แนวคิคิคิด คิ ด คิ ด คิ และหลัลัลักการ การประเมิมิมิน มิ น มิ น มิ ภาวะสุสุสุ สุ ข สุ ข สุ ขภาพ วิทวิยาลัยพยาบาลบรมราชชนีอุนีอุดรธานี เสนอโดย อาจารย์ชย์ลการ ทรงศรี รายวิชวิา การพยาบาลขั้นขั้พื้นพื้ฐาน 0118300209 ภาคเรียรีนที่ 1 ปีกปีารศึกษา 2566
เรื่อง แนวคิดและหลักการการประเมินภาวะสุขภาพ นางสาวพรรณวร ไชยยัง นางสาวพิชญาภา แซ่ซี นางสาวไพรินทร์ ปาโสรักษ์ นางสาวไพลิน นามวงษา นางสาวภัณฑิยา ชาวดง นางสาวภัทรประภา แสนงาม นางสาวภัทรวดี เนื่องโคตะ นางสาวภัทราพร เสริฐดิลก นางสาวภาชินี จันทะศรี นางสาวมนัสนันท์ อสุรินทร์ รหัสประจำ ตัว 65118301083 รหัสประจำ ตัว 65118301087 รหัสประจำ ตัว 65118301088 รหัสประจำ ตัว 65118301089 รหัสประจำ ตัว 65118301090 รหัสประจำ ตัว 65118301091 รหัสประจำ ตัว 65118301093 รหัสประจำ ตัว 65118301095 รหัสประจำ ตัว 65118301096 รหัสประจำ ตัว 65118301097 จัดทำ โดย เสนอ อาจารย์ชลการ ทรงศรี นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 2 ห้อง B รายวิชา การพยาบาลขั้นพื้นฐาน 0118300209 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566
คำ นำ 1.1 แนวคิดและหลักการการประเมินภาวะสุขภาพ 1.2 บทบาทของพยาบาลในการประเมินภาวะ สุขภาพ(Healthy Assessment) 1.การซักประวัติ 2.การตรวจร่างกาย 1) ระบบ HEENT 2) ระบบหายใจ 3) ระบบหัวใจและหลอดเลือด 4) ระบบทางเดินอาหารและการขับถ่าย 5) ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง 6) ระบบประสาท อ้างอิง สารบัญ หน้า 1 2-3 4-9 10-11 12 12-18 19-22 23-28 9 10 11 12
รายงาน(E-Book)ฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการ พยาบาลขั้นพื้นฐาน (fundamentals of nursing) 0118300209 นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 2 โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้จัดทำ ได้ฝึกการศึกษาค้นคว้าและ นำ สิ่งที่ได้จากการศึกษาค้นคว้ามาสร้างเป็นชิ้นงานเก็บไว้เป็น ประโยชน์ต่อการเรียนการสอนของตนเองและผู้ที่สนใจ ทั้งนี้ เนื้อหาได้รวบรวมมาจากเอกสารการเรียนและจาก หนังสือคู่มือการเรียนอีกหลายเล่ม ขอขอบพระคุณอาจารย์ชลการ ทรงศรี อย่างสูงที่กรุณาให้ความรู้และคำ แนะนำ เกี่ยวกับเนื้อหา ผู้จัด ทำ หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้ที่นำ ไปใช้ ประโยชน์ให้เกิดผลตามความคาดหวังต่อไป คำ นำ คณะผู้จัดทำ
แนวคิดและหลักการ การประเมินภาวะสุขภาพ การประเมินภาวะสุขภาพ เป็นการรวบรวมข้อมูลของผู้รับบริการ โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นกระบวนการแรกในกระบวนการพยาบาลที่สําคัญ เพื่อจะนําไปสู่การ การวินิจฉัย ปัญหา และการวางแผน การปฏิบัติ และการประเมินผลต่อไป พยาบาลจําเป็นจะต้องมีความรู้ และทักษะในการซัก ประวัติ การตรวจร่างกาย เพื่อให้ได้ข้อมูลภาวะสุขภาพที่ถูกต้องมากท่ีสุด สุขภาพ (Health) คือภาวะที่มีความสมบูรณ์ของร่างกาย จิตใจ และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมี ความสุข มิใช่เพียงแต่ปราศจากโรคและความพิการเท่านั้น แนวคิดเกี่ยวกับภาวะสุขภาพ หลักการประเมินภาวะสุขภาพแบบองค์รวม สุขภาพองค์รวม (Holistic health) การพยาบาลมีหน้าที่ให้บริการกับคนในเรื่อง สุขภาพ ดังนั้น การมองคน และสุขภาพในลักษณะองค์รวม จึงเป็นข้อบ่งชี้ของการพยาบาลแบบองค์รวม และการพยาบาล แบบองค์รวมเป็นหัวใจ สําคัญของศาสตร์ทางการพยาบาล คําว่าองค์รวม “Holism” หมายถึง ความเป็น จริงทั้งหมด ความสมบูรณ์ทั้งหมด การพยาบาลบุคคลแบบองค์รวม คือ การดูแลบุคคลที่บูรณาการวิธีการ ที่จะคงความสมดุลของร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ โดยการดูแลนั้นจะต้องคํานึงถึงความแตกต่าง ของแต่ละบุคคลที่มีจุดมุ่งหมายของชีวิต ความรู้ ความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม สภาพสังคมและเศรษฐกิจ ที่แตกต่างกันไป สุขภาพองค์รวม (Holistic health) หมายถึง ภาวะที่บุคคลมีความสามารถในการทํา หน้าที่ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณโดยเชื่อมโยงกัน เป็นองค์รวมอย่างสมดุล และดํารงชีวิต อยู่ได้อย่างผาสุก มิได้จํากัดเพียงปราศจากโรคหรือความพิการท่านั้น
เป็นการตรวจสุขภาพโดยทั่วไปได้แก่การชั่งน้ําหนักการวัดส่วนสูงการวัด สัญญาณชีพ การตรวจร่างกายตามระบบ โดย การดู ฟัง เคาะ คลํา และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยปกติก็จะมี การตรวจเลือด เช่น การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count :CBC) การตรวจการทํางาน ของตับ (Liver function test: LFT) การตรวจปัสสาวะ (Urine analysis: UA) เป็นต้น เป็นการประเมินสภาพจิตใจ อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ โดยการสังเกต สัมภาษณ์ และการตรวจส่วนต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยทักษะ ในการสร้างสัมพันธภาพ การสื่อสาร เพื่อให้เกิดความรู้สึกไว้วางใจ อาจแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การประเมินสุขภาพ ประกอบด้วย การซักประวัติ การตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติ การ การประเมินสุขภาพแบบองค์รวม เป็นการประเมินภาวะสุขภาพของบุคคลทั้งด้านสุขภาพ ทางกาย จิต สังคมและจิตวิญญาณ โดยคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การประเมิน สุขภาพทางกาย และการประเมินสุขภาพทางจิตสังคมและจิตวิญญาณ ดังนี้ หลักการประเมินภาวะสุขภาพแบบองค์รวม 1. การประเมินสุขภาพทางกาย 2. การประเมินสุขภาพทางจิตสังคม และจิตวิญญาณ 2.1 การประเมินด้านจิตสังคม(Psychosocialassessment) เป็นการประเมินสุขภาพด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคม อาจ ประเมินได้จากการสัมภาษณ์ การสังเกตพฤติกรรม ได้แก่ การ แสดงออกทางสีหน้าท่าทาง การ เคลื่อนไหว และอาการแสดง อื่นๆ เช่น ยิ้มแย้มแจ่มใส ร้องไห้ ลุกลี้ลุกลน หงุดหงิดง่าย เป็นต้น และการประเมินดา้นสังคมเป็นการประเมินผลกระทบทาง จิตที่เกี่ยวข้องกับสังคม เช่น อัตมโนทัศน์ การรับรู้ตนเองทั้งทาง ด้านร่างกาย ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง สัมพันธภาพระหว่าง บุคคล ประเมินความสามารถเข้ากันได้ดี ความไว้วางใจ ความ คาดหวังและ ความสามารถพึ่งตนเองและผู้อื่น อิทธิพลจาก วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมซึ่งมีผลต่อสุขภาพ 2.2 การประเมินสุขภาพทางจิตสังคมและจิตวิญญาณ (Spiritualassessment) การประเมินสุขภาพ ด้านจิตวิญญาณ เป็นการประเมินลักษณะ ภายในที่มีผลต่อการแสดงออก ได้แก่ ความเชื่อ ค่านิยม ความมั่นคงทาง ศาสนา คุณธรรม ความศรัทธา ความเชื่อมั่น ในคุณงามความดี การเผชิญปัญหา วิธีการหรือแนวทางที่ใช้ แก้ปัญหาเมื่อมีความเครียด ความเข้าใจเกี่ยวกับความเจ็บป่วย และผลกระทบที่เกิดจากความเจ็บป่วย เช่น เมื่อเจ็บป่วยครั้งนี้ ทําให้ต้องลาออกจากงานรายได้ลดลงบุคลิกภาพการเปลี่ยนแปลง สําคัญในชวีิตที่อาจทําให้เกิดความเครียด
ให้การพยาบาลบนพื้นฐานความรู้ที่ถูกต้อง หลัก ลั การการพยาบาล เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รู้เข้าใจผู้รับบริการ อย่างถ่องเท้แบบองค์รวม กาย จิตสังคม ใช้กระบวนการพยาบาลเป็นเครื่องมือทุกขั้นตอน ปฏิบัติการพยาบาลด้วยใจ humanize care สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจนตรงประเด็น ทำ งานเป็นทีมกับทีมสุขภาพ แหล่งประโยชน์ ทำ งานดูแลช่วยเหลือผู้รับบริการตามบทบาท และขอบเขตของกฎหมาย ปฏิบัติการพยาบาลด้วยคุณธรรม จริยธรรม ตามจรรยาบรรณวิชาชีพ
เป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการพยาบาลที่ ทำ ให้เกิดการให้บริการและการบันทึกข้อมูล ทางการพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การประเมินภาวะสุขภาพของผู้ใช้บริการจะอยู่ บนพื้นฐานกรอบแนวคิดของสรีรวิทยา พยาธิวิทยา จิตวิทยาและการปรับตัวทาง สังคม' ดังนั้นการประเมินสุขภาพจึงเป็นทักษะ พื้นฐานที่ช่วยให้พยาบาลสามารถวางแผน และแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้ใช้บริการได้ อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ การประเมินภาวะสุขภาพ บทบาทของพยาบาลในการ ประเมินภาวะสุขภาพ (Health Assessment) การประเมินสุขภาพ กระบวนการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ ของผู้ป่วยอย่างเป็นระบบและกระทำ อย่างต่อ เนื่องโดยพยาบาลจะมีการรวบรวมข้อมูล หลายวิธี ได้แก่ การซักประวัติความเจ็บป่วย และความต้องการแบบองค์รวม การตรวจ ร่างกายและการตรวจทางห้องปฏิบัติการและ ตรวจพิเศษต่าง ๆ
1.1 ทุกขั้นตอนของกระบวนการพยาบาลต้อง อาศัยความถูกต้องและความเที่ยงตรงของการประเมินภาวะ สุขภาพ หากประเมินสุขภาพได้ถูกต้อง ย่อมจะส่งผลให้ พยาบาลสามารถช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาของผู้ป่วยได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสม 1.2. การประเมินภาวะสุขภาพเป็นขั้นตอนแรกที่ใช้ความคิด อย่างมีวิจารณญาณเพื่อวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพของผู้ป่วย ซึ่งจะ นำ ไปสู่การวินิจฉัยและการวางแผนการพยาบาลเพื่อช่วยหลือผู้ ป่วยได้อย่างถูกต้อง 1.3. ข้อมูลที่รวบรวมได้จากการประเมินภาวะสุขภาพเป็นข้อมูล พื้นฐานเกี่ยวกับการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการเอาใจใส่ สุขภาพและความสามารถในการจัดการความต้องการการดูแล สุขภาพตนเองของผู้ป่วย ซึ่งจะใช้เป็นประโยชน์ สำ หรับการกำ หนดเกณฑ์การประเมินผลและการวางแผน การพยาบาลอย่างเป็นเอกกัตบุคคลแบบองค์รวมโดย ครอบคลุมความต้องการของผู้ป่วยทั้งต้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ (Health Assessment) ความสำ คัญและวัตถุประสงค์ของการประเมิน สุขภาพการประเมินภาวะสุขภาพ หมายถึง การรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบและอย่าง ต่อเนื่องเพื่อตัดสินภาวะสุขภาพของผู้ป่วย ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นแล้ว หรือมีแนวโน้ม จะเกิดปัญหาสุขภาพ 3 ข้อมูลที่รวบรวมได้จึง มีความสำ คัญหลายประการดังนี้ 1. ความสำ คัญของการประเมินสุขภาพ การประเมินภาวะสุขภาพเป็นขั้นตอนแรกและ มีความสำ คัญมากที่สุดของกระบวนการพยาบาล
(Health Assessment) 2.3. เพื่อกำ หนดปัญหาสุขภาพของผู้ป่วย และปัจจัยที่ทำ ให้มีภาวะเสียงด้านสุขภาพ เช่น มีปัญหา สุขภาพเกี่ยวกับการได้รับสารอาหารจากปัจจัยอะไร อาจมา จากปัจจัยเสี่ยง อาทิ คลื่นไส้ อาเจียน หรือกลืนอาหารลำ บาก เป็นต้นจะเห็นว่า การประเมินสุขภาพเป็นกิจกรรมการ พยาบาลพื้นฐานที่สำ คัญอันดับแรกของพยาบาลในการช่วย เหลือและแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้ป่วย หากมีการดำ เนิน การถูกต้อง และครอบคลุมความต้องการของผู้ป่วยย่อมจะส่ง ผลดีต่อการให้การพยาบาลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพและการ ฟื้นสภาพของผู้ป่วย ทั้งนี้การประเมินสุขภาพเพื่อให้ได้ ข้อมูลที่ถูกต้องจากผู้ป่วยมีหลายวิธี ดังจะกล่าวต่อไปนี้ ประเภทของการประเมินสุขภาพเพื่อการวินิจฉัยการพยาบาล อย่างมีคุณภาพ 2. วัตถุประสงค์ของการประเมินสุขภาพการประเมินภาวะ สุขภาพมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 2.1. เพื่อรวบรวมข้อมูลที่สอดคล้องกับภาวะ สุขภาพของผู้ป่วยไม่ว่าจะเป็นภาวะสุขภาพด้านร่างกายจิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ 2.2. เพื่อจำ แนกสิงที่ได้จากการประเมินสุขภาพโดยการ รวบรวมข้อมูลมาจากหลายวิธีว่า มีความผิดปกติหรือเบียงเบน จากภาวะปกติหรือไม่ เช่น รับประทานอาหารต่อมื้อได้เท่าไร น้ำ หนักลดลงภายใน 3 เดือนมากน้อยเท่าไร ขับถ่ายเป็นปกติ หรือไม่ เป็นต้น
(Health Assessment) การประเมินสุขภาพเพื่อให้วินิจฉัยการพยาบาล ได้อย่างถูกต้อง พยาบาลจะมีการดำ เนินการประเมินสุขภาพ แบ่งเป็น 2 ประเภท" มีรายละเอียดดังนี้ 1. การประเมินอย่างสมบูรณ์ (Comprehensive assessment) เป็นการประเมินสุขภาพของผู้ป่วยที่ได้รับ การรักษาในโรงพยาบาล (Admission assessment) มีการเก็บ รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยทุกระบบจากศีรษะจรดเท้าและ แบบองค์รวมอย่างครบถ้วน ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ข้อมูล พื้นฐานของผู้ป่วยสำ หรับใช้ประเมินติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย 2. การประเมินอย่างเจาะจง (Focused assessment) เป็นการประเมินสุขภาพที่เน้นการค้นหาปัญหาสุขภาพ ของผู้ป่วยเป็นหลัก (Problem-oriented) หรือปัญหา สุขภาพแบบเฉพาะเจาะจง โดยใช้หลักของการประเมิน แบบต่อเนื่องเพื่อติดตามอากการหรือประเมินความก้าวหน้า ของผู้ป่วยขอบเขตการประเมินสุขภาพแคบกว่าการประเมิน อย่างสมบูรณ์ ใช้ใน 2 กรณี ดังนี้ 2.1. การประเมินผู้ปวยระยะแรก (Initial assessment) เป็นการประเมินสุขภาพโดยการซักประวัติ ความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องความเจ็บปวยที่ทำ ให้ผู้ป่วยมาตรวจ ที่โรงพยาบาลในแผนกผู้ป่วยนอกหรือแผนกที่รับผู้ป่วย รักษาตัวระยะสั้น อาจจะเป็นเวลา 4 - 6 ชั่วโมงหรือไม่ถึง 24 ชั่วโมง 2.2. การประเมินระยะต่อเนื่องหรือการประเมิน ภายในเวร (Ongoing assessment or shift assessment) เป็นการประเมินสุขภาพของผู้ป่วยในช่วงที่ผู้ป่วยได้รับการ รักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 24 ชั่วโมงเป็นต้นไปทุกเวร จนกว่าจำ หน่าย แบ่งเป็น ระยะแรกของการขึ้นเวร (Initial shift assessment) และระหว่างการดูแลผู้ป่วย อาจประเมิน ทุก 2 4 ชั่วโมงทั้งนี้ขึ้นกับอาการของผู้ป่วย และช่วงปลายเวร
การประเมินสุขภาพของผู้ป่วย พยาบาลวิชาชีพจำ เป็น ต้องต้องมีทักษะในการประเมินสุขภาพของผู้ป่วย 5 ประการ ได้แก่ ทักษะด้านปัญญา (Cognitive skill) ทักษะการแก้ ปัญหา (Problem-solving skill) ทักษะด้านการปฏิบัติ (Psychomotor skill) ทักษะด้านความรู้สึก/ระหว่างบุคคล (Affective/ interpersonal skill) และทักษะด้านจริยธรรม (Ethical skill) 1. ทักษะด้านปัญญา (Cognitive skill) เป็นทักษะ ด้านกระบวนการคิดซึ่งจำ เป็นสำ หรับการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการตัดสินใจทางคลินิกบนพื้นฐานความรู้เชิงทฤษฎีทั้งด้านชีว กายภาพพัฒนาการ วัฒนธรรมจิตสังคม และจิตวิญญาณ เพื่อให้ สามารถประเมินผู้ป่วยแบบองค์รวมได้ 2. ทักษะการแก้ปัญหา (Problem-solving skill) เป็นทักษะสำ คัญอีกประการที่ใช้ในการประเมินสุขภาพผู้ป่วย มีหลายวิธีซึ่งพยาบาลสามารถเลือกใช้ตามสถานการณ์ (Health Assessment) ทักษะสำ คัญของการประเมินสุขภาพของผู้ป่วย 3. ทักษะด้านการปฏิบัติ (Psychomotor skill) เป็นทักษะการตรวจร่างกาย 4 ทักษะ ได้แก่ การสังเกต การฟัง การเคาะ และการคลำ หากมีทักษะการตรวจร่างกายดี ก็จะ ทำ ให้เกิดความมั่นใจในการแปลผลจากการใช้ข้อมูลจากการ ตรวจร่างกายไปประกอบกับการสัมภาษณ์ผู้ป่วยหรือญาติได้ 4. ทักษะด้านความรู้สึก/ระหว่างบุคคล (Affective/ interpersonal skill) ทักษะด้านความรู้สึกเป็นทักษะสำ คัญ สำ หรับการใช้ศิลปะทางการพยาบาล โดยเฉพาะการการพัฒนา ความเอื้ออาทร (Caring) และการสร้างสัมพันธภาพระหว่าง พยาบาลกับผู้ป่วยเชิงบำ บัด (Therapeutic nurse-patient relationship) ส่วนทักษะระหว่างบุคคลเป็นทักษะที่ต้องใช้ ทักษะการสื่อสารทั้งที่เป็นวัจนะและอวัจนะ (Verbal communication skills)
(Health Assessment) ขั้นตอนของการประเมินสุขภาพสู่การวินิจฉัย การพยาบาลที่มีคุณภาพการประเมินภาวะ สุขภาพจะประกอบด้วยขั้นตอนย่อย 4 ขั้น ตอน ได้แก่ การรวบรวมข้อมูล การตรวจ สอบข้อมูลการจัดกลุ่มข้อมูล และการบันทึก ข้อมูล ดังนี้ ขั้นตอนของการประเมินสุขภาพสู่การวินิจฉัยการพยาบาล 1. การรวบรวมข้อมูล (Collecting the data) เป็นการเก็บรวมรวมข้อมูลของผู้ป่วยแบบองค์รวมทั้งด้าน ร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ ตั้งแต่แรกรับรักษาไว้ ในโรงพยาบาลและตลอดระยะเวลาที่อยู่ในความดูแลของ พยาบาลของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง การตรวจร่างกายข้อมูลที่รวบรวมได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) ข้อมูลอัตนัย (Subjective data) 2) ข้อมูลปรนัย (Objectivedata) 2. การตรวงสอบข้อมูล (Validating the data) ควรตรวจสอบข้อมูลที่รวบรวมได้ว่า มีความถูกต้องและ เป็นจริงหรือไม่ อย่างไร การตรวจสอบทำ ได้หลายวิธี 3. การจัดกลุ่มข้อมูล (Organizing or clustering the data) เป็นการนำ ข้อมูลที่รวบรวมได้และผ่านการตรวจสอบแล้วมาแยกเป็นกลุ่มๆ 4. การบันทึกข้อมูล (Recording the data) จะมีการบันทึกข้อมูลในแบบประเมินสุขภาพภายหลังรวบรวม ตรวจสอบ และจัดกลุ่มข้อมูล
ประวัติที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ ณ์ ผู้ป่วป่ยจะใช้เป็นข้อมูลในการวินิจฉัยโรค โรคที่พบเห็นในชีวิตประจำ วันสามารถวินิจฉัยได้จากข้อมูลการซักประวัติ ผู้ให้ประวัติที่ดีที่สุดคือ ตัวผู้ป่วป่ย แต่กรณีผู้ป่วป่ยไม่สามรถให้ข้อมูลได้ เช่น ผู้ป่วป่ยไม่รู้สึกตัวหรือเด็กเล็กอาจสอบถามจากบุคคลใกล้ชิดโดย ต้องระบุว่าใครเป็นผู้ให้ประวัติเกี่ยวข้องกับผู้ป่วป่ยอย่างไร การซักประวัติควรสอบถามข้อมูลต่อไปนี้ □ □ □ □ □ □ □ ประวัติการเจ็บป่วป่ยในอดีต (Past history) การเจ็บป่วป่ยในครอบครัว (Family history) การเจ็บป่วป่ยส่วนตัว (Personal history) ทบทวนอาการตามระบบอวัยวะ (Review of systems) การซักประวัติ (History taking) รายละเอียดทั่วไป (Introductory) อาการสำ คัญ (chief complaint) ประวัติการเจ็บป่วป่ยปัจจุบัน (Present illness)
1.รายละเอียดทั่วไป (Introductory) การซักประวัติ (History taking) ประกอบด้วย ชื่อ-สกลุ เพศอายุ วันเดือนปีเกิด เชื่อชาติ สัญชาติ ศาสนา สถานภาพสมรส ที่อยู่ อาชีพ การศึกษา 2.อาการสำ คัญ (chief complaint) เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วป่ยมารพ.อาจ มีเพียงอาการเดียวหรือหลาย อาการร่วมกันและต้องระบุระยะ เวลาของอาการที่เป็นให้ชัดเจน 3.ประวัติการเจ็บป่วป่ยปัจจุบัน (Present illness) เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการ เจ็บป่วป่ยตั้งแต่มีอาการผิดปกติ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นเรื่อยมาถึง ปัจจุบัน 4.ประวัติการเจ็บป่วป่ยในอดีต (Past history) การเจ็บป่วป่ยครั้งก่อนๆของผู้ ป่วป่ยตั้งแต่เกิดจนสุดท้ายก่อนการ เจ็บป่วป่ยในปัจจุบัน เช่น การผ่าตัด การเกิดอุบัติเหตุ โรคที่เคยเป็น 5.การเจ็บป่วป่ยในครอบครัว (Family history) การผิดปกติทางสุขภาพของ บุคคลในครอบครัว เช่น -โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม -โรคติดต่อจากความใกล้ชิด 6.การเจ็บป่วป่ยส่วนตัว (Personal history) ข้อมูลเกี่ยวกับการดำ รงชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้ป่วป่ย เช่น การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ และการ ใช้ยาเสพติด ประวัติประจำ เดือน 7.ทบทวนอาการตามระบบอวัยวะ (Review of systems) ประวัติเกี่ยวกับความผิดปกติ ในระบบอัวัยวะต่างๆ นอกเหนือ จากอาการที่ได้ซักไว้ในประวัติใน ปัจจุบัน
การตรวจศรีษะใช้เทคนิคการดูและการคลำ การคลำ ผู้ตรวจยืนด้านหน้าน้ของผู้ใช้บริการใช้ปลายนิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนาง คลำ เบาๆ ให้ทั่วศรีษะให้ทั่วศรีษะ โดยเริ่มจากด้านหน้าน้ใบไปจนถึงท้ายทอย อาจคลำ ต่อม น้ำ เหลืองบริเวณท้ายทอยด้วย ในเด็กควรคลำ ดูรอยต่อของกระดูกกะโหลกศรีษะ ว่าแยกห่างจากกันหรือเกยซ้อนกันหรือไม่ กระหม่อนยุบลงไปหรือไม่ ปกติจะคลำ ไม่พบต่อมน้ำ เหลือง การตรวจร่างกาย HEENT การดู ศรีษะ : ดูรูปร่างขนาดและลักษณะความสมมาตรของศรีษะ ปกติศรีษะจะต้องสมมาตรส่วนขนาดจะผันแปลตามวัยเส้นผมต้องไม่แห้ง กรอบหรือขาดง่ายหากพบอาจบอกถึงภาวะทุพโภชนาการ การติดเชื้อราบน หนังศรีษะจะพบการหลุดร่วงเป็นหย่อมๆของเส้นผม หนังศรีษะมีขุยหรือรังแค หนังศรีษะ : ดูการอักเสบ เป็นแผล รังแค ก้อน หรือสิ่งผิดปกติอื่นๆ ผม : ดูการกระจายของเส้นผมดูลักษณะว่า แตกแห้ง กรอบ ขาดร่วง หรือเป็นมัน มีเหา หรือไม่
การตรวจตาใช้เทคนิคการดูและการคลำ คิ้ว : ดูการกระจายตัวของขนคิ้ว ผิวหนังบริเวณคิ้วว่าอักเสบเป็นขุยหรือไม่ ลูกตา : ดูตำ แหน่งของลูกตาและเปลือกตา ดูความชุ่มชื้นดูความนูนการ คลำ ลูกตาเพื่อประเมินความนุ่มนุ่โดยให้คนไข้หลับตาผู้ตรวจใช้ปลายนิ้วชี้และ นิ้วกลางคลำ เหนือเปลือกตาทั้งสองข้างสังเกตความนุ่มนุ่แข็ง ปกติจะนุ่มนุ่ถ้า สัมผัสแล้วแข็งบ่งบอกถึงภาวะความดันในลูกตาสูง หนังตา : ดูว่าหนังตาบวมช้ำ เป็นก้อนหรือตุ่มหนองหรือไม่สังเกตการดึงรั้ง ของหนังตาเปลือกตาตกหรือไม่ ถ้าพบอาจมีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อลูกตา oculomutor nerve หรือ facial nerve เสีย ขนตา : สังเกตว่ามีการม้วนเข้าข้างในหรือไม่ ถุงน้ำ ตาและท่อน้ำ ตา : ดูว่ามีตาไหลตลอดเวลามีสิ่งคัดหลั่งไหลทางท่อ น้ำ ตาหรือไม่ สังเกตการบามของถุงน้ำ ตาบริเวณหางตาคลำ โดยใช้นิ้วหัวแม่ มือกดเบาๆที่หัวตาและข้างดั้งจมูกแล้วสังเกตว่ามีสิ่งคัดหลั่งไหลทางท่อน้ำ ตา หรือไม่ ตาขาว และเยื่อบุตา : ตรวจด้านบน โดยตรวจใช้นิ้วหัวแม่มือวางบนเปลือก ตาบนแล้วดึงขึ้น ให้คนไข้เหลือบมองปลายเท้า ตรวจด้านล่าง ผู้ตรวจวางนิ้ว หัวแม่มือบนเปลือกตาล่าง แล้วดึงลงให้คนไข้เหลือบมองขึ้นข้างบน แล้วกลอก ตามองซ้ายขวา สังเกตตาขาว เยื่อบุตา กระจกตา : โดยให้คนไข้มองตรง ผู้ตรวจใช้ไฟฉายส่องด้านข้าง แล้วมอง กระจกตาทางด้านหน้าน้สังเกตควาใสและรอยขีดข่วนบนกระจก การตรวจร่างกาย HEENT
การตรวจจมูกและโพรงไซนัส ใช้เทคนิคการดู การคลำ หรือการเคาะ การคลํา หรือเคาะ การตรวจร่างกาย HEENT โพรงไซนัสที่สามารถตรวจจากภายนอกได้ คือ frontal sinus อยู่บริเวณหัว คิ้วทั้งสองข้างและ maxillary sinus อยู่บริเวณปีกจมูก ผู้ตรวจใช้นิ้วหัวแม่มือ กดหรือใช้นิ้วเคาะบริเวณโพรงไซนัส ดังกล่าว เพื่อประเมินอาการเจ็บปวด ดูรูปร่างลักษณะภายนอกว่าบิดเบี้ยวหรือไม่ ดูปีกจมูกว่าอักเสบบวมแดง หรือไม่ ดูภายในรูจมูก โดยให้คนไข้เงยหน้าน้ขึ้น ผู้ตรวจใช้นิ้วหัวแม่มือข้างที่ ไม่ถนัดแตะที่ ยอดจมูก แล้วดันขึ้น หรือใช้เครื่องถ่างจมูก ถ่างให้เห็นภายใน ช่องจมูกได้ชัดเจนขึ้นช้มือข้างที่ถนัดถือไฟฉาย หรือ otoscope ส่องเข้าไปใน รูจมูก สังเกตดูเยื่อบุจมูกว่าบวมแดง มีสิ่งคัดหลั่งผิดปกติหรือไม่ เช่น น้ํามูก หนอง เลือดกําเดา สังเกตผนังกั้นจมูกว่าบิดเบี้ยว มีเนื้องอกหรือไม่ ปกติเยื่อบุจมูกเป็นสีชมพู อาจมีสิ่งคัดหลั่งที่มีลักษณะใส การดู
การตรวจคอใช้เทคนิคการดูและการคลำ การคลำ การตรวจร่างกาย HEENT คลําตั้งแต่กระดูกคอ จนถึงใต้คาง และหลอดลมว่าผิดปกติหรือไม่ เช่น มีก้อนหรือกดเจ็บหรือไม่ การดู ดูลักษณะผิวหนังของคอว่ามีผื่น บาดแผล บวมหรือมีก้อนเนื้อ หรือไม่ สังเกตหลอดเลือดบริเวณคอว่าโป่งป่นูน หรือไม่ สังเกตการทํางานของกล้ามเนื้อ sternocleidomasto สังเกตการทํางานของกล้ามเนื้อ sternocleidomastoid โดยให้คนไข้ก้มหน้าน้เอาคางชิดอก และเอียงศีรษะ หันหน้าน้ซ้ายขวา สังเกตว่า มีอาการคอแข็งเกร็งหรือเจ็บปวดขณะทําหรือไม่ ดูก้อนนูนบริเวณลําคอ เช่น บริเวณต่อมไทรอยด์ ต่อมน้ําเหลืองที่คอ ต่อมน้ําลายว่าบวมโตหรือไม่
การตรวจปาก และช่องปากใช้เทคนิคการดู การดู ให้คนไข้เงยหน้าน้อ้าปากเข้าหาแสงไฟโดยใช้ไม้กดลิ้นและไฟฉายส่อง ริมฝีปาก : สังเกตดูสี ความชุ่มชื้น บาดแผล ตุ่ม บวมหรือไม่ ปกติริมฝีปากเป็นสีชมพู มีความชุ่มชื้น เหงือกและฟัน : ดูสี อาการบวม บาดแผล การหดร่นของเหงือกเลือดออก ว่ามีหรือไม่ สังเกตดูฟัน ว่ามีกี่ซี่ มีฟันผุ ฟันโยก ฟันปลอม มีหินปูนเกาะหรือไม่ เพดานปาก : ดูสี รูโหว่ของเพดานมีกระดูกงอกหรือไม่ ลิ้น : ดูขนาด อาการบวม เนื้องอก ดูลักษณะว่ามีลิ้นเลี่ยนไม่มีปุ่มปุ่รับรส ซึ่งพบในผู้ที่ขาดธาตุเหล็ก ลิ้นเป็นแผนที่จะพบในเด็กที่เป็นภูมิแพ้ สังเกตว่าเป็น ฝ้าฝ้ขาวหรือไม่ ทอลซิล และผนังคอ : ให้คนไข้เงยหน้าน้และอ้าปากผู้ตรวจใช้ไฟฉายส่องดู และใช้ไม้กดลิ้นช่วยโดยกดไม้กดลิ้นตรงกลางใกล้โคนลิ้นหรือประมาณ 1/3 จากโคนลิ้นไม่ต้องให้แลบลิ้น ให้สังเกตดูว่าทอลซิลโตหรือไม่ การตรวจร่างกาย HEENT
การตรวจใบหน้าใช้เทคนิคการดูและการคลำ การดู สังเกตความสมมาตรของใบหน้าน้ความสมดุลของอวัยวะบนใบหน้าน้ได้แก่ ตา จมูก ปาก ลักษณะของผิวหน้าน้อาการบวมรอย โรคตุ่ม ผื่น การแสดงออกของ ใบหน้าน้สังเกตร่องแก้ม ปกติใบหน้าน้ทั้งสองด้านจะสมมาตรกัน ไม่บิดเบี้ยว สีหน้าน้จะตามเชื้อชาติ ใบหน้าน้ไม่บวม ร่องแก้มจะเป็นร่องลึกเท่ากันทั้งสองข้างหากไม่เท่ากันแสดงถึงการ อัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้าน้ในด้านตรงข้ามกับด้านที่ถูกดึงรั้งขึ้นทดสอบด้วยกัน ให้ผู้ใช้บริการยิ้มหรือยิงฟัน ภาวะผิดปกติเช่นใบหน้าน้มีรูปร่างกลมที่เรียกว่า moon face จะมีลักษณะแก้ม ป่อป่งผิวหน้าน้แดงพบในผู้ป่วป่ยที่ใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานานหรือพบผื่นแดงบริเวณ ข้างปีกจมูกทั้งสองที่เรียกว่า malar rash หรือเรียกตามรูปร่างที่คล้ายปีกผีเสื้อว่า butterfly rash พบในผู้ป่วป่ยโรค Systemic lupus Erythematosus การคลำ การตรวจร่างกาย HEENT คลำ หาตำ แหน่งหรือก้อนบนหน้าน้และคลำ เพื่อตรวจความแข็งแรงของกล้าม เนื้อที่ใช้เคี้ยวอาหาร ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อมัดใหญ่ 3 มัดประกอบด้วย 1) กล้ามเนื้อ temporalis 2) กล้ามเนื้อ massector 3) กล้ามเนื้อ pterygoid
การตรวจหูใช้เทคนิคการดูและการคลำ การตรวจร่างกาย HEENT การดู การดูแก้วหู : เมื่อส่องไฟจะพบว่าแก้วหูจะมีลักษณะเหมือนกระจกฝ้าฝ้สีเทา สะท้อนแสงวาว ถ้าพบว่าแก้วหูบุ๋ม หรือโป่งป่ออก และช่องหูชั้นนอกมีสีแดง มัก เกิดจากการอักเสบของหูชั้นกลาง หรือถ้าเห็นรูโหว่แสดงว่าแก้วหูทะลุ ดูระดับของใบหู : ปกติขอบใบหูด้านบนจะอยู่แนวเดียวกับระดับตา และ เอียงประมาณ 10 องศาในแนวตั้ง ถ้าสูงหรือต่ํากว่าระดับตามักพบในคนที่สติ ปัญญาอ่อน ดูรูปร่างของใบหู และบริเวณใกล้เคียงว่ามีก้อน ถุงน้ํา หรือตุ่ม หนองหรือไม่ การดูช่องหู : ใช้อุปกรณ์ช่ณ์ ช่วยคือ ไฟฉาย หรือ otoscope ซึ่งในการใช้ otoscope ให้เลือก speculum จากอันใหญ่ก่อน โดยให้คนไข้เอียงศีรษะไป ด้านตรงข้าม ผู้ตรวจดึงวบหูเพื่อปรับรูหูให้อยู่ในแนวตรงทําให้เห็นรูหูชัดเจน การคลำ ผู้ตรวจใช้ปลายนิ้วคลําใบหู เพื่อประเมินว่ามีก้อน กดเจ็บหรือไม่ รายที่สงสัยว่ามีการอักเสบของหูส่วนนอก เมื่อผู้ตรวจจับใบหู หรือติ่งหูให้ขยับ ผู้ใช้บริการจะปวดมาก หรือถ้ากดบริเวณกกหูแล้วปวดแสดงว่ามีการอักเสบ ของกระดูกมาสตอยด์ หรือต่อมน้ําเหลืองหลังหู
โครงสรา้งระบบทางเดินหายใจแบ่งตามการทกงาน เป็น 2 ส่วน คือ 1. ส่วนที่เป็นทางผ่านของอากาศ (Air Passage) ประกอบดว้ย - จมูก (Nose) - ปาก (Mouth) - หลอดคอ (Pharynx) - กลอ่งเสียง (Larynx) - หลอดลม (Trachea) - ขั้วปอด (Bronchus) - แขนงปอด (Bronchiole) การตรวจร่างกาย ระบบหายใจ 2. ส่วนที่ทำ หน้าน้ที่แลกเปลี่ยนก๊าซ(Lung) ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ-ท่อทางเดินลมหายใจ-ถุงลม ส่วนที่ห่อหุ้มปอดคือเยื่อหุ้มปอด(Pleura)เป็นเยื่อ 2 ชั้นระหวา่ง 2 ชั้น มีของเหลวบรรจุอยู่เรียกว่า Plural Fluid
(การดู Inspection) • รูปร่างลักษณะทรวงอก • การดูลักษณะทรวงอกจะต้องดูจากด้านหน้าน้ไปด้านหลังและด้าน ข้างสองข้างปกติทรวงอกจะมีรูปร่างกลมแบนโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลาง จากด้านหน้าน้ไปด้านหลัง(Anteroposterior diameter) •การดูความลาดเอียงของกระดูกซี่โครง ปกติกระดูกซี่โครงทำ บุญกับ กระดูกสันหลังประมาณ 45 องศาในแนวขวาง •ความกว้างของ costal angle ปกติจะน้อน้ยกว่า 90 องศาและจะกว้าง ในขณะหายใจเพราะมีการขยายตัวของทรวงอกด้านข้างแต่ในผู้ป่วป่ย โรคลมโป่งป่ โป่งป่พองจะเพิ่มมากขึ้น •ช่องซี่โครง -มีการหดครั้งในช่วงการหายใจเข้าหรือไม่ ถ้ามีจะบ่งบอกถึงการอุด ตันของทางเดินหายใจ เช่น Tracheal obstruction -มีการโป่งป่ผิดปกติของช่องซี่โครงในระหว่างการหายใจออก การตรวจร่างกาย ระบบหายใจ
(การคลำ Palpation) •ตรวจหาตำ แหน่งที่กดเจ็บ บริเวณที่ผู้ถูกตรวจบล็อกเจ็บลึกบริเวณที่ มีความผิดปกติชัดเจนควรทำ ด้วยความระมัดระวัง •เพื่อประเมินลักษณะความผิดปกติที่เห็นได้เช่นนิกรจุดกดเจ็บเป็น แผลอักเสบบริเวณผิวหนังที่ไม่ติดต่อกับฉันหน่อยยวะภายใน •เพื่อประเมินการเคลื่อนไหวของทรวงอกขณะหายใจเข้าอ่ะมีการ ขยายเท่ากันหรือไม่ (การเคาะ Percussion) •เคาะตรงบริเวณผนังทรวงอกตามแนวบริเวณเนื้อเยื่อที่เกี่ยวกับการ เคลื่อนไหวและสามารถได้ยินเสียง •ช่วยให้ทราบว่าเนื้อเยื่อของปอดนั้นมีลมน้ำ หรือของแข็งอยู่ซึ่งการ ข้อนี้จะสามารถตรวจพญาธิสภาพที่อยู่ลึกจากผนังทรวงอกได้เพียง 5 - 7 เซนติเมตรและพยาธิสภาพนั้นจะต้องมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อน้ย กว่า 2 เซนติเมตร การตรวจร่างกาย ระบบหายใจ
(การฟัง Auscultation) • ประเมินลมที่ผ่านหลอดลมและส่วนต่างๆของการเดินทางของทาง เดินหายใจ หรือน้ำ เสมหะ • การฟังเสียงหายใจโดยใช้ stethoscope • ควรให้ผู้ถูกตรวจหายใจเข้าออกแรงหรือลึกกว่าปกติทางปากเพื่อที่จะ ลดเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นในจมูกและลำ คอจะทำ ให้เสียงหายได้ชัดเจน •ในแต่ละตำ แหน่งควรฟังให้ตลอดทั้งช่วงหายใจเข้าและหายใจออก เพื่อที่จะสามารถระบุความผิดปกติที่เกิดขึ้นว่าเกิดในช่วงไหนหายใจ เข้าหรือหายใจออก • การฟังต้องฟังเปรียบเทียบซ้ายขวาจากบนลงล่างระวังอย่าให้ผู้ถูก ตรวจหายใจเข้าออกลึกนานมากเกินไปเพราะอาจทำ ให้ผู้ถูกตรวจเกิด อาการเวียนศีรษะหน้าน้มืดได้ • ถ้าจำ เป็นความควรให้ผู้ถูกตรวจได้พักเป็นครั้งคราว • เสียงหายใจที่ผิดปกติ การตรวจร่างกาย ระบบหายใจ
หัวใจ (Heart หรือ Cardiac) เป็นอวัยวะที่มี หน้า น้ ที่สำ คัญ คือ สูบ ฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของ ร่างกาย หัวใจจึงทำ ให้โลหิตไหลเวียน นำ ออกซิเจน จากอากาศจากปอดไป เลี้ยงเซลล์ทุกชนิดของ ร่างกายทาง หลอดเลือดแดง, และนำ คาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์ ร่างกายกลับมาทาง หลอดเลือด เพื่อ ปล่อยออกไปกับลมหายใจออก, ทั้งนี้ หัวใจจะทำ หน้า น้ ที่ร่วมกับปอดเสมอ หลอดเลือด (Blood Vessel) หลอดเลือด หรือ เส้นเลือด เป็นเนื้อเยื่อชนิดหนึ่ง ในกลุ่ม เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่มีลักษณะเป็น หลอด/ ท่อยาว ที่ภายใน บรรจุเลือด/น้ำ เลือด โดยมีหน้า น้ ที่นำ เลือด เข้าและออกจาก หัวใจ เพื่อการหล่อเลี้ยงเซลล์ เนื้อเยื่อ และ อวัยวะต่างๆ ทั่ว ร่างกาย ในลักษณะเป็นวงจร ระหว่าง หัวใจ หลอดเลือด และเนื้อเยื่ออวัยวะ ต่างๆ ที่เรียกว่า ระบบไหลเวียนโลหิต ทั้งนี้ หลอดเลือดมี 3 ชนิดหลัก คือ หลอดเลือด แดง(Artery) หลอดเลือดฝอย (Capillary) และหลอดเลือดดำ (Vein) การตรวจร่างกาย ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ลักษณะทั่วไป (General Appearance) รูปร่าง ความรู้สึกตัว สีหน้า น้ ทรวงอก ควรถอดเสื้อ หรือเปิดเสื้อบริเวณจะตรวจดู ลิ้นปี่ สังเกตการโป่ง ป่ ตึงของผนังหน้า น้ ท้อง บวม บริเวณหน้า น้ แข้ง ผิวหนังและเล็บ ดูภาวะCyanosis ใบหน้า น้ ริมฝีปาก เล็บมือ Capillary refil time ปกติต้องไม่เกิน 2 วินาที เส้นเลือดดำ ที่คอ (Jugular Vein) คนปกติจะเห็นเฉพาะนอนราบ 1. การดู (Inspection) สังเกตการ หายใจ สีผิว อาการบวมตามส่วนต่างๆ การเคลื่อนไหวของทรวงอกดูจุด PMI (Poimt of Maximal Impulse) อยู่บริเวณซี่โครงช่องที่4-5 ตัดกับ Midclavicular line เล็บเท้า เล็บปุ้ม ปุ้ Clubbing finger ซึ่งมักเกิด ภาวะHypoxiaมาเป็นเวลานาน มักพบในผู้ที่มีภาวะ หัวใจพิการแต่กำ าเนิด (Cyanotic congenital heart disease) ตอนลุกนั่งต้องไม่เห็น การตรวจร่างกาย ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ชีพจร (Pulse) ประเมินชีพจรตั้งแต่ศีรษะจรด ปลายเท้า โดยการคลำ ชีพจรตามจุดต่างๆ คลำ ชีพจรบริเวณยอดหัวใจ (Apical impulse) อยู่ ตำ แหน่งเดียวกับPMI ขณะคลำ จะพบแรงกระทบ ที่นิ้วมือ การตรวจหัวใจโต (Ventricular Heave) การคลำ Thrill เป็นการคลำ หาคลื่นสั่นสะเทือน (Humming Vibration) เกิดจากการไหลเวียน ผิดปกติของเลือด จะพบในเสียงฟู่เ ฟู่ กรด 4 ขึ้นไป คลำ โดยใช้ 4 นิ้ว หรือทั้งมือวางเบาๆบริเวณหัวใจ หากพบคลื่น สั่นมากระทบมือแสดงว่าผิดปกติ คลำ พบThrill 2. การคลำ (Palpation) การตรวจร่างกาย ระบบหัวใจและหลอดเลือด
แบ่งออกเป็น 4 ตำ แหน่ง • Aortic Valvular Area (AVA) อยู่ช่องซี่โครงที่ 2 ขวามือ ติดกระดูก Sternum • Pulmonic Valvular Area (PVA) ช่องซี่โครงที่ 2 ซ้ายมือ ติด กระดูกSternum • Tricuspid Valvular Area (TVA) ช่องซี่โครงที่ 5 ซ้ายมือ ติด กระดูกSternum • Mitral Valvular Area (MVA) ช่องซี่โครงที่ 5 ซ้ายมือ ติด กับMidclavicular line 3. การฟัง (Aucultation) ลักษณะของเสียง : เบา แรง ปกติ ความสม่ำ เสมอ จังหวะการเต้น ความถี่ของเสียงช้าหรือเร็ว สิ่งที่ต้องสังเกตขณะฟังหัวใจ (อัตราการเต้น) จัดให้ผู้รับบริการนั่งและโน้มน้ตัวไปข้างหน้าน้เล็กน้อน้ย เปิด เสื้อผ้าตำ แหน่งที่ จะตรวจ เริ่มตรวจการฟังหัวใจ ฟังตำ แหน่งหลักหัวใจ ทั้ง 4 ตำ แหน่ง ก่อน เพื่อหา ตำ แหน่งที่เสียงชัดเจนมากที่สุด เลือกใช้หูฟังด้าน Bell เพื่อฟังเสียงหัวใจและเสียง Murmur ที่มีลักษณะ เสียงต่ำ (Low pitch) ไม่ควร กด Bell แน่นเกินไป แต่หากต้องการฟังเสียง สูง (High pitch) ควรใช้ฝั่ง Diaphragm ควรกดให้แน่นเวลาฟัง ขั้นตอนการฟัง จากนั้นให้ผู้รับบริการนอนหงาย แล้วฟัง 4 ตำ แหน่งเพื่อ เปรียบเทียบกับ ท่านั่ง การตรวจร่างกาย ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ตรวจโดยใช้มืออีกข้างหนึ่งจับชีพจรที่คอ (Carotid pulse) เสียง S1 เกิดจากการปิดของ Mitral Valve เสียง S2 เกิดจากการปิดของ Aortic Valve และ Pulmonic Valve บ่งบemm สิ้นสุด Systole phase AVA PVA เสียง Split S2 เกิดจากการปิดของ Aortic valve และ Pulmonary valve Rยินชัดที่สุดบริเวณ PVA เสียง Extra sounds ได้แก่ S3 หรือ Protodiastolic sound เป็นเสียงที่เกิดจากการไหลเวียนเลือดหัวใจ เสียง Heart Murmurs เป็นสียง จะเทือนขณะมีการไหลของ เลือดผ่านลิ้นหัวใจหรือหลอดเลือดผิดปกติ Systolic murmurs เป็นเสียงที่เกิดขึ้นระหว่าง S1 และS2 ฟังได้ขณะ หัวใจบีบตัว Diastolic murmurs เป็นเสียงที่เกิดขึ้นระหว่าง S1 และS2 ฟังได้ขณะ หัวใจคลายตัว เสียงHeart sounds ได้แก่ เสียง S1 และ S2 และ Tricuspid Valve เป็นเสียงบ่งบอก การสิ้นสุด Diastole phase ตำ แหน่ง ฟังได้แก่ MVA และ TVA ให้ฟังไปพร้อมกับคร่าชีพจรที่คอไป ด้วย จะได้ยินเสียงพร้อมๆกับชีพจรที่จ ห้องล่างอย่างรวดเร็วเด หลังเสียง S2 พบในผู้ป่วป่ยลิ้นหัวใจตีบ หรือรั่ว แบ่งเป็น 6 เกรด เกรด 1 เบามาก ฟังยาก เกรด 2 ดังขึ้น ฟังง่ายได้ยินในทุก Cardiac cycle เกรด 3 ดังฟังชัดเจน แต่ยังคลำ Thrillไม่ได้ เกรด 4 เสียงฟูขัดเจน เริ่มคลำ Thrill ได้ เกรด 5 เสียงดังมาก และคลำ Thrill ชัดเจน เกรด 6 เสียงดังมากที่สุด ได้ยินโดยที่หูไม่สัมผัสทรวงอก คลำ และสังเกต Thrillte ระดับความรุนแรงของเสียงฟู่ หรือ Murmurs intensity การตรวจร่างกาย ระบบหัวใจและหลอดเลือด
มีวัตถุประสงค์เพื่อหาขอบเขต และ ขนาดของหัวใจ แต่โดยส่วนใหญ่ใช้ เทคนิคการคลำ หาขอบเขตของหัวใจ แทนการเคาะได้ จะเคาะเฉพาะในราย ที่สงสัยว่ามี Pericardial Effusion เท่านั้น 4. การเคาะ (Percussion) การตรวจร่างกาย ระบบหัวใจและหลอดเลือด
• สังเกตลักษณะโดยทั่วไปของผู้รับบริการ •ภาวะปกติมีลักษณะท่าทางการเดินการยืนได้ตรงมีความ สมมาตรของร่างกายซ้ายขวาขนาดของกล้ามเนื้อปกติไม่มีฝ่อ ฝ่ ลีบ •ภาวะผิดปกติคือกระดูกสันหลังคอ(Scoliosis)กระดูก ค่อม(Kyphosis)กระดูกสันหลังแอ่น(Lordosis)ขนาดของกล้าม เนื้อไม่เท่ากันหรือไม่เหมาะสมกับอายุเพศกล้ามเนื้อฝ่อ ฝ่ ลีบมีการ เต้นกระตุกของกล้ามเนื้อ(Spasm)สั่นและเคลื่อนไหวผิดปกติ การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง ระบบกล้ามเนื้อ ทำ ได้โดยการตรวจกล้ามเนื้อกระดูกและข้อต่อ ตรวจข้อทุกข้อ ทั้ง2ข้างเปรียบเทียบกัน • ภาวะปกติ คือไม่มีอาการเจ็บตึงกล้ามเนื้อข้อต่างๆคลำ ไม่บวม ไม่เจ็บไม่มีกระดูกงอกผิวหนังโดยรอบไม่บวมแดง ร้อน กล้าม เนื้อรอบข้อไม่ เล็กลีบ • ภาวะผิดปกติ คือ ผิวหนังบริเวณข้อบวมแดงร้อน กดเจ็บ ปวด บริเวณกล้ามเนื้อและกระดูก(Pain) คลำ หรือขยับได้ยินเสียง กรอบแกรบ ซึ่งเกิดจากปลายกระดูกหรือเอ็นเสียดสีกันในผู้รับ บริการโรคเอ็นอักเสบ (Tenosynnovitis) การดู(Inspection) การคลำ (Palpation)
การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง การตรวจขอบเขตการเคลื่อนไหวของข้อ (Rang of motion) ตรวจเพื่อทดสอบว่ามี การเจ็บปวดกล้ามเนื้อ ขณะที่มีการเคลื่อนไหว ความมั่นคงของข้อ (Joint stability) ให้ผู้รับบริการเคลื่อนไหว ในแนวต่างๆ ได้แก่ การงอ (Flexion) การเหยียด (Extention) การกาง (Abduction) การหุบ (Adduction) การตรวจท่าได้ 2 วิธี โดย ให้ผู้รับบริการเคลื่อนไหว เอง (Active movement) และผู้ตรวจจับข้อให้ เคลื่อนไหว (Passive movement) สำ หรับการเคลื่อนไหว ของข้อนั้น ให้เริ่มตรวจข้อที่ปกติ ก่อน
การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง การทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Test of muscle strenght) การทดสอบกำ ลังของกล้ามเนื้อ ทำ ได้ 2 วิธี • Isometric testing ให้ผู้รับบริการเกร็งกล้ามเนื้อไว้ หลังจากเกิด การเคลื่อนไหวเต็มที่แล้วผู้ตรวจพยายามเอาชนะการหดตัวของ กล้ามเนื้อนั้น • Isotonic testing ให้ผู้รับบริการออกแรงเคลื่อนไหวข้อในขณะที่ผู้ ตรวจออกแรงต้าน ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเป็น muscle grading ดังนี้ • Grade 5 + Normal สามารถต้านแรงผู้ตรวจได้เหมือนปกติ • Grade 4 + Good สามารถเคลื่อนไหวได้เต็มที่ และต้านแรงผู้ตรวจได้ บ้างส่วน • Grade 3 + Fair เคลื่อนไหวเองได้เต็มที่แต่ไม่ สามารถต้านแรงผู้ตรวจ ได้เลย • Grade 2 + Poor เคลื่อนไหวต้านน้ำ หนักตัว เองไม่ได้ • Grade 1 + Trace กล้ามเนื้อเพียงแต่หดตัวได้ แต่ไม่ทำ ให้เกิดการ เคลื่อนไหว • Grade 0 – Zero ไม่มีอาการหดตัวของกล้ามเนื้อเลย • ภาวะปกติควรตรวจพบกล้ามเนื้อแข็งแรงดี เกรด5+ เท่ากันทั้ง2ข้าง
การตรวจข้อต่อขากรรไกร (Temporomandibular joint ) • การตรวจข้อต่อขากรรไกร(Temporomandibular joint palpation)บอกให้ผู้รับบริการนั่งผู้ตรวจใช้นิ้วชี้ และนิ้ว กลางวางหน้า น้ หูทั้งสองข้างบอกให้ผู้รับบริการอ้าปากให้กว้าง ที่สุดคลำ ดูบริเวณรอยต่อขอ งกระดูกขมับ (Temporal และ Mandible) ดูว่ามีเสียง Clicking คลำ ดูว่ามีบวม เจ็บ มีเสียง กรอบแกรบ(Crepitus)หรือขากรรไกรล็อก (Locking) หรือ ไม่ • การตรวจการเคลื่อนไหวของข้อต่อขากรรไกรโดยให้ผู้รับ บริการขยับขากรรไกรจากซ้ายไปขวาจากขวาไปซ้าย ปกติ จะเคลื่อนที่ได้ไม่มีสะดุด • ทดสอบกำ ลังของกล้ามเนื้อใหผู้รับบริการอ้าปากค้างไว้ ออกแรงต้านกับมือผู้ตรวจในขณะเดียวกันผู้ตรวจคลำ ดู การห ดเกร็งของกล้ามเนื้อ Temporal และ Masseter x การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง
ดูท่าทาง (Posture) และการเดิน (Gait) ควรตรวจการดู ในท่ายืนและท่านั่ง ทั้งทาง ต้านหน้า น้ และด้านหลัง ดูลักษณะการทรงตัวได้ปกติหรือ ไม่ สังเกตแนวตั้งแต่ศีรษะจนถึงไหล่ ความสมาตรของกล้ามเนื้อคอและไหล่ ดูแนวกระดูก (Aignment) และการผิดรูป (Deformity) การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง การตรวจร่างกายของกระดูกสันหลังส่วนคอ (Physical examination of cervical spine) การดู (Inspection) การคลำ (palpation) ให้ผู้รับริการก้มศีรษะเล็กน้อ น้ ยจะคลำ Spinous process กระดูกสันหลังส่วนคอลำ ดับ ที่ 7 (Cevical vertebrae: C7) ซึ่งจะเห็นนูนเด่นมากที่สุดอัน แรกและคลำ ได้ชัดเจน คลำ บริเวณ คอ คลำ กล้ามเนื้อบริเวณรอบ ๆ กระดูกสันหลัง โดยเฉพาะ กล้ามเนื้อ Paravertebral muscle เพื่อดูว่ามีการกดเจ็บ การหดเกร็งของกล้ามเนื้อหรือไม่
4 สังเกตลักษณะของกระดูกสันหลังให้ผู้บริการยืน ตัวตรงดูด้านหน้า น้ ด้านหลัง และด้าน ในคนปกติจะต้องยืนตัวตรงมีความสมมาตรของ อวัยวะด้านซ้ายและขวาเมื่อมอง หลังกระดูกสันหลังเป็นแนวตรงถ้ามีกระดูกสัน หลังคดพบได้ใน Scoliosis การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง การตรวจร่างกายของกระดูกสันหลังส่วนนอกและเอว (Thoracic and lumbar spine ) การดู (Inspection) การคลำ (palpation) ผู้ตรวจยืนด้านหลังผู้รับบริการที่นั่งก้มศีรษะ เล็กน้อ น้ ยคลำ บริเวณด้านหลังลำ คอกระดูก สันหลังส่วนอกและเอวเพื่อหาแนวของกระดูก สันหลังและอาการกดเจ็บปกติกระดูกสันหลัง จะอยู่ในแนวตรงและกดไม่เจ็บหากกดเจ็บ แสดงถึงอาการอักเสบเช่น กล้ามเนื้ออักเสบ
การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง การตรวจข้อไหล่และแขน (Shoulder and Joint) การดู (Inspection) ให้ผู้รับบริการนั่งสังเกตสี อาการบวม และก้อน อาการลีบ ของกล้ามเนื้อสังเกตดูความสมมาตร ของรูปร่าง ขนาดของโครงสร้างไหล่ และแขน ทั้ง 2 ข้างการผิดรูปของ ไหปลาร้า การคลำ (palpation) คลำ บริเวณที่ข้อกระดูกทั้งสองข้างมาบรรจบกัน และปุม ปุ กระดูก หัวไหล่เท่ากันอาจเกิดจาก Scoiss ความผิด ปกติที่พบได้แก่ ไหล่กลวงยุบลงไปอาจเกิดการ เคลื่อ ลื่ นของหัวกระดูก (Dislocation) กล้ามเนื้อ ลีบเกิดจากเส้นประสาทกล้ามเนื้อบาดเจ็บ ขาดการออกกำ ลังกายอาการกดเจ็บบวมแดง และร้อนเกิดจากกล้ามเนื้อตึง อักเสบ
ดูลักษณะการบวมแดงการผิดรูปของข้อการเอียง ของข้อไปทางด้านในหรือด้านนอกมากเกินไป สังเกตก้อนหรือการบวมของข้อมือ ถ้ามีการบวม ของส่วนปลายกระดูกเรเดียสอาจเกิดจากโรค เดอเกอร์แวงหรือหากส่วนปลายของกระดูกอัลนา นูนขึ้นมาผิดปกติอาจเกิดจากการเคลื่อน การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง การตรวจมือและข้อมือ (Wrist joints and hand joints) การดู (Inspection) การคลำ (palpation) คลำ บริเวณข้อมือและข้อนิ้วดูว่ามีการบวม ร้อน กดเจ็บหรือไม่ โดยผู้ตรวจใช้นิ้วชี้และ l joints และ radiocarpal groove โดยปกติ จะไม่พบก้อนหรือมีอาการกดเจ็บ กดเจ็บแสดงถึงการอักเสบของข้อบริเวณนั้น หากพบก้อนบริเวณหลังมืออาจเป็น Ganglion ถ้าพบข้อนิ้วมือมีขนาดใหญ่มากและอาจมี อาการหงิกงอ ร่วมด้วย
ให้ดูการเดินและการยืนของผู้รับบริการว่า ลักษณะการเดินมีการเคลื่อนไหวมากน้อ น้ ย เพียงใด ให้เปรียบเทียบกับด้านตรงข้าม ถ้ามี พยาธิสภาพที่ข้อสะโพก การเดินของผู้รับบริการ รเคลื่อนไหวของสะโพกน้อ น้ ยมาก ท่ายืนของผู้รับ บริการมักจะลงน้ำ หนักในด้านที่ดี เนื้อสะโพกมักจะเล็กกว่าด้านที่ดี การตรวจข้อสะโพก (Hip joint) การดู (Inspection) การคลำ (palpation) ให้ผู้รับบริการนอนหงายบนเตียง ผู้ตรวจ คลำ บริเวณรอบข้อสะโพกและรอบ ๆ ขาทั้ง 2 ข้าง ได้แก่ Anterior superior iliac spine คลำ เพื่อหาว่ามีการบวม ร้อน กดเจ็บ มีอาการปวด มีเสียงกรอบแกรบหรือไม่ การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง
ดูผิวหนังว่า มีกล้ามเนื้อลีบหรือไม่สีผิว อาการ บวม การกดเจ็บเปรียบเทียบกันทั้ง 2 ข้าง ดูการผิดรูปร่างของข้อเข่ากระดูกสะบ้า กระดูกขาทั้งเวลางอและยึดเข่าเมื่อผู้รับบริการ ลุกยืนให้ดูบริเวณด้านหลังข้อเข่าสังเกตว่าแนว ของกระดูกขาว่าตรงหรือไม่ ความผิดปกติหรือ ผิดรูปที่เกิดขึ้น เช่น การติดเกร็งข้อเข่าในท่า งอข้อเข่าโก่ง การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง การดู (Inspection) การคลำ (palpation) การตรวจข้อเข่า (Knee joint) คลำ บริเวณแอ่งขาพับดูว่ามีอาการบวม ร้อนและ กดเจ็บหรือไม่ คลำ กระดูกสะบ้า และช่องในข้อเข่าข้อต้องเคลื่อนไหวดี ไม่บวม ไม่ เจ็บหรือมีเสียงกรอบแกรบคลำ ดูว่า นำ อยู่ในข้อหรือไม่ หากมีการอักเสบหรือการติด เชื้อจะทำ ให้มีสารน้ำ ในข้อมากขึ้น
ดูสีผิวอาการบวมและลักษณะรูปร่าง ขนาดและ จำ นวนนิ้วเท้า สังเกตลักษณะตาตุ่ม ต้องกลมมน เรียบ ดูฝ่า ฝ่ เท้า หนังที่หน้า น้ เท้า ตาปลา เท้าต้องอยู่ในแนวเดียวกับกระดูกหน้า น้ แข้งเมื่อยืนน้ำ หนักจะตกอยู่ที่ดูนิ้วเท้า ข้อเท้า ลักษณะรูปร่างผิดปกติหรือไม่ การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง การดู (Inspection) การคลำ (palpation) การตรวจข้อเท้าและข้อนิ้วเท้า (Ankle joints and metatarsal joints) คลำ บริเวณเท้าและอวัยวะข้างเคียงข้อเท้า คลำ บริเวณด้านหน้า น้ ของข้อเท้าว่ามีอาการบวม ร้อน และกดเจ็บหรือไม่ คลำ บริเวณเอ็นร้อยหวาย มี อาการกดเจ็บก้อนหรือไม่ การหนาตัวของเอ็นร้อย หวาย แสดงถึงภาวะของโรคเอ็นอักเสบ ของข้อนิ้ว โป้ง ป้ และนิ้วชี้ หากมีอาการกดบวม แดง แสดงถึง ภาวะอักเสบของข้อดังกล่าว บ่งชี้ถึงโรคเก๊าท์
การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง ระบบผิวหนัง การดู(Inspection) ในการประเมินภาวะสุขภาพด้วยการดูนั้นจะต้องสังเกต ลักษณะดังต่อไปนี้ 1. ลักษณะของสีผิว (Color) 2. ลักษณะรอยโรคของผิวหนัง (Lesion) Primary lesion เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทาง พยาธิสรีรวิทยา (Pathophysiologic change) ของโรคโดยตรงซึ่งแบ่งตามพื้นผิวได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 รอยโรคแบนราบ (Flat lesion) ไม่สามารถคลำ ได้ กลุ่มที่2รอยโรคนูน (Raised lesion) มีลักษณะ นูนสูงสามารถคลำ ได้ กลุ่มที่3รอยโรคตุ่มน้ำ (Fluid -filled lesion) มี ของเหลวในรอยโรคอาจเป็นตุ่มน้ำ หรือหนอง 2.2 Secondary lesion คือรอยโรคที่เกิดจากการ เปลี่ยนแปลงจาก Primary lesion อาจเป็นผล โดยตรงจากการแกะเกาหรือการรักษาที่ได้มาก่อน แบ่งตามพื้นผิวได้เป็น3กลุ่ม กลุ่มที่1 รอยโรคพื้นผิวขรุขระ(Surface changed lesion) กลุ่มที่2 รอยโรคยุบตัว (Depressed lesion) กลุ่มที่3 รอยโรคนูน (Raised lesion)
กลุ่มที่2 รอยโรคนูน (Raised lesion) มีลักษณะนูนสูงสามารถคลำ ได้ -Papule เป็นตุ่มนูนขึ้นมาบนผิวหนังเมื่อคลำ จะรู้สึกคลำ ได้ตื้น -Plaque คือ Papule หลายๆอันรวมกันทำ ให้มีขนาดใหญ่เช่น สะเก็ดเงิน -Nodule เป็น lesion ขนาดใหญ่ต่างจากPapule เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 -2 เซนติเมตรเช่น ก้อนไขมัน (Lipoma) -Tumor เป็นก้อนเนื้องอกงอกนูนขึ้นมาบนผิวหนังมีขนาดใหญ่กว่า Nodule -Wheal พื้นที่บวมนูนสูงขึ้นมาจากผิวหนังชั้น Superficial รูปร่างและ ขนาดไม่แน่นอนเช่นผื่นลมพิษ(Urticaria) การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง กลุ่มที่1 รอยโรคแบนราบ (Flat lesion) ไม่สามารถคลำ ได้ได้แก่ -Macule เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน1เซนติเมตรเช่น ผื่นของหัด -Patch ลักษณะเหมือน Macule แต่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 1 เซนติเมตรเช่น ด่างขาว กลุ่มที่3 รอยโรคตุ่มน้ำ (Fluid -filled lesion) มีของเหลวในรอยโรค อาจเป็นตุ่มน้ำ หรือหนอง -Vesicle เป็นตุ่มน้ำ ใสมีน้ำ ขังอยู่ภายใน -Bulla or bleb ตุ่มน้ำ ใสมีมีน้ำ ขังอยู่ภายในใหญ่กว่า Vesicle -Pustule เป็นตุ่มมีหนองอยู่ภายในลักษณะนูนสูงขึ้นมาจากผิวหนังตุ่ม หนอง
การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง กลุ่มที่1 รอยโรคพื้นผิว ขรุขระ(Surface changed lesion) ได้แก่ • Scale เป็นขุยหรือแผ่นสะเก็ด บางๆเช่น รังแค (Dandruff) • Crust สะเก็ดแห้งอาจเกิดจากน้ำ เหลือง (Serum) หนองเลือด • Lichenificationเป็นการหนาตัว ของหนังกำ พร้าที่เกิดจากการเกา หรือถูบ่อยๆ กลุ่มที่2รอยโรคยุบตัว (Depressed lesion) ได้แก่ • Erosion รอยถลอกที่ชั้นหนัง กำ พร้าเป็นแผลตื้น ๆ ขอบเขต ชัดเจนเช่น บริเวณที่มีการแตก ของตุ่มอีสุกอีใส • Ulcer เป็นแผลที่ลึกกว่า Erosion เกิดจากผิวหนังชั้น Epidermis หลุดหายไป • Fissure เป็นร่องหรือรอยแตก ของผิวหนังลึกลงไปถึงชั้นหนัง แท้ กลุ่มที่3 รอยโรคนูน (Raised lesion) • Sear เป็นรอยแผลที่เกิดจากการแทนที่ของ เนื้อเยื่อที่ตายที่ชั้น Dermis • Keloid แผลเป็นที่มีขนาดใหญ่นูนสูงขี้นมา เหนือบริเวณแผลที่หายแล้ว
4 การคลำ (Palpation) • 1. คลำ ตรวจสอบความหยาบความละเอียดของ ผิวหนัง (Texture) • 2. คลำ ตรวจสอบความตึงตัวของผิวหนัง (Skin turger) • 3. คลำ ตรวจสอบอุณหภูมิ (Tempurature) • 4. คลำ ตรวจสอบความชุ่มชื้น (Moisture) • 5. คลำ ตรวจสอบดูลักษณะของรอยโรค • 6. ตรวจสอบอาการบวม (Edema) การตรวจร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง • ลักษณะการปุ่ม ปุ่ (Pitingedemal) สามารถแบ่งเป็น 4 ระดับ • ระดับ 1+ กดปุ่ม ปุ่ ลงไป 2 มิลลิเมตรรอยบุ๋มหายไปเร็ว • ระดับ 2+ กดปุ่ม ปุ่ ลงไป 4 มิลลิเมตรรอยปุ่ม ปุ่ หายไปใน 15วินาที • ระดับ 3+ กดปุ่ม ปุ่ ลงไป 6 มิลลิเมตรและคงอยู่หลายนาที • ระดับ 4+ กดปุ่ม ปุ่ ลึกได้มากกว่า 8 มิลลิเมตรและยังคงอยู่นาน 2 - 5 นาที
การตรวจร่างกาย ระบบประสาท ระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nervous System : PNS) ประกอบด้วยเส้นประสาทสมอง (cranial nerve) รากประสาท (spinal nerve roots) เส้นประสาทไขสันหลัง (spinal nerves) เส้นประสาทตามร่างกาย (somatic nerves) ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System : CNS) ซึ่ง ประกอบด้วย สมอง (brain) และ ไขสันหลัง (spinal cord) ทำ หน้าที่ เป็นศูนย์ควบคุมระบบประสาท
1.การตรวจกำ ลังของกล้ามเนื้อ (Motor Function) การตรวจกำ ลังของกล้ามเนื้อแต่ละมัดนั้นทำ ได้ง่ายๆโดยการให้คนไข้ ออกแรงต้านกำ ลังกับหมอ ยกตัวอย่างเช่นถ้าหมอต้องการตรวจกำ ลังของ กล้ามเนื้อ Bicep muscle ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อบริเวณหน้าแขนที่ใช้ใน การงอศอก หมอก็จะบอกให้คนไข้งอศอกค้างไว้เพื่อฝืนแรงกันและหมอ ก็จะทำ การดึงแขนของคนไข้ออก (อย่างสุดแรงของหมอ) เพื่อประเมิน ระดับกำ ลังของกล้ามเนื้อ ประกอบด้วย การตรวจร่างกาย ระบบประสาท 1 การตรวจกำ ลังของกล้ามเนื้อ 2 3 การตรวจการรับความรู้สึกของผิวหนัง การตรวจระบบประสาทอัตโนมัติ
การตรวจร่างกาย ระบบประสาท 2.การตรวจการรับความรู้สึกของผิวหนัง (Sensory function) จริงๆแล้วการตรวจเส้นประสาทรับรู้ความรู้สึกแบบเต็มรูปแบบนั้น จะ ประกอบไปด้วยการตรวจความรู้สึกในหลายส่วนและปกติอาจจะต้องใช้ เวลาตรวจนานมาก ในการตรวจผู้ป่วยที่แผนกคนไข้นอก (OPD) แพทย์ส่วนใหญ่จึงนิยมตรวจระบบประสาทความรู้สึกใน 2 ส่วนคือ ระบบการรับความเจ็บปวด (Pain sensation) และระบบการรับรู้ อุณหภูมิ (Temperature sensation) ซึ่งสามารถทำ ได้ง่าย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ Pain sensation : การ ตรวจความรู้สึกเจ็บปวด สามารถทำ ได้โดยการนำ ของปลายแหลมมาจิ้มที่ ผิวหนังของผู้ป่วย Temperature sensation : เป็นการตรวจการรับรู้อุณหภูมิ ของผิวหนัง โดยหมอจะนำ สำ ลี ชุบแอลกอฮอร์มาลูบผิวหนัง บริเวณที่ต้องการตรวจทั้งสอง ข้าง และถามผู้ป่วยว่ารู้สึกถึง ความเย็นเท่ากันหรือไม่