ก หัวข้อวิจัย การขยายผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามโครงการวิจัยและพัฒนารูปแบบการจัด การเรียนรู้เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ ภายใต้โครงการ TFE (Teams For Education) หน่วยงาน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม ปี พ.ศ. 2563 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาการขยายผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ใน สถานศึกษาเครือข่าย 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ของครูผู้สอน กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ โรงเรียนเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการ TFE (Teams For Education) จำนวน 10 โรงเรียน โดยการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามโครงการ TFE (Teams For Education) ได้แก่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชื่อรูปแบบ การอ่านเพื่อชีวิต กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชื่อรูปแบบ 4IEA กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชื่อรูปแบบ CREATE Model กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ชื่อ รูปแบบ PLW ให้โรงเรียนที่เป็นเครือข่ายได้นำไปทดลองใช้ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1. ผลที่เกิดขึ้นกับสถานศึกษา ผลที่เกิดขึ้นด้านครูผู้สอน และผลที่เกิดขึ้นด้านผู้เรียน อยู่ใน ระดับดีมาก 2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ของครูผู้สอน อยู่ในระดับดีมาก
บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561 – 2580) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพ ทรัพยากรมนุษย์ กำหนดประเด็นยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต ควบคู่กับ การปฏิรูปที่สําคัญ ทั้งในส่วนของการปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม และมีการปฏิรูปการเรียนรู้ แบบพลิกโฉม ในทุกระดับตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นกรอบความคิดสำคัญ ในการจัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 โดยกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษา ภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์หลักที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ20 ปี ในยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนา ศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ข้อ 3.2 คนทุกช่วงวัยมีทักษะ ความรู้ ความสามารถ และสมรรถนะตามมาตรฐาน การศึกษาและมาตรฐานวิชาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิต ได้ตามศักยภาพ มีตัวชี้วัดที่สำคัญ คือนักเรียนมีคะแนนผลการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้น พื้นฐาน (O-NET) แต่ละวิชาผ่านเกณฑ์คะแนนร้อยละ 50 ขึ้นไปเพิ่มขึ้น ซึ่งนำไปสู่การการกำหนด จุดเน้นและนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมุ่งจัดการศึกษาให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึง โอกาสและความเสมอภาคในการศึกษาที่มีคุณภาพ พัฒนาระบบ การบริหารจัดการศึกษาที่มี ประสิทธิภาพ พัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะในการทำงาน ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 65 ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ขับเคลื่อนการ พัฒนาการเรียนรู้ และศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2561 – 2564) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2562 – 2565) โดยคาดหวังว่าผู้เรียนทุกช่วงวัยจะได้รับการพัฒนาในทุกมิติ เป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ และ มีความพร้อมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ การศึกษามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เยาวชนพัฒนาทั้งทางด้านปัญญาบุคลิกภาพและ ช่วยให้เยาวชนมีความสำเร็จในชีวิต ทุกประเทศจึงหาทางส่งเสริมการศึกษาให้มีคุณภาพ มีมาตรฐาน ความเป็นเลิศ ซึ่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กล่าวว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ ต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดและความแตกต่างของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยพัฒนาผู้เรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยตรง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น องค์ประกอบอย่างหนึ่ง ที่บ่งบอกถึงคุณภาพทางการศึกษาและคุณภาพของผู้เรียน การวัดและประเมินผลนั้นเป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ของ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งผลจากการประเมินใช้เป็นข้อมูลในการเทียบเคียง
2 คุณภาพการศึกษาในระดับต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ ในระดับนโยบายของต้นสังกัดระดับต่าง ๆ จากรายงานผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างปีการศึกษา 2560-2562 ของจังหวัดนครปฐม ดัง ตารางที่ 1 - 3 ตารางที่ 1 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนทุกสังกัดในจังหวัดนครปฐม ปีการศึกษา 2560 - 2562 วิชา คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ปี พ.ศ. 2560-2562 คะแนนเฉลี่ยร้อยละโรงเรียนทุกสังกัดใน จังหวัดและประเทศ ปี พ.ศ.2562 2560 2561 2562 ระดับจังหวัด ระดับประเทศ ผลต่าง ภาษาไทย 50.62 59.73 52.20 52.20 49.07 3.13 ภาษาอังกฤษ 40.58 43.64 38.44 38.44 34.42 4.02 คณิตศาสตร์ 40.98 41.67 36.37 36.37 32.90 3.47 วิทยาศาสตร์ 41.31 42.25 38.53 38.53 35.55 2.98 จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนทุกสังกัดในจังหวัดนครปฐม ปีการศึกษา 2560 – 2562 พบว่า ค่าเฉลี่ยทุกวิชาแต่ละปีขึ้นลงแบบไม่มีทิศทางที่ชัดเจน โดยที่วิชาภาษาไทยมีคะแนนเฉลี่ย มากกว่า ร้อยละ 50 ทั้ง 3 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับประเทศปีการศึกษา 2562 พบว่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับจังหวัด สูงกว่าระดับประเทศทุกวิชา โดยที่ วิชาภาษาอังกฤษมี คะแนนเฉลี่ยร้อยละสูงกว่าระดับประเทศมากที่สุด รองลงมาคือ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาภาษาไทย และ วิชาวิทยาศาสตร์ ร้อยละ 4.02 3.47 3.13 และ 2.98 ตามลำดับ ตารางที่ 2 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนทุกสังกัดในจังหวัดนครปฐม ปีการศึกษา 2560 - 2562 วิชา คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ปี พ.ศ. 2560-2562 คะแนนเฉลี่ยร้อยละโรงเรียนทุกสังกัดใน จังหวัดและประเทศ ปี พ.ศ.2562 2560 2561 2562 ระดับจังหวัด ระดับประเทศ ผลต่าง ภาษาไทย 51.99 57.36 57.91 57.91 55.14 2.77 ภาษาอังกฤษ 32.11 29.01 35.67 35.67 33.25 2.42 คณิตศาสตร์ 29.70 32.99 29.86 29.86 26.73 3.13 วิทยาศาสตร์ 34.01 37.53 31.12 31.12 30.07 1.05
3 จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนทุกสังกัดในจังหวัดนครปฐม ปีการศึกษา 2560 – 2562 พบว่า ร้อยละคะแนนเฉลี่ยวิชาภาษาไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในแต่ละปี ส่วนวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ร้อยละคะแนนเฉลี่ยแต่ละปีขึ้นลงแบบไม่มีทิศทางที่ชัดเจน เมื่อ เปรียบเทียบกับคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับประเทศปีการศึกษา 2562 พบว่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ระดับจังหวัด สูงกว่าระดับประเทศทุกวิชา โดยที่ วิชาคณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละสูงกว่า ระดับประเทศมากที่สุด รองลงมาคือ วิชาภาษาไทย วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาวิทยาศาสตร์ ร้อยละ 3.13 2.77 2.42 และ 1.05 ตามลำดับ ตารางที่ 3 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนทุกสังกัดในจังหวัดนครปฐม ปีการศึกษา 2560 - 2562 วิชา คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ปี พ.ศ. 2560-2562 คะแนนเฉลี่ยร้อยละโรงเรียนทุกสังกัดใน จังหวัดและประเทศ ปี พ.ศ.2562 2560 2561 2562 ระดับจังหวัด ระดับประเทศ ผลต่าง ภาษาไทย 53.63 52.12 46.42 46.42 42.21 4.21 สังคมศึกษา 37.39 37.82 38.42 38.42 35.70 2.72 ภาษาอังกฤษ 33.58 36.82 33.92 33.92 29.20 4.72 คณิตศาสตร์ 30.02 37.30 31.27 31.27 25.41 5.86 วิทยาศาสตร์ 32.94 33.95 32.67 32.67 29.20 3.47 จากตารางที่ 3 พบว่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนทุกสังกัดในจังหวัดนครปฐม ปีการศึกษา 2560 – 2562 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ วิชาสังคมศึกษาเพิ่มขึ้น ส่วนวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์มี ร้อยละคะแนนเฉลี่ย แต่ละปีขึ้นลงแบบไม่มีทิศทางที่ชัดเจน และวิชาภาษาไทยมีแนวโน้มลดลง เมื่อ เปรียบเทียบกับคะแนนเฉลี่ยร้อยละระดับประเทศปีการศึกษา 2562 พบว่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ระดับจังหวัด สูงกว่าระดับประเทศทุกวิชา โดยที่ วิชาคณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละสูงกว่า ระดับประเทศมากที่สุด รองลงมาคือ วิชาภาษาอังกฤษ วิชาภาษาไทย วิชาวิทยาศาสตร์ และ สังคม ศึกษา ร้อยละ 5.86 4.72 4.21 3.47 และ 2.72 ตามลำดับ ข้อมูลที่ได้จากการประเมินในระดับชั้นที่เข้าทดสอบข้างต้นจะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงาน ในการตรวจสอบ ทบทวน พัฒนาคุณภาพผู้เรียน ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของหน่วยงานที่จะต้อง จัดระบบดูแลช่วยเหลือ ปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริมสนับสนุน เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบน พื้นฐานความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จำแนกตามสภาพปัญหาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียน ทั่วไป กลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ กลุ่มผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหา ด้านวินัยและพฤติกรรม กลุ่มผู้เรียนที่ปฏิเสธโรงเรียน กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม
4 กลุ่มพิการทางร่างกายและสติปัญญา เป็นต้นข้อมูลจากการประเมินจึงเป็นหัวใจของสถานศึกษาใน การดำเนินการช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงที เป็นโอกาสให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและประสบ ความสำเร็จในการเรียน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำหนดยุทธศาสตร์และ บทบาทการพัฒนาการศึกษาให้เชื่อมโยงและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และการพัฒนาด้านอื่น ๆ ตาม ศักยภาพ โอกาสของบุคคลและชุมชนในแต่ละพื้นที่ ส่งเสริม สนับสนุน และดำเนินการวิจัยและพัฒนา เพื่อ สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมการศึกษาระดับจังหวัด กำกับ ดูแล เร่งรัด นิเทศ ติดตามและประเมินผลการ พัฒนางานวิชาการ และการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาในพื้นที่ที่รับผิดชอบ รวมทั้งภารกิจหลัก ในการประสานและบูรณาการการจัดการศึกษาของหน่วยงานทางการศึกษาในจังหวัดนครปฐม ส่งเสริม สนับสนุนสถานศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานอย่างทั่วถึงทุกระดับชั้น ทุกประเภทการศึกษา และทุก กลุ่มเป้าหมาย ในปีการศึกษา 2562 สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม ได้จัดทำโครงการ TFE (Teams For Education ) เพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาการเรียนรู้ของหน่วยงานทุกระดับ ทุกประเภทส่งผลต่อ การพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้เกิดการเรียนรู้ มีทักษะจำเป็นในการดำรงชีวิตในสังคมคุณภาพยุค ศตวรรษที่ 21 โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา กระบวนการ จัดการเรียนรู้เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและที่เกี่ยวข้องระดับจังหวัด 2) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการ จัดการเรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบ/ แนวทางการพัฒนานักเรียนที่คะแนนผลการ ทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานแต่ละวิชาที่ต่ำกว่าเกณฑ์คะแนนร้อยละ 50 ให้เพิ่มขึ้น มี สถานศึกษานำร่องเข้าร่วมโครงการ จำนวน 5 โรงเรียน ดังนี้ ระดับประถมศึกษา 1) โรงเรียนวัดทุ่งสีหลง สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2) โรงเรียนวัดโคกพระเจดีย์ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 3) โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทยา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ระดับมัธยมศึกษา 1) โรงเรียนกำแพงแสนวิทยา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 2) โรงเรียนวัดบางปลา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 ผลจากการดำเนินงานตามขอบเขตของโครงการ ได้พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เกิด รายกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพื่อให้สถานศึกษานำร่องได้ไปทดลองใช้ ดังนี้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชื่อ รูปแบบ การอ่านเพื่อชีวิต กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชื่อรูปแบบ 4IEA กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชื่อรูปแบบ CREATE Model กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ชื่อรูปแบบ PLW และ
5 พบว่า ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ของโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ดัง ตารางที่ 4 และ 5 ตารางที่ 4 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนในโครงการ TFE (Teams For Education) ปีการศึกษา 2560 – 2562 จากตารางที่ 4 พบว่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนในโครงการ TFE (Teams For Education) ปีการศึกษา 2561 –2562 เมื่อ พิจารณาร้อยละคะแนนเฉลี่ย ระดับประเทศ ระดับจังหวัด และระดับสังกัด และระดับโรงเรียน มีร้อยละ คะแนนเฉลี่ยลดลง ทุกรายวิชาแต่ละปีขึ้นลงแบบไม่มีทิศทางที่ชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยร้อย ละปีการศึกษา 2561 กับ 2562 พบว่าเกือบทุกรายวิชา มีร้อยละคะแนนเฉลี่ยลดลง ยกเว้น โรงเรียนวัด โคกพระเจดีย์ที่มีร้อยละคะแนนเฉลี่ยวิชาคณิตศาสตร์สูงขึ้น ร้อยละ 3.29 ตารางที่ 5 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนในโครงการ TFE (Teams For Education) ปีการศึกษา 2560 - 2562 จากตารางที่ 5 พบว่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนในโครงการ TFE (Teams For Education) ปีการศึกษา 2561 –2562 เมื่อ ปี 60 ปี 61 ปี 62 ปี 60 ปี 61 ปี 62 ปี 60 ปี 61 ปี 62 ปี 60 ปี 61 ปี 62 ระดับประเทศ 46.58 55.90 49.07 -6.83 36.34 39.24 34.42 -4.82 37.12 37.50 32.90 -4.60 39.12 39.93 35.55 -4.38 ระดับจังหวัด 50.02 59.73 52.20 -7.53 40.58 43.64 38.44 -5.20 40.98 41.67 36.37 -5.30 41.31 42.25 38.53 -3.72 ระดับ สังกัด สพฐ. 48.56 54.61 47.95 -6.66 36.47 35.47 30.86 -4.61 38.89 38.36 33.99 -4.37 40.09 40.45 36.29 -4.16 ระดับสังกัด สช . 54.73 59.59 52.20 -7.39 51.90 49.29 43.78 -5.51 47.48 49.97 42.34 -7.63 45.28 47.11 44.13 -2.98 วัดทุ่งสีหลง 36.00 45.75 41.36 -4.39 28.00 25.63 24.64 -0.99 25.00 28.75 27.14 -1.61 31.80 39.25 32.25 -7.00 วัดโคกพระเจดีย์ 41.04 59.84 51.73 -8.11 26.74 33.62 27.26 -6.36 32.61 27.93 31.22 3.29 40.70 38.05 34.68 -3.37 ราษฎร์บ ารุงวิทยา 43.37 59.24 47.34 -11.90 32.67 35.34 30.22 -5.12 32.09 33.56 27.91 -5.65 36.61 35.29 29.78 -5.51 ผลต่างปี 61/62 วิทยาศ าสตร์ ผลต่างปี 61/62 สังกัด/โรงเรียน ร้อยละคะแนนเฉลี่ย ภาษาไทย ผลต่าง ปี61/62 ภาษาอังกฤษ ผลต่างปี 61/62 ค ณิตศ าสตร์ ปี 60 ปี 61 ปี 62 ปี 60 ปี 61 ปี 62 ปี 60 ปี 61 ปี 62 ปี 60 ปี 61 ปี 62 ระดับประเทศ 48.29 54.42 55.41 0.99 30.45 29.45 33.25 3.80 26.30 30.04 26.73 -3.31 32.28 36.10 30.07 -6.03 ระดับจังหวัด 51.99 57.36 57.91 0.55 32.11 30.82 35.67 4.85 29.70 32.99 29.86 -3.13 33.85 37.53 31.12 -6.41 ระดับ สพม. 51.98 56.89 58.11 1.22 31.20 29.64 34.67 5.03 28.95 32.09 28.98 -3.11 31.76 36.98 30.81 -6.17 ระดับ สพป. 47.50 53.38 55.21 1.83 27.68 27.73 30.94 3.21 24.47 27.87 26.02 -1.85 31.76 35.31 30.86 -4.45 ก าแพงแสนวิทยา 46.19 50.46 52.31 1.85 27.76 27.17 29.83 2.66 22.31 26.75 23.82 -2.93 29.97 32.77 29.24 -3.53 วัดบางปลา 37.83 44.20 44.13 -0.07 30.17 25.07 26.93 1.86 21.00 21.33 19.20 -2.13 32.33 30.93 27.47 -3.46 ผลต่าง ปี61/62 ค ณิตศ าสตร์ ผลต่างปี 61/62 วิทยาศ าสตร์ ผลต่างปี 61/62 สังกัด/โรงเรียน ภาษาไทย ผลต่าง ปี61/62 ภาษาอังกฤษ
6 พิจารณาร้อยละคะแนนเฉลี่ย ระดับประเทศ ระดับจังหวัด และระดับสังกัด และระดับโรงเรียน วิชา ภาษาไทย ในแต่ละปีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยกเว้น โรงเรียนวัดบางปลา ที่มีคะแนนขึ้นลงแบบไม่มีทิศทางที่ ชัดเจน วิชาภาษาอังกฤษมีร้อยละคะแนนเฉลี่ยที่ขึ้นลงแบบไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ทั้งระดับประเทศ ระดับ สังกัด และระดับโรงเรียน เกือบทุกรายวิชา ส่วนวิชาคณิตศาสตร์ และวิชาวิทยาศาสตร์มีคะแนนขึ้นลง แบบไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ทั้งในระดับประเทศ ระดับสังกัด และระดับโรงเรียน เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบ ร้อยละคะแนนเฉลี่ยปีการศึกษา 2561 กับ 2562 พบว่า วิชาภาษาอังกฤษมีร้อยละคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ทั้งระดับประเทศ ระดับสังกัด และระดับโรงเรียน วิชาภาษาไทยมีร้อยละคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทั้ง ระดับประเทศ ระดับจังหวัด ระดับสังกัด ระดับโรงเรียน ยกเว้น โรงเรียนวัดบางปลาที่มีร้อยละคะแนน เฉลี่ยลดลง ร้อยละ 0.07 ส่วนวิชาคณิตศาสตร์ และวิชาวิทยาศาสตร์ มีร้อยละคะแนนเฉลี่ยลดลง ทั้งใน ระดับประเทศ ระดับจังหวัด ระดับสังกัด และระดับโรงเรียน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม ได้เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพของ ผู้เรียน คุณภาพการจัดการเรียนรู้ เพื่อเป็นการสร้างคุณลักษณะและทักษะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ ให้ ผู้เรียนเข้าสู่สังคมคุณภาพในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีคุณภาพ จึงได้จัดทำวิจัยการขยายผลการใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตามโครงการวิจัยและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ ภายใต้โครงการ TFE (Teams For Education) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มีการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน ( O-NET ) รวมทั้งศึกษาผลที่เกิดจาก การนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในสถานศึกษาเครือข่าย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ และ ถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบ/แนวทางการพัฒนานักเรียนที่คะแนนผลการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐานแต่ละวิชาต่ำกว่าเกณฑ์คะแนนร้อยละ 50 เพิ่มขึ้น ระดับจังหวัดให้กับหน่วยงานทาง การศึกษาและสถานศึกษาในจังหวัดนครปฐมต่อไป วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาการขยายผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาเครือข่าย 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ของครูผู้สอน ขอบเขตการวิจัย 1. ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่ ข้อมูลด้านผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ (O-NET) ปีการศึกษา 2560 - 2562 2. กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหาร ครู และนักเรียนในสถานศึกษานำร่อง จำนวน 5 โรงเรียน และ สถานศึกษาเครือข่ายจำนวน 10 โรงเรียน ดังนี้ - สถานศึกษานำร่องระดับประถมศึกษา 1) โรงเรียนวัดทุ่งสีหลง สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2) โรงเรียนวัดโคกพระเจดีย์ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2
7 3) โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทยา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน - สถานศึกษานำร่องระดับมัธยมศึกษา 4) โรงเรียนกำแพงแสนวิทยา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 5) โรงเรียนวัดบางปลา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 - สถานศึกษาเครือข่ายระดับประถมศึกษา 1) โรงเรียนบ้านแจงงาม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2) โรงเรียนวัดตะโกสูง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 3) โรงเรียนบ้านฉาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 4) โรงเรียนวัดห้วยตะโก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 5) โรงเรียนเจี้ยนหัว สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 6) โรงเรียนอนุบาลเสริมปัญญา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน - สถานศึกษาเครือข่ายระดับมัธยมศึกษา 7) โรงเรียนบ้านประตูน้ำพระพิมล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 8) โรงเรียนตลาดเกาะแรต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 9) โรงเรียนบางหลวงวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 10) โรงเรียนงิ้วรายบุญมีรังสฤษดิ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 3. ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่ ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563 4. ขอบเขตด้านเนื้อหา ได้แก่ 1) รูปแบบการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ 4 กลุ่มสาระ ดังนี้ กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ 2) การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) นิยามศัพท์เฉพาะ 1. โครงการ TFE (Teams For Education) หมายถึง โครงการที่ส่งเสริมการพัฒนา รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการจัดการเรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับ รูปแบบ/แนวทางการพัฒนานักเรียนที่คะแนนผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานแต่ละวิชา ต่ำกว่าเกณฑ์คะแนนร้อยละ 50 เพิ่มขึ้น ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม 2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ หมายถึง รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ ขั้นตอน และการประเมินผล
8 3. ผลที่เกิดขึ้นจากการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในสถานศึกษา หมายถึง ผลที่ เกิดจากนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้ 3 ด้าน ได้แก่ 1) ผลที่เกิดขึ้นกับสถานศึกษา 2) ด้านครูผู้สอน ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ และ 3) ด้านผู้เรียนตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ 4. ครูผู้สอน หมายถึง ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ 5. นักเรียน หมายถึง นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนที่เข้าร่วม โครงการ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. มีศูนย์กลางข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ระดับจังหวัดเพื่อส่งเสริมการจัดการ เรียนรู้ในการสร้างคุณลักษณะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 2. หน่วยงานทางการศึกษาและสถานศึกษาเกิดการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ และ ถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบ/แนวทางการพัฒนานักเรียนที่คะแนนผลการทดสอบทาง การศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานแต่ละวิชาต่ำกว่าเกณฑ์คะแนนร้อยละ 50 เพิ่มขึ้น ระดับจังหวัดร่วมกัน 3. สถานศึกษามีร้อยละของนักเรียนที่คะแนนผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ขั้นพื้นฐานแต่ละวิชาผ่านเกณฑ์เพิ่มขึ้น
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การขยายผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตามโครงการ TFE (Teams For Education) ได้นำแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาเป็นกรอบ การศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยครั้งนี้ โดยนำเสนอรายละเอียด ดังนี้ ตอนที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนการสอน 1.1 ความหมายของรูปแบบการเรียนการสอน 1.2 องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอน 1.3 การประเมินรูปแบบการเรียนการสอน ตอนที่ 2 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ 2.1 การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) 2.2 การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ PLC ตอนที่ 3 รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามโครงการ TFE (Teams For Education) 3.1 รูปแบบ การอ่านเพื่อชีวิต กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 3.2 รูปแบบ 4EIA กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 3.3 รูปแบบ CREATE Model กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 3.4 รูปแบบ PLW กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ตอนที่ 4 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่ (Gagne) 4.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) 4.3 ทฤษฎีสนาม ของ Kurt Lewin (Field Theory) 4.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตอนที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนการสอน 1.1 ความหมายของรูปแบบการเรียนการสอน รูปแบบการสอน Model of Teaching หรือ Teaching Model และรูปแบบการ เรียนการสอน หรือรูปแบบการจัดการเรียนการสอน Instructional Model หรือ Teaching-Learning Model และรูปแบบการเรียนรู้ เป็นคำที่มีการนำมาใช้ในความหมายที่เหมือนกัน นักการศึกษาได้ให้ ความหมายของรูปแบบการเรียนการสอนดังนี้
10 (1) รูปแบบการสอน หมายถึง แบบหรือแผนของการสอน รูปแบบการสอนแบบหนึ่งจะ มี จุดเน้นที่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง รูปแบบการสอนแต่ละรูปแบบจึงอาจมีจุดหมายที่แตกต่างกัน (2) รูปแบบการสอน หมายถึง แผนหรือแบบซึ่งสามารถใช้การสอนในห้องเรียน หรือสอนพิเศษเป็นกลุ่มย่อย หรือ เพื่อจัดสื่อการสอน ซึ่งรวมถึง หนังสือ ภาพยนตร์ เทปบันทึกเสียง โปรแกรมคอมพิวเตอร์และหลักสูตรรายวิชา รูปแบบ การสอนแต่ละรูปแบบจะเป็นแนวในการออกแบบ การสอนที่ช่วยให้นักเรียนบรรลุ วัตถุประสงค์ตามที่รูปแบบนั้น ๆ กำหนด (3) รูปแบบการสอน หมายถึง แผนแสดงการเรียนการสอน สำหรับนำไปใช้สอนใน ห้องเรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ให้มากที่สุด แผนดังกล่าวจะแสดง ถึงลำดับความสอดคล้องกัน ภายใต้หลักการของแนวคิดพื้นฐานเดียวกัน องค์ประกอบทั้งหลายได้แก่ หลักการ จุดมุ่งหมาย เนื้อหา และทักษะที่ต้องการสอน ยุทธศาสตร์การสอน วิธีการสอน กระบวนการสอน ขั้นตอนและกิจกรรมการสอน และการวัดและประเมินผล รูปแบบการเรียนการสอนมีความหมายในลักษณะเดียวกับระบบการเรียนการสอนซึ่ง นักการศึกษาโดยทั่วไปนิยมใช้คำว่า “ระบบ” ในความหมายที่เป็นระบบใหญ่ ครอบคลุมองค์ประกอบ สำคัญๆ ของการศึกษา หรือการเรียนการสอนในภาพรวม และนิยมใช้คำว่า “รูปแบบ” กับระบบที่ย่อยกว่า โดยเฉพาะกับ “วิธีการสอน” ในด้านความหมายของรูปแบบการสอน มีผู้ให้ความหมายไว้หลายแง่มุม ดังนี้ Saylor and others (1981 : 271) กล่าวว่า รูปแบบการสอน (teaching model) หมายถึง แบบ (pattern)ของการสอนที่มีการจัดกระทำพฤติกรรมขึ้นจำนวนหนึ่งที่มีความแตกต่างกัน เพื่อจุดหมาย หรือจุดเน้นที่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง Joyce and Well (1996 : 1-4) กล่าวว่ารูปแบบการสอน คือ แผน (plan) หรือแบบ (pattern) ที่เราสามารถใช้เพื่อการสอนโดยตรงในห้องเรียนหรือการสอนเป็นกลุ่มย่อย หรือเพื่อจัดสื่อการเรียนการสอน ซึ่งรวมถึงหนังสือ ภาพยนตร์ เทปบันทึกเสียง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและหลักสูตรรายวิชา ซึ่งแต่ ละรูปแบบจะให้แนวทางในการออกแบบการเรียนการสอนที่จะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ต่างๆกัน รูปแบบการสอนคือ การบรรยายสิ่งแวดล้อมทางการเรียน รูปแบบการสอนก็คือ รูปแบบของการเรียนที่ช่วย ผู้เรียนให้ได้รับสารสนเทศ ความคิด ทักษะคุณค่า แนวทางของการคิด ทิศนา แขมมณี (2550 : 3-4) กล่าวว่า รูปแบบการสอน หมายถึง สภาพหรือลักษณะของ การจัดการเรียนการสอนที่จัดขึ้นอย่างมีระบบระเบียบ มีแบบแผนตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือความเชื่อต่างๆ โดยอาศัยวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่างๆ เข้ามาช่วยให้สภาพการเรียนการ สอนนั้นเป็นไปตามหลักการที่ยึดถือ
11 รูปแบบการเรียนการสอนจึงหมายถึง สภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอน ที่จัด ไว้อย่างเป็นระเบียบตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิดหรือความเชื่อต่างๆ โดยมีการจัด กระบวนการหรือขั้นตอนในการเรียนการสอน โดยอาศัยวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่างๆ เข้ามาช่วยทำให้ สภาพการเรียนการสอนนั้นเป็นไปตามหลักการที่ยึดถือ ซึ่งได้รับการพิสูจน์ ทดสอบหรือยอมรับว่ามี ประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นแบบแผนในการเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะของรูปแบบนั้นๆ ซึ่งแต่ละรูปแบบมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้าน พุทธิพิสัย (cognitive domain) การพัฒนาด้านจิตพิสัย (affective domain) การพัฒนาด้านทักษะพิสัย (psychomotor domain) การพัฒนาด้านทักษะกระบวนการ (process skills) หรือ การบูรณาการ (integration) ทั้งนี้รูปแบบดังกล่าวล้วนเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มีลักษณะเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 1.2 องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอน Keeves J.,(1997 : 386-387) กล่าวว่า รูปแบบโดยทั่วไปจะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้ 1. รูปแบบจะต้องนำไปสู่การทำนาย (prediction) ผลที่ตามมาซึ่งสามารถพิสูจน์ทดสอบได้ กล่าวคือ สามารถนำไปสร้างเครื่องมือเพื่อไปพิสูจน์ทดสอบได้ 2. โครงสร้างของรูปแบบจะต้องประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ (causal relationship) ซึ่งสามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์/เรื่องนั้นได้ 3. รูปแบบจะต้องสามารถช่วยสร้างจินตนาการ (imagination) ความคิดรวบยอด (concept) และความสัมพันธ์ (interrelations) รวมทั้งช่วยขยายขอบเขตของการสืบเสาะความรู้ 4. รูปแบบควรจะประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง (structural relationships) มากกว่า ความสัมพันธ์เชิงเชื่อมโยง (associative relationships) Joyce and Well (1992: 64-66) กล่าวว่า รูปแบบการเรียนการสอนมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้ 1. แนวคิดและหลักการของรูปแบบ ซึ่งกล่าวถึงความเชื่อและแนวคิด ทฤษฎีที่ใช้เป็น พื้นฐานในการออกแบบรูปแบบการเรียนการสอน แนวคิดและหลักการจะเป็นตัวชี้นำในการกำหนด วัตถุประสงค์เนื้อหากิจกรรม และขั้นตอนการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามรูปแบบการเรียนการสอนนั้น 2. จุดประสงค์ของรูปแบบ เป็นการระบุถึงความคาดหวังที่ต้องการให้เกิดขึ้นจากการใช้ รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น 3. เนื้อหาเป็นส่วนที่ระบุถึงเนื้อหาหรือสาระการเรียนรู้ที่จะใช้ในการเรียนการสอน 4. กิจกรรมการเรียนการสอน เป็นส่วนที่ระบุถึงกิจกรรม วิธีการ และขั้นตอนการปฏิบัติใน การนำรูปแบบการเรียนการสอนไปใช้
12 5. การวัดและประเมินผล เป็นส่วนสำคัญ ซึ่งเป็นส่วนที่จะบอกว่าการดำเนินการตาม รูปแบบการเรียนการสอนนั้นบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ทิศนา แขมมณี (2550 : 3-4) ได้กล่าวถึง คุณลักษณะสำคัญของรูปแบบการสอนต้อง ประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ 1. มีปรัชญาหรือทฤษฎีหรือหลักการหรือแนวคิดหรือความเชื่อ ที่เป็นพื้นฐานหรือเป็น หลักการของรูปแบบการสอนนั้น ๆ 2. มีการบรรยายหรืออธิบายสภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอน 3. มีการจัดระบบ คือ มีการจัดองค์ประกอบและความสัมพันธ์ ขององค์ประกอบของ ระบบให้สามารถนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการพิสูจน์ ทดลองถึงประสิทธิภาพ ของระบบนั้นดังนั้น 1.3 การประเมินรูปแบบการเรียนการสอน การประเมินรูปแบบการเรียนการสอนต้องมีการกำหนดรูปแบบ (Model) ได้แก่ 1) รูปแบบการประเมินเพื่อการอธิบายลักษณะของสิ่งต่าง ๆ (Descriptive Model) และ 2) รูปแบบการประเมินที่เป็นกฏหรือแนวทางสู่การปฏิบัติ เพื่อใช้เป็นกรอบวิธีดำเนินการ (Prescriptive Model) รูปแบบการประเมินนั้นได้มีนักการศึกษาจัดแบ่งเป็น 3 กลุ่ม (เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี 2542: 38-39 ; สุวิมล ติรกานนท์ 2543 : 41-43) ดังนี้ 1. รูปแบบที่ยึดวัตถุประสงค์เป็นหลัก (Objective Based Model) ได้แก่ 1) รูปแบบการประเมินของ Tyler ซึ่งมีการตรวจสอบผลการดำเนินงานว่า บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ 2) รูปแบบการประเมินผลของ Cronbach ซึ่งมุ่งสร้างสารสนเทศในการ ตัดสินใจเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของ Tyler 2. รูปแบบการประเมินตัดสินคุณค่า (Judgmental Evaluation Mode) ได้แก่ 1) รูปแบบของ Stake ซึ่งประเมินความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเบื้องต้น การ ปฏิบัติและผลลัพธ์โดยแบ่งเป็นเมตริกซ์ การบรรยาย และเมตริกซ์ การตัดสินคุณค่า ดูความสอดคล้อง ระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขี้นจริง 2) รูปแบบการประเมินของ Scriven เป็นการประเมินผลย่อย (Formative Evaluation) เพื่อดูความก้าวหน้าของโครงการ ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงเมื่อได้ข้อมูลมาพิจารณา และการ ประเมินผลสรุป (Summative Evaluation) เพื่อพิจารณาว่าควรจะยุติหรือขยายโครงการต่อไป
13 3) รูปแบบการประเมินของ Provus มีการเปรียบเทียบการดำเนินงานกับ มาตรฐาน ซึ่งจะนำไปสู่การเลือก ยุติหรือเปลี่ยนแปลง หรือกลับไปเริ่มต้นใหม่ หรือดำเนินกิจกรรมต่อไป 4) รูปแบบการประเมินของ Alkin มี 5 ด้าน ได้แก่ การประเมินสภาพของ ระบบ การประเมินเพื่อวางแผนโครงการ การประเมินเพื่อดำเนินโครงการ การประเมินของระบบ การ ประเมินเพื่อปรับปรุง และการประเมินเพื่อยอมรับผลของโครงการ 3. รูปแบบการประเมินเน้นการสร้างแนวคิดเพื่อการตัดสินใจ (Decision – oriented Evaluation Model) ได้แก่ 1) รูปแบบของ Kirkpatrik มี 4 ด้าน ได้แก่ การประเมินบริบท (Context Evaluation) การประเมินปัจจัยป้อน (Input Evaluation) การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation) และการประเมินผลผลิต (Product Evaluation) การประเมินสามารถดำเนินการได้ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการใช้ การ ประเมินก่อนการใช้ เป็นการประเมินคุณภาพเอกสารที่เกี่ยวกับรูปแบบการเรียนการสอน และจาก การทดลองใช้การประเมินระหว่างใช้เป็นการประเมินการสอนทั้งระบบ ตอนที่ 2 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ 2.1 การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) สรุปได้ดังนี้ การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) คือกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลง มือกระทำและได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป (Bonwell, 1991) เป็นการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน 2 ประการคือ 1) การเรียนรู้เป็นความพยายามโดยธรรมชาติของมนุษย์, และ 2) แต่ละบุคคลมีแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน (Meyers and Jones, 1993) โดยผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาท จากผู้รับความรู้(receive) ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้(co-creators) ( Fedler and Brent, 1996) กระบวนการเรียนรู้ Active Learning ทำให้ผู้เรียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทน ได้มากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้ Passive Learningเพราะกระบวนการเรียนรู้ Active Learning สอดคล้อง กับการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ โดยสามารถเก็บและจำสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม มี ปฏิสัมพันธ์ กับเพื่อน ผู้สอน สิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ได้ผ่านการปฏิบัติจริง จะสามารถเก็บจำในระบบความจำ ระยะยาว (Long Term Memory) ทำให้ผลการเรียนรู้ ยังคงอยู่ได้ในปริมาณที่มากกว่า ระยะยาวกว่า ซึ่งอธิบาย ไว้ ดังรูป
14 จากรูปจะเห็นได้ว่า กรวยแห่งการเรียนรู้นี้ได้แบ่งเป็น 2 กระบวนการ คือ กระบวนการเรียนรู้ Passive Learning • กระบวนการเรียนรู้โดยการอ่านท่องจำผู้เรียนจะจำได้ในสิ่งที่เรียนได้เพียง 10% • การเรียนรู้โดยการฟังบรรยายเพียงอย่างเดียวโดยที่ผู้เรียนไม่มีโอกาสได้มีส่วน ร่วมในการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมอื่นในขณะที่อาจารย์สอนเมื่อเวลาผ่านไปผู้เรียนจะจำได้เพียง 20% • หากในการเรียนการสอนผู้เรียนมีโอกาสได้เห็นภาพประกอบด้วยก็จะทำให้ผล การเรียนรู้คงอยู่ได้เพิ่มขึ้นเป็น 30% • กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้สอนจัดประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพิ่มขึ้น เช่น การให้ดู ภาพยนตร์การสาธิต จัดนิทรรศการให้ผู้เรียนได้ดูรวมทั้งการนำผู้เรียนไปทัศนศึกษา หรือดูงาน ก็ทำ ให้ผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้น เป็น 50% กระบวนการเรียนรู้ Active Learning • การให้ผู้เรียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้และเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์จนเกิด ความรู้ความเข้าใจนำไปประยุกต์ใช้สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่าหรือ สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ และพัฒนาตนเองเต็มความสามารถ รวมถึงการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เขาได้มีโอกาสร่วม อภิปรายให้มีโอกาสฝึกทักษะการสื่อสาร ทำให้ผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้น 70% • การนำเสนองานทางวิชาการ เรียนรู้ในสถานการณ์จำลอง ทั้งมีการฝึกปฏิบัติใน สภาพจริง มีการเชื่อมโยงกับสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ผลการเรียนรู้เกิดขึ้นถึง 90% ลักษณะของ Active Learning (อ้างอิงจาก :ไชยยศ เรืองสุวรรณ) • เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา การนําความรู้ไปประยุกต์ใช้
15 • เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ • ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง • ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน มีการสร้างองค์ความรู้ การสร้างปฎิสัมพันธ์ ร่วมกัน และร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน • ผู้เรียนได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทํางาน และการแบ่ง หน้าที่ความรับผิดชอบ • เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิด • เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นทักษะการคิดขั้นสูง • เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล, ข่าวสาร, สารสนเทศ, และ หลักการสู่การสร้างความคิดรวบยอดความคิดรวบยอด • ผู้สอนจะเป็นผู้อํานวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ ปฏิบัติด้วยตนเอง • ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของ ผู้เรียน บทบาทของครู กับ Active Learning ณัชนัน แก้วชัยเจริญกิจ (2550) ได้กล่าวถึง บทบาทของครูผู้สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางของ Active Learning ดังนี้ 1. จัดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน กิจกรรมต้องสะท้อนความ ต้องการในการพัฒนาผู้เรียนและเน้นการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงของผู้เรียน 2. สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมี ปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สอนและเพื่อนในชั้นเรียน 3. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวัต ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในทุก กิจกรรมรวมทั้งกระตุ้นให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ 4. จัดสภาพการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน 5. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ท้าทาย และให้โอกาสผู้เรียนได้รับวิธีการสอนที่ หลากหลาย 6. วางแผนเกี่ยวกับเวลาในจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของเนื้อหา และกิจกรรม 7. ครูผู้สอนต้องใจกว้าง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคิดของ ผู้เรียน ข้อพึงระมัดระวังในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning 1. เนื่องจากการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning มีรากฐานมาจากแนวคิดทาง การศึกษาที่เน้น การสร้างองค์ความรู้ใหม่ (Constructivist) โดยผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้จากข้อมูลที่ได้ รับมาใหม่ด้วยการนำไปประกอบกับประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาในอดีต นอกจากนี้ยังมีมิติของกิจกรรม
16 ที่เกี่ยวข้องอยู่ 2 มิติ ได้แก่ กิจกรรมด้านการรู้คิด (Cognitive Activity) และกิจกรรมด้านพฤติกรรม (Behavioral Activity) ผู้นำไปใช้อาจเข้าใจคลาดเคลื่อน ว่าการเรียนรู้แบบนี้ คือรูปแบบที่เน้นความตื่นตัว ในกิจกรรมด้านพฤติกรรม (Behavioral Active) โดยเข้าใจว่าความตื่นตัวในกิจกรรมด้านพฤติกรรมจะทำ ให้เกิดความตื่นตัวในกิจกรรมด้านการรู้คิด (Cognitively Active) ไปเอง จึงเป็นที่มาของการประยุกต์ใช้ ผิดๆว่าให้ผู้สอนลดบทบาทความเป็นผู้ให้ความรู้ลง เป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกและบริหารจัดการ หลักสูตร โดยปล่อยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เองอย่างอิสระจากการทำกิจกรรมและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ กับผู้เรียนด้วยกันเอง ตามยถากรรม โดยผู้เรียนไม่ได้เรียนรู้ พัฒนามิติด้านการรู้คิด 2. ความตื่นตัวในกิจกรรมด้านพฤติกรรมอาจไม่ก่อให้เกิดความตื่นตัวในกิจกรรมด้าน การรู้คิดเสมอไป การที่ผู้สอนให้ความสำคัญกับกิจกรรมด้านพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว เช่น การฝึกปฏิบัติ และการอภิปรายในกลุ่มของผู้เรียนเอง โดยไม่ให้ความสำคัญกับกิจกรรมด้านการรู้คิด เช่น การลำดับ ความคิดและการจัดองค์ความรู้ จะทำให้ประสิทธิผลของการเรียนรู้ลดลง 3. กรณีการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบที่ให้ผู้เรียนทำกิจกรรมและค้นพบความรู้ ด้วยตนเองนี้ไปใช้กับการพัฒนาการเรียนรู้ตามลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) จะเหมาะกับการพัฒนาในขั้น การทำความเข้าใจ การนำไปประยุกต์ใช้ และการวิเคราะห์ ขึ้นไปมากกว่า ขั้นให้ข้อมูลความรู้ เพราะเป็นการเสียเวลามาก และไม่บรรลุผลเท่าที่ควร โดยสรุป การจัดการเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน โดยการนำเอา วิธีการสอน เทคนิคการสอนที่หลากหลายมาใช้ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรม กระตุ้นให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนและผู้เรียนกับผู้สอน เป็นการ จัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนประยุกต์ใช้ทักษะและเชื่อมโยงองค์ ความรู้นำไปปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาหรือประกอบอาชีพในอนาคต และถือเป็นการจัดการเรียนรู้ประเภท หนึ่งที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน ชุมชนแห่งการเรียนรู้ PLC (Professional Learning Community) ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพหรือ PLC มีวรรณกรรมทางการศึกษาจากการวิจัยหรือ โครงการศึกษา ต่าง ๆ สามารถ เรียบเรียงสรุปเป็นความหมายของ PLC คือ การรวมตัว รวมใจ รวมพลัง ร่วมมือกันของครูผู้บริหารและนักการศึกษาในโรงเรียน เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังที่ Sergiovanni (1994)กล่าวว่า PLC เป็นสถานที่สำหรับ“ปฏิสัมพันธ์” ลด“ความโดดเดี่ยว”ของมวล สมาชิกวิชาชีพครูของโรงเรียนใน การท างาน เพื่อปรับปรุงผลการเรียนของนักเรียนหรืองานวิชาการ โรงเรียน ซึ่ง Hord (1997) มองในมุมมองเดียวกัน โดยมองการรวมตัวกันดังกล่าว มีนัยแสดงถึงการเป็น ผู้นำร่วมกันของครูหรือเปิดโอกาสให้ครูเป็น “ประธาน” ในการเปลี่ยนแปลง (วิจารณ์พานิช, 2555) การมีคุณค่าร่วมและวิสัยทัศน์ร่วมกันไปถึงการเรียนรู้ร่วมกันและการนำสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้อย่าง สร้างสรรค์ร่วมกัน การรวมตัวในรูปแบบนี้เป็นเหมือน แรงผลักดันโดยอาศัยความต้องการและความสนใจ ของ สมาชิกใน PLC เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ สู่มาตรฐานการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นหลัก (Senge, 1990) การพัฒนาวิชาชีพให้เป็น “ครูเพื่อศิษย์” (วิจารณ์พานิช, 2555) โดยมองว่าเป็น “ศิษย์ ของเรา” มากกว่ามองว่า “ศิษย์ของฉัน”และการ เปลี่ยนแปลงคุณภาพ การจัดการเรียนรู้ที่เริ่มจาก
17 “การเรียนรู้ของครู” เป็นตัวตั้งต้น เรียนรู้ที่จะมองเห็นการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาการจัดการ เรียนรู้ของตนเอง เพื่อผู้เรียน เป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม การรวมตัวการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เป็นไปได้ยากที่จะทำเพียง ลำพังหรือเพียงนโยบายเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนทั้งระบบโรงเรียน จึงจำเป็นต้องสร้างความเป็น PLC ที่ สอดคล้องกับ ธรรมชาติทางวิชาชีพร่วมในโรงเรียน ย่อมมีความเป็นชุมชนที่สัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น (Senge, 1990) ชุมชนที่สามารถขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวิชาชีพได้นั้นจึงจำเป็นต้องมีอยู่ ร่วมกัน อย่างมีความสุขทางวิชาชีพ มีฉันทะ และศรัทธาในการท างาน “ครูเพื่อศิษย์ร่วมกัน” บรรยากาศการอยู่ร่วมกันจึงเป็นบรรยากาศ“ชุมชนกัลยาณมิตรทางวิชาการ” (สุรพล ธรรมร่มดี, ทัศนีย์ จันอินทร์, และ คง กฤช ไตรยวงศ์, 2553) ที่มีลักษณะความเป็นชุมชนแห่งความเอื้ออาทรอยู่บนพื้นฐาน “อำนาจเชิงวิชาชีพ” และ “อำนาจเชิงคุณธรรม” (Sergiovanni, 1994) เป็นอำนาจที่การสร้างพลัง มวลชนเริ่มจาก ภาวะผู้นำร่วมของครูเพื่อขับเคลื่อนการ ปรับปรุงและพัฒนาสถานศึกษา (Fullan, 2005) กล่าวโดยสรุป PLC หมายถึง การรวมตัว ร่วมใจ ร่วมพลัง ร่วมทำ และร่วมเรียนรู้ ร่วมกันของครู ผู้บริหาร และนักการศึกษา บนพื้นฐานวัฒนธรรมความสัมพันธ์แบบกัลยาณมิตร ที่มีวิสัยทัศน์คุณค่า เป้าหมาย และภารกิจร่วมกัน โดยทำงานร่วมกันแบบทีมเรียนรู้ที่ครูเป็นผู้นำ ร่วมกัน และผู้บริหารแบบผู้ดูแล สนับสนุนสู่การเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพเปลี่ยนแปลงคุณภาพ ตนเองสู่คุณภาพการจัดการเรียนรู้ที่เน้นความสำเร็จหรือประสิทธิผลของผู้เรียนเป็นสำคัญ และความสุขของการทำงานร่วมกันของสมาชิกในชุมชน ระดับของชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ PLC สามารถแบ่งระดับได้ 3 ระดับ คือ ระดับสถานศึกษา ระดับเครือข่าย และ ระดับชาติโดย แต่ละลักษณะจะแบ่ง ตามระดับของความเป็น PLC ย่อยดังนี้ 1) ระดับสถานศึกษา (School Level) คือ PLC ที่ขับเคลื่อนในบริบทสถานศึกษา หรือ โรงเรียน สามารถแบ่งได้ 3 ระดับย่อย (Sergiovanni, 1994)คือ 1.1 ระดับนักเรียน (Student Level) ซึ่งนักเรียนจะได้รับการส่งเสริมและ ร่วมมือให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น จากครูและเพื่อนนักเรียนอื่นให้ทำกิจกรรมเพื่อแสวงหาคำตอบที่ สมเหตุสมผล สำหรับตนเองนักเรียนจะได้รับการพัฒนาทักษะที่สำคัญ คือ ทักษะการเรียนรู้ 1.2 ระดับผู้ประกอบวิชาชีพ (Professional Level) ประกอบด้วยครูผู้สอนและ ผู้บริหาร ของโรงเรียนโดยใช้ฐานของ “ชุมชนแห่งวิชาชีพ” เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ของชุมชน จึงเรียกว่า “ชุมชน การเรียนรู้ทางวิชาชีพ” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญอย่างยิ่งที่ทุกคนในโรงเรียนร่วมกันพิจารณาทบทวน เรื่องนโยบาย การปฏิบัติและกระบวนการบริหารจัดการต่าง ๆของโรงเรียนใหม่อีกครั้ง โดยยึดหลักใน การปรับปรุงแก้ไข สิ่งเหล่านี้เพื่อให้สามารถบริการด้านการเรียนรู้แก่นักเรียนได้อย่างมีประสิทธิผล อีก ทั้งเพื่อให้การปรับปรุง แก้ไข ดังกล่าว นำมาสู่การสนับสนุนการปฏิบัติงานวิชาชีพของครูผู้สอน และ ผู้บริหารให้มีคุณภาพและประสิทธิผลสูงยิ่งขึ้น มีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมของการทำงานที่ดีต่อกัน ของทุกฝ่าย 1.3 ระดับการเรียนรู้ของชุมชน (Learning Community Level) ครอบคลุมถึง ผู้ปกครอง สมาชิกชุมชนและผู้นำชุมชน โดยบุคคลกลุ่มนี้จำเป็นต้องมีส่วนเข้ามาร่วมสร้างและผลักดัน วิสัยทัศน์ของ โรงเรียนให้บรรลุผลตามเป้าหมายกล่าวคือผู้ปกครองนักเรียน ผู้อาวุโสในชุมชนตลอดจน
18 สถาบันต่าง ๆของชุมชนเหล่านี้ต้องมีส่วนร่วมในการส่งเสริมเป้าหมายการเรียนรู้ของชุมชนและโรงเรียน กล่าวคือ ผู้ปกครองมีส่วนร่วมทางการศึกษาได้โดยการให้การดูแลแนะนำการเรียนที่บ้านของนักเรียน รวมทั้งให้การสนับสนุนแก่ครูและผู้บริหารสถานศึกษาในการจัดการเรียนรู้ให้แก่บุตรหลานของตน ผู้อาวุโสใน ชุมชน สามารถเป็นอาสาสมัคร ถ่ายทอดความรู้ 2) ระดับกลุ่มเครือข่าย (Network Level) คือ PLC ที่ขับเคลื่อนในลักษณะการรวมตัว กันของ กลุ่มวิชาชีพจากองค์กร หรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่มุ่งมั่นร่วมกันสร้างชุมชน เครือข่าย ภายใต้ วัตถุประสงค์ร่วม คือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ส่งเสริม สนับสนุน ให้กำลังใจสร้างความสัมพันธ์และพัฒนา วิชาชีพร่วมกัน อาจมีเป้าหมายที่เป็นแนวคิดร่วมกันอย่างชัดเจน สามารถแบ่งได้2 ลักษณะคือ 2.1กลุ่มเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบัน คือ การตกลงร่วมมือกันในการ พัฒนาวิชาชีพครูระหว่างสถาบัน โดยมองว่าการร่วมมือกันของสถาบันต่าง ๆ จะทำให้เกิดพลังการ ขับเคลื่อนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาชีพ การแลกเปลี่ยน หรือร่วมลงทุนด้านทรัพยากร และการ เกื้อหนุนเป็นกัลยาณมิตรคอยสะท้อนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน กรณีตัวอย่างเช่น กรณีศึกษาการจัด PLC เป็นกลุ่มของโรงเรียนในประเทศสิงคโปร์เพื่อร่วมพัฒนาแลกเปลี่ยนและสะท้อนร่วมกันทาง วิชาชีพ เป็นต้น 2.2 กลุ่มเครือข่ายความร่วมมือของสมาชิกวิชาชีพครูคือ การจัดพื้นที่เปิดกว้างให้ สมาชิกวิชาชีพครูที่มีอุดมการณ์ร่วมกันในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของตนเองเพื่อการเปลี่ยนแปลง เชิงคุณภาพของผู้เรียนเป็นหัวใจสำคัญ สมาชิกที่รวมตัวกันไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับสังกัดแต่จะตั้งอยู่บน ความมุ่งมั่น สมัครใจ ใช้อุดมการณ์ร่วมเป็นหลักในการรวมกันเป็น PLC กรณีตัวอย่าง เช่น PLC “ครูเพื่อ ศิษย์” ของมูลนิธิสดศรีสฤษดิ์วงศ์ (มสส.) ที่สร้างพื้นที่ส่วนกลางสำหรับวิชาชีพครูให้จับมือร่วมกันเป็น ภาคีร่วมพัฒนา “ครูเพื่อศิษย์” มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย (วิจารณ์พานิช, 2555) เป็นต้น 3) ระดับชาติ (The National Level) คือ PLC ที่เกิดขึ้น โดยนโยบายของรัฐที่มุ่งจัด เครือข่าย PLC ของชาติเพื่อขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของวิชาชีพ โดยความร่วมมือของ สถานศึกษา และครูที่ผนึกกำลังร่วมกันพัฒนาวิชาชีพภายใต้การสนับสนุนของรัฐ ดังกรณีตัวอย่าง นโยบาย วิสัยทัศน์เพื่อความร่วมมือของกระทรวงศึกษาธิการประเทศสิงคโปร์ (MOE) (2009) รัฐจัดให้มี PLC ชาติสิงคโปร์เพื่อมุ่งหวังขับเคลื่อนแนวคิด “สอนให้น้อย เรียนรู้ให้มาก” (Teach Less, Learn more) ให้เกิดผลสำเร็จ เป็นต้น องค์ประกอบของชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในบริบทสถานศึกษา PLC ในระดับสถานศึกษา หรือระดับผู้ประกอบวิชาชีพ นำเสนอเป็นองค์ประกอบของ PLC ที่มาจากข้อมูลที่รวบรวมและวิเคราะห์จากเอกสารทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศนำเสนอ เป็น 6 องค์ประกอบของ PLC ในบริบทสถานศึกษาซึ่งประกอบด้วยวิสัยทัศน์ร่วมทีมร่วมแรงร่วมใจ ภาวะ ผู้นำร่วม การเรียนรู้และการพัฒนาวิชาชีพ ชุมชนกัลยาณมิตรและโครงสร้างสนับสนุน ชุมชนนำเสนอ จากการสังเคราะห์แนวคิดต่าง ๆและรายละเอียดต่อไปนี้ องค์ประกอบที่ 1 วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision) วิสัยทัศน์ร่วมเป็นการมองเห็นภาพ เป้าหมาย ทิศทาง เส้นทาง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง เป็นเสมือนเข็มทิศในการขับเคลื่อน PLC ที่มีทิศทาง ร่วมกัน โดยมีวิสัยทัศน์เชิงอุดมการณ์ทางวิชาชีพร่วมกัน (Sergiovanni, 1994) คือพัฒนาการการเรียนรู้ ของผู้เรียนเป็นภาพความสำเร็จที่มุ่งหวังในการนำทางร่วมกัน (Hord, 1997) อาจเป็นการมองเริ่มจาก
19 ผู้นำหรือกลุ่มผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ทำหน้าที่เหนี่ยวนำให้ผู้ร่วมงานเห็นวิสัยทัศน์นั้นร่วมกัน หรือ การ มองเห็นจากแต่ละปัจเจกที่มีวิสัยทัศน์เห็นในสิ่งเดียวกัน วิสัยทัศน์ร่วมมีลักษณะสำคัญ 4 ประการ (4 Shared) มีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้ 1) การเห็นภาพและทิศทางร่วม (Shared Vision) จากภาพความเชื่อมโยงให้เห็นภาพ ความสำเร็จร่วมกันถึงทิศทางสำคัญของการทำงานแบบมอง “เห็นภาพเดียวกัน” (Hord, 1997; Hargreaves, 2003) 2) เป้าหมายร่วม (Shared Goals) เป็นทั้งเป้าหมาย ปลายทาง ระหว่างทางและเป้าหมาย ชีวิตของสมาชิกแต่ละคนที่สัมพันธ์กันกับเป้าหมายร่วมของชุมชนการเรียนรู้ฯ ซึ่งเป็นความเชื่อมโยงให้เห็น ถึง ทิศทางและเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะเป้าหมายสำคัญคือพัฒนาการการเรียนรู้ของ ผู้เรียน (Hargreaves, 2003; Schmoker, 2004; DuFour, 2006) 3) คุณค่าร่วม (Shared Values) เป็นการเห็นทั้งภาพเป้าหมาย และที่สำคัญเมื่อเห็น ภาพความเชื่อมโยงแล้ว ภาพดังกล่าวมีอิทธิพลกับการตระหนักถึงคุณค่าของตนเองและของงานจน เชื่อมโยง เป็นความหมายของงานที่เกิดจากการตระหนักรู้ของสมาชิกใน PLC จนเกิดเป็นพันธะสัญญา ร่วมกัน หลอมรวมเป็น“คุณค่าร่วม” ซึ่งเป็นขุมพลังสำคัญที่จะเกิดพลังในการไหลรวมกันทำงานในเชิง อุดมการณ์ทางวิชาชีพร่วมกัน (Hord, 1997; DuFour, 2006; Hargreaves, 2003) 4) ภารกิจร่วม (Shared Mission) เป็นพันธกิจแนวทางการปฏิบัติร่วมกันเพื่อให้บรรลุ ตามเป้าหมายร่วม รวมถึงการเรียนรู้ของครูในทุก ๆ ภารกิจ สิ่งสำคัญคือการปฏิรูปการเรียนรู้ที่มุ่งการ เรียนรู้ของผู้เรียนเป็นหัวใจสำคัญ (Hord, 1997) โดยการเริ่มจากการรับผิดชอบในการพัฒนาวิชาชีพเพื่อ ศิษย์ร่วมกันของครู (Louis & Kruse, 1995; Senge, 2000; DuFour, 2006) องค์ประกอบที่ 2 ทีมร่วมแรงร่วมใจ (Collaborative Teamwork) ทีมร่วมแรงร่วมใจ เป็นการพัฒนามาจากกลุ่มที่ทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ลักษณะการทำงานร่วมกันแบบมีวิสัยทัศน์ คุณค่า เป้าหมาย และพันธกิจร่วมกัน รวมกันด้วยใจจนเกิดเจตจำนงในการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้บรรลุผลการเรียนรู้ของผู้เรียน (Louis, Kruse, & Marks, 1996) การเรียนรู้ของทีม และการเรียนรู้ ของครูบนพื้นฐานงานที่มีลักษณะต้องมีการคิดร่วมกัน วางแผนร่วมกัน ความเข้าใจร่วมกัน ข้อตกลง ร่วมกัน การตัดสินใจร่วมกัน แนวปฏิบัติร่วมกัน การประเมินผลร่วมกัน และการรับผิดชอบร่วมกัน จาก สถานการณ์ที่งานจริงถือเป็นโจทย์ร่วม (Hargreaves, 2003; Stoll & Louis, 2007) ให้เห็นและรู้เหตุ ปัจจัยกลไกในการทำงานซึ่งกันและกัน แบบละวางตัวตนให้มากที่สุด (There’s no I in team) (DuFour, 2006) จนเห็นและรู้ความสามารถของแต่ละคนร่วมกัน เห็นและรับรู้ถึงความรู้สึกร่วมกันในการทำงานจน เกิดประสบการณ์หรือความสามารถในการทำงาน และพลังในการร่วมเรียนรู้ร่วมพัฒนาบนพื้นฐานของ พันธะร่วมกันที่เน้นความสมัครใจและการสื่อสารที่มีคุณภาพบนพื้นฐานการรับฟังและความไว้วางใจซึ่ง กันและกัน อย่างไรก็ตามการที่ PLC เน้นการขับเคลื่อนด้วยการทำงานแบบทีมร่วมแรงร่วมใจ ที่ทำให้ลง มือทำและเรียนรู้ไปด้วยกันด้วยใจอย่างสร้างสรรค์ต่อเนื่องนั้น ซึ่งมีลักษณะพิเศษของการรวมตัวที่เหนียว แน่นจากภายใน นั่นคือการเป็นกัลยาณมิตรทำให้เกิดทีมใน PLC อยู่ร่วมกันด้วยความสัมพันธ์ที่ต่าง ช่วยเหลือเกื้อกูล ดูแลซึ่งกัน จึงทำให้การทำงานเต็มไปด้วยบรรยากาศที่มีความสุข ไม่โดดเดี่ยว (Sergiovanni, 1994; Fullan, 1999) ซึ่งรูปแบบของ ทีมจะมีเป็นเช่นไรนั้นขึ้นอยู่กับเป้าประสงค์ หรือ พันธกิจในการดำเนินการของชุมชนการเรียนรู้เช่น ทีมร่วม สอน ทีมเรียนรู้และกลุ่มเรียนรู้เป็นต้น (วิจารณ์พานิช, 2554; Olivier &Hipp, 2006; Little & McLaughlin, 1993)
20 องค์ประกอบที่ 3 ภาวะผู้นำร่วม (Shared Leadership) ภาวะผู้นำร่วมใน PLC มี นัยสำคัญ ของการเป็นผู้นำร่วม 2 ลักษณะสำคัญ คือ ภาวะผู้นำผู้สร้างให้เกิดการนำร่วม และภาวะผู้นำ ร่วมกัน ให้เป็น PLC ที่ขับเคลื่อนด้วยการนำร่วมกัน รายละเอียดดังนี้ 1) ภาวะผู้นำผู้สร้างให้เกิดการนำร่วมเป็นผู้นำที่ส ามารถทำให้สมาชิกใน PLC เกิดการ เรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงทั้งตนเองและวิชาชีพ (Kotter& Cohen, 2002) จนสมาชิกเกิดภาวะผู้นำใน ตนเอง และเป็นผู้นำร่วมขับเคลื่อน PLC ได้โดยมีผลมาจากการเสริมพลังอำนาจจากผู้นำทั้งทางตรงและ ทางอ้อม โดยเฉพาะการเป็นผู้นำที่เริ่มจากตนเองก่อนด้วยการลงมือทำงาน อย่างตระหนักรู้และใส่ใจ ให้ ความสำคัญกับผู้ร่วมงานทุก ๆคน (Olivier & Hipp, 2006) จนเป็นแบบที่มีพลังเหนี่ยวนำให้ผู้ร่วมงานมี แรงบันดาลใจและมีความสุขกับการทำงานด้วยกันอย่างวิสัยทัศน์ร่วม (Hargreaves, 2003) รวมถึงการนำ แบบไม่นำ โดยทำหน้าที่ผู้สนับสนุนและเปิดโอกาสให้สมาชิกเติบโตด้วยการสร้างความเป็นผู้นำร่วม ผู้นำที่ จะสามารถสร้างให้เกิดการนำร่วมดังกล่าว ควรมีคุณลักษณสำคัญ ดังนี้มีความสามารถในการลงมือ ทำงานร่วมกัน การเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของผู้อื่นได้การตระหนักรู้ในตนเอง ความเมตตากรุณา การคอย ดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การโค้ชผู้ร่วมงานได้การสร้างมโนทัศน์การมีวิสัยทัศน์ การมีความมุ่งมั่นและ ทุ่มเทต่อการเติบโตของผู้อื่น เป็นต้น (Thompson, Gregg, &Niska, 2004) 2) ภาวะผู้นำร่วมกันเป็นผู้นำร่วมกันของสมาชิก PLC ด้วยการกระจายอำนาจ เพิ่มพลัง อำนาจ ซึ่งกันและกันให้สมาชิกมีภาวะผู้นำเพิ่มขึ้น จนเกิดเป็น “ผู้นำร่วมของครู” (Hargreaves, 2003) ในการขับเคลื่อน PLC มุ่งการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยยึดหลักแนวทางบริหาร จัดการร่วมการสนับสนุน การกระจายอำนาจ การสร้างแรงบันดาลใจของครูโดยครูเป็นผู้ลงมือกระทำ หรือครูทำหน้าที่เป็น“ประธาน”เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้ไม่ใช่ “กรรม” หรือ ผู้ถูกกระทำและ ผู้ถูกให้กระทำ(วิจารณ์พานิช, 2554 ซึ่งผู้นำร่วมจะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อมีบรรยากาศส่งเสริม ให้ครูสามารถแสดงออกด้วยความเต็มใจ อิสระปราศจากอำนาจครอบงำที่ขาดความเคารพในวิชาชีพ แต่ ยึดถือปฏิบัติร่วมกันใน PLC นั่นคือ“อำนาจทางวิชาชีพ” (Hargreaves, 2003) เป็นอำนาจเชิงคุณธรรมที่ มีข้อปฏิบัติที่มาจากเกณฑ์และมาตรฐานที่เห็นพ้องตรงกัน หรือกำหนดร่วมกันเพื่อยึดถือเป็นแนวทาง ร่วมกันของผู้ประกอบวิชาชีพครูทั้งหลายใน PLC (Thompson etal.,2004) กล่าวโดยสรุปคือ ภาวะผู้นำร่วมดังที่กล่าวมามีหัวใจสำคัญคือ นำการเรียนรู้เพื่อการ เปลี่ยนแปลงตนเองของแต่ละคน ทั้งสมาชิกและผู้นำโดยตำแหน่ง เมื่อใดที่บุคคลนั้นเกิดการเรียนรู้ทั้งด้าน วิชาชีพและชีวิตจนเกิดพลังการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อความสุขในวิชาชีพของตนเองและผู้อื่น ภาวะผู้นำ ร่วมจะเกิดผลต่อความเป็น PLC องค์ประกอบที่ 4 การเรียนรู้และการพัฒนาวิชาชีพ ( Professional learning and development) การเรียนรู้และการพัฒนาวิชาชีพใน PLC มีจุดเน้นสำคัญ 2 ด้าน คือ การเรียนรู้เพื่อ พัฒนาวิชาชีพและการเรียนรู้เพื่อจิตวิญญาณความเป็นครูรายละเอียดดังนี้ 1) การเรียนรู้เพื่อพัฒนาวิชาชีพ หัวใจสำคัญการเรียนรู้บนพื้นฐานประสบการณ์ตรง ใน งานที่ลงมือปฏิบัติจริงร่วมกันของสมาชิก จะมีสัดส่วนการเรียนรู้มากกว่าการอบรมจากหน่วยงานภายนอก อ้างถึงแนวคิดของ Dale (1969) แนวคิดกรวยประสบการณ์ (Cone of Experience) ยืนยันอย่าง สอดคล้องว่าการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงจะส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผล การเรียนรู้ได้มาก ที่สุดด้วยบริบท PLC ที่มีการทำงานร่วมกันเป็นทีม (Sergiovanni, 1994) จึงทำให้การเรียนรู้จากโจทย์ และสถานการณ์ที่ครูจะต้องจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นการร่วมเห็น ร่วมคิดร่วมทำ ร่วม
21 รับผิดชอบ (Dufour, 2006) ทำให้บรรยากาศการพัฒนาวิชาชีพของครูรู้สึกไม่โดดเดี่ยว คอยสะท้อนการ เรียนรู้และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถือเป็นพื้นที่การเรียนรู้ร่วมกันที่ใช้วิธีการที่หลากหลายเช่น สะท้อน การเรียนรู้สุนทรียะสนทนา การเรียนรู้สืบเสาะแสวงหา การสร้างมโนทัศน์ริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ การ คิดเชิงระบบ การสร้างองค์ความรู้การเรียนรู้บนความเข้าใจการทำงานของสมอง และการจัดการความรู้ เป็นต้น (สุรพล ธรรมร่มดีและคณะ, 2553; Stoll & Louis, 2007) 2) การเรียนรู้เพื่อจิตวิญญาณความเป็นครูเป็นการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองจากข้างใน หรือวุฒิภาวะความเป็นครูให้เป็นครูที่สมบูรณ์ โดยมีนัยยะสำคัญคือการเรียนรู้ตนเองการรู้จักตนเองของครู เพื่อที่จะเข้าใจมิติของผู้เรียนที่มากกว่าความรู้แต่เป็นมิติของความเป็นมนุษย์ ความฉลาด ทางอารมณ์เมื่อ ครูมีความเข้าใจธรรมชาติตนเองแล้ว จึงสามารถมองเห็นธรรมชาติของศิษย์ตนเองอย่างถ่องแท้จนสามารถ สอนหรือจัดการเรียนรู้โดยยึดการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญได้รวมถึงการเรียนรู้ร่วมกันของสมาชิกใน ชุมชน (Hargreaves, 2003) ที่ต้องอาศัยการตระหนักรู้สติการฟัง การใคร่ครวญ เป็นต้น จิตที่สามารถ เรียนรู้และเป็นครูได้อย่างแท้จริงนั้นจะเป็นจิตที่เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา การกรุณาและความอ่อน น้อม เห็นศิษย์เป็นครู เห็นตนเองเป็นผู้เรียนรู้มีพลังเรียนรู้ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยใช้วิธีการที่ หลากหลาย เช่น การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้อย่างใคร่ครวญ และการฝึกสติเป็นต้น (สุรพล ธรรมร่มดีและคณะ, 2553) กล่าวโดยสรุปการเรียนรู้และการพัฒนาวิชาชีพของ PLC นั้นมีหัวใจสำคัญคือการเรียนรู้ ร่วมกัน อย่างมีความสุขของทีมเรียนรู้เป็นบรรยากาศที่เปิดพื้นที่การเรียนรู้แบบนำตนเองของครูเพื่อการ เปลี่ยนแปลงพัฒนาตนเองและวิชาชีพ อย่างต่อเนื่องเป็นสำคัญ องค์ประกอบที่5 ชุมชนกัลยาณมิตร (Caring community) กลุ่มคนที่อยู่ร่วมโดยมีวิถี และวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันในชุมชนมีคุณลักษณะคือ มุ่งเน้นความเป็นชุมชนแห่งความสุข สุขทั้งการ ทำงานและการอยู่ร่วมกันที่มีลักษณะวัฒนธรรมแบบ “วัฒนธรรมแบบเปิดเผย” ที่ทุกคนมีเสรีภาพในการ แสดงความคิดเห็นของตนเป็นวิถีแห่งอิสรภาพ และเป็นพื้นที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย หรือปลอดการใช้ อำนาจกดดันบนพื้นฐานความไว้วางใจ เคารพซึ่งกันและกัน มีจริยธรรมแห่งความเอื้ออาทร เป็นพลังเชิง คุณธรรม คุณงามความดีที่สมาชิกร่วมกันทำงานแบบอุทิศตนเพื่อวิชาชีพโดยมีเจตคติเชิงบวก ต่อ การศึกษาและผู้เรียนสอดคล้องกับ Sergiovanni (1994) ที่ว่าPLC เป็นกลุ่มที่มีวิทยสัมพันธ์ต่อกัน เป็น กลุ่มที่เหนียวแน่นจากภายใน ใช้ความเป็นกัลยาณมิตรเชิงวิชาการต่อกัน ทำให้ลดความโดดเดี่ยวระหว่าง ปฏิบัติงานสอนของครูเชื่อมโยงปฏิสัมพันธ์กันทั้งในเชิงวิชาชีพ และชีวิต มีความศรัทธาร่วม อยู่ร่วมกัน แบบ “สังฆะ” ถือศีล หรือ หลักปฏิบัติร่วมกัน โดยยึดหลักพรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุฑิตาอุเบกขา เป็นชุมชนที่ยึดหลักวินัยเชิงบวก เชื่อมโยงการพัฒนา PLC ไปกับวิถีชีวิตตนเองและวิถีชีวิตชุมชน อันเป็น พื้นฐานสำคัญของสังคมฐานการพึ่งพาตนเอง (สุรพล ธรรมร่มดีและคณะ, 2553) มีบรรยากาศของ “วัฒนธรรมแบบเปิดเผย” ทุกคนมีเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเป็นวิถีแห่งอิสรภาพ ยึด ความสามารถและสร้างพื้นที่ปลอดการใช้อำนาจกดดัน (Boyd, 1992) ดังกล่าวนี้สามารถขยายกรอบให้ กว้างขวางออกไปจนถึงเครือข่ายที่สัมพันธ์กับชุมชนต่อไป องค์ประกอบที่ 6 โครงสร้างสนับสนุนชุมชน (Supportive structure)โครงสร้างที่ สนับสนุนการก่อเกิดและคงอยู่ของ PLC มีลักษณะดังนี้ลดความเป็นองค์การที่ยึดวัฒนธรรมแบบราชการ หันมาใช้วัฒนธรรมแบบกัลยาณมิตรทางวิชาการแทน และเป็นวัฒนธรรมที่ส่งเสริมวิสัยทัศน์การ ดำเนินการที่ต่อเนื่อง และมุ่งความยั่งยืน จัดปัจจัยเงื่อนไขสนับสนุนตามบริบทชุมชนมีโครงสร้างองค์การ แบบไม่รวมศูนย์ (Sergiovanni, 1994) หรือโครงสร้างการปกครองตนเองของชุมชนเพื่อลดความขัดแย้ง
22 ระหว่างครูผู้ปฏิบัติงานสอนกับฝ่ายบริหารให้น้อยลง มีการบริหารจัดการ และการปฏิบัติงานใน สถานศึกษาที่เน้นรูปแบบทีมงานเป็นหลัก (Hord, 1997) การจัดสรรปัจจัยสนับสนุนให้เอื้อต่อการ ดำเนินการของ PLC เช่น เวลา วาระ สถานที่ ขนาดชั้นเรียน ขวัญกำลังใจ ข้อมูลสารสนเทศ และอื่น ๆ ที่ ตามความจำเป็นและบริบทของแต่ละชุมชน (Boyd, 1992) โดยเฉพาะการเอาใจใส่สิ่งแวดล้อมให้เกิด บรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข (สุรพล ธรรมร่มดีและคณะ, 2553) มี รูปแบบการสื่อสารด้วยใจ เปิดกว้างให้พื้นที่อิสระในการสร้างสรรค์ของชุมชน เน้นความคล่องตัวในการ ดำเนินการจัดการกับเงื่อนไขความแตกแยก และ มีระบบสารสนเทศของชุมชนเพื่อการพัฒนาวิชาชีพ (Eastwood & Louis, 1992) กล่าวโดยสรุปทั้ง 6 องค์ประกอบของ PLC ในบริบทสถานศึกษากล่าวคือ เอกลักษณ์ สำคัญของความเป็น PLC แสดงให้เห็นว่าความเป็น PLC จะทำให้ความเป็น “องค์กร” หรือ“โรงเรียน” มี ความหมายที่การพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างแท้จริงซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ PLC ด้วยกลยุทธ์การ สร้างความร่วมมือที่ยึดเหนี่ยวกันด้วยวิสัยทัศน์ร่วม มุ่งการเรียนรู้ของผู้เรียน การเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ และชุมชนกัลยาณมิตร แสดงถึงการรวมพลังของครูและนักการศึกษา ที่เป็นผู้นำร่วมกัน ทำงานร่วมกัน แบบทีมร่วมแรงร่วมใจ มุ่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง พัฒนาวิชาชีพ ภายใต้โครงสร้างอำนาจทางวิชาชีพ และอำนาจเชิงคุณธรรม ที่มาจากการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมนำ ร่วมพัฒนาของครูผู้บริหาร นักการศึกษา ภายใน PLC ที่ส่งถึงผู้เกี่ยวข้องต่อไป ตอนที่ 3 รูปแบบการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ตามโครงการ TFE (Teams For Education) 3.1 รูปแบบการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชื่อรูปแบบ การอ่านเพื่อชีวิต หลักการของรูปแบบ 1. มุ่งสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้เรียนมีการประเมินศักยภาพของผู้เรียน เป็นรายบุคคล โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีการบูรณาการมุ่งปลูกฝังคุณธรรมและเจตคติ 2. มีกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เป็นลำดับขั้นตอนเน้นให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการ คิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา 3. มีกระบวนการประเมินผลการเรียนรู้ที่เป็นระบบสามารถนำผลที่ได้มาพัฒนา คุณภาพการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง การอ่านเพื่อชีวิต จับใจ ความส าคัญ แยกข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินค่า ประยุกต์ใช้
23 วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้กลุ่มสาระเรียนรู้ภาษาไทย 2. เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้ตอบสนองต่อความต้องการและความหลากหลายของ ผู้เรียนมีสื่อและนวัตกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย 3. เพื่อพัฒนาคุณลักษณะ สมรรถนะสำคัญ เจตคติ และคุณธรรมของผู้เรียน 4. เพื่อพัฒนากระบวนการวัดและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพสามารถนำผลใช้วิเคราะห์ ขั้นตอนของรูปแบบ ขั้นที่ 1 จับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่าน การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นลำดับขั้นตอน มุ่งปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความมุ่งมั่นและ พยายาม โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ขั้นที่ 2 แยกข้อเท็จและข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน การจัดกระบวนการเรียนรู้ และมวลประสบการณ์ที่หลากหลายให้แก่ผู้เรียน ขั้นที่ 3 วิเคราะห์ วิจารณ์ ส่งเสริมผู้เรียนให้มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล โดยคำนึกถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคลพร้อมทั้งปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความรู้ควบคู่คุณธรรม ขั้นที่ 4 การประเมินค่าเรื่องที่อ่าน ผู้เรียนตระหนักถึงความสำคัญของภาษาในบทบาทการเป็นเครื่องมือในการ ติดต่อสื่อสาร และเป็นเอกลักษณ์สำคัญของชาติ พร้อมทั้งอนุรักษ์ให้คงอยู่สืบไป ขั้นที่ 5 การประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต มีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา และบูรณาการความรู้เพื่อพัฒนาอาชีพ พร้อมทั้ง นำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การประเมินผลของรูปแบบ การประเมินผลตามสภาพจริง โดยใช้วิธีการและเครื่องมือที่หลากลาย พร้อมทั้งสะท้อน ผลการประเมิน และนำผลที่ได้มาปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง แนวทางการจัดการเรียนรู้ของแต่ละขั้นตอนรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 จับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่าน แนวทางจัดการเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นลำดับขั้นตอน มุ่งปลูกฝังให้ ผู้เรียนมีความมุ่งมั่นและพยายามโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ขั้นที่ 2 แยกข้อเท็จจริงและข้อความคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน แนวทางการจัดการเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้และมวลประสบการณ์ที่ หลากหลายให้แก่ผู้เรียน ขั้นที่ 3 วิเคราะห์ วิจารณ์ เรื่องที่อ่าน แนวทางจัดการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีกระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมี เหตุผล โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล พร้อมทั้งปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความรู้ ควบคู่คุณธรรม ขั้นที่ 4 การประเมินค่าจากเรื่องที่อ่าน แนวทางจัดการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนตระหนักถึงความสำคัญของภาษาในบทบาทการเป็น เครื่องมือติดต่อสื่อสาร และเป็นเอกลักษณ์ของชาติ พร้อมทั้งอนุรักษ์ให้คงอยู่สืบไป
24 ขั้นที่ 5 การประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต แนวทางจัดการเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา และบูรณาการความรู้เพื่อ พัฒนาอาชีพ พร้อมทั้งนำผลการประเมินมาปรับปรุง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 3.2 รูปแบบการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชื่อรูปแบบ การจัดการเรียนรู้ 4EIA หลักการของรูปแบบ 1. จัดการเรียนรู้โดยยึดหลักผู้เรียนเป็นสำคัญ บูรณาการความรู้ ทักษะ คุณลักษณะ และ สมรรถนะ 2. ผู้สอนมีบทบาทกระตุ้นทักษะ กระบวนการคิดโดยคำนึกถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 3. ผู้สอนจัดสภาพแวดล้อม และใช้สื่อ เทคโนโลยี นวัตกรรมทางการศึกษาโดยจัดการความ ร่วมมือ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 2. เพื่อพัฒนา ทักษะ กระบวนการคิดทางคณิตศาสตร์ 3. เพื่อพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ขั้นตอนของรูปแบบ ขั้นที่ 1 เร้าความสนใจ ( Excitement : E ) ผู้สอนกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนโดยใช้กิจกรรม สื่อการเรียนการสอนและจัด สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ขั้นที่ 2 เรียนรู้จากส่วนย่อยไปสู่ภาพรวม ( Induction : I ) ผู้สอนจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามวิธีการทางอุปนัย และให้ผู้เรียน สรุปองค์ความรู้ด้วยตนเองและผู้สอนคอยให้คำปรึกษา
25 ขั้นที่ 3 ขยายความรู้( Expand Knowledge : E ) ผู้สอนจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยใช้นวัตกรรมและแหล่งเรียนรู้เพื่อนำมาบูรณาการให้ นักเรียนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ขั้นที่ 4 ลงมือปฏิบัติ( Action : A ) นักเรียนใช้สมรรถนะในการทำกิจกรรมร่วมกันซึ่งครูเป็นผู้คอยให้คำปรึกษา ชั้นที่ 5 แลกเปลี่ยนเรียนรู้( Exchange : E ) นักเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างสมเหตุสมผล และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน ชั้นที่ 6 การวัดและประเมินผล ( Evaluation : E ) ประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้เครื่องมือวัดตามสภาพจริง และสะท้อนผลการ ประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน การประเมินผลของรูปแบบ ประเมินผลตามสภาพจริงทุกขั้นตอนอย่างสมเหตุสมผล แนวทางการจัดการเรียนรู้ของแต่ละขั้นตอนรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ชั้นที่ 1 เร้าความสนใจ (ทักษะพื้นฐาน กระตุ้นประสบการณ์เดิม) แนวทางการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนโดยใช้กิจกรรม สื่อการ เรียนการสอน และจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ชั้นที่ 2 เรียนรู้จากส่วนย่อยไปสู่ภาพรวม (วิเคราะห์, บูรณาการ. การจัดการเรียนรู้, ทักษะพื้นฐาน, ออกแบบให้สอดคล้องกับสติปัญญา ) แนวทางการจัดการเรียนรู้ วางแผน เชื่อมโยงประสบการณ์เดิม ผู้สอนจัดกิจกรรมให้ ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามวิธีการทางอุปนัย และให้นักเรียนสรุปองค์ความรู้ด้วยตนเองและ ครูผู้สอนให้คำปรึกษา ชั้นที่ 3 ขยายความรู้ (บูรณาการ, กระบวนการเรียนรู้, แหล่งการเรียนรู้, ICT, คิดริเริ่มสร้างสรรค์) แนวทางการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมและแหล่งเรียนรู้ เพื่อนำมาบูรณาการให้นักเรียนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชั้นที่ 4 ลงมือปฏิบัติ (นักเรียนเป็นสำคัญ, ทักษะกระบวนการเรียนรู้, ริเริ่มสร้างสรรค์, เป็นระบบ, แก้ปัญหา, การกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้, ลงมือทำ, ICT) แนวทางการจัดการเรียนรู้ นักเรียนใช้สมรรถนะในการทำกิจกรรมร่วมกันซึ่งครูเป็นผู้คอย ให้คำปรึกษา ชั้นที่ 5 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (แหล่งเรียนรู้, มีเหตุผล, แก้ปัญหา, นำไปใช้ในชีวิตจริง, ปรับการเรียนการสอน, ปฏิสัมพันธ์) แนวทางการจัดการเรียนรู้ นักเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างสมเหตุสมผล และ สามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ชั้นที่ 6 การวัดและประเมินผล (แบบแผน, แก้ปัญหา, วิเคราะห์, ตัดสินใจ) แนวทางการจัดการเรียนรู้ ประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้เครื่องมือวัด ความสภาพจริง และสะท้อนผลการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน
26 3.3 รูปแบบการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชื่อรูปแบบ CREATE MODEL หลักการของรูปแบบ 1. จัดการเรียนรู้โดยยึดหลักการใช้พลังคำถามเน้นกระบวนการทางความคิดและการมี ส่วนร่วม 2. ผู้สอนมีบทบาทกระตุ้นกระบวนการคิดและจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมองผู้เรียน 3. ประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริงและสะท้อนผลการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการคิดและการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ 3. เพื่อพัฒนาคุณลักษณะการทำงานแบบมีส่วนร่วม การประเมินผลของรูปแบบ 1. การทดสอบ 2. การสังเกต 3. การประเมินผลงาน แนวทางการจัดการเรียนรู้ของแต่ละขั้นตอนรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 กำหนดปัญหา (วิเคราะห์/วิจารณ์/พลังคำถาม/สภาพแวดล้อม) แนวทางการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนนำประเด็นปัญหาจากสภาพแวดล้อมใกล้ตัวที่อยู่ใน ความสนใจของผู้เรียนมาให้ผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ โดยผู้สอนใช้พลังคำถามที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิด วิเคราะห์วิจารณ์ภายใต้การจัดบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน
27 ขั้นที่ 2 รวมรวมข้อมูล (บูรณาการ/ชี้แนะ/การค้นหาความรู้/แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ/กระตือรือร้น และแสวงหาความรู้) แนวทางการจัดการเรียนรู้ เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนชี้แนะให้ผู้เรียนฝึกการค้นหาความรู้และ รวบรวมข้อมูล มีการบูรณาการความรู้ผ่านกระบวนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบด้วยกระตือรือร้น ขั้นที่ 3 ลงมือปฏิบัติ ผู้เรียนสำคัญที่สุด กระบวนการเรียนรู้/ชี้แนะ/แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ/พลัง คำถาม แนวทางการจัดการเรียนรู้ เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้พลังคำถาม มีการชี้แนะผู้เรียนให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ขั้นที่ 4 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (การมีส่วนร่วม/วิจารณ์/วิเคราะห์/พลังคำถาม) แนวทางการจัดการเรียนรู้ เป็นขั้นตอนที่ครูผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์วิจารณ์ผลงานของเพื่อนในกลุ่มและระหว่างกลุ่มโดย ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้พลังคำถามอย่างสร้างสรรค์ ขั้นที่ 5 นำเสนอ (พลังคำถาม ผู้เรียนมีคุณค่าและการยกย่อง/ประสบความสำเร็จ/บุคคลแห่งการ เรียนรู้/ประสบการณ์) แนวทางการจัดการเรียนรู้ เป็นขั้นตอนที่ครูผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำเสนอผลงาน ถ่ายทอดประสบการณ์ความมุ่งมั่นพยายามที่ประสบความสำเร็จสมควรได้รับการยกย่อง เพื่อแสดงให้ เห็นถึงการเป็นตัวอย่างของบุคคลแห่งการเรียนรู้ ขั้นที่ 6 ประเมินผล (สะท้อนผลการเรียนรู้/ความยืดหยุ่น) แนวทางการจัดการเรียนรู้ เป็นขั้นตอนที่ครูผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ สะท้อนผลการเรียนรู้ด้วยความเสมอภาค ส่งผลให้เรียนรู้เกิดความรู้และนำไปใช้อย่างมีเหตุผล 3.4 รูปแบบการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ชื่อรูปแบบ PLW 1.ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองเต็มตามศักยภาพ แบบมีส่วนร่วม 2.แสวงหาความรู้ แบบร่วมมือกระตุ้นความคิด ของผู้เรียน 3.แลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความรู้ คู่ คุณธรรม และเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียน ภาษาต่างประเทศ 1.ส่งเสริมการแสวงหาความรู้ อย่างกระตือรือร้น 2.สรุปองค์ความรู้เพื่อน าไปสู่การศึกษาต่อ และ ประกอบอาชีพ 1.ทบทวนความรู้เดิม 2.กระตุ้นความคิดเพื่อเชื่อมโยงสู่ความรู้ใหม่ 3..ใช้พลังค าถามในการชี้แนะเพื่อการรู้คิด
28 หลักการของรูปแบบ 1. พัฒนาผู้เรียนโดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ ร่วมกันแบบบูรณาการ ส่งเสริมให้ผู้เรียน พัฒนาตนเองเต็มตามศักยภาพด้วยความมุ่งมั่น และพยายามโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2. ผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้ช่วยเหลือ (Coach) 3. เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพของผู้เรียน วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ด้านภาษาอังกฤษ 2. เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการเรียนรู้การใช้ภาษาอังกฤษ 3. เพื่อส่งเสริมปฏิบัติสัมพันธ์สิ่งแวดล้อมและสังคมของผู้เรียน ขั้นตอนของรูปแบบ ขั้นที่ 1 Pre-Learning : P แนวทางการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนทบทวนความรู้เดิม โดยกระตุ้นความคิดเพื่อเชื่อมโยงสู่ ความรู้ใหม่ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองให้เต็มตามศักยภาพแบบมีส่วน ร่วม แสวงความรู้ สะท้อนความคิด แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับความรู้ คู่คุณธรรม และ เสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาต่างประเทศ ขั้นที่ 2 Learning together : L แนวทางการจัดการเรียนรู้ ออกแบบกิจกรรมที่สอดคล้อง ต่อกระบวนการเรียนรู้แบบ บูรณาการ โดยการกระตุ้นความคิดของผู้เรียนการเป็นนั่งร้านทางการเรียนรู้ทางการเรียนรู้, การใช้ พลังคำถาม, การชี้แนะเพื่อการรู้คิด, และการสะท้อนคิดตนเอง ให้ผู้เรียนเกิดปฏิสัมพันธ์ต่อ สภาพแวดล้อม สังคม และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ขั้นที่ 3 Wrap up : W แนวทางการจัดการเรียนรู้ ผู้เรียนใช้เครื่องมืออย่างเสมอภาคในการแสวงหาความรู้อย่าง ยืดหยุ่นในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพอย่างมุ่งมั่นด้วยความพยายาม และกระตือรือร้น เป็น บุคคลแห่งการเรียนรู้ และได้รับการยกย่องประสบความสำเร็จอย่างมีคุณค่า การประเมินผลของรูปแบบ ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศ เข้าใจขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรมที่ หลากหลาย และสามารถนำภาษาไปเป็นเครื่องมือในการสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ของแต่ละขั้นตอนรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 Pre-Learning : P แนวทางการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนทบทวนความรู้เดิมโดยกระตุ้นความคิดเชื่อมโยงสู่ ความรู้ใหม่ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองให้เต็มตามศักยภาพแบบมีส่วน ร่วมแสวงความรู้ สะท้อนความคิด แลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้สอดคล้องความรู้คู่คุณธรรมเสริมสร้างเจตคติ ที่ดีต่อการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
29 ขั้นที่ 2 Learning Together : L แนวทางการจัดการเรียนรู้ ออกแบบกิจกรรมที่สอดคล้องต่อกระบวนการเรียนรู้แบบ บูรณาการโดยการกระตุ้นความคิดของผู้เรียน การเป็นนั่งร้านของการเรียนรู้ การใช้พลังคำถาม การ ชี้แนะเพื่อการรู้คิด และสะท้อนความคิดตนเองให้ผู้เรียนเกิดปฏิสัมพันธ์ต่อสภาพแวดล้อมและนำไปใช้ ในชีวิตประจำวัน ขั้นที่ 3 Wrap-Up : W แนวทางการจัดการเรียนรู้ ผู้เรียนใช้เครื่องมืออย่างเสมอภาคในการแสวงหาความรู้ อย่างยืดหยุ่นในการศึกษาต่อประกอบอาชีพอย่างมุ่งมั่นด้วยความพยายามและกระตือรือร้นเป็นบุคคล แห่งการเรียนรู้ และได้รับการยกย่องประสบความสำเร็จอย่างมีคุณค่า ตอนที่ 4 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่ (Gagne) โรเบิร์ต กาเย่ (Robert Gagne) เป็นนักปรัชญาและจิตวิทยาการศึกษาชาวอเมริกา (1916-2002) ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับการสอนคือ ทฤษฎีเงื่อนไขการเรียนรู้ (Condition of Learning) โดยทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่จัดอยู่ในกลุ่มผสมผสาน (Gagne’s eclecticism) ซึ่งเชื่อว่า ความรู้มีหลายประเภทบางประเภทสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องใช้ความคิดที่ลึกซึ้งบางประเภทมี ความซับซ้อนจําเป็นต้องใช้ความสามารถในขั้นสูง ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่อธิบายว่าการเรียนรู้มี องค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ก. หลักการและแนวคิด 1) ผลการเรียนรู้หรือความสามารถด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ซึ่งมีอยู่ 5 ประเภท คือ - ทักษะทางปัญญา (Intellectual skill) ซึ่งประกอบด้วยการจำแนกแยกแยะ การสร้างความคิดรวบยอดการสร้างกฎการสร้างกระบวนการหรือกฎชั้นสูง - กลวิธีในการเรียนรู้ (Cognitive strategy) - ภาษาหรือคำพูด (verbal information) - ทักษะการเคลื่อนไหว (motor skills) - และเจตคติ (attitude) 2) กระบวนการเรียนรู้และจดจําของมนุษย์ มนุษย์มีกระบวนการจัดกระทําข้อมูลใน สมองซึ่งมนุษย์จะอาศัยข้อมูลที่สะสมไว้มาพิจารณาเลือกจัดกระทําสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และในขณะที่ กระบวนการจัดกระทําข้อมูลภายในสมองกําลังเกิดขึ้น เหตุการณ์ภายนอกร่างกายมนุษย์มีอิทธิพลต่อ การส่งเสริมหรือการยับยั้งการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายในได้ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนกาเย่จึงได้ เสนอแนะว่าควรมีการจัดสภาพการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้แต่ละประเภท ซึ่งมี ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ภายในสมอง โดยการจัดสภาพภายนอกให้ เอ ื้ อต่อกระบวนการเรียนรู้ภายในของผู้เรียน
30 ข. วัตถุประสงค์ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆได้อย่างดีรวดเร็ว และสามารถ จดจําสิ่งที่เรียนได้นาน ค. กระบวนการเรียนการสอน กาเย่ ได้นําเอาแนวความคิดมาใช้ในการเรียนการสอนโดยยึดหลักการนําเสนอ เนื้อหาและจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์หลักการสอน 9 ประการ ได้แก่ 1. เร่งเร้าความสนใจ(Gain Attention)ก่อนนำเสนอเนื้อหาบทเรียน ควรมีการจูงใจ และเร่งเร้าความสนใจให้ผู้เรียนอยากเรียน 2. บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective) ผู้เรียนจะได้ทราบถึงความคาดหวัง ของการเรียนและทราบถึงพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของตนเองหลังจบบทเรียนแล้ว 3. ทบทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge) ทบทวนความรู้เดิมก่อนที่ จะนำเสนอความรู้ใหม่แก่ผู้เรียน เช่น การทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) 4. นำเสนอเนื้อหาใหม่ (Present New Information) การนำเสนอเนื้อหา บทเรียนควรนำเสนอภาพประกอบกับคำอธิบายสั้นๆ ง่าย ได้ใจความ 5. ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้(Guide Learning) ผู้เรียนจะจำเนื้อหาได้ดีหากมี การจัดระบบการเสนอเนื้อหาที่ดีและสัมพันธ์กับประสบการณ์เดิมหรือความรู้เดิมของผู้เรียน 6. กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน (Elicit Response) หากผู้เรียนได้มีโอกาส ร่วมคิด ร่วมกิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหาและร่วมตอบคำถาม จะส่งผลให้มีความจำดีกว่าผู้เรียนที่ ใช้วิธีอ่านเพียงอย่างเดียว 7. ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback) บทเรียนจะกระตุ้นความสนใจจาก ผู้เรียนได้มากขึ้น ถ้าบอกเป้าหมายที่ชัดเจน และแจ้งให้ผู้เรียนทราบว่าขณะนั้นผู้เรียนอยู่ที่ส่วนใด ห่าง จากเป้าหมายเท่าใด 8. ทดสอบความรู้ใหม่ (Assess Performance) การทดสอบความรู้หลังจาก ศึกษาบทเรียน(Post-test) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทดสอบความรู้ของตนเอง 9. สรุปและนำไปใช้(Review and Transfer) การสรุปและนำไปใช้รวมทั้ง ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทบทวนความรู้ของตนเองหลังจากศึกษาเนื้อหา ผ่านมาแล้ว 4.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) เพียเจต์ (Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามี ขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็น พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่ง จะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่ง เด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัด
31 ประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้ เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เพียเจต์เน้นความสำคัญของการเข้าใจธรรมชาติและ พัฒนาการของเด็กมากกว่าการกระตุ้นเด็กให้มีพัฒนาการเร็วขึ้น เพียเจต์สรุปว่า พัฒนาการของเด็ก สามารถอธิบายได้โดยลำดับระยะพัฒนาทางชีววิทยาที่คงที่ แสดงให้ปรากฏโดยปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับ สิ่งแวดล้อม ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้ พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้ 1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรก เกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การ เคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับ สิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิดในขั้นนี้ มี ความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อย ๆ เป็นการเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลอง ถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมายและสามารถแก้ปัญหา โดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิดของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น 2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่ง ออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ - ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะ เด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่ง ต่าง ๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง 2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกัน หมด แสดงว่าความคิดรวบยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญ รวดเร็วมาก - ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็น ขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จัก แยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการ อนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักนำความรู้ ในสิ่งหนึ่งไปอธิบายหรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถนำเหตุผลทั่ว ๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา โดยไม่วิเคราะห์ อย่างถี่ถ้วนเสียก่อนการคิดหาเหตุผลของเด็กยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนรับรู้ หรือสัมผัสจากภายนอก
32 3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ใน การแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรมได้ สามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความคงตัวของสิ่งต่าง ๆ โดยที่เด็กเข้าใจว่าของแข็ง หรือของเหลวจำนวนหนึ่งแม้ว่าจะเปลี่ยนรูปร่างไปก็ยังมีน้ำหนัก หรือปริมาตรเท่าเดิม สามารถที่จะ เข้าใจความสัมพันธ์ของส่วนย่อย ส่วนรวม ลักษณะเด่นของเด็กวัยนี้คือความสามารถในการคิดย้อนกลับ นอกจากนั้นความสามารถในการจำของเด็กในช่วงนี้มีประสิทธิภาพขึ้น สามารถจัดกลุ่มหรือจัดการได้ อย่างสมบูรณ์ สามารถสนทนากับบุคคลอื่นและเข้าใจความคิดของผู้อื่นได้ดี 4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) นี้จะเริ่มจากอายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยนี้จะ เริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง เด็กจะสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจาก ข้อมูลที่มีอยู่ สามารถที่จะคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะตั้งสมมุติฐานและทฤษฎี และเห็นว่า ความเป็นจริงที่เห็นด้วยการรับรู้ที่สำคัญเท่ากับความคิดกับสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ เด็กวัยนี้มีความคิด นอกเหนือไปกว่าสิ่งปัจจุบัน สนใจที่จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างและมีความพอใจที่จะคิด พิจารณาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน หรือสิ่งที่เป็นนามธรรมพัฒนาการทางการรู้คิดของเด็กในช่วงอายุ 6 ปีแรกของชีวิต ซึ่งเพียเจต์ ได้ศึกษาไว้เป็นประสบการณ์ สำคัญที่เด็กควรได้รับการส่งเสริม มี 6 ขั้น ได้แก่ 1) ขั้นความรู้แตกต่าง (Absolute Differences) เด็กเริ่มรับรู้ในความแตกต่าง ของสิ่งของที่มองเห็น 2) ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้าม (Opposition) ขั้นนี้เด็กรู้ว่าของต่าง ๆ มีลักษณะตรงกัน ข้ามเป็น 2 ด้าน เช่น มี-ไม่มี หรือ เล็ก-ใหญ่ 3) ขั้นรู้หลายระดับ (Discrete Degree) เด็กเริ่มรู้จักคิดสิ่งที่เกี่ยวกับลักษณะที่ อยู่ตรงกลางระหว่างปลายสุดสองปลาย เช่น ปานกลาง น้อย 4) ขั้นความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง (Variation) เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับการ เปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เช่น บอกถึงความเจริญเติบโตของต้นไม้ 5) ขั้นรู้ผลของการกระทำ (Function) ในขั้นนี้เด็กจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของ การเปลี่ยนแปลง 6) ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว (Exact Compensation) เด็กจะรู้ว่าการกระทำ ให้ของสิ่งหนึ่งเปลี่ยนแปลงย่อมมีผลต่ออีกสิ่งหนึ่งอย่างทัดเทียมกัน กระบวนการทางสติปัญญามีลักษณะดังนี้ 1. การซึมซับหรือการดูดซึม (Assimilation) เป็นกระบวนการทางสมองในการรับ ประสบการณ์ เรื่องราว และข้อมูลต่าง ๆ เข้ามาสะสมเก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
33 2. การปรับและจัดระบบ (Accommodation) คือ กระบวนการทางสมองในการ ปรับประสบการณ์เดิมและประสบการณ์ใหม่ให้เข้ากันเป็นระบบหรือเครือข่ายทางปัญญาที่ตน สามารถเข้าใจได้ เกิดเป็นโครงสร้างทางปัญญาใหม่ขึ้น 3. การเกิดความสมดุล (Equilibration) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากขั้นของการ ปรับ หากการปรับเป็นไปอย่างผสมผสานกลมกลืนก็จะก่อให้เกิดสภาพที่มีความสมดุลขึ้น หากบุคคล ไม่สามารถปรับประสบการณ์ใหม่และประสบการณ์เดิมให้เข้ากันได้ ก็จะเกิดภาวะความไม่สมดุลขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญาขึ้นในตัวบุคคล การนำไปใช้ในการจัดการศึกษา / การสอน เมื่อทำงานกับนักเรียน ผู้สอนควรคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียน ดังต่อไปนี้ 1. นักเรียนที่มีอายุเท่ากันอาจมีขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึง ไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของเขาไปตามระดับ พัฒนาการของเขา นักเรียนแต่ละคนจะได้รับประสบการณ์ 2 แบบคือ 2. ประสบการณ์ทางกายภาพ (Physical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนแต่ละ คนได้ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุต่าง ในสภาพแวดล้อมโดยตรงประสบการณ์ทางตรรกศาสตร์ (Logicomathematical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนได้พัฒนาโครงสร้างทางสติปัญญาให้ ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม 3. หลักสูตรที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ควรมี ลักษณะดังต่อไปนี้ คือ - เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนโดยต้องเน้นให้นักเรียนใช้ศักยภาพ ของตนเองให้มากที่สุด - เสนอการเรียนการเสนอที่ให้ผู้เรียนพบกับความแปลกใหม่ - เน้นการเรียนรู้ต้องอาศัยกิจกรรมการค้นพบ - เน้นกิจกรรมการสำรวจและการเพิ่มขยายความคิดในระหว่างการเรียนการสอน - ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (Cognitive conflict activities) โดยการรับฟังความคิดเห็น ของผู้อื่นนอกเหนือจากความคิดเห็นของตนเอง 4. การสอนที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนควรดำเนินการ ดังต่อไปนี้ - ถามคำถามมากกว่าการให้คำตอบ - ครูผู้สอนควรจะพูดให้น้อยลง และฟังให้มากขึ้น - ควรให้เสรีภาพแก่นักเรียนที่จะเลือกเรียนกิจกรรมต่าง ๆ - เมื่อนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถามคำถามหรือจัดประสบการณ์ให้นักเรียนใหม่ เพื่อนักเรียนจะได้แก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตนเอง
34 - ชี้ระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียนจากงานพัฒนาการทาง สติปัญญาขั้นนามธรรมหรือจากงานการอนุรักษ์ เพื่อดูว่านักเรียนคิดอย่างไร - ยอมรับความจริงที่ว่า นักเรียนแต่ละคนมีอัตราพัฒนาการทางสติปัญญาที่ แตกต่างกัน - ผู้สอนต้องเข้าใจว่านักเรียนมีความสามารถเพิ่มขึ้นในระดับความคิดขั้นต่อไป - ตระหนักว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะจดจำมากกว่าที่จะเข้าใจ เป็นการ เรียนรู้ที่ไม่แท้จริง (Pseudo learning) 5. ขั้นประเมินผล ควรดำเนินการสอนต่อไปนี้ - มีการทดสอบแบบการให้เหตุผลของนักเรียน - พยายามให้นักเรียนแสดงเหตุผลในการตอนคำถามนั้น ๆ - ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมีพัฒนาการทางสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อร่วมชั้น 4.3 ทฤษฎีสนาม ของ Kurt Lewin (Field Theory) ทฤษฎีการเรียนรู้ของทฤษฎีสนาม สามารถสรุปได้ดังนี้ พฤติกรรมของคนมีพลังและ ทิศทาง สิ่งใดที่อยู่ในความสนใจและความต้องการของตน จะมีพลังเป็น + สิ่งที่นอกเหนือจากความสนใจ จะมีพลังงานเป็น –ในขณะใดขณะหนึ่งทุกคนจะมีโลก หรือ อวกาศชีวิต (life space) ของตน ซึ่งจะ ประกอบไปด้วยสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (physical environment) อันได้แก่ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ สิ่งแวดล้อมอื่น ๆ และสิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา Kurt Lewin เสนอ แนวคิดทฤษฎีสนามว่า หมายถึง ความสามารถที่จะวิเคราะห์แรงต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสภาวะการที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง เป็นความพยายามที่จะให้กลุ่มเกิดการเปลี่ยน โดยแรง ต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อกันและกันจากแนวความคิดของ Lewin เชื่อว่าพฤติกรรมเป็นผลของแรง 2 ประเภท ซึ่งมีบทบาทตรงข้างกัน คือ แรงต้าน และ แรงเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การนำทฤษฎีสนามไป ประยุกต์ใช้อย่างถูกต้องจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมมากขึ้น การจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ใช้ 3 กลวิธี ดังนี้
35 1. เพิ่มขนาดของแรงเสริม 2. ลดขนาดของแรงต้าน 3. เพิ่มขนาดของแรงเสริม ขณะเดียวกันก็ลดขนาดของแรงต้าน Lewin ได้ เสนอแนวทางเพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงโดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. ละลายพฤติกรรมเดิม 2. การวิเคราะห์ปัญหา 3. การตั้งเป้าหมาย 4. การมีพฤติกรรมใหม่ 5. การทำให้พฤติกรรมใหม่นั้นคงอยู่ 4.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สุวรรณา ทองจุ้ย (2559 : บทคัดย่อ) ศึกษาผลของการพัฒนารูปแบบการจัดการ เรียนรู้ ตามแนวการสอนของครูผู้สอนคณิตศาสตร์ดีเด่นที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6ผลการวิจัย พบว่า 1. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบที่ผู้วิจัยพัฒนา ขึ้นมี 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นสร้างความสนใจ 2) ขั้นนำเสนอบทเรียนต่อทั้งชั้น 3) ขั้นศึกษากลุ่มย่อย 4) ขั้นสรุป 5) ขั้นพัฒนาการนำไปใช้ และ 6) ขั้นประเมินผล 2. ผลการประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการ จัดการเรียนรู้ โดยการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า 2.1 นักเรียนกลุ่มทดลองที่ใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้ ตามแนวการสอนของครูผู้สอนคณิตศาสตร์ดีเด่นมีค่าเฉลี่ยของคะแนนพัฒนาการผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนคณิตศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยในแต่ละ โรงเรียนมีผลการทดลองไปในแนวทางเดียวกัน 2.2 นักเรียนกลุ่มทดลองที่ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตาม แนวการสอนของครูผู้สอนคณิตศาสตร์ดีเด่น มีค่าเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ หลัง เรียนสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมที่ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยในแต่ละโรงเรียนมีผลการทดลองไปในแนวทางเดียวกัน 2.3 ดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบการ จัดการเรียนรู้มีค่าเท่ากับ 0.59 อยู่ในระดับมาก 2.4 ค่าขนาดอิทธิพลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้มีค่า เท่ากับ 2.09 อยู่ในระดับมาก บริสุทธิ์ธรรม พิมพ์ศิริ (2560) ได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Constructivism เพื่อส่งเสริมความสามารถทางคณิตศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษา ผลการวิจัย พบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Constructivism เพื่อ ส่งเสริมความสามารถทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษามีชื่อว่า“JOICE Model” ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ แนวคิดและทฤษฎี กระบวนการจัดการเรียนรู้ และการวัดและ ประเมินผล โดยผลการทดสอบค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ E1/E2 เท่ากับ 80.13/82.63 ตาม เกณฑ์ 80/80 หลังการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนมีความสามารถทางคณิตศาสตร์ ได้แก่1) ความสามารถด้านมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์2) ความสามารถด้านการคิดคำนวณ 3) ความสามารถด้าน การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 4) ความสามารถด้านการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาหลังเรียนตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 พีชญาณ์ พานะกิจ (2558) ได้ทำการวิจัยพัฒนารูปแบบการสอนเพื่อส่งเสริม ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และ นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการสอนที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และนวัตกรรมทาง
36 วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา มีองค์ประกอบสำคัญดังนี้ 1) รูปแบบการสอน 2) ทฤษฎีการสร้าง ความรู้ 3) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Base Learning : PBL) 4) การเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ (Inquiry-Base Learning :IBL) 5) การเรียนรู้ตามแนวคิด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม (Science Technology and Society: STS) 6) การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) 7) แนวคิดกระบวนการ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Creative Problem Solving) 8) แนวคิดเกี่ยวกับนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ นิวัฒน์ บุญสม (2556) ได้ทำการวิจัยพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิด ของกระบวนการแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมด้านสุขภาพของนักเรียน ที่มีความสามารถ พิเศษทางวิทยาศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่า 1. รูปแบบมีชื่อว่า “4CO-PAC Model” มีองค์ประกอบสำคัญ 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ องค์ประกอบเชิง กระบวนการการเรียนการสอน และองค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้กระบวนการเรียนการสอนมี 4 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การร่วมกัน ค้นหาปัญหา (Collaborative Problem Finding) ขั้นที่ 2 การร่วมกันค้นหาแนวคิด (Collaborative Idea Finding) ขั้นที่3 การร่วมกันสร้างนวัตกรรม (Collaborative Innovation Building) และขั้นที่ 4 การร่วมกันสร้าง การยอมรับ (Collaborative Acceptance Building) ซึ่งทุกขั้นตอนหลักจะมีขั้นตอนย่อย 3ขั้น เรียกว่า “PAC” ได้แก่ ขั้นเตรียมการ (Preparation : P) ขั้นปฏิบัติ (Action : A) และขั้นสรุป (Conclusion : C) โดย รูปแบบการ เรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมากที่สุด พเยาว์ โพธิ์อ่อน (2559) ได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการสอนอ่านเพื่อพัฒนา ความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ผลการวิจัย รูปแบบการสอนอ่านเพื่อความ เข้าใจในการอ่านภาษาไทย ประกอบด้วยองค์ประกอบ 7 องค์ประกอบ ได้แก่ ความเป็นมาและความสำคัญของ รูปแบบการสอนอ่าน แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการสอนอ่าน หลักการของรูปแบบการสอนอ่าน วัตถุประสงค์ของรูปแบบการสอนอ่าน เนื้อหาของรูปแบบการสอนอ่าน กระบวนการจัดการเรียนการสอนตาม รูปแบบการสอนอ่าน โดยแบ่งออกเป็น 4 ขั้น คือ 1.1 การสร้างประสบการณ์ 1.2 การอ่าน 1.3 การจับใจความ 1.4 การประเมินผล และการประเมินผลรูปแบบการสอนอ่าน โดยมีคุณภาพของรูปแบบการสอนอ่านอยู่ใน ระดับมาก 2. นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย มีความเข้าใจในการ อ่านภาษาไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 และมีความพึงพอใจต่อการเรียนการ สอนด้วยรูปแบบการสอนอ่านอยู่ในระดับมากที่สุด เตือนใจ แสงไกร (2559) การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยเพื่อส่งเสริม ความสามารถด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ 1) การจำแนกข้อเท็จจริงจากข้อคิดเห็น 2) การตีความการบอกโครง เรื่องหรือสรุปใจความจากเรื่องที่อ่าน 3) การตระหนักถึงทัศนะและจุดมุ่งหมายของผู้เขียน 4) การวิเคราะห์เรื่อง ที่อ่าน 5) การตัดสินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล และ 6) การประเมินค่าของเรื่องที่อ่านประสิทธิภาพของ รูปแบบการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ด้วยกระบวนการ SQ5R มี ประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนความสามารถในการอ่านอย่างมี วิจารณญาณหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 รามนรี นนทภา และ นวพล นนทภา (2560) การพัฒนารูปแบบการจัดการ เรียนรู้เพื่อส่งเสริมการคิดทางคณิตศาสตร์ของ นักเรียนที่มีแบบการเรียนรู้ที่ต่างกัน โดยใช้ทฤษฎีพหุ
37 ปัญญาของการ์ดเนอร์ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการคิดทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนที่มีแบบการเรียนรู้ที่ต่างกัน โดยใช้ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ดังนี้ขั้นตอนที่ 1 การใช้คําถามระดับสูง ขั้นตอนที่ 2 การใช้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ขั้นตอนที่ 3ส่งเสริม การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ขั้นตอนที่ 4 ส่งเสริมการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร! ขั้นตอนที่ 5 ส่งเสริม การสื่อสารทางคณิตศาสตร์ ขั้นตอนที่ 6 ส่งเสริมการเชื่อมโยงสาระหลักทางคณิตศาสตร์ขั้นตอนที่ 7 ส่งเสริมการนําเสนอตัวแทนความคิด3. ผลประเมินการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการคิด ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่มีแบบการเรียนรู้ที่ต่างกัน โดยใช้ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ พบว่า คะแนนการคิดทางคณิตศาสตร์ของนักศึกษาที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการคิดทาง คณิตศาสตร์ของนักเรียนที่มีแบบการเรียนรู้ที่ต่างกัน โดยใช้ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ และ นักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีปกติแตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การเปรียบเทียบคะแนน การคิดทางคณิตศาสตร์หลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการคิดทางคณิตศาสตร์ของ นักเรียนที่มีแบบการเรียนรู้ที่ต่างกัน โดยใช้ทฤษฎีพหุปัญญา ของการ์ดเนอร์สูงกว่าก่อนเรียนด้วยรูปแบบ การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการคิดทางคณิตศาสตร!ของ นักเรียนที่มีแบบการเรียนรู้ที่ต่างกัน โดยใช้ ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของจังหวัด นครปฐม ได้กำหนดประเด็นในการดำเนินการวิจัยดังนี้ 1. กลุ่มเป้าหมาย 2. ขั้นตอนดำเนินการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหาร ครู และนักเรียนในสถานศึกษานำร่องและสถานศึกษาเครือข่าย จำนวน 15 โรงเรียน ดังนี้ - สถานศึกษานำร่องระดับประถมศึกษา 1) โรงเรียนวัดทุ่งสีหลง สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2) โรงเรียนวัดโคกพระเจดีย์ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 3) โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทยา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน - สถานศึกษานำร่องระดับมัธยมศึกษา 4) โรงเรียนกำแพงแสนวิทยา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 5) โรงเรียนวัดบางปลา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 - สถานศึกษาเครือข่ายระดับประถมศึกษา 6) โรงเรียนบ้านแจงงาม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 7) โรงเรียนวัดตะโกสูง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 8) โรงเรียนบ้านฉาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 9) โรงเรียนวัดห้วยตะโก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 10) โรงเรียนเจี้ยนหัว สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 1) โรงเรียนอนุบาลเสริมปัญญา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน - สถานศึกษาเครือข่ายระดับมัธยมศึกษา 2) โรงเรียนบ้านประตูน้ำพระพิมล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 3) โรงเรียนตลาดเกาะแรต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 4) โรงเรียนบางหลวงวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 5) โรงเรียนงิ้วรายบุญมีรังสฤษดิ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9
39 ขั้นตอนดำเนินการวิจัย ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย โดยดำเนินงานในรูปแบบของคณะกรรมการดำเนินงานวิจัย และพัฒนารูปแบบ/แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ ภายใต้โครงการ TFE (Teams For Education) มีดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูล จัดทำสารสนเทศผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (ONET) ในระดับจังหวัดเพื่อจัดทำรูปแบบ/แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในระดับจังหวัด ได้ดำเนินการ ดังนี้ 1.1 แต่งตั้งคณะกรรมการ ประกอบด้วย ศึกษานิเทศก์ที่รับผิดชอบข้อมูล ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 และ เขต 2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม ผู้แทนจาก สำนักงานศึกษาธิการภาค 1.2 วิเคราะห์ข้อมูล และจัดทำสารสนเทศผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้น พื้นฐาน (O-NET) รายจังหวัด โดยวิเคราะห์ข้อมูล ปีการศึกษา 2560-2562 2. คัดเลือกสถานศึกษาที่มีร้อยละของนักเรียนที่คะแนนผลการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) แต่ละวิชาต่ำกว่าเกณฑ์คะแนนร้อยละ 50 เพื่อเป็นสถานศึกษานำร่องใน การพัฒนาตามรูปแบบ/แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ ได้ดำเนินการ ดังนี้ 2.1 แต่งตั้งคณะทำงานคัดเลือกสถานศึกษา ประกอบด้วย ศึกษานิเทศก์ที่ รับผิดชอบข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา และศึกษานิเทศก์ที่รับผิดชอบงานพัฒนาหลักสูตรของ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 และ เขต 2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 9 และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม ผู้แทนจากสำนักงานศึกษาธิการภาค 2.2 กำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกสถานศึกษาเข้าร่วมโครงการ ดังนี้ 1) มีร้อยละของนักเรียนที่คะแนนผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้น พื้นฐาน(O-NET) แต่ละวิชาต่ำกว่าเกณฑ์คะแนนร้อยละ 50 (3 ปีย้อนหลัง) ปีการศึกษา 2560-2562 2) คัดเลือกสถานศึกษาเครือข่ายในจังหวัดทุกสังกัดจำนวน 10 แห่ง ประกอบด้วยสถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนระดับประถมศึกษาจำนวน 6 แห่ง สถานศึกษาที่จัดการ เรียนการสอนระดับมัธยมศึกษา (รวมโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา) จำนวน 4 แห่ง 3) ผู้บริหาร และครูในสถานศึกษามีความสมัครใจเข้าร่วมโครงการ 2.3 คัดเลือกสถานศึกษาเครือข่ายที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์การคัดเลือก 10 โรงเรียน 3. สร้างการรับรู้การนำรูปแบบ/แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในระดับ จังหวัดไปใช้ โดยพัฒนาผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ ครู ผู้บริหารในสถานศึกษานำร่อง และสถานศึกษา เครือข่าย ศึกษานิเทศก์จากสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 เขต 2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม และ คณะ ผู้ทรงคุณวุฒิ
40 4. สนับสนุนงบประมาณให้สถานศึกษาที่ได้รับการคัดเลือก เพื่อเป็นสถานศึกษา เครือข่ายในการพัฒนา ตามรูปแบบ/แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้จำนวน 10 โรงเรียน โรงเรียนละ 5,000 บาท โดยให้แต่ละโรงเรียนเสนอโครงการให้ศึกษาธิการจังหวัดนครปฐมเป็นผู้อนุมัติโครงการ 5. นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้ในสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ 6. นิเทศ ติดตาม และประเมินผลการพัฒนาการจัดการเรียนรู้การนำรูปแบบ/แนว ทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในพื้นที่ ได้ดำเนินการ ดังนี้ 6.1 แต่งตั้งคณะกรรมการนิเทศ ติดตาม และประเมินผล ประกอบด้วย ศึกษานิเทศก์จากต้นสังกัด และผู้ทรงคุณวุฒิ 6.2 นิเทศ ติดตาม และประเมินผล จำนวน 3 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ 1 การนิเทศทางไกลแบบออฟไลน์โดยให้ครูผู้สอน ส่งคลิปวิดีโอการสอน โดยใช้เวลาไม่เกิน 25 นาที ครั้งที่ 2 การนิเทศทางไกลแบบออนไลน์โดยให้ครูผู้สอน จัดการเรียนการสอน ผ่านช่องทางออนไลน์ ครั้งที่ 3 การนิเทศทางตรงแบบออนไซท์ แบบเยี่ยมชั้นเรียนโดยมีคณะกรรมการ นิเทศตามประกาศของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม ลงพื้นที่นิเทศ ณ โรงเรียนเครือข่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. รูปแบบการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ตาม กลุ่มสาระการเรียนรู้ 2. แบบประเมินผลการดำเนินโครงการ TFE (Teams For Education) เป็นแบบประเมิน โดยมีคณะกรรมการนิเทศ ติดตาม และประเมินผล เป็นผู้ประเมิน โดยจะประเมิน 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้าน สถานศึกษา ด้านครู และด้านผู้เรียน ลักษณะการประเมินเป็นแบบจัดระดับคุณภาพ 3 ระดับ แปลความหมายของระดับคะแนนเฉลี่ยเป็นระดับคุณภาพ 3 ระดับ ดังนี้ 1.00 – 1.66 หมายถึง คุณภาพระดับพอใช้ 1.67 – 2.33 หมายถึง คุณภาพระดับดี 2.34 – 3.00 หมายถึง คุณภาพระดับดีมาก 3. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการการจัดการเรียนการสอนของครูที่เข้า ร่วมโครงการ โดยจะประเมิน 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านสถานศึกษา ด้านครู และด้านผู้เรียน ลักษณะการ ประเมินเป็นแบบจัดระดับคุณภาพ 5 ระดับ แปลความหมายของระดับคะแนนเฉลี่ยเป็นระดับคุณภาพ 5 ระดับ ดังนี้ 4.50 – 5.00 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด 3.50 – 4.49 หมายถึง พึงพอใจมาก 2.50 – 3.49 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถึง พึงพอใจน้อย 1.00 – 1.49 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด
41 4. แบบบันทึกโครงสร้างกิจกรรมการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC: Professional Learning Community) การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ระยะเวลาการเก็บข้อมูล กรกฎาคม – สิงหาคม 2563 2. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการสังเกต สัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูล และสถิติที่ใช้ ประกอบด้วย 1. การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้จะใช้ผลการประเมินครั้งที่ 2 2. หาคะแนนเฉลี่ย (Mean)โดยคำนวณจากสูตร N X X = เมื่อ X = คะแนนเฉลี่ย X = ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N = จำนวนคนในกลุ่มตัวอย่าง 3. ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานและคะแนนของแบบสอบถาม (Standard deviation) โดยคำนวณจากสูตร ( ) ( ) nn 1 2 X 2 n X S.D. − − = เมื่อ S.D. แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด n แทน จำนวนคนในกลุ่มตัวอย่าง
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การขยายผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน ตามโครงการ TFE (Teams For Education) มีผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลที่เกิดขึ้นจากการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในสถานศึกษาเครือข่าย ตอนที่ 2 ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ของครู ตอนที่ 1 ผลที่เกิดขึ้นจากการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในสถานศึกษาเครือข่าย ตาราง 6 แสดงการประเมินผลที่เกิดจากการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในสถานศึกษา รายการพิจารณา ̅ SD ระดับ คุณภาพ 1. ด้านสถานศึกษา 1.1 มีการวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศด้านผลการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ระดับโรงเรียน (ปีการศึกษา2560 - 2562) 2.82 0.39 ดีมาก 1.2 นำผลการวิเคราะห์ผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET)ตามกลุ่ม สาระการเรียนรู้ ย้อนหลัง 3 ปีการศึกษามากำหนดค่าเป้าหมายในการ ยกระดับ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2.80 0.41 ดีมาก 1.3 มีการกำหนดรูปแบบ/แนวทางในการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน 2.73 0.46 ดีมาก 1.4 กำหนดรูปแบบ/แนวทางในการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยการทำงานอย่างมีส่วนร่วม 2.67 0.49 ดีมาก 1.5 มีการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อยกระดับ คุณภาพการเรียนรู้ 2.60 0.74 ดีมาก เฉลี่ยรวมรายด้าน 2.72 0.50 ดีมาก 2. ด้านครู 2.1 ครูนำรูปแบบ/แนวทางในการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ การปฏิบัติ 2.71 0.47 ดีมาก 2.2 มีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับรูปแบบ/ แนวทางที่สถานศึกษาพัฒนาขึ้นก่อนเรียนระหว่างเรียนและหลังเรียน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ออกแบบไว้ 2.65 0.49 ดีมาก เฉลี่ยรวมรายด้าน 2.68 0.48 ดีมาก
43 ตาราง 6 (ต่อ) รายการพิจารณา ̅ SD ระดับ คุณภาพ ด้านการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย 1)ครูนำรูปแบบ/แนวทางในการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมา ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้รายกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการ และด้าน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 2.59 0.51 ดีมาก 2) ครูใช้ สื่อ/นวัตกรรม/เทคโนโลยี/ภูมิปัญญาและแหล่งเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เน้นให้นักเรียนได้ ลงมือปฏิบัติจริงและมีส่วนร่วม 2.65 0.61 ดีมาก 3) ครูจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนสามารถสรุปองค์ความรู้ได้สอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีการสะท้อนคิด การพูด การเขียน รูปแบบอื่นๆ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ 2.59 0.51 ดีมาก เฉลี่ยรวมรายด้าน 2.61 0.54 ดีมาก 4) ด้านผู้เรียน 4.1 ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมและเรียนรู้อย่างมีความสุขและสามารถ แสวงหาความรู้ มีความมั่นใจในตัวเอง กระตือรือร้นในการเรียนรู้ มุ่งความเป็นเลิศ 2.53 0.51 ดีมาก 4.2 ผู้เรียนมีความสามารถในการสื่อสาร การแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ได้อย่างเหมาะสม 2.59 0.51 ดีมาก 4.3 ผู้เรียนสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ สามารถเป็นผู้นำและผู้ ตามที่ดี มีความรับผิดชอบมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีมีความ ขยันอดทน 2.65 0.39 ดีมาก 4.4 ผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยี ในการแสวงหาความรู้อย่างมี วิจารณญาณ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้อย่างถูกต้อง เหมาะสม 2.41 0.62 ดีมาก 4.5 ผู้เรียนมีทักษะในการสรุปองค์ความรู้ มีความสามารถในการ นำเสนอได้อย่างหลากหลาย 2.35 0.61 ดีมาก เฉลี่ยรวมรายด้าน 2.49 0.54 2.48
44 ตาราง 6 (ต่อ) รายการพิจารณา ̅ SD ระดับ คุณภาพ ด้านการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ 1)ครูนำรูปแบบ/แนวทางในการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมา ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้รายกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทั้ง ด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการ และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 2.88 0.24 ดีมาก 2) ครูใช้ สื่อ/นวัตกรรม/เทคโนโลยี/ภูมิปัญญาและแหล่งเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เน้นให้นักเรียนได้ลง มือปฏิบัติจริงและมีส่วนร่วม 2.76 0.44 ดีมาก 3) ครูจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนสามารถสรุปองค์ความรู้ได้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีการสะท้อนคิด การพูด การเขียน รูปแบบ อื่นๆ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ 2.47 0.62 ดีมาก เฉลี่ยรวมรายด้าน 2.71 0.46 ดีมาก 4) ด้านผู้เรียน 4.1 ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมและเรียนรู้อย่างมีความสุขและสามารถ แสวงหาความรู้ มีความมั่นใจในตัวเอง กระตือรือร้นในการเรียนรู้ มุ่ง ความเป็นเลิศ 2.65 0.49 ดีมาก 4.2 ผู้เรียนมีความสามารถในการสื่อสาร การแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ได้อย่างเหมาะสม 2.47 0.51 ดีมาก 4.3 ผู้เรียนสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ สามารถเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี มีความรับผิดชอบมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีมีความขยันอดทน 2.65 0.49 ดีมาก 4.4 ผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยี ในการแสวงหาความรู้อย่างมี วิจารณญาณ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้อย่างถูกต้อง เหมาะสม 2.35 0.78 ดีมาก 4.5 ผู้เรียนมีทักษะในการสรุปองค์ความรู้ มีความสามารถในการ นำเสนอได้อย่างหลากหลาย 2.41 0.62 ดีมาก เฉลี่ยรวมรายด้าน 2.51 0.58 ดีมาก
45 ตาราง 6 (ต่อ) รายการพิจารณา ̅ SD ระดับ คุณภาพ ด้านการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ 1)ครูนำรูปแบบ/แนวทางในการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมา ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้รายกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทั้ง ด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการ และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 2.65 0.49 ดีมาก 2) ครูใช้ สื่อ/นวัตกรรม/เทคโนโลยี/ภูมิปัญญาและแหล่งเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เน้นให้นักเรียนได้ลง มือปฏิบัติจริงและมีส่วนร่วม 2.71 0.47 ดีมาก 3) ครูจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนสามารถสรุปองค์ความรู้ได้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีการสะท้อนคิด การพูด การเขียน รูปแบบ อื่นๆ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ 2.59 0.49 ดีมาก เฉลี่ยรวมรายด้าน 2.65 0.49 ดีมาก 4) ด้านผู้เรียน 4.1 ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมและเรียนรู้อย่างมีความสุขและสามารถ แสวงหาความรู้ มีความมั่นใจในตัวเอง กระตือรือร้นในการเรียนรู้ มุ่ง ความเป็นเลิศ 2.65 0.49 ดีมาก 4.2 ผู้เรียนมีความสามารถในการสื่อสาร การแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ได้อย่างเหมาะสม 2.53 0.62 ดีมาก 4.3 ผู้เรียนสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ สามารถเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี มีความรับผิดชอบมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีมีความขยันอดทน 2.65 0.61 ดีมาก 4.4 ผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยี ในการแสวงหาความรู้อย่างมี วิจารณญาณ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้อย่างถูกต้อง เหมาะสม 2.47 0.62 ดีมาก 4.5 ผู้เรียนมีทักษะในการสรุปองค์ความรู้ มีความสามารถในการ นำเสนอได้อย่างหลากหลาย 2.47 0.51 ดีมาก เฉลี่ยรวมรายด้าน 2.55 0.55 ดีมาก
46 ตารางที่ 6 (ต่อ) จากตาราง พบว่า ผลการประเมินการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในสถานศึกษา เครือข่าย มีระดับคุณภาพดีมากในทุกด้าน เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบรายด้านพบว่า ผลที่เกิดขึ้นด้าน สถานศึกษามีคะแนนเฉลี่ยสูงสูด ( ̅ = 2.75 S.D. = 0.50) รองลงมาคือ ด้านครู ( ̅ = 2.68 S.D. = 0.48) รายการพิจารณา ̅ SD ระดับ คุณภาพ ด้านการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ 1) ครูนำรูปแบบ/แนวทางในการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมา ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้รายกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทั้ง ด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการ และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 2.76 0.39 ดีมาก 2) ครูใช้ สื่อ/นวัตกรรม/เทคโนโลยี/ภูมิปัญญาและแหล่งเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เน้นให้นักเรียนได้ลง มือปฏิบัติจริงและมีส่วนร่วม 2.71 0.44 ดีมาก 3) ครูจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนสามารถสรุปองค์ความรู้ได้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีการสะท้อนคิด การพูด การเขียนรูปแบบ อื่น ๆ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ 2.59 0.51 ดีมาก เฉลี่ยรวมรายด้าน 2.69 0.47 ดีมาก 4) ด้านผู้เรียน 4.1 ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมและเรียนรู้อย่างมีความสุขและสามารถ แสวงหาความรู้ มีความมั่นใจในตัวเอง กระตือรือร้นในการเรียนรู้มุ่ง ความเป็นเลิศ 2.65 0.49 ดีมาก 4.2 ผู้เรียนมีความสามารถในการสื่อสาร การแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ได้อย่างเหมาะสม 2.59 0.51 ดีมาก 4.3 ผู้เรียนสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ สามารถเป็นผู้นำ และ ผู้ตามที่ดี มีความรับผิดชอบมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีมีความขยัน อดทน 2.53 0.51 ดีมาก 4.4 ผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยี ในการแสวงหาความรู้อย่างมี วิจารณญาณ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้อย่างถูกต้อง เหมาะสม 2.47 0.51 ดีมาก 4.5 ผู้เรียนมีทักษะในการสรุปองค์ความรู้ มีความสามารถในการ นำเสนอได้อย่างหลากหลาย 2.41 0.51 ดีมาก เฉลี่ยรวมรายด้าน 2.53 0.51 ดีมาก
47 พิจารณาผลที่เกิดขึ้นด้านครูตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ พบว่ากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ( ̅ = 2.71 S.D. = 0.46) รองลงมาคือภาษาอังกฤษ ( ̅ = 2.69 S.D. = 0.47) วิทยาศาสตร์ ( ̅ = 2.65 S.D. = 0.49) และภาษาไทย ( ̅ = 2.61 S.D. = 0.54) ตามลำดับ เมื่อพิจารณาผลที่เกิดขึ้นด้านผู้เรียนตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ พบว่า กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มี คะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือวิทยาศาสตร์ ( ̅ = 2.55 S.D. = 0.64) รองลงมาคือ ภาษาอังกฤษ( ̅ = 2.53 S.D. = 0.66) คณิตศาสตร์( ̅ = 2.51 S.D. = 0.63) และภาษาไทย ( ̅ = 2.49 S.D. = 0.54) ตามลำดับ ตอนที่ 2 ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน ตารางที่ 7 ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน ด้าน/ประเด็นสอบถาม ̅ SD ระดับ คุณภาพ 1. ความพึงพอใจต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้ 1.1 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย 4.60 0.64 มากที่สุด 1.2 กิจกรรมการเรียนรู้น่าสนใจ 4.67 0.58 มากที่สุด 1.3 ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน 4.59 0.65 มากที่สุด 1.4 จัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้เหมาะสมและหลากหลายวิธี 4.61 0.61 มากที่สุด 1.5 จัดกิจกรรมการเรียนรู้จากง่ายไปหายากตามลำดับ 4.54 0.74 มากที่สุด เฉลี่ยรวมรายด้าน 4.60 0.65 มากที่สุด 2. ความพึงพอใจต่อครูผู้สอน 2.1 ครูมีความสุภาพเป็นมิตรต่อผู้เรียน 4.74 0.58 มากที่สุด 2.2 ครูให้ความสนใจต่อผู้เรียนทุกคน 4.76 0.53 มากที่สุด 2.3 ครูให้คำอธิบายต่อข้อซักถามด้วยความเต็มใจและถูกต้อง 4.75 0.55 มากที่สุด 2.4 ครูมีความเป็นกลาง ยุติธรรมไม่เลือกปฏิบัติ 4.68 0.59 มากที่สุด 2.5 ครูมีความรอบรู้ สามารถถ่ายทอดให้เกิดความเข้าใจได้ดี 4.68 0.63 มากที่สุด เฉลี่ยรวมรายด้าน 4.72 0.58 มากที่สุด 3. ความพึงพอใจต่อสื่อการเรียนการสอน 3.1 สื่อการเรียนการสอนมีความหลากหลายสอดคล้องกับบริบท ของท้องถิ่น 4.56 0.64 มากที่สุด 3.2 บรรยากาศห้องเรียนเอื้อต่อการเรียนรู้ 4.49 0.71 มาก 3.3 แหล่งเรียนรู้มีความหลากหลาย 4.64 0.64 มากที่สุด 3.4 สื่อการเรียนการสอนเหมาะสมและเพียงพอ 4.63 0.62 มากที่สุด 3.5 สื่อการเรียนการสอนมีความทันสมัย 4.63 0.70 มากที่สุด เฉลี่ยรวมรายด้าน 4.59 0.66 มากที่สุด
48 ตารางที่ 7 (ต่อ) ด้าน/ประเด็นสอบถาม ̅ SD ระดับ คุณภาพ 4. ความพึงพอใจต่อคุณภาพการเรียนรู้ 4.1 นักเรียนมีความสุขในการเรียนรู้ 4.67 0.63 มากที่สุด 4.2 นักเรียนมีความรู้และทักษะเพิ่มขึ้น 4.62 0.61 มากที่สุด 4.3 นักเรียนสามารถนำความรู้และทักษะไปประยุกต์ใช้ในชีวิต ประจำวันได้ 4.63 0.67 มากที่สุด 4.4 นักเรียนได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์และชัดเจน 4.64 0.61 มากที่สุด 4.5 นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ 4.67 0.61 มากที่สุด เฉลี่ยรวมรายด้าน 4.65 0.63 มากที่สุด จากตารางที่ 7 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนของครูในระดับ คุณภาพมากที่สุดเกือบทุกประเด็น ยกเว้นบรรยากาศห้องเรียนเอื้อต่อการเรียนรู้ ที่อยู่ระดับคุณภาพมาก ( ̅ = 4.49 S.D.= 0.71) เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบรายด้านพบว่า ด้านความพึงพอใจต่อครูผู้สอน มีคะแนน เฉลี่ยสูงที่สุด ( ̅ = 4.72 S.D.=0.58) รองลงมาคือ ความพึงพอใจต่อคุณภาพการเรียนรู้ ( ̅ =4.65 S.D.= 0.63) ความพึงพอใจต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้ ( ̅ = 4.60 S.D.= 0.71) คะแนนเฉลี่ย และความพึง พอใจต่อสื่อการเรียนการสอน ( ̅ = 4.59 S.D.= 0.65) ตามลำดับ ข้อเสนอแนะอื่นๆ ได้แก่ ให้ครูเพิ่มเกมเข้าไปในการสอนให้มากขึ้น ให้นักเรียนสามารถนำ โทรศัพท์มาใช้ได้ ปรับปรุงห้องเรียนให้มีพัดลมที่ดีกว่านี้ ให้มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากกว่านี้