นคว้าได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. ชี้แจงวัตถุประสงค์ 2. ทดสอบก่อนเรียน โดยใช้แบบทดสอบก่อนและหลังเรียนกับกลุ่มตัวอย่าง 3. เริ่มคำเนินการสอน โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้และ ชุดฝึกทักษะที่สร้างขึ้น ใช้เวลาทั้งหมด จำนวน 8 ชั่วโมง โดยใช้แบบฝึกทักษะ ทั้งหมด จำนวน 8 ชุด 4. เมื่อสอนเสร็จแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จะมีการประเมินผลโดยใช้ชุดฝึก 5. เมื่อทดลองใช้ชุดฝึกทักษะจนครบทั้ง ชุดฝึกแล้ว ก็ทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบก่อน และหลังเรียนชุดเดิม การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้สาระเศรษฐศาสตร์โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องการผลิตและ การแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีผู้วิจัยได้ดำเนินการ ดังนี้ 1. หาคุณภาพของชุดการสอนจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญจากแบบสอบถามมาตราส่วน ประมาณ ค่า 5 ระดับ โดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.1 เกณฑ์การให้คะแนนคุณภาพของแบบฝึกทักษะ เหมาะสมมากที่สุด กำหนดให้ 5 คะแนน เหมาะสมมาก กำหนดให้ 4 คะแนน เหมาะสมปานกลาง กำหนดให้ 3 คะแนน เหมาะสมน้อย กำหนดให้ 2 คะแนน เหมาะสมน้อยที่สุด กำหนดให้ 1 คะแนน 1.2 นำผลประเมินที่ได้มาหาค่าเฉลี่ย โดยยึดเกณฑ์การตัดสิน ดังนี้ 4.50 – 5.00 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด 3.50 – 4.49 หมายถึง เหมาะสมมาก 2.50 – 3.49 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถึง เหมาะสมน้อย 1.00 – 1.49 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด 2. หาประสิทธิภาพของชุดการสอนตามเกณฑ์ 80/80 โดยใช้สูตร E1/E2 3. หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ที่ได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียนสาระเศรษฐศสตร์ โดยใช้ชุดการสอน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3
60 4. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระเศรษฐศสตร์โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องเรื่องการผลิตและ การแข่งขันสินค้า ระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สูตร t-test (Dependent Sample) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีทางสถิติ ดังนี้ 1.1.1 ความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Varidity) โดยการให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจ พิจารณาแล้วนำผลมาคำนวณด้วยสูตรของ โรวิเนลลี (Rovinelli) และแฮมเบิลตัน (Hambleton) (บุญชม ศรีสะอาด. 2543: 63–65) ดังนี้ สูตร IOC = ∑ R N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างคำถามกับจุดประสงค์ ∑ R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 1.1.2 ค่าความยาก (P) ตามสัดส่วนของผู้ตอบถูกโดยใช้สูตร ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี. 2544: 214) สูตร P = เมื่อ P แทน ค่าความยากง่ายของข้อสอบ R แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูก N แทน จำนวนนักเรียนที่สอบทั้งหมด 1.1.3 ค่าอำนาจจำแนก (B) โดยใชดัชนีบี (B- index) ตามวิธีของเบรนแนน (Brennan) ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี. 2544: 216) สูตร 1 − 2 เมื่อ B แทน ค่าอำนาจจำแนก n1 แทน จำนวนผู้รอบรู้หรือสอบผ่านเกณฑ์ n2 แทน จำนวนผู้ไม่รอบรู้หรือสอบไม่ผ่านเกณฑ์ U แทน จำนวนผู้รอบรู้หรือสอบผ่านเกณฑ์ที่ตอบถูกต้อง L แทน จำนวนผู้ไม่รอบรู้หรือสอบไม่ผ่านเกณฑ์ที่ถูกต้อง
61 1.1.4 การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน โดยใช้ วิธีของ Lovett Mothod โดยใช้สูตร ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี. 2544: 230) สูตร = 1 − −ⅈ 2 (−1)(−) 2 เมื่อ แทน ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ K แทน จำนวนข้อสอบ ⅈ แทน คะแนนของนักเรียนแต่ละคน C แทน คะแนนเกณฑ์หรือจุดตัดของแบบทดสอบ 2. ค่าสถิติพื้นฐาน 2.1 สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.1.1 ร้อยละ (Percentage) ใช้ สูตร (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 101) สูตร = × เมื่อ P แทน ค่าร้อยละ f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ n แทน จำนวนผู้เรียน 2.1.2 ค่าเฉลี่ย (Mean) ใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 102) สูตร ̅ เมื่อ ̅ แทน ค่าเฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม แทน จำนวนคนในกลุ่ม
62 2.1.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 103) สูตร . . √∑ −() (−) เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบน ∑ แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละข้อยกกำลังสอง แทนผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกำลังสอง แทน จำนวนคนในกลุ่มตัวอย่าง 3. ค่าสถิติพื้นฐาน 3.1 ค่าประสิทธิภาพของชุดการสอนสาระพระพุทธศาสนา เรื่อง ศาสนาอื่น ๆ ในประเทศไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ใช้สูตร ดังต่อไปนี้ 3.1.1 การคำนวณหาประสิทธิภาพของชุดการสอนตามเกณฑ์ 80/80 สูตรที่ใช้ใน การหาค่า ประสิทธิภาพ E1 มีสูตร ดังนี้ (อรนุช ลิมตศิริ. 2544: 174) สูตร 1 = × 100 หรือ 1 = ̅ × 100 เมื่อ 1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เกิดจากกิจกรรม ระหว่างเรียน แทน ผลรวมของคะแนนที่ได้จากการวัดผลระหว่างเรียน แทน จำนวนผู้เรียน ̅แทน ของคะแนนที่ได้จากการวัดระหว่างเรียน แทน จำนวนเต็มจากการวัดผลระหว่างเรียน 3.1.2 การคำนวณหาประสิทธิผลของแบบทดสอบตามเกณฑ์ 80/80 สูตรที่ใช้ในการ หาค่า ประสิทธิผล E2 มีสูตร ดังนี้ (อรนุช ลิมตศิริ. 2544: 174) สูตร = × หรือ = ̅ × (∑)
63 เมื่อ แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ได้จากคะแนนเฉลี่ยของการทำ แบบทดสอบหลัง เรียนของผู้เรียนทั้งหมด ∑ แทน ผลรวมของคะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียน แทน จำนวนผู้เรียน ̅แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียน แทน จำนวนเต็มจากการทดสอบหลังเรียน 4. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน 4.1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์สาระพระพุทธศาสนา เรื่อง ศาสนาอื่น ๆ ในประเทศไทย ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/4 โดยใช้ชุดการสอนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติทดสอบที แบบ t – test (Dependent Samples) ใช้สูตรดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 112) สูตร = √∑−() − เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่ใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤตในการแจกแจงแบบ t D แทน ผลต่างคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียน n แทน จำนวนผู้เรียนทั้งหมดของกลุ่มตัวอย่าง
64 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ.พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเดิม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์. คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานกระทรวงศึกษาธิการ เรียนรู้บูรณาการ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2547. คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน , สำนักงาน กระทรวงศึกษาธิการ แนวทางการวัดและประเมินผล ในชั้นเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตร การศึกษาพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสคุ ภัณฑ์ ,2545. คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพวิชาการ , กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ การจัดสาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุ สีภาลาดพร้าว, 2546. คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, สำนักงาน. คู่มืออบรมครูแนวการใช้หลักสูตร ประถมศึกษาพุทธศักราช 2521(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) และกิจกรรมการเรียนการ สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2534. ศึกษาธิการ , กระทรวง. หลักสูตรการศึกษาชั้นประถมศึกษาขั้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว , 2545 ฉลองชัย สุรวัฒนบูรณ์. องค์ประกอบของแบบฝึก. ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, 2528 : 130 นางผสมพร ประจันตะเสน.การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง ลักษณะภูมิประเทศของไทย .ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, 2550 นางอังคณา ณ พิกุล .การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา 3 (ส 33101). ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, 2549
65 นางอัจฉรา มณีนิล.การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษาระหว่าง การสอนโดย ใช้บทเรียนสำเร็จรูปกับการสอนแบบปกติเรื่องลักษณะภูมิประเทศ ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, 2545 นิตยา ฤทธิโยธ. ลักษณะของแบบฝึก.ไม่ปรากฎโรงพิมพ์, 2520.40- 41 ประทีป แสงเปี่ยมสุข.ประโยชน์ของแบบฝึก.ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, 2538 ไพบูลย์ เทวรักษ์.กฎการฝึกหัด. ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, 2540 มิส สิริพร ศรีสมวงข์ .การแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่ำ โดยการใช้การอ่าน หนังสือ.ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, 2549 ราชบัณฑิตสถาน. (2535). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์ อักษรเจริญทัศน์ โรงเรียนชุมชนบ้านหัวขัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่น เขต 2. หลักสูตร สถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้กาษไทย ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2/2547.2547. สุจริต เพียรชอบ การสร้างแบบฝึก . ไม่ปรากฎโรงพิมพ์, 2536:65-73 สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์.หลักจิตวิทยาที่ควรนำมาสร้างแบบฝึก. ไม่ปรากฎโรงพิมพ์, 2536:65-73 สุนันทา สุนทรประเสริฐ. การผลิตนวัดกรรมการเรียน การสอน การสร้างแบบฝึก. ไม่ปรากฎโรงพิมพ์, 2544. สุนันทา สุนทรประเสริฐ. การผลิตปฏิรูปการเรียนรู้ ปฏิรูปการศึกษา. ไม่ปรากฎโรงพิมพ์, 2544. วัญญา วิศาลาภรณ์คุณประโยชน์ของแบบฝึก. ไม่ปรากฎโรงพิมพ์, 2533 : 23
66 วรสุดา บุญไวโรงน์ ( อ้างถึงใน สุนันทา สุนทรประเสริฐ2543 : 9-10 ) ,ลักษณะของแบบฝึกที่ดี ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, 2536:37 วิชาการ , กรม. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว , 2545. วิชาการ กรม. คู่มือพัฒนาสื่อการเรียนรู้. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว , 2545
67 ภาคผนวก
68 ภาคผนวก ก ราชชื่อผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
69 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญในการตรวจเครื่องมือ ผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 1 นางทิติภา อิ้มพัฒน์ : วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ : หัวหน้ากลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม : โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 2 นางสาวจิดาภา พันชะโก : วิทยฐานะชำนาญการ : ครูพี่เลี้ยง : โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 2 นางสาวจิดาภา พันชะโก : วิทยฐานะชำนาญการ : ครูพี่เลี้ยง : โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 3 นางสาวปัฒฑิตา นาคสร้อย : วิทยฐานะชำนาญการ : โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1
70 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้วัด
71 แผนจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม (ส13101) สาระที่ 3 รายวิชาเศรษฐศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่3 เศรษฐศาตร์ใกล้ตัว ระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี นางสาววราพร อัคราช ตำแหน่งนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา2566 โรงเรียน อนุบาลอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานีเขต 1
72 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 54 กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สาระการเรียนรู้ที่ 3 เศรษฐศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 หน่วยการเรียนรู้ที่3 เศรษฐศาสตร์ใกล้ตัว เวลา 6 ชั่วโมง เรื่อง การผลิตและการบริโภคสินค้าและบริการ1 เวลา 1 ชั่วโมง วันที่……..เดือน…………………..พ.ศ……………. 1.มาตรฐานการเรียนรู้ ส3.1เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภค การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ารวมทั้งเข้าใจ หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ ตัวชี้วัด ป.3/3อธิบายได้ว่าทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดมีผลต่อการผลิตและการบริโภคสิน ค้นและบริการ 2.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของผู้ผลิตได้ (K) 2. นักเรียนสามารถยกตัวอย่างการของผู้ผลิตได้ (P) 3. นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการศึกษาหาความรู้ (A) 3.คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย รับผิดชอบ 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4.สาระสำคัญ ทรัพยากรที่เรานำมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการมีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งมีผลต่อการผลิตและ บริโภคสินค้าและบริการ 5.สาระการเรียนรู้ ความหมายของผู้ผลิตและผู้บริโภค ความหมายของสินค้าและบริการ
73 6. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำ 1. ครูให้นักเรียนดู PowerPoint เกี่ยวกับการจัดซื้อสินค้าทางออนไลน์ เช่น ซื้อสบู่สมุนไพรจาก กลุ่มแม่บ้าน แล้วให้จัดส่งทางไปรษณีย์ 2. นักเรียนตอบคำถามจากการดู PowerPoint - สินค้าที่มีการซื้อขายคืออะไร - ใครคือผู้ผลิต - ใครคือผู้ให้บริการ 3. ครูอธิบายเชื่อมโยงให้เห็นถึง ความหมายของการผลิตและการบริโภคสินค้าและบริการ ขั้นสอน 1. ครูให้นักเรียนค้นคว้าหาคำตอบจากหนังสือเรียน สังคมศึกษาฯ ป.3 หรือ PowerPoint ตาม ประเด็นต่อไปนี้ 1.1 การผลิต - ความหมายของการผลิต - ความหมายของผู้ผลิต - ยกตัวอย่างผู้ผลิตในจังหวัดอุดร 2.ครูซักถามความเข้าใจของนักเรียนแล้วสุ่มถาม - ยกตัวอย่างการผลิต - ผู้ผลิตคือใคร 3. นักเรียนทำแบบฝึกทักษะที่1.1 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนทบทวนความเข้าใจเรื่องผู้ผลิตแล้วตรวจความถูกต้องใบงาน 7. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนวิชาสังคม ป.3 2. สื่อ PowerPoint 8.กระบวนการวัดและประเมินผล 8.1 การประเมินระหว่าง
74 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รายการวัด ชิ้นงาน/ ภาระงาน เครื่องมือวัด วิธีการวัด เกณฑ์การวัด และประเมินผล 1. นักเรีย สามารถอธิบาย ความหมายของ ผู้ผลิตได้ (K) ใบงาน1.1 1.ประเมินการ ตอบคำถาม 2. ใบงาน 1. ประเมินการ ตอบ คำถาม 2. ตรวจใบงาน ร้อยละ60 ผ่านเกณฑ์ 2. นักเรียนสา มารยกตัวอย่าง การของผู้ผลิตได้ (P) แบบสังเกต แบบสังเกต พฤติกรรมการ ทำงานรายบุคคล การประเมิน สังเกตพฤติกรรม รายบุคคล ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 3.นักเรียนมีความ กระตือรือร้นใน การศึกษาหา ความรู้ (A) การตอบคำถาม แบบประเมิน สังเกตพฤติกรรม รายบุคคล การประเมิน สังเกตพฤติกรรม รายบุคคล ระดับคุณภาพ 2 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์
75 9. บันทึกหลังการสอน 1) ปัญหาที่เกิด ………………………………………………….………………………………………………….……………………………………… ………….………………………………………………….………………………………………………….…………………………… 2) วิธีการแก้ไขปัญหา ………………………………………………….………………………………………………….……………………………………… ………….………………………………………………….………………………………………………….…………………………… 3) ผลการแก้ไขปัญหา ………………………………………………….………………………………………………….……………………………………… ………….………………………………………………….………………………………………………….…………………………… 10. ความคิดเห็นของครูพี่เลี้ยง ………………………………………………….………………………………………………….……………………………………… ………….………………………………………………….………………………………………………….…………………………… 11. ความคิดเห็นของผู้บริหาร ………………………………………………….………………………………………………….……………………………………… ………….………………………………………………….………………………………………………….…………………………… (ลงชื่อ)……………………………………………. (นางสาวจิดาภา พันชะโก) ครูพี่เลี้ยง ………../…….…./……….. (ลงชื่อ)……………………………………………. (นางวิภาพรรณ สุทธิประภา) รองผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ………../…….…./……….. (ลงชื่อ)……………………………………………. (นางสาววราพร อัคราช) ครูผู้สอน ………../…….…./………..
76 การทำงานรายบุคคล คำชี้แจง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในการทำงานรายบุคคล แล้วขีด ลงในช่องว่างที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลงชื่อ……………………………………………………………ผู้ประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้งหรือน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 -15 ดี 8 – 11 พอใช้ ต่ำกว่า 8 ปรับปรุง ลำดับ ที่ ชื่อ-สกุล ของผู้รับการประเมิน ความ มีวินัย ความมี น้ำใจ เอื้อเฟื้อ เสียสละ การแสดง ความ คิดเห็น การรับฟัง ความ คิดเห็น การ ร่วมมือ ทำงาน ส่วนรวม รวม 15 คะแน น 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
77 ใบงานที่ 1.1 ผู้ผลิต คำชี้แจง ให้อธิบายความหมายของผู้ผลิต พร้อมยกทั้งตัวอย่างอาชีพที่เป็นผู้ผลิต ผู้ผลิต ตัวอย่างอาชีพ
78 ภาผนวก ค ผลการหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในวิจัย
79 ตารางค.1 ผลวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล่อง (IOC) ของชุดการสอนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการ ผลิตและการแข่งขันสินค้า ชุดที่ ชื่อชุดการสอน ความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ ∑ IOC สรุปผล คนที่1 คนที่2 คนที่3 1 การผลิตและการบริโภค สินค้าและบริการ1 1 1 1 3 1 ใช้ได้ 2 การผลิตและการบริโภค สินค้าและบริการ2 1 1 1 3 1 ใช้ได้ 3 ปัญหาพื้นฐานทาง เศรษฐกิจ และทรัพยากรที่มีอยู่ อย่างจำกัด1 1 1 1 3 1 ใช้ได้ 4 ปัญหาพื้นฐานทาง เศรษฐกิจ และทรัพยากรที่มีอยู่ อย่างจำกัด2 1 1 1 3 1 ใช้ได้ 5 การแข่งขันทางการค้า1 1 1 1 3 1 ใช้ได้ 6 การแข่งขันทางการค้า2 1 1 1 3 1 ใช้ได้
80 ตารางที่ ค.2 ผลการประเมินคุณภาพชุดการสอนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขัน สินค้า ชุด ที่ ชื่อชุดการสอน ความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ รวม เฉลี่ย แปลผล คนที่1 คนที่2 คนที่3 1 เนื้อหาสอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ 5 5 5 15 5.00 มากที่สุด 2 เนื้อหามีความยากง่าย เหมาะสมกับระดับของ ผู้เรียน 4 5 5 14 4.67 มากที่สุด 3 เนื้อหามีความชัดเจน น่าสนใจ 4 4 5 9 4.33 มาก 4 การนำเสนอเนื้อหา เหมาะสม ตามลำดับ ขั้นตอน 5 5 5 15 5.00 มากที่สุด 5 การใช้ตัวอักษรมีขนาด และสีที่ชัดเจน อ่านง่าย 4 4 4 5 4.33 มาก ด้านแบบฝึกทักษะ 6 คำชี้แจงมีความเหมาะสม สอดคล้อง กับชุดการ สอน 4 5 5 14 4.67 มากที่สุด 7 ใบความรู้ส่งเสริมการ เรียนรู้ให้กับผู้เรียน 5 5 5 15 5.00 มากที่สุด 8 บทปฏิบัติงานเหมาะสม ส่งเสริมการเรียนรู้ 5 4 5 14 4.67 มากที่สุด 9 สื่อมีความเหมาะสม สอดคล้องกับเนื้อหา และ หน่วยการเรียนรู้ 5 5 5 15 5.00 มากที่สุด
81 10 แบบทดสอบมีความ สอดคล้องกับเนื้อหา และ จุดประสงค์การเรียนรู้ 5 5 5 15 5.00 มากที่สุด 11 ชุดการสอนช่วยให้ผู้เรียน สนใจเรียน 5 5 5 15 5.00 มากที่สุด 12 ชุดการสอนช่วยส่งเสริม การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน 5 5 5 14 4.67 มากที่สุด 15 ชุดการสอนช่วยให้ผู้เรียน เชื่อมโยงความรู้หรือ ประสบการณ์เดิมของ นักเรียนได้ 4 5 5 14 4.67 มากที่สุด 16 ชุดการสอนมีประโยชน์ ต่อการจัดกิจกรรม การ เรียนการสอน 4 5 5 14 4.67 มากที่สุด 17 ชุดการสอนสามารถ นำไปใช้เป็นแนวทาง ใน การจัดกิจกรรมการเรียน การสอน ในรายวิชาอื่น 4 4 5 9 4.33 มาก ตารางที่ ค.3 ผลวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นคุณภาพการสอนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการ แข่งขันสินค้า ข้อ รายการประเมิน คะแนนประเมิน คนที่1 คนที่2 คนที่3 1 การนำเสนอเนื้อหาเหมาะสม 5 5 5 0 2 เนื้อหามีความชัดเจน น่าสนใจ 5 4 5 0.22 3 เนื้อหามีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับ ของผู้เรียน 4 4 5 0.22 4 เนื้อหาสอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ตามลำดับขั้นตอน 5 5 5 0
82 5 การใช้ตัวอักษรมีขนาดและสีที่ชัดเจน อ่านง่าย 5 4 4 0.02 ด้านสื่อแบบฝึกทักษะ 6 คำชี้แจงมีความเหมาะสมสอดคล้อง กับชุดการสอน 4 5 5 0.22 7 ใบความรู้ส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับ ผู้เรียน 5 4 5 0.22 8 บทปฏิบัติงานเหมาะสม ส่งเสริมการ เรียนรู้ 5 5 5 0 9 สื่อมีความเหมาะสมสอดคล้องกับ เนื้อหา และหน่วยการเรียนรู้ 5 4 4 0.22 10 แบบทดสอบมีความสอดคล้องกับ เนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ 5 5 4 0.22 ด้านแบบฝึกทักษะ 11 แบบฝึกทักษะช่วยให้ผู้เรียนสนใจเรียน 4 5 5 0.22 12 แบบฝึกทักษะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ให้แก่ผู้เรียน 4 5 5 0.22 13 แบบฝึกทักษะช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยง ความรู้หรือประสบการณ์เดิมของ นักเรียนได้ 4 5 5 0.22 14 แบบฝึกทักษะมีประโยชน์ต่อการจัด กิจกรรม การเรียนการสอน 5 4 4 0.22 15 แบบฝึกทักษะสามารถนำไปใช้เป็น แนวทาง ในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน ในรายวิชาอื่น 4 4 5 0.22 รวม 69 68 71 ⅈ 2 2.64 2 =16.89 =0.902
83 จากสูตร = ( − 1 ) ( 1 − ⅈ 2 2 ) = ( 15 15 − 1 ) ( 1 − 2.64 16.89 ) = ( 15 1 ) (1 − 0.27) = (1.11) (0.82) = 0.91 จากการหาค่าความเชื่อมั่นของชุดการสอน โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา (α - coefficient) ของครอนบัค (Cornbach) พบว่า แบบฝึกทักษะเรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.91 ตารางที่ ค.4 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้สาระ วิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ชั้นประถมศึกษาปีที่3 แผน ชื่อแผนจัดการเรียนรู้ ความคิดเห็นจาก ผู้เชี่ยวชาญ ∑ R IOC สรุปผล คนที่1 คนที่2 คนที่3 1 แบบทดสอบก่อนเรียน +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 2 การผลิตและการบริโภคสินค้า และบริการ1 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 3 การผลิตและการบริโภคสินค้า และบริการ2 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 4 ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจและ ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด1 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 5 ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจและ ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด2 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 6 เรื่องการแข่งขันทางการค้า1 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 7 เรื่องการแข่งขันทางการค้า2 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้
84 8 แบบทดสอบหลังเรียน +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ สรุปค่าดัชนีความสอดคล้อง(IOC) ของแผนจัดการเรียนรู้ มีค่าเท่ากับ 1.00 ผลการประเมินความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่องการ ผลิตและการแข่งขันสินค้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 8 แผนการจัดการเรียนรู้ พบว่า แผนการ จัดการเรียนรู้จำนวน 8 แผน มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 1.00 ทุกข้อ ดังนั้น แผนการจัดการ เรียนรู้สามารถใช้ได้ ตารางที่ 5 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แบบทดสอบ ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ∑ R IOC สรุปผล คนที่1 คนที่2 คนที่3 ข้อที่1 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่2 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่3 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่4 -1 -1 +1 -1 1 ใช้ไม่ได้ ข้อที่5 -1 +1 -1 -1 1 ใช้ไม่ได้ ข้อที่6 -1 -1 +1 -1 1 ใช้ไม่ได้ ข้อที่7 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่8 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่9 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่10 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่11 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่12 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่13 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่14 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่15 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่16 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่17 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้
85 ข้อที่18 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่19 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่20 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่21 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่22 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่23 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่24 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่25 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่27 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่28 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่29 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อที่30 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ คำนวณโดยใช้สูตร IOC = (∑R)/N IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ∑R หมายถึง ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N หมายถึง จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ข้อสอบมีคะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 0.50–1.00 ซึ่งแสดงว่า วัตถุประสงค์นั้นวัดได้ครอบคลุมเนื้อหา ถ้าข้อใดได้คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 0.50 ต้องนำไปปรับปรุงเพราะว่ามีความสอดคล้องกันต่ำ จากตารางที่ ค.5 ผลการประเมินความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ พบว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 27 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 0.67ขึ้นไป และจำนวน 3 ข้อ มีค่า 0.33คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 0.50 ต้องนำไปปรับปรุงเพราะว่ามีความ สอดคล้องกันต่ำ ดังนั้น แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้ง 27 ข้อ สามารถใช้ได้จากนั้นผู้วิจัยคัดเลือก ข้อคำถามข้อสอบ จำนวน 27 ข้อ ตารางที่ ค.6 ผลการวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบ วัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
86 ข้อที่ ความยากง่าย (p) แปลผล ค่าอำนาจจำแนก (r) แปลผล สรุปผล 1 0.53 ใช้ได้ 0.62 ใช้ได้ ใช้ได้ 2 0.48 ใช้ได้ 0.53 ใช้ได้ ใช้ได้ 3 0.55 ใช้ได้ 0.59 ใช้ได้ ใช้ได้ 4 0.50 ใช้ได้ 0.36 ใช้ได้ ใช้ได้ 5 0.70 ใช้ได้ 0.80 ใช้ได้ ใช้ได้ 6 0.60 ใช้ได้ 0.47 ใช้ได้ ใช้ได้ 7 0.43 ใช้ได้ 0.57 ใช้ได้ ใช้ได้ 8 0.75 ใช้ได้ 0.75 ใช้ได้ ใช้ได้ 9 0.53 ใช้ได้ 0.65 ใช้ได้ ใช้ได้ 10 0.45 ใช้ได้ 0.33 ใช้ได้ ใช้ได้ 11 0.75 ใช้ได้ 0.75 ใช้ได้ ใช้ได้ 12 0.60 ใช้ได้ 0.75 ใช้ได้ ใช้ได้ 13 0.68 ใช้ได้ 0.78 ใช้ได้ ใช้ได้ 14 0.65 ใช้ได้ 0.76 ใช้ได้ ใช้ได้ 15 0.68 ใช้ได้ 0.72 ใช้ได้ ใช้ได้ 16 0.55 ใช้ได้ 0.88 ใช้ได้ ใช้ได้ 17 0.63 ใช้ได้ 0.47 ใช้ได้ ใช้ได้ 18 0.65 ใช้ได้ 0.64 ใช้ได้ ใช้ได้ 19 0.70 ใช้ได้ 0.82 ใช้ได้ ใช้ได้ 20 0.65 ใช้ได้ 0.69 ใช้ได้ ใช้ได้ 21 0.70 ใช้ได้ 0.69 ใช้ได้ ใช้ได้ 22 0.43 ใช้ได้ 0.43 ใช้ได้ ใช้ได้ 23 0.63 ใช้ได้ 0.66 ใช้ได้ ใช้ได้ 24 0.53 ใช้ได้ 0.58 ใช้ได้ ใช้ได้ 25 0.55 ใช้ได้ 0.59 ใช้ได้ ใช้ได้ 26 0.70 ใช้ได้ 0.57 ใช้ได้ ใช้ได้ 27 0.60 ใช้ได้ 0.65 ใช้ได้ ใช้ได้ สรุป ค่าความยากง่าย (p) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.43-0.75
87 ค่าอำนาจจำแนก (r) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.33-0.88 จากตารางที่ ค.6 ผลการวิเคราะห์หาค่าความยากง่ายและค่าอำนาจจำแนกแบบทดสอบ วัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 27 ข้อ มีค่าความ ยากง่าย อยู่ระหว่าง 0.43 ถึง 0.75 และค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.33 ถึง 0.88 ดังนั้น แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้ง 27 ข้อ สามารถใช้ได้ ตารางที่ ค.7 แสดงคะแนนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างทำถูกในการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 คนที่ 1 13 169 2 14 196 3 14 196 4 16 256 5 27 729 6 18 324 7 15 225 8 15 225 9 14 196 10 14 196 11 16 256 12 17 289 13 10 100 14 19 361 15 21 441 16 23 529 17 15 225 18 16 256 19 11 121
88 20 17 289 21 18 324 22 19 361 23 18 324 24 21 441 25 22 484 26 20 400 27 13 169 28 17 289 29 16 256 30 15 225 31 14 196 32 15 225 33 15 225 34 12 144 35 11 121 36 18 324 37 19 361 38 21 441 ∑ =713 2 =10889 ตารางที่ ค.8 ผลวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการผลิต และการแข่งขันสินค้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ที่ได้คัดเลือกมาแล้ว จำนวน 27ข้อ โดยใช้สูตร KR-20 ข้อที่ P Q pq 1 0.75 0.25 0.19 2 0.50 0.05 0.25 3 0.53 0.48 0.25
89 4 0.73 0.28 0.20 5 0.45 0.55 0.25 6 0.58 0.43 0.24 7 0.68 0.33 0.22 8 0.45 0.50 0.25 9 0.50 0.50 0.25 10 0.60 0.40 0.24 11 0.68 0.33 0.25 12 0.65 0.35 0.26 13 0.68 0.33 0.22 14 0.65 0.35 0.23 15 0.55 0.45 0.25 16 0.63 0.38 0.23 17 0.65 0.35 0.23 18 0.70 0.30 0.21 19 0.65 0.35 0.25 20 0.63 0.38 0.24 21 0.45 0.55 0.25 22 0.63 0.38 0.24 23 0.55 0.45 0.25 24 0.58 0.43 0.24 25 0.70 0.30 0.23 26 0.60 0.40 0.24 27 0.53 0.48 0.25 รวม ∑ =7.01
90 สูตรการหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน หาค่าความแปรปรวน จากสูตร หาค่าความเชื่อมั่นโดยวิธีการแบบ KR20 จากสูตร 20= −1 [1 − 2 ] 20= 27 27 − 1 [1 − 7.01 62.27] 20= 27 26 [1 − 0.11] จากการหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตามวิธีของคูเดอร์ริชาร์ดสัน (KR20) พบว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้าชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3ทั้งฉบับ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.90 2 = 38(10889−7132) 38(38−1) 20 = 0.90 2 = 413782−508369 38(37) 2 = 94587 1406 2 = 62.27 2 = ∑ 2−(∑) 2 (−1) 20= 27 26 [0.88]