45 การฟื้นฟูป่าหัวไร่ปลายนาโดยภูมิปัญญาหมอยาพื้นบ้านเป้าหมาย คือ การฟื้นยา ฟื้นอาหาร ฟื้นคน และฟื้นฟูธรรมชาติ จากการดำเนินงานทำให้มีพื้นที่ป่าหัวไร่ปลายที่รักษาและฟื้นฟูได้กว่า มากกว่า 171 ไร่ โดยมีพื้นที่ต้นแบบในการฟื้นฟูป่าหัวไร่ปลายนา จำนวน 9 คน และแปลงเกษตรผสมผสานจำนวน 30 ไร่ มีพื้นที่ต้นแบบแปลงเกษตรผสมผสาน จำนวน 3 คน จากสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการทั่งหมดจำนวน 40 คน ครอบคลุม 2 อำเภอได้แก่ อำเภอหนองหิน และอำเภอเอราวัณ นอกจากนี้ยังเกิดเครือข่ายหมอยาพื้นบ้าน จำนวน 20 คน โดยผู้เข้าร่วมจะต้องมีป่าหัวไร่ปลายอยู่แล้ว เป็นลูกเป็นหลานหมอยาพื้นที่บ้าน หรือ มีการ แปลงยาสมุนไพรเพื่อการรักษา ถึงจะเข้าร่วมโครงการได้ แต่บางคนถ้ามีความตั้งใจจริงก็สามารถเข้าร่วม โครงการได้เช่นกัน สิ่งสำคัญที่สุดของการทำงานที่ทำให้เกิดความสำเร็จในการฟื้นฟูป่าหัวไร่ปลายนา คือ คนที่เข้ามาร่วม การดำเนินงานส่วนใหญ่ มีทุนเดิม คือมีป่าหัวไร่ปลายนาที่รักษาไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ใช้ไม้ เป็นพื้นที่อาหารของครอบครัวและเครือญาติ เป็นตู้ยาสมุนไพรพื้นที่บ้านที่คนในชุมชนสามารถมาใช้ประโยชน์ ที่สำคัญต้องมีใจรัก หรือมีความสนใจที่จะเข้าร่วม เพราะเห็นว่าป่าหัวไร่ปลายนามีความสำคัญต่อครอบครัว และชุมชน เพราะเป็นแหล่งอาหาร แหล่งยาสมุนไพร แหล่งไม้ใช้สอย และยังช่วยในการดูดซับน้ำ สิ่งที่ สำคัญอีกประการหนึ่งคือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันของสมาชิกในเครือข่าย ทำให้เกิดกระบวนการคิดและ แลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน ผลดีที่เกิดขึ้นขึ้น คือ อากาศดีขึ้นช่วยป้องกันฝุ่น PM 2.5 ครอบครัวและชุมชนมีอาหารจากป่าตาม ฤดูกาลเพิ่มมากขึ้น ป่าหัวไร่ปลายนายังเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า ช่วยลดพื้นที่การปลูกอ้อย ลดการเผา ลด หมอกควัน และลดการใช้สารเคมี
46 กระบวนการขั้นตอนในการดำเนินงานเริ่มจาก การประชุมคณะทำงานเพื่อวางแผนการดำเนินงาน ร่วมกันของสมาชิก การศึกษาดูงานที่ศูนย์สมุนไพรขุนเลย การเพาะกล้าไม้เพื่อแจกสมาชิกโดยทำเป็นเรือน เพาะซำสำหรับสมาชิก โดยแจกกล้าไม้ให้กับสมาชิกจำนวน 50-60 ต้นต่อครอบครัว กล้าไม้ที่แจกได้แก่ สมุนไพรตามที่สมาชิกสนใจ ยางนา มะขามป้อม เงาะ ดีปลี ลำไย ฝรั่ง มะนาว ฯลฯ และในการดำเนินงาน มีการสำรวจพื้นที่ป่าหัวไร่ปลายนา ของสมาชิกและศึกษาความหลากหลายของพืชสมุนไพรในป่าของสมาชิกแต่ ละคน ซึ่งพบว่าในพื้นที่ป่าหัวไร่ปลายนามีพืชสมุนมากกว่า 50 ชนิด และในพื้นที่ต้นแบบจำนวน 2 แปลง ได้มีการพัฒนาระบบน้ำเพื่อให้เป็นพื้นที่เรียนรู้ในการจัดการระบบน้ำเพื่อการฟื้นฟูป่าหัวไร่ปลายนา โดยการขุด เจาะบ่อบาดาลและการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อสูบน้ำ นอกจากการส่งเสริมการปลูกการฟื้นฟูแล้วยังได้มี กระบวนการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจเพื่อการแปรรูปสมุนไพรเพื่อจำหน่าย และเข้าร่วมเป็นเครือข่ายหมอยา สมุนไพร 4 ภาค ภายใต้การหนุนเสริมของหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานสาธารณะสุขจังหวัดเลย มูลนิธิ เลยเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โรงพยาบาลอภัยภูเบศ เครือข่ายหมอแผนไทย และเกษตรอำเภอ ปัญหาอุปสรรคที่สำคัญในการดำเนินงาน คือ การสร้างความเข้าใจกับสมาชิกว่าป่าหัวไร่ปลายนาว่ามี ความสำคัญอย่างไร การจัดการระบบน้ำเพื่อการฟื้นฟูป่าหัวไร่ปลายนา การเพิ่มความหลากหลากของพืช สมุนไพรและการแปรรูปสมุนเพื่อสร้างรายได้ให้กับสมาชิกให้เป็นรูปธรรม
47 โดยเครือข่ายหมอยาพื้นบ้านมีแผนการพัฒนา ดังนี้ 1) ขยายผลไปยังคนรุ่นใหม่ 2) สร้างความ ร่วมมือกับเครือข่ายด้านวัฒนธรรมให้เข้ามาร่วมดำเนินการ 3) การเพิ่มความหลากหลายของพืชอาหารและ การพัฒนาการเกษตรในแปลง 4) การจัดการระบบน้ำในแปลง 5) การสำรวจและเพิ่มสมาชิกที่มีป่าหัวไร่ ปลายนาอยู่แล้ว ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น “การรักษาป่าหัวไร่ปลายนาไว้ ไม่เอาไปปลูกอ้อย เพราะว่าป่านี้เป็นแหล่งอาหาร แหล่งยาสมุนไพร แหล่งไม้ใช้สอยของครอบครัว คนในครอบครัวได้ใช้ประโยชน์จากป่านี้ ร่วมทั้งมีคนในชุมชนก็เข้ามาใช้ ประโยชน์จากป่านี้เช่นกัน เพราะตอนนี้ป่าหัวไร่ปลายนาเหลือน้อยลง อาหารก็ลด ยาสมุนไพรก็หายาก เรา จึงต้องรักษาและฟื้นฟูป่าหัวไร่ปลายนาไว้ให้ลูกหลานได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน” เอื้ออารีย์ สีบุญมี พื้นที่ต้นแบบป่าหัวไร่ปลายนาต้นแบบ
48 2.5 กรณีตัวอย่างการ สร้างสวน ฟื้นป่าชุมชนและฟื้นวังปลาเพื่อสร้างความมั่งคงทางอาหาร “การสร้างความมั่งคงทางอาหารสร้างอาหารใน สวน โดยการจัดการพื้นที่สาธารณะของชุมชน ครอบครัวละ 2 งาน จำนวน 33 ไร่ รวมทั้งหมด 66 ครอบครัว โดยมี การทำวนเกษตร จำนวน 32 คน และทำผสมผสานจำนวน 33 คน และมีการปศุสัตว์อีกจำนวน 32 คน มีการแจก กล้าไม้เพื่อปลูกในแปลงเกษตร ซึ่งเป็นการทำเกษตรมี เป้าหมายเพื่อสร้างความมั่งคงทางอาหารของชุมชนและการ ใช้สิทธิในการใช้ที่ดินสาธารณะเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน” ชาญณรงค์ วงศ์ลา เครือข่ายนักวิจัยไทเลยและเครือข่ายแม่น้ำโขง จังหวัดเลย อดีตชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำตอนปลายของแม่น้ำเลยและแม่น้ำโขง บริเวณพื้นที่อำเภอเชียงคาน ได้ พึ่งพาทรัพยากรจากแม่น้ำเลย แม่น้ำโขงและใช้ประโยชน์จากป่าไม้ ในการหาอยู่ หากิน และการประกอบ อาชีพ ปัจจุบันพบสภาพปัญหาที่สำคัญได้แก่ ได้แก่ ปัญหาจากการใช้สารเคมีในการเกษตร การตัดไม้ ทำลายป่าเพื่อปลูกพืชบเชิงเดี่ยวทำให้พื้นที่ป่าลดลงเป็นจำนวน ทำให้ไม่มีความชื่นในอากาศ ฝนไม่ต้องตาม ฤดูกาล สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้ร้อนขึ้นและยาวนานขึ้น การชะล้างหน้าดินพัดพาดินตะกอน มาทับ ถมที่อาศัยแหล่งขยายพันธุ์สัตว์น้ำมีจำนวนลดน้อยลง รวมทั้งแหล่งอาหารของสัตว์น้ำก็ลดลง
49 โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่แหล่งอาหารธรรมชาติและการทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน โดยเครือข่ายนักวิจัยไท เลยและเครือข่ายแม่น้ำโขง จังหวัดเลย มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ 1) เพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศดินน้ำและ ป่าไม้ในลุ่มน้ำเลยตอนปลายและแม่น้ำโขง 2) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการประกอบอาชีพของเกษตรกร ซึ่งมี เป้าหมายที่สำคัญคือการสร้างความมั่งคงทางอาหาร ความมั่งคงของทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน บริเวณพื้นที่ลุ่ม แม่น้ำเลยตอนปลายและแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นส่วนปลายของเทือกเขาเพชรบูรณ์โดยมีพื้นที่เป้าหมายในดำเนินการ หลัก จำนวน 4 หมู่บ้าน ประกอบด้วย 1) บ้านเชียงคาน หมู่ที่ 1 ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัด เลย เป็นตัวแทนของหมู่บ้านในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง 2) บ้านกลาง หมู่ที่ 3และ 8 ตำบลปากตม อำเภอเชียง คาน จังหวัดลเย เป็นตัวแทนของหมู่บ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำเลย และ3) บ้านสำราญ หมู่ที่ 4 ตำบลจอมศรี อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เป็นตัวแทนของหมู่บ้านในพื้นที่โคกสลับที่ราบลุ่มแม่น้ำ ผลลัพธ์ความสำเร็จที่เกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงาน ประกอบด้วย ชุมชนบ้านแสนสำราญ ตำบลจอม ศรี อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เกิดการจัดการและส่งเสริมการทำวนเกษตร จำนวน 3 แปลง การทำ เกษตรอินทรีย์จำนวน 11 แปลง และส่งเสริมการเลี้ยงปศุสัตว์ เลี้ยงไก่ จำนวน 32 ครอบครัว และมีการ จัดพื้นที่สาธารณะพื้นที่การส่งเสริมการทำเกษตร จำนวน 66 ครอบครัว และมีกระบวนการออกแบบการ บริหารจัดการน้ำร่วมกัน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อความสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับครอบครัว การเกษตรเพื่อ ทำไว้อยู่ไว้กิน เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับครอบครัว และการใช้พื้นที่สิทธิในการใช้ที่ดิน รวมถึงการลดปัจจัยการ ใช้สารเคมีเพื่อการเกษตรซึ่งจะทำให้สุขภาพดีขึ้น ด้านชุมชนบ้านกลาง หมู่ที่ 3 และ 8 ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดลเย มีการจัดการจัดป่า ชุมชนจำนวน 1 ป่า จำนวน 70 ไร่ มีกติการ่วมกันว่า 1) ถ้าจะใช้ไม้จะต้องขออนุญาตจากประชาคม หมู่บ้าน 2) ถ้ามีการกระทำผิดจะต้องเสียค่าปรับตามมติที่ประชุมหมู่บ้าน และมีการทำเขตอนุรักษ์วังปลาใน แม่น้ำเลย จำนวน 1 แห่ง ระยะทาง 500 เมตร บริเวณวังม่วง เนื่องจากเป็นเขตป่าช้า และเป็นวังลึก และ มีความเชื่อว่ามีเงือก (พญานาคอาศัยอยู่) โดยชุมชนมีกติการ่วมในการป้องกันไม่ให้มีผู้บุกลุกหรือใช้ประโยชน์ โดยผิดวิธี เพื่อให้พื้นที่สาธารณะมีการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ซึ่งการจัดการวังปลาเป็นผลมากจากช่วงปี 2563 มีประชาชนในและนอกพื้นที่มีการหาปลาด้วย การช็อดปลาในพื้นที่ ทำให้ปลาน้อยมีจำนวนลดน้อยลง ผู้นำชุมชนและแกนนำชุมชนร่วมกันคิดและตกลง ประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นวังปลา และมีการตรวจว่าใครทำผิด โดยมีการจับผู้กระทำผิดจำนวน 7 คน บ้านกลางจำนวน 4 คน คนนอกหมู่บ้านอื่นจำนวน 3 คน โดยมีการยึดอุปกรณ์หากิน และดำเนินการตาม กฎหมายประมง “ถ้าชุมชนเข้าใจและเข้ามามีส่วนร่วมในการ ดำเนินงาน ก็จะได้เห็นผลดี เห็นผลเสียและเห็น ประโยชน์ที่ชุมชนได้รับ จากการจัดการป่าชุมชน และเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลา ทำให้คนในชุมชนเข้ามีส่วน ร่วมในการดำเนินการ เข้ามาดูแล และค่อยเป็นหู เป็นตาให้กับกรรมการ ผู้นำก็สนุกกับการทำงาน ประชาชนก็สนุกในการรักษาและใช้ประโยชน์ ร่วมกัน” ธนูสิน อินดา ผู้ใหญ่บ้านกลาง
50 ส่วนด้านปลายสุดในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงเขตอำเภอเชียง ของกลุ่มชาวประมงอำเภอเชียงคานที่ต้อง อาศัยและพึ่งพิงแม่น้ำโขงเพื่อทำเกษตรริมแม่น้ำโขงและหาปลาในแม่น้ำโขงได้มีการส่งเสริมการทำเกษตรที่ไม่ ใช้สารเคมี การส่งเสริมการจัดการน้ำในระบบแปลง และการจัดทำวังปลาในแม่น้ำโขง ระยะทางยาวประมาณ 200 เมตร โดยมีทุ่นสีส้ม เป็นสัญลักษณ์ ห่างจากแพชาวประมาณ ความกว้างจำนวน 50 เมตรโดยร่วมกับ ศูนย์วิจัยประมงเชียงคานเข้าร่วมดำเนินการ โดยมีกลุ่มอนุรักษ์จำนวน 18 คน มีการประชาสัมพันธ์และบอก กล่าว ร่วมทั้งมีป้ายและทุ่นเขตอนุรักษ์ โดยกรรมการมีการเตือน ฝ่าฝืน มีการปรับโดยกรรมการฝ่าผืนจะต้อง โดนลงโทษ 2 เท่า โดยปรับเป็นหัวอาหารปลา จำนวน 3 ถุง ละ 25 กิโลกรัม ปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็น องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น ในนามกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเกษตรริมโขงประมงพื้นบ้านเชียงคาน โดยมี จัดตั้งกรรมการ และมีการดำเนินกิจกรรมในการศึกษาพันธุ์กุ้งในแม่น้ำโขง และการทำธนาคารกุ้ง ร่วมกับ ศูนย์วิจัยประมงเลยและสำนักงานประมงจังหวัด โดยทั้ง 4 พื้นที่ มีแผนการดำเนินในอนาคตเพื่อสร้างความยั่งยืน ได้แก่ 1) การสร้างความเข้าใจ และความร่วมมือ 2) การสร้างจิตสำนึกให้กับคนพื้นที่ และขยายความรู้ 3) การให้ความรู้ปากต่อปาก 4) การประเมินผลการได้ประโยชน์จากการจัดการทำวังปลา 5) การนำเสนอข้อมูลจากการดำเนินงาน 6) การ ทำให้ผู้เสียประโยชน์เห็นข้อมูล 7) ข้อมูลเชิงประจักษ์คือปลาที่มองเห็นบริเวณวังปลาในแม่น้ำโขง และ8) การประชาสัมพันธ์ให้กับชุมชนและนักท่องเที่ยว การจัดท าวังปลาในแม่น ้าโขง เครดิตภาพ : ดา รงคศ์กัดิ์มะโนแกว้
51 บทที่ 3 การฟื้นฟูและการจัดการน้ำสู่การจัดการรายได้อย่างยั่งยืน 3.1กรณีตัวอย่างการ ฟื้นฟูระบบนิเวศสู่การฟื้นฟูน้ำ “ชุมชนสามารถนำน้ำประปาภูมาใช้ ประโยชน์ในชุมชน และต่อยอดเป็นน้ำดื่มชุมชนตรา นกยูง สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชน และ น้ำประปาภูเขาช่วยลดค่าใช้จ่ายเดือนละ 100-150 บาท ปีละ 180,000 บาท เมื่อใช้ต้องรักษา ได้น้ำจาก ป่าชุมชนต้องจัดการป่าชุมชนด้วยการทำแนวเขตป่า ชุมชน ปลูกป่า บวชป่าเพื่อสร้างจิตสำนึกให้กับคนใน ชุมชน” ศาศวัต ต้นกันยา มูลนิธิฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่น พื้นที่ลุ่มน้ำหมันในพื้นที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เกษตรกรส่วนใหญ่ มีการปลูกพืชไร่,ทำนา,ทำ สวนไม้ผล,สวนยางพาราและอาชีพรับจ้างทั่วไปตามฤดูกาล ระบบการผลิตของเกษตรกรมีการพึ่งพิงน้ำฝนใน การทำเกษตร และใช้แรงงานในครอบครัวเป็นหลัก พืชที่ปลูกได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มะขาม ถั่ว แก้วมังกร ยางพารา ขิง โดยมีการใช้ปัจจัยการผลิตต่างๆ เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมี ยากำจัดศัตรูพืช และค่าแรงงานจ้างรถ ไถ ซึ่งทำให้มีต้นทุนการผลิตสูง และการใช้สารเคมีเพื่อการทำเกษตร ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนใน พื้นที่และชุมชนข้างเคียง ที่จะต้องเสี่ยงกับการได้รับสารเคมีจากการทำเกษตร แหล่งน้ำในชุมชนเป็นที่สะสม ของตะกอนดินและปนเปื้อนสารเคมีที่มีอันตรายต่อสุขภาพ เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อมแหล่งน้ำและความ หลากหลายทางชีวภาพของพืช สัตว์ ในระบบนิเวศลุ่มแม่น้ำหมันลดลง จากสภาพปัญหาข้างต้นมูลนิธิฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่นได้ดำเนินโครงการการส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิต เกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศลุ่มน้ำหมัน มีเป้าหมายที่สำคัญคือ การสร้างกระบวนการเรียนรู้และ เสริมประสิทธิภาพในระบบการผลิตเกษตรกรรมยั่งยืน และสร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิต และฟื้นฟู สิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำหมัน รวมถึงการพึ่งตนเองของเกษตรกรและสร้างพื้นที่ต้นแบบการทำเกษตรกรรมยั่งยืนที่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างศักยภาพการผลิตอาหารปลอดภัยของเกษตรกรและพัฒนาเครือข่าย เกษตรกรรมยั่งยืน ในพื้นที่ลุ่มน้ำหมัน โครงการมีพื้นที่เป้าหมายจำนวน 6 หมู่บ้าน ประกอบไปด้วยหมู่บ้าน
52 หลัก 3 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านหัวนายูง บ้านนาหว้า บ้านน้ำพุ และหมู่บ้านเครือข่าย 3 หมู่บ้านได้แก่ บ้านเหนือ บ้านนาสีเทียน บ้านนาเวียง โดยมีขั้นตอนการดำเนินการได้แก่ 1) การดูงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ทำฝายแม้ว การปลูก ผักหวาน 2) ต่อระบบน้ำเพิ่มจากประปาชุมชน จำนวน 4 กิโลเมตร 3) สมทบมิเตอร์น้ำเพื่อให้ใช้ทั่วถึง จาก จำนวนผู้ใช้น้ำแรก 85 หลังคาเรือนเพิ่มเป็น 150 หลังคาเรือน 4) การส่งเสริมการปลูกพืชโดยการแจกกล้าไม้ จำนวน 30-50 ต้นต่อคน โดยดูจากศักยภาพคน และพื้นที่การปลูกของสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ 5) การลง พื้นที่ติดตามและสำรวจแปลงเกษตรของสมาชิก 6) การพัฒนาพื้นที่ต้นแบบจำนวน 10 แปลง 7) กิจกรรม เพาะพันธุ์พืชท้องถิ่น เช่นพริก มะเขือ ผักสวนครัว มะนาว มะกรูด กาแฟ และจัดทำโรงเรือน 2 จุด และ8) การจัดการป่าชุมชนด้วยการทำแนวเขตป่าชุมชน ปลูกป่า บวชป่าเพื่อสร้างจิตสำนึกให้กับคนในชุมชนโดยมี พื้นที่ป่าชุมชนจำนวน 5,000 ไร่ ขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชน จำนวน 1,400 ไร่ โดยชุมชน ร่วมกันดำเนินการกิจกรรมบวช ป่า จำนวนประมาณ 100 ไร่ ชุมชนดูแลช่วยกัน เติมมีนาย บุญมาก ศรีพรม เป็นประธาน ดูแลป่า ปัจจุบันได้เปลี่ยนถ่าย ไปยังผู้นำชุมชนในรุ่นปัจจุบัน ในการดำเนินงาน ได้รับความร่วมมือจากหลาย ภาคส่วนได้แก่ เทศบาลตำบล
53 ด่านซ้ายและเทศบาลตำบลศรีสองรัก โดยการสนับสนุนหลักเขตป่าชุมชน ด้านโรงพยาบาลสมเด็จพยุพระราช ด่านซ้าย สนับสนุนให้ความรู้เรื่องการขอ อย. ในการผลิตน้ำดื่มเพื่อจำหน่าย ส่วนหน่วยป้องป่าและเจ้าหน้าที่ ป่าไม้ร่วมในการสำรวจแนวนเขตป่าชุมชน และโรงเรียนศรีสองรักษ์วิทยานำนักเรียนมาร่วมกิจกรรมบวชป่า ปลูกป่า และที่สำคัญคือวัดเนรมิตรที่ร่วมกับชุมชนในดูแลป่าชุมชนและประปาภูเขา นอกจากนี้โครงการ SML ของชุมชนที่ดำเนินการโรงน้ำดื่มมีการสนับสนุนในการจัดการป่าชุมชนและตรวจสอบระบบน้ำประปาอย่าง ต่อเนื่อง “เมื่อใช้ต้องรักษา” คือปัจจัยความสำเร็จที่เกิดขึ้นในการดำเนินงาน ด้วยความร่วมมือของชุมชนที่ ได้รับประโยชน์จากการใช้น้ำประปา ทำให้เข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูป่าชุมชนเพื่อรักษาพื้นที่ต้นน้ำของ ชุมชน เพื่อให้มีน้ำใช้อย่างยั่งยืน พ้ืนที่ป่าชุมชนจา นวน 5,000 ไร่
54 3.2 กรณีตัวอย่างการ จัดการน้ำ จัดการรายได้ จัดทรัพยากรต้นน้ำหมัน ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย มีเนื้อที่ประมาณ 229.85 ตารางกิโลเมตรหรือ ประมาณ 143,657.37 ไร่ เป็นพื้นที่ต้นน้ำหมัน ลักษณะภูมิประเทศของตำบลกกสะทอนเป็นพื้นที่ป่าและภูเขา สูงสลับซับซ้อนเพราะเป็นพื้นที่ติดกับอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ความลาดชันของพื้นที่โดยเฉลี่ยระหว่าง 25 - 35 องศา การใช้ประโยชน์ที่ดินสามารถจำแนก ร้อยละ 60 เป็นพื้นที่ภูเขา ร้อยละ 40 เป็นพื้นที่ลูกฟูก สลับที่ราบ ที่ดินส่วนใหญ่ของตำบลกกสะทอน ร้อยละ 70 อยู่ใน เขตป่าสงวนแห่งชาติภูเปือย- ภูขี้เถ้า - ภู เรือ ต้นน้ำหมัน มีลำน้ำสาขา จำนวน 28 ร่องน้ำ มีชนิดพันธุ์ปลาท้องถิ่นซึ่งมีถิ่นอาศัยในภูเขา จำนวน 28 ชนิดพันธุ์ นอกจากนี้ในลุ่มน้ำหมันยังมีสัตว์ที่หายากและอยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์และมีความจำเป็นต้อง เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด รวมถึงการพิทักษ์แหล่งที่อยู่อาศัย เช่น เต่าปูลู ซึ่งเต่าปูลูเป็นเต่าน้ำจืด กินเนื้อเป็นอาหาร มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Platysternon megacephalum เต่าปูลูมีถิ่นอาศัยในลุ่มน้ำและภูเขาที่หาได้ยาก มากแล้วในท้องถิ่น ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินมาตรการปกป้องและฟื้นฟูถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างเร่งด่วน “พอมีน้ำ ก็สามารถปลูกพืชอื่น ๆ ได้ เช่น เสาวรส หัวหอมญี่ปุ่น สร้างรายได้ให้กับครอบครัวครัว ประมาณ 28,800 บาท ต่อ 1 ไร่ ในรอบ 4 เดือน ที่ได้รับผลิต”
55 สภาพปัญหาในพื้นที่ต้นน้ำหมันที่สำคัญได้แก่ ปัญหาการทำเกษตรเชิงเดี่ยว ที่มุ่งเน้นการผลิตเพื่อ ขายสร้างรายได้เป็นหลัก พืชที่ปลูกได้แก่ ข้าวโพด เสาวรส ส้มโชกุน ถั่วลันเตา แก้วมังกร ผลกระทบที่ ทำให้ เกิดตะกอนดินจำนวนมาก รวมถึงมีสารเคมีตกค้างและปนเปื้อนในระบบนิเวศ มีการจุดไฟเผาวัชพืช เผาตอ ซังข้าวโพด ทำให้เกิดปัญหาหมอกควันและไฟป่าตามมา ไฟป่ายังได้ลุกลามไปสู่ป่าชุมชนและเขตอุทยาน แห่งชาติภูหินร่องกล้า นอกจากนี้เกษตรเชิงเดี่ยวยังเป็นสาเหตุหลักของทำลายป่าหัวไร่ปลายนา ป่าครอบครัว ป่าชุมชน ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชน รวมไปถึงเกษตร เชิงเดี่ยวยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ที่ดิน เช่น พื้นที่ปลูกพืชอาหารลดลง ชุมชนสูญเสียพันธุกรรม พื้นบ้าน ทำให้เกษตรกรในพื้นที่เกิดปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดการลงทุนในการทำเกษตร ได้แก่ ค่าปุ๋ยเคมี ค่าสารเคมีเกษตร ค่ายาปราบศรัตรูพืช และค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนในด้านอาหาร และยารักษาโรค อีกปัญหาหนีงที่สำคัญได้แก่ การจัดการในระดับแปลงเกษตรซึ่งระบบเกษตรเชิงเดี่ยว เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ นอกระบบชลประทาน ทำให้เกษตรกรต้องพึ่งพาสภาพภูมิอากาศและทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลักและมี ค่าใช้จ่ายในการจัดการน้ำเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเครือข่ายประชาสังคมเทือกเขาเพชรบูรณ์และเครือข่ายอนุรักษ์ต้นน้ำหมัน ได้ดำเนินโครงการ อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรดิน น้ำ ป่า ต้นน้ำหมัน โดยวัตถุประสงค์เพื่อการเสริมสร้างศักยภาพและความ ร่วมมือขององค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม ในการอนุรักษ์และฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่า ต้นน้ำหมัน และสรรหาทางเลือกในการ อนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยระบบเกษตรกรรมเอื้อต่อการอนุรักษ์ ดิน น้ำ ป่า และสอดคล้องต่อ ระบบนิเวศน์ของพื้นที่ต้นน้ำหมัน รวมถึงการจัดการความรู้ การรณรงค์ เผยแพร่และการสื่อสารสาธารณะ
56 จากการดำเนินการทำให้เกิดพื้นที่รูปธรรม ที่ทำให้เกษตรกรมีการการปลูกไม้ผลและไม้ไผ่เพื่อร้างพื้นที่ ทางอาหาร การฟื้นฟูบริการด้านนิเวศ และการลดผลกระทบจากการชะล้างพังทลายของหน้าดิน จำนวน 38 แปลง กระจายตัวใน 3 หมู่บ้าน คือ บ้านหมากแข้ง 18 คน บ้านกกจาน 18 คน และบ้านน้ำหมัน 2 คน และ การจัดทำป่าชุมชนจำนวน 600 ไร่ ในพื้นที่บ้านหมากแข้ง ซึ่งชุมชนร่วมกันดูแลรักษา นอกจากนี้จากการดำนินงานทำให้เกิดรูปแบบแบบในการบริหารจัดการระบบน้ำโดยใช้ภูมิปัญญา ชุมชน 4 รูปแบบ ได้แก่ 1) ประปาภูเขา โดยต่อลำน้ำหมันระยะที่ 10 กิโลเมตร โดยใช้ท่อพีวีซีขนาด 2 นิ้วตลอดสาย ซึ่ง เหมาะสมกับแรงดันและขนาดการส่งน้ำจากที่สูง มีสมาชิกที่ใช้น้ำร่วมกัน จำนวน 7 คน มีพื้นที่ได้รับ ผลประโยชน์จากการใช้น้ำจำนวน 130 ไร่ โดยแต่ละระยะจะมีการขุดบ่อน้ำเพื่อพักน้ำ และเป็นแหล่งกระ จ่ายไปสู่เกษตรรายอื่น ๆที่ต้องการใช้น้ำ แต่จะในการใช้น้ำจะต้องมีการพูดคุยและจัดทำข้อตกลงร่วมกันใน การดูแลรักษาระบบน้ำประปาภูเขาร่วมกัน 2) เหมืองฝายโบราณ เป็นการจัดการที่เกิดขึ้นจากภูมิใช้ในเพื่อที่ร่องน้ำนั้น โดยแต่ละเหมืองฝายจะ มีผู้ใช้ประโยชน์แต่ต่างกันออกไปตามพื้นที่และแปลงเกษตรที่สามารถใช้น้ำได้
57 ระบบการจัดการน้ำในรูปแบบเหมืองฝายโบราณ เครดิตภาพ : จีระศกัดิ์ตรีเดช
58 3) บ่อน้ำ หรือสระ ขนาด กว้าง 15 เมตร ยาว 15 เมตร ลึก 4 เมตร มีจำนวน 4 บ่อ ซึ่งเป็นการเพิ่ม พื้นที่การกักเก็บน้ำไว้ใช้ในพื้นที่แปลงเกษตร เพื่อใช้ในระดับแปลง มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 95 ไร่ 4) ถังกักเก็บน้ำ เป็นรูปแบบที่นำมาปรับใช้กับแบบที่มีน้ำในพื้นที่ต่ำ มีการสูบน้ำขึ้นไปเก็บไว้ในพื้นที่ สูงและปล่อยสู่แปลงเกษตร โดยมีการดำเนินจำนวน 2 แปลง โดยการออกแบบการจัดการน้ำในแปลงเกษตรของเกษตรกรจะขึ้นอยู่บริบทและสภาพภูมิประเทศ และการปลูกพืชของสมาชิกกลุ่ม แต่การดำเนินงานจะมุ่งเน้นให้สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการได้ทำเกษตรแบบ ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้เครือข่าย ยังมีแผนในการจัดทำพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ท้องถิ่นใน ระดับร่องน้ำ และในระดับแปลง เช่น เขตอนุรักษ์เต่าปูลู รวมถึงเครือข่ายมีการสรุปบทเรียนเพื่อสรุปผลการ ใช้ประโยชน์จากการจัดการน้ำและการสร้างมูลค่าที่เกิดจากการจัดการเพื่อเป็นข้อเสนอให้กับชุมชนและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
59 บทที่ 4 ระบบเกษตรเพื่อการอนุรักษ์ ดิน น้ำ ป่า 4.1 กรณีตัวอย่าง 8 เงือนไขสู่การผลิตและบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม “สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนระบบการทำ เกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือ 1) ความรู้และความ เข้าใจของคนทำเกษตร 2) ความเหมาะสมของพื้นที่ 3) พื้นที่ฐานด้านเศรษฐกิจของครอบครัว และ 4) ความเข้าใจ ของคนในครอบครัวและแรงงานในครอบครัว เพราะการทำ เกษตรแบบนี้ต้องใช้เวลาและความพยายาม ถ้าคนใน ครอบครัวคอยสนับสนุนก็จะสำเร็จ” พันเดช บุญหนัก นายกสมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและ สาธารณะ ตำบลวังสะพุงและตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่ม ติดกับแม่น้ำ เลย ระบบนิเวศน์โดยรอบของพื้นที่ ตำบลล้อมรอบด้วยภูเขา มีแม่น้ำสำคัญที่ไหลผ่าน คือ แม่น้ำเลย ตำบล วังสะพุง มีพื้นที่ 50.07 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 40,273 ไร่ ตำบลศรีสงคราม มี เนื้อที่ประมาณ 73.40 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 45,879 ไร่ พื้นที่ทำการเกษตรประมาณ 22,998 ไร่ ทรัพยากรป่าไม้ โดยส่วนใหญ่ของพื้นที่จะเป็นป่าเต็งรังในนเขตรอบนอกตำบลโดยเฉพาะในพื้นที่ภูเสียว ภูฮวก การประกอบ อาชีพประชาชนในส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และในพื้นที่พบปัญหาที่สำคัญด้านการผลิตและ การบริโภคที่ไม่ปลอดภัย ได้แก่ 1) เกษตรกรส่วนใหญ่ทำเกษตรกรรมแบบเชิงเดี่ยวที่มีการใช้เคมีเกษตร ทำ ให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะสารเคมีที่ตกค้าง ปนเปื้อนในกระบวนการผลิตอาหารและสารเคมีที่ตกค้างในระบบนิเวศ 2) ปัญหาการสูญเสียความ หลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศบริการ มลภาวะด้านอากาศ ความแห้งแล้ง และการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศทำให้ชุมชนผลิตอาหารได้ลดลง 3) ปัญหาการขาดองค์ความรู้ด้านการผลิตและการบริโภคที่เป็น มิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ชุมชนตำบลวังสะพุงและตำบลศรีสงครามมีปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ และ ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ จากสภาพปัญหาดังกล่าวทำให้สมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและสาธารณะได้ดำเนินโครงการ ส่งเสริมการผลิตและบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รอบเมืองวังสะพุง โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเสริมสร้าง ศักยภาพเครือข่ายผู้ผลิตและผู้บริโภคให้เกิดความมั่นคงด้านอาหารบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพและ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 2) เพื่อสนับสนุนการผลิตและบริโภคอาหารบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพและ
60 เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3) เพื่อการจัดการความรู้ การรณรงค์ เผยแพร่ และการติดตามประเมินผลแบบมี ส่วนร่วม จากการดำเนินงานทำให้เกิดแปลงต้นแบบจำนวน 7 แปลง แบ่งเป็น เกษตรทฤษฎีใหม่จำนวน 1 แปลง เกษตรอินทรีย์จำนวน 3 แปลง และเกษตรผสมผสาน จำนวน 3 แปลง และมีการส่งเสริมการทำ เกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจำนวน 50 คน โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ 1) การประชุมคณะกรรมการ และกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานโครงการ 2) การเพาะพันธุ์กล้าไม้ 3) การอบรม เรื่องเมล็กพันธุ์ 4) การแจกกล้าไม้เพื่อส่งเสริมการปลูก 5) การศึกษาดูงานการทำเกษตรผสมผสาน 6) การ ส่งเสริมการจัดการน้ำในแปลงเกษตรด้วยการเจาะบ่อบาดาล จำนวน 10 บ่อ และส่งเสริมการจัดการระบบ น้ำทั้งเจาะบ่อบาลดาลและสนับสนุนการจัดการน้ำในแปลงเกษตร จำนวน 6 แปลง และ 7) การส่งเสริมการ ทำปุ๋ยไส้เดือนเพื่อใช้ในการเกษตรแทนปุ๋ยเคมี จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นของพื้นที่ต้นแบบ มีเงื่อนไขสำคัญได้แก่ 1) ต้นทุนเดิมของเกษตรกรที่มีการ ดำเนินงานมาก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการ 2) พื้นที่ต้นแบบมีการจัดการระบบน้ำที่เอื้อต่อการทำเกษตร 3) พื้นที่มีความสอดคล้องและมีความเหมาะสมกับแนวทางการทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 4) การคัดเลือก กลุ่มเป้าหมายที่จะพัฒนาเป็นพื้นที่ต้นแบบ 5) ความต่อเนื่องของการทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 6) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในเครือข่ายอย่างสม่ำเสมอ 7) การสร้างแรงจูงใจด้านเศรษฐกิจ เช่น การสร้าง ตลาดใหม่ให้เกิดขึ้นระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค และ 8) มีภาคีหนุนเสริมการทำงานอย่างต่อเนื่อง
61 อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการดำเนินงานจะต้องมีการพัฒนาระบบการจัดการน้ำระดับ แปลงให้เพิ่มมากขึ้นและครอบคลุมกับสมาชิก การส่งเสริมการแปรรูปผลผลิต การส่งเสริมการตลาด และการ พัฒนาแกนนำรุ่นใหม่หรือเกษตรกรรุ่นใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดความยั่งในการการผลิตและบริโภคที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม
62 4.2 กรณีตัวอย่างการทำเกษตรผสมผสาน “เอาใจเอาแฮงเปลี่ยนแปลงวิธีคิดสู่ทำเกษตรผสมผสาน” “การเอาแฮงคือการเรียนรู้ คือพูดคุยกัน คือการแลกเปลี่ยน ความรู้ คือการเห็นความจริง การปฎฺบัติจริงและการช่วยเหลือกัน การออกแบบพื้นที่แปลงขึ้นอยู่กับเจ้าของแปลง ซึ่งแต่ละพื้นที่ไม่ เหมือนกันขึ้นกับพื้นที่และใจของคนที่อยากทำเกษตร” สุขฤทัย ผานุช ตำบลห้วยส้ม อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย สภาพพื้นที่ส่วน ใหญ่เป็นภูเขาและที่ราบเป็นบางส่วน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบ อาชีพทางด้านการเกษตรกรรม ผลผลิตที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด มันสำประหลัง อ้อย ไม้ยืนต้น ยางพารา เป็นสภาพปัญหาของชุมชน ได้แก่ ปัญหาดินเสื่อมโทรม แหล่งทรัพยากรป้าไม้ถูกทำลาย แหล่ง น้ำเพื่อการเกษตรไม่เพียงพอ เกษตรกรขาดรายได้และโอกาสในการพัฒนาอาชีพ ความมั่นคงทางอาหาร ลดลง ส่งผลกระทบกับชีวิตของเกษตรกรและระบบนิเวศของชุมชนห้วยส้ม ทำให้ระบบการพึ่งตนเองของ ชุมชนลดลง ชุมชนต้องพึ่งพาอาหารอุปโภค บริโภค จากภายนอกชุมชนทำให้มีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น ระบบ การผลิตแบบเกษตรผสมผสานที่ยังเหลืออยู่ในชุมชนกำลังจะถูกคุกคามด้วยการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ประเภทอ้อย และมันสำปะหลัง การเปลี่ยนพื้นที่ทำนาเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจประเภทอ้อยและมันสำปะหลัง ทำให้ ระบบการผลิตของเกษตรกรเปลี่ยนแปลงไป ด้านการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรก็ไม่เพียงพอ เนื่องจากไม่มี ระบบการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรที่เหมาะสม ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้ เครือข่ายองค์กรชุมชนตำบลห้วยส้ม ดำเนินโครงการเสริมประสิทธิภาพการ ผลิตเกษตรผสมผสาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนห้วยส้ม โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือทำให้ประชาชนชาว ห้วยส้มมีส่วนร่วมในการจัดการ อนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมของลำน้ำห้วยส้ม มีการ จัดการระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีความรู้และทักษะในการพัฒนาอาชีพ การแปร รูป การจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร มีรายได้เสริม มีอาชีพที่หลากหลายเพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นและ สิ่งแวดล้อมของชุมชนห้วยส้มมีความยั่งยืน “ต้องเริ่มจากเปิดใจ การให้ ความรู้จากการปฏิบัติการจากเอามื้อ เอา ความเชื่อเดิมและความเชื่อใหม่มาก แลกเปลี่ยนกัน มีการแลกเปลี่ยนและแจก พันธุ์พืช และร่วมกันออกแบบพื้นที่ เอา หลักกสิกรรมธรรมชาติมาใช้ สวนใคร อยากทำก็ไปเอาแฮงกันเอามื้อกัน ซึ้งแต่ ละพื้นที่แปลงไม่เหมือนกัน จะแก้ยังไง มา ช่วยกันออกแบบ มีการจัดการน้ำราย แปลง”
63 จากการดำเนินงานทำให้เกษตรกรเริ่มปรับเปลี่ยนพื้นที่เชิงเดี่ยวมาเริ่มทำเกษตรให้เป็นแหล่งอาหาร เป้าหมาย 60 ทำจริง 50 คน เดิมพื้นที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ตอนนี้ข้างแปลงปลูกพริก ข่า ตะไคร้ และหันมาปลูก กิน การดำเนินงานหรือเข้ามาเป็นสมาชิกไม่มี ข้อกำหนดว่าจะต้องปลูกคนละเท่าไหร่ โดยมีการ แบ่งพื้นที่ปลูกกิน และมีการใช้พื้นที่สาธารณะใน ชุมชนทำแปลงตัวอย่างโคก หนอง นา ขุดคลองไส้ ไก่ เลี้ยงปลาดุก ให้ชาวบ้านสามารถเห็นและมีส่วน ร่วมให้ชาวบ้านมาร่วมกันทำ การเก็บเม็ดพันธุ์ เช่น การเก็บในแปลง ไม่ใช่การเก็บในขวด แต่แบ่งปัน กันออกไปปลูก พันธุ์พืขที่เกิดเองได้แก่ ฟักทองมัน บักโต่นหอม พริกขี้หนูป่า มะละกอ พืชหัว ขมิ้นหัว ว่านไพร กระชาย บัวสวรรค์ กลอย มันม่วง มือเสือ มันอ้อน มันพร้าว มันแซง ข่าเหลือง ขาว แดง ข่า ลิง ผักเสี้ยน เป็นต้น ซึ่งในแต่ละแปลงจะมีการแลกเปลี่ยนสายพันธุ์กัน ซึ่งจะทำให้เป็นธนาคารพันธุ์พืชของ ชุมชนที่อยู่ในสวนหรือแปลงของเกษตรกร “แปลงเอาแฮงกัน มีการจัดการน้ำ 10 แปลง เป็นการจัดการน้ำ จัดการดิน ปรับพื้นที่ปลูกช่วยกัน เน้นเล็ก แคบ ชัด หลัก 4 พ พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น” โดยมีเงื่อนไขสำคัญความสำเร็จ คือการมีต้นทุนเรื่องคนต้นแบบ ลงพื้นที่พูดคุยอย่างต่อเนื่อง การ สร้างแรงจูงใจ/การสร้างมูลค่าและแปรรูปผลผลิต การทำแปลงต้นแบบกลางชุมชน 1 งาน ทำให้ทุกคน สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ และการพาทำด้วยการเอามื้อ เอาแฮง
64 4.3 กรณีตัวอย่างการปลูกแบบผสมผสานฟื้นฟูระบบนิเวศและแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมต้นน้ำป่าสัก “เปลี่ยนจากทำไร่ ข้าวโพดมาเป็นการไร่แบบ ผสมผสาน ทำให้มีกิน ลด ค่าใช้จ่าย มีไม้ไว้ใช้สอย ช่วย ในการรักษาดิน ลดการชะ ล้างหน้าดิน ลดการใช้ สารเคมีสุขภาพก็ดีขึ้น ” บุญสิน พิลาบุตร เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ สงเปือย โคกสว่าง อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ พื้นที่ต้นน้ำป่าสักในพื้นที่ตำบลหลักด่าน อำเภอน้ำหนาว และตำบลศิลา และตำบลตาดกลอย อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยพื้นที่ต้นน้ำป่าสักทั้ง 3 ตำบลจะมีที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน แบ่งเป็น พื้นที่ตำบลหลักด่านจะมีลักษณะเป็นพื้นที่ภูเขา ส่วนตำบลศิลาและตำบลตาดกลอย จะมีลักษณะเป็นพื้นที่ ราบ โดยทั้ง 3 ตำบลมีสภาพปัญหาที่สำคัญได้แก่ 1) ปัญหาการทำลายระบบนิเวศป่าต้นน้ำ แหล่งอาหาร ชุมชน ทำให้ความสามารถในการพึ่งตนเองด้านอาหารของชุมชนที่ลดลงและการทำลายความหลากหลายทาง ชีวภาพของชุมชน 2) ปัญหาการใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับมาตรการ อนุรักษ์ดินทำให้เกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดินอย่างรุนแรง 3) ปัญหาชุมชนขาดศักยภาพในการบริหาร จัดการน้ำส่งผลให้ชุมชนมีความความสามารถในการตั้งรับปรับตัวและบริหารจัดการความเสี่ยงต่อการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศค่อนข้างต่ำ จากปัญหาที่พบทำให้เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ สงเปือย โคกสว่าง อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ดำเนินโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้และแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมต้นน้ำป่าสัก โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเสริมศักยภาพองค์กรชุมชนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้และการจัดการดินเสื่อมโทรม 2) เพื่อสรรหาทางเลือกของชุมชนในการตั้งรับปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของชุมชน และ3) เพื่อเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ การจัดการความรู้ และการรณรงค์ เผยแพร่
65 โดยมีเป้าหมายในการดำเนินงาน 11 หมู่บ้าน ได้แก่ 1) ภูมิประเทศเป็นภูเขา มีจำนวน 7 หมู่บ้าน ประกอบด้วย 1. บ้านซำปุ่น ตำบลศิลา 2. บ้านกก กล้วยนวน 3. บ้านตาดข่า ตำบลตาดกลอย อำเภอหล่ม เก่า 4.บ้านหลักด่าน 5.บ้านโนนชาด 6.บ้านห้วยกระโป๊ะ 7.บ้านกกก่อ ตำบลหลักด่าน อำเภอน้ำหนาว 2) ภูมิ ประเทศเป็นพื้นราบ มีจำนวนทั้งสิ้น 4 หมู่บ้าน ประกอบด้วย 1.บ้านศิลา 2.บ้านหวังข่อย 3.บ้านใหม่หัว นา 4.บ้านน้ำย่า ตำบลศิลา อำเภอหล่มเก่า จังหวัด เพชรบูรณ์ จากการดำเนินการทำให้เกิดพื้นที่ต้นแบบ ในการทำเกษตรผสมผสานจำนวน 16 แปลง โดยมีพื้นที่ เฉลี่ยนต่อคนจำนวน 5 ไร่ รวมพื้นที่ประมาณ 80 ไร่ ร่วมพื้นที่ และโดยมีสมาชิกเข้าร่วมดำเนินงานจำนวน 65 คน แต่ละคนจะมีการส่งเสริมการทำเกษตรอย่างน้อย 1 ไร่ รวมพื้นที่ประมาณ 65 ไร่ ซึ่งทำให้เกิดพื้นที่ ในการทำเกษตรผสมผสานจำนวน 145 ไร่ โดยมีกิจกรรมที่สำคัญได้แก่ การศึกษาดูงาน การให้ความรู้การ ทำปุ๋ยหมัก การเพาะกล้าไม้ การส่งเสริมการปลูกพืชแบบผสมผสานและการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรใน ระดับแปลง ผลที่เกิดขึ้นทำให้ สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ มีการปลูกพืชหลากหลาย มากขึ้นทำให้พื้นที่ปลูก ข้าวโพดลดลง มีอาหาร ก ิ น ม า ก ข ึ ้น แ ละ ลด ค ่ า ใ ช ้ จ ่ า ย ใ น ค ร อ บ ครัวเรือน การทำเกษตร ผสมผสานยังทำให้ช่วยซับ น้ำ ลดการชะล้างหน้าดิน ลดการเผา ลดการไถ พรอนหน้าดิน และไม่มี ก า ร ใ ช ้ ส า ร เ ค ม ี ใ น การเกษตร ซึ่งจะส่งผลให้ เกษตรมีรายได้เพิ่มขึ้น มี สภาพแวดล้อมที่ดี ลดการ ตื้นเขิงของแหล่งน้ำ และ มีสุขภาพดี
66 “การไปดูคนที่เขาทำสำเร็จ เขามีกิน มีใช้ มีรายได้ มีเก็บ และได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เป็นสิ่งที่สำคัญที่กระตุ้นให้ยากเฮ็ด นำเพิ่นหรือนำความรู้มาปรับใช้ในการทำเกษตรผสมผสานในแปลง ของตนเอง” สมชาย คำขะ เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ สงเปือย โคกสว่าง อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งปัจจัยสำคัญในการดำเนินงานคือ กลุ่มเป้าหมายและเกษตรกรที่เข้าร่วมมีความตั้งใจและเอาใจใส่ ในการปรับเปลี่ยนการทำเกษตรแบบเชิงเดี่ยวสู่การทำเกษตรแบบผสมผสานและค่อยเป็นค่อยไป ที่จะต้อง อาศัยการจัดการระบบน้ำที่สอดคล้องกับพื้นที่ เช่น พื้นที่ภูเขาที่ใช้การจัดการแบบประปาภูเขา ส่วนพื้นที่ที่ ราบจะใช้การจัดการแบบโคก หนอง นา ซึ่งจะมีความแตกต่างกันตามระบบนิเวศของแต่ละพื้นที่ และการ เพิ่มความหลากหลายของชนิดพืชในแปลงเกษตรจะทำให้เกษตรกรมีทางเลือกมากขึ้น มีอาหารมากขึ้นและลด ความเสี่ยงหรือกระจายความเสี่ยงจากราคาผลผลิต นอกจากนี้การได้เรียนรู้จากพื้นที่ต้นแบบที่ประสบ ความสำเร็จและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเครือข่ายจะเป็นเครื่องมือการกระตุ้นให้เกษตรกรได้ปรับเปลี่ยนการ ทำเกษตร จากทำเกษตรแบบเชิงเดี่ยวสู่การเกษตรแบบผสมผสาน และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการปรับเปลี่ยน คือการที่คนในครอบครัวเข้าใจและร่วมผลักดันในการทำเกษตรผสมผสาน ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นคงทาง อาหารและสร้างรายได้ให้กับครอบครัวและ สร้างความมั่งคงไว้ให้ลูกหลานในอนาคต อย่างไรก็ตามการดำเนินงานยังพบอุปสรรคที่สำคัญคือ การทำเกษตรผสมผสานมีการจัดการน้ำที่ไม่ เหมาะสมทำให้น้ำไม่เพียงต่อการทำเกษตร การขาดความเชื่อมั่นของตัวเกษตรกรว่าการทำเกษตรผสมผสาน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ซึ่งเป็นผลมาจากหนี้สินของเกษตรกรทำให้ยังต่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อสร้าง รายได้ และในการดำเนินการที่ผ่านยังขาดภาคีในพื้นที่เข้ามาสนับสนุนและส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการ ดำเนินงานที่ผ่านมายังขาดการส่งเสริมให้เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน แนวทางทางการดำเนินอนาคตเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ สงเปือย โคกสว่าง อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ คือ จะนำรูปธรรม พื้นที่ต้นแบบและองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นนำไปสู่การขยาย ผลและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกเครือข่ายได้อย่างไร จะมีการจัดทำแผนเชิงบูรณาการกับองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องซึ่งจะทำให้เกิดการขับเคลื่อน และจะทำให้เกิด รายได้กับแกนนำและสมาชิกได้อย่างไร รวมถึงการค้นหาแนวทางการพัฒนาแกนนำรุ่นใหม่ให้มาช่วย ขับเคลื่อนการดำเนินงาน เพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้และแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมต้นน้ำป่าสัก ซึ่งจะ นำไปสู่การจัดการทรัพยากรในพื้นที่ต้นน้ำป่าสักอย่างยั่งยืน
67 บทที่ 5 ชุมชนกับการตั้งรับปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ การอยู่ร่วม ระหว่างชุมชนกับช้างป่า 5.1 กรณีตัวอย่างการ ปรับวิถีชีวิต เสริมสร้างครอบครัว รับมือสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง “เราปลูกทุเรียนแล้วได้ผลรู้สึกดีใจเพราะเราเห็น ผลงานของเรา ตอนเช้ายืนดูก็มีกำลังใจ เราไม่ต้องซื้อผักผลไม้ หรืออาหารจากตลาด ประหยัดรายจ่ายในครอบครัว ไม่ได้ซื้อ กิน มีเงินเหลือเก็บ ภูมิใจและมีความสุข ผ่อนคลายที่ได้เห็น ต้นไม้ที่ตัวเองปลูก ครอบครัวมีอยู่มีกิน ลดการทะเลาะกันใน ครอบครัว เพื่ออนาคตของลูกหลาน” ฉลาด ศรีคำภา เครือข่ายองค์กรชุมชนต้นน้ำพุง ต้นน้ำพุง มีเนื้อที่ประมาณ 150 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ตำบลโป่ง อำเภอด่านซ้าย จังหวัด เลย โดยสภาพภูมิประเทศ มีความลาดชันโดยเฉลี่ย ระหว่าง 25 – 35 องศา โดยร้อยละ 80 เป็นพื้นที่ภูเขา และร้อยละ 20 เป็นพื้นที่ราบลุ่มเชิงเขา ประชาชนส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เมื่อปี พ.ศ. 2560 และ พ.ศ.2561 ได้เกิดปัญหาข้าวไร่ลีบและข้าวไม่ออกรวง อันเนื่องมาจากการขาดน้ำและไม่ได้รับน้ำจาก น้ำฝนอย่างเพียงพอในช่วงระยะเวลาการตั้งท้อง ทำให้การผลิตข้าวไร่ในฤดูกาลผลิตดังกล่าวได้รับความ เสียหาย ผลผลิตต่อไร่ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของเกษตรกร ทำให้ปริมาณอาหารไม่เพียงพอใน การบริโภคในระดับครัวเรือน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ในพื้นที่ต้นน้ำ พุงถูกทำลายจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยว นอกจากนี้ประชาชนในพื้นที่ต้นน้ำพุง ยังพบปัญหาในการประกอบอาชีพที่สำคัญ ได้แก่ การเพิ่ม ต้นทุนการผลิต ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ขาดการเตรียมความพร้อมและปรับปรุงโครงสร้างการ ผลิต การเสื่อมโทรมของทรัพยากรดินซึ่งทำให้เกษตรกรต้องใช้ปุ๋ยและยาปราบศรัตรูพืชมากขึ้นทำ ปัญหา หนี้สินรายครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น การพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ให้มีแนวคิดและทักษะในการปรับปรุงระบบระบบ การผลิตและการสืบทอดการเป็นเกษตรกรในรุ่นต่อไป การรวมกลุ่มและการยกระดับการเรียนรู้เพื่อการ พัฒนาอาชีพ ดังนั้นเครือข่ายประชาสังคมเทือกเขาเพชรบูรณ์และเครือข่ายองค์กรชุมชนต้นน้ำพุง จึงได้ดำเนิน โครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายผู้หญิงและครอบครัวเพื่อการปรับตัวรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศพื้นที่ภูมินิเวศต้นน้ำพุง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิงและครอบครัวเพื่อการ ปรับตัวรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างรูปธรรมทางเลือกของผู้หญิงและครอบครัวใน
68 การปรับตัวรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้หญิงและครอบครัว ในการจัดการความรู้สู่การรณรงค์เผยแพร่และสื่อสารสาธารณะ โดยในการดำเนินการใช้แนวคิดการปรับตัวรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใน 3 ระดับ คือ 1) ปรับตัวด้านความรู้ (Knowledge) 2) การปรับตัวรับมือ (Adaptation) และ3) การปรับตัวโดยอาศัย ระบบนิเวศ (Ecosystem-based Adaptation หรือ EbA) คือการปรับตัวที่อาศัยการบริหารจัดการเชิงระบบ นิเวศ ที่คำนึงถึงความสัมพันธ์เชิงระบบ หรือองค์รวม จากการดำเนินงานทำให้เกิดการบริหารจัดการน้ำในระดับแปลงหรือระดับครอบครัวเพื่อการปรับตัว รับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของแปลงเกษตรกร จำนวน 55 ครอบครัว และมีแปลงต้นแบบ จำนวน 9 แปลง และมีการจัดการน้ำในแปลงเกษตร จำนวน 4 รูปแบบได้แก่ 1) ประปาภูเขาใช้ในพื้นที่ สูง จำนวน 8 คน 2) บ่อบาดาล จำนวน 4 คน 3) สระน้ำ จำนวน 5 คน และ 4) เหมืองฝายโบราณ จำนวน 3 คน และอีก 35 แปลง อยู่ในระหว่างการวางแผนและจัดการน้ำให้สอดคล้องกับบริบทของภูมิประเทศและ พืชที่ปลูก โดยการปรับใช้การจัดการทั้ง 4 รูปแบบ จะขึ้นอยู่กับบริบทและสภาพพื้นที่ของเกษตรกร โดยจะมี การแลกเปลี่ยนรู้และวางแผนการจัดการน้ำร่วมกัน รวมทั้งการเสริมหนุนการปลูกพืชที่เป็นอาหารเพื่อสร้าง ความมั้นคงทางอาหารให้กับครอบครัวของสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ ด้านองค์ความรู้ที่มีในพื้นที่ได้แก่ การ ใช้ไผ่ในการจัดการดินลดการพังทลาย ของตลิ่นของล าน ้าพุง การใช้ต่อยอด ทุเทียนด้วยการทาบกิ่งด้านข้าง การ ขยายพันธุ์พืชท้องถิ่น เช่น ดีปลากัง ไผ่ อิลอก ผักหวาน ผักขี้นาค ตะไคร้ ข่า เป็นต้น
69 “ปลูกทุเรียนเนื่องจากราคามันดี คนอื่นก็ไม่ปลูก มันน่าทำ เลยทดลองปลูก ปีแรกปลูกข้าวโพด ก่อน แซมด้วยทุเรียน พอทุเรียนออกผล ค่อยตัดข้าวโพดออก มีการปลูกข่า ตะไคร้ อิลอก บีกั้ง ผักหวาน ผักขี้นาค เงาะ แซมไปด้วย เพราะต้องแยกกับทุเรียน เพราะทุเรียนพุ่มใหญ่เหมือน พอเปลี่ยนจากข้าวโพดมาปลูก ทุเรียนแรก ๆ แม่บ้านไม่ว่าอย่างไร เพราะคุยกันกับเมียก่อนซื้อทุเรียนมาปลูก ขอพื้นที่แบ่งมาปลูกทุเรียน ครึ่งหนึ่ง ส่วนการขายช่วงแรกพวกพืชผักขายตามบ้าน ข้างทาง และมีคนสั่ง การทำข้าวโพดเราต้องลงทุนหมด แล้วพอขายก็ต้องเอาไปใช้หนี้ก่อน ถึงเหลือมาใช้ในครอบครัวบางคนก็ไปยืมเงินเพื่อมาใช้ แต่การปลูกทุเรียน และพืชผักได้ขาย มีเงินไม่ขาดกระเป๋า โดยไม่ต้องไปรับจ้าง สามารถหากินได้ในแปลง” เฉลิม แก้วแย้ม เครือข่ายองค์กรชุมชนต้นน้ำพุง เครือข่ายได้นำ ทุเรียน มาเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นในการทำเกษตรผสมผสาน โดยเกษตรกรให้ เหตุผลว่าราคาดี และชอบกิน ไม่ต้องซื้อเขากิน ปัจจุบันมีเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำพุงปลูกมากกว่า 50 ราย โดยการปลูกทุเรียนเริ่มแรกเป็นการปลูกแซมในแปลงข้าวโพด มีการปลูกอื่น ๆ เพื่อสร้างอาหารด้วย เช่น ข้าว ไร่ อีลอก ข่าตะไคร้ ผักหวาน ไผ่ ผักขี้นาค ปีปลากั้ง มะขาม เป็นต้น เพื่อสร้างแหล่งอาหารในแปลงเกษตร มีการจัดการน้ำในแปลงเพื่อลดความเสี่ยงของการเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งในการดำเนินงานต้องได้รับ ความยินยอมจากแม่บ้านหรือครอบครัว ซึ่งจะต้องช่วยกันดูแลและจัดการแปลงในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่าน ร่วมกัน และในการดำเนินงานได้มีการจัดกลุ่มเกษตรเพื่อทำการเพาะพันธุ์ทุเรียนและพืชท้องถิ่นต่างๆ เพื่อ แจกจ่ายให้กับเกษตรที่สนใจเข้าร่วมในการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชเชิงเดี่ยวสู่การทำเกษตรแบบผสมผสานเพื่อ ลดความเสี่ยงจากความเสียหายจากการเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศของต้นน้ำพุง
70 แนวไผ่ตามริมตลิ่ง เครดิตภาพ :จีระศกัดิ์ตรีเดช แนวทางการดำเนินงานนอนาคตของกลุ่ม คือ การจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน การเรียนรู้เรื่องการทำธุรกิจและการตลาด การทำ แผนการจัดการน้ำในแปลงที่เหลือ การขยายสมาชิกในพื้นที่ให้มากขึ้น และการแก้ไขปัญหาเรื่องตลิ่งพังทลายในพื้นที่ลำน้ำพุง เป็นต้น
71 5.2 กรณีตัวอย่างการปรับตัวด้านการผลิต “ไผ่ : เปลี่ยนวิธีคิดเพื่อคน และ ช้างป่า” “เราเรียกช้างป่าว่าเจ้าปู่ เพราะช้างป่า เป็นเจ้าของพื้นที่ เราเป็นเพียงผู้อาศัย เราต้อง เคารพและพึ่งพาอาศัยกัน การปรับเปลี่ยนการ ปลูกพืชที่เหมาะสมจะทำให้ไม่เกิดความเสียหาย ต่อทรัพย์สินหรือผลผลิตของชาวบ้าน การปลูก ไผ่ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ลดความเสียหายให้กับการ ปลูกพืช เพราะเจ้าปู่ไม่กินหมด กินแต่ใบไผ่ ความเสียหายไม่เยอะ” เหรียญทอง วิมาเนย์ ชุมชนพองหนีบเป็นหมู่บ้านหนึ่งในของตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ที่อยู่ติดกับเขต อุทยานแห่งชาติภูกระดึง มีจำนวนครัวเรือน 172 หลังคาเรือน ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำ การเกษตร ได้แก่ การปลูกมันสัมปะหลัง ข้าวโพดและอ้อยโรงงาน ช่วงหลายปีที่ผ่านมาชุมชนได้รับผลกระทบ จากช้างป่าที่ออกจากพื้นที่อนุรักษ์มาทำลายพืชผลทางการเกษตรในพื้นที่ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการปัจจัยสำคัญ คืออาหาร โดยเฉพาะการปลูกอ้อย ข้าวโพดและมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชที่ช้างชอบกิน รองลงมาคือ พื้นที่ป่า อนุรักษ์กับพื้นที่เกษตรอยู่ติดกัน และพื้นที่ป่าที่เชื่อมต่อกลายเป็นพื้นที่ทำการเกษตร ทำให้ช้างเดินทางจากป่า ภูค้อภูกระแต ข้ามไปยังเขตอุทยานแห่งชาติภูกระดึง โดยช่วงปี 2564-2565 มีเหตุการช้างเข้ามาในพื้นที่ทำ กินของชุมชน จำนวนมากกว่า 300 ครั้ง โดยชุมชนมีการผลักดันช้างให้เข้าป่าหรือไม่ให้เข้ามาทำลาย ผลผลิตทางการเกษตรด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น จุดปะทัด การยิงปืนขึ้นฟ้า การใช้เสียงของคนจำนวนมาก หรือ การบอกกล่าวเจ้าปู่ (ช้างป่า) ให้กินแต่เพียงน้อยและให้เหลือไว้ให้ลูกหลานได้กิน “เจ้าปู่เอ๋ยถ้าเข้ามากินข้าวกินของกะขอให้จ่งไว้ให้ลูกหลานได้อยู่ได้กินแต่เด้อ อย่ากินเบิ่ด แล้วกะ อย่าทำลายข้าว ทำลายของ ของลูกของหลานเด้อ”
72 โดยในชุมชนพองหนีบ มีเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการที่ช้างป่าจะเข้ามาทำรายพื้นที่เกษตร จำนวน 81 ราย และมีพื้นที่เกษตรที่ช้างป่าเข้าแปลงเกษตรจำนวน 9 ราย ดังนั้นเพื่อเป็นลดปัญหาเรื่อง คนกับช้างป่า ชุมชนจึงได้ดำเนินโครงการยกป่ามาไว้สวนชวนคนฟื้นฟูนิเวศป่าไม้ครอบครัว ภายใต้การ ดำเนินงานของเครือข่ายเกษตรกรรมธรรมชาติ อำเภอภูกระดึง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อ 1) เพื่อเสริมสร้าง กระบวนการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบความขัดแย้งของคนกับช้างป่าโดยกระบวนการมี ส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย 2) เพื่อสรรหาทางเลือกในการลดผลกระทบและความกดดันจากการใช้ทรัพยากร ป่าโดยการพัฒนาอาชีพ การสร้างเศรษฐกิจ รายได้ และการฟื้นฟูระบบนิเวศเกษตรกรรม และ 3) เพื่อบูรณา การความร่วมมือ การรณรงค์ เผยแพร่ การแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบจากช้างป่าต่อชุมชนท้องถิ่น สังคม และ สาธารณะ โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 40 คน โดยเป็นสมาชิกเติมจำนวน 16 คน และรายใหม่จำนวน 24 คน โดยมีการพัฒนาแปลงต้นแบบจำนวน 8 แปลง โดยแปลงต้นแบบจะเป็นการ ใช้ไผ่เป็นพีชนำและมีไม้ผลที่ช้างไม่ชอบ ส่วนการปลูกกล้วยให้ลดพื้นที่การปลูกกล้วยลงเนื่องจากช้างป่า ชอบ กินกล้วย ในแปลงต้นแบบจะมีการจัดการระบบน้ำโดยการทำบ่อบาดาลในลักษณะรายแปลง ในลักษณะการ ส่งเสริมการแบ่งพื้นที่มีความเสี่ยงของการที่ช้างจะเข้ามาในพื้นที่เกษตรออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ พื้นที่สีแดง พื้นที่สีส้มและพื้นที่สีเขียว โดยในการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชจะมีการส่งเสริมให้พื้นที่สีแดง ปรับเปลี่ยนหรือลดการปลูกพืขที่เป็นอาหารช้างป่าลง และเพิ่มการปลูกไผ่ซึ่งช้างกินแต่ความเสียหายจะไม่ มากและต้นไม้ที่ช้างไม่ชอบ เช่น มะขามเปรี้ยว ไม้สัก ไม้แดง ไม้ดู่ ไม้พยูง ยางนา มะค่า เป็นต้น โดยมีแปลง
73 ต้นในพื้นที่สีแดงจำนวน 6 แปลง ในพื้นที่สีส้มจำนวน 1 แปลง และพื้นที่สีเขียว จำนวน 1 แปลง มี เป้าหมายที่สำคัญคือการลดการรบกวนป่าให้น้อยที่สุด โดยใช้แนวคิด ยกป่ามาไว้สวน และสร้างรายได้ให้กับ เกษตรกร ซึ่งลักษณะการปรับเปลี่ยนการปลูกไผ่จะขึ้นอยู่กับแปลงเกษตรนั้น เช่น การปลูกเป็นแนวกันชน รอบแปลงเกษตร การปลูกรอบสระน้ำ หรือการปลูกสลับกับไม้ผล และการปลูกเป็นแปลงไผ่เต็มพื้นที่ ปัจจุบันชุมชนบ้านพองหนีบมีผลผลิตที่สำคัญคือหน่อไม้ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กลับเกษตรกรได้ แนวทางการดำเนินงานในอนาคตจะต้องมีการขยายสมาชิกให้มากขึ้นในพื้นที่ตำบลศรีฐาน และ สร้างความร่วมมือกับชุมชนที่อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอน้ำหนาวในการแก้ไขปัญหาเรื่องช้างป่า และการมีการแปร รูปผลผลิตที่ได้จากไผ่ เช่น หน่อไม้ หรือตัวลำไม้ไผ่ เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรในพื้นที่ รวมถึงการตั้ง กองทุนของชุมชนในการแก้ไขปัญหาเรื่องช้างป่า “ความสำเร็จที่เกิดขึ้นคือสมาชิกมีการ เปลี่ยนความคิดจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ลดการใช้ ป่าและลดความขัดแย้งจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ การ มีป่าอาหารไว้ในสวน มีหน่อไม้ได้ผลผลิต น้ำ บาดาลสามารถใช้ได้ในแปลงเกษตร ทำให้แนวคิด การปรับตัวเรื่องช้างป่า กับ คนเข้าใจกันสามารถอยู่ ร่วมกันได้ นอกจากนี้การปลูกไม้ยืนต้นเป็น เครื่องมือหนึ่งในการยืนยันสิทธิของชุมชนในพื้นที่ ป่าอนุรักษ์” จ๋อย เยาวชนชุมชนบ้านพองหนีบ
บรรณานุกรม โครงการ Small Grants. (2566). ยุทธศาสตร์ภูมิทัศน์เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการตั้งรับ ปรับตัวเชิงสังคม เศรษฐกิจและนิเวศ เทือกเขาเพชรบรูณ์ ประเทศไทย. [ออนไลน์]. ได้จาก https://www.gefsgpthailand.org/projects/phetchabun-mountains. [16 พฤษภาคม 2565]. นิวัติ อนงรักษ์. (2565). ปฐพีศาสตร์เบื้องต้น. [ออนไลน์]. ได้จาก https://slideplayer.in.th/slide/14903021/. [12 ธันวาคม 2565]. พูลศิริ ชูชีพ และ นวลปรางค์ ไชยตะขบ. (2565). สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร. [ออนไลน์]. ได้จาก http://www3.rdi.ku.ac.th/exhibition/50/plant/25_plant/25_plant.html#author [18 กรกฎาคม 2565]. รัตนะ สวามีชัย. (2559). การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม : ทรัพยากรดินและการใช้ ที่ดิน. รัฏฐาภิรักษ์. 58(1), 55-75. ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์. (2565). วัฏจักรน้ำ. [ออนไลน์]. ได้จาก http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere/water-cycle. [3 พฤศจิกายน 2565]. ศูนย์ภูมิอากาศ กองพัฒนาอุตุนิยมวิทยา กรมอุตุนิยมวิทยา. (2563). ความผันแปรและการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2563. [ออนไลน์]. ได้จาก https://www.tmd.go.th/programs//uploads/weatherclimate/climatechange_2563.pdf [18 กรกฎาคม 2565]. สำนักความหลากหลายทางชีวภาพ. (2556). สิ่งมีชีวิตในดิน. [ออนไลน์]. ได้จาก http://58.82.155.201/chm-thaiNew/chm/agricluture_ecosystem/ Status/arthopd.html?fbclid=IwAR3noshwWRgfgavwBpxbj-_0lXboWXFTCMiSz_shLUsNevx9PJbuvBrGyY. [10 มกราคม 2566]. สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (2561). แผนการปรับตัวต่อการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ. กรุงเทพฯ: กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (2566). สินค้าเกษตรในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ. [ออนไลน์]. ได้จาก https://mis-app.oae.go.th [15 มกราคม 2566]. สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 13. (2566). ภูเขาที่สำคัญในประเทศไทย. [ออนไลน์]. ได้ จาก https://reo13.mnre.go.th/th/news/detail/9541. [16 พฤษภาคม 2565]. สำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2565). การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ. [ออนไลน์]. ได้จาก http://www.onwr.go.th. [3 พฤศจิกายน 2565]. สุพรรษา วรินทร์. (2560). ดิน. [ออนไลน์]. ได้จาก https://www.kladee.com/basic/soil/. [10 พฤศจิกายน 2565]. อาทิตยา พองพรหม. (2561). ความรู้เบื้องต้นด้านนิเวศเกษตรเพื่อการประยุกต์ใช้ในระบบ เกษตรกรรมยังยืน. กรุงเทพฯ: สํานักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม. Altieri M.A. (2016). Developing and promoting agroecological innovations within country program strategies to address agroecosystem resilience in production landscapes: a
guide. United Nations Development Programme(UNDP). [Online]. http://foodfirst.org/wpcontent/uploads/2016/02/latest-version-guidance-note-GEF-SGP.pdf “คิดว่าเทือกเขาเพชรบูรณ์ยังมีประเด็นที่ยังต้อง ท างานสานต่ออีกโดยเฉพาะในเรื่องของการ ปรับเปลี่ยนภูมิอากาศภัยพิบัตินะคะ แล้วก็ในเรื่อง ของเกษตรนิเวศ ซึ่งมันเป็ นสิ่งที่ลิงค์กันแล้วก็ เชื่อมโยงกันสร้างผลกระทบให้ต่อกันเป็ นลูกโซ่ รวมทั้งถึงเรื่องของงานช้างป่ า รวมทั้งสัตว์ป่ าอื่นๆที่ อยู่ในพื้นที่คุ้มครองและนอกเขตพื้นที่คุ้มครองที่อยู่ ในบริเวณเทือกเขาเพชรบูรณ์ ก็เป็ นสิ่งที่ต้องได้รับ การดูแลอีกค่ะ” สุวิมลเสรี เผ่าวงษ์ ผู้ประสานงาน GEF SGP ประเทศไทย