ตุ ล า ค ม 2 5 6 3
ชุ ดกิ จกรรมเชิ งรุ ก
(ACTIVE LEARNING)
เพื อพั ฒนาทักษะและแก้ปญหาสาํ หรับนักเรียน
ชันมัธยมศึกษา ระดับชันมัธยมศึกษาปที 3
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
เรืองอิศรญาณภาษิต และ บทพากย์เอราวัณ
ชดุ กจิ กรรมเชงิ รุก
(ACTIVE LEARNING)
จดั ทำโดย
นำงสำวพชิ ญำ นำมวงษ ์ รหสั ๖๑๑๓๑๑๐๙๐๔๖
นำงสำวธญั รดำ สมทพิ ย ์ รหสั ๖๑๑๓๑๑๐๙๐๕๓
เสนอ
ผูช้ ว่ ย ศจ.ดร.อนิ ทริ ำ รอบรู ้
คณะครุศำสตร ์ สำขำวชิ ำภำษำไทย
มหำวทิ ยำลยั รำชภฏั สวนสนนั ทำ
ห น้ า | ๑
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๑
รหสั วิชา ท๒๓๑๐๒ รายวิชา ภาษาไทยพืน้ ฐาน จานวน ๑.๕ หน่วยกิต
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๑ อิศรญาณภาษิต เร่อื ง อิศรญาณภาษติ
ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ ๓ ภาคเรยี นที่ ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ เวลา ๓ ช่ัวโมง
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขยี นเขียนส่ือสาร เขียนเรยี งความ ยอ่ ความ และเขียน
เรือ่ งราวในรูปแบบต่างๆ เขยี นรายงานข้อมลู สารสนเทศและ รายงาน
การศกึ ษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธภิ าพ
ตัวชว้ี ดั
ท ๒.๑ ม.๓/๗ เขียนวิเคราะห์วิจารณ์ และแสดงความคดิ เหน็ รหู้ รือโต้แย้งในเรื่องต่างๆ
สาระสาคัญ
สานวนสุภาษิตในเรือ่ งอิศรญาณภาษติ มงุ่ สงั่ สอนตามปกติของผมู้ ปี ระสบการณ์ในเร่อื งต่างๆ
จุดประสงค์การเรียนรู้
ความรู้ (K)
๑. สานวนสุภาษติ ในเร่อื งอิศรญาณภาษิต
ทักษะ/กระบวนการ (P)
๑. หาความหมายสานวนสภุ าษิตในเร่ืองอศิ รญาณภาษิต
สมรรถนะหลกั
๑. ความสามารถในการสื่อสาร
๒. ความสามารถในการคิด
๓. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ
๕. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
๒. ซอื่ สัตย์สุจริต
๓. มีวนิ ัย
๔. ใฝเ่ รยี นรู้
๕. อยู่อย่างพอเพียง
๖. มุ่งม่ันในการทางาน
๗. รักความเป็นไทย
๘ มีจติ สาธารณะ
แนวความคดิ เพ่ือการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑
ห น้ า | ๒
๑. สาระวชิ าหลัก (Core Subjects)
๒. ทกั ษะด้านการเรียนรแู้ ละนวตั กรรม
๓. ทักษะด้านสารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยี
๔. ทักษะดา้ นชีวติ และอาชีพ
สาระการเรียนรู้
การเขยี นสานวนสุภาษติ และความหมายต่างๆ
- สานวนสุภาษิต
กระบวนการจดั การเรียนรู้ (ข้นั ตอน/กระบวนการ)
๑. ครใู ห้นกั เรยี นทบทวนความรูเ้ ดมิ เรื่องแล้วใหน้ กั เรยี นคน้ คว้าสานวนในสภุ าษติ เรื่องอิศรญาณ
ภาษติ
๒. ให้นกั เรียนเลือกสภุ าษติ ท่เี หมาะสาหรบั การแสดงทา่ ทางประกอบให้เพือ่ นทายวา่ เป็นสานวน
สุภาษิตใด และมีความหมายอย่างไร เชน่ เดินตามหลังผ้ใู หญ่หมาไม่กัดหมายถงึ ประพฤตติ าม
ผ้ใู หญ่ ย่อมปลอดภยั
๓. ครูแบง่ กลุ่มนักเรยี นหาสานวนสุภาษิตในเร่ืองอิศรญาณภาษติ แล้วทาลงสมดุ
๔. ให้นักเรยี นสานวนสุภาษิตท่ไี ด้มารายงานหนา้ ชัน้
๕. ตรวจผลงานการเขียนของนกั เรียนแลว้ ให้คาแนะนาในการปรับปรุงแก้ไขผลงานเพ่ือนนาไปใชใ้ น
ชวี ติ ประจาวัน
สอ่ื (วัสดุ-อุปกรณ์-ส่งิ พมิ พ์) / นวตั กรรม / ICT
- หนังสอื เรียน ภาษาไทย:วรรณคดแี ละวรรณกรรม ม.๓
แหล่งการเรยี นรู้
-
บูรณาการ
-สังคมศกึ ษา
ห น้ า | ๓
การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
วธิ ีการวัดผลและการประเมิน เคร่อื งมอื วดั และประเมิน เกณฑ์การวดั
ตรวจสสานวนสภุ าษิต นกั เรียนสอบผา่ น ๖๐ %
ดา้ นความรู้(K)
สานวนสุภาษิตในเรอ่ื งอิศรญาณ
ภาษิต
ดา้ นทกั ษะ/ ตรวจสานวนสุภาษติ นกั เรยี นสอบผา่ น ๖๐ %
กระบวนการ (P) เขยี นสานวนสภุ าษติ ในเรอ่ื งอิศ
ญาณภาษติ
ด้านคุณธรรม แบบสอบถาม นกั เรียนสอบผ่าน ๖๐ %
จริยธรรม และ ซ่ือสตั ยม์ ีวินัยใฝ่เรียนรู้
ค่านิยม(A)
การประเมนิ ผล ประเดน็ ระดับคุณภาพ
ดา้ นความร(ู้ K) การประเมิน ๔๓ ๒ ๑๐
สานวนสภุ าษิตใน
เร่อื งอิศรญาณภาษติ
ดา้ นทักษะ/กระบวนการ เขยี นสานวนสภุ าษิตใน
(P) เรอ่ื งอิศรญาณภาษิต
ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม ซอื่ สัตย์ มวี นิ ัย ใฝเ่ รียนรู้
และค่านยิ ม(A)
ห น้ า | ๔
กิจกรรมเสนอแนะ
............................................................................................................................. ................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงช่อื .....................................................ผ้เู ขียนแผนการจดั การเรียนรู้
................/.................../................
บนั ทึกความเหน็ ของผูต้ รวจแผนการจดั การเรียนรู้
ไดท้ าการตรวจแผนการจดั การเรยี นรู้แล้ว มคี วามคิดเหน็ ดงั นี้
เป็นแผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง เน่อื งจาก
............................................................................................................................................. ...............................
ลงชื่อ.............................................
(...........................................)
ประธานกลมุ่ สาระฯ
บนั ทึกหลังสอน
๑. ผลการสอน/ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K)
...............................................................................................................................................................
ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P)
............................................................................................................................. ..................................
ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม และคา่ นิยม (A)
............................................................................................................................. ..................................
สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน/แนวความคิดเพ่ือการเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ ๒๑
............................................................................................................................. ..................................
๒. ปัญหา/อุปสรรค และขอ้ ค้นพบ
...............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................
๓. ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไข และผลการแก้ไข
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................
ลงช่อื .....................................................ผสู้ อน
(................................................)
ห น้ า | ๕
ใบความรู้เร่ือง อศิ รญาณภาษิต
อิศรญาณภาษิต
ความเปน็ มา
อศิ รญาณภาษิตเรียกอกี อยา่ งว่า “เพลงยาวอิศรญาณ” เป็นพระนิพนธข์ องหม่อมเจ้าอศิ รญาณ ซึ่งเล่า
กันว่าเปน็ ผู้มีพระจริตไม่ปกติ ครงั้ หน่งึ พระองค์ได้ทาส่งิ วิปรติ ไปแล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั
ตรับริภาษว่าเป็นบา้ ทาใหใ้ ครๆ ก็พากนั เหน็ ด้วยกบั พระราชดารัสนัน้ ดว้ ยความนอ้ ยพระทยั ของหม่อมเจ้าอิศร
ญาณจงึ ทรงนิพนธ์เพลงยาวฉบบั นข้ี ้ึน มผี ูส้ นั นษิ ฐานว่าอิศรญาณภาษติ นี้ ไม่ใชพ่ ระนิพนธข์ องหมอ่ มเจา้ อิศร
ญาณแตเ่ พยี งผู้เดียว หากแต่ทรงนพิ นธไ์ วเ้ พียงตอนแรกเท่าน้ัน กล่าวคอื สันนษิ ฐานว่าทรงนพิ นธถ์ ึงวรรคว่า
“ปถุ ชุ นรักกบั ชังไม่ยง่ั ยนื ” ซึ่งมลี ลี าการแต่งไวด้ ้วยนา้ เสยี งเหน็บแนมประชดประชนั อย่างรุนแรง ชัดเจนส่วนท่ี
เหลือเป็นของผ้อู ื่นแต่งต่อ โดยเป็นการสอนเร่ืองทวั่ ๆ ไป มีลลี าหรอื ทว่ งทานองแบบเรียบๆ มงุ่ สงั่ สอนตามปกติ
ของผมู้ ปี ระสบการณ์ในเรื่องต่างๆ ซงึ ่งได้นามาเรียบเรียงไว้ทัง้ หมด
ประวตั ิผู้แตง่
หม่อมเจ้าอิศรญาณ(ไม่ทราบพระนามเดิม) เป็นโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงมหศิ วรนิ ทราม
เรศ พระองค์ทรงผนวชท่วี ดั บวรนิเวศ ไดพ้ ระนามฉายาวา่ อสิ สรญาโณ มพี ระชนม์ชพี อย่ใู นช่วงรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ลักษณะคาประพันธ์
กลอนเพลงยาว ซึง่ ข้ึนต้นดว้ ยวรรคสดับ(มีชอื่ เรียกอีกอยา่ งหนึ่งวา่ เพลงยาวอิศรญาณหรือภาษติ อิศร
ญาณ)
จุดประสงค์
๑. เพอ่ื ส่ังสอน
๒. เพอ่ื เตือนใจใหค้ ิดก่อนทีจ่ ะทาสง่ิ ใด
๓. สอนเก่ยี วกบั การปฏิบัติตนต่อผู้อื่นในสังคมให้อย่รู ่วมกันได้อย่างมีความสุข
เนื้อหา
อศิ รญาณภาษติ มเี น้ือหาทีเ่ ป็นคาสัง่ สอนแบบเตอื นสติ และแนะนาเกยี่ วกบั การประพฤติปฏบิ ัติให้
เป็นทีพ่ อใจของผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ท่ีมีอานาจมากกว่า สอนวา่ ควรจะทาอย่างไรจงึ จะอย่ใู นสงั คมได้โดยปราศจาก
ภยั แก่ตน ทาอยา่ งไรจงึ จะประสบความสาเรจ็ สมหวังบางตอนกเ็ นน้ เร่ืองการเห็นคณุ ค่าและ ความสาคญั ของ
ผอู้ ื่นโดยไม่สบประมาทหรือดูแคลนกนั โดยทงั้ น้กี ารสอนบางครง้ั อาจเปน็ การบอกตรงๆ หรือบางคร้ังกส็ อนโดย
คาประชดประชนั เหนบ็ แนม เนอื้ หาส่วนใหญจ่ ะสัง่ สอนให้คนมีปัญญา ไมห่ ลงใหลกับคาเยินยอ สอนให้รจู้ กั คิด
ไตรต่ รองก่อนพดู รจู้ กั เคารพผอู้ าวุโส รูจ้ กั ทาตามทผ่ี ูใ้ หญ่แนะนาร้จู กั กตัญญผู ้ใู หญ่
คณุ ค่างานประพันธ์
คณุ คา่ ด้านวรรณศลิ ป์ ใชถ้ ้อยคางา่ ย ๆ มาเรียงร้อยไดเ้ หมาะเจาะและมคี วามหมายลึกซึง้
คุณคา่ ด้านสงั คม ใหข้ ้อคดิ ในการดาเนนิ ชีวติ เพ่ือดารงอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ห น้ า | ๖
ใบงานท่ี ๑.๑ เรื่อง อศิ รญาณภาษิต
ชื่อ ช้ัน ม.๓/ เลขท่ี
คาชแ้ี จง ให้นักเรยี นเขยี นวิจารณแ์ ละแสดงความรู้ ความคดิ เห็น หรือโตแ้ ยง้ ต่อแนวคดิ ในอศิ รญาณ
ภาษติ
แนวคิดในอิศรญาณภาษิตท่ีนกั เรียนเห็นดว้ ย
๑. _____________________________________________________________________________
เพราะ
๒. _____________________________________________________________________________
เพราะ
๓. _____________________________________________________________________________
เพราะ
_____________________________________________________________________________
แนวคิดในอิศรญาณภาษิตท่ีนกั เรียนไมเ่ ห็นดว้ ย
๑. _____________________________________________________________________________
เพราะ
๒. _____________________________________________________________________________
เพราะ
_____________________________________________________________________________
ห น้ า | ๗
เฉลยใบงานท่ี 1.1 เรื่อง อศิ รญาณภาษติ
คาชแี้ จง ใหน้ กั เรียนเขยี นวิจารณ์และแสดงความรู้ ความคดิ เหน็ หรือโต้แยง้ ต่อแนวคิดในอศิ รญาณ
ภาษิต
ให้นักเรียนเขียนวจิ ารณ์และแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้ง ต่อแนวคิดในอิศรญาณภาษติ
แนวคิดในอิศรญาณภาษิตที่นกั เรียนเห็นดว้ ย (ตวั อยา่ งคาตอบ)
๑. _อ_ย_า่ _น_อ_น__เป_ล__่า_เอ_า_ก_ร_ะ_จ_ก__ย_ก_อ_อ_ก__ม_า______ส_่อ_ง_ด_ูห__น_า้_เ_ส_ีย_ท_ีห__น_่ึง_แ_ล_ว_้ _จ_ึง_น_อ_น____________________
เพราะ ก่อนนอนเราควรคิดทบทวนการกระทาในวนั น้ี เพื่อจะทาใหด้ ีข้ึนในวนั ตอ่ ไป
๒. _เห_็น__เต__ม็ _ต_า_แ_ล_ว้_อ__ย_า่ อ__ย_า_ก_ท_า_ป_า_ก_บ__อ_น_____ต_ร_อ_ง_เ_ส_ีย_ก_่อ_น__จ_ึง_ค_่อ_ย_ท__า_ก_ร_ร_ม_ท_้ง_ั ม__ว_ล________________
เพราะ การพูดทุกอยา่ งที่เห็นอาจทาใหเ้ ดือดร้อน และตอ้ งคิดให้รอบคอบก่อนที่จะพูดและทา
๓. _เก_ิด_เ_ป_็น__ค_น_เ_ช_ิง_ด_ูใ_ห__้รู_้เท_า่______ใจ__ข_อ_ง_เร_า_ไ_ม__่ส_อ_น_ใ_จ_ใ_ค__ร_จ_ะ_ส_อ_น______________________________
เพราะ การเตือนสติตนเองไดเ้ ป็นส่ิงที่ดีที่สุด ดีชว่ั อยทู่ ่ีตวั ทา สูงต่าอยทู่ ี่ทาตวั
_____________________________________________________________________________
แนวคิดในอิศรญาณภาษิตที่นกั เรียนไม่เห็นดว้ ย
๑. ช__า_ย_ข_า้ _ว_เป__ล_ือ_ก_ห__ญ_ิง_ข_า้_ว_ส__าร__โ_บ_ร_า_ณ_ว_า_่ _______________________________________________
เพราะ ปัจจุบนั หญิงกบั ชายเท่าเทียมกนั มีคุณค่าและทาประโยชน์ไดเ้ หมือนกนั
๒. ข__อ_ง_ส_่ิง_ใ_ด_เ_จ_า้ _ว_า่ _ง_าม__ต_อ้ _ง_ต_า_ม_เ_จ_า้ _ใ_ค__ร_เล_ย_เ_ล_่า_จ_ะ_ไ_ป_ง_า_ม__ต_า_ม_เส__ด_จ็ _____________________________
เพราะ ผมู้ ีอานาจก็สามารถทาผิดได้ และผมู้ ีอานาจก็ควรใจกวา้ งพอที่จะยอมรับความคิดเห็นของ
ผ__นู้ _อ้ _ย_________________________________________________________________________
ห น้ า | ๘
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๒
รหสั วิชา ท๒๓๑๐๒ รายวิชา ภาษาไทยพนื้ ฐาน จานวน ๑.๕ หนว่ ยกิต
หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๑ อศิ รญาณภาษติ เรอ่ื ง การท่องบทอาขยาน
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ เวลา ๒ ชว่ั โมง
มาตรฐานการเรียนรู้ เขา้ ใจและแสดงความคิดเหน็ วจิ ารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทย
มาตรฐาน ท ๕.๑ อยา่ งเห็นคุณค่าและนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ จริง
ตวั ชว้ี ัด
ท ๕.๑ ม.๓/๔ ทอ่ งจาและบอกคุณค่าบทอาขยานตามที่กาหนด และบทร้อยกรองทีม่ ี
คุณค่า
ตามความสนใจและนาไปใช้อ้างองิ
สาระสาคัญ
บทอาขยานและบทร้อยกรองทม่ี คี ุณคา่
- บทอาขยานตามท่ีกาหนด
จุดประสงค์การเรยี นรู้
ความรู้ (K)
๑. อ่านเรอื่ งต่างๆ แลว้ เขยี นบันทึกได้
ทักษะ/กระบวนการ (P)
๑. อ่านออกเสยี งบทร้อยแกว้ และบทร้อยกรองได้ถูกต้องเหมาะสมกับเร่ืองท่ีอ่าน
สมรรถนะหลกั
๑. ความสามารถในการส่ือสาร
๒. ความสามารถในการคดิ
๓. ความสามารถในการแก้ปญั หา
๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต
๕. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์
๒. ซ่ือสัตยส์ จุ ริต
๓. มีวินยั
๔. ใฝเ่ รียนรู้
๕. อยูอ่ ย่างพอเพียง
๖. ม่งุ มน่ั ในการทางาน
๗. รักความเปน็ ไทย
๘. มจี ิตสาธารณะ
ห น้ า | ๙
แนวความคิดเพอ่ื การเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑
๑. สาระวชิ าหลกั (Core Subjects)
๒. ทกั ษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม
๓. ทักษะด้านสารสนเทศ สอื่ และเทคโนโลยี
๔. ทักษะด้านชวี ติ และอาชีพ
สาระการเรยี นรู้
วรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถ่ินเกย่ี วกบั
- สุภาษติ คาสอน
กระบวนการจดั การเรียนรู้ (ขน้ั ตอน/กระบวนการ)
๑. นักเรยี นตอบคาถามกระต้นุ ความคดิ
นักเรยี นนาความรเู้ กยี่ วกบั บทอาขยานไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร (พจิ ารณาตามคาตอบของนกั เรยี น โดยให้อยู่
ในดุลยพนิ จิ ของครูผูส้ อน)
๒. นักเรียนรวมกลมุ่ เดิม (จากแผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่3)จากน้ันรว่ มกันแสดงความคดิ เหน็ เกีย่ วกับ
ความสาคัญของการท่องจาบทอาขยาน
๓. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มฝึกทอ่ งจาบทอาขยานเรอื่ ง อศิ รญาณภาษิตทก่ี าหนดเปน็ ทานองเสนาะ
๔. ครูให้นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกันปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ดงั นี้
- อภปิ รายคณุ ค่าของบทอาขยาน
- แตง่ คาประพันธ์ประเภทกลอนเพลงยาว โดยเลือกข้อความในบทอาขยานไปใชอ้ ้างอิง
๕. นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ รว่ มกนั กาหนดแนวทางในการอภปิ รายเกยี่ วกบั คณุ คา่ ของบทอาขยาน และ
การแต่ง คาประพนั ธ์ประเภทกลอนเพลงยาว โดยกาหนดข้ันตอนในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม
๖. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ร่วมกนั อภิปรายเกีย่ วกบั คุณคา่ ของบทอาขยาน และการแตง่ คาประพันธ์
ประเภทกลอนเพลงยาว ตามข้ันตอนในการปฏิบตั ิกิจกรรมท่ไี ดก้ าหนดแนวทางไว้
สอื่ (วัสดุ-อปุ กรณ์-สงิ่ พิมพ์)/นวัตกรรม /ICT
๑) หนังสอื เรยี น ภาษาไทย:วรรณคดีและวรรณกรรม ม.๓
๒) ตวั อย่างสภุ าษิตไทย
แหลง่ การเรียนรู้
-
บูรณาการ
-
ห น้ า | ๑๐
การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ เครอ่ื งมือวดั และประเมิน เกณฑ์การวัด
วธิ ีการวัดผลและการประเมิน แบบสอบถาม นักเรียนสอบผ่าน ๖๐ %
ดา้ นความรู้(K) ความรเู้ ก่ียวกับบทอาขยาน
ดา้ นทักษะ/ ทอ่ งจาบทอาขยาน สอบท่องจาบทอาขยาน นกั เรยี นสอบผา่ น ๖๐ %
กระบวนการ (P)
ดา้ นคุณธรรม ซื่อสตั ย์ มวี ินยั ใฝ่เรยี นรู้ แบบประเมนิ นักเรียนสอบผ่าน ๖๐ %
จริยธรรม และ
ค่านิยม(A)
การประเมนิ ผล
ประเดน็ ระดบั คุณภาพ
การประเมิน ๓๒๑
๔ ๐
ดา้ นความรู้(K) สานวนสุภาษติ ใน
เรอ่ื งอิศรญาณภาษติ
ดา้ นทักษะ/กระบวนการ เขยี นสานวนสุภาษิตใน
(P) เรอื่ งอิศรญาณภาษิต
ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม ซ่อื สัตย์ มวี ินยั ใฝเ่ รยี นรู้
และคา่ นิยม(A)
ห น้ า | ๑๑
กจิ กรรมเสนอแนะ
............................................................................................................................. ................................................
....................................................................................................................................................................... .......
ลงช่อื .....................................................ผเู้ ขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้
................/.................../................
บันทึกความเห็นของผ้ตู รวจแผนการจัดการเรยี นรู้
ได้ทาการตรวจแผนการจดั การเรยี นร้แู ลว้ มีความคิดเหน็ ดังนี้
เปน็ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง เน่อื งจาก
............................................................................................................................... .............................................
ลงชื่อ.............................................
(...........................................)
ประธานกลุ่มสาระฯ
บันทกึ หลังสอน
๑. ผลการสอน/ผลการเรียนรู้
ดา้ นความรู้ (K)
...............................................................................................................................................................
ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P)
............................................................................................................................ ...................................
ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นยิ ม (A)
............................................................................................................................. ..................................
สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น/แนวความคดิ เพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑
............................................................................................................................. ..................................
๒. ปญั หา/อุปสรรค และขอ้ ค้นพบ
........................................................................................................................................................ .......
........................................................................................................................... ....................................
๓. ขอ้ เสนอแนะแนวทางแก้ไข และผลการแกไ้ ข
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................
ลงชอื่ .....................................................ผู้สอน
(................................................)
ห น้ า | ๑๒
ใบความรู้เรื่อง การทอ่ งบทอาขยาน
การทอ่ งบทอาขยาน
สาระสาคญั
การท่องจาหรือท่องบทอาขยาน เป็นการอ่านออกเสยี งที่อาศยั ความจาโดยไมด่ บู ทอา่ นต้องใช้
ความสามารถในการจาบทท่องจา อา่ นให้ถูกต้องตามฉันทลกั ษณ์และทานองเสนาะของบทรอ้ ยกรองนน้ั ๆ
สอดคล้องกับอารมณใ์ นบทอ่าน โดยอ่านให้ไพเราะถูกต้องคลอ่ งแคลว่ เกดิ ภาพพจน์ได้รสได้อารมณ์
๑. ความหมาย
บทอาขยานคอื บทท่องจา การเลา่ การสวด เรอื่ ง นิทาน ซ่ึงเปน็ การท่องจาข้อความหรือคา
ประพันธท์ ี่ชอบ บทร้องกรองทไี่ พเราะ โดยอาจตัดตอนมาจากหนังสือวรรณคดเี พอื่ ใหผ้ ้ทู อ่ งจาได้ และเหน็
ความงามของบทรอ้ ยกรอง ทั้งในดา้ นวรรณศิลป์ การใชภ้ าษา เนอื้ หา และวิธกี ารประพันธ์ สามารถ
นาไปใช้เปน็ แบบอยา่ งในการแตง่ บทร้อยกรอง หรอื นาไปใช้เป็นข้อมูล ในการอ้างอิงในการพูดและการเขียน
ไดเ้ ป็นอย่างดี
๒. หลักการท่องบทอาขยาน
การท่องบทอาขยานสว่ นใหญเ่ ปน็ การท่องออกเสียง คือ ผ้ทู ่องเปล่งเสียงออกมาดงั ๆ ในขณะท่ีใช้
สายตากวาดไปตามตัวอักษร ยดึ หลักการออกเสียงเหมือนหลักการอ่านท่ัวไป เพ่ือให้การออกเสยี งมี
ประสทิ ธิภาพควรฝึกฝนดังนี้
๑. ฝกึ เปล่งเสียงใหด้ งั พอประมาณ ไมต่ ะโกน ควรบงั คบั เสียง เนน้ เสยี ง ปรบั ระดบั เสยี งสงู - ต่า ให้
สอดคล้องกบั จังหวะลีลา ทว่ งทานอง และความหมายของเนื้อหาที่อา่ น
๒. ทอ่ ง ดว้ ยเสยี งทีช่ ัดเจน แจม่ ใส ไพเราะ มีกระแสเสียงเดยี ว ไม่แตกพร่า เปล่งเสียงจากลาคอ
โดยตรงด้วยความมัน่ ใจ
๓. ท่อง ออกเสียงให้ถกู อักขรวธิ ีหรือความนิยม และตอ้ งเขา้ ใจเน้ือหาของบทอาขยานนี้กอ่ น
๔. ออกเสยี ง ร ล คาควบกลา้ ให้ถูกตอ้ งชดั เจน
๕. ท่อง ให้ถกู จงั หวะและวรรคตอน
๖. ท่องให้ไดอ้ ารมณ์และความรสู้ ึกตามเนอ้ื หา
๓. การท่องบทอาขยานเปน็ ทานองเสนาะ
การทอ่ งบทอาขยานเปน็ ทานองเสนาะชว่ ยให้บทอาขยานนั้นมคี วามไพเราะ ผ้ทู ่อง เกิดความ
สนใจจดจาบทอาขยานได้ดี และสนุกสนานยงิ่ ขนึ้ การฝกึ อ่านทานองเสนาะมีขนั้ ตอนดังนี้
๑. ท่อง เป็นร้อยแกว้ ธรรมดาใหถ้ กู ต้องชัดเจน ตามอกั ขรวิธีก่อน ทั้ง ร , ล ตัวควบกลา้ อ่านออกเสยี งให้ตรง
ตามเสยี งวรรณยุกต์
๒. ทอ่ งใหถ้ กู จังหวะวรรคตอน การอา่ นผดิ วรรคตอนทาใหเ้ สยี ความ
๓. ท่องใหส้ มั ผัสคล้องจองกนั เพื่อความไพเราะ
ห น้ า | ๑๓
๔. ท่องให้ถกู ทานองและลลี าของคาประพันธแ์ ต่ละชนิด คาประพนั ธแ์ ต่ละชนิดจะมบี ังคับจานวนคา
สมั ผสั หรอื คาเอก คาโทแตกต่างกัน การอา่ นทานองเสนาะจงึ ต้องอ่านใหถ้ ูกทว่ งทานองและลีลาของคา
ประพันธแ์ ตล่ ะชนดิ
๕. ทอ่ งโดยใช้นา้ เสียงใหเ้ หมาะสมกับเนื้อหาและอ่านพยางคส์ ดุ ท้ายของวรรคด้วยการทอดเสยี ง แล้ว
ปล่อยใหห้ างเสยี งผวนขึน้ จมูก
๔. ประโยชน์และคุณค่าของการท่องบทอาขยาน
๑. ฝึกความจา ซึ่งเป็นสงิ่ สาคัญย่งิ เพราะมนุษย์ตอ้ งอาศัยความจา เพื่อเปน็ เครือ่ งมอื ในการคิด
วิเคราะห์คิดสังเคราะห์
๒. เปน็ การฝกึ วนิ ยั เพราะการจะท่องให้จาได้ตอ้ งมีวินยั หม่ันฝึก หมัน่ ท่องอยเู่ สมอ
๓. เป็นการใชเ้ วลาวา่ งให้เปน็ ประโยชน์
๔. อนุรกั ษ์วัฒนธรรมไทย ทางด้านภาษาให้คงอยู่ตลอดไป
๕. ไดร้ ับคตสิ อนใจจาก บทคาประพันธต์ ่างๆ ท่ีท่อง
๖. ทาใหเ้ ป็นคนอารมณ์ดี จากความงามของบทประพนั ธ์ที่ทอ่ ง
๗. เพอ่ื ตระหนักในคุณคา่ ของภาษาไทย และซาบซงึ้ ในความไพเราะของบทร้อยกรอง
๘. เพ่อื ให้เกดิ ความภาคภมู ใิ จในความสามารถของกวไี ทย
๙. เพอ่ื เปน็ พื้นฐานในการแตง่ คาประพันธ์
๑๐. เพอ่ื ใชเ้ ป็นส่อื ถ่ายทอดคณุ ธรรมจรยิ ธรรม และนาข้อคดิ ที่เปน็ ประโยชนไ์ ปใช้ใน
ห น้ า | ๑๔
ช่ือ ช้ัน ม.๓/ เลขท่ี
ใบงานที่ ๒.๑ เร่ือง การอา่ นออกเสยี งบทร้อยกรอง
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนท่องบทอาขยานหลักอศิ รญาณภาษติ ให้ถูกตอ้ งและชดั เจนตามหลกั การอ่านออกเสียง
บทร้อยกรอง
บทอาขยานหลกั อิศรญาณภาษิต
อศิ รญาณภาษติ น้าพ่งึ เรือเสือพ่งึ ป่ าอชั ฌาสัย
ชายขา้ วเปลือกหญิงขา้ วสารโบราณวา่
เรากจ็ ิตคิดดูเล่าเขากใ็ จ รักกนั ไวด้ ีกวา่ ชงั ระวงั การ
ผใู้ ดดีดีต่ออยา่ ก่อกิจ ผใู้ ดผดิ ผอ่ นพกั อยา่ หกั หาญ
สิบดีกไ็ ม่ถึงกบั ก่ึงพาล เป็นชายชาญอยา่ เพอ่ คาดประมาท
ชาย
รักส้ันน้นั อยา่ ใหร้ ู้อยเู่ พียงส้ัน รักยาวน้นั อยา่ ใหเ้ ยน่ิ เกินกฎหมาย
มิใช่ตายแต่เขาเรากต็ าย แหงนดูฟ้าอยา่ ใหอ้ ายแก่เทวดา
อยา่ ดูถูกบุญกรรมวา่ ทานอ้ ย น้าตาลยอ้ ยมากเมื่อไรไดห้ นกั หนา
อยา่ นอนเปล่าเอากระจกยกออกมา ส่องดูหนา้ เสียทีหน่ึงแลว้ จึงนอน
หม่อมเจา้ อิศรญาณ
ห น้ า | ๑๕
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๓
รหัสวชิ า ท๒๓๑๐๒ รายวชิ า ภาษาไทยพื้นฐาน จานวน ๑.๕ หน่วยกิต
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๑ อิศรญาณภาษิต เร่ือง การจดบันทกึ จากการอ่าน
ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓ ภาคเรียนที่ ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ เวลา ๓ ช่วั โมง
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขยี นเขยี นส่ือสาร เขยี นเรียงความ ยอ่ ความ และเขียน
เรอ่ื งราวในรูปแบบต่างๆ เขยี นรายงานข้อมลู สารสนเทศและ รายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวชี้วดั
ท ๒.๑ ม.๓/๒ เขยี นข้อความโดยใช้ถ้อยคาได้ถกู ต้องตามระดับภาษา
สาระสาคญั
อศิ รญาณภาษิตเปน็ วรรณคดีเกย่ี วกับสุภาษิตคาสอน ซง่ึ ผูเ้ รียนต้เรอื่ งสรปุ เนื้อหาของอิศรญาณภาษิต
ได้
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
ความรู้ (K)
1. อา่ นเรอื่ งต่างๆ แล้วเขยี นบันทึกได้
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
1. อ่านออกเสยี งบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถกู ต้องเหมาะสมกับเร่ืองท่ีอ่าน
สมรรถนะหลัก
๑. ความสามารถในการส่ือสาร
๒. ความสามารถในการคดิ
๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา
๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ
๕. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
๒. ซ่ือสัตย์สุจริต
๓. มีวนิ ัย
๔. ใฝ่เรยี นรู้
๕. อยอู่ ย่างพอเพยี ง
๖. มงุ่ มน่ั ในการทางาน
๗. รักความเปน็ ไทย
๘. มจี ติ สาธารณะ
แนวความคิดเพือ่ การเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี ๒๑
๑. สาระวิชาหลัก (Core Subjects)
๒. ทักษะด้านการเรยี นรู้และนวัตกรรม
ห น้ า | ๑๖
๓. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี
๔. ทกั ษะด้านชวี ติ และอาชพี
สาระการเรียนรู้
การอา่ นออกเสยี งบทร้อยกรองกาพย์ฉบงั ๑๖
กระบวนการจัดการเรียนรู้ (ขัน้ ตอน/กระบวนการ)
๑. ครูสมุ่ นกั เรยี น ๒-๓ คนนาเสนอคาถามที่ต้งั ขน้ึ จากการอ่านวรรณคดีเร่ือง อิศรญาณภาษิต
๒. นกั เรียนแตล่ ะคนจดบนั ทกึ ข้อมลู ตา่ งๆ ทีไ่ ด้จากการอ่านวรรณคดเี ร่ือง อิศรญาณภาษิต โดยจด
บันทึก ในส่วนทส่ี าคญั และสง่ิ ทีจ่ าเปน็ ใช้ข้อความอย่างรดั กุมหรอื ย่อๆ ตามความเขา้ ใจของนักเรียน
๓. นกั เรียนเขยี นสรุปใจความสาคญั โดยพยายามใชภ้ าษาของตนเองถ้ายังไม่แน่ใจในบทใดหรอื ตอน
ใด ใหก้ ลบั ไปอา่ นซ้าใหม่
๔. นกั เรียนแต่ละคนวิเคราะห์ วิจารณ์ วรรณคดเี ร่ือง อศิ รญาณภาษิต ทีน่ ักเรยี นได้อา่ นแลว้ แสดง
คดิ เห็นในประเด็นท่ีนักเรียนมีความคดิ เหน็ สอดคล้อง หรอื มีความคิดเห็นไม่สอดคลอ้ ง
๕. นกั เรียนตอบคาถามกระตนุ้ ความคิด ๑-๒ ขอ้
๑) นกั เรยี นคดิ วา่ ผแู้ ต่งเรื่องอิศรญาณภาษติ มีเจตนาอยา่ งไรในการแตง่
(พิจารณาตามคาตอบของนกั เรยี น โดยให้อยู่ในดุลยพนิ ิจของครผู สู้ อน)
๒) นักเรยี นคดิ วา่ ผ้อู ่านเรื่องนี้รบั สารได้ตรงตามเจตนาของผู้แต่งหรือไม่ เพราะเหตุใด
(พจิ ารณาตามคาตอบของนกั เรยี น โดยให้อยู่ในดลุ ยพนิ จิ ของครผู ูส้ อน)
๖. ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายสรปุ ใจความสาคัญของวรรณคดีเร่ือง อิศรญาณภาษติ แลว้
บันทึก ความรทู้ ่ีได้ลงในแบบบนั ทกึ การอ่าน
๗. ครตู รวจผลงานนกั เรียนโดยพิจารณาวา่ นกั เรยี นจบั ใจความสาคญั ได้ถูกตอ้ งหรอื ไม่ แล้วให้
ความ ชว่ ยเหลอื ปรับปรงุ แก้ไขผลงานนักเรียนท่ีมีปัญหา
แหล่งการเรยี นรู้
๑) หนงั สือเรยี น ภาษาไทย:วรรณคดแี ละวรรณกรรม ม3.
๒) ตัวอยา่ งสุภาษติ ไทย
บูรณาการ
- กล่มุ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา
ห น้ า | ๑๗
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
วธิ กี ารวดั ผลและการประเมิน เครอื่ งมอื วัดและประเมิน เกณฑก์ ารวัด
นักเรียนไดร้ บั ความรู้เร่อื งอศิ รญาณ
ด้านความรู้(K) ภาษติ แบบสอบถาม
นกั เรยี นสอบผ่าน ๖๐ %
ดา้ นทักษะ/ นกั เรยี นเขียนบนั ทึกการอ่าน เรือ่ ง ตรวจบนั ทึกเร่อื งอศิ รญาณ
กระบวนการ (P) อิศรญาณภาษิต ภาษิต นักเรียนสอบผา่ น ๖๐ %
ดา้ นคุณธรรม ซื่อสัตย์ มีวนิ ัย ใฝเ่ รียนรู้ แบบประเมนิ นกั เรียนสอบผ่าน ๖๐ %
จริยธรรม และ
ค่านิยม(A)
การประเมนิ ผล
ประเด็น ระดบั คุณภาพ
การประเมิน ๔๓ ๒ ๑๐
ดา้ นความรู้(K) สานวนสุภาษิตใน
เรือ่ งอิศรญาณภาษติ
ด้านทักษะ/กระบวนการ เขยี นสานวนสุภาษติ ใน
(P) เรื่องอิศรญาณภาษติ
ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม ซอ่ื สัตย์ มวี นิ ัย ใฝเ่ รียนรู้
และคา่ นยิ ม(A)
ห น้ า | ๑๘
กิจกรรมเสนอแนะ
............................................................................................................................................. ................................
................................................................................................. .............................................................................
ลงช่อื .....................................................ผู้เขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้
................/.................../................
บันทึกความเหน็ ของผู้ตรวจแผนการจดั การเรียนรู้
ได้ทาการตรวจแผนการจัดการเรยี นรแู้ ล้ว มีความคิดเหน็ ดังน้ี
เป็นแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรบั ปรุง เน่อื งจาก
............................................................................................................................. ...............................................
ลงช่อื .............................................
(...........................................)
ประธานกลมุ่ สาระฯ
บันทกึ หลังสอน
๑. ผลการสอน/ผลการเรยี นรู้
ด้านความรู้ (K)
............................................................................................................................. ..................................
ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P)
............................................................................................................................... ................................
ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านยิ ม (A)
...............................................................................................................................................................
สมรรถนะสาคัญของผ้เู รียน/แนวความคดิ เพ่ือการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21
............................................................................................ ...................................................................
๒. ปัญหา/อุปสรรค และขอ้ ค้นพบ
............................................................................................................................. ..................................
............................................................................................................................... ................................
๓. ขอ้ เสนอแนะแนวทางแก้ไข และผลการแกไ้ ข
...............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................
ลงชอื่ .....................................................ผู้สอน
(................................................)
ห น้ า | ๑๙
ใบความรู้เรื่อง การเขียนบันทกึ การอ่าน
การบนั ทึกการอ่าน หมายถึง การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากแหล่งต่าง ๆ เพอื่ นามาใช้ ในการเขียน ผูอ้ า่ น
จาเป็นตอ้ งมีทกั ษะการเขียนสรุปความ ถอดความและคดั ลอกขอ้ ความสาคญั การมีระบบการบนั ทึกท่ีดีจะ
ช่วย ใหเ้ ราสามารถรวบรวมขอ้ มูลขา่ วสารตา่ งๆ จากการอ่านไปใช้ ใหเ้ ป็นประโยชน์ไดถ้ ูกตอ้ งครบถว้ นการ
บนั ทึกการอ่านช่วยใหผ้ เู้ รียนมีสมาธิ ในการอ่านท้งั น้ีเพราะตอ้ งเลือกบนั ทึกเฉพาะส่ิงท่ีเป็นประเดน็ สาคญั ท่ี
ตอ้ งการนาไปใช้ ในงานของตนดงั น้นั การบนั ทึกจากการอ่านผอู้ า่ นจึงตอ้ งมีความเขา้ ใจเร่ืองท่ีอ่านเป็นอยา่ ง
ดีและสร้างความคิดของตนเองในขณะท่ีเขียนบนั ทึกน้นั ดว้ ย
กลวธิ ีในการบนั ทกึ การอ่าน
๑. รู้จกั เลือกและมีวธิ ีการบนั ทึกท่ีเป็นระบบ คานึงถึงวตั ถุประสงคข์ องการอ่านอยเู่ สมอวา่ เรา
ตอ้ งการอะไรจากการอ่าน ก่อนที่จะลงมือบนั ทึกตอ้ งสารวจขอ้ เขียนน้นั อยา่ งคร่าว ๆ โดยภาพรวมพจิ ารณา
วา่ อะไรคือประเด็นความคิดสาคญั ของเรื่อง เลือกอ่านและบนั ทึกเฉพาะบางส่ิงท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ประเดน็ ท่ี
ตอ้ งการศึกษาเทา่ น้นั แยกขอ้ เทจ็ จริงกบั ขอ้ คิดเห็นในเร่ืองท่ีอา่ นออกจากกนั และแยกระหวา่ งขอ้ คิดเห็นของ
เรากบั สิ่งท่ีไดจ้ ากการอา่ น พร้อมท้งั ระบุแหล่งท่ีมาของขอ้ มูลใหช้ ดั เจนทุกคร้ัง
๒. ทราบวตั ถุประสงคแ์ ละความสาคญั ของขอ้ เขียนน้นั ก่อนลงมือบนั ทึกเราตอ้ งทราบวตั ถุประสงค์
และบทบาทหนา้ ท่ีของขอ้ เขียนน้นั วา่ มีความสาคญั อยา่ งไร ไมว่ า่ จะตอ้ งการบนั ทึกขอ้ ความในขอ้ เขียนน้นั
เพยี งบางส่วนหรือท้งั หมดก็ตาม ท้งั น้ีโดยพจิ ารณาส่วนตา่ ง ๆ ดงั น้ี
๑) พิจารณาช่ือเร่ือง บทคดั ยอ่ หรือบทนา
๒) อา่ นขอ้ ความยอ่ หนา้ แรก
๓) สารวจขอ้ เขียนน้นั อยา่ งคร่าว ๆ หวั เร่ืองยอ่ ยและสังเกตวธิ ีการเรียงร้อยองคป์ ระกอบ
ตา่ ง ๆ
๔) อ่านส่วนท่ีเป็นภาพประกอบและคาดเดาวา่ ผเู้ ขียนใชเ้ น้ือหาส่วนน้นั เพอ่ื วตั ถุประสงค์
อะไร การสารวจเป็ นการเร่ิมตน้ ที่มีประสิทธิภาพท้งั น้ีเพราะจะทาใหผ้ อู้ า่ นสามารถเลือกอ่านเฉพาะส่วนท่ี
เก่ียวขอ้ งกบั สิ่งที่เราตอ้ งการอ่านเท่าน้นั ซ่ึงจะช่วยประหยดั เวลาในการอ่านไดเ้ ป็นอยา่ งดี
๓. ทราบลกั ษณะการนาขอ้ มูลต่าง ๆ มาใชใ้ นการเขียน ขอ้ เขียนเป็นจานวนมากนาหลกั การสาคญั
ของเร่ืองมาเรียงร้อยเขา้ ดว้ ยกนั ในขณะท่ีบางเรื่องมีการเรียงลาดบั ตามความสาคญั ของเน้ือหา ในการอ่าน
เพอื่ บนั ทึกขอ้ มูลน้นั ผอู้ ่านควรทราบวา่ ผเู้ ขียนมีลกั ษณะการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเขา้ เป็นเร่ืองราวเดียวกนั ใน
ลกั ษณะใดท้งั น้ีเพอื่ ใหส้ ามารถคน้ หาความคิดสาคญั และความสัมพนั ธ์ขององคป์ ระกอบต่าง ๆ ในเร่ืองได้
การเรียงลาดบั เน้ือหาในการเขียนมีหลายลกั ษณะ เช่น จากแนวคิดในอดีตมาถึงปัจจุบนั เรียงตามลาดบั
ข้นั ตอนหรือเหตุการณ์ เรียงจากความสาคญั มากไปหาความสาคญั นอ้ ย เรียงจากแนวคิดที่ไมซ่ บั ซอ้ นไปหา
แนวคิดที่ซบั ซอ้ นมากที่สุด เรียงจากแนวคิดกวา้ ง ๆ ทว่ั ไปไปหาความคิดท่ีเฉพาะเจาะจง เรียงจากส่วนท่ี
ใหญท่ ี่สุดไปหาส่วนท่ีเลก็ ท่ีสุด เรียงจากตวั ปัญหาไปสู่การแกป้ ัญหา รียงจากเหตุไปหาผล เป็นตน้
ห น้ า | ๒๐
๔. แสดงความคิดเห็นของตนเองขณะบนั ทึก ขณะท่ีเราบนั ทึกสาระสาคญั ที่ไดจ้ ากการอ่านน้นั เรา
ควรบนั ทึกขอ้ คิดเห็นของเราต่อเรื่องน้นั ๆ ดว้ ยเสมอ แตต่ อ้ งแยกใหเ้ ห็นอยา่ งชดั เจนวา่ ขอ้ ความส่วนใดคือ
ส่วนท่ีไดจ้ ากการอ่านและส่วนใดเป็นขอ้ คิดเห็น อาจใชป้ ากกาคนละสีหรือแยกเขียนไวค้ นละช่องก็ได้
วธิ ีบันทกึ ข้อมูลจากการอ่าน
การบนั ทึกขอ้ มูลจากการอา่ นทาไดห้ ลายวธิ ีเช่น การคดั ลอกขอ้ ความโดยตรง การถอดความการ
สรุปความแต่ ในท่ีน้ีจะใชว้ ธิ ีการสรุปความ
การสรุปความคือ การเลือกเอาเฉพาะส่ิงที่เป็นประเด็นสาคญั ของเร่องและการสนบั สนุนประเด็น
น้นั อยา่ งส้นั ๆ ดว้ ยถอ้ ยคาภาษาของเราเองขอ้ ความที่สรุปมาตอ้ งแสดงสาระสาคญั ของเรื่องท้งั หมดไดอ้ ยา่ ง
ครบถว้ นชดั เจนดงั น้นั ผูอ้ ่านจึงตอ้ งอา่ นเน้ือหาของเรื่องน้นั ใหเ้ ขา้ ใจจึงจะสามารถสรุปความไดอ้ ยา่ งถูก
ตอ้ งการสรุปความจะส้นั กวา่ การถอดความมากเพราะเป็นการสรุปเอาเฉพาะประเดน็ สาคญั เท่าน้นั ในขณะท่ี
การถอดความเป็นการนาทุกประเด็นในขอ้ เขียนน้นั มาเขียนใหม่เป็นประเด็นๆ ไปแต่การสรุปความเป็ นการ
เลือกเอาประเด็นสาคญั เทา่ น้นั รายละเอียดปลีกยอ่ ยตา่ ง ๆ เช่นตวั อยา่ ง ตอ้ งตดั ทิ้งไป ในการสรุปความอาจ
มีการจดั เรียงลาดบั ประเดน็ สาคญั ใหมแ่ ละยอ่ ใจความท้งั หมดใหส้ ้ันเขา้ โดยทว่ั ไปการเขียนสรุปความก็ตอ้ ง
ระบุช่ือผแู้ ต่ง รายละเอียดเก่ียวกบั การพิมพแ์ ละแหล่งท่ีมาของเอกสารน้นั
วธิ สี รุปความ
๑. บนั ทึกช่ือผแู้ ตง่ และรายละเอียดเกี่ยวกบั การพมิ พข์ อ้ เขียนน้นั
๒. อา่ นขอ้ เขียนอยา่ งคร่าวๆ แบ่งเน้ือหาออกเป็นตอนๆ
๓. อ่านขอ้ เขียนน้นั อยา่ งรอบคอบ อาจอา่ นหลายคร้ังหากยงั ไม่เขา้ ใจ
๔. อ่านยอ่ หนา้ แรกและยอ่ หนา้ สุดทา้ ยอยา่ งละเอียด
๕. พยายามมองหาประเด็นความคิดหรือการแสดงเหตุผลในขอ้ เขียนน้นั
๖. ดูการขยายประเด็นของประโยคใจความสาคญั
๗. ต้งั ช่ือหรือใหห้ วั เร่ืองขอ้ ความที่สรุปดว้ ยทุกคร้ัง
๘. สรุปใจความสาคญั ของแต่ละตอนดว้ ยประโยคใจความสาคญั เพียง ๑ หรือ ๒ ประโยค
แลว้ ขยายใจความน้นั ดว้ ยภาษาของเราเอง
๙. อา่ นทบทวนและเขียนใหมห่ ากขอ้ ความน้นั ยงั ไม่ถูกตอ้ งสมบูรณ์
๑๐. ตรวจสอบความถูกตอ้ งของการสะกดการันตแ์ ละไวยากรณ์
ห น้ า | ๒๑
ตวั อย่างการเขยี นบนั ทกึ จากการอ่านเร่ือง ปราสาทหิน
ผแู้ ต่ง จุลทรรศน์ พยาฆรานนท์
ช่ือเร่ือง ปราสาทหิน
จากหนงั สือ ร้อยคาร้อยความ
สานกั พมิ พ์ สถาบนั ไทยคดีศกึ ษา จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั
ปี ท่ีพิมพ์ ๒๕๔๓
หนา้ ๒๙๔ – ๒๙๖
ปราสาทหินเป็ นส่ิงก่อสร้างของพวกขอมแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาของพวกขอมที่มีตอ่ เทพเจา้
ปราสาทหินแทบทุกแห่งสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์สนั นิษฐานไว้ ๒ ประเดน็ คือประเดน็ แรกพระราชาผเู้ ป็ นองค์
อุปถมั ภก์ ารสร้างปราสาทน้นั สิ้นพระชนมเ์ สียก่อนท่ีปราสาทจะสร้างสาเร็จอีกประเด็นหน่ึงคือไม่สร้างให้
เสร็จเพราะเป็นกลลวงแก่อริราชศตั รู ใหเ้ ห็นวา่ บา้ นเมืองน้นั มีผคู้ นพรักพร้อม เศรษฐกิจดีมีเงินสร้างปราสาท
หินอยไู่ ม่เหมาะที่จะยกทพั มาทาสงครามปราสาทหินเป็นงานศิลปกรรมที่มีคุณคา่ ทางสถาปัตยกรรมและ
ประติมากรรมแสดงถึงความรุ่งเรืองของประเทศที่เป็นเจา้ ของ ในขณะเดียวกนั ปราสาทหินก็อาจจะทาใหเ้ กิด
ความหายนะไดก้ ารเกณฑแ์ รงไปสร้างปราสาทหินสร้างปัญหาหลายประการท้งั กาลงั คนและเศรษฐกิจความ
มนั่ คงของประเทศก็สนั่ คลอนเป็นช่องทางใหศ้ ตั รูเขา้ โจมตี ไดง้ ่ายจึงไมน่ ่าประหลาดใจท่ีจะกล่าววา่ “ขอม
ทาใหช้ าวโลกรู้จกั เขาดว้ ยปราสาทหินและปราสาทหินน้นั แหละทาลายขอมใหป้ ลาสนาการในท่ีสุด”
ห น้ า | ๒๒
ชื่อ ช้ัน ม.๓/ เลขท่ี
ใบงานที่ ๓.๑ เรื่อง การเขยี นบนั ทกึ จากการอ่าน
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนเติมคาตอบลงในช่องวา่ งให้ ได้ ใจความถูกตอ้ ง ชดั เจน
๑. การเขียนบนั ทึกการอา่ นมีประโยชน์ คือ
๒. การอา่ นเพอื่ บนั ทึก มีวธิ ีการดงั น้ี
๓. การสรุปความ คือ
๔. วธิ ีการบนั ทึกขอ้ คิดเห็นของผบู้ นั ทึกควรทาอยา่ งไร
๕. วธิ ีการอ่านเพอ่ื เขียนบนั ทึกทาไดด้ งั น้ี
ห น้ า | ๒๓
ช่ือ ช้ันม.๓/ เลขท่ี
ใบงานท่ี ๓.๒ เรื่องการเขยี นบนั ทกึ การอ่านจากการอ่านเรื่องอศิ รญาณภาษิต
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนอ่านเรื่อง อิศรญาณภาษิต แลว้ เขียนบนั ทึกการอา่ นแบบสรุปความตามรูปแบบตอ่ ไปน้ี
ผแู้ ตง่ :
ช่ือเรื่อง :
จากหนงั สือ :
สานกั พิมพ์ :
ปี ท่ีพิมพ์ :
หนา้ :
สรุปความ
ห น้ า | ๒๔
เฉลยใบงานท่ี 3.1 เรื่อง การเขยี นบนั ทึกจากการอ่าน
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนเติมคาตอบลงในช่องวา่ งให้ ได้ ใจความถูกตอ้ ง ชดั เจน
๑. การเขียนบนั ทึกการอ่านมีประโยชน์ คือ
ใชเ้ ป็นแหล่งสืบคน้
๒. การอ่านเพอื่ บนั ทึก มีวธิ ีการดงั น้ี
๑. บนั ทึกชื่อผแู้ ต่งและรายละเอียดเก่ียวกบั การพิมพข์ อ้ เขียนน้นั
๒. อ่านขอ้ เขียนอยา่ งคร่าวๆ แบ่งเน้ือหาออกเป็นตอนๆ
๓. อา่ นขอ้ เขียนน้นั อยา่ งรอบคอบ อาจอ่านหลายคร้ังหากยงั ไม่เขา้ ใจ
๔. อา่ นยอ่ หนา้ แรกและยอ่ หนา้ สุดทา้ ยอยา่ งละเอียด
๕. พยายามมองหาประเด็นความคิดหรือการแสดงเหตุผลในขอ้ เขียนน้นั
๖. ดูการขยายประเด็นของประโยคใจความสาคญั
๗. ต้งั ชื่อหรือใหห้ วั เรื่องขอ้ ความท่ีสรุปดว้ ยทุกคร้ัง
๘. สรุปใจความสาคญั ของแต่ละตอนดว้ ยประโยคใจความสาคญั เพียง ๑ หรือ ๒ ประโยคแลว้ ขยาย
ใจความน้นั ดว้ ยภาษาของเราเอง
๙. อ่านทบทวนและเขียนใหมห่ ากขอ้ ความน้นั ยงั ไม่ถูกตอ้ งสมบูรณ์
๑๐. ตรวจสอบความถูกตอ้ งของการสะกดการันตแ์ ละไวยากรณ์
ห น้ า | ๒๕
๓. การสรุปความ
การเลือกเอาเฉพาะส่ิงที่เป็นประเด็นสาคญั ของเร่องและการสนบั สนุนประเด็นน้นั อยา่ งส้ัน ๆ ดว้ ย
ถอ้ ยคาภาษาของเราเองขอ้ ความท่ีสรุปมาตอ้ งแสดงสาระสาคญั ของเรื่องท้งั หมดไดอ้ ยา่ งครบถว้ น
ชดั เจนดงั น้นั ผอู้ า่ นจึงตอ้ งอา่ นเน้ือหาของเร่ืองน้นั ใหเ้ ขา้ ใจจึงจะสามารถสรุปความไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งการ
สรุปความจะส้ันกวา่ การถอดความมากเพราะเป็นการสรุปเอาเฉพาะประเดน็ สาคญั เทา่ น้นั ในขณะที่
การถอดความเป็นการนาทุกประเดน็ ในขอ้ เขียนน้นั มาเขียนใหมเ่ ป็นประเด็นๆ ไปแต่การสรุปความเป็น
การเลือกเอาประเด็นสาคญั เท่าน้นั รายละเอียดปลีกยอ่ ยตา่ ง ๆ เช่นตวั อยา่ ง ตอ้ งตดั ทิง้ ไป ในการสรุป
ความอาจมีการจดั เรียงลาดบั ประเด็นสาคญั ใหม่และยอ่ ใจความท้งั หมดใหส้ ้นั เขา้ โดยทว่ั ไปการเขียน
สรุปความกต็ อ้ งระบุช่ือผูแ้ ต่ง รายละเอียดเกี่ยวกบั การพิมพแ์ ละแหล่งที่มาของเอกสารน้นั
๔. วธิ ีการบนั ทึกขอ้ คิดเห็นของผบู้ นั ทึกควรทาอยา่ งไร
แสดงความคิดเห็นของตนเองขณะบนั ทึก ขณะที่เราบนั ทึกสาระสาคญั ที่ไดจ้ ากการอ่านน้นั เราควรบนั ทึก
ขอ้ คิดเห็นของเราต่อเรื่องน้นั ๆ ดว้ ยเสมอ แต่ตอ้ งแยกใหเ้ ห็นอยา่ งชดั เจนวา่ ขอ้ ความส่วนใดคือส่วนที่ไดจ้ าก
การอา่ นและส่วนใดเป็นขอ้ คิดเห็น อาจใชป้ ากกาคนละสีหรือแยกเขียนไวค้ นละช่องก็ได้
๕. วธิ ีบนั ทึกการอ่านเพื่อเขียนบนั ทึกทาไดด้ งั น้ี
๑. รูจ้ กั เลือกและมีวธิ ีการบันทึกท่ีเป็นระบบ คานึงถึงวตั ถปุ ระสงค์ของการอา่ นอยู่เสมอว่าเราตอ้ งการ
อะไรจากการอ่าน กอ่ นท่จี ะลงมือบนั ทึกต้องสารวจขอ้ เขียนนั้นอยา่ งครา่ ว ๆ โดยภาพรวมพจิ ารณาว่า
อะไรคือประเดน็ ความคิดสาคัญของเร่ือง แยกข้อเทจ็ จริงกับขอ้ คิดเหน็ ในเร่ืองที่อ่านออกจากกันและแยก
ระหว่างขอ้ คิดเหน็ ของเรากับสง่ิ ทีไ่ ด้จากการอ่าน พร้อมทั้งระบแุ หลง่ ท่มี าของข้อมลู ใหช้ ัดเจนทุกครั้ง
๒. ทราบวตั ถปุ ระสงคแ์ ละความสาคัญของขอ้ เขยี นน้นั ก่อนลงมือบนั ทึกเราต้องทราบวัตถปุ ระสงคแ์ ละ
บทบาทหน้าท่ีของข้อเขียนน้ันวา่ มคี วามสาคัญอย่างไร ไม่วา่ จะตอ้ งการบันทึกข้อความในขอ้ เขียนนน้ั เพยี ง
บางส่วนหรือทง้ั หมดกต็ าม ทั้งน้ีโดยพิจารณาสว่ นต่าง ๆ ดังนี้
๑) พิจารณาช่ือเร่ือง บทคดั ย่อ หรือบทนา
๒) อา่ นข้อความย่อหน้าแรก
๓) สารวจข้อเขียนนั้นอย่างคร่าว ๆ หัวเร่ืองยอ่ ยและสงั เกตวิธกี ารเรยี งร้อยองคป์ ระกอบต่าง ๆ
๔) อ่านสว่ นท่ีเปน็ ภาพประกอบและคาดเดาวา่ ผเู้ ขียนใชเ้ นือ้ หาสว่ นนนั้ เพื่อวัตถุประสงค์อะไร การ
สารวจเป็นการเริม่ ต้นทีม่ ปี ระสิทธภิ าพทั้งนี้เพราะจะทาใหผ้ ู้อา่ นสามารถเลอื กอ่านเฉพาะสว่ นทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง
กบั สิง่ ทเี่ ราต้องการอ่านเท่าน้ันซง่ึ จะชว่ ยประหยดั เวลาในการอา่ นได้เป็นอย่างดี
ห น้ า | ๒๖
๓. ทราบลกั ษณะการนาขอ้ มูลตา่ ง ๆ มาใช้ในการเขยี น
๔. แสดงความคดิ เหน็ ของตนเองขณะบนั ทึก ขณะทีเ่ ราบันทึกสาระสาคัญท่ไี ด้จากการอ่านนัน้ เราควร
บนั ทึกข้อคดิ เหน็ ของเราต่อเรื่องน้ัน ๆ ดว้ ยเสมอ แต่ต้องแยกให้เห็นอย่างชดั เจนวา่ ข้อความสว่ นใดคือส่วน
ท่ไี ดจ้ ากการอ่านและส่วนใดเป็นขอ้ คิดเห็น อาจใชป้ ากกาคนละสีหรือแยกเขียนไว้คนละชอ่ งกไ็ ด้
ห น้ า | ๒๗
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๔
รหัสวิชา ท๒๓๑๐๒ รายวิชา ภาษาไทยพนื้ ฐาน จานวน ๑.๕ หน่วยกิต
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๑ อิศรญาณภาษิต เรอื่ ง การสรุปความรู้และข้อคิด
ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓ ภาคเรียนท่ี ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ เวลา ๓ ชว่ั โมง
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขยี นเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ยอ่ ความ และเขยี น
เรื่องราว ในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมลู สารสนเทศและ รายงานการศกึ ษาคน้ คว้าอย่างมีประสทิ ธิภาพ
ตัวชว้ี ดั
ท ๒.๑ ม.๓/๗ เขียนวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเหน็ หรือโตแ้ ย้งในเร่ือง
ตา่ งๆ
สาระสาคัญ
อศิ รญาณภาษติ เปน็ วรรณคดีเกี่ยวกบั สภุ าษิตคาสอน ซ่งึ ผู้เรียนต้องสรุปเน้อื หาของอิศรญาณภาษิต
ได้
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ความรู้ (K)
๑. อา่ นเรอ่ื งตา่ งๆแลว้ เขยี นบนั ทึกได้
ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
๑. อ่านออกเสียงบทรอ้ ยแกว้ และบทร้อยกรองได้ถูกต้องเหมาะสมกบั เร่ืองท่ีอา่ น
สมรรถนะหลัก
๑. ความสามารถในการสื่อสาร
๒. ความสามารถในการคดิ
๓. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต
๕. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
๒. ซ่อื สัตย์สจุ ริต
๓. มวี นิ ยั
๔. ใฝ่เรียนรู้
๕. อยู่อย่างพอเพยี ง
๖. มงุ่ มนั่ ในการทางาน
๗. รกั ความเป็นไทย
๘. มจี ติ สาธารณะ
แนวความคิดเพอื่ การเรียนรูใ้ นศตวรรษท่ี ๒๑
ห น้ า | ๒๘
๑. สาระวิชาหลกั (Core Subjects)
๒. ทักษะดา้ นการเรียนรแู้ ละนวตั กรรม
๓. ทักษะดา้ นสารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยี
๔. ทกั ษะดา้ นชวี ติ และอาชีพ
สาระการเรยี นรู้
วรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถนิ่ เก่ยี วกับ
- สภุ าษติ ค าสอน
กระบวนการจดั การเรยี นรู้ (ขน้ั ตอน/กระบวนการ)
๑. ครสู นทนากบั นักเรียนเกย่ี วกับการใช้ชวี ติ ประจาวันของนักเรียน แล้วตง้ั ประเดน็ คาถามให้
นักเรยี นตอบ
ตัวอย่างคาถามเชน่
- นกั เรียนนาข้อคดิ ใดมาใช้บา้ ง
- ข้อคิดทนี่ ามาใชไ้ ดม้ าอยา่ งไร
- เพราะเหตุใด จงึ เลอื กใช้ข้อคิดน้ัน ใช้แลว้ มปี ระโยชนก์ ับตนเองอย่างไร
๒. นกั เรยี นตอบค าถามกระตนุ้ ความคิด
นกั เรยี นคิดว่าบคุ คลกลุ่มใดสามารถนาความรู้และขอ้ คดิ จากอิศรญาณภาษิตไปใช้ ประโยชนไ์ ดม้ าก
ท่ีสุด เพราะเหตุใด
(พจิ ารณาตามคาตอบของนกั เรยี น โดยให้อยูใ่ นดลุ ยพนิ ิจของครูผสู้ อน)
๓. นักเรียนแต่ละกลมุ่ ทาใบงาน
๔. นักเรียนรวมกลุม่ ช่วยกนั ตรวจสอบความถูกต้อง(AR)
สอ่ื (วัสดุ-อุปกรณ์-ส่งิ พิมพ์) / นวัตกรรม / ICT
๑) หนงั สือเรยี น ภาษาไทย:วรรณคดีและวรรณกรรม ม.๓
๒) ตัวอย่างสุภาษติ ไทย
แหลง่ การเรียนรู้
-
บรู ณาการ
- กล่มุ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา
การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ห น้ า | ๒๙
เกณฑก์ ารวัด
วิธกี ารวดั ผลและการประเมิน เครอื่ งมอื วัดและประเมิน นกั เรยี นสอบผ่าน ๖๐ %
แบบสอบถาม
ความรู้และขอ้ คดิ จากเรื่องอิศรญาณ
ดา้ นความรู้(K) ภาษติ
ด้านทักษะ/ ตรวจบนั ทึกเร่อื งอศิ รญาณ
กระบวนการ (P) การเขียนเร่ืองต่างๆ แลว้ บนั ทกึ ภาษิต นักเรียนสอบผา่ น ๖๐ %
ด้านคณุ ธรรม ซือ่ สตั ย์ มีวนิ ัย ใฝ่เรยี นรู้ แบบประเมนิ นกั เรียนสอบผ่าน ๖๐ %
จริยธรรม และ
ค่านิยม(A)
การประเมินผล
ประเด็น ระดบั คุณภาพ
การประเมิน ๓๒๑
๔ ๐
ดา้ นความร(ู้ K) สานวนสภุ าษิตใน
เร่ืองอิศรญาณภาษติ
ดา้ นทักษะ/กระบวนการ เขียนสานวนสุภาษติ ใน
(P) เรื่องอิศรญาณภาษิต
ด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ซื่อสัตย์ มวี ินยั ใฝ่เรียนรู้
และคา่ นิยม(A)
ห น้ า | ๓๐
กจิ กรรมเสนอแนะ
............................................................................................................................. ................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงชื่อ.....................................................ผเู้ ขียนแผนการจัดการเรียนรู้
................/.................../................
บันทึกความเหน็ ของผูต้ รวจแผนการจดั การเรียนรู้
ได้ทาการตรวจแผนการจดั การเรยี นรู้แลว้ มคี วามคิดเห็น ดังนี้
เปน็ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ดมี าก ดี พอใช้ ควรปรบั ปรงุ เน่อื งจาก
.......................................................................................................................................................... ..................
ลงชือ่ .............................................
(...........................................)
ประธานกลุม่ สาระฯ
บนั ทกึ หลังสอน
๑. ผลการสอน/ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K)
...............................................................................................................................................................
ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P)
............................................................................................................................. ..................................
ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม และค่านยิ ม (A)
............................................................................................................................. ..................................
สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น/แนวความคิดเพ่ือการเรยี นรูใ้ นศตวรรษที่ ๒๑
............................................................................................................................. ..................................
๒. ปัญหา/อุปสรรค และข้อค้นพบ
...............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................
๓. ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข และผลการแกไ้ ข
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................
ลงชือ่ .....................................................ผู้สอน
(................................................)
ห น้ า | ๓๑
ใบความรู้เร่ืองการสรปุ ความรู้และขอ้ คดิ
การสรุปความและหาข้อคิด คือ การสรุปสาระสาคญั และหาขอ้ คิดหรือคติสอนใจจากเร่ืองท่ีอ่านวา่
เร่ืองน้นั ๆ ใหข้ อ้ คิดท่ีเป็ นประโยชน์อะไรบา้ ง แลว้ จึงนาขอ้ คิดน้นั มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั การหา
ขอ้ คิดจากการอา่ นหนงั สือตา่ งๆ เช่น การอ่านนิทาน บทความ สารคดี ควรอา่ นต้งั แต่ตน้ จนจบเรื่อง แลว้ ทา
ความเขา้ ใจเน้ือเรื่อง และจบั ใจความสาคญั หรือประเด็นสาคญั ท่ีผเู้ ขียนตอ้ งการใหข้ อ้ คิดกบั ผอู้ า่ น
ความหมายของการสรุปความ
การสรุปความ คือ การหยบิ ยกเอาความคิดหลกั หรือประเด็นท่ีสาคญั ของเร่ืองมากล่าวย้า
ใหเ้ ด่นชดั โดยใชป้ ระโยคส้นั ๆแลว้ เรียบเรียงใหเ้ ป็นระเบียบ
มารยาทในการฟังและดู
- มองสบตาผพู้ ดู ไมม่ องออกนอกหอ้ งหรือมองไปที่อื่น อนั เป็นการแสดงวา่ ไม่สนใจ
เร่ืองที่พดู และไม่เอาหนงั สือไปอ่านขณะที่ฟังหรือดู
- รักษาความสงบ ไม่ส่งเสียงรบกวนผอู้ ื่น ไม่เอาของขบเค้ียวเขา้ ไปทาลายสมาธิของ
ผอู้ ื่น การชมภาพยนตร์ควรปิ ดโทรศพั ทม์ ือถือจะไดไ้ มร่ บกวนความสุขของผอู้ ื่น ไม่
ควรพาเดก็ เล็กๆไปในโรงภาพยนตร์หรือในท่ีที่ตอ้ งการความสงบ
- แสดงกิริยาอาการที่เหมาะสม วยั รุ่นไมค่ วรนง่ั เก้ียวพาราสีกนั ในท่ีสาธารณชนที่
ตอ้ งการความสงบในการฟังและการดู เพราะนอกจากจะรบกวนสายตาคนอ่ืนแลว้ ยงั เป็นการแสดงกิริยาที่ขดั
ต่อขนบธรรมเนียมของไทยอีกดว้ ย
- ในการดูภาพไม่ควรขีดเขียนหรือฉีกภาพซ่ึงแสดงถึงความไม่มีวฒั นธรรมท่ีดีงาม
หลกั การฟังและดูเพ่ือสรุปความและจับประเด็น
การฟังและดูเพื่อจบั ประเด็นและสรุปความ เป็นทกั ษะเบ้ืองตน้ ที่ทุกคนจะตอ้ งฝึกฝน เราจะตอ้ ง
ติดตามฟัง ดูเรื่องราวโดยตลอด ดงั น้นั จึงตอ้ งมีสมาธิในการฟังและสามารถแยกแยะไดว้ า่ ขอ้ ความใดเป็ น
ใจความสาคญั และขอ้ ความใดเป็นพลความถา้ เราเขา้ ใจเร่ืองราวไดโ้ ดยตลอดแลว้ เรายอ่ มจดจาเรื่องราวท่ีฟัง
และสามารถ่ายทอดใหค้ นอื่นฟังไดด้ ว้ ย ในการฟังแตล่ ะคร้ัง เราตอ้ งจบั ประเด็นของเร่ืองที่ฟังได้ คือ รู้วา่ ผู้
พดู ตอ้ งการสื่อสารอะไร เป็ นประเดน็ สาคญั และรู้จกั วา่ อะไรคือประเด็นรองซ่ึงขยายประเดน็ สาคญั การฟัง
เช่นน้ีเป็ นการฟังเพื่อจบั ใจความสาคญั และใจความรองและรายละเอียดของเรื่อง มีวธิ ีการฟังดงั น้ี
- ฟังเร่ืองราวใหเ้ ขา้ ใจ พยายามจบั ใจความสาคญั ของเร่ืองเป็นตอนๆ วา่ เร่ืองอะไร
ใครทาอะไร ที่ไหน เม่ือไร อยา่ งไร
ห น้ า | ๓๒
- ฟังเร่ืองราวที่เป็นใจความสาคญั แลว้ หารายละเอียดของเรื่องที่เป็นลกั ษณะปลีกยอ่ ย
ของใจความสาคญั หรือท่ีเป็ นส่วนขยายใจความสาคญั
สรุปความโดยรวบรวมเนื้อหาสาระสาคญั อย่างครบถ้วน
วธิ ีการสรุปความจากการฟังน้นั เราจะตอ้ งคน้ หาใหพ้ บวา่ สารใดเป็นความคิดสาคญั ในเร่ืองน้นั ๆ
แลว้ สรุปไวเ้ ฉพาะใจความสาคญั โดยเขียนชื่อเรื่อง ผพู้ ดู โอกาสท่ีฟัง วนั เวลา และสถานท่ีที่ไดฟ้ ังหรือดู
ไวเ้ ป็นหลกั ฐานเคร่ืองเตือนความทรงจาต่อไป
การฟังและดูเพ่ือจบั ประเด็นและสรุปความ เป็นการฟังในชีวติ ประจาวนั เพือ่ ใหไ้ ดส้ าระสาคญั ของ
เร่ืองท่ีฟัง เช่น ฟังการสนทนา ฟังเรื่องราวขอ้ มูลข่าวสารตา่ งๆ ฟังโทรศพั ท์ ฟังประกาศ ฟังการบรรยาย
ฟังการอภิปราย ฟังการเล่าเร่ือง เป็นตน้
วธิ ีสรุปความตามลาดับข้ัน
ข้นั อา่ น ฟัง และดู
- อา่ น ฟังและดูใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งนอ้ ย ๒ เท่ียว เพื่อใหไ้ ดแ้ นวคิดที่สาคญั
ข้นั คดิ
- คิดเป็ นคาถามวา่ อะไรเป็นจุดสาคญั ของเร่ือง
- คิดต่อไปวา่ จุดสาคญั ของเร่ืองมีความสมั พนั ธ์กบั ส่ิงใดบา้ ง จดสิ่งน้นั ๆไวเ้ ป็นขอ้ ความ
ส้ันๆ
-คิดวธิ ีที่จะเขียนสรุปความใหก้ ะทดั รัดและชดั เจน
ข้นั เขียน
- เขียนร่างขอ้ ความส้ันๆที่จดไว้
- ขดั เกลาและตบแตง่ ร่างขอ้ ความท่ีสรุปใหเ้ ป็นภาษาท่ีดีสื่อความหมายไดแ้ จ่มแจง้ ชดั เจน
ห น้ า | ๓๓
ชื่อ ช้ันม.๓/ เลขที่
ใบงานที่ ๔.๑ เร่ือง การสรปุ ความรู้และข้อคิด
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนเลือกขอ้ คิดจากอิศรญาณภาษิตที่นกั เรียนประทบั ใจเพยี ง ๑ ขอ้ เพื่อนาเสนอแนวทาง
การปฏิบตั ิ จากน้นั วเิ คราะห์วา่ ถา้ นาไปปฏิบตั ิในชีวติ จริงจะเกิดผลอยา่ งไร และถา้ ไมป่ ฏิบตั ิ
จะเกิดผลอยา่ งไร
ถา้ ไมป่ ฏิบตั ิ ต่อตนเอง
ตอ่ ประเทศ
ข้อคดิ ตอ่ โลก
____________________
____________________
____________________
ถา้ ปฏิบตั ิ ตอ่ ตนเอง
ตอ่ ประเทศ
ต่อโลก
แนวทางการปฏิบตั ิ
ตอ่ ครอบครัว
________________________________________________________________________
ต่อประเทศ
________________________________________________________________________
ตอ่ โลก
________________________________________________________________________
ห น้ า | ๓๔
เฉลยใบงานท่ี 4.1 เรื่อง การสรปุ ความรแู้ ละข้อคิด
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนเลือกขอ้ คิดจากอิศรญาณภาษิตท่ีนกั เรียนประทบั ใจเพยี ง ๑ ขอ้ เพ่ือนาเสนอแนวทางการ
ปฏิบตั ิ จากน้นั วิเคราะห์วา่ ถา้ นาไปปฏิบตั ิในชีวติ จริงจะเกิดผลอยา่ งไร และถา้ ไมป่ ฏิบตั ิ
จะเกิดผลอยา่ งไร
ต่อตนเอง อยคู่ นเดียว ไม่มีใครคบ
ถา้ ไม่ปฏิบตั ิ ต่อประเทศ หากคนในประเทศ
ไม่รักสามคั คีกนั ไม่ช่วยเหลือกนั
ข้อคิด ประเทศก็จะพินาศ
_เร_า_ต_อ้_ง_พ__่งึ _พ_า_อ_า_ศ_ยั_ก__นั ___ ต่อโลก หากทุกคนในโลกไมร่ ักกนั
_ต_อ้ _ง_ร_ัก_ก_น_ั __เ_อ_า_ใ_จ_เข_า_ม__า_ ไม่ช่วยเหลือกนั โลกน้ีก็จะโกลาหล
_ใ_ส_่ใ_จ_เร__า_____________ คนบนโลกจะมีแต่ความทุกข์
ตอ่ ตนเอง มีเพ่อื น มีญาติพน่ี อ้ งที่รักใคร่
ถา้ ปฏิบตั ิ _______________________________
ตอ่ ประเทศ ประเทศน่าอยู่ มีความ
_______________________________
ต่อโลก โลกน่าอยู่เตม็ ไปดว้ ยความสงบสุข
_______________________________
แนวทางการปฏบิ ัติ _______________________________
ต่อครอบครัว เอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดดีพดู ดี และปฏิบตั ิดีต่อคนในครอบครัว
ต่อประเทศ เอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดดีพูดดี และปฏิบตั ิดีต่อคนในประเทศ ไม่เอารัดเอาเปรียบ
__ผ_อู้_่ืน__ช_่ว__ย_เห_ล__ือ_ผ_ทู้_ี่เ_ด_ือ_ด__ร_้อ_น_ต_า_ม__ก_า_ล_งั _ข_อ_ง_ต_น____________________________________
ตอ่ โลก เอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดดีพดู ดี และปฏิบตั ิดีตอ่ คนบนโลกน้ี
__ไ_ม_่เ_อ_า_ร_ัด_เ_อ_า_เป__รี_ย_บ_ผ_อู้_่ืน__ช_่_ว_ย_เห__ล_ือ_ผ_ทู้__ี่เด_ือ_ด__ร_้อ_น_ต_า_ม__ก_า_ล_งั _ข_อ_ง_ต_น_____________________
ห น้ า | ๓๕
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี ๕
รหัสวชิ า ท๒๓๑๐๒ รายวชิ า ภาษาไทยพน้ื ฐาน จานวน ๑.๕ หนว่ ยกติ
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๑ อศิ รญาณภาษิต เรอ่ื ง การเขยี นแผนผังมโนทศั น์
ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ ภาคเรียนท่ี ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ เวลา ๓
ชั่วโมง
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อนาไปใชต้ ดั สินใจ
แกป้ ัญหา ในการดาเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน
ตวั ชี้วดั
ท ๑.๑ ม. ๓/๔ อา่ นเรื่องต่าง ๆ แลว้ เขียนกรอบแนวคิด ผงั ความคิด บนั ทึก ยอ่ ความ
และรายงาน
เป้าหมายการเรียนรู้
๑. นกั เรียนเขียนผงั มโนทศั น์สรุปเรื่องที่อ่านได้
สาระสาคัญของการเรียนรู้
๑. การอ่านจบั ใจความ
๒. อา่ นสรุปความ
๓.การอา่ นตีความ
๔. การอ่านแปลความ
สาระสาคัญ (ความคิดรวบยอด/ทกั ษะ/กระบวนการ)
ความคิดรวบยอด
การอ่านจบั ใจความจากสื่อต่างๆ แลว้ นามาเขียนกรอบแนวคิด ผงั ความคิด บนั ทึก ยอ่ ความ
และรายงาน
ทกั ษะ/กระบวนการ
ทกั ษะการตีความ ทกั ษะการแปลความ ทกั ษะการเขียน
คุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์
- ใฝ่ รู้ใฝ่ เรียน
- มารยาทในการฟัง การดู การพดู การอ่านและการเขียน
- มุง่ มนั่ ในการทางาน
ห น้ า | ๓๖
กจิ กรรมการเรียนรู้
กจิ กรรมนาเข้าสู่บทเรียน
(ช่ัวโมงท่ี ๑)
๑. ครูสนทนากบั นกั เรียนเรื่องการเขียนบนั ทึกจากเรื่องอิศรญาณภาษิตในชว่ั โมงท่ีผา่ นมาวา่
นกั เรียนไดร้ ับความรู้ในเร่ืองใดบา้ ง
- จากการเขียนบนั ทึกเรื่องอิศรญาณภาษิตทาใหน้ กั เรียนมีความรู้ในเร่ืองใดบา้ ง
- จากเร่ืองอิศรญาณภาษิตนกั เรียนนาความรู้ใดไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้
บา้ ง
ข้นั พฒั นาผู้เรียน / ข้ันสอน
๒. ครูทบทวนเน้ือหาจากชวั่ โมงที่แลว้
๓. ครูใหน้ กั เรียนแบ่งกลุ่ม ๖ กลุ่ม นกั เรียนอา่ นและถอดคาประพนั ธ์จากเรื่องอิศรญาณภาษิตจาก
หนงั สือวรรณคดีวจิ กั ษเ์ พ่ือทากิจกรรมในชว่ั โมงตอ่ ไป
(ช่ัวโมงท่ี ๒)
๔. นกั เรียนแต่ละกลุ่มสร้างผงั มโนทศั น์โดยเขียนคาประพนั ธ์พร้อมความหมาย บอกขอ้ คิดท่ี
ไดร้ ับจากคาประพนั ธ์แตล่ ะบทลงในกระดาษ ๑๐๐ ปอนด์ พร้อมตกแตง่ ใหส้ วยงาม
๕. ครูใหน้ กั เรียนส่งตวั แทนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอการถอดคาประพนั ธ์ กลุ่มละ ๕ นาที
ข้นั สรุปความคดิ รวบยอด
๕. ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปบทเรียน
สื่อการเรียนรู้
- ส่ือมลั ติมีเดีย (Power Point)
- หนงั สือเรียนวรรณคดีวิจกั ษช์ ้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๓
แหล่งเรียนรู้
- หอ้ งเรียน
- หนงั สือวรรณคดีวจิ กั ษช์ ้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๓
ห น้ า | ๓๗
การวัดและประเมินผล เครื่องมอื
วิธกี าร แบบประเมินพฤติกรรมกลมุ่
ประเมินพฤติกรรมกลมุ่
ตรวจผลงานผังมโนทัศน์การถอดคาประพันธ์ แบบประเมนิ การให้คะแนนผลงานกิจกรรมกลมุ่
(Rubrics)
การประเมนิ ผล เกณฑ์การให้คะแนน
ประเดน็ การประเมิน
๓ ๒ ๑
๑. คณะทางาน
มีประธาน เลขานุการ ขาดองค์ประกอบ ขาดองคป์ ระกอบ
๒. ความรับผดิ ชอบ ผนู้ าเสนอ ผ้รู ่วมงาน ๑ อยา่ ง ๒ อย่างข้นึ ไป
ต่อหนา้ ที่
สมาชกิ มีความรับผิดชอบและ สมาชิกไม่มคี วามรบั ผดิ ชอบ สมาชิกไม่มีความรบั ผดิ ชอบ
๓.ขั้นตอนการทางาน ปฏบิ ัตหิ นา้ ทีข่ องตนจนสาเรจ็ และปฏบิ ตั หิ นา้ ทีข่ องตนไม่ และปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ของตนไม่
ทุกคน สาเรจ็ เป็นบางคน สาเรจ็
๑) คดั เลอื กเรอ่ื งตาม ขาดขัน้ ตอน ๑ ขน้ั ตอน ขาดข้นั ตอน ๒ ขั้นตอนขึน้
ความสนใจของกลมุ่ หรือไมช่ ัดเจน ไปหรือไม่ชัดเจน
๒) มกี ารวางแผน
๓) เตรยี มวัสดุอปุ กรณ์
๔) ปฏิบัตติ ามแผน
และพัฒนางาน
๔. ความรว่ มมอื สมาชิกมสี ว่ นร่วมทุกคน และ สมาชิกมสี ่วนร่วมทกุ คน แต่ สมาชกิ มสี ว่ นรว่ มเปน็ บาง
ในการทางาน
ใหค้ วามรว่ มมือในการทางาน มบี างคนใหค้ วามรว่ มมอื ใน คนและให้ความรว่ มมือใน
๕. การปฏิบตั งิ าน
อย่างมคี วามสุข อยา่ งเต็มท่ี การทางานไม่เต็มท่ี การทางานไมค่ รบทุกคน
๖. เวลา
สมาชกิ รว่ มกันปฏิบัตงิ าน สมาชกิ บางคนไมม่ ีความสขุ สมาชิกทุกคนไมม่ คี วามสขุ
๗. ความสวยงาม อยา่ งมีความสุขทุกคน
ในการปฏิบัติงาน ในการปฏบิ ัติงาน
งานเสร็จตามกาหนดเวลาและ งานเสรจ็ ไม่ทันตาม งานเสร็จไม่ทันตาม
กาหนดเวลาและงานไมม่ ี
มีคณุ ภาพ กาหนดเวลาแตง่ านมี
คุณภาพ
คุณภาพ
มีการตกแต่งอย่างสวยงาม มกี ารตกแตง่ ผลงาน สสี นั ไม่มกี ารตกแตง่ ผลงาน
สรา้ งสรรค์ มสี สี ันสดใส สดใส
ห น้ า | ๓๘
กจิ กรรมเสนอแนะ
............................................................................................................................. ................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงช่อื .....................................................ผูเ้ ขียนแผนการจัดการเรยี นรู้
................/.................../................
บันทกึ ความเหน็ ของผตู้ รวจแผนการจดั การเรยี นรู้
ได้ทาการตรวจแผนการจดั การเรียนร้แู ล้ว มีความคิดเหน็ ดงั นี้
เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดมี าก ดี พอใช้ ควรปรับปรงุ เนื่องจาก
......................................................................................................................................... ...................................
ลงช่อื .............................................
(...........................................)
ประธานกลุม่ สาระฯ
บนั ทึกหลังสอน
๔. ผลการสอน/ผลการเรยี นรู้
ดา้ นความรู้ (K)
...............................................................................................................................................................
ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
............................................................................................................................. ..................................
ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม และค่านิยม (A)
............................................................................................................................. ..................................
สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น/แนวความคดิ เพื่อการเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ ๒๑
............................................................................................................................. ..................................
๕. ปญั หา/อุปสรรค และข้อค้นพบ
............................................................................................................................................................. ..
............................................................................................................................. ..................................
๖. ขอ้ เสนอแนะแนวทางแก้ไข และผลการแกไ้ ข
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................
ลงช่อื .....................................................ผูส้ อน
(................................................)
ห น้ า | ๓๙
ใบความรู้เร่ือง การเขยี นแผนผงั มโนทศั น์
แผนผงั มโนทศั น์ หมายถึง ความคิดความเขา้ ใจที่ไดร้ ับมาจากการสงั เกต หรือประสบการณ์
เกี่ยวกบั เร่ืองใดเร่ืองหน่ึง นามาจดั ประเภทของขอ้ มูลหรือเหตุการณ์ท่ีเหมือนหรือแตกต่างกนั ไวใ้ นกลุ่มหรือ
ประเภทเดียวกนั โดยอาศยั คุณลกั ษณะร่วมกนั เป็นเกณฑ์ องคป์ ระกอบของแผนผงั มโนทศั นม์ ี ๓
องคป์ ระกอบ คือ มโนทศั น์หลกั มโนทศั น์รอง มโนทศั น์ยอ่ ย โดยเช่ือมโยงมโนทศั นท์ ่ีมี
ความสัมพนั ธ์กนั ดว้ ยเส้น
ประโยชน์ของการใช้แผนผงั มโนทศั น์ (Concept Mapping)
เน่ืองจากผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้แผนผงั มโนทศั น์ จากการคิด วเิ คราะห์และตวั อยา่ งที่หลากหลาย ดงั น้นั ผลที่
ผเู้ รียนจะไดร้ ับโดยตรงคือ จะเกิดความเขา้ ใจในแผนผงั มโนทศั น์น้นั และไดเ้ รียนรู้ทกั ษะการสร้างมโนทศั น์
ซ่ึงสามารถนาไปใชใ้ นการทาความเขา้ ใจมโนทศั น์อื่น ๆ ตอ่ ไปได้ รวมท้งั ช่วยพฒั นาทกั ษะการใชเ้ หตุผล
โดยการอุปนยั (inductive reasoning) อีกดว้ ย
ข้อดขี องการใช้แผนผงั มโนทัศน์ (Concept Mapping)
ข้อดีทสี่ าคญั ของ การใช้ Concept Mapping คือ ทาใหส้ ามารถเห็นภาพความคิดรวบยอด ในรูปแบบที่
จบั ตอ้ งได้ ทาใหส้ ามารถใหค้ วามสาคญั ไดง้ ่ายดาย จึงสะดวกในการนาไปทบทวนทุกคร้ังท่ีตอ้ งการ
นอกจากน้ีในการรวบรวมความคิดรวบยอดตอ้ งใชค้ วามเขา้ ใจท่ีชดั เจนและแมน่ ยาท้งั ในเร่ืองความหมาย
และความเชื่อมโยงของความคิดรวบยอดจึงทาใหก้ ารเรียนรู้ กลายเป็นกระบวนการที่มีปฏิสมั พนั ธ์กนั ท้งั น้ี
ในการนาเสนอความคิดรวบยอดใหแ้ ก่นกั เรียน ครูไม่ควรใหน้ กั เรียนจา Concept Mapping ท่ีเตรียมไวแ้ ลว้
เพราะนน่ั ก็เป็ นเพียงแคก่ ารเรียนแบบทอ่ งจาอีกรูปแบบหน่ึงเท่าน้นั ที่ไม่ช่วยใหเ้ กิดการกระตุน้ ใหน้ กั เรียน
เกิดการเรียนรู้ท่ีมีความหมายและยงั่ ยนื
ข้อจากดั ของการใช้แผนผงั มโนทศั น์ (Concept Mapping)
๑. ผสู้ อนตอ้ งเรียนรู้และทาความเขา้ ใจรูปแบบ และประโยชน์ของมโนทศั น์ แบบต่างๆ จึงจะ
สามารถสอนหรือ แนะนาผเู้ รียนใหเ้ กิดการเรียนรู้ไดด้ ี
๒. ผเู้ รียนอาจเกิดความเบื่อหน่าย หรือไมม่ ีความอดทนต่อบางมโนทศั นท์ ่ีไมก่ ระจ่างชดั เจน
ห น้ า | ๔๐
ช่ือ ช้ัน ม.๓/ เลขท่ี
ใบงานท่ี ๕.๑ เร่ือง การเขียนแผนผงั มโนทศั น์
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนแบ่งกลุ่มแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั คุณคา่ ของอิศรญาณภาษิต ในดา้ นเน้ือหา
ดา้ นวรรณศิลป์ ดา้ นสงั คมวฒั นธรรม โดยสรุปเป็นแผนผงั มโนทศั น์
________________ ________________ ________________ ________________
________________ ________________ ________________ ________________
ดา้ นเน้ือหา ด้านสังคมและวฒั นธรรม
________________ คุณค่าในอศิ รญาณภาษติ ________________
________________ ________________
ด้านวรรณศิลป์
การใชค้ า การใชภ้ าพพจน์
________________ ________________ ________________
________________ ________________ ________________
________________
________________
ห น้ า | ๔๑
เฉลยใบงานท่ี 5.1 เร่ือง การเขยี นแผนผงั มโนทศั น์
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนแบ่งกลุ่มแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั คุณค่าของอิศรญาณภาษิต ในดา้ นเน้ือหา
ดา้ นวรรณศิลป์ ดา้ นสงั คมวฒั นธรรม โดยสรุปเป็นแผนผงั มโนทศั น์
_ส_อ__น_ใ_ห_ร้_ู้จ_ก_ั _พ_่งึ _พ_า__ ใ_ห_แ้ _น_ว_ท__าง_ก_า_ร_ด_า_เน__ิน_- ส__ะ_ท_อ้_น__ค_า่ _น_ิย_ม_ไ__ท_ย_ _ส_ะ_ท_อ_้ _น_ก_า_ร_เ_ค_า_ร_พ__
_อ_า_ศ_ยั_ก__นั _________ ช_ี_ว_ติ _____________ ท__่ีย_ก_ย_อ่ _ง_ผ_ชู้__าย______ _ผ_อู้ _า_ว_โุ _ส__________
ด้านเนื้อหา ด้านสังคมและวฒั นธรรม
_ส_อ_น_ใ_ห__ร้ _ู้จ_กั _ส_า_ร_ว_จ__ คุณค่าในอศิ รญาณภาษิต ส__ะ_ท_อ้_น__แ_น_ว_ค__ิด____
_ต_น_เ_อ_ง_เ_ต_ือ_น__ต_น_เ_อ_ง_ ใ_น__พ_ร_ะ_พ__ุท_ธ_ศ_า_ส__น_า_
การใชค้ า ด้านวรรณศิลป์
การใชภ้ าพพจน์
_ใช__ค้ _า_ง_่า_ย_เข_า้_ใ_จ_ไ_ด__้ _ _ย_ก_ส_า_น_ว_น__ไ_ท_ย_ม__า__ ใ_ช__อ้ _ุป_ล_กั__ษ_ณ_์______
_ท_นั _ท__ี ___________ _ก_ล_่า_ว_เป__ร_ีย_บ_เ_ท_ีย_บ___ ห__ล_า_ย_แ_ห_่_ง________
ใ_ช__ค้ _า_ท_่ีม_ีค_ว__าม__ห_ม_า_ย_
แ__ฝ_ง_ใ_ห_ต้ _ีค_ว__าม______
ห น้ า | ๔๒
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ ๖
รหัสวชิ า ท๒๓๑๐๒ รายวิชา ภาษาไทยพื้นฐาน จานวน ๑.๕ หน่วยกิต
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ๑ บทพากย์เอราวณั เรอื่ ง การอา่ นออกเสียงบทร้อยกรอง
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓ ภาคเรยี นที่ ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ เวลา ๒ ช่ัวโมง
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรแู้ ละความคิดเพอ่ื นาไปใช้
ตดั สนิ ใจ แก้ปญั หาในการดาเนนิ ชวี ติ และมนี สิ ยั รักการอ่าน
ตัวช้วี ัด
ท ๑.๑ ม.๓/๑ อ่านออกเสยี งบทร้อยแกว้ และบทร้อยกรองได้ถูกต้องและเหมาะสม
กับเรือ่ งทอี่ า่ น
สาระสาคญั
การอา่ นออกเสียงบทร้อยกรองประเภทกาพยฉ์ บัง ๑๖ ผ้เู รียนตอ้ งศึกษาหลักการอา่ นออกเสยี งตาม
ลกั ษณะคาประพนั ธ์กาพย์ฉบัง ๑๖ เข้าใจคาศัพท์ และเน้อื หา จึงจะสามารถอ่านออกเสียงได้ถูกตอ้ งและแสดง
อารมณ์ได้อย่างเหมาะสม
จุดประสงค์การเรยี นรู้
ความรู้ (K)
๑. สรปุ หลกั การอ่านออกเสียงบทรอ้ ยกรองได้
ทักษะ/กระบวนการ (P)
๑. อา่ นออกเสยี งบทร้อยกรองได้ถูกต้องตามหลักการอ่าน
สมรรถนะหลกั
๑. ความสามารถในการสื่อสาร
๒. ความสามารถในการคดิ
๓. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต
๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ด้านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)
๑. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
๒. ซ่ือสัตยส์ ุจริต
๓. มวี ินยั
๔. ใฝเ่ รียนรู้
๕. อยอู่ ย่างพอเพยี ง
๖. มุ่งมั่นในการทางาน
๗. รกั ความเป็นไทย
๘. มีจิตสาธารณะ
ห น้ า | ๔๓
แนวความคิดเพ่ือการเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ ๒๑
๑. สาระวชิ าหลัก (Core Subjects)
๒. ทกั ษะดา้ นการเรยี นรู้และนวัตกรรม
๓. ทักษะดา้ นสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี
๔. ทักษะดา้ นชวี ิตและอาชีพ
สาระการเรยี นรู้
การอ่านออกเสยี งบทร้อยกรองกาพย์ฉบัง ๑๖
กระบวนการจดั การเรียนรู้ (ข้ันตอน/กระบวนการ)
(ช่วั โมงที่ ๑)
๑. ครสู นทนากบั นักเรียนเกยี่ วกับการแสดงโขน ซึ่งเปน็ มหรสพของไทยแลว้ ครเู ปิดวีดิทศั น์การแสดง
โขนของกรมศลิ ปากร ให้นักเรียนดู
๒. ครูและนักเรียนรว่ มกนั สนทนาแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกบั การแสดงโขน และการพากยโ์ ขน
๓. ครจู ดั นักเรียนเปน็ กลุม่ กลุ่มละ ๔ คน คละความสามารถแล้วให้แต่ละกล่มุ ศึกษาความรู้เรอื่ ง
การออกเสยี งบทร้อยกรอง กาพย์ฉบัง ๑๖ และฟังวีดทิ ัศน์การอา่ นทานองเสนาะ
๔. นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ รว่ มกนั อภิปรายหลกั การอ่านกาพยฉ์ บงั ๑๖ พร้อมท้งั สาธติ การอ่านภายใน
กลุ่ม
๕. ครสู มุ่ นกั เรยี นออกมาสรุปวิธกี ารอา่ นและสาธิตการอา่ นหนา้ ชนั้ เรียน
(ช่ัวโมงที่ ๒)
๖. นักเรยี นแต่ละกลุ่มอ่านออกเสียงวรรณคดเี รื่อง บทพากยเ์ อราวณั เปน็ ทานองเสนาะหนา้ ชนั้
เรยี น
๗. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันประเมินผลการอา่ นของนักเรียนแต่ละกลุ่ม โดยชมเชยหากอา่ นไดถ้ กู ต้อง
และไพเราะ พรอ้ มทัง้ เสนอแนะใหก้ ลมุ่ ทม่ี ขี ้อบกพร่องในการอ่านปรับแก้ไขให้สามารถอ่านไดถ้ ูกตอ้ งและมี
ความไพเราะ
สอ่ื (วสั ดุ-อุปกรณ์-สงิ่ พิมพ)์ / นวัตกรรม / ICT
๑. วดี ทิ ัศน์การแสดงโขนของกรมศิลปากร
๒. หนงั สอื เรยี น ภาษาไทยพ้ืนฐาน
๓. วีดิทัศน์การอ่านทานองเสนาะประเภทกาพย์ฉบงั ๑๖
แหลง่ การเรียนรู้
-
บูรณาการ
ศิลปะ - ศึกษาการแสดงโขน การพากยโ์ ขน
ห น้ า | ๔๔
การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้
วิธกี าร เคร่อื งมอื เกณฑ์
ประเมนิ การอ่านออกเสยี งบทรอ้ ยกรอง แบบประเมนิ การอา่ นออกเสียง ระดบั คุณภาพ ๒
บทรอ้ ยกรอง ผา่ นเกณฑ์
การประเมินผล
เกณฑก์ ารประเมินการอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง
รายการประเมิน คาอธิบายระดับคณุ ภาพ/ระดับคะแนน
๑. ฉนั ทลกั ษณ์
ดมี าก (๔) ดี (๓) พอใช้(๒) ปรับปรุง(๑)
๒. อักขรวิธี
๓. การรกั ษาความ อ่านถูกตอ้ งตาม อา่ นผดิ ฉนั ทลักษณ์ อา่ นผิดฉันทลักษณ์ อา่ นผดิ ฉนั ทลักษณ์
ตามอารมณใ์ นบท
ฉนั ทลักษณ์ ๑ บท ๒ บท มากกวา่ ๓ บท ขึน้
๔. เสยี ง
ไป
๕. ความราบร่ืน
ในการอ่านและ อ่านถูกตอ้ งตาม อา่ นผดิ อักขรวธิ ี อ่านผิดอักขรวธิ ี อา่ นผดิ อักขรวธิ ี
บุคลิกภาพ
อักขรวิธี ๑ จดุ ๒ จุด ๓ จดุ ขึ้นไป
อา่ นรักษาความตาม อ่านรักษาความตาม อ่านรกั ษาความตาม อา่ นรักษาความตาม
อารมณ์ในบทได้อย่าง อารมณ์ในบท อารมณ์ในบท อารมณ์ในบท
เหมาะสม บางสว่ นไม่เหมาะสม บางสว่ นไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสมทุกบท
มากกว่า ๒ บท
เสยี งดงั ชัดเจน ลลี า เสยี งดังชัดเจนลลี า เสียงเบา ลลี านา้ เสียง เสียงเบาไม่ชดั เจนไม่
นา้ เสยี งไพเราะ น้าเสียงบางสว่ น บางสว่ นไมเ่ หมาะสม มีลีลานา้ เสียง เสยี ง
เหมาะสม เสมอกนั ตลอด
ไม่เหมาะสม
อ่านไดร้ าบรื่น อา่ นไดร้ าบรนื่ อ่านไม่ราบร่ืนตดิ ขัด อา่ นตดิ ขัดมากกวา่ ๓
บุคลกิ ภาพดีมคี วาม บคุ ลิกภาพดี อ่านติด ๒-๓ คร้งั ไมม่ น่ั ใจใน ครั้ง บุคลิกภาพไม่
มั่นใจในการอา่ น ๑ คร้งั มีความม่ันใจ การอ่าน เหมาะสม ขาดความ
ในการอ่าน ม่นั ใจในการอา่ น
เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
๑๗-๒๐ ดมี าก
๑๓-๑๖ ดี
๑๐-๑๒ พอใช้
ต่ากวา่ ๑๐ ปรบั ปรุง
ห น้ า | ๔๕
กิจกรรมเสนอแนะ
.............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................... ..........................................................
ลงช่ือ.....................................................ผเู้ ขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้
................/.................../................
บนั ทึกความเหน็ ของผตู้ รวจแผนการจดั การเรยี นรู้
ได้ทาการตรวจแผนการจัดการเรียนร้แู ล้ว มีความคิดเหน็ ดังนี้
เปน็ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ดมี าก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง เนื่องจาก
............................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื .............................................
(...........................................)
ประธานกลมุ่ สาระฯ
บนั ทึกหลังสอน
๗. ผลการสอน/ผลการเรียนรู้
ดา้ นความรู้ (K)
.................................................................................................................. .............................................
ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
.................................................................................................................. .............................................
ด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ ม (A)
............................................................................................................................... ................................
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน/แนวความคดิ เพื่อการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ ๒๑
............................................................................................................................................................. ..
๘. ปญั หา/อุปสรรค และขอ้ คน้ พบ
...................................................................................................... .........................................................
.................................................................................................................. .............................................
๙. ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไข และผลการแกไ้ ข
............................................................................................................................... ................................
.................................................................................................. .............................................................
ลงชอื่ .....................................................ผสู้ อน
(................................................)
ห น้ า | ๔๖
ใบความรูเ้ รอื่ ง หลกั การอา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยกรอง
การอา่ นออกเสียงบทร้อยกรอง
การอา่ นออกเสียงร้อยกรอง เปน็ การอ่านท่มี ุ่งให้เกิดความเพลดิ เพลินซาบซึ้งในรสของคาประพนั ธ์ ซึง่
จะต้องอา่ นอยา่ งมจี งั หวะ ลีลา และท่วงทานองตามลักษณะคาประพันธ์เเต่ละชนดิ
การอ่านบทรอ้ ยกรอง อ่านได้ ๒ แบบ ดังน้ี
๑. อา่ นออกเสียงธรรมดา เป็นการอ่านออกเสียงพูด ตามปกตเิ หมือนกบั อ่านร้อยแก้ว แต่มีจังหวะ
วรรคตอน
๒. อ่านเปน็ ทานองเสนาะ เป็นการอ่านมสี าเนยี งสูง ตา่ หนกั เบา ยาว สน้ั เป็นทานองเหมือน
เสยี งดนตรี มกี ารเออ้ื นเสียง เนน้ สัมผสั ตามจงั หวะ ลลี าและทว่ งทานองตามลกั ษณะบังคับของบทประพันธใ์ ห้
ชดั เจนเเละเหมาะสม
หลกั เกณฑ์ในการอ่านออกเสียงร้อยกรอง
๑. ศกึ ษาลักษณะบังคบั ของคาประพนั ธ์ เชน่ การเเบ่งจังหวะจานวนคาสมั ผัสเสียง วรรณยุกต์ เสียง
หนกั เบา เปน็ ตน้
๒. อา่ นใหถ้ ูกตอ้ งตามลกั ษณะบงั คบั ของคาประพนั ธ์
๓. อ่านออกเสียง ร ล คาควบกลา้ ให้ชดั เจน
๔. อ่านออกเสียงดงั ใหผ้ ฟู้ ังไดย้ ินทวั่ ถงึ ไมด่ งั หรือคอ่ ยจนเกินไป
๕. คาทร่ี บั สมั ผัสกันตอ้ งอา่ นเนน้ เสยี งใหช้ ัดเจน ถ้าเป็นสมั ผัสนอกต้องทอดเสยี งใหม้ ีจงั หวะยาวกวา่
ธรรมดา
๖. มศี ิลปะในการใช้เสียง เออ้ื นเสยี ง และทอดจังหวะให้ชา้ จนจบบท
ขอ้ ควรคานงึ ในการอา่ นบทร้อยกรอง
การอา่ นบทร้อยกรอง หรอื ทานองเสนาะ ให้ไพเราะและประทบั ใจผูฟ้ ังมีข้อควรปฏบิ ัติ ดังน้ี
๑. ก่อนอ่านทานองเสนาะควรรักษาสขุ ภาพให้ดี มคี วามพร้อมทง้ั กายและใจ จะช่วยให้มั่นใจมากขึน้
๒. ตั้งสตใิ ห้ม่นั คง ไมห่ วั่นไหว ต่ืนเตน้ ตกใจ หรือประหม่า ควรมีสมาธิก่อนอ่านเเละขณะกาลงั อา่ น
เพื่อไม่ให้เกิดข้อผดิ พลาด
๓. กอ่ นอ่านควรตรวจดบู ทอา่ นอย่างครา่ วๆ และรวดเร็วเพ่ือพิจารณาคายาก หรอื การผนั วรรณยกุ ต์
และอ่ืนๆ
๔. พิจารณาบทที่จะอ่าน เพ่อื ตัดสินใจ เลอื กใสอ่ ารมณใ์ นบทอ่านให้เหมาะสมสอดคลอ้ งกับเนื้อความ
๕. หมั่นศึกษาและฝกึ ฝนการอา่ นทานองเสนาะจากผู้รูเ้ ก่ียวกับกลวธิ ีตา่ งๆอยเู่ สมอ จงึ จะทาให้
สามารถอ่านทานองเสนาะได้อย่างไพเราะ
คุณค่าของการอา่ นทานองเสนาะ
๑. ผฟู้ ังเหน็ ความงามของบทรอ้ ยกรองที่อา่ น
๒. ผฟู้ งั ไดร้ ับความไพเราะและเกดิ ความซาบซงึ้
๓. เกิดความสนกุ สนานเพลิดเพลนิ
ห น้ า | ๔๗
๔. จดจาบทร้อยกรองไดร้ วดเร็วเเม่นยา
๕. ชว่ ยกลอ่ มเกลาจติ ใจใหเ้ ปน็ คนอ่อนโยน
๖. ชว่ ยสบื ทอดวฒั นธรรมในการอา่ นทานองเสนาะไว้เปน็ มรดกของชาติ
ลักษณะฉันทลกั ษณ์กาพยฉ์ บัง ๑๖
ฉันทลักษณ์
ลักษณะคาประพนั ธ์
๑.บท บทหน่งึ มี ๓ วรรค คอื
- วรรคแรก (วรรคสดับ) มี ๖ คา
- วรรคที่สอง (วรรครับ) มี ๔ คา
- วรรคท่ี ๓ (วรรคส่ง) มี ๖ คา
รวมทัง้ หมด ๑๖ คา จงึ เรยี กฉบงั ๑๖
๒.สัมผสั
๒.๑. สัมผสั นอก หรือสัมผัสระหว่างวรรค เปน็ สมั ผสั บงั คับ คือ คาสดุ ทา้ ยของวรรคแรก(วรรคสดบั )
สัมผสั กับคาสุดท้ายของวรรคสอง (วรรครับ)
๒.๒. สัมผสั ระหวา่ งบท คือ คาสดุ ทา้ ยของวรรคสาม (วรรคสง่ ) สัมผสั กับคาสุดท้ายของวรรคหน่งึ
(วรรคสดบั ) ของบทต่อไป
๓.การอ่านกาพย์ฉบงั ๑๖
การอา่ นกาพย์ฉบงั จะเว้นจงั หวะการอา่ นทกุ ๆ ๒ คา ดงั น้ี
OO/OO/OO OO/OO
OO/ OO/OO
ตวั อยา่ งกาพยฉ์ บับ ๑๖
งาหนึ่ง / เจด็ โบก / ขรณี สระหน่งึ / ยิม่ มี
เจด็ กอ / อบุ ล / บันดาล
ห น้ า | ๔๘
ใบงานที่ ๖.๑ การอา่ นออกเสยี งบทร้อยกรอง
ชอื่ .............................................................................................................ชัน้ ม.๓/.......... เลขท.่ี ............
คาช้ีแจง : ใหน้ กั เรยี นสรปุ หลกั การออกเสียงบทร้อยกรองและลักษณะฉันทลักษณ์กาพย์ฉบัง ๑๖ พร้อมทง้ั
ยกตัวบทจากบทพากย์เอราวณั ที่ชอบมา ๑ บท พร้อมทั้งใหเ้ หตผุ ลทชี่ อบ
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................