ภูมินิเวศเทือกเขาเพชรบูรณ์ วิถีคน วิถีแผ่นดิน “เรื่องราวดีๆของกลุ่มคนที่ช่วยกันดูแลทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ในเขตพื้นที่เทือกเขาเพชรบูรณ์” โครงการยุทธศาสตร์เพื่อการตั้งรับปรับตัวทางนิเวศและสังคม
ภูมินิเวศเทือกเขาเพชรบูรณ์ วิถีคน วิถีแผ่นดิน “เรื่องราวดีๆของกลุ่มคนที่ช่วยกันดูแลทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ในเขตพื้นที่เทือกเขาเพชรบูรณ์” ที่ปรึกษา สุวิมลเสรี เผ่าวงษ์ ผู้ประสานงาน GEF SGP ประเทศไทย ธัธนา เหลืองธาดา ผู้ช่วยผู้ประสานงาน GEF SGP ประเทศไทย เขียนและเรียบเรียง ดร.ยุทธนา วงศ์โสภา (นายกสมาคมวิจัยและนวัตกรรมเพื่อชุมชน) ดร.จตุพร เทียรมา (อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามบรรณาธิการ ภาคภูมิ วิธานศิรวัฒน์ คณะบรรณาธิการ ดำรงศักดิ์ มะโนแก้ว ขนิษฐา พลซา ปีที่จัดทำ กันยายน 2566 จัดพิมพ์โดย สมาคมรักษ์ป่าต้นน้ำ สนับสนุนการจัดทำ กองทุนสิ่งแวดล้อมโลก Global Environment Facility Small Grants Programme (gef)
คำนำ กองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ในแผนงานโครงการขนาดเล็ก (The GEF Small Grants Programme in Thailand UNDP) ได้สนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรชุมชนและองค์กรพัฒนาเอกชนในพื้นที่ภูมิทัศน์ เทือกเขาเพชรบูรณ์ซึ่งเป็นเขตต่อเนื่องระหว่างจังหวัดเลยกับจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยสนับสนุนกิจกรรมด้านการ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาแนวทางการอยู่ร่วมระหว่างคนกับช้างป่า และการปรับระบบ เกษตรกรรมจากพืชเดี่ยวเป็นเกษตรกรรมยั่งยืนที่สอดรับกับระบบนิเวศของแต่ละท้องถิ่น การพัฒนาแนวคิดว่า ด้วยเกษตรนิเวศที่มีนัยของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และการตั้งรับ ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ด้วยแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนบนฐานระบบนิเวศแบบองค์รวมโดยใช้ภูมิ นิเวศเทือกเขาเพชรบูรณ์เป็น ภูมิทัศน์ร่วม เทือกเขาเพชรบูรณ์เป็นระบบนิเวศภู บางภูเป็นภูหลังแปบนสันภูเป็นพื้นที่ราบซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ ของภูเขาในภาคอีสาน พื้นที่ภูเขามีความลาดชัน พื้นที่ลอนคลื่นสลับกับพื้นที่ราบและหุบเขา เป็นแผ่นดินที่มี ความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญทั้งของภาคอีสาน ภาคเหนือและภาคกลาง เช่น น้ำพุงต้นน้ำของแม่ น้ำป่าสัก ต้นน้ำพองแม่น้ำสำคัญของภาคอีสาน เป็นต้น เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์สำคัญเช่น ช้างป่า เต่าปูลู ตลอดจนมีฐานทรัพยากรธรรมชาติที่พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวนำรายได้สู่ผู้คนอย่างเขาค้อ ภูทับเบิก ภูเรือ ภู กระดึง ภูหลวง แม่น้ำโขงที่เชียงคาน การดำเนินงานของโครงการขนาดเล็ก 12 โครงการและการสรุปชุดความรู้ เชื่อมโยงเครือข่าย ยกระดับงานจากชุมชนเป็นชุดนโยบายร่วมกับรัฐ โดยโครงการยุทธศาสตร์เพื่อการตั้งรับปรับตัวทางนิเวศและ สังคมภูมิทัศน์เทือกเขาเพชรบูรณ์ซึ่งดำเนินงานโดยสมาคมรักษ์ป่าต้นน้ำ พบว่า ชุมชนในเทือกเขาเพชรบูรณ์มี ความตระหนัก มีองค์ความรู้ และมีความสามารถที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในเรื่องการอนุรักษ์ป่า อนุรักษ์สายน้ำ การบริหารจัดการน้ำในเขตภูเขา การพัฒนาระบบเกษตรที่สอดรับกับระบบนิเวศและนำไปสู่ การอนุรักษ์ดินและน้ำ รวมทั้งการจัดระบบเฝ้าระวัง การพัฒนาชุดความรู้และการปรับเปลี่ยนระบบเกษตรเพื่อ การอยู่ร่วมระหว่างคนกับช้างป่า ผู้คน ชุมชน และระบบนิเวศเทือกเขาเพชรบูรณ์ดังกล่าวข้างต้น เป็นพื้นฐานสำคัญที่สามารถ ขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องมีการทบทวนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่กำลัง ดำเนินการอยู่จากพืชเดี่ยว ซึ่งราดรดแผ่นดินด้วยสารเคมี และเผาไร่เพื่อการเก็บเกี่ยวจนก่อภาวะฝุ่นพิษอย่าง อ้อยเพื่ออุตสาหกรรมน้ำตาลและพลังงานไฟฟ้า ไปสู่ระบบเกษตรนิเวศ ปลูกพืชเกษตรที่มีมูลค่าสูงอย่างผลไม้ หรือพืชผลเมืองหนาว หรือการปลูกไม้ป่าผสมผสานไปในแปลงเกษตร การอนุรักษ์ป่า การปกป้องสายน้ำ การ เปลี่ยนปัญหาช้างป่าไปสู่โอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ของเมืองแห่งการอนุรักษ์ช้าง รวมทั้งการพัฒนาการ ท่องเที่ยวบานฐานทรัพยากรธรรมชาติและวิถีวัฒนธรรมของผู้คน ทัศนะมุมมอง แนวคิดการพัฒนา ประสบการณ์ในการพัฒนาส่วนหนึ่งได้ถูกรวบรวมไว้ในหนังสือ ภูมิ นิเวศเทือกเขาเพชรบูรณ์ วิถีคน วิถีแผ่นดิน เล่มนี้ และด้วยข้อจำกัดของเวลาในการจัดทำจึงยังไม่สมบูรณ์ พร้อมพอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการต่อไปในอนาคต ด้วยจิตคารวะ สมาคมรักษ์ป่าต้นน้ำ มิถุนายน 2566
สารบัญ บทนำ........................................................................................................1 บทที่ 1 การพัฒนาพื้นที่เกษตรกรรมภูมินิเวศ ภู กรณีเทือกเขาเพชรบูรณ์1 2. สภาพปัญหาพื้นที่เทือกเขาเพชรบูรณ์............................................................. 11 3. การแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศกับผลกระทบภาคเกษตร....................................... 16 4. การปรับตัวของชุมชนเพื่อแก้ปัญหาเชิงพื้นที่และรับมือกับการแปรปรวนของภูมิอากาศ ........... 17 5. การพัฒนาพื้นที่เกษตรกรรมด้วยเกษตรเชิงนิเวศ .................................................. 17 6. สรุปการพัฒนาพื้นที่เกษตรส าหรับภูมินิเวศภูกรณีเทือกเขาเพชรบูรณ์............................ 32 บทที่ 2 การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า................................34 2.1 กรณีตัวอย่างการ อนุรักษ์ ดิน น ้า ป่ า ด้วยภูมิปัญญาชุมชนเข็กน้อย ............................ 34 2.2 กรณีตัวอย่างการฟื้ นฟูป่ าชุมชนท่าอีบุญใต้ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมชุมชน ................... 38 2.3 กรณีตัวอย่างการอนุรักษ์ป่ าชุมชน : รวมใจรวมคนเพื่อชุมชน ................................. 40 2.4 กรณีตัวอย่างการ ฟื้ นยา อาหารและชีวิตด้วยป่ าหัวไร่ปลายนา................................... 44 2.5 กรณีตัวอย่างการ สร้างสวน ฟื้ นป่ าชุมชนและฟื้ นวังปลาเพื่อสร้างความมั่งคงทางอาหาร ........ 48 บทที่ 3 การฟื้นฟูและการจัดการน้ำสู่การจัดการรายได้อย่างยั่งยืน.........51 3.1กรณีตัวอย่างการ ฟื้ นฟูระบบนิเวศสู่การฟื้ นฟูน ้า................................................. 51 3.2 กรณีตัวอย่างการ จัดการน ้า จัดการรายได้จัดทรัพยากรต้นน ้าหมัน............................. 54 บทที่ 4 ระบบเกษตรเพื่อการอนุรักษ์ ดิน น้ำ ป่า....................................59 4.1 กรณีตัวอย่าง 8 เงือนไขสู่การผลิตและบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ......................... 59 4.2 กรณีตัวอย่างการท าเกษตรผสมผสาน “เอาใจเอาแฮงเปลี่ยนแปลงวิธีคิดสู่ท าเกษตรผสมผสาน” 62 4.3 กรณีตัวอย่างการปลูกแบบผสมผสานฟื้ นฟูระบบนิเวศและแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมต้นน ้าป่ าสัก64 บทที่ 5 ชุมชนกับการตั้งรับปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ การอยู่ร่วมระหว่างชุมชนกับช้างป่า................................................67 5.1 กรณีตัวอย่างการ ปรับวิถีชีวิต เสริมสร้างครอบครัวรับมือสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ...... 67 5.2 กรณีตัวอย่างการปรับตัวด้านการผลิต “ไผ่ : เปลี่ยนวิธีคิดเพื่อคน และ ช้างป่ า”.............. 71 บรรณานุกรม ..........................................................................................74
บทนำ ภูมิทัศน์เทือกเขาเพชรบูรณ์มีลักษณะทางกายภาพเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีความสูงจาก ระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 500–1,571 เมตร แบ่งลักษณะของพื้นที่ออกเป็นเขตภูเขาสูง ทางด้านทิศตะวันตกทั้งหมด ของจังหวัดเลย และจังหวัดเพชรบูรณ์เขตที่ราบเชิงเขาใช้สำหรับที่อยู่อาศัยและทำการเพาะปลูก เขตที่ราบ ลุ่มมีพื้นที่น้อยมาก จังหวัดเลยคือลุ่มน้ำเลย ลุ่มน้ำโขง ได้แก่บริเวณอำเภอวังสะพุง อำเภอเมือง อำเภอเชียง คาน ส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์มีพื้นที่ราบลุ่มของแม่น้ำป่าสักอยู่ในเขตอำเภอหล่มเก่า เทือกเขาเพชรบูรณ์ถือเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญในแง่ของทรัพยากรป่าไม้และแหล่งต้นน้ำของลุ่ม น้ำสายหลักของประเทศ ที่ไหลลงสู่แหล่งน้ำสากล แหล่งทรัพยากรที่สำคัญในขอบเขตภูมิทศัน์ ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า จำนวน 10 แห่ง ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติภูเรือ อุทยาน แห่งชาติภูสวนทราย เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าภูหลวง เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าภูค้อ ภูกระแต อุทยานแห่งชาติภู กระดึง อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อุทยานแห่งชาติทุ่ง แสลงหลวง และอุทยานแห่งชาติเขาค้อ ลุ่มน้ำสายสำคัญที่เกิดจากพื้นที่ภูมิทัศน์เทือกเขาเพชรบูรณ์ ประกอบด้วยลุ่มน้ำพุงไหลลงสู่ลุ่มน้ำป่า สัก ลุ่มน้ำเลยไหลลงสู่แม่น้ำโขง ลุ่มน้ำหมันไหลลงสู่ลุ่มน้ำเหืองไหลลงสู่แม่น้ำโขง ต้นน้ำพองไหลลงสู่แม่น้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ต้นน้ำเซิญเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำชี และลุ่มน้ำเข็กไหลลงสู่แม่น้ำน่านทางฝั่งทิศตะวันตก การใช้ประโยชน์ที่ดินส่วนใหญ่เป็นการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรปลูกพืชเชิงเดี่ยวแบ่งตามลักษณะของ พื้นที่ออกเป็น พื้นที่ราบเชิงเขาจะใช้ในการปลูกข้าวโพด ยางพารา มันสำปะหลัง ส่วนพื้นที่ราบลุ่มจะใช้ในการ ปลูกข้าว อ้อย มีเพียงส่วนน้อยที่ทำเกษตรแบบผสมผสาน พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าสงวน ถือครองกรรมสิทธ์ิ แบบภาษีบำรุงท้องที่ (ภบท.5) จากรูปแบบการใช้ที่ดินที่ไม่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ เนื่องจากสภาพพื้นที่ โดยรวมของภูมิทัศน์มีสภาพเป็นพื้นที่ภูเขา การปลกูพืชที่ไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ส่งผลกระทบและเกิด ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ภูมิทัศน์ตามมา สภาพปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นในภาพรวมของพื้นที่ภูมิทัศน์ ประเด็นปัญหาหลัก คือ การปลูก พืชเชิงเดี่ยวที่นำไปสู่ปัญหาการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าไม้ บริบททางด้านเศรษฐกิจและสังคมภูมิทัศน์เทือกเขาเพชรบูรณ์ ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพทำ การเกษตรเชิงพาณิชย์ สภาพทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมจึงอิงกับภาคการเกษตรเป็นหลัก รายได้ของคนใน ชุมชนถือได้ว่าอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากมีรายได้เป็นรายปีและมีภาระหนี้สินจากการกู้ยืมเพื่อนำมาลงทุนในการ ทำการเกษตร เช่น ค่าเมล็ดพันธ์ุ ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง ค่าจ้างแรงงาน และค่าไถพรวน วิถีการ ผลิตเชิงพาณิชย์ที่เน้นปริมาณเป็นหลักทำให้คนในชุมชนขาดความตระหนักและสำนึกถึงผลกระทบทางระบบ นิเวศ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาที่ตามมา คือ ปัญหาการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าไม้ เพื่อขยายพื้นที่ทางการเกษตร ปัญหาดินเสื่อม สภาพดินเสื่อมโทรมจากการใช้สารเคมี ปัญหาด้านระบบการผลิตที่ไม่มีประสิทธิ ภาพผลผลิต ตกต่ำไม่มีคุณภาพ ปัญหาไม่มีอาชีพที่แน่นอน ขาดอาชีพเสริม ไม่มีทางเลือกในการประกอบอาชีพ ปัญหาขาด แคลนแหล่งน้ำที่ใช้ในการพัฒนาระบบการทำเกษตรแบบยั่งยืน ความมั่นคงทางด้านอาหารลดลงเนื่องจากพื้นที่ ทรัพยากรถูกทำลาย ปัญหาเรื่องสิทธิที่ดินทำกิน การทวงคืนพื้นที่ ความไม่มั่นใจในสิทธิและการเข้าถึงแหล่งทุน ในการพัฒนาที่ดินได้ ปัญหาไฟป่าที่เกิดจากการเผาเพื่อการเกษตร การล่าสัตว์และการเลี้ยงปศุสัตว์ ปัญหาภัย แล้งและปัญหาสัตว์ป่าบุกรุกพื้นที่การเกษตร ซึ่งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมของคนในชุมชน สภาพแวดล้อมของ ชุมชน ขาด การบริหารจัดการที่ดี และระบบที่เกี่ยวข้อง สภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ดังกล่าวถือเป็นปัญหาที่
โครงการมุ่งแก้ไขและพัฒนาในพื้นที่ภูมิทัศน์เทือกเขาเพชรบูรณ์ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงาน 4 ด้าน ของกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก โดยมีแนวทางสำคัญในการพัฒนาภูมิทัศน์ 1. การส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า อย่างยั่งยืน 2. การส่งเสริมและสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพระบบการผลิตที่ยั่งยืน 3. การส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาอาชีพที่หลากหลายสู่การสร้างเศรษฐกิจบนพื้นฐาน ทรัพยากรชุมชนอย่างยั่งยืน 4. การส่งเสริมและพัฒนาระบบกลไกการบริหารจัดการที่เป็นธรรม มีประสิทธิภาพและเท่า เทียมกัน โดยมีเป้าหมายคือการเสริมสร้างความสามารถในการตั้งรับปรับตัวทางสังคม เศรษฐกิจและระบบ นิเวศของภูมิทัศน์ โดยกิจกรรมที่ยึดชุมชนเป็นฐาน จากเหตุผลดังกล่าวมาข้างต้น กองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (gef) ให้การสนับสนุน องค์กรชุมชน และ องค์กรพัฒนาภาคเอกชน จำนวน 12 องค์กร เพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบในการจัดการทรัพยากรเพื่อการตั้งรับ ปรับตัวทางนิเวศและสังคมภูมิทัศน์เทือกเขาเพชรบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ชุมชนมีความสามารถในการตั้งรับปรับตัว ทางสังคม เศรษฐกิจและระบบนิเวศของภูมิทัศน์ โดยยึดชุมชนเป็นฐาน เวทีประเมินข้อมูลเส้นฐานเพื่อการจัดท าแผนการตั้งรับปรับตัวทางนิเวศและสังคม จ านวน 12 พื้นที่
1 บทที่ 1 การพัฒนาพื้นที่เกษตรกรรมภูมินิเวศ ภู กรณีเทือกเขาเพชรบูรณ์ โดย ดร.จตุพร เทียรมา (อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) 1.บริบทพื้นที่เทือกเขาเพชรบูรณ์ 1.1. ด้านกายภาพ เทือกเขาเพชรบูรณ์เป็นเทือกเขาที่ทอดยอดมาจากดินแดนประเทศลาว ต่อเนื่องจากเทือกเขา หลวงพระบางครอบคลุมตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่างลงมาถึงภาคกลางตอนบน มีความยาวรวม 586 กิโลเมตร มุ่ง สู่ภาคกลางของประเทศ กินพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียง และภาคกลาง ตั้งแต่จังหวัดเลย จนถึงจังหวัดลพบุรี และสระบุรี สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกตั้งแต่ทางตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก ผ่านจังหวัดเลย เพชรบูรณ์ ขอนแก่น และชัยภูมิ มีความยาว 236 กิโลเมตรและส่วนที่สองเริ่มจากฝั่งตะวันตกของแม่น้ำป่าสัก ผ่านจังหวัดเลย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ และลพบุรี มีความยาว 350 กิโลเมตร (สำนักงานสิ่งแวดล้อม และควบคุมมลพิษที่ 13, 2566 : เว็บไซต์) ยอดเขาและสันเขาที่สำคัญ ได้แก่ ภูสอยดาว ภูเมี่ยง ภูขัด และภูหิน ร่องกล้า เขาปู่ เขาย่า เขาค้อ เขาผ้าขาว และเขารัง ทางด้านทิศตะวันออกมี ภูหลวง ในจังหวัดเลย และภูเขียว ในจังหวัดชัยภูมิ กินพื้นที่อยู่ในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งในส่วนของภาคกลางแบ่งออกเป็น เครดิตภาพ : จีระศกัดิ์ตรีเดช
2 เทือกเขาเพชรบูรณ์ 1 และเทือกเขาเพชรบูรณ์ 2 โดยเทือกเขาเพชรบูรณ์ 1 เป็นทิวเขาทางทิศตะวันออกของ แม่น้ำป่าสักต่อไปทางใต้เรียกชื่อว่า “ทิวเขาดงพญาเย็น”ส่วนเทือกเขาเพชรบูรณ์ 2 เป็นทิวเขาอยู่ทางตะวันตก ของแม่น้ำป่าสัก ทอดตัวผ่านถนนสาย พิษณุโลก-เพชรบูรณ์-เลย รวมความยาวประมาณ 350 กิโลเมตร ลำน้ำ ที่ไหลจากทิวเขานี้ ทางด้านตะวันออกจะไหลลงสู่แม่น้ำป่าสัก ทางด้านทิศตะวันตกน้ำจะไหลลง สู่แม่น้ำน่านที่ ราบ ระหว่างทิวเขาเพชรบูรณ์ 1 และ2 เป็นที่ราบที่มีดิน ที่สมบูรณ์มีน้ำใต้ดินมาก ทำให้ผลผลิตทางการเกษตร สูง ภูมิทัศน์เทือกเขาเพชรบูรณ์มีลักษณะทางกายภาพเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีความสูงจาก ระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 500–1,571 เมตร แบ่งลักษณะของพื้นที่ออกเป็นเขตภูเขาสูง ทางด้านทิศตะวันตกทั้งหมด ของจังหวัดเลย เริ่มตั้งแต่อำเภอภูกระดึงขึ้นไปอำเภอภูหลวง อำเภอภูเรือ อำเภอท่าลี่ อำเภอด่านซ้าย และ อำเภอนาแห้วทั้งหมด ส่วนในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์เริ่มตั้งแต่ อำเภอน้ำหนาว อำเภอหล่มเก่า และอำเภอเขา ค้อ เขตที่ราบเชิงเขาใช้สำหรับที่อยู่อาศัยและทำการเพาะปลูก เขตที่ราบลุ่มมีพื้นที่น้อยมาก ในตอนกลางของ จังหวัดเลยคือลุ่มน้ำเลย ลุ่มน้ำโขง ได้แก่บริเวณอำเภอวังสะพุง อำเภอเมือง อำเภอเชียงคานเป็นเขตที่ทำ การเกษตรได้ดี ส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์มีพื้นที่ราบลุ่มของแม่น้ำป่าสักอยู่ในเขตอำเภอหล่มเก่า เป็นเขตที่ทำ การเกษตรได้ดี(โครงการ Small Grants, 2566: เว็บไซต์) เทือกเขาเพชรบูรณ์ถือเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญในแง่ของทรัพยากรป่าไม้และแหล่งต้นน้ำ ของลุ่มน้ำสายหลักของประเทศ ที่ไหลลงสู่แหล่งน้ำสากล แหล่งทรัพยากรที่สำคัญในขอบเขตภูมิทัศน์ ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำนวน 10 แห่ง ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติภูเรือ อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูค้อ ภูกระแต อุทยาน เครดิตภาพ : ดา รงคศ์กัดิ์มะโนแกว้ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
3 แห่งชาติภูกระดึง อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อุทยาน แห่งชาติทุ่งแสลงหลวง และอุทยานแห่งชาติเขาค้อ (โครงการ Small Grants, 2566: เว็บไซต์) รวมถึงป่าสงวน ต่าง ๆ เช่น ป่าภูหงส์ ป่าภูซาง ภูเปือย ภูขี้เถ้า ภูเรือ และป่าอนุรักษ์ เช่น ภูนกกก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูค้อ ภู กระแต ภูผาแดง นอกจากนี้ยังมีภูเสียว ภูฮวก (ภูชมลาว) นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ป่าชุมชนที่เกิดจากการดูแลรักษาของชุมชน ภายใต้การสนับสนุน โครงการขนาดเล็กโดยชุมชน กองทุนสิ่งแวดล้อมโลก GEF Small Grants Programme: GEF SGP รุ่น 12/4 (OP 5 Year 4) มีพื้นที่ป่าชุมชนรวมกันทั้งที่ขึ้นทะเบียนและไม่ขึ้นทะเบียนป่าชุมชนกับกรมป่าไม้จำนวน 51,635 ไร่ (โครงการ Small Grants, 2566: เว็บไซต์) 1.2. ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ บริเวณเทือกเขาเพชรบูรณ์เป็นแหล่งป่าไม้ที่หลากหลายประเภท ได้แก่ ป่าดงดิบ ป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ และป่าไผ่ เป็นต้น โดยมีระบบนิเวศย่อย 12 นิเวศ ได้แก่ ห้วย ลาด ตาด ซำ ฮอง ฮอม(โสก) ภู ผา ดง ดั้น โคก โหล่น ชุมชนที่อยู่บริเวณเทือกเขาเพชรบูรณ์จะมีป่าชุมชนเป็นแหล่งอาหารทั้งจากพืชและสัตว์ อาทิ เช่น เห็ด ผักหวาน หน่อไม้ อีรอก หนอนไม้ไผ่ ผักป่า หอยหอม อิปุ่ม กบ เขียด นก กระรอก กระแต ปูหิน งู สิงห์ หนู ตุ่น ไข่มดแดง อึ่ง พื้นที่ป่าเทือกเขาเพชรบูรณ์เป็นแหล่งพืชสมุนไพรที่หลากหลาย เช่น ไม้แค่อ้ม เนียมข้าวเม่า ว่านหอมโบราณ เหล็กซีดิน เฒ่าบ่อเป็น ตำบาน ยาหัวใหญ่ พั้ง แม่ฮ้างสามสิบสองผัว ย่านาง คนทา ซิงซี่ มะเดื่อ ย้ายเม้า เป็นต้น ระบบนิเวศป่าไม้บริเวณอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ คือ ป่าเต็งรัง ป่าไม้สลัดใบ าสน และป่าดงดิบ โดยมีระบบนิเวศป่าไม้ที่ชุมชนใช้ประโยชน์ คือ ป่าตั๋วเพ่ง ป่าเขากระทิง ป่าดอยผาตัด ป่า สาธารณประโยชน์ สภาพพื้นที่ป่าในเขตพื้นที่ ต.เข็กน้อย อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ เครดิตภาพ : ดา รงคศ์กัดิ์มะโนแกว้
4 เห็ดระโงก ป่ าเต็งรัง เครดิตภาพ : จีระศกัดิ์ตรีเดช
5 1.3. ด้านสังคม ลักษณะความสัมพันธ์ทางสังคมภายใต้ขอบเขตภูมิทัศน์ทางฝั่งทิศตะวันตก ที่ตำบลเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่มีวัฒนธรรมความเชื่อมาเป็นตัวกำหนดระบบ ความสัมพันธ์ของคนในชุมชน ที่มีลักษณะความเป็นเครือญาติสูงหรือมีความสัมพันธ์ในลักษณะของตระกลูแซ้ คนในชุมชนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ส่วนเขตพื้นที่ฝั่งทิศตะวันออกของภูมิทัศน์ของจังหวัดเลยมาจนถึง เขตอำเภอน้ำหนาว อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์มีลักษณะความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นแบบชุมชน เกษตรกรรม วิถีวัฒนธรรมแบบไทเลย–ไทหล่ม –ไทไต้ ซึ่งใช้สำเนียงภาษามาเป็นตัวกำหนด คือไทเลย ไทหล่ม จะมีสำเนียงภาษาเป็นแบบหลวงพระบาง ส่วนไทไต้จะมีสำเนียงภาษาแบบคนอีสานที่อพยพมาจากจังหวัด มหาสารคาม จังหวัดอุบลราชธานี โดยเข้ามาในยุคการสัมปทานป่าไม้ และมีการส่งเสริมการปลกูพืชเชิงเดี่ยว ตามแนวทางการปฏิวัติเขียวของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 3 ทำให้มีการโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามากระจายตัวอยู่ ในเขตพื้นที่อำเภอน้ำหนาวจังหวัดเพชรบูรณ์และอำเภอวังสะพุง อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เกิดการ ผสมผสานทางวัฒนธรรม ความเชื่อ ภาษา และมีวิถีชีวิตความสัมพันธ์เป็นแบบเครือญาติอย่างแน่นแฟ้น ช่วยเหลือแบ่งปันซึ่งกันและกัน อยู่กันแบบพี่แบบน้อง ให้ความเคารพนอบน้อมต่อผู้อาวุโสในชุมชน ซึ่งเห็นได้ จากวิธีการจัดการปัญหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในชุมชนด้วยวิธีการไกล่เกลี่ย โดยมีผู้อาวุโสเป็นคนกลาง คนใน ชุมชนให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจกรรมส่วนรวมของชุมชน ตลอดจนมีกฎกติกาทางวัฒนธรรมร่วมกันที่ใช้ เป็นตัวควบคุมทางสังคม ทำให้ชุมชนอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข (โครงการ Small Grants, 2566: เว็บไซต์) เมื่อพิจารณาแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ ที่สำคัญตามพื้นที่บริเวณเทือกเขา เพชรบูรณ์ สามารถแบ่งได้ ดังนี้ 1) บริเวณพื้นที่อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่ สำคัญ คือ ไทหล่ม 2) บริเวณพื้นที่อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่ สำคัญ คือ ม้ง 3) บริเวณพื้นที่อำเภอเชียง คาน จังหวัดเลย มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่สำคัญ คือ ไทพวน 4) บริเวณพื้นที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่สำคัญ คือ ลาวพวน 5) บริเวณพื้นที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่สำคัญ คือ ไทเลย และม้ง โดยสรุป กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัย อยู่บริเวณเทือกเขาเพชรบูรณ์ได้แก่ ไท เครดิตภาพ : ดา รงคศ์กัดิ์มะโนแกว้ หล่ม ไทพวน ลาวพวน ไทเลย และม้ง
6 1.4. ด้านทรัพยากรธรรมชาติ 1) ทรัพยากรดิน การใช้ประโยชน์ที่ดินส่วนใหญ่เป็นการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรปลูกพืช เชิงเดี่ยวแบ่งตามลักษณะของพื้นที่ออกเป็น พื้นที่ราบเชิงเขาจะใช้ในการปลูกข้าวโพด ยางพารา มัน สำปะหลัง ส่วนพื้นที่ราบลุ่มจะใช้ในการปลูกข้าว อ้อย มีเพียงส่วนน้อยที่ทำเกษตรแบบผสมผสาน พื้นที่ ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าสงวน ถือครองกรรมสิทธิ์แบบภาษีบำรุงท้องที่ (ภบท.5) จากรูปแบบการใช้ที่ดินที่ ไม่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ เนื่องจากสภาพพื้นที่โดยรวมของภูมิทัศน์มีสภาพเป็นพื้นที่ภูเขา การปลูก พืชที่ไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ส่งผลกระทบและเกิดปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ภูมิทัศน์ ตามมา (โครงการ Small Grants, 2566: เว็บไซต์) เครดิตภาพ : ดา รงคศ์กัดิ์มะโนแกว้
7 2) ทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำสายสำคัญที่เกิดจากพื้นที่ภูมิทัศน์เทือกเขาเพชรบูรณ์ ประกอบด้วยลุ่มน้ำพุง ไหลลงสู่ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำเลยไหลลงสู่แม่น้ำโขง ลุ่มน้ำหมันไหลลงสู่ลุ่มน้ำเหืองไหลลงสู่แม่น้ำโขง ต้นน้ำพอง ไหลลงสู่แม่น้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ต้นน้ำเซิญเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำชี และลุ่มน้ำเข็กไหลลงสู่แม่น้ำน่าน ทางฝั่งทิศตะวันตก (โครงการ Small Grants, 2566: เว็บไซต์) แหล่งน้ำสำคัญบริเวณเทือกเขาเพชรบูรณ์พิจารณาตามพื้นที่ ดังนี้ 1) แหล่งน้ำที่สำคัญบริเวณอำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แก่ แม่น้ำ พอง และลำห้วย (ห้วยแปก ห้วยจาน ห้วยหอย ห้วยหินลับ ห้วยน้ำพางไหล) 2) แหล่งน้ำที่สำคัญบริเวณอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แก่ ลุ่ม น้ำป่าสัก และต้นกำเนิดห้วยน้ำย่า ห้วยน้ำแท้ ห้วยน้ำข่อย 3) แหล่งน้ำที่สำคัญบริเวณอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แก่ พื้นที่ต้น น้ำเข็ก และมีลำห้วยต่าง ๆ เช่น ห้วยน้ำเข็ก ห้วยปก ห้วยลาน ห้วยน้ำขาว ห้วยอ้อล้อ ห้วยซิม จะเชื่อมต่อกับ แม่น้ำเข็กและเชื่อมสู่แม่น้ำน่าน 4) แหล่งน้ำบริเวณอำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย มีแหล่งน้ำสำคัญ ได้แก่ (1) ลำน้ำพองโก ซึ่งมีต้นกำเนิดจาก ภูค้อ-ภูกระแต ไปบรรจบกับแม่น้ำพองใหญ่ และ (2) แม่น้ำพอง มีต้นกำเนิด จากภูกระดึง ไปบรรจบลำน้ำพองโก (3) ลำน้ำห้วยส้ม และ (4) ลำน้ำห้วยไผ่ 5) แหล่งน้ำบริเวณอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ได้แก่ แม่น้ำเหือง และ แม่น้ำโขง บริเวณปากแม่น ้าเหืองและแม่น ้าโขงมาบรรจบกัน ที่บ้านท่าดีหมี ต.ปากตม อ.เชียงคาน จ.เลย เครดิตภาพ : ดา รงคศ์กัดิ์มะโนแกว้
8 6) แหล่งน้ำบริเวณอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ได้แก่ 1) ลำน้ำหมัน ซึ่งมีลำ น้ำสาขา 28 ร่องน้ำ ได้แก่ ห้วยหินปูน ห้วยวงปลาพุง ห้วยหลุมเงือก ห้วยน้ำบั้ง ห้วยหมากแข้ง ห้วยหก ห้วย เมียดโคลน ห้วยหลวง ห้วยหมากเสี้ยม ห้วยค้อ ห้วยกกกราว ห้วยหินโง่น ห้วยตาด ห้วยเกียง ห้วยกั้ง ห้วยเซิม ห้วยลี่ ห้วยเลี่ยม ห้วยโครงสร้าง ห้วยโป่งไผ่ ห้วยบ้านแตก ห้วยบง ห้วยผักกูด ห้วยห้อ ห้วยลาด และห้วยปูน 2) ห้วยน้ำหมันน้อย มีร่องน้ำสาขา 2 ร่องน้ำ คือ ห้วยเหว่อ ห้วยจุ้ง 3) ลำน้ำพุง 7) แหล่งน้ำบริเวณอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย คือ แม่น้ำเลย ดังจะเห็นได้ ว่า แหล่งน้ำที่สำคัญบริเวณเทือกเขาเพชรบูรณ์ได้แก่ลุ่มน้ำพุงไหลลงสู่ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำเลยไหลลงสู่แม่น้ำ โขง ลุ่มน้ำหมันไหลลงสู่ลุ่มน้ำเหืองไหลลงสู่แม่น้ำโขง ต้นน้ำพองไหลลงสู่แม่น้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ต้นน้ำ เซิญเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำชี และลุ่มน้ำเข็กไหลลงสู่แม่น้ำน่านทางฝั่งทิศตะวันตก โดยมีลำน้ำและห้วย มากมายในพื้นที่บริเวณเทือกเขาเพชรบูรณ์ ได้แก่ แหล่งน้ำในจังหวัดเพชรบูรณ์ เช่น ห้วยแปก ห้วยจาน ห้วย หอย ห้วยหินลับ ห้วยน้ำพางไหล ห้วยน้ำย่า ห้วยน้ำแท้ ห้วยน้ำข่อย และจังหวัดเลย เช่น ลำน้ำห้วยส้ม ลำน้ำ ห้วยไผ่ ห้วยหินปูน ห้วยวงปลาพุง ห้วยหลุมเงือก ห้วยน้ำบั้ง ห้วยหมากแข้ง ห้วยหก ห้วยเมียดโคลน ห้วย หลวง ห้วยหมากเสี้ยม ห้วยค้อ ห้วยกกกราว ห้วยหินโง่น ห้วยตาด ห้วยเกียง ห้วยกั้ง ห้วยเซิม ห้วยลี่ ห้วย เลี่ยม ห้วยโครงสร้าง ห้วยโป่งไผ่ ห้วยบ้านแตก ห้วยบง ห้วยผักกูด ห้ยห้อ ห้วยลาด และห้วยปูน ห้วยเหว่อ ห้วยจุ้ง เป็นต้น ลา นา ้พุงพ้ืนที่ตน้นา ้ป่าสกัตอนบน เครดิตภาพ : จีระศกัดิ์ตรีเดช
9 3) ทรัพยากรพืชพรรณ 3.1) พืชพรรณทั่วไป ชุมชนที่อยู่บริเวณเทือกเขาเพชรบูรณ์จะมีป่าชุมชนเป็นแหล่งอาหาร เช่น เห็ด ผักหวาน หน่อไม้ อีรอก บีปลากั้ง ผักป่า บริเวณอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์มีการอนุรักษ์ไม้ไผ่ตามหัวไร่ปลาย นา ได้แก่ ไผ่เปราะ ไผ่กาบแดง ไผ่เซิม ไผ่บงคาย และไผ่หก บริเวณอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีพืชพรรณธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ ต้น สะพุง ต้นไคร้ ต้นผักกุ่ม ไม้ตะเคียน และต้นเดื่อ พืชสมุนไพรบริเวณอำเภอวังสะพุง อำเภอเอราวัณ อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย เป็น พืชสมุนไพรในป่าเต็งรัง ได้แก่ ไม้แค่อ้ม เนียมข้าวเม่า ว่านหอมโบราณ ว่านเทพประชุมพร เหล็กซีดิน เฒ่าบ่อ เป็น ตำบาน ยาหัวใหญ่ พั้ง แม่ฮ้างสามสิบสองผัว ย่านาง คนทา ซิงซี่ มะเดื่อ ย้ายเม้า เป็นต้น ว่านเทพประชุมพร เครดิตภาพ : จีระศกัดิ์ตรีเดช บีปลากั้ง
10 3.2) พืชพรรณเพาะปลูกทางการเกษตร ชุมชนบริเวณเทือกเขาเพชรบูรณ์ส่วนใหญ่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว เมื่อพิจารณาตามพื้นที่จังหวัด มี รายละเอียด ดังนี้ 1) ชุมชนบริเวณอำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนใหญ่ทำไร่ข้าวโพด ทำข้าวไร่ ทำสวน ยางพารา และทำสวนผลไม้ 2) ชุมชนบริเวณอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนใหญ่ปลูกข้าวโพด ขิง ข้าวไร่ กะหล่ำปลี และแครอท 3) ชุมชนบริเวณอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนใหญ่ทำไร่ข้าวโพด ทำข้าวไร่ ทำนาข้าว ปลูกเสาวรส ยาสูบ โดยมีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ มะขามหวาน มะขามเปรี้ยว ยางพารา และปลูกผักญี่ปุ่น มันสำปะหลัง โดยพื้นที่ทำการเกษตรเกือบทั้งหมดเป็นที่ลาดชัน 4) ชุมชนบริเวณอำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ส่วนใหญ่ทำไร่อ้อย 5) ชุมชนบริเวณอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จะทำการเกษตรตามลักษณะพื้นที่ คือ พื้นที่ ราบ จะทำนาข้าว ทำไร่ข้าวโพด ส่วนพื้นที่เชิงเขาจะทำการเกษตรที่อาศัยน้ำฝน คือ จะทำไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปลูกมันสำปะหลัง ยางพารา และไม้ผล (กล้วย ลำไย มะม่วง) 6) ชุมชนบริเวณอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย จะทำการเกษตรตามลักษณะพื้นที่ คือ พื้นที่ราบ จะทำนาข้าว ทำไร่ข้าวโพด ส่วนพื้นที่เชิงเขาจะทำการเกษตรที่อาศัยน้ำฝน คือ จะทำไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปลูก มันสำปะหลัง ยางพารา ปลูกพืชผัก ได้แก่ ขิง หอมญี่ปุ่น พริกไทย ถั่ว ถั่วลันเตา และปลูกไม้ผล (กล้วย ลำไย มะม่วง มะขาม แก้วมังกร เงาะ เสาวรส ส้มโชกุน) การปลูกข้าวโพด
11 7) ชุมชนบริเวณอำเภอวังสะพุง อำเภอเอราวัณ อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย ส่วนใหญ่ทำนา ปลูกมันสำปะหลัง และทำไร่อ้อย (ปลูกอ้อย พันธุ์ k88-92 พันธุ์ K90-77 พันธุ์กำแพงแสน ปลูก2ช่วงคือ ต้น ฝน-เขตชลประทานระหว่าง ก.พ.-เม.ย. และปลายฝน - เน้นปลูกอ้อยข้ามแล้ง ต.ค.-ธ.ค.เก็บเกี่ยวเมื่ออ้อยอายุ 10-12 เดือน) 8) ชุมชนบริเวณอำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย คือ มีผลผลิตที่สำคัญ คือ ข้าว ข้าวโพด มัน สำปะหลัง และอ้อย มีการปลูกไม้ยืนต้น ได้แก่ ยางพารา สัก และยูคาลิปตัส ทำสวนผลไม้ เช่น มะขามหวาน มะม่วง และลำไย ดังนั้น ชุมชนบริเวณเทือกเขาเพชรบูรณ์ส่วนใหญ่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำการเพาะปลูกทั้งใน พื้นที่ราบ และพื้นที่เชิงเขา (ส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝนในการเพาะปลูก) ผลผลิตที่สำคัญในพื้นที่ คือ นาข้าว ไร่ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา สัก ยูคาลิปตัส ยาสูบ ทำสวนผลไม้ (มะขามหวาน มะม่วง แก้วมังกร เงาะ เสาวรส ส้มโชกุนและลำไย) ผัก (ขิง ผักญี่ปุ่น หอมญี่ปุ่น พริกไทย ถั่ว ถั่วลันเตา กะหล่ำปลี และแครอท) 2. สภาพปัญหาพื้นที่เทือกเขาเพชรบูรณ์ 2.1. ด้านสิ่งแวดล้อม 1) เกิดไฟป่ารุนแรงเขตอุทยานแห่งชาติภูกระดึง พ.ศ. 2562 ส่งผลกระทบต่อป่าไม้ สัตว์ป่า และทรัพยากรดิน 2) เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่า เนื่องจากเกษตรกรต้องการเพิ่มผลผลิตการเกษตรจึงขยายพื้นที่ เพาะปลูกด้วยการบุกรุกพื้นที่ป่า 3) การขยายเขตป่าไม้ เขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่อนุรักษ์ ส่งผล กระทบต่อพื้นที่ทำกินและการใช้ประโยชน์พื้นที่ของชาวบ้าน เครดิตภาพ : ดา รงคศ์กัดิ์มะโนแกว้
12 4) มีการทำลายป่าหัวไร่ปลายนาเพื่อใช้เป็นพื้นที่ทำการเกษตร ทำให้เกิดการทำลายความ หลากหลายทางชีวภาพในป่า 5) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ช่วงฤดูกาลแปรผัน ฝนทิ้งช่วง และเกิดความแห้งแล้ง ทำให้ชุมชนผลิตอาหารได้ลดลง และสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศบริการ 6) ระบบนิเวศบริการของทรัพยากรดิน น้ำ ป่า ต้นน้ำพุงถูกทำลายจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยว 7) ขาดองค์ความรู้ด้านการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 8) มีการขุด ไถพรวน ถาก ฟัน ป่าไม้ในไร่นาทำให้ระบบนิเวศป่าไม้ในไร่นา ร่องเขาลดลง 9) มีการจุดไฟเผาก่อนการเก็บเกี่ยวอ้อย วัชพืช และตอซังข้าวโพดเกิดปัญหาหมอกควันและ ไฟป่า เครดิตภาพ : ดา รงคศ์กัดิ์มะโนแกว้ เครดิตภาพ : ดา รงคศ์กัดิ์มะโนแกว้
13 2.2. ด้านสังคม 1) ปัญหาความขัดแย้งระหว่างช้างป่าและชุมชนรอบอุทยานแห่งชาติ เนื่องจากช้างออกมาหา อาหารนอกอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เพราะอาหารไม่เพียงพอ 2) ปัญหาชุมชนขาดศักยภาพในการใช้สิทธิชุมชนในการบริหารจัดการป่าชุมชนอย่างมีส่วน ร่วม 3) ปัญหาชุมชนขาดศักยภาพในการตั้งรับปรับตัวและเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศในระดับท้องถิ่น 4) ชุมชนไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกิน เพราะพื้นที่ประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติน้ำหนาว ทับพื้นที่ทำกิน 5) ชุมชนขาดโอกาสในการพัฒนารูปแบบการผลิต ขาดความรู้และทักษะการแปรรูปเพื่อเพิ่ม มูลค่าผลผลิตทางการเกษตร และช่องทางการตลาด 6) ชุมชนสูญเสียวิถีชีวิตดั้งเดิม และวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น ประเพณีดอกฝ้ายบานที่เมืองเลย 2.3. ด้านทรัพยากร 1) ทรัพยากรดิน 1.1) มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินจากทำไร่ ทำนา มาปลูกอ้อย ทำให้ แผ้วถางป่า และเผาป่าทำลายหน้าดิน 1.2) เกิดการสูญเสียหน้าดิน เนื่องจากเกษตรกรมีการไถพรวนหน้าดิน โดยวิธีการ ต่างๆ รวมถึงการใช้รถไถขนาดใหญ่ไถพรวนหน้าดินทุกฤดูกาลเพาะปลูก เมื่อฝนตกจึงเกิดการชะล้างดินไปกับ น้ำฝนและลงสู่แหล่งน้ำ 1.3) ดินมีอัตราการเลื่อนสไลด์ของดินที่รุนแรงมากขึ้น เครดิตภาพ : ศูนย์วิจัยสัตว์ป่าภูหลวง ช้างป่าเข้ามาหากินในเขตพื้นที่แปลงเกษตรของชุมชน
14 1.4) ดินเสื่อมโทรม มีสาเหตุมาจากการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี ได้แก่ สารกำจัดวัชพืช สารกำจัดศัตรูพืช (เดลดริน ไกรโฟเซส เฮปตาคลออีพ็อกไซด์ 2 4D) 1.5) โครงสร้างดินกระด้าง เป็นกรด เบสเพราะมีการใช้ปุ๋ยยูเรียจำนวนมากและมี แนวโน้มเพิ่มปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีมากขึ้น ทำให้ดินมีความเสื่อมโทรมในระยะยาว 1.6) ดินขาดธาตุอาหาร เพราะทำการเกษตรเชิงเดี่ยวอย่างเข้มข้นและขาดมาตรการ พักดินทำให้โครงสร้างของดินเปลี่ยนสภาพเป็นกรดเบสและแข็งกระด้างไม่มีการบำรุงรักษาหรือฟื้นฟูโครงสร้าง ของดิน ทำให้ดินขาดธาตุอาหารที่จำเป็นทั้งหลักและรอง รวมทั้งการใส่ปุ๋ยเคมีจะเน้นธาตุอาหาร N P K ทำให้ ดินได้รับธาตุอาหารไม่ครบ 1.7) ดินเสื่อมคุณภาพเพราะมีสารเคมีปนเปื้อนในดินเกินระดับมาตรฐาน ได้แก่ เด ลดริน เกิน 0.3 มก/กก. เฮปตาคลอ อีพ็อกไซด์ เกิน 0.5 มก./กก. 1.8) ขาดการจัดการทรัพยากรดิน การจัดการระบบผลิตในระบบนาขั้นบันได เครดิตภาพ : ดา รงคศ์กัดิ์มะโนแกว้
15 2) ทรัพยากรน้ำ 2.1) ขาดศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำชุมชนอย่างเป็นระบบ 2.2) พื้นที่เกษตรกรรมส่วนใหญ่อยู่นอกระบบชลประทาน ไม่มีแหล่งน้ำสำรองอย่าง เพียงพอ ขาดแหล่งเก็บกักน้ำ พื้นที่ไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ ขาดการจัดการระบบน้ำที่เหมาะสมและเพียงพอ กับการเกษตร 2.3) มีการใช้สารเคมีเพื่อการเกษตรอย่างเข้มข้น ทำให้ไหลลงสู่ลำห้วยต่าง ๆ ซึ่งเป็น แหล่งต้นน้ำลำธาร ทำให้แหล่งน้ำ ลำห้วยถูกปนเปื้อนด้วยสารเคมี สารพิษ ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลงไหลลงแหล่งน้ำ 2.4) ลำน้ำหมันตื้นเขิน จากการที่ฝนตกชะล้างดินมาสู่แหล่งน้ำ 2.5) ขาดความรู้เกี่ยวกับการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรที่เหมาะสมกับพื้นที่ และขาด ศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำทำให้น้ำไม่เพียงพอในการทำเกษตร 2.6) แหล่งพื้นที่ชุ่มน้ำของพื้นที่ต้นน้ำ ได้แก่ ตาน้ำ ซำน้ำ ถูกทำลาย เพราะไม่มีไม้ไผ่ ที่มีระบบรากฝอยที่อุ้มน้ำไว้ให้ลุ่มน้ำ และส่งผลต่อปริมาณน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำ 2.7) การพัดพาของตะกอนทำให้มีดินตกค้างในระบบนิเวศห้วย วัง หนอง คลอง ทำ ให้ตื้นเขินและกักเก็บน้ำได้น้อยลง และเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การเกิดอุทกภัยในบริเวณลุ่มน้ำ 3) ทรัพยากรพืชพรรณและการเกษตร 3.1) การปลูกพืชเชิงเดี่ยวซ้ำๆในที่ทำกินเดิม ขาดความรู้ความเข้าใจในการทำ เกษตรแบบผสมผสาน ตัวอย่างการผลิตแบบเชิงเดี่ยว เช่น การปลูกข้าวโพด ซึ่งวงจรของการปลูกข้าวโพดมี การเผาไร่ข้าวโพดทำให้ส่งผลกระทบต่อด้านอื่น ๆ ตามมา โดยพืชเชิงเดี่ยว หรือปลูกพืชอายุสั้นที่พบในพื้นที่ เช่น ข้าวไร่ ข้าวโพด ขิง เสาวรส ส้มโชกุล ถั่วลันเตา 3.2) ปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าและการแผ้วถางป่าไม้เพื่อทำไร่ปลูกข้าวโพด และยางพารา รวมทั้งปลูกพืชที่ต้องการใช้ดินเปิดใหม่ หรือดินที่ถูกทิ้งร้างไว้ เช่น ขิง และกระชายดำ 3.3) ขาดความรู้เรื่องการเพาะปลูกที่มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่หรือทำ การเกษตรเชิงอนุรักษ์ขาดความรู้ความเข้าใจในการผลิต การปลูกแบบเกษตรกรรมยั่งยืน 3.4) มีการใช้สารเคมีเพื่อการเกษตรอย่างเข้มข้น ส่งผลทำให้เกิดความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรป่าไม้ 3.5) ขาดพื้นที่ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการคัดเลือก และการเพาะปลูกด้วยพันธุกรรม พื้นบ้าน และการปลูกพืชไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ 3.6) มีวัชพืชมาก เช่น หญ้าไมยราบ หญ้าขน หญ้าแห้วหมู หญ้าดอกฝ้าย หญ้าผัก ควาย หญ้าผักอิตู่ผี หญ้าหูเสือ หญ้าขจรจบ ทำให้มีการใช้สารกำจัดวัชพืชทำให้สารเคมีตกค้าง 3.7) การใช้สารเคมีทางการเกษตรทำให้สารเคมีตกค้างในระบบนิเวศ และเกิดการ แพร่กระจายสารเคมีเกษตรออกสู่นิเวศไร่นา ทำลายพันธุกรรมและภูมิปัญญาด้านการเกษตรของท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น การใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเร่งการผลิตและได้ผลผลิตจำนวนมาก การใช้ใช้ยาปราบแมลงศัตรูพืช ได้แก่ หนอนกอ แมลงประเภทดูด เจาะ กัด ตั๊กแตน แมลงกอข้าว แมลงดำหนาม หนอนชอนใบ และการใช้สารเคมี ป้องกันโรคราดำ โรคใบจุด โรคเพลี้ย โรคราแป้ง เมื่อเกิดกรณีการระบาดของแมลงศัตรูพืช ทำให้มีแนวโน้มดื้อ ยามากขึ้นด้วย ดังนั้นเกษตรกรจึงมีแนวโน้มการใช้สารเคมีเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน 3.8) เมล็ดข้าวลีบและไม่ออกรวง เพราะขาดน้ำและไม่ได้รับน้ำจากน้ำฝนอย่าง เพียงพอในช่วงตั้งท้อง
16 3.9) สูญเสียพันธุกรรมสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น ตำยาน หัวข้อเย็น ยาหัวใหญ่ 3.10) สูญเสียพันธุกรรมพื้นบ้าน เช่น ข้าวโพดพันธุ์ตักหงาย และฝ้าย 3.11) มีการจุดไฟเผาป่าอ้อยก่อนเก็บผลผลิตส่งผลให้มีไฟป่าลุกลามเข้าป่าชุมชน ทำลายป่าหัวไร่ปลายนา รวมทั้งเกิดมลพิษทางอากาศ 3.12) มีการเผาไร่กำจัดวัชพืชเพื่อความสะดวกในการทำไร่ทุกฤดูการผลิตทำให้เกิด มลพิษทางอากาศ และเกิดกระทบต่อทรัพยากรอื่นๆ ตามมา 3. การแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศกับผลกระทบภาคเกษตร แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยพบว่า ในช่วงทศวรรษที่ 2001-2010 (พ.ศ.2544-2553) อุณหภูมิสูงขึ้น 0.14 องศาและ 0.18 องศาเซลเซียส ตามลำดับ ส่วนแนวโน้มอุณหภูมิเฉลี่ย ของประเทศไทยในช่วง ค.ศ. 2011-2020 (พ.ศ.2554-2563) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น 0.10 องศาเซลเซียสต่อปี ส่วนการศึกษาปริมาณน้ำฝน พบว่า ปริมาณฝนยังมีความผันแปรและมีทิศทางไม่แน่นอน เช่นเดียวกับจำนวน วันฝนตกซึ่งมีรูปแบบใกล้เคียงกัน หากพิจารณาในช่วง 21 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา พบว่า ปริมาณฝนของประเทศไทยส่วนใหญ่สูงกว่าค่าปกติ โดยเฉพาะปี พ.ศ. 2560 ซึ่งประเทศไทยมีปริมาณฝนสูง ที่สุดและสูงกว่าค่าปกติถึง 27.9% ซึ่งก่อนหน้านี้ประเทศไทยมีฝนมากเป็นประวัติการณ์ในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งมี ปริมาณฝนสูงกว่าค่าปกติ 25.7% อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2563 เป็นปีที่ประเทศไทยมีปริมาณฝนต่ำกว่าค่า ปกติอีกปีหนึ่ง โดยปีนี้มีปริมาณฝนต่ำกว่าค่าปกติ 4% (ศูนย์ภูมิอากาศ - กองพัฒนาอุตุนิยมวิทยา กรม อุตุนิยมวิทยา, 2563) ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงขึ้นเฉลี่ย 1 องศาเซลเซียส ซึ่งปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้ เกิดภัยธรรมชาติต่าง ๆ เช่น ภาวะแห้งแล้งที่รุนแรงและยาวนาน ภาวะน้ำท่วมอย่างฉับพลันและเอ่อล้นเป็น เวลานาน และแผ่นดินถล่มหรือดินลื่นไถล ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีและนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่ง ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศเกษตรอย่างสูงทั้งในระดับภูมิภาคและระดับชุมชน เช่น พื้นที่การเกษตรที่เสียหาย จากภัยธรรมชาติไม่สามารถให้ผลผลิตได้ ประสิทธิภาพพื้นที่การเกษตรให้ผลผลิตที่ลดลง การระบาดของโรค แมลง พื้นที่การเกษตรลดลงจากการกัดเซาะและจมตัวของแผ่นดินเนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ปัญหาการรุก ล้ำของน้ำเค็มต่อระบบน้ำในแผ่นดินและระบบน้ำใต้ดิน พรรณพืชท้องถิ่นสูญพันธุ์เป็นจำนวนมาก เหล่านี้ส่งผล ต่อคุณภาพชีวิตของคน ทั้งทางด้านการขาดแคลนน้ำและอาหาร การเกิดโรคระบาดและมลพิษ สุขภาพ ความ มั่นคงทางเศรษฐกิจ อาชีพและครอบครัว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจและสังคมของ ประเทศโดยรวม (พูลศิริ ชูชีพ และ นวลปรางค์ ไชยตะขบ, 2565) ผลกระทบในระดับภาคและระดับชุมชนที่เห็นได้ชัด คือ พื้นที่การเกษตรที่เสียหายจากภัยธรรมชาติไม่ สามารถให้ผลผลิตได้ ทั้งจากภัยแล้งและน้ำท่วม ในปี 2563 มีรายงานความเสียหายของพื้นที่ทางการเกษตร จากภัยแล้งมีพื้นที่รวม 1.77 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าว 1.56 ล้านไร่ พืชไร่ 2.14 แสนไร่ และพืชสวน 1,900 ไร่ เกษตรกรได้รับผลกระทบ 184,510 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวม 8,824.79 ล้านบาท ซึ่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคที่เกษตรกรได้รับผลกระทบมากที่สุด จำนวน 111,864 ราย มีพื้นที่เสียหาย 872,867 ไร่ มูลค่าความเสียหาย 3,652.20 ล้านบาท รองลงมาคือภาคเหนือ ในขณะที่ปัญหาน้ำท่วมพบว่าใน ปี 2564 มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบกว่า 5.53 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าว 3.8 ล้านไร่ พืชไร่และพืชผัก 1.68 ล้านไร่ และไม้ผลไม้ยืนต้นและอื่น ๆ 41,898 ไร่ มูลค่าความเสียหายประมาณ 3,600 ล้านบาท เกษตรกรได้รับ ผลกระทบ 495,511 ราย โดยภาตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่เสียหายมากที่สุด 372,000 ไร่ มีมูลค่าความ เสียหาย 1,400 ล้านบาท (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2566) จากข้อมูล
17 ข้างต้นแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสภาวะโลกรวนอย่างเห็นได้ชัด และมีความเสียหายส่งถึงระดับ ชุมชนซึ่งเป็นระบบรากหญ้าที่มีความสำคัญต่อกระบวนการผลิต ซึ่งควรต้องมีการเร่งแก้ปัญหาและช่วยเหลือ เกษตรกรอย่างเร่งด่วนต่อไป 4. การปรับตัวของชุมชนเพื่อแก้ปัญหาเชิงพื้นที่และรับมือกับการแปรปรวนของภูมิอากาศ สถานการณ์การเสื่อมโทรมของฐานทรัพยากรเพื่อการเกษตรและการเปลี่ยนแปลงของสภาพ ภูมิอากาศทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพื้นที่เพาะปลูกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำเกษตรกรรม ส่งผล กระทบต่อภาคเกษตรทั้ง 3 ด้าน อันได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร สถานะความเป็นอยู่ของเกษตรกร และ รายรับจากการส่งออกของประเทศ ซึ่งระดับความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมากหรือน้อยนั้นส่วนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับโลกรวนหรือที่เรียกว่า “การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ” การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate change adaptation ตาม ความหมายของ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) คือ การปรับเปลี่ยนระบบ ธรรมชาติหรือระบบของมนุษย์เพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางภูมิอากาศที่เกิดขึ้นแล้วหรือคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น ในอนาคตรวมถึงผลกระทบจากสิ่งเร้านั้น ซึ่งการปรับเปลี่ยนดังกล่าวเป็นการช่วยลดอันตรายหรือความ เสียหายที่อาจเกิดขึ้น หรืออาจเป็นการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นจากสิ่งเร้าทางภูมิอากาศหรือผลกระทบ ของสิ่งเร้านั้น (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2561) เป้าหมายสำคัญของ การปรับตัวต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือการปรับตัวเพื่อนำสังคมไปสู่การเป็นสังคมที่ มั่นคงและทนทานต่อความเสี่ยงจากภูมิอากาศ (Climate resilience society) ได้แก่ การสร้างความมั่นคง และเข้มแข็ง (Resilience) ของชุมชนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต โดยสามารถดำเนินชีวิต หรือจัดการความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศได้อย่างเหมาะสมในอนาคต และเป้าหมายอีกประการหนึ่ง คือ การ วางนโยบายหรือยุทธศาสตร์การพัฒนาต่าง ๆ ให้มีความทนทาน (Robustness) ต่อการเปลี่ยนแปลงของ บริบทชุมชนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต การปรับตัวของชุมชนเป็นการปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรเพื่อฟื้นฟูความเสื่อมโทรมของฐาน ทรัพยากรการเกษตร รวมถึงเพื่อลดผลกระทบหรือเป็นการป้องกันการเกิดเหตุที่จะส่งผลต่อการเกษตร โดย การใช้หลักการ 2P ได้แก่ วิธีการป้องกัน (Prevention) และการเตรียมความพร้อม (Preparedness) มา บูรณาการใช้กับการทำการเกษตร ปรับเปลี่ยนวิธีคิดการทำการเกษตรจากแบบเดิมที่เน้นปริมาณมาเป็นเน้น คุณภาพ คนในชุมชนร่วมมือกันวางแผนปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรให้สอดคล้องกับปัจจัยที่มีอยู่ในพื้นที่ ชุมชน โดยอาศัยหลักการเกษตรเชิงนิเวศ (Agroecology) ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้หลักการทางนิเวศวิทยามาใช้ ในพื้นที่เกษตรกรรม เช่น การควบคุมศัตรูพืชโดยใช้ศัตรูธรรมชาติ การหมุนเวียนธาตุอาหาร เป็นต้น ทั้งนี้ การ จัดการทรัพยากรทางการเกษตรตามแนวคิดเกษตรเชิงนิเวศมีการจัดการใน 2 ส่วนที่สำคัญ คือ ทรัพยากรทาง กายภาพ (ทรัพยากรน้ำ และทรัพยากรที่เกี่ยวกับดิน) และทรัพยากรชีวภาพ (พืชพรรณ และสิ่งมีชีวิตอื่น) หาก มีความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดและหลักการดังกล่าวแล้ว ก็จะสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางปรับตัวได้ 5. การพัฒนาพื้นที่เกษตรกรรมด้วยเกษตรเชิงนิเวศ หลักการเกษตรนิเวศ (Agroecology) คือการประยุกต์ใช้หลักการทางนิเวศวิทยามาใช้ในพื้นที่ เกษตรกรรม เช่น การควบคุมศัตรูพืชโดยใช้ศัตรูธรรมชาติ การหมุนเวียนธาตุอาหารโดยอาศัยกิจกรรมทาง นิเวศวิทยาของสิ่งมีชีวิตในดิน เป็นต้น โดยหลักการที่สำคัญของการทำงานของระบบนิเวศ (Ecosystem
18 function) คือ การถ่ายทอดพลังงานผ่านการกินต่อกันเป็นทอดๆ (Trophic relation) ในห่วงโซ่อาหาร และ การหมุนเวียนของธาตุอาหาร (Nutrient cycling) แล้วได้ผลลัพธ์เป็นผลผลิตและความหลากหลายทางชีวภาพ ในระบบนิเวศธรรมชาติ (ภาพที่ 1) ซึ่งการนำเอาหลักการนี้มาใช้การเกษตรนั้นเน้นให้มีการถ่ายทอดพลังงาน และการหมุนเวียนสารอาหารเกิดขึ้นภายในพื้นที่เกษตร กล่าวคือ ในการถ่ายทอดพลังงานผ่านห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ผู้ผลิต ไปจนถึงผู้ย่อยสลายนั้นจะมีบทบาททั้งในการสร้างผลผลิตเบื้องต้นในระบบนิเวศโดยพืช และส่ง พลังงานไปยังผู้บริโภคลำดับต่าง ๆ เช่น แมลงและสัตว์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นการควบคุมประชากรทางชีวภาพ ส่วน ซากสัตว์และพืชก็จะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ จากการบริโภคเพื่อให้ได้พลังงานที่นำไปใช้ในการทำกิจกรรม ของสิ่งมีชีวิตและการสะสมในรูปของมวลชีวภาพ ผู้ย่อยสลายยังมีหน้าที่ที่สำคัญในการหมุนเวียนสารอาหาร ต่างๆ เช่น ไนโตรเจน คาร์บอน และน้ำ ภาพที่ 1 ภาพจําลองความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดลอม และการหมุนเวียนของธาตุ บางสวนใน ระบบนิเวศธรรมชาติที่มา: อาทิตยา พองพรหม (2561) ในการจัดการทรัพยากรทางการเกษตรตามแนวคิดเกษตรนิเวศ เป็นการจัดการทรัพยากรต่างๆ เพื่อ ไปสนับสนุนให้เกิดการทำงานได้ของระบบนิเวศการเกษตร เช่น การรักษาความชื้นในดินโดยการใช้อินทรีย์วัตถุ คลุมดิน และเมื่ออินทรียวัตถุถูกย่อยสลายกลายเป็นฮิวมัส ในชั้นอินทรีย์วัตถุนี้จะมีความพรุนสูง สามารถเก็บ รักษาความชื้นได้ดีและเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ขนาดเล็กและจุลินทรีย์ และเมื่อฮิวมัสย่อยสลาย กลายเป็นอนินทรีย์สารก็จะกลายเป็นธาตุอาหารสำหรับพืช ส่วนชนิดของพืชที่ปลูกลงในพื้นเพาะปลูกนั้นจะ สามารถทำหน้าที่ที่แตกต่างกันภายในระบบนิเวศ เช่น พืชตระกูลถั่วสามารถทำงานร่วมกับจุลินทรีย์ปมรากถั่ว ในการตรึงธาตุไนโตรเจนจากอากาศมาสร้างเป็นมวลชีวภาพของพืช หญ้าหรือพืชดอกต่างๆ เป็นที่อยู่อาศัย สำหรับแมลงต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้มีประชากรแมลงชนิดต่างๆ อย่างหลากหลาย ทั้งแมลงศัตรูพืชและแมลงศัตรู ธรรมชาติที่จะลดความเสียหายที่จะเกิดแก่ผลผลิตพืช พืชที่มีลำต้นสูงสามารถให้ร่มเงากับพืชขนาดเล็ก พืชน้ำ
19 และพืชบกต่างๆ สามารถใช้เป็นปุ๋ยพืชสดที่เพิ่มธาตุอาหารให้แก่พืช และเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน จึงเห็นได้ว่า เกษตรกรจะมีหน้าที่ในการส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการทำงานได้ของระบบนิเวศ ซึ่งผลจากการทำงานที่สมดุล ของระบบนิเวศจะนำมาสู่ผลผลิตและความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศดังกล่าวแล้ว จึงสามารถสรุป ได้ว่าในการจัดการทรัพยากรทางการเกษตรตามแนวคิดเกษตรนิเวศจึงต้องมีการจัดการใน 2 ส่วนที่สำคัญ คือ ทรัพยากรทางกายภาพ (ทรัพยากรน้ำ และทรัพยากรที่เกี่ยวกับดิน) และทรัพยากรชีวภาพ (พืชพรรณ และ สิ่งมีชีวิตอื่น) (ภาพที่ 2) ภาพที่ 2 ความสัมพันธ์ของทรัพยากรทางกายภาพและชีวภาพในระบบนิเวศการเกษตร 5.1. การจัดการทรัพยากรกายภาพ ทรัพยากรกายภาพที่สำคัญต่อพื้นที่เกษตรกรรมประกอบด้วยทรัพยากร 2 ประเภท ได้แก่ การจัดการทรัพยากรน้ำและทรัพยากรดิน โดยที่ 1) ทรัพยากรน้ำ ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย พื้นที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นใกล้เส้นศูนย์สูตร ทำ ให้พื้นที่จำนวนมากของประเทศได้รับอิทธิพลของลมมรสุม ทั้งลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุม ตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกชุกตลอดเวลา และมีปริมาณน้ำไว้ใช้เพื่ออุปโภคบริโภคและประกอบอาชีพได้ อย่างเพียงพอ โดยทั่วไปประเทศไทยมีแหล่งน้ำกระจายอยู่จำนวนมาก ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาด เล็ก ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 แหล่งใหญ่ ได้แก่ แหล่งน้ำจากน้ำฝน แหล่งน้ำท่าตามธรรมชาติและแหล่งน้ำ บาดาล สำหรับความต้องการใช้น้ำในประเทศไทย ได้แก่ การใช้น้ำเพื่อการเกษตร การใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยว การใช้น้ำเพื่ออุตสาหกรรม และการใช้น้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ (สำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ , 2565)
20 1.1) วัฏจักรน้ำ วัฏจักรน้ำ (Water Cycle) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสภาพการดำรงอยู่ของน้ำตาม สภาพแวดล้อมที่แปรเปลี่ยน ทั้งในสิ่งมีชีวิต อากาศ ดิน และหิน จากระบบหนึ่งไปสู่ระบบหนึ่งหมุนเวียน เป็นวัฏจักร ประกอบด้วย (1) การระเหย (Evaporation) เมื่อได้รับพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ น้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร รวมถึงการคายน้ำของพืช จะกลายเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่ชั้น บรรยากาศ ไอน้ำที่อยู่ในชั้นบรรยากาศเรียกว่า Atmospheric moisture (2) การควบแน่น (Condensation) คือ การรวมตัวของไอน้ำในชั้น บรรยากาศ และเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวในรูปของ “เมฆ” เมื่อได้รับความเย็น (3) การเกิดฝนตก (Precipitation) เมื่อไอน้ำในบรรยากาศสะสมรวมตัวกัน มากขึ้นจนถึง “จุดอิ่มตัว” จะเกิดการ “กลั่นตัว” และ”ควบแน่น” เป็นหยดน้ำตกลงสู่พื้นโลกในหลายรูปแบบ ได้แก่ น้ำฝน น้ำค้าง ลูกเห็บ และหิมะ (4) การรวมตัวของน้ำ (Collection) หมายถึง การที่ปริมาณน้ำไหลรวมกัน สู่แหล่งน้ำต่างๆ เช่น แม่น้ำ ทะเล หรือมหาสมุทร และแหล่งอุปโภคและบริโภคของสิ่งมีชีวิต น้ำฝนที่ตกลงมา จากชั้นบรรยากาศ ส่วนมากจะไหลรวมกันเป็นแหล่งน้ำผิวดิน และไหลลงสู่แม่น้ำไปสิ้นสุดที่มหาสมุทร ซึ่งเรียก น้ำที่ไหลบนผิวดินนี้ว่า “น้ำท่า” แต่บางส่วนจะถูกกักเก็บไว้ในเขื่อน อ่างเก็บน้ำ บ่อดิน เพื่อการอุปโภคบริโภค บางส่วนจะถูกพืชดูดซึมไว้ในลำต้นเพื่อการเจริญเติบโต นอกจากนี้ น้ำฝนที่ตกลงสู่ผิวโลกบางส่วน จะซึมลงสู่ พื้นดินกลายเป็นน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล ก่อนไหลซึมผ่านชั้นดินและหิน แล้วไหลกลับลงสู่แม่น้ำ ภาพที่ 3 วัฏจักรน้ำ (ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์, 2565) วัฏจักรน้ำเป็นกลไกที่สำคัญของระบบโลก ไอน้ำที่ระเหยออกจากน้ำในมหาสมุทร จะทิ้ง ประจุแร่ธาตุต่าง ๆ ทำให้มหาสมุทรมีความเค็ม ไอน้ำที่ระเหยขึ้นไปเป็นน้ำจืดบริสุทธิ์ เมื่อไอน้ำควบแน่นเป็น หยดน้ำและตกลงมาเป็นฝน น้ำฝนละลายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ จึงมีสภาพเป็นกรดคาร์บอนิค
21 อ่อนๆ ที่ทำปฏิกิริยากับหินบางชนิดโดยเฉพาะหินปูน ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ทำให้เกิดน้ำ กระด้าง เนื่องจากน้ำเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นไปตามอุณหภูมิ น้ำจึงทำให้หินแตกได้ น้ำเป็นตัวละลายที่ดี จึงนำพาแร่ธาตุอาหารไปกระจายตามส่วนต่าง ๆ ของพื้นผิวโลก และสะสมตัวในดิน ทำให้พืชพรรณอุดม สมบูรณ์ และเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ ต้นไม้สังเคราะห์แสงเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นอาหาร และ ปลดปล่อยออกซิเจนสู่บรรยากาศ พืชคายน้ำกลับคืนสู่บรรยากาศ สัตว์ควบคุมปริมาณต้นไม้ และปริมาณ ออกซิเจนโดยการหายใจคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา แม่น้ำลำธารไหลพัดพาแร่ธาตุไปสะสมกันในท้อง ทะเลและมหาสมุทร ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของโลก กระบวนการเปลี่ยนสถานะของน้ำเป็นกระบวนการ สมดุลพลังงานของโลก เมื่อพิจารณาวัฏจักรน้ำในพื้นที่เกษตรกรรมหรือในระดับไร่-นา เมื่อฝนตกลงมาในแต่ละครั้ง ปริมาณน้ำส่วนหนึ่งจะไหลซึมลงดินในแนวดิ่งกลายเป็นน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล เมื่อปริมาณน้ำมากขึ้นจนดิน อิ่มตัวด้วยน้ำ ปริมาณน้ำส่วนที่ไม่สามารถซึมลงดินในแนวดิ่งได้จะไหลบ่าผิวดินจากที่สูงลงสู่ที่ลุ่มต่ำ ทั้งน้ำใต้ ดินและน้ำไหลบ่าผิวดินสามารถจัดการให้เป็นประโยชน์กับพื้นที่เกษตรกรรมได้ โดยการสูบขึ้นมาใช้ในกรณีของ น้ำบาดาล หรือจัดการพื้นที่บางส่วนในบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำให้เป็นแหล่งกักเก็บน้ำผิวดิน ภาพที่ 4 วัฏจักรน้ำในระดับไร่-นา (นิวัติ อนงรักษ์, 2565) 1.2) การใช้น้ำของพืช (Consumptive Use or Evapotranspiration) คือ ปริมาณน้ำ ทั้งหมดที่สูญเสียจากพื้นที่เพาะปลูกสู่บรรยากาศในรูปของไอน้ำ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ (ธรรมนูญ แก้วคงคา , 2549) (1) ปริมาณน้ำที่รากพืชดูดจากดินนำไปใช้สร้างเซลล์และเนื้อเยื่อ และคายน้ำนั้นออกทาง ปากใบสู่บรรยากาศ เรียกว่า การคายน้ำ (Transpiration: T) โดยประโยชน์การคายน้ำของพืชก็เพื่อนำแร่ธาตุ จากดินขึ้นไปยังต้นพืช และเพื่อลดอุณหภูมิของใบในเวลากลางวัน และด้วยเหตุที่การระเหยน้ำให้กลายเป็นไอ
22 น้ำ พืชต้องใช้พลังงานจำนวนหนึ่งจากใบ ทำให้พืชเสียพลังงานความร้อนส่งผลให้อุณหภูมิของใบลดลง และพืช ปลอดภัยจากอันตรายจากอุณหภูมิสูง (2) ปริมาณน้ำที่ระเหยจากผิวดินบริเวณรอบ ๆ ต้นพืช รวมถึงจากผิวน้ำในขณะให้น้ำพืช หรือจากผิวน้ำในขณะฝนตก และจากน้ำที่เกาะอยู่ตามใบพืชเนื่องจากฝนตก เรียกว่า การระเหย (Evaporation: E) ดังนั้น ปริมาณการใช้น้ำของพืชจึงเป็นผลรวมของปริมาณน้ำที่พืชคายออกทางปากใบ และ ปริมาณน้ำที่ระเหยออกจากดินบริเวณต้นพืช รวมน้ำที่ระเหยจากน้ำฝนและน้ำที่ให้กับต้นพืช ในส่วนของการ คายน้ำของพืชนั้น มีปัจจัยสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการคายน้ำ ได้แก่ แสง ความชื้นในอากาศ อุณหภูมิ ลม และปริมาณน้ำในดิน 1.3) การจัดการแหล่งน้ำผิวดิน การจัดการแหล่งน้ำผิวดินสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ ความสามารถในการกักเก็บน้ำของดิน และขนาดของพื้นที่สำหรับรวบรวมปริมาณน้ำไหลบ่า กล่าวคือหากดินสามารถกักเก็บน้ำได้ดีก็สามารถขุดสระ เพื่อเป็นแหล่งรองรับน้ำไหลบ่าได้เลย แต่หากดินเป็นดินเนื้อหยาบไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ ก็จำเป็นจะต้องปู พลาสติกเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำซึมลงดิน และพื้นที่แหล่งน้ำควรอยู่ในพื้นที่ต่ำสุดของพื้นที่เกษตรกรรม ในส่วนของขนาดของพื้นที่สำหรับรวบรวมปริมาณน้ำไหลบ่านั้น มีหลักการคิดอยู่ว่าหาก ปริมาณฝนตกเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 1,000 มิลลิเมตร นอกจากจะพิจารณาขุดสระกักเก็บน้ำในบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำ ของพื้นที่เกษตรกรรมแล้ว ขนาดพื้นที่รองรับน้ำฝนควรมีขนาดเป็น 6 เท่าของขนาดพื้นที่สระกักเก็บน้ำ เนื่องจากปริมาณน้ำไหลบ่าผิวดินในพื้นที่เกษตรกรรมจะมีปริมาณ ร้อยละ 30 ของปริมาณฝนตกทั้งปี โดยส่วน ที่เหลือ ร้อยละ 70 จะซึมลงเป็นน้ำใต้ดิน ในบางพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำบาดาลหรือลำห้วยไหลผ่านพื้นที่ ขนาดพื้นที่สระกักเก็บน้ำอาจไม่ จำเป็นต้องใหญ่มาก เนื่องจากสามารถสูบน้ำบาดาลหรือน้ำในลำห้วยมาเติมลงในสระก่อนใช้รดพืชพรรณต่าง ๆ (ภาพที่ 5) ภาพที่ 5 พื้นที่เก็บน้ำกรณีที่ดินไม่สามารถเก็บน้ำได้
23 นอกจากนี้มีการเก็บข้อมูลปริมาณน้ำฝนตลอดทั้งปี และการใช้แอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับการ พยากรณ์อากาศมาร่วมด้วยเพื่อเป็นการคาดการณ์และวางแผนการเพาะปลูก และเพื่อการบริหารจัดการน้ำ 1.4) การจัดการน้ำในดิน การจัดการน้ำในดิน ซึ่งก็คือการให้น้ำพืชสามารถคำนวณปริมาณน้ำที่พืชต้องการได้ หลักการ คือ ถ้ารู้ความยาวรากพืชก็จะสามารถวางแผนจัดการกับปริมาณน้ำที่ต้องการให้กับพืชได้ ซึ่งพืชจะดูดน้ำจาก ดินในระยะ 3 – 4 เซนติเมตรจากปลายรากขนอ่อน และรากขนอ่อนพืชจะแทรกอยู่ตามช่องว่างระหว่างเม็ด ดิน และดูดน้ำที่เกาะอยู่รอบ ๆ เม็ดดินหรือช่องว่างระหว่างเม็ดดิน การให้น้ำพืชจะมีผลต่อการแผ่กระจายของ รากพืชด้วย เช่น ถ้าให้น้ำครั้งละน้อย ๆ ปริมาณน้ำที่ดินเก็บไว้ก็จะมีน้อยและตื้น รากพืชก็จะแผ่กระจายอยู่ บริเวณที่สามารถดูดน้ำจากดินบริเวณนั้นๆ โดยปกติแล้วเราต้องการให้พืชมีรากลึกและแผ่กระจายเป็นบริเวณ กว้าง เพราะว่านอกจากจะทำให้ไม่ต้องให้น้ำพืชบ่อยแล้ว พืชยังสามารถดูดน้ำดูดอาหารได้มากกว่าอีกด้วย การแผ่กระจายของรากพืชบริเวณโคนต้น หรือตอนบนบริเวณผิวดินรากพืชแผ่กระจายอย่าง หนาแน่น จึงทำให้พืชดูดน้ำจากดินชั้นบนไปใช้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับชั้นดินบนจะสูญเสียน้ำเนื่องจากการ ระเหยอีกด้วย จึงทำให้ความชื้นในดินลดลงอย่างรวดเร็ว จนพืชไม่สามารถดูดน้ำไปใช้ได้อย่างเพียงพอกับความ ต้องการ พืชจึงต้องอาศัยน้ำจากดินระดับลึกลงมาอีก กล่าวกันว่า หากแบ่งความยาวของรากพืชตามแนวดิ่ง ออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน รากพืชส่วนแรกที่อยู่บริเวณดินชั้นบนจะดูดน้ำได้ประมาณ ร้อยละ 40 รากพืชส่วนที่ สองถัดจากดินชั้นบนลงมาจะดูดน้ำได้ประมาณ ร้อยละ 30 รากพืชส่วนที่สามถัดจากดินชั้นบนจะดูดน้ำได้ ประมาณ ร้อยละ 20% และรากพืชส่วนสุดท้ายหรือส่วนที่ลึกที่สุดจะดูดน้ำได้เพียง ร้อยละ 10 ดังนั้น การให้ น้ำพืชจึงควรให้จากด้านบนผิวดินให้น้ำไหลซึมลงลงตามแนวดิ่ง และดินควรจะมีความร่วนซุยเพื่อให้น้ำสามารถ ซึมผ่านลงตามแนวดิงได้โดยสะดวก ภาพที่ 6 ความชื้นที่พืชดูดไปจากดินในชั้นต่าง ๆ (กรมชลประทาน, 2554) จากความเข้าใจเกี่ยวกับการดูดน้ำจากชั้นดินของพืชที่ระดับความลึกต่าง ๆ ทำให้สามารถ นำไปสู่การจัดการน้ำในดินเพื่อการเกษตร ดังรายละเอียดต่อไปนี้
24 (1) การเก็บกักความชื้นไว้ในดินเขตราก (Capturing water in soil) คือ การกระทำเพื่อเร่ง ให้มีการแทรกซึมน้ำ (Infiltration) เข้าไปในดินมากขึ้น ลดปริมาณน้ำที่สูญเสียจากการไหลบ่าหน้าดิน (Surface runoff) ให้น้อยลง รวมทั้งหาวิธีลดการซึมลึก (Drainage) เลยชั้นดินเขตรากให้ต่ำลง ด้วยการลด ความลาดเอียงของพื้นที่บริเวณที่ปลูกพืช และเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุให้แก่ดิน (2) การลดปริมาณการใช้น้ำของพืช ด้วยการลดปริมาณน้ำระเหยจากผิวดิน (Reducing evaporation) สามารถทำได้โดยการใช้สิ่งปกคลุมผิวดิน ซึ่งจะช่วยลดปริมาณรังสีจากแสงอาทิตย์ และลด ความเร็วของลมที่พัดผ่านผิวดิน ทำให้ปริมาณระเหยน้ำจากผิวดินลดลง (3) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำของพืช ด้วยการเพิ่มขนาดของเขตรากพืช เพิ่มความอุดม สมบูรณ์ของดิน ใช้พันธุ์พืชทนแล้ง และเว้นช่วงการให้น้ำในระยะการเติบโตที่ไม่มีผลกระทบต่อผลผลิต จากกล่าวมา ในส่วนของการจัดการทรัพยากรน้ำจะเห็นได้ว่าควรจัดการให้มีน้ำในพื้นที่ เกษตรกรรมอย่างต่อเนื่องและมีให้ใช้กับพืชพรรณอย่างเพียงพอตลอดทั้งปี รวมถึงต้องคำนึงถึงการจัดการน้ำ ในดินไปพร้อมกัน ทั้งนี้เพื่อให้การใช้น้ำในพื้นที่เกษตรกรรมมีประสิทธิภาพสูงสุด 2) ทรัพยากรดิน (Soil resource) ดิน เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ทดแทนได้หรือรักษาไว้ได้ (Replaceable and maintainable natural resources) แต่ดินเกิดทดแทนตามธรรมชาติได้ช้ามาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูแลรักษาดินให้คง คุณภาพโดยการใช้ประโยชน์ให้เหมาะสม รวมถึงการอนุรักษ์และปรับปรุงคุณภาพของดินไว้อย่างสม่ำเสมอ โดยที่ ดิน (Soil) หมายถึง เทหวัตถุทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนผิวโลก ช่วยค้ำจุนการทรงตัว ของพืช ดินประกอบด้วย แร่ธาตุ และอินทรียวัตถุต่าง ๆ มีลักษณะชั้นแตกต่างกันตามวัตถุต้นกำเนิดดิน การ กระทำของสภาพอากาศ ระยะเวลา ฯลฯ (รัตนะ สวามีชัย, 2559) 2.1) วัสดุประกอบดิน (Soil forming materials) ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ (1) อนินทรีย์วัตถุ (Mineral matter) หรือแร่ธาตุ ประมาณ ร้อยละ 45 เป็นส่วนที่สลายตัว มาจากวัตถุให้กำเนิดดิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหินที่เปลือกโลก ส่วนประกอบส่วนนี้จะมีอยู่มาก โดยเฉลี่ยจะมีอยู่ ครึ่งหนึ่งของเนื้อดินทั้งหมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละท้องถิ่น แร่ธาตุเป็นส่วนประกอบหลักของดินที่ให้ธาตุอาหารที่ จำเป็นต่อพืชและจุลินทรีย์ที่ประกอบอยู่ในเนื้อดินมากที่สุด ขนาดของอนุภาคอนินทรีย์เหล่านี้จะแตกต่างกัน ไป โดยมีตั้งแต่ขนาดเล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นจนขนาดที่มองเห็นได้ เช่น ทราย (2) อินทรีย์วัตถุ (Organic matter) มีประมาณ ร้อยละ 5 เป็นส่วนของซากสิ่งมีชีวิต ได้แก่ พืชและสัตว์ซึ่งตายทับถมอยู่ที่พื้นดิน เช่น ใบไม้ ต้นไม้ รากไม้ ซากสัตว์ ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยมี จุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย เห็ด รา ช่วยกันย่อยสลายอินทรียวัตถุให้กลายเป็นวัตถุขนาดเล็กและกลายเป็น อนุภาคของดิน อินทรีย์วัตถุที่ย่อยสลายตัวแล้วและอยู่ในสภาพที่เหมาะสม เรียกว่า ฮิวมัส (Humus) อินทรีย์วัตถุเป็นส่วนประกอบที่บอกความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพราะนอกจากจะเป็นสารอาหารของพืชแล้ว ยังมีส่วนให้เกิดสภาพกรดอ่อน ๆ ในการช่วยละลายแร่ธาตุในดินให้พืชอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วย เก็บความชื้นไว้ในดินอีกด้วย กล่าวกันว่า อินทรีย์วัตถุสามารถเก็บความชื้นได้ 6-20 เท่าของน้ำหนัก (3) น้ำ (Water) หรือความชื้นในดิน ประมาณ ร้อยละ 25 เป็นส่วนประกอบที่อยู่รอบ ๆ อนุภาคดินและในช่องว่างระหว่างอนุภาคของดิน น้ำในดินมีความสำคัญ คือ เป็นแหล่งน้ำสำหรับพืชและ จุลินทรีย์ในดิน โดยช่วยในการละลายธาตุต่าง ๆ ในดินให้พืชสามารถนำไปใช้ได้ (4) อากาศ (Air) มีประมาณ ร้อยละ 25 ประกอบด้วย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน และออกซิเจน ซึ่งจะแทรกอยู่ในดินในช่องว่างระหว่างอนุภาคดิน โดยอากาศในดินจะถ่ายเทกับอากาศ
25 ภายนอกตลอดเวลา ความสำคัญของอากาศในดิน คือ พืชและจุลินทรีย์ในดินจะใช้ออกซิเจนในการหายใจ คาร์บอนไดออกไซด์เมื่อรวมกับน้ำจะให้กรดคาร์บอนิก ซึ่งจะละลายแร่ธาตุต่าง ๆ ให้แก่พืช ไนโตรเจนใน อากาศจะถูกเปลี่ยนเป็นเกลือไนเตรตโดยพวกแบคทีเรียตรึงไนโตรเจน เช่น แบคทีเรียที่อยู่ในสกุลไรโซเบียมที่ อาศัยอยู่ในรากพืชตระกูลถั่ว เป็นต้น ภาพที่ 7 วัสดุประกอบดิน (Soil forming materials) (สุพรรษา วรินทร์, 2560) ดินที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกควรมีสัดส่วนขององค์ประกอบที่เป็นของแข็ง หรืออนินท รีย์วัตถุซึ่งได้มาจากการสลายตัวของหินและแร่ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของธาตุอาหารพืช และอินทรีย์วัตถุที่ได้มาจาก การสลายตัวของเศษซากสิ่งมีชีวิตอยู่รวมกันประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาตรทั้งหมด ส่วนที่เหลือควรจะเป็นที่อยู่ ของน้ำและอากาศ ซึ่งจะแทรกอยู่ตามช่องว่างเล็ก ๆ ในดิน ดังนั้น ในดินทั้งหมด 100 ส่วน ดินที่มีความ เหมาะสมต่อการเพาะปลูกควรจะมีส่วนที่เป็นของแข็ง 50 ส่วน แบ่งเป็น อนินทรีย์วัตถุประมาณ 45 ส่วน อินทรีย์วัตถุ 5 ส่วน และส่วนของช่องว่าง 50 ส่วน ซึ่งประกอบด้วยน้ำ 25 ส่วน และอากาศอีก 25 ส่วน หรือ มีสัดส่วนของ อนินทรีย์วัตถุ : อินทรีย์วัตถุ : น้ำ : อากาศ เท่ากับ 45 : 5 : 25 : 25 2.2) สมบัติโดยทั่วไปและบทบาทของอินทรีย์วัตถุในดิน (1) อินทรีย์วัตถุในดินทำให้ดินมีสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงดำ อาจไปมีส่วนทำให้ อุณหภูมิของดินโดยรวมสูงขึ้น เนื่องจากดินสีคล้ำดูดกลืน (Absorb) รังสีความร้อนได้ดีกว่าดินสีจาง (2) อินทรีย์วัตถุในดินมีความสามารถในการซับน้ำ 6-20 เท่าของน้ำหนัก ทั้งนี้เนื่องจากเป็นอนุภาคขนาดเล็ก และมีลักษณะเป็นสารคอลลอยด์ จึงมีพื้นที่ผิวในการดูดซับน้ำไว้มากเป็น พิเศษ (3) อินทรีย์วัตถุในดินเป็นสารประกอบที่มีประสิทธิภาพสูงในการยึดเกาะ หรือรวมตัวกับอนุภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะอนุภาคดินเหนียวหรือเซลล์จุลินทรีย์ได้เป็นอย่างดี (4) อินทรีย์วัตถุในดินละลายน้ำได้น้อยมาก ต่ำกว่า 1% โดยอินทรีย์วัตถุ ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ไม่ละลายน้ำ เช่น เซลล์ของจุลินทรีย์, เซลลูโลส, ลิกนิน, ไคติน (Chitin), สารฮิวมิก และ สารอินทรีย์อื่น ๆ ที่เกาะกับอนุภาคดินเหนี่ยว (5) อินทรีย์วัตถุในดินมีความสามารถในการดูดซับแคตไอออนได้สูงมาก โดยจะสูงกว่าคอลลอยด์อื่น ๆ ตั้งแต่ 2-30 เท่า ในดินโดยทั่วไปปริมาณของแคตไอออนที่ดูดซับโดยอินทรียวัตถุ ในดินจะอยู่ในช่วงประมาณ 30% - 90% ของปริมาณที่ดินดูดซับได้ทั้งหมด
26 (6) อินทรีย์วัตถุในดินมีประจุลบเป็นจำนวนมาก และมีความสามารถในการ ดูดซับแคตไอออนได้สูง จึงมีผลทำให้ดินที่มีอินทรียวัตถุสูงมีความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลง pH ของดินได้ดี (7) อินทรีย์วัตถุถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ ทำให้ธาตุที่เป็นองค์ประกอบ ของสารอินทรีย์ถูกปลดปล่อยออกมาให้พืชสามารถนำไปใช้ได้อีก โดยเฉพาะ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และกำมะถัน (S) (8) สารอินทรีย์เป็นแหล่งอาหารหรือแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุด สำหรับ จุลินทรีย์ส่วนใหญ่ในดิน ซึ่งเป็นพวกสิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารเองไม่ได้ ดังนั้น ปริมาณหรือคุณภาพของ สารอินทรีย์จึงมีผลกระทบต่อกิจกรรมของจุลินทรีย์โดยตรง เช่น การตรึงไนโตรเจน การเปลี่ยนไนโตรเจนให้ เป็นก๊าซ การเกิดก๊าซมีเทน (CH4) เป็นต้น 2.3) การจัดการดิน จากสัดส่วนของดินที่มีความเหมาะสมต่อการปลูกพืช จะเห็นว่าส่วนสำคัญที่ต้องจัดการมี เพียงปริมาณอินทรีย์วัตถุในดิน ร้อยละ 5 เท่านั้น ทั้งนี้เพราะส่วนที่เป็นอนินทรีย์วัตถุ ร้อยละ 45 นั้นมีอยู่ตาม ธรรมชาติ และการจะจัดการให้ดินมีความร่วนซุยจนเกิดช่องว่างให้น้ำและอากาศสามารถอยู่ในดินได้ก็ด้วยการ เติมอินทรีย์วัตถุให้แก่ดินอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ ประเด็นสำคัญของการจัดการอินทรียวัตถุในดินคือ จะทำอย่างไรให้ในดินมีอินทรีย์วัตถุอย่าง เพียงพอและต่อเนื่อง ทั้งนี้อาจทำได้โดยการเติมปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยพืชสด รวมถึงลดการไถพรวนและ ปล่อยให้วัชพืชขึ้นปกคลุมผิวดินในบริเวณยังไม่ได้ปลูกพืชพรรณ นอกจากนี้ การจัดการอินทรียวัตถุในดินอาจทำได้โดยการปลูกพืชและเก็บเกี่ยวเฉพาะ ผลผลิต ส่วนเศษซากที่เหลือก็ปล่อยให้ปกคลุมดินและย่อยสลายไปตามกาลเวลา อีกทั้งยังสามารถปลูกพืชน้ำ บริเวณผิวน้ำที่ใช้เป็นแหล่งกักเก็บน้ำจำพวก ผักตบชวา จอกหูหนู แหนแดง ฯลฯ โดยที่เมื่อพืชน้ำเหล่านี้เติบโต ก็นำขึ้นมากองทับถมปิดผิวดินและปล่อยให้สิ่งมีชีวิตในดินช่วยย่อยสลายกลายเป็นธาตุอาหารพืชต่อไป 5.2. การจัดการทรัพยากรชีวภาพ ทรัพยากรชีวภาพที่สำคัญต่อพื้นที่เกษตรกรรมประกอบด้วยทรัพยากร 2 ประเภทได้แก่ ทรัพยากรพืชพรรณและทรัพยากรสิ่งมีชีวิต โดยที่ 1) ทรัพยากรพืชพรรณ การจะทำให้พืชพรรณที่ปลูกได้ผลผลิตตามที่ต้องการนั้น นอกจากพันธุกรรม (Genetic factor) จะเป็นปัจจัยที่ควบคุมขนาด รูปร่าง สีสัน ผลผลิต ความต้านทานโรคและแมลงของพืชแล้ว ยังมีปัจจัย ที่เกี่ยวข้องและส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชอีก ได้แก่สภาพแวดล้อม (Environment factors) ซึ่งพืชจะ แสดงลักษณะตรงตามพันธุกรรมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่พืชได้รับ 1.1) สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชพรรณ ได้แก่ (1) แสง (Light) เป็นตัวให้พลังงานแก่พืชเพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis) ปริมาณแสงที่พืชได้รับมีผลต่อการออกดอกของพืช โดยปกติเราจะถือว่ากลางวันมีความ ยาว 12 ชั่วโมง และกลางคืนมีความยาว 12 ชั่วโมง หากกลางวันมีความยาวน้อยกว่า 12 ชั่วโมงถือว่าเป็นวัน สั้น และกลางวันที่มีความยาวมากกว่า 12 ชั่วโมงถือว่าเป็นวันยาว พืชบางชนิดจะออกดอกเมื่อความยาวใน ตอนกลางวันมากกว่ากลางคืน เรียกพืชชนิดนี้ว่า พืชวันยาว (Long day plant) แต่พืชบางชนิดจะออกดอก เมื่อช่วงเวลาตอนกลางวันสั้นกว่ากลางคืน เรียกพืชชนิดนั้นว่า พืชวันสั้น (Short day plant) และมีพืชหลาย ชนิดที่การออกดอกจะไม่ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ได้รับแสงในแต่ละวัน พืชพวกนี้เรียกว่า พืชวันกลาง (Day neutral plants)
27 (2) อุณหภูมิ (Temperature) โดยที่อุณภูมิของดิน น้ำ และบรรยากาศ ล้วนเกี่ยวข้องกับการ เจริญเติบโตของพืช เพราะอุณหภูมิเป็นตัวควบคุมกระบวนการ “เมทาบอลิซึม (Metabolism)” ในพืช เช่น กระบวนการผลิตแป้ง กระบวนการให้พลังงานแก่พืช (รวมถึงการย่อยและการขนส่งสสารเข้าสู่เซลล์และ ระหว่างเซลล์) เพราะเมทาบอลิซึม (Metabolism) เป็นการเปลี่ยนแปลงของสสารหรือธาตุอาหารซึ่งเกี่ยวข้อง กับกิจกรรมของจุลินทรีย์ โดยมีอุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 15-40 องศาเซลเซียส จุลินทรีย์เกี่ยวข้องกับ การเจริญเติบโตจะช่วยเปลี่ยนอินทรีย์วัตถุให้เป็นอนินทรีย์สารหรือธาตุอาหารพืช ถ้าหนาวเกินไปหรือร้อน เกินไปจุลินทรีย์จะไม่ทำงาน ถ้าอุณหภูมิเกิน 40 องศาเซลเซียส ต้นไม้จะไม่ดูดซึมเอาธาตุอาหารเพื่อไปหล่อ เลี้ยงส่วนต่าง ๆ แต่จะดูดน้ำแล้วไปปล่อยที่ปากใบทันที่เพื่อปลดปล่อยความร้อนที่มีในต้น แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำ กว่า 15 องศาเซลเซียส สภาพแวดล้อมจะไม่เอื้อให้เกิดการทำงานของสิ่งมีชีวิต (3) ความชื้น (Moisture) นับว่ามีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชเป็นอย่างมาก เนื่องจากทำหน้าที่ละลายธาตุอาหารพืช ลำเลียงธาตุอาหารพืช และควบคุมอุณหภูมิดิน ถ้าพืชขาดน้ำจะแสดง อาการเหี่ยวเฉา กระบวนการต่าง ๆ เกิดได้ช้า การเจริญเติบโตหยุดชะงักและอาจตายในที่สุด ถ้าอุณหภูมิ อากาศเกิน 40 องศาเซลเซียสความชื้นในดินต้องมากพอที่พืชจะนำไปคายออก กรณีที่อุณหภูมิไม่เกิน 40 องศาเซลเซียสธาตุอาหารจะถูกกระบวนการเมทาบอลิซึมละลายและดึงไปใช้ผ่านท่อลำเลียงอาหารส่งไปที่ใบ คลอโรฟิลล์ที่ใบจะนำคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำมาสร้างเป็นคาร์โบไฮเดรต จากนั้นธาตุอาหารจะถูกส่งกลับไป ยังท่อลำเลียงอาหาร สำหรับท่อลำเลียงอาหารเมื่อเลิกใช้งานก็จะกลายเป็นเนื้อไม้ (4) ก๊าซในดินและในบรรยากาศ มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช ถ้าในดินมี ออกซิเจนไม่เพียงพอจะทำให้การเจริญเติบโตของรากพืชถูกจำกัด ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืช ทั้งต้น เพราะพืชจะหายใจที่ราก ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีความสำคัญมากในกระบวนการสังเคราะห์ด้วย แสงของพืช ในเมืองจะมีคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าในป่าทึบ พืชที่ขึ้นในบริเวณที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง จะสร้างแป้งและน้ำตาลได้มากกว่าพืชที่ขึ้นในบริเวณที่มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ นอกจากนี้ก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในดินเป็นแหล่งพลังงานให้กับจุลินทรีย์ในดิน รวมถึงก๊าซไนโตรเจนที่ถูกแบคทีเรียกลุ่ม ไรโซเบียมตรึงเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของพืชตระกูลถั่ว ในดินและในบรรยากาศบางครั้งอาจจะมีก๊าซพิษเกิดขึ้น เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟล์ มีเทน หรือ ก๊าซอะเซททีลิน ซึ่งเกิดจากกระบวนการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินที่มีก๊าซออกซิเจนไม่ เพียงพอสามารถทำให้เกิดก๊าซที่จะเป็นพิษต่อรากพืช คือทำให้รากพืชไม่สามารถดูดน้ำและธาตุอาหารไปเลี้ยง ส่วนต่าง ๆ ได้ สำหรับในบรรยากาศ โดยเฉพาะในแหล่งชุมชนและย่านอุตสาหกรรมจะมีก๊าซบางชนิดเกิดขึ้น เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซไนตริกออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งก๊าซดังกล่าวมีส่วนทำให้ กระบวนการที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของพืชส่วนที่อยู่เหนือดินช้าลงหรือหยุดชะงักได้ (5) ปฏิกิริยาของดิน (Soil reaction) หรือความเป็นกรดเป็นด่างของดินมีส่วนเกี่ยวข้องกับ การเจริญเติบโตของพืช โดยที่ความเป็นกรดเป็นด่างของดินจะเป็นตัวควบคุมระดับความเป็นประโยชน์ของธาตุ อาหารพืชในดิน ถ้าดินนั้นมีระดับความเป็นกรดจัด ค่า pH ต่ำกว่า 5.5 ธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และธาตุอาหารรอง ได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน จะจับตัวอยู่กับดินทำ ให้พืชไม่สามารถดูดไปใช้ได้ ขณะที่ ถ้าดินเป็นด่างจัด ค่า pH สูงกว่า 8.5 จุลธาตุส่วนใหญ่ในดิน ได้แก่ธาตุ เหล็ก แมงกานีส สังกะสี และทองแดง พืชไม่สามารถดูดมาใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งโดยทั่วไปธาตุอาหารพืชจะ ละลายเป็นประโยชน์ต่อพืชได้มากเมื่อดินมีค่า pH ระหว่าง 5.5 - 7.5 ในดินที่เป็นกรดจัดหรือเป็นด่างจัดนั้น ยังอาจทำให้สารพิษบางอย่างละลายออกมาอยู่ในดินมากขึ้นด้วย
28 (6) ศัตรูพืช โดยที่ศัตรูพืชมี 3 ชนิด คือ โรค แมลง และวัชพืช ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่าง หนึ่งที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช กล่าวคือ ถ้าพืชได้รับการรบกวนจากศัตรูพืชดังกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายๆ อย่าง ก็จะทำให้การเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของพืชลดลง (7) สารพิษ ก๊าซบางชนิดอาจจะเป็นพิษต่อพืชได้ คืออาจทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโตหรือ ตายได้ นอกจากนั้นยังมีสารประกอบบางชนิดซึ่งอาจเป็นพิษหรือทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโตและอาจทำให้ พืชถึงตายได้ เช่น กรดอินทรีย์ซึ่งเกิดจากการเน่าเปื่อยของเศษพืช โดยเฉพาะเศษพืชสด ๆ ที่เน่าเปื่อยใน สภาพที่มีน้ำขังหรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวกนั้น จะทำให้เกิดกรดอินทรีย์ขึ้นและกรดนี้จะเป็นพิษต่อรากพืช โดยตรงคือทำให้รากพืชลดความสามารถในการดูดน้ำและธาตุอาหารจากดิน นอกจากนี้ การที่ดินมีเกลือสะสม อยู่มาก เช่น เกลือของธาตุแคลเซียม โซเดียม รวมทั้งการที่มีธาตุเหล็ก แมงกานีส ละลายอยู่ในดินจำนวนมาก ๆ จะมีผลต่อการดูดน้ำและธาตุอาหารของพืชโดยตรง คือทำให้รากพืชดูดน้ำและธาตุอาหารพืชได้น้อยลง จึง ทำให้การเจริญเติบโตของพืชลดลง (8) ธาตุอาหารพืช มีความสำคัญต่อพืชเช่นเดียวกับที่อาหารมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ ถ้าพืชได้รับธาตุอาหารที่จำเป็นครบทุกธาตุและในสัดส่วนที่เหมาะสม พืชก็จะมีการเจริญเติบโตได้ ดี แต่ในทางตรงข้าม ถ้าพืชได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอหรืออยู่ในสัดส่วนที่ไม่เหมาะสมแล้ว ก็จะแสดงอาการ ผิดปกติหรือการเจริญเติบโตชะงักงันและอาจถึงตายในที่สุด ปัจจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่กล่าวมาทั้ง 8 อย่างนั้น อาจแบ่งได้เป็น 2 พวก คือ ปัจจัย ทางบวก (Positive factors) กล่าวคือ ถ้าพืชได้รับปัจจัยเหล่านี้ในปริมาณมากหรือได้สัดส่วนจะทำให้พืชมีการ เจริญเติบโตดีขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ได้แก่ แสง อุณหภูมิ ปฏิกิริยาของดิน ความชื้น แก๊สในดินและในบรรยากาศ ธาตุอาหารพืช และปัจจัยทางลบ (Negative factors) คือ ถ้าพืชได้รับปัจจัยชนิดนี้มากจะทำให้การ เจริญเติบโตลดลง ปัจจัยดังกล่าวนี้ ได้แก่ ศัตรูพืช และ สารพิษต่าง ๆ 1.2) การจัดการพืชพรรณ อย่างไรก็ตาม การจัดการสภาพแวดล้อมเพื่อให้เอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืชพรรณนั้น สามารถจัดการได้โดยการเลือกพืชพรรณ ซึ่งหลักสำคัญในการเลือกพืชพรรณเพื่อปลูกในพื้นที่เกษตรกรรม ควร เลือกพืชที่มีความเหมาะสมกับสภาพดินและอากาศในพื้นที่ โดยอาจสังเกตจากพื้นที่ใกล้เคียงหรือพืชที่สามารถ พบเห็นได้ในหมู่บ้าน หรือพื้นที่ชุมชนใกล้เคียง หรือการค้นหาจากฐานข้อมูลชุดดิน และเพื่อให้เป็นแนวทางใน การจัดการในเบื้องต้น ควรพิจารณาเลือกพืชพรรณ ดังนี้ (1) พืชหลัก เป็นกลุ่มพืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้หลัก เช่น ไม้ผล พืชผักเศรษฐกิจ พืชไร่ เศรษฐกิจ ข้าวคุณภาพดีโดยเป้าหมายของพืชหลักคือ รายได้ทางเศรษฐกิจของครัวเรือนอย่างเพียงพอ ซึ่ง ขนาดของพื้นที่ในการปลูกพืชหลักนี้ให้พิจารณาจากปริมาณน้ำที่เพียงพอในพื้นที่เกษตรกรรม ทั้งนี้พื้นที่ปลูก พืชหลักอาจจะใช้พื้นที่เกษตรกรรมบางส่วนของพื้นที่ทั้งหมดก็ได้ (2) พืชรอง เป็นกลุ่มพืชที่ใช้เป็นอาหารภายในครัวเรือน หรือกลุ่มพืชที่สามารถสนับสนุนให้ พืชหลักสามารถทำรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับครัวเรือนได้อย่างเต็มที่ เช่น ข้าว พืชผักสวนครัว พืชสมุนไพร ผลไม้บางชนิด ที่ใช้บริโภคในครัวเรือน หรือสามารถขายเพื่อนำรายได้มาใช้เป็นปัจจัยในการผลิตพืชหลัก ซึ่ง การใช้พื้นที่สำหรับผลิตพืชรองนี้ อาจเป็นพื้นที่เดียวกับพื้นที่ปลูกพืชหลัก หรือพื้นที่ที่นอกเหนือจากพื้นที่ปลูก พืชหลักก็ได้ (3) พืชร่วม เป็นกลุ่มพืชที่ช่วยป้องกันความเสียหายให้กับพืชรองและพืชหลักจากภัย ธรรมชาติ เช่น วาตะภัย อุทกภัย คลื่นความร้อน ภัยแล้ง เป็นต้น ซึ่งพืชร่วมในกลุ่มนี้ควรเป็นไม้ยืนต้นที่มีอยู่ใน
29 ท้องถิ่น นอกจากนี้ พืชร่วมอีกลุ่มหนึ่งที่ควรปลูกในพื้นที่เกษตรกรรม ได้แก่ พืชในกลุ่มที่ช่วยในการเพิ่มความ อุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินและสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมทางนิเวศโดยสิ่งมีวีชีวิตในดิน ทั้งในส่วนที่ช่วยทำให้ดินมี ความร่วนซุย และช่วยเพิ่มธาตุอาหารพืชให้แก่ดิน โดยพืชร่วมในกลุ่มนี้อาจแยกเป็นพืชร่วมบนบก ได้แก่ วัชพืช จำพวกหญ้าชนิดต่างๆ รวมถึงพืชตระกูลถั่ว และพืชร่วมในแหล่งน้ำ เช่น ผักตบชวา จอกหูหนูแหนแดง เป็น ต้น การจัดการพืชพรรณให้มีความหลากหลายมีความสำคัญมาก เพราะพืชจะสามารถ เจริญเติบโตโดยพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ให้ผลผลิตดี ทำให้ลดต้นทุนในการผลิต นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการ หมุนเวียนสสารและถ่ายทอดพลังงานในระบบเกษตรกรรมได้เป็นอย่างดีเป็นการสร้างสมดุลทางธรรมชาติใน ระยะยาว ทำให้สภาพแวดล้อมในระดับไร่นารวมถึงชุมชนเกษตรดีขึ้น การมีไม้ผลไม้ยืนต้นสร้างความร่มรื่น และรักษาความชื้นในระบบการผลิต การใช้ปุ๋ยคอกและอินทรียวัตถุจากเศษวัสดุทางการเกษตร การหมุนเวียน ใช้ในไร่นาและพึ่งพาปัจจัยการผลิตภายนอกน้อยลง ทำให้ระบบนิเวศเกษตรดีขึ้นและเป็นการทำให้ลดต้นทุน ในการผลิตได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย 2) ทรัพยากรสิ่งมีชีวิต ทรัพยากรสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศนั้นมีความสำคัญมากทั้งในแง่ของการช่วย หมุนเวียนสสารและการถ่ายทอดพลังงาน ขณะที่ทรัพยากรสิ่งมีชีวิตที่สำคัญในพื้นที่เกษตรกรรมนั้น ได้แก่ แมลง และสิ่งมีชีวิตในดิน โดยที่ 2.1) แมลง เป็นสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติที่มีจำนวนมากกว่าสัตว์ทุกชนิดบนโลก รวมกัน อาศัยอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ คลอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งใต้น้ำ บนบก และในอากาศ แต่แมลงที่มีความสำคัญ กับพื้นที่เกษตรกรรมมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ แมลงศัตรูพืช และแมลงศัตรูธรรมชาติ โดยที่ แมลงศัตรูพืช หมายถึง สัตว์ที่มีลำตัวเป็นปล้อง (Arthropods) ไม่มีกระดูกสันหลัง ลำตัวแบ่งออกเป็นสามส่วน คือ ส่วนหัว (head) อก (thorax) และท้อง (abdomen) ซึ่งบนส่วนอกมี 3 ปล้อง แต่ละปล้องมีขา 1 คู่ ส่วนท้องมี 8-11 ปล้อง แมลงมีผนังหุ้มลำตัวแข็ง (exoskeleton) ดังนั้น การเจริญเติบโต ของแมลงจึงต้องอาศัยการลอกคราบ (molting) และแมลงศัตรูพืชสามารถก่อให้เกิดความเสียหายแก่พืช เพาะปลูก โดยนักกีฏวิทยาจำแนกชนิดของแมลงศัตรูพืชตามลักษณะของการทำลาย ดังนี้ 1) แมลงศัตรูพืชจำพวกกัดกินใบ (leaf feeder) ได้แก่ หนอนผีเสื้อ ตั๊กแตน ด้วงปีก แข็ง แมลงศัตรูพืชพวกนี้มีปากแบบกัดกิน (chewing) สามารถกัดกินใบทั้งหมด หรือกัดกินเฉพาะตัวใบแล้ว เหลือเส้นใบไว้ ทำให้พืชขาดส่วนสังเคราะห์แสง หรือขาดที่สะสมอาหาร หรือขาดยอดอ่อนสำหรับการ เจริญเติบโตต่อไป 2) แมลงศัตรูพืชจำพวกดูดกินน้ำเลี้ยง (juice sucker) ได้แก่ เพลี้ยอ่อน เพลี้ย กระโดด เพลี้ยจั๊กจั่น และมวนต่าง ๆ แมลงศัตรูพืชจำพวกนี้มีปากแบบดูด (sucking) สามารถแทงและดูดน้ำ เลี้ยงจากใบ ยอดอ่อน กิ่ง ลำต้น ดอก หรือ ผล ทำให้ส่วนต่าง ๆ ของพืชที่ถูกดูดกินน้ำเลี้ยงมีรอยไหม้ ใบม้วน เหี่ยว ไม่เจริญเติบโต หรือแคระแกร็น และนอกจากนี้แมลงจำพวกนี้ยังเป็นสาเหตุสำคัญของการถ่ายทอดและ แพร่กระจายโรคพืชที่มีเชื้อไววัสเป็นสาเหตุอีกด้วย 3) แมลงศัตรูพืชจำพวกหนอนชอนใบ (leaf minor) ได้แก่ หนอนผีเสื้อ หนอน แมลงวันบางชนิด แมลงศัตรูพืชจำพวกนี้มักมีขนาดเล็ก กัดกินเนื้อเยื่ออยู่ระหว่างผิวใบพืช ทำให้พืชขาดส่วน สังเคราะห์แสงหรือขาดส่วนสะสมอาหาร 4) แมลงศัตรูพืชจำพวกหนอนเจาะลำต้น (stem borer) ได้แก่ หนอนด้วง หนอน
30 ผีเสื้อ และปลวก แมลงศัตรูพืชจำพวกนี้มักวางไข่ตามใบหรือเปลือกไม้ เมื่อไข่ฟักออกเป็นตัวหนอนก็จะชอนไช เข้าไปอยู่ในกิ่ง ลำต้น หรือผล ทำให้ต้นพืชขาดน้ำและอาหารแล้วแห้งตายไป หรือทำให้ผลไม้เน่า หล่นล่วง เสียหาย 5) แมลงศัตรูพืชจำพวกกัดกินราก (root feeder) ได้แก่ ด้วงดีด จิ้งหรีด แมลง กระชอน ด้วงดิน ด้วงงวง แมลงศัตรูพืชจำพวกนี้มีปากแบบกัดกิน มักมีชีวิตหรือวางไข่ตามพื้นดิน ตัวอ่อนและ ตัวเต็มวัยจะเข้าทำลายรากพืช ทั้งทำให้พืชยืนต้นแห้งตายเนื่องจากขาดน้ำและอาหาร 6) แมลงศัตรูพืชจำพวกที่ทำให้เกิดปุ่มปม (gall maker) ได้แก่ ต่อ แตน และเพลี้ย แมลงศัตรูพืชจำพวกนี้เมื่อกัดกิน, ดูดน้ำเลี้ยงหรือวางไข่บนพืชแล้ว มักจะปลดปล่อยสารบางชนิดลงบนพืช ทำ ให้เกิดอาการปุ่มปมผิดปกติบนส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ดอก ใบ ยอดอ่อน ราก และลำต้น ขณะที่ แมลงศัตรูธรรมชาติหมายถึง แมลงที่เป็นประโยชน์และมีบทบาทในการ ควบคุมแมลงศัตรูพืช (Insect pest) โดยชีววิธีและเป็นปัจจัยทางชีวภาพ (Biotic factor) ที่ช่วยควบคุม ปริมาณของแมลงศัตรูพืชให้อยู่ในสภาพสมดุลตามธรรมชาติ (Natural balance) ซึ่งแมลงศัตรูธรรมชาติในที่นี้ หมายถึง “แมลงห้ำ (Predator) และแมลงเบียน (Parasite)” แม้ว่าแมลงจะมีการสืบพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถแพร่พันธุ์เพิ่มปริมาณได้ อย่างรวดเร็ว แต่แมลงก็มีศัตรูธรรมชาติมากมายที่คอยควบคุมประชากรของแมลงให้อยู่ในสมดุล ศัตรู ธรรมชาติของแมลงได้แก่ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นอันตราย ต่อแมลง รวมถึงแมลงด้วยกันเอง แมลงที่กินหรืออาศัยอยู่ภายในหรือภายนอกตัวของแมลงชนิดอื่น เรียกว่า ตัวหํ้าและตัวเบียน ซึ่งปกติแล้วจะมีอยู่จำนวนมากพอที่จะควบคุมจำนวนประชากรของแมลงชนิดหนึ่ง ๆ ให้อยู่ ในสมดุล แต่ปัจจุบันมนุษย์ได้ทำลายแมลงที่เป็นประโยชน์ไปมาก ทั้งทางตรง และทางอ้อม โดยไปรบกวน เปลี่ยนแปลงสภาพถิ่นที่อยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตของแมลงจนทำให้แมลงตัวห้ำและตัวเบียนลดน้อยลง เรื่อย ๆ จนมีปริมาณไม่เพียงพอที่จะกำจัดแมลงศัตรูพืช แมลงตัวห้ำ (Predators) หมายถึง แมลงที่ทั้งระยะตัวอ่อนและตัวเต็มวัยกินแมลงที่ เป็นเหยื่อ (Prey) เป็นอาหาร แมลงตัวห้ำจะมีลักษณะที่สำคัญต่างจากแมลงตัวเบียน คือ มีขนาดใหญ่และ แข็งแรงกว่าเหยื่อที่ใช้เป็นอาหาร กินเหยื่อโดยการกัดกินตัวเหยื่อตายทันทีแมลงตัวห้ำหนึ่งตัวจะกินเหยื่อ มากกว่า 1 ตัวในแต่ละมื้อจึงทำให้กินเหยื่อได้หลายตัวตลอดช่วงชีวิตการเจริญเติบโตของมัน และแมลงตัวห้ำ จะอาศัยอยู่คนละที่กับแมลงที่เป็นเหยื่อและออกหาอาหารในแต่ละมื้อในที่พื้นที่ต่างกัน ขณะที่ แมลงตัวเบียน (Parasites) คือ แมลงที่พัฒนาการเจริญเติบโตระยะไข่ ระยะ ตัวหนอน ในแมลงอาศัยและอาจจะเข้าดักแด้ภายในหรือภายนอกแมลงอาศัย แมลงตัวเบียนตัวเต็มวัยกิน น้ำหวานจากดอกไม้เป็นอาหาร มีลักษณะที่แตกต่างจากแมลงตัวห้ำ คือ แมลงตัวเบียนอาศัยกินอยู่ภายนอก หรือภายในตัวเหยื่อตลอดวงจรชีวิต หรืออย่างน้อยก็ระยะหนึ่งของวงจรชีวิต มีขนาดเล็กกว่าตัวแมลงเหยื่อมาก ส่วนใหญ่เหยื่อหนึ่งตัวจะมีตัวเบียนอาศัยอยู่มากกว่า 1 ตัว และแมลงตัวเบียนจะค่อยๆ ดูดกินอาหารจากเหยื่อ อย่างช้าๆ จนทำให้แมลงที่เป็นเหยื่อตายลงเมื่อแมลงตัวเบียนเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว 2.2. สิ่งมีชีวิตในดิน ประกอบด้วย พืช และสัตว์ มีทั้งที่มองเห็นด้วยตาเปล่า และ ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ บางชนิดมีประโยชน์ในการช่วยย่อยสลายของอินทรียวัตถุต่าง ๆ หรือช่วยในการ ปลดปล่อยธาตุอาหารพืชให้พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ และมีบางพวกที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ได้ โดยบทบาทของสิ่งมีชีวิตในดิน มีดังนี้ (สำนักความหลากหลายทางชีวภาพ, 2556) (1) เป็นผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ขบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์เกิดขึ้นจาก แบคทีเรียและเชื้อรา แต่ขบวนการย่อยสลายซากพืช ซากสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้อง
31 อาศัยสัตว์ในดินขนาดใหญ่กว่าจุลินทรีย์ เช่น ปลวก ไส้เดือน กิ้งกือ เห็บ หรือ ไร เป็นตัวช่วยเร่งการแตก สลายตัวของวัตถุขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลงเพื่อให้จุลินทรีย์สามารถทำหน้าที่ย่อยสลายวัตถุที่มีขนาดเล็กต่อไป (2) ช่วยในการหมุนเวียนแร่ธาตุขบวนการหมุนเวียนแร่ธาตุในดินมีความสัมพันธ์กับ ขบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์วัตถุ ในขบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์วัตถุ จุลินทรีย์คือตัวการสำคัญที่สุด ของกระบวนการย่อยสลาย แต่อัตราการย่อยสลายขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงขนาดวัตถุ โดยสัตว์ขนาดเล็กและ ขนาดกลางในดิน เช่น ปลวก โปรโตซัว และไส้เดือนฝอย สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเหล่านี้มีส่วนร่วมในขบวนการ ย่อยสลายโดยการกินซากอินทรีย์วัตถุขนาดใหญ่และถ่ายออกมา จุลินทรีย์ในดินจะสามารถย่อยสลายมูลสัตว์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปล่อยลงสู่ดิน รากพืชจะสามารถดูดเอาแร่ธาตุในดินโดยผ่านสิ่งมีชีวิตในดินที่มี ความสัมพันธ์ร่วมกันกับซากพืช และสามารถตรึงไนโตรเจนในดินมาใช้ประโยชน์ ซึ่งบทบาทในการช่วย หมุนเวียนแร่ธาตุ ธาตุอาหารในดินเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตในดิน รวมทั้งพืชและสัตว์มีประโยชน์ต่อ กิจกรรมทางเกษตรอย่างมาก (3) ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดิน โดยปลวก ไส้เดือน มด หรือสัตว์ในดินขนาดเล็ก รวมถึงเศษซากพืชขนาดเล็ก คือ ตัวช่วยปรับปรุงคุณสมบัติของดิน เนื่องจากมีการเคลื่อนย้ายในดินทำให้ดินมี การปรับปรุงโครงสร้าง เช่น มด ปลวกสร้างรังในดิน ทำให้สารอินทรีย์จากดินชั้นบนเคลื่อนย้ายลงสู่ดินชั้นล่าง ได้ ทำให้เกิดช่องว่างให้สัตว์ขนาดเล็กและจุลินทรีย์สามารถเคลื่อนย้ายลงสู่ดินลึกได้ ทำให้เกิดช่องว่างในดิน เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ดินมีสภาพเหมาะสมต่อการดำรงอยู่ของสัตว์ในดินที่มากยิ่งขึ้น (4) ช่วยควบคุมแมลงศัตรูและเชื้อโรคในดิน ในสภาพธรรมชาติ การระบาดของ แมลงศัตรูพืชและเชื้อโรคในดินเกิดขึ้นได้ยาก ในขณะที่แปลงเกษตรกรรมจะพบการระบาดของศัตรูพืชได้อยู่ เสมอ พื้นที่ที่มีความหลากหลายต่ำ เช่น แปลงปลูกพืชหรือพื้นที่วนเกษตร มีปัจจัยที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสัตว์ ในดิน เนื่องจากการกระทำของเกษตรกรมีผลต่อการลดลงของสิ่งมีชีวิต เช่น การใช้สารปราบศัตรูพืช การเผา หญ้าและตอซังข้าว หากการกระทำที่ทำให้สัตว์ในดินชนิดใดชนิดหนึ่งลดจำนวนลง อาจมีผลทำให้เกิดการ ระบาดของสัตว์หรือโรคที่เป็นศัตรูพืชชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้นมาได้ การใช้สารเคมีและการปล่อยให้มีซากพืชปก คลุมอย่างเหมาะสมจะเป็นการช่วยให้สัตว์ในดินคงอยู่และก่อให้เกิดความสมดุลในระบบนิเวศ ตารางที่ 1 แสดงจำนวนและปริมาณชีวมวลของสิ่งมีชีวิตบางชนิดในดินที่อุดมสมบูรณ์ สิ่งมีชีวิต จำนวน ชีวมวล (นน.สด) ต่อตารางเมตร ต่อดิน 1 กรัม (กิโลกรัม/เฮ็กตาร์) แบคทีเรีย 1013 -1014 108 -109 48-480 แอกทิโนไมชีท 1012 -1013 107 -108 48-480 เชื้อรา 1010 -1011 105 -106 80-800 สาหร่าย 109 -1010 103 -106 1.6-240 โปรโตซัว 109 -1010 103 -105 0.8-32 ไส้เดือนฝอย 106 -107 101 -102 0.16-16 ไส้เดือนดิน 30-300 - 1.6-160 สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง 103 -105 - 0.16-32 ที่มา : นิวัติ อนงรักษ์ (2565)
32 2.3) การจัดการทรัพยากรสิ่งมีชีวิต โดยทั่วไป การทำเกษตรกระแสหลักหรือเกษตรเคมี จะใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชทั้ง แมลงศัตรูพืชและวัชพืช ซึ่งการใช้สารเคมีเหล่านี้ได้ส่งผลให้ทั้งแมลงศัตรูพืช แมลงศัตรูธรรมชาติ รวมถึง สิ่งมีชีวิตในดิน ได้รับผลกระทบร่วมกัน นอกจากนี้ ยังเกิดผลกระทบตกค้างกับฐานทรัพยากรทางการเกษตรทั้ง ในดินและในน้ำ รวมถึงตัวเกษตรกรและผู้บริโภคด้วยเช่นกัน ขณะที่ระบบเกษตรเชิงนิเวศ จะให้ความสำคัญกับการควบคุมกับเองตามธรรมชาติของแมลง ศัตรูพืชและแมลงศัตรูธรรมชาติ โดยการปลูกพืชที่หลากหลาย (พืชหลัก พืชรอง และพืชร่วม) ทั้งหลากหลาย ชนิดและหลากหลายของชั้นเรือนยอด ทั้งนี้เพื่อให้เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยและที่หลบภัยของแมลงศัตรูธรรมชาติ นอกจากสิ่งมีชีวิตในกลุ่มของแมลง เกษตรเชิงนิเวศยังให้ความสำคัญกับสิ่งมีชีวิตในดิน โดย การจัดสภาพแวดล้อมทางดินให้เอื้อต่อการทำกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตในดิน ได้แก่ การจัดการอาหารให้เพียงพอ รักษาความชื้นและอุณหภูมิดินให้เหมาะสม ด้วยการไม่กำจัดวัชพืชมากเกินไป และจัดหาปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด รวมถึงวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาคลุมดินตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อให้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด รวมถึงวัสดุเหลือทิ้งทาง การเกษตร เป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตในดิน และช่วยรักษาความชื้นและอุณหภูมิดินให้เหมาะสมในเวลาเดียวกัน 6. สรุปการพัฒนาพื้นที่เกษตรสำหรับภูมินิเวศภูกรณีเทือกเขาเพชรบูรณ์ ระบบการเกษตรนั้นเป็นระบบนิเวศหนึ่งที่ที่มีการถ่ายทอดพลังงานและการการหมุนเวียน สารอาหารอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อสร้างการบริการของระบบนิเวศเป็นผลผลิตทางการเกษตรและการ บริการด้านต่าง ๆ ให้แก่มนุษย์ แต่เมื่อกิจกรรมการใช้ประโยชน์ที่ดินของมนุษย์ได้ทำลายสมดุลของการทำงาน ของระบบนิเวศในปัจจุบัน ทำให้เกิดการเสื่อมโทรมของฐานทรัพยากรทางการเกษตร และเกิดปรากฏการณ์ ความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ การปรับตัวรับมือและการแก้ไขปัญหาจึงควรให้ความสำคัญกับสมดุลและ การทำงานของระบบนิเวศ เมื่อศึกษาข้อแนะนำให้การปรับตัวของเกษตรกรต่อภาวะผันผวนของสภาพ ภูมิอากาศ พบว่า เอกสารของ UNDP ที่เขียนโดย Altieri (2016) ให้ข้อแนะนำให้มีการทำการเกษตรนิเวศเพื่อ เป็นการปรับตัวรับมือในระดับต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ในระดับภูมิทัศน์ควรมีการปลูกพืชเพื่อสร้างความ หลากหลายทางชีวภาพ ในที่ลาดชันควรมีการเพาะปลูกที่เน้นการอนุรักษ์ดินและน้ำ พื้นไหล่เขาควรมีการปลูก พืชรากหยั่งลึกเพื่อให้พืชยืนต้นปะทะและที่ช่วยลดแรงลม ควรคลุมดินด้วยอินทรียวัตถุ เกษตรกรควรมีทักษะ การอนุรักษ์ดิน-น้ำ และการระบายน้ำ เป็นต้น โดยการทำเกษตรเชิงนิเวศนั้น ข้อเสนอนี้สรุปได้ว่าควรจัดการให้มีแหล่งน้ำในพื้นที่ เกษตรกรรม โดยการใช้น้ำไปสร้างพืชพรรณที่หลากหลาย ทั้งพืชหลัก พืชรอง และพืชร่วม ซึ่งพืชพรรณที่ หลากหลายเหล่านี้จะช่วยสร้างสมดุลทางนิเวศด้วยการหมุนเวียนสสารและถ่ายทอดพลังงานจากกิจกรรมของ สิ่งมีชีวิตภายในพื้นที่เกษตรกรรม อันเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต และสร้างผลผลิตอย่างหลากหลาย รวมถึง ลดความเสี่ยงจากภาวะผันผวนของสภาพภูมิอากาศ
33 “อันที่จริงแล้วธรรมชาติมันจะสร้างสมดุลโดยตัวของมัน เอง แต่ที่เกิดปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติอยู่ทุกวันนี้ เกิด จากการที่มนุษย์เข้าไปแทรกแซงทำให้ระบบนิเวศเสียหาย” บทสนทนากลางวงเนื้อย่าง ณ ภูทับเบิก ระหว่างวันที่ 18 – 20 มกราคม 2566 การลงพื้นที่ในการ วิเคราะห์ระบบนิเวศเทือกเขาเพชรบูรณ์ โดย ดร.จตุพร เทียรมา (อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม)
34 บทที่ 2 การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า 2.1 กรณีตัวอย่างการ อนุรักษ์ ดิน น้ำ ป่า ด้วยภูมิ ปัญญาชุมชนเข็กน้อย “การจัดการทรัพยากรธรรมชาติดิน น้ำ ป่า เป็น เรื่องของคนที่มีความฝัน ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่าง สมดุล พวกเราเป็นคนเล็กคนน้อย ที่แต่ละคนได้คิดและมี จิตนาการร่วมกัน เพราะเราไปไหนไม่ได้ เราต้องอยู่นี้ไป จนชั่วลูกชั่วหลานของเรา แล้วเราจะอยู่อย่างไรให้สมดุล และยืนอยู่ได้” ณธนภัทร ฤทธิ์เนติกุล ตำบลเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ มีพื้นที่การปกครอง ประมาณ 72 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 45,000 ไร่ เข็กน้อย เป็นชื่อเรียกตามลำน้ำเข็ก มีเขตพื้นที่การปกครอง 1 ตำบล ประกอบด้วย 12 หมู่บ้าน มีจำนวนครัวเรือน ทั้งสิ้น 3,855 ครอบครัวเรือน มีประชากร 16,496 คน แบ่งเป็น ชาย 8,162 คน หญิง 8,334 คน ประชากรในพื้นที่ตำบลเข็กน้อยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ส่วนใหญ่มีการนับถือจิตวิญญาณ บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวม้ง นอกจากนี้ยังมีประชาชนบางส่วนนับถือ ศาสนาคริสต์ (คาทอลิก , โปแตสแตนท์) และพุทธศาสนา สำหรับประเพณีวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เช่น ประเพณีปีใหม่ม้ง (Noj Peb Caug) (น่อ-เป๊-จาว) ประเพณีการเป่าแคนม้ง (เกร้ง) ประเพณีบทกล่าว ขอบคุณในพิธีต่างๆ (อัวเจ๋า) ประเพณีบทสวดคำสอนบุตรหลาน (ฮาย จี๋ สาย) เป็นต้น ตำบลเข็กน้อยมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบสูง ระบบนิเวศโดยส่วนใหญ่เป็นภูเขาตั้งอยู่บนเทือกเขา เพชรบูรณ์บนความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 700- 1,600 เมตร ทิศเหนือ ติดกับ อุทยานแห่งชาติภูหินร่อง กล้า ทิศใต้ ติด กับอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ทิศตะวันออก ติดกับตำบลแคมป์สน อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ทิศตะวันตก ติดกับอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ตำบลเข็กน้อยเป็นพื้นที่ต้นน้ำเข็กซึ่งลำห้วยจำนวนมากในพื้นที่ ได้แก่ ห้วยน้ำเข็ก ห้วยปง ห้วยลาน ห้วยน้ำขาว ห้วยอ้อล้อ ห้วยซิม ซึ่งลำห้วยเหล่านี้ไหลออกมาจากป่าชุมชนที่ชาวบ้านรักษาเอาไว้ลำห้วยเหล่านี้ จะไหลลงสู่แม่น้ำเข็ก และแม่น้ำวังทองก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำน่าน ทำให้เห็นว่าตำบลเข็กน้อยมีความสำคัญต่อ ระบบนิเวศของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัญหาสำคัญของตำบลเข็กน้อยได้แก่ สิทธิในที่ดินทำกิน การใช้สารเคมีในการเกษตร ปลูกพืช เชิงเดี่ยว ไถพรวนเพื่อเตรียมพื้นที่เพื่อการเกษตร การบุกรุกพื้นที่ป่า ปัญหาไฟป่า และการขาดการมีส่วน ร่วมและบูรณาการแก้ไขอย่างจริงจังของทุกภาคส่วน ปัญหาการขาดศักยภาพในการบริหารจัดการป่าอย่างมี ส่วนร่วม จากสถานการณ์ปัญหาข้างต้น เครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้งลุ่มน้ำเข็กน้อย ได้ดำเนินโครงการอนุรักษ์และ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติดิน น้ำ ป่า โดยภูมิปัญญาชุมชนต้นน้ำเข็ก ภายใต้การสนับสนุนของกองทุน สิ่งแวดล้อมโลก (GEF Small Grants Programme: GEF SGP) โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมศักยภาพองค์กร ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติดิน น้ำ
35 ป่า ต้นน้ำเข็ก การสร้างรูปธรรมการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติดิน น้ำ ป่า ต้นน้ำเข็กโดยภูมิปัญญา ชุมชน และกระบวนการเรียนรู้ การรณรงค์ เผยแพร่ และการสร้างจิตสำนึกให้กับชุมชน การทำงานเริ่มจากการ การพูดคุยของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวเพื่อกำหนด แนวทางและวางแผนการดำเนินงานร่วมกันในการขับเคลื่อนดำเนินโครงการ มีการจัดทำฐานข้อมูล และการ จัดทำแผนการบริหารจัดการและบูรณาการความร่วมมือ การปฏิบัติการเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติดิน น้ำ ป่า รวมทั้งมีกระบวนการขับเคลื่อนนโยบายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่นและจัด ให้มีการจัดประชาคมเพื่อทำให้เกิดการรับรองกฎกติกาและระเบียบการจัดการป่าชุมชน การปฏิบัติการเพื่ออนุรักษ์ดิน น้ำ ด้วยการทำนาขั้นบันไดต้นแบบ จำนวน 5 แปลง และการจัดการ ระบบน้ำประปาภูเขา และทำพื้นที่เก็บน้ำขนาดเล็กบนภูเชาเพื่อการกักเก็บน้ำและกระจายสู่แปลงเกษตรที่อยู่ รอบ ๆ เป็นการจัดการน้ำจากแหล่งธรรมชาติด้วยการทำบ่อพักน้ำ โดยต่อน้ำซับจากตาน้ำธรรมชาติบนเขา มาใส่ในบ่อพักน้ำ ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้เลยทุกฤดูกาล และใช้ไผ่เป็นตัวนำในการฟื้นฟูดินและรักษาหน้าดิน และมีการปลูกไม้ผลซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการของสมาชิก โดยการปลูกไผ่จะมีการแจกต้นไผ่ให้กับสมาชิก และเมื่อไผ่โตจะต้องมีการตอนและนำมาคืนในกลุ่ม เพื่อให้สมาชิกอื่นนำไปปลูกต่อ และมีการจัดทำเรือนเพาะ ขยายและรวบรวมพันธุ์ไผ่ ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกไผ่เพิ่มเติมจำนวน 30 ไร่ ซึ่งแต่เดิมมีพื้นที่ปลูกไผ่อยู่แล้ว 60 ไร่ ๆ ละ 100 ต้น เมื่อรวมกันจะมีพื้นที่ปลูกไผ่จำนวน 90 ไร่ หรือประมาณ 900 ต้น ซึ่งคาดว่าจะสร้าง รายได้ให้กับชุมชนในอนาคตและกลุ่มจะได้มีแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากไผ่ต่อไป
36 “เราใช้ไผ่เป็นตัวนำเพื่อสร้างพื้นที่สีเขียว มีการปรับพื้นที่ทำนาขั้นบันไดหรือทำพื้นที่ให้เป็นขั้นบันได พื้นที่ใข้ทำการเกษตรและมีการจัดการแหล่งน้ำในแปลงนำร่องพื้นที่เป็นพื้นที่ต้นแบบให้สมาชิกได้เข้ามาเรียนรู้ และนำไปปรับใช้ในพื้นที่ นอกจากนี้การทำนาขั้นบันไดเป็นการแสดงสิทธิของชุมชนในการจัดการที่ดิน” ณธนภัทร ฤทธิ์เนติกุล ด้านการจัดการป่าชุมชน ชุมชนเข็กน้อย มีกระบวนการเริ่มตั้งแต่การประชุมคณะกรรมการจัดการป่า ชุมชนที่มีอยู่เดิม เพื่อทบทวนสถานกาณ์ในการจัดการป่าที่ผ่าน และค้นหาแนวทางการจัดการป่าร่วมกัน มี การทบทวนและร่วมกำหนดกติกาและข้อบังคับของป่าชุมชนให้ชัดเจนเพิ่มเติม หลังจากนั่นผู้นำชุมชนและ แกนนำจะมีการประชุมประชาคมระดับหมู่บ้านเพื่อให้ได้มติและแนวทางการจัดการป่าชุมชน แล้วนำข้อเสนอสู่ การประชุมระดับตำบลเพื่อลงมติเพื่อกำหนดเป็นแนวปฏิบัติร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการมี ส่วนร่วมในการจัดการป่าชุมชน เช่น 1) การจัดทำแนวกันไฟรอบป่าชุมชนและจุดเสี่ยงประมาณ 3-4 กิโลเมตร ซึ่งแนวกันไฟเป็นเครื่องมือในการกำหดแนวเขตป่ากับที่ทำกินของชาวบ้าน 2) การทำฝายชะลอน้ำ จำนวน 5 แห่ง 3) การสร้างความร่วมกับหน่วยงานในระดับจังหวัดเข้ามาร่วมในการจัดการป่าชุมชน เช่น การตรวจป่าร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ 4) ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการจัดการ ป่า ซึ่ง จากเดิม มีสมาชิกจำนวน 30 คน ปัจจุบันมีสมาชิก เพิ่มขึ้นเป็น 440 คน และ มีกองทุน 30,000 บาท ซึ่งมีคณะกรรมการ ป่าชุมชนที่เป็นตัวแทนจากทุกหมู่บ้านเข้ามา ดูแลและจัดการร่วมกัน นอกจากนี้ในการ จัดการป่าที่ผ่านชุมชนเข็กน้อยซึ่งเป็นกลุ่มชาติ พันธ์มง ด้านภูมิปัญญาในการจัดการป่า คือ ป่าดงเซ้ง ซึ่งชุมชนร่วมกันกำหนดห้ามมิให้ผู้ใด เข้าไปบุกรุกทำลาย ตัดต้นไม้ ล่าสัตว์ หรือหา
37 พืชสมุนไพร เนื่องจากจะทำให้เทพทั้งสี่ไม่พอใจ ได้แก่ 1) เทพเจ้าถือติ เป็นเทพเจ้าคุ้มครองดิน 2) เทพเจ้า ซะแซ่งติจือ เป็นเทพเจ้าคุ้มครองสัตว์ต่างๆ 3) เทพเจ้าซะแซ่งถือติ เป็นเทพเจ้าควบคุมสิ่งชั่วร้าย และ 4) เทพเจ้าจื้อเซ้งโล่งเม่ด เป็นเทพเจ้าที่คุ้มครองใต้พิภพ ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ ก็จะเกิดภัยต่อ ตนเองหรือชุมชน การดำเนินงานที่ผ่านมาหน่วยงานและภาคีเข้ามีส่วนร่วมในการดำเนินการ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราช ภัฎเพชรบูรณ์สนับสนุนกล้าไผ่ การอบรมต่อยอดผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่และองค์ความรู้งานวิชาการด้านการ จัดการป่า โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงห้วยน้ำขาว ขยายผลไปยังเด็กและเยาวชนเพื่อเกิด รายได้ และกลุ่มแปลงเกษตรจำนวน 20 ไร่ ได้ใช้น้ำจากแท่งโครงการหลวงมาใช้ในโรงเรือน และการขุดบ่อทำ นาเพื่อดึงน้ำจากที่สูงมาพักไว้และใช้ต่อไปยังไร่ของเกษตรกร หน่วยป่าไม้เชื่อมประสาน กำกับการดูแลป่า ช่วยสำรวจป่าตรวจป่า ฝ่ายกปกครองได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ได้สร้างการรับรู้และความ เข้าใจเพื่อสนับสนุนการทำงาน องค์การบริหารส่วนตำบลเข็กน้อยได้เข้ามาร่วมในการจัดกิจกรรมในชุมชน ส่งเสริมการใช้พื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และมีแผนการดำเนินงานร่วมกันในการทำจุดบริการนักท่องเที่ยว การจัดระเบียบชุมชน งบประมาณ ห้องน้ำ แหล่งน้ำ ที่พัก ด้านสำนักงานทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดได้เข้ามาร่วมในการดำเนินงานกิจกรรมรวมม้ง นอกจากนี้ยังมีการดำเนินงานพัฒนาเป็นเครือข่าย สิ่งแวดล้อมชาติพันธุ์ม้ง อย่างไรก็ตามที่ผ่านการดำเนินงานของชุมชนพบปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญคือ กฎหมายการใช้ที่ดิน ที่ไม่เอื้อประโยชน์ให้กับชุมชนในการจัดการที่ดินและป่าชุมชน และชุมชนยังไม่ได้เรียนรู้เข้าใจเกี่ยวกับ นโยบายของรัฐและระเบียบกฎหมาย ต่อการใช้ใช้ประโยชน์ และจัดการทรัพยากรของชุมชน ในการ ดำเนินการในพื้นที่เองยังมีประชาชนและเยาวชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการในจำนวนน้อย นอกจากนี้ยังพบปัญหาในการจัดการน้ำได้ดินเนื่องจากไม่สามารถขุดเจาะน้ำบาดาลได้เนื่องจากเป็นพื้นที่ อุทยานและที่ราชพัสดุไม่สามารถขุดเจาะได้ ซึ่งจะชุมชนจะต้องร่วมกันหาทางออกร่วมกันหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องต่อไป การดำเนินงานในอนาคตจะต้องมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการจัดการป่าชุมชน การจัด แปรรูปไม้ไผ่ การออกแบบเครื่องจักสาน การส่งเสริมการทำนาขั้นบันได การจัดการน้ำในระดับแปลงและ ระดับชุมชน และการจัดผลักดันเพื่อการปลดล็อกกฎหมายการใช้ที่ดินและการออกเอกสารสิทธิให้กับ ประชาชนในพื้นที่ “หัวใจสำคัญการทำงาน คือการ ประสานงานทำความเข้าใจกับหน่วยงาน ภาครัฐ การสร้างองค์กรให้เป็นที่รู้จักและ ยอมรับของคนภายนอก การใช้ทรัพยากรที่ คุ้มค่าและงบประมาณ การบูรณาการ หน่วยงาน องค์ความรู้ ความร่วมมือจากทุก ภาคส่วน เพื่อให้คนอยู่กับธรรมชาติที่สมดุล” นราพงษ์ ทรงสวัสดิ์วงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเข็กน้อย เครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้งลุ่มน้ำเข็กน้อย
38 2.2 กรณีตัวอย่างการฟื้นฟูป่าชุมชนท่าอีบุญใต้ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมชุมชน “การทำป่าชุมชนมีเป้าหมาย เพื่อทำให้ชาวบ้าน รู้ว่าเราดูแลป่า ลดการเข้าไปทำลายป่า ซึ่งแต่ก่อนป่าถูกไฟ ไหม้ทุกปี พอทำโครงการไฟไหม้ป่าก็ลดลง ต้นไม้ก็เพิ่มมาก ขึ้น ชุมชนได้ใช้ประโยชน์จากป่า ในช่วงฤดูต่าง ๆ เช่น ไป หาของป่า ผักหวาน ไข่มดแดง เห็ดไค ยาสมุนไพร สัตว์ป่า และใช้แหล่งน้ำในการเกษตร” สุวัฒน์ อินทรประไพ สมาคมส่งเสริมสวัสดิการสังคมและสิ่งแวดล้อม ตำบลท่าอิบุญ ตำบลท่าอิบุญ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ มีระบบนิเวศที่สำคัญ คือ พื้นที่ภูเขา ร้อยละ 69.28 และพื้นที่ราบ ร้อยละ 30.72 โดยมีหมู่บ้านที่ใช้ประโยชน์ในเขตภูเขาจำนวน 7 หมู่บ้าน หมู่บ้าน ที่ไม่ติดภูเขา 5 หมู่บ้าน โดยมีฐานทรัพยากรป่าไม้ที่สำคัญ คือ ป่าชุมชนบ้านท่าอิบุญใต้ จำนวน 1,318 ไร่ (ที่ทส 1604.43/14505 วันที่ 14 สิงหาคม 2561) เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีความสำคัญอย่างสูงของแม่น้ำป่าสัก เพราะเป็นพื้นที่ที่มีลำน้ำจำนวนมากกระจายตัวในพื้นที่โดยมีลำห้วยสายหลักคือ ห้วยโกนสะดวง ซึ่งป่าชุมชน แห่งนี้มีความสำคัญต่อชุมชนตำบลท่าอิบุญ เป็นอย่างมากโดยเฉพาะการให้บริการด้านนิเวศเกี่ยวกับ ความ มั่นคงด้านอาหาร ได้แก่ เห็ด ผักหวาน หน่อไม้ อีรอก หนอนไม้ไผ่ ผักป่านานาชนิด หอยหอม อิปุ่ม กบ เขียด นก กระรอก กระแต ปูหิน งูสิงห์ หนู ตุ่น ไข่มดแดง อึ่ง กุ้งฝอย นก ด้วง เป็นต้น จะเห็นได้ว่าป่า ชุมชนท่าอิบุญ แห่งนี้มีการใช้ประโยชน์จากประชาชนทั้งตำบล จึงทำให้ป่าชุมชนแห่งนี้มีความสำคัญในระดับ ท้องถิ่นเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาประชาชนในชุมชนและในพื้นที่ตำบลบลท่าอีบุญ ใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนอย่างต่อเนื่อง ทำ ให้ปัญหาการลักลอบตัดไม้ การตัดไม้ไผ่จำนวนมาก ๆ การบุกรุกแผ้วถางป่าไม้เพื่อทำการเกษตร ทำให้พื้นที่ ป่าและความอุดมสมบูรณ์ลดลง ส่งผลกระทบให้ปริมาณน้ำในห้วยสะดวงลดลง ส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อการ บริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมของชุมชน จากสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ สมาคมส่งเสริมสวัสดิการ สังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกับตัวแทนชุมชนในตำบลท่าอีบุญ ได้ดำเนินโครงการ สวมหมวกให้ภูเขาสวมรองเท้า ให้ตีนภูมุ่งสู่การฟื้นฟูนิเวศบริการป่าต้นน้ำห้วยสะดวง โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ การฟื้นฟูป่าชุมชนท่าอีบุญ ใต้ โดยมีกิจกรรมที่สำคัญได้แก่ การศึกษาดูงานการจัดการป่าชุมชนเพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศ การเพาะขยาย พันธ์กล้าไม้พันธ์กล้าไม้หายากในป่าชุมชน ทำแนวเขต ทำฝายชะลอความเร็วของน้ำ การปลูกกล้วยป่าและไม้ ไผ่ การทำแนวกันไฟป่า การปลูกป่า และการส่งเสริมระบบเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม “บ้านท่าอีบุญ มีป่าชุมชนจำนวน 1,318 ไร่ มีกรรมการชุมชน จำนวน 25 คน โดยเป็นเครือข่ายทั้ง ชุมชน เวลาไฟไหม้ทุกคนในชุมชนไปช่วยกันดับไฟ และคอยเฝ้าระวังการลักลอบตัดไม้ และมีกติกาดูแลป่า ชุมชน ได้แก่ ห้ามตัดไม้ทำลายป่าห้ามบุกลุกพื้นที่ป่าชุมชน ห้ามเผาป่า ห้ามเก็บของป่าก่อนได้รับอนุญาต ห้ามล่าสัตว์ โดยมีบทลงโทษครั้งที่ 1 ตักเตือน ครั้งที่ 2 พิจารณาตามของกลาง โทษปรับตั้งแต่ 1,000 บาท
39 ขึ้นไปอยู่กับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับป่าชุมชน เพราะการรักษาป่าชุมชนคือการรักษาชีวิตของคนในตำบลท่าอี บุญให้ทุกคนได้ใช้ประโยชน์ตลอดไป” ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากโครงการ คือ ทำให้ชุมชนเข้ามามีส่วน ร่วมการจัดการและฟื้นฟูป่าชุมชน โดยมีกรรมการทั้งหมด 25 คน และ ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการป่าและฟื้นฟูป่าชุมชน มากกว่า 200 ครอบครัว เช่น การปลูกป่าต้นน้ำ การทำแนวกันไฟ การทำฝาย และ การส่งเสริมการปลูกพืชแบบผสมผสานเพื่อลดการพึ่งพิงป่า ซึ่งทำให้ ชุมชนได้เป็นความสำคัญของการจัดการป่า ทำให้เห็นว่าชุมชนมีการ จัดการป่าอย่างไร ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมามีหน่วยงานภาคีเครือข่าย เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการได้แก่ ชาติชาย ชาอุ่น กรรมการป่าชุมชน สำนักงานป่าไม้สนับสนุนเครื่องมือป้องกันไฟป่า โรงเรียนประถมในชุมชนร่วมกิจกรรม มหาวิทยาลัย ราชภัฏเพชรบูรณ์ช่วยวิจัยและพัฒนาชุมชน สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอและศูนย์การศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) อำเภอร่วมกิจกรรมและสอนอาชีพให้กับเกษตรในพื้นที่ โดยชุมชนและ คณะกรรมการป่าชุมชนได้มีแผนการพัฒนาป่าชุมชนในอนาคต โดยการจัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติ การ สร้างความตระหนักความรักป่าให้กับเด็กและเยาวชนในชุมชน การจัดทำฐานการเรียนรู้การจัดการป่าชุมชน การทำข้อมูลความหลากหลายของป่าและการขายคาร์บอเครดิต ร่วมถึงการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทาง ธรรมชาติ เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน และเป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวังและป้องกันการทำลายป่าชุมชนบ้าน ท่าอีบุญได้ ซึ่งจะทำให้ชุมชนได้ใช้ประโยนชน์อย่างยั่งยืนต่อไป
40 2.3 กรณีตัวอย่างการอนุรักษ์ ป่าชุมชน : รวมใจรวมคนเพื่อชุมชน “การเพิ่มพื้นที่ป่าชุมชนไม่ใช่การเพิ่มพื้นที่ป่า แต่เป็นการปลูกป่าในพื้นที่เกษตรของเกษตรกรด้วย การทำวนเกษตรซึ่งเป็นการปลูกป่าในใจคน” วีใช ด้วงทอง เครือข่ายอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศต้นน้ำพอง ชุมชนวังกวาง ตำบลวังกวาง อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ ลักษณะของภูมิประเทศเป็นที่ราบ บนภูเขา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนเป็นเนินสูง ๆ ต่ำ ๆ ที่ตั้งของชุมชนเป็นพื้นที่รอยต่อ ระหว่างอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว , อุทยานแห่งชาติภูกระดึง , อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน และเขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่าภูหลวง ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร ได้แก่ ทำไร่ข้าวโพด ข้าวไร่ ทำสวนไม้ผล และ ทำสวนยางพารา วิถีชีวิตของประชาชนมีการพึ่งพาและใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าไม้มีการเก็บเห็ด หน่อไม้ พืชผักต่าง ๆ จากป่าเพื่อเป็นอาหารและจำหน่ายเป็นรายได้เสริม โดยเพราะกลุ่มคนที่ไม่มีที่ดินทำกิน และมี อาชีพรับจ้าง ซึ่งยังชีพด้วยการเก็บหาเห็ด หน่อไม้และพืชผักป่าขายแลกกับการซื้อข้าวกิน จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ชุมขนได้มีการจัดตั้งป่าชุมชนตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 โดยมีคณะกรรมการดูแล ป่าชุมชนและระเบียบกติกาในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากพื้นที่ 3 หมู่บ้าน 3 ป่า ชุมชน พื้นที่ป่าชุมชนรวม 3,500 ไร่ และได้ขยายเครือข่ายเชื่อมโยงการทำงานอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าไปสู่ชุมชน ข้างเคียงอีกรวมเป็น 7 หมู่บ้าน พื้นที่ป่าชุมชนรวม 8,000 ไร่ และปี พ.ศ.2553 ได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ชุมชนอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า ของ ปตท. ครั้งที่ 12 ปัจจุบันมีการประสานงานเชื่อมโยงกันในรูปเครือข่ายป่าชุมชน ในระดับตำบล และสร้างความเข้มแข็ง รักษาพื้นที่ป่าให้ฟื้นคืนสภาพกลับมามีสภาพสมบูรณ์และชุมชนร่วมมือ ปฏิบัติการเพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าและพื้นที่แปลงเกษตรให้มีจำนวนของพันธุ์พืชที่มาก ยิ่งขึ้น อย่างไรก็ที่ตามที่ผ่านมาชุมชนยังประสบกับปัญหาที่สำคัญได้แก่ ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า ปัญหาดิน เสื่อมโทรมจากการใช้สารเคมี และการไถพรวนหน้าดินเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยว ปัญหาแหล่งน้ำไม่พียงพอต่อ การเกษตร ขาดแหล่งเก็บกักน้ำขาดการจัดการระบบน้ำที่เหมาะสมและเพียงพอกับการเกษตร ปัญหาชุมชน ไม่มีเอกสารสิทธิ์และสิทธิในที่ดินทำกิน และปัญหาการขยายเขตป่าไม้ เขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ ป่า และการผนวกป่าสมบูรณ์เป็นพื้นที่อนุรักษ์ ดังนั้นเครือข่ายอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศต้นน้ำพองจึงได้ดำเนินโครงการเสริมสร้างเครือข่ายอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรดิน น้ำ ป่าและระบบนิเวศต้นน้ำพอง โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายองค์กรชุมชนและ พัฒนาศักยภาพองค์กรภาคประชาชนในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรดิน น้ำ ป่าและระบบนิเวศต้นน้ำพอง และ เสริมประสิทธิภาพและพัฒนาระบบการผลิตแบบเกษตรกรรมยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริม
41 การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ภาคราชการและภาคีท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ต้นน้ำพอง โดยแนวทางหลักในการดำเนินงานได้แก่ - สร้างคน โดยการจัดกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพให้แก่แกนนำเครือข่ายและสมาชิก - สร้างป่า สร้างความเข้าใจและความร่วมมือของสมาชิกในชุมชนเพื่อรักษาพื้นที่ป่าให้คงอยู่ด้วยการ จำแนกของ เขตป่าชุมชน เขตป่าอนุรักษ์ เขตที่ดินทำกินให้มีความชัดเจน และเกิดการยอมรับร่วมกัน ของสมาชิกในชุมชน - สร้างแปลง การสร้างแปลงเกษตรที่กินได้ด้วยการส่งเสริม สนับสนุนให้สมาชิกปลูกพืชแบบวนเกษตร เกษตร ผสมผสาน จะเป็นแนวทางให้สมาชิกเกษตรกรมีแนวทางในการพึ่งตนเองได้ในอนาคต และ ส่งผลให้มีแหล่ง อาหารเพียงพอและเพิ่มความหลากหลายของพันธุ์พืชในแปลงเกษตร - เชื่อมเครือข่าย ด้วยการสร้างทีมชุมชนรักษาป่าให้ครอบคลุมในพื้นที่ระดับตำบลวังกวาง ซึ่งตั้งอยู่ใน พื้นที่ป่าต้นน้ำพอง สร้างความร่วมมือในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชุมชนและพัฒนาระบบการผลิตในแปลง เกษตรให้เป็นรูปแบบ เกษตรผสมผสาน - ประสานความร่วมมือ ภาคี ท้องถิ่น โดยการประสานแผนงาน แผนงบประมาณจากภาคีและองค์กร ปกครอง ส่วนท้องถิ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการจัดการป่าโดยชุมชน ป่าชุมชนโคกใหญ่ นับได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ชุมชนได้ร่วมกันจัดการ และเป็นที่รูปธรรม ป่าโคกใหญ่ มีพื้นที่ ประมาณ 400 ไร่ มีกรรมการดูแลจำนวน 15 คน มีการจัดทำป้ายและการกำหนดแนวเขตอย่าง ชัดเจน มีการแบ่งพื้นทีใช้ประโยชน์ และการตรวจป่าเดือนละ 1 ครั้ง ถ้ามีคนบุกรุกตัดไม้ จะมีการแจ้ง ผู้ใหญ่ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และกรรมการป่าชุมชน มีการดูแลป่าและปลูกป่าเสริม มีการจัดทำแนวกันไฟโดยทำ ปีละ 1 ครั้ง โดยมีการนัดทำในช่วงวันพระหรือวันที่ชุมชนตกลงร่วมกัน โดยจะต้องไปครอบครัวละ 1 คนถ้า
42 ใครไม่ได้เข้าร่วมก็สามารถออกเป็นค่าอาหารอย่างน้อย 100 บาท และมีการจับพิกัด GPS รอบป่า ชุมชน โดยมีประชาชนที่อยู่รอบป่าจำนวน 26 คน มีการส่งเสริมการปลูกไม้ผลเพื่อเป็นพื้นที่วนเกษตร โดย การปลูกต้นไม้จะให้ห่างเขตุแดนประมาณ 2 เมตร ไว้ให้รถสามารถวิ่งได้ และมีการปลูกระหว่างเขตุแดนเพื่อให้ เห็นชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการลดการพึ่งพิงป่าด้วยการทำเกษตรยั่งยืน โดยสมาชิกจะต้องมีการสละพื้นที่ ประมาณ 1 ไร่ เพื่อปลูกไม้ผลและพืชที่เป็นอาหาร ปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 80 คน “ป่าชุมชนเดียวนี้ต้นไม้กะงาม เห็ดกะออกดี หน่อไม้กะมี ต้นไม้กะใหญ่ขึ้น มีแนวอยู่ กินหลายขึ้น ไปหากะได้กินได้ขาย” ตัวแทนกลุ่มแม่บ้าน กระบวนการและขั้นดอนในการดำเนินงาน เริ่มจากการมีวงคุยเล็ก ๆ ของคนคนที่ห่วงใย มีใจ ผู้รู้ใน ชุมชนและ คนเฒ่าคนแก่ในชุมชน หลังจากนั้นมีการผู้คุยกับผู้นำชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน เป็นการ พูดคุยเป็นรายคนแบบไม่เป็นทางการ และมีการจัดประชาคมหมู่บ้านเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงาน ร่วมกันในการจัดการป่า มีการเดินสำรวจป่า การจัดทำแผนที่ทำมือ ประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ป่าไม่ หน่วยงานในระดับอำเภอเข้ามามีส่วนร่วมใน การดำเนินงานสำรวจและจัดทำข้อมูลป่า ชุมชน หลังจากได้ข้อมูลที่ชัดเจนแล้วมีการ จัดทำเวทีประชาคมหมู่บ้านอีกครั้งเพื่อ กำหนดเขตป่าชุมชนให้มีความชัดเจน และมี การกำหนดระเบียบกติการ่วมกันของคนใน ชุมชน การจัดตั้งกรรมการการทำแผนการ จัดการป่า นอกจากนี้เพื่อเป็นทำให้ประชาชน ได้รับรู้ร่วมกันจึงได้มีการจัดทำป้ายแนวเขตป่า การบวชป่า การทำแนวกันไฟรอบป่า และ ปลูกป่าเสริม ร่วมทั้งการจัดทำข้อตกลงทำ ความร่วมมือกับเจ้าของพื้นที่รอบป่าในการ ช่วยกันดูแลป่าชุมชนร่วมกัน ด้านภาคี เครือข่ายที่เข้ามามีส่วนร่วมได้แก่ องค์การ บริหารส่วนตำบลวังกวาง โรงเรียน วัดใน พื้นที่ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ กศน.วังกวาง และธกส. ปัจจุบันป่าชุมชนในเขตตำบลวังกวาง มีจำนวน 7 ป่า ประกอบด้วย บ้านห้วยหิน ลับ บ้านห้วยยางทอง บ้านวังกวางหมู่ที่ 1, 2, 11, และบ้านฟองใต้ โดยมีกิจกรรมร่วมกัน ในการบวชป่า และมีการประสานงานร่วมกัน ในการดูแลป่า
43 “หัวใจสำคัญของความสำเร็จคือการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการมีกติการ่วมกัน มีการใช้ความ เชื่อเรื่องการบวชป่ามาเป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์ ยิ่งปัจจุบันมีแหล่งอาหารที่ได้อยู่ได้กิน เป็นเหมือนตลาด ชุมชนอยู่ในป่า ความเป็นเครือญาติทำให้พูกคุยกันง่าย และการมีป้ายบอกชัดเจน มีการประชาสัมพันธ์เสียง ตามสาย และการตั้งไลน์ (Line) หมู่บ้านเพื่อประสานงานและส่งต่อข้อมูลทำให้เรื่องการจัดการป่าชุมชน ประสบความสำเร็จ” อย่างไรก็ตามชุมชนจะต้องมีการสรุปบทเรียนการใช้ประโยชน์จากป่าชุมชน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลการ ใช้ประโยชน์จากป่าเพื่อคำนวณเป็นมูลค่าที่ใช้ได้ใช้ประโยชน์จากป่าทั่งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงการขยาย แนวคิดการทำเกษตรยั่งยืนในเพิ่มมากขึ้น ด้วยการแลกเปลี่ยนรู้กับพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จ และการพัฒนา ศักยภาพให้กับสมาชิกให้มีความรู้ในการปลูกและขยายพันธุ์พืชได้เอง และการส่งเสริมการจัดการน้ำในระดับ แปลง นอกจากนี้เนื่องจากชุมชนอยู่ในเพื่อรอยต่อป่า ทำให้เกิดปัญหาช้างป่าออกนอกเขตพื้นที่อนุรักษ์ซึ่ง ชุมชนจะต้องมีการศึกษาข้อมูล สถานการณ์และออกแบบการแก้ไขปัญหาในอนาคตร่วมกัน
44 2.4 กรณีตัวอย่างการ ฟื้นยา อาหารและชีวิตด้วยป่าหัวไร่ปลายนา “ตอนเริ่มโครงการก่อนแม่เป็นหมอยามาก่อน รักษาคน ในชุมชนมาก่อน สมัยก่อนป่าอุดมสมบูรณ์ หลังจากมีโรงน้ำตาล ทุกคนก็ตัดต้นไม้ทำลายป่าหมด เอาไปปลูกอ้อย ยาที่เคยมีก็หา ยาก เราจะไปหาสมุนไพร ผัก ยาสมุนไพรจากไหน เลยคิด อยากจะฟื้นฟูป่า เพราะเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นถ้าไม่มีป่า ยา สมุนไพรก็ไม่มี อยากจะรักษาภูมิปัญญาดั่งเดิมไม่อยากให้หายไป จึงคิดทำชักชวนครอบครัว ญาติ และคนที่เป็นหมอยาสมุนไพรมา ทำร่วมกัน เพื่อฟื้นฟูสมุนไพร เอาไว้รักษาคน ไม่ให้ยาสมุนไพร หมดไป พอไม่สบายหรือผิดกรรมก็ไม่ต้องไปหาหมอใช้ยา สมุนไพรรักษา” รุ่งนภา สุขบัว ประธานเครือข่ายหมอยาพื้นบ้าน ป่าหัวไร่ปลายนา คือพื้นที่ป่าดั้งเดิมที่มีมากในพื้นที่ตำบลหนองหิน เป็นป่าผืนเล็กในพื้นที่ทำกินเของ เกษตรกร เป็นป่าที่ถูกจัดการทรัพยากรโดยครอบครัวและชุมชน เป็นป่าที่มีความสำคัญต่อครอบครัวและ ชุมชน เป็นแหล่งอาหาร แหล่งไม้ใช้สอย แหล่งยาสมุนไพร โดยใน “ป่าหัวไร่ปลายนา” จะพบพันธุ์ไม้ 5 ระดับ ได้แก่ 1) ไม้สูง : จะมีความสูงจากพื้นดินตั้งแต่ 22-33 เมตร ขึ้นไป 2) ไม้กลาง : จะมีความสูงจาก พื้นดินประมาณ 14-20 เมตร 3) ไม้เตี้ย : จะมีความสูงจากพื้นดินไม่เกิน 10 เมตร 4) ไม้เรี่ยดิน, ไม้เลื้อย : จะมีความสูงจากพื้นดินไม่เกิน 1 เมตร ประโยชน์ของไม้คลุมดิน คือ ยึดหน้าดินเอาไว้ไม่ให้พังทลายเวลาโดน น้ำพัด ลดความร้อนระอุของดิน 5) ไม้หัวใต้ดิน : เป็นไม้ที่มีหัวอยู่ใต้ดิน ซึ่งป่าลักษณะนี้จะมีความสำคัญต่อ วิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพราะเป็นแหล่งอาหาร แหล่งไม้ใช้สอย แหล่งยา สมุนไพรของชุมชน และ สร้างรายได้ ร่วมถึงบางพื้นที่เป็นพื้นที่ซำน้ำของชุมชนด้วย ที่ผ่านมามีหลายชุมชนได้ร่วมกันอนุรักษ์ไว้เป็น พื้นที่สธารณะของของชุมชน และมีบางครอบครัวได้อนุรักษ์ไว้เพื่อใช้ประโยชน์ของคนในครอบครัวและเครือ ญาติ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2560 ถึงปี 2563 พี้นที่ป่าหัวไร่ปลายนาในพื้นที่ได้ลดลงอย่างมาก เปลี่ยนสภาพเป็นพื้นที่การทำเกษตร โดยเฉพาะการปลูกอ้อย และมันสำปะหลัง ซึ่งทำให้แหล่งอาหาร แหล่ง ไม้ใช้สอย แหล่งยา สมุนไพรของชุมชน แหล่งรายได้และแหล่งน้ำของชุมชนได้หายไปด้วย จากสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้เครือข่ายหมอยาพื้นบ้านได้ดำเนินโครงการฟื้นฟูป่าหัวไร่ปลาย นาโดยภูมิปัญญาหมอยาพื้นบ้าน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เสริมสร้างศักยภาพชุมชนในการอนุรักษ์ฟื้นฟู นิเวศป่าไม้เพื่อการใช้บริการด้านนิเวศและเศรษฐกิจรายได้ของชุมชน 2) เสริมสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและใช้ประโยชน์เพื่อสร้างเศรษฐกิจและรายได้ชุมชน และ 3) เพื่อรณรงค์ เผยแพร่ และการสื่อสารสาธารณะการอนุรักษ์ฟื้นฟูและใช้ประโยชน์จากนิเวศป่าไม้