The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by artatdesign, 2021-01-06 04:09:47

ชีววิทยาพื้นฐาน ม.4

เอกสารประกอบการสอน


วิชาชีววิทยาพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563




















อาจารยอรลออ เผอกนอก
ศษ.บ. (เคมี-ชีววิทยา)
วท.ม. (ชีววิทยาส าหรับครู)



















โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (มอดินแดง)

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น



ค ำน ำ




เอกสารเล่มนี้ จัดท าขึ้นเพ่อใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชาชีววิทยาพ้นฐาน( ว 31103)


ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยเรียบเรียงตามหลักสูตรแกนกลางของ สสวท.(สถาบันส่งเสริมการสอน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) เพอให้ง่ายต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียน ที่ต้องเน้นเนื้อหา
ื่

และแบบฝึกหัดเพื่อเตรียมความพร้อมเข้ามหาวิทยาลัย เอกสารเล่มนี้ มีกจกรรมและแบบฝึกหัดที่สอดคล้องกบ

เนื้อหา ที่สามารถน ามาพัฒนานักเรียนให้เป็นผู้ที่มีทักษะในศตวรรษที่ 21 ได้

ผู้จัดท าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารประกอบการเรียนการสอนฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนและผู้ที่

สนใจ และขอขอบคุณคณาจารย์ผู้ให้องค์ความรู้ หนังสือเล่มนี้มีข้อผิดพลาดใดใด ผู้จัดท ายินดีน้อมรับ
ค าแนะน า เพื่อน าไปปรับปรุงในคราวต่อไป





อาจารย์อรลออ เผือกนอก
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (มอดินแดง)

สารบัญ

หน้า
บทที่ 1 ธรรมชาติของสิ่งมชีวิต

คุณลักษณะทั่วไปของสิ่งมีชีวิต 2

แบบทดสอบท้ายบท/ตัวอย่างข้อคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย 9
บทที่ 2 การศึกษาชีววทยา

ความรู้ทางชีววิทยาได้มาอย่างไร 14
การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) 19

กล้องจุลทรรศน์ 26
วิธีการใช้กล้องจุลทรรศน์ 28
แบบทดสอบท้ายบท/ตัวอย่างข้อคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย 37
บทที่ 3 เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต

ธาตุและสารประกอบภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต 42
สารอนินทรีย์ 43
สารอินทรีย์ 54

คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) 55
โปรตีน (Protein) 63
ไขมัน (Lipid) 73
กรดนิวคลีอิก (Nucleic acid) 78
วิตามิน (Vitamin) 85

ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต 86
แบบทดสอบท้ายบท/ตัวอย่างข้อคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย 95
บทที่ 4 เซลล์ของสิ่งมีชีวิต

ประวัติการค้นพบเซลล์ 101
องค์ประกอบภายในเซลล์ 105
การรักษาดุลยภาพของเซลล์ 119
การล าเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์ 132

การหายใจระดับเซลล์ 137
แบบทดสอบท้ายบท/ตัวอย่างข้อคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย 148

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต

1. สิ่งมีชีวิตคืออะไร

ชีวิต (life) เป็นสภาพที่มีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น อินทรีย์สาร และ อนินทรีย์สาร ประกอบกัน
เข้าเป็นหน่วยหรือโครงสร้างที่สามารถด าเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้ จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ท าให้
ทราบถึงความแตกต่างของสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต


จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายและสรุปสมบัติที่ส าคัญของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ของการจัดระบบใน

สิ่งมีชีวิตที่ท าให้สิ่งมีชีวิตด ารงอยู่ได้
2. อธิบายและบอกความส าคัญของการระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา สมมติฐาน
และวิธีการตรวจสอบสมมติฐาน รวมทั้งออกแบบการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน



กิจกรรมก่อนเรียน

1. ให้นักเรียนเติมเครื่องหมายถูก(/) หรือผิด(x) หน้าข้อความที่ก าหนดให้


……………………1. การสืบพนธุ์เป็นคุณสมบัติที่ส าคัญที่สุดของสิ่งมีชีวิต นักวิทยาศาสตร์จัดไวรัสเป็น สิ่งมีชีวิต
เนื่องจากสามารถเพิ่มจ านวนได้
……………………2. พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดและอายุขัย ไม่จ ากัด แตกต่างจากสัตว์ที่มีขนาดและอายุขัย จ ากัด
……………………3. สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจ าเป็น ต้องได้รับอาหารและออกซิเจนเพื่อใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึม

……………………4. จรรยาบรรณในการศึกษาในการศึกษาทางชีววิทยา หากมีการใช้สัตว์ทดลองควรใช้สัตว์ที่มี
ร่างกายซับซ้อนน้อยแทนสัตว์ที่มีที่มีร่างกายซับซ้อนมาก
……………………5. การสังเกตเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบปัญหา ผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบในการ สังเกตจะ
ช่วยให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

……………………6. ทฤษฎีคือสมมติฐานที่ได้รับการตรวจสอบแล้วหลายครั้งซึ่งเป็นจริง และสามารถน าไป
ประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง โดยไม่มีการโต้แย้ง
……………………7. การออกแบบการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ต้องออกแบบให้สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
เพื่อให้สมมติฐานถูกต้องเสมอทุกครั้ง

……………………8. ชีววิทยาต่างจากวิทยาศาสตร์คือประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ความรู้ และ
ทักษะกระบวนการ
……………………9 การตั้งปัญหาเป็นขั้นตอนที่ส าคัญของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และกระบวนการออกแบบ
ทางวิศวกรรม

……………………10 วิธีการทางวิทยาศาสตร์ และกระบวนการ ออกแบบทางวิศวกรรม มีขั้นตอนที่ส าคัญ
เหมือนกัน

- 2 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


คุณสมบัติของสิ่งมีชีวิต
1. สิ่งมีชีวิตมีการจัดระบบโครงสร้างที่แน่นอน (Specific organization)

สิ่งมีชีวิตมีการจัดระบบที่แน่นอนเป็นผลให้สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีรูปร่างและลักษณะที่แตกต่างกัน
นักวิทยาศาสตร์พบว่าสิ่งมีชีวิตมีการจัดระบบของโครงสร้างคล้ายคลึงกันดังนี้สิ่งมีชีวิตประกอบไปด้วยเซลล์
ื้
(Cell) ซึ่งเป็นพนฐานของสิ่งมีชีวิต เซลล์ทุกเซลล์จะมีองค์ประกอบที่เหมือนกันคือ ไซโทพลาสซึม ( cytoplasm)
ทุกอย่างจะถูกห่อหุ้มด้วยเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) ภายใน ไซโทพลาสซึมจะมีโครงสร้างเล็กๆหลาย

ประเภท เรียกรวมกันว่า ออร์แกเนล (organells) และมีนิวเคลียสส าหรับท าหน้าที่ควบคุมการท างานของ
ื่
เซลล์ เซลล์หลายๆเซลล์ที่เป็นชนิดเดียวกันจะมารวมกันเป็นเนื้อเยื่อ (tissue) เพอท าหน้าที่เฉพาะอย่าง เช่น
เนื้อเยื่อประสาท เนื้อเยื่อบุผิว ฯลฯ เนื้อเยื่อหลายๆชนิดจะมารวมกันเป็นอวัยวะ (organ) เช่น ปอด หัวใจ
ฯลฯ และอวัยวะต่างๆจะท าหน้าที่รวมกันเป็นระบบอวัยวะ (organ system)

การจัดระเบียบในการศึกษาสิ่งมีชีวิต เมื่อการศึกษาสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติได้ด าเนินมา
นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษา ในที่นี้จะขอเรียกว่า นักชีววิทยา (Biologist) ได้จัดสภาพความคงอยู่ของสิ่งมีชีวิตให้
เป็นระบบ โดยพิจารณาจากองค์ประกอบตั้งแต่ขนาดเล็กสุดไปใหญ่ขึ้นเป็นล าดับขั้นได้ดังนี้


























ภาพที่ 1.1 การจัดระบบภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิต

(ดัดแปลงจาก: https://theanatomyofyourbody.wordpress.com/2015/01/23/levels-of-structural-
organization-in-the-human-body/)


Q: ทดสอบความเข้าใจที่ 1.1 ค าชี้แจง จงเรียงล าดับ level of biological organization



Atoms , Ecosystem, Biosphere ,Community, Cell ,Molecule, Tissue ,Organism , Body system
, Organelle, Population


ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 3 -

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


2. สิ่งมีชีวิตต้องการสารอาหารและพลังงาน เพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆของสิ่งมชีวิตเอง
สิ่งมีชีวิตมีการบริหารจัดการสสารและพลังงานให้เหมาะสมกับความต้องการในการด ารงชีพ โดยใช้
ื่
ปฏิกิริยาทางเคมีเพอเปลี่ยนสารอาหาร เพอให้ได้พลังงานและหน่วยย่อยของชีวโมเลกุล (biomolecules) เช่น
ื่
น้ าตาลโมเลกุลเดี่ยวที่เป็นหน่วยย่อยของคาร์โบไฮเดรต หน่วยย่อยของชีวโมเลกุลเหล่านี้จะถูกน าส่งไปตามความ
ต้องการของแต่ละเซลล์ เพอน าไปผลิตพลังงานต่อไปหรือผลิตชีวโมเลกุลต่าง ๆ ตามความต้องการของแต่ละ
ื่
เซลล์หรือแต่ละส่วนประกอบของร่างกาย กระบวนการดังกล่าวประกอบด้วยกระบวนการเปลี่ยนโมเลกุลใหญ่ให้
เป็นหน่วยย่อย (catabolism) และ การน าหน่วยย่อยมาเรียงตัวเป็นโมเลกุลใหญ่ (anabolism) เรียก
กระบวนการทั้งสองที่เกิดขึ้นนี้ว่าเมแทบอลิซึม (metabolism)

ตัวอย่างเช่น สัตว์ได้สารอาหารโดยการกินอาหาร เช่น กินโปรตีน แล้วมีการย่อยสลายโปรตีนได้หน่วยย่อย
คือ กรดอะมิโน ซึ่งกรดอะมิโน นอกจากจะน าไปสลายเพอให้ได้พลังงานแล้วยังน าไปใช้ในการผลิตเป็นโปรตีน
ื่
ื่
หรือเอนไซม์ เพอน าไปใช้ผลิตชีวโมเลกุลอนๆ เพอการเติบโต และ ซ่อมแซมส่วนที่มีการเสื่อม รวมทั้งการสร้าง
ื่
ื่

สิ่งมีชีวิตหน่วยใหม่ เมื่อกรดอะมิโนและชีวโมเลกุลอื่นๆ ผ่านกระบวนการเมแทบอลิซึมแล้วจะมของเสียเกิดขึ้นซึ่ง
ต้องมีกระบวนการเพื่อก าจัดออกจากเซลล์หรือร่างกายเป็นต้นส่วน
พชมีโครงสร้างภายในเซลล์ที่สามารถน าพลังงานจากแสงมาใช้ในการสังเคราะห์โมเลกุลน้ าตาลได้ใน

กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) ซึ่งโมเลกุลน้ าตาลที่ได้จะเป็นสารตั้งต้นส าหรับการสร้าง

ชีวโมเลกุลชนิดอื่นๆ ต่อไปได้ในท านองเดียวกันกับเมแทบอลิซึมในสัตว์

Q: ทดสอบความเข้าใจที่ 1.2


ค าชี้แจง จงอธิบายความหมาย พร้อม ยกตัวอย่าง อย่างน้อย 3 ชนิด



1. สร้างอาหารเองได้(Autotroph) เช่น ………………………………………………………………………………….…
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. สร้างอาหารเองไม่ได้(Heterotroph) เช่น ………………………………………………………………………………
2.1 Herbivore ………………………………………………………………………………………………………………………
2.2 Carnivore ……………………………………………………………………………………………………………………….
2.3 Omnivore…………………………………………………………………………………………………….…………………

2.4 Scavenger………………………………………………………………………………………………………………………
2.5 Decomposer………………………………….………………………………………………………………………………



3. สิ่งมีชีวิตมีการเจริญเติบโต มีอายุขัยและขนาดที่จ ากัด
การเจริญเติบโตประกอบด้วยกระบวนการต่างๆ 4 กระบวนการคือ

- 4 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


1. การเพมจ านวนเซลล์ (cell multiplication) ในสิ่งมีชีวิตที่เป็นเซลล์เดียวการเพมจ านวนเซลล์จัด
ิ่
ิ่

ิ่
ว่าเป็นการสืบพนธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ส่วนในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์การเพมจ านวนเซลล์ถือเป็นการเจริญเติบโต
อย่างหนึ่ง
ิ่
ิ่
2. การเพมของโพรโทพลาสซึม(growth) ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวการเพมของโพรโทพลาสซึมจัดว่า
เป็นการเจริญเติบโตเมื่อเซลล์ของสิ่งมีชีวิตแบ่งเซลล์ในตอนแรกจะมีขนาดเล็กในเวลาต่อมาเซลล์สร้างสาร
ต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นให้ขนาดของเซลล์ขยายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

3. การเปลี่ยนแปลงเซลล์เพอไปท าหน้าที่เฉพาะอย่าง (cell differentiation) ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
ื่
การเปลี่ยนแปลงรูปร่างเซลล์จะคล้ายกันเช่นมีการสร้างเซลล์ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ดี

ส่วนในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ หรือในสิ่งมีชีวิตที่มีการสืบพนธุ์แบบอาศัยเพศ เซลล์ที่พฒนามาจากไซโกตจะ

เปลี่ยนแปลงไปเพื่อท าหน้าที่เฉพาะอย่าง เช่น เป็นเซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท เซลล์ต่อมไร้ท่อ เป็นต้น
ิ่
4. การเกิดรูปร่างที่แน่นอน (morphogenesis) เป็นผลจากการเพมจ านวนเซลล์ การเจริญเติบโต
ื่
และการเปลี่ยนแปลงเซลล์เพอไปท าหน้าที่เฉพาะอย่าง กระบวนการเหล่านี้ท าให้ เอมบริโอสร้างอวัยวะขึ้น
อตราเร็วในการสร้างอวัยวะแต่ละแห่งไม่เท่ากัน ท าให้เกิดรูปร่างของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดขึ้นโดยมีลักษณะ

เฉพาะตัว สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดเมื่อเจริญเติบโตระยะหนึ่งแล้วก็ตายไป อายุของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดเรียกว่า

อายุขัย (life span) ซึ่งแตกต่างกันไป





















ก ข
ภาพที่ 1.2 การเกิด morphogenesis ของสิ่งมีชีวิต ก. ผีเสื้อ ข. กบ
ที่มา http://www.digitalschool.club/digitalschool/science1_2_2/science9_3/biology9_3.php

4. สิ่งมีชีวิตมีการสืบพันธุ์ (reproduction)

เป็นการผลิตหน่วยใหม่ของสิ่งมีชีวิตเพอให้ดารงเผ่าพนธุ์อยู่ต่อไป การสืบพนธุ์ระดับเซลล์เป็นการ

ื่
สังเคราะห์และสะสมสารอนินทรีย์และสารอนทรีย์ต่าง จากนั้นจึงมีการแบ่งทั้งนิวเคลียสและไซโทพลาสซึม

การแบ่งนิวเคลียส มี 2 แบบ คือ
1. ไมโทซิส (mitosis) เป็นการแบ่งนิวเคลียสของเซลล์ร่างกาย นิวเคลียสของเซลล์ใหม่ที่ได้จะ
เหมือนกับนิวเคลียสของเซลล์เดิมทุกประการ ไมโทซิสของเซลล์พช และเซลล์สัตว์มีหลักการเหมือนกัน

แตกต่างกันเพียงรายละเอียดบางประการ

ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 5 -



2.ไมโอซิส (meiosis) เป็นการแบ่งนิวเคลียสของเซลล์ที่จะเจริญไปเป็นเซลล์สืบพนธุ์ในสัตว์

หรือเซลล์ที่จะเจริญเป็นสปอร์ในพช นิวเคลียสใหม่ที่ได้จะมีจ านวนชุดของโครโมโซมลดลงจากเดิมครึ่งหนึ่ง
การสืบพันธุ์เพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่มี 2 แบบ คือ

4.1 การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (asexual reproduction) ได้แก การฟิสชั่น (fission) ของพารามีเซียม
การแตกหน่อของไฮดรา การแบ่งเซลล์ของแบคทีเรีย หรือการแตกไหลของพชบางชนิด ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ได้จาก



การสืบพนธุ์แบบนี้อาศัยการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส จึงมีข้อมูลทางพนธุกรรมเช่นเดียวกับต้นก าเนิด
การ cloning ก็ถือเป็นการสืบพันธุ์แบบนี้ได้เช่นกัน




















ภาพที่ 1.3 การงอกใหม่ของพลานาเรีย ภาพที่ 1.4 การแตกหน่อของไฮดรา

ที่มา: https://s-media- ที่มา: http://www.saburchill.com/ans02/images2/2108
heak0.pinimg.com/736x/4a/fb/23/ 07004.jpg

4afb23ee1684612aa03d7e4cd762f2a4.jpg
2. การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (sexual reproduction)


เกิดโดยสิ่งมีชีวิตมีการสร้างเซลล์สืบพนธุ์เพศผู้ และเซลล์สืบพนธุ์เพศเมีย ซึ่งจะเป็นเซลล์ที่มีจ านวน

โครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเกิดการรวมตัวของเซลล์สืบพนธุ์ทั้งสองชนิด หรือ การเกิดปฎิสนธิ ( fertilization) จะได้

เซลล์ 1 เซลล์ ที่เรียกว่า ไซโกต (zygote) ซึ่งจะเจริญไปเป็นสิ่งมีชีวิตตัวใหม่ สิ่งมีชีวิตที่ได้จากการสืบพนธุ์

แบบนี้จะมีข้อมูลทางพันธุกรรมที่แตกต่างจากเซลล์ร่างกายของพ่อและแม่






ภาพที่ 1.5 การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของมนุษย์
ที่มา: http://bio1152.nicerweb.com/Locked/media

/ch13/13_05HumanLifeCycle.jpg

- 6 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4



จงย
Q: ทดสอบความเข้าใจที่ 1.3

ค าชี้แจง จงตัวอย่างสิ่งมีชีวิตที่สืบพันธุ์ ตามข้อความที่ก าหนด ให้อย่างน้อย 3 ชนิด

1. การแตกหน่อ (Budding)………………………………………………………………………………..………………………….

2. การงอกใหม่ (Regeneration)……………………………………….……………………………………………………………
3. การสร้างสปอร์ (Sporulation) ……………………..……………………………………………….………………………….
4. แฟรกเมนเตชัน (Fragmentation) …………………………………………………………...……………………………….
5. พาร์ทีโนจินิซิส (Parthenogenesis) ………………………………………..………………….…………………………….

6. คอนจูเกชัน (Conjugation) ……………………………………………………….…………………………………………….
7. การปฏิสนธิ (Fertilization) …………………………………………………………………………………………………….
8. การแบ่งออกเป็น 2 ส่วน (Binary fission)………………….………………………………………………………………



5. สิ่งมีชีวิตการตอบสนองต่อสิ่งเร้า (responsiveness)
สิ่งมีชีวิตสามารถรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมได้

(responsiveness to the environment) สามารถรับรู้ว่าสิ่งใดเป็นอาหาร สิ่งใดเป็นศัตรู รับรู้ความสว่าง
ความมืด ความเย็น ความร้อน มีน้ าหรือแห้งแล้ง เพื่อตนเองจะได้ปรับตัวให้ตอบสนองได้ถูกต้องและเหมาะสม
สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดตอบสนองต่อสิ่งเร้าไม่เหมือนกัน เช่น แมลงบางชนิดบินเข้าหาแสงไฟในขณะที่บางชนิดบิน
ื่
หนีแสงไฟ โดยทั่วไปการตอบสนองของสิ่งมีชีวิตต่อสิ่งแวดล้อมก็เพอให้สามารถด ารงชีวิตอยู่ได้การตอบสนอง
ต่อสิ่งเร้าของสิ่งมีชีวิตใดอาจจะเกิดขึ้นทันทีทันใด เช่น ผีเสื้อกลางคืนบินหนีเมื่อสามารถรับรู้ได้ว่ามีค้างคาวบิน

อยู่ใกล้เคียง หรือเรารับลูกบอลทันทีที่มีคนโยนลูกบอลมาที่เรา ซึ่งเป็นการท างานอย่างรวดเร็วของระบบ
ประสาทของสัตว์ การตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมอาจค่อยเป็นค่อยไปและเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เช่น ฝูงนก

นางแอนอพยพไปยังที่อบอนกว่า เมื่อช่วงเวลากลางวันสั้นลงในฤดูหนาว ซึ่งเป็นการท างานของระบบต่อมไร้
ุ่
ท่อร่วมกับระบบประสาทของสัตว์
นอกจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมภายนอกแล้วสิ่งมีชีวิตยังสามารถตอบสนองต่อสิ่ง
เร้าภายในร่างกายได้อกด้วย เช่น เมื่ออากาศร้อน เหงื่อออกมาก ปริมาณน้ าในร่างกายลดลง ปริมาณน้ าใน

ร่างกายที่ลดลงนี้จะเป็นสิ่งเร้าไปกระตุ้นให้รู้สึกกระหายน้ า ด้วยการตอบสนองโดยการดื่มน้ า เมื่อได้รับน้ ามา

ทดแทนน้ าที่หายไป เราก็จะเลิกตอบสนองต่อการกระหายน้ า สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ตอบสนองสิ่งเร้าภายใน
ื่
ร่างกายเพอให้สภาพแวดล้อมภายในร่างกายอยู่ในภาวะ homeostasis ซึ่งเหมาะสมต่อการท างานของ

เอนไซมในกระบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกาย ดังนั้นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าจึงเป็นเสมือนกับระบบควบคุม
การท างานของร่างกายให้เป็นปกติอยู่เสมอ

ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 7 -


6. สิ่งมีชีวิตมีการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม (adaptation)
ื่
การปรับเปลี่ยนตัวเองเกิดขึ้นเพอให้สามารถด ารงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
ซึ่งสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดก็มีวิธีการเฉพาะตัวในการปรับตัว ซึ่งการปรับตัว นี้นอกจากจะน าเอาสารและพลังงาน
ื่
ื่
ื่

จากสิ่งแวดล้อมมาเพอใช้ด ารงชีวิตแล้วยังมีการปรับเพอ การสืบพนธุ์การเจริญ เพอให้มีโอกาสมีลูกหลาน
ต่อไปในแต่ละรุ่นของสิ่งมีชีวิตชนิดใดๆ จะผ่านกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ หรือ natural selection
โดยแต่ละรุ่น สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวหรือแต่ละต้นที่มีลักษณะที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมในแหล่งที่อยู่อาศัยนั้น
ื่
มากกว่าตัวอน จะมีโอกาสอยู่รอดเพอผลิตลูกหลานได้ดีกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่มีลักษณะที่เหมาะสมกับ
ื่
สิ่งแวดล้อมนั้นๆ น้อยกว่า เมื่อผ่านไปหลายๆ รุ่น จึงพบสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่ใช้
ด ารงชีวิตนั้นๆ มากขึ้น
การปรับตัวเป็นกระบวนการที่ส าคัญในการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เช่น หมีขาวที่อาศัยใน

ุ่
แถบขั้วโลก มีขนหนาสีขาวเพอให้ร่างกายอบอนและกลมกลืนกับสีขาวของหิมะ ยีราฟ ในอดีตจากซาก
ื่
ฟอสซิลพบว่า มีคอสั้น ต่างจากยีราฟในปัจจุบันที่คอยาวช่วยท าให้กินใบไม้ที่อยู่บนต้นไม้สูงได้โดยไม่
ื่

จ าเป็นต้องไปแย่งอาหารกับสัตว์กินพชชนิดอน พชทะเลทรายลดจ านวนและขนาดของใบลงเพอป้องกันการ
ื่

สูญเสียน้ าซึ่งเป็นปัจจัยจ ากัดในทะเลทราย

7. สิ่งมีชีวิตมีการรักษาดุลยภาพของร่างกาย (homeostasis)
สิ่งมีชีวิตสามารถด ารงชีวิตอยู่ได้แม้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เกิดอย่างต่อเนื่อง เช่น การ

เปลี่ยนแปลงของแสงและอุณหภูมิในแต่ละช่วงของวันการที่สิ่งมีชีวิตยังคงด ารงชีวิตอยู่ได้นั้นเกิดเพราะ
สิ่งมีชีวิตสามารถรักษาภาวะธ ารงดุลภายในร่างกาย (homeostasis) ไว้ได้
Homeostasis หมายถึง การที่สิ่งมีชีวิตสามารถรักษาสภาพแวดล้อมภายในร่างกายให้อยู่ในสภาพ
สมดุลได้ แม้ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไป แต่อย่างไรก็ดีการรักษาสภาพสมดุลส าหรับแต่ละ
ปัจจัยในสภาพแวดล้อมของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นท าได้ภายในขอบเขตจ ากัด กล่าวคือการเปลี่ยนแปลงของ

สภาพแวดล้อมนั้นๆ จะต้องไม่น้อยหรือมากไปกว่าขอบเขต (range) ที่สิ่งมีชีวิตจะสามารถรักษาสภาพภายใน



ไว้ได้ ตัวอย่างเช่น คนเรามีกลไกการรักษาอณหภูมิของร่างกายปกติที่อณหภูมิประมาณ 36 – 38 C ถ้า
อณหภูมิร่างกายสูงขึ้นกว่าปกติ เช่น เมื่ออยู่บริเวณอากาศร้อนหรือออกก าลังกาย ก็จะระบายความร้อนออก


โดยการขับเหงื่อ เพื่อให้อณหภูมิร่างกายอยู่ในภาวะปกติ หรือเมื่ออุณหภูมิร่างกายลดลงกว่าปกติ เช่น เมื่ออยู่

ิ่
ในบริเวณที่มีอากาศเย็น ก็จะเพมอณหภูมิในร่างกาย โดยเพมอตราเมแทบอลิซึม หรือเมื่อพืชอยู่ในสภาพแล้ง

ิ่
ปากใบของพืชก็จะปิดเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ า

- 8 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4





























ภาพที่ 1.6 การเปิด-ปิด ปากใบของพืช
ชีวว ิ ที่มา: http://www.cpiagrotech.com/knowledge-076/




แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม





















ข้อมลส่วนตัวนักเรียน การตอบสนองของกระสุนพระอินทร์
สัดส่วนคะแนนชีววิทยาพื้นฐานพื้นฐาน

ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 9 -



Q: ทดสอบความเข้าใจที่ 1.4 เรื่อง ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต


1. จงน าตัวอักษรที่ก าหนดให้มาเติมลงในช่องว่างที่ก าหนดให้
A การเจริญเติบโต
1……… ลูก อ๊อดมีลักษณะแตกต่างจากตัวเต็มวัย B การสืบพันธุ์
2………แมวเลียอุ้งเท้าในช่วงที่มีอากาศร้อน C การจัดระบบในสิ่งมีชีวิต
ื่
3……… การยกเท้าหนีทันทีเมอเหยียบของมีคม D การตอบสนองต่อสิ่งเร้า
4……… ไซเล็ม และโฟลเอ็ม เป็นเนื้อเยื่อที่ช่วยในการล าเลียงของพืช E มีการควบคุมสมดุลในร่างกาย
5……… ไข่ของผึ้งเจริญเป็นตัวได้ แม้ไม่มการปฏิสนธิ

6……… แมวมีอายุไขประมาณ 25 ปี

7……… นักวิ่งมาราธอนดื่มน้ าและเกลือแร่ หลังแข่งขัน
8……… เสือวิ่งไล่ม้าลายในทุ่งหญ้า
9……… การสะบั้นเมื่อในบริเวณที่มีอากาศหนาวเย็น

10……..ตับอ่อน สร้างเอนไซน์และฮอร์โมน เกี่ยวข้องกบระบบย่อยอาหารและระบบต่อมไร้ท่อ


ค าสั่ง จงเติมค าลงในช่องว่าง

2. นักเรียนจะมีวิธีการในการตรวจสอบว่าสิ่งๆ นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ ได้อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง metabolism, catabolism และ anabolism
.................................................................................................................................................................

.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
4. reproduction แบ่งเป็น ………………แบบ sexual reproduction และ sexual reproduction คือ

อะไร จงอธิบายความแตกต่าง พร้อมยกตัวอย่าง ประกอบ
………………………………………………………………………………………………………………………….……………………
…………………...…………………………….………………………………………………………………………..…………………
………………….……………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………….…………………………………………………………

- 10 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


5. นักเรียนจงสังเกตการณเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตในแผนภาพข้างล่างนี้





















การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตในภาพ ก.และ ข. มีลักษณะที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
การงอกใหม่ของสัตว์ทั้ง 2 จัดเป็นการสืบพันธุ์หรือไม่

………………………………………………………………………………………………………………………….…………………
……………...…………………………….……………………………………………………………….…………..…………………
……….……………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………….………………………………………………………………………………………………

6. development ในสิ่งมีชีวิตมีกระบวนการใดบ้าง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

7. หลังจากออกก าลังกาย ร่ายกายมีการสูญเสียน้ าออกมาในรูปเหงื่อ จากนั้นจึงรู้สึกกระหายน้ า
นักเรียนคิดว่าสถานการณ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับสมบัติของสิ่งมีชีวิตข้อใด จงอธิบาย
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………….……
8. จงบอกความหมายของวิชาชีววิทยา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

9. จงยกตัวอย่างวิชาแขนงต่างๆ หรือวิชาเฉพาะด้านทางชีววิทยา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 11 -


10. จงบอกความหมาย ของชีววิทยากับการด ารงชีวิต พร้อมทั้งยกตัวอย่างสถานการณ์ประกอบ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

11. การซื้อขายอวัยวะของมนุษย์ การขโมยอวัยวะของมนุษย์ เพื่อประโยชน์ทางด้านการแพทย์ในการ

รักษาคนไข้ ผิดหลักชีวจริยธรรมหรือไม่อย่างไร ให้นักเรียนวิเคราะห์ถึงสาเหตุและผลกระทบที่เกิดขึ้น
โดยให้เหตุผลประกอบ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
12. .สารใดไม่ใช่สารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต

ก. RNA ข. Nucleic acid ค. Protein ง. DNA
13. สาเหตุที่จัด ไวรัสและไวรอยด์ เป็นสิ่งมีชีวิต เนื่องจากคณสมบัติขอใด


ก. ประกอบด้วยโปรตีน
ข. มีเยื่อหุ้มเซลล์
ค. สามารถเพมจ านวนตัวเองได้เมื่ออยู่ในเซลล์ตัวให้อาศัย
ิ่
ง. ประกอบด้วย DNA และRNA

14. ข้อใดเป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (asexual reproduction)
ก. Parthenogenesis และ Binary ข. Conjugation และ Fertilization
ค. Binary และ Budding ง. Conjugation และ Parthenogenesis
15. การทดลองเกี่ยวกับอิทธิพลและบทบาทของฮอร์โมนออกซิน (auxin) ต่อการเจริญเติบโตของพืช เป็น

การศึกษาชีววิทยาแขนงใด
ก. สรีรวิทยา ข.กายวิภาคศาสตร์

ค. ชีวเคม ง.อนุกรมวิธาน
16. ค าถามการศกษาเกี่ยวกับแบคทีเรีย ไวรัส อยู่ในแขนงใดของชีววิทยา

ก. Histology ข. Parasitology
ค. Microbiology ง. Acarology

- 12 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


17. กระบวนการใด พบเฉพาะในสิ่งมีชีวิต
ก. การใช้พลังงาน ข. การปล่อยของเสีย

ค. Metabolism ง. การเคลื่อนไหว
18. กลุ่มของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน อาศัยอยู่บริเวณหนึ่งบริเวณใดในช่วงหนึ่ง เรียกว่าอะไร
1= ประชากร (population) 2 = สกุล(genus) 3 = กลุ่มสิ่งมีชีวิต (community)
ก. ข้อ 1 ข. ข้อ 2

ค. ข้อ 3 ง. ข้อ1และ3
19. สัตว์ในข้อใด ที่มีโอกาสท าให้ลูกมีลักษณะพันธุ์กรรมเหมือนเดิม
ก. ผึ้ง มด ข. พยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้
ค. ดาวทะเล ปลิงทะเล ง. ไฮดรา แมงกะพรุน

20. ไวรัส มีสารใดเป็นองค์ประกอบ(1 คะแนน)
ก. RNA ข.DNA
ค.Nucleic acid และ Protein ง.Protein
21. “คัพภะวิทยา” เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ

ก. ลักษณะของสิ่งมีชีวิต
ข. พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต
ค. โครงสร้างร่างกาย

ง. พัฒนาการของเอ็มบริโอ
22. วิวัฒนาการเกิดขึ้นได้เร็วในสิ่งมีชีวิตที่สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศมากกว่าพวกที่สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
เป็นเพราะเหตุใด
ก. ผลิตลูกหลานได้มากกว่า
ข. มีโอกาสอยู่รอดได้ดีกว่า

ค. ก่อให้เกิดการแปรผันทางพันธุกรรมได้มากกว่า
ง. ก่อให้เกิดมิวเตชันของยีนได้มากกว่า

23. การสืบพันธุของสิ่งมีชีวิตในข้อใดที่ลูกมีโอกาสแตกต่างไปจากพอแม่มากที่สุด
ก. มะม่วงที่เจริญมาจากการเพาะเมล็ด
ข. มะม่วงที่เจริญมาจากการกิ่งตอน
ค. หน่อของไฮดราที่แยกมาตัวเดิม
ง. พารามีเซียมที่แบ่งตัวออกเป็น 2 ตัวเท่าๆกัน

24. การสืบพันธุแบบไม่อาศัยเพศ(Asexual reproduction) แบบใดที่เหมาะสมที่สุดส าหรับการด ารงชีวิต
ในสภาพแวดล้อมบนบก
ก. การแบ่งออกเป็นสอง ส่วนเท่าๆกัน
ข. การสร้างสปอร์

ค. การแตกหน่อ
ง. 1 หรือ 2 หรือ 3 ก็ได้

ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 13 -


25. ข้อใดที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
1. ท าให้ประชากรของสิ่งมีชีวิตมีขนาดใหญ่ขึ้น

2. ท าให้สิ่งมีชีวิตมีสุขภาพดีและอายุยืนยาวขึ้น
3. ท าให้สิ่งมีชีวิตปรับตัวและเพิ่มความอยู่รอด
4. ท าให้สิ่งมีชีวิตมีความสามารถสูงเหมือนกัน
5. ช่วยรักษาสมดุลให้ระบบนิเวศ

ก. 1 และ 3 ค. 3 และ 5
ข. 2 และ 4 ง. 1, 3และ5
26. ความแตกต่างของนิวโอไทด์ใน DNA ของสิ่งมีชีวิตสนับสนุนแนวความเชื่อในข้อใด
1. ความสัมพันธ์ใกล้ชิดของสิ่งมีชีวิต

2. การเกิดวิวัฒนาการ
3. ความแตกต่างของฟีโนไทป์
ก. ข้อ 1 ค. ข้อ 1 และ 2
ข. ข้อ 2 และ 3 ง. ข้อ 1 ,2 และ 3

27. หลักฐานใดที่บ่งให้ทราบว่า สิ่งมีชีวิต สองชนิดมีล าดับวิวัฒนาการใกล้เคียงกันมากที่สุด

ก. หลักฐานจากซากดึกด าบรรพของสิ่งมีชีวิต
ข. หลักฐานการเปรียบเทียบโครงสร้าง

ค. หลักฐานทางการเจริญเติบโตของเอมบริโอ
ง. หลักฐานการศึกษาในระดับโมเลกุล
28. สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในแหล่งที่อยู่แบบใด ที่มีปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด
ก. ในทะเลทราย ค. ในมหาสมุทร
ข. ในป่าโปร่ง ง. บริเวณชายฝั่ง

29. การจ าศีลของสัตว์เป็นการกระท าเพื่อก าจัดปัญหาเกี่ยวกับ
ก. ชะลอการเพิ่มจ านวนประชากร
ข. พักผ่อนร่างกายให้ช่วงชีวิตยืนยาวขึ้นกว่าเดิม

ค. ปรับและรักษาสภาวะสมดุล ของระบบต่างๆภายในร่างกาย
ง. หลบหลีกสภาวะขาดแคลนอาหารและสภาพภูมิอากาศทไม่เหมาะสม
ี่
30. การที่มีจ านวนตั๊กแตนเป็นจ านวนมากขึ้น และฝูงตั๊กแตนนี้อพยพผ่านไปในที่มีต้นไม้เขียว ก็เกิดการ
กัดกินจนราบเรียบ ผลจากปรากฏการณ์นี้ท าให้เกิดข้อใดมากที่สุด

ก. การคัดเลือกตามธรรมชาติ ค. การแปรผันในรุ่นลูก
ข. การเสียสมดุลในธรรมชาติ ง. การเปลี่ยนโครงสร้างในพืช

- 14 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4




หน่ว การศึกษาชีววิทยา
ยการเรียนรู้ที่ 2

ชีววิทยา (Biology) คือ ศาสตร์แขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ของ


สิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ อย่างมีเหตุและผล โดยจะใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการศกษาค้นคว้าอย่างมีเหตุ
มีผลในทุกแง่ทุกมุมของสิ่งมีชีวิตโดยละเอียด

จุดประสงค์การเรียนรู้

เมื่อนักเรียนเรียนจบแล้ว นักเรียนสามารถ
1. อธิบายวิธีทางวิทยาศาสตร์ และยกตัวอย่างนักวิทยาศาสตร์ของไทยและผลงานที่ศึกษา

2. อภิปรายและระบุความส าคัญของการตั้งปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา สมมิฐาน
และวิธีการตรวจสอบสมมติฐาน

3. ออกแบบและด าเนินการทดลองตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์

แบบทดสอบก่อนเรียน


ค าชี้แจง จงเติมเครื่องหมาย(/)หน้าข้อที่ถูกและเติมเครื่องหมายผิด(x)หน้าข้อที่ผิด

ื่
……………… 1. ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพอแกข้อสงสัยว่าคนที่บริโภคอาหารทะเลมีโอกาสเป็น โรคคอ
พอกน้อยกว่าคนที่ไม่รับประทานอาหารทะเล ควรเริ่มต้นโดยการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล

……………… 2. ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต และสืบค้นขอมูลมีความส าคัญต่อการตั้งสมมุติฐาน
……………… 3. การตรวจสอบความถูกต้อง ของทฤษฏีเป็นขั้นตอนหนึ่งในวิธีการทางวิทยาศาสตร์
……………… 4. สรีรวิทยา(Physiology) เป็นสาขาของชีววิทยาที่ศึกษาโครงสร้างร่างกาย
……………… 5. การพันของมือเกาะของต้นต าลึง เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของพืช

……………….6. การออกแบบวิธีการตรวจสอบสอบสมมติฐาน เป็นขั้นตอนที่ส าคัญในกระบวนการ
ออกแบบเชิงวิศวกรรม
……………….7. ถ้าพืช A เป็นพืชทนเค็มดังนั้นพืช A จะเจริญได้ดีในบริเวณป่าชายเลนซึ่งดินมีปริมาณของ

เกลือ NaCl เยอะ ตัวแปรต้นคือ การเจริญเติบโตของพืช A และตัวแปรตามคอปริมาณ

NaCl ที่พืชได้รับ
……………….8. ทดลอง เลี้ยงปลา 2 กลุ่ม เป็นปลานิลสายพันธุ์เดียวกัน มีอายุ ขนาดเท่ากัน เลี้ยงใน
บ่อที่ลักษณะเดียวกัน ให้อาหารสูตรเดียวกัน แต่วิธีในการให้อาหารแตกต่างกัน

กลุ่มที่ 1 ให้อาหารวันละ 1 ครั้ง กลุ่มที่ 2 ให้อาหารวันละ 3 ครั้ง แต่ละครั้งมีปริมาณ
อาหารเพียง 1/3 เท่าที่กลุ่มที่ 1 ได้รับ จากนั้นสุ่มน้ าหนักปลาทั้ง 2 กลุ่ม มาชั่งทุก ๆ สัปดาห์
เป็น ระยะเวลา 5 สัปดาห์ ตัวแปรต้นคือ จ านวนครั้งในการให้อาหารต่อวัน

……………….9. มีนวิทยา (Ichthyology) เป็นสาขาของชีววิทยาที่ศกษาเกี่ยวกับแมลง
………………10. คัพภะวิทยา (Embryology) ศึกษาเกี่ยวกับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต


ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 15 -

ค าว่า ชีววิทยา (Biology) เป็นค าที่มาจากภาษากรีก จากค าว่า “bios” ที่แปลว่า สิ่งมีชีวิต และ “logos” ที่
แปลว่า วิชา หรือการศึกษาอย่างมีเหตุผล เนื่องจากแต่ละเรื่องในเนื้อหาของชีววิทยามีกระบวนการและ

ขั้นตอนการศึกษาที่ค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อนมีหลายขั้นตอน ชีววิทยาจึงแตกแขนงเป็นสาขาวิชาต่าง ๆ อก

มากมาย
การศึกษาชีววทยาในแขนงต่าง ๆ

วิชาชีววิทยาเป็นศาสตร์สาขาชีวภาพ ที่ประกอบด้วยสาขาวิชามากมาย ตัวอย่างเช่น



1) การศึกษาสิ่งมชีวิตและกลุ่มของสิ่งมชีวิต
1.1 สัตว์มีกระดูกสันหลัง (vertebrate)
1.2 สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง (invertebrate)
1.3 วิทยาหนอนพยาธิ (Helminthology) ศึกษาเกี่ยวกับหนอนพยาธิ

1.4 สังขวิทยา (Malacology) ศึกษาเกี่ยวกับหอย
1.5 กีฏวิทยา (Entomology) ศึกษาเกี่ยวกับแมลง
1.6 มีนวิทยา (Ichthyology) ศึกษาเกี่ยวกับปลา
1.7 ปักษีวิทยา (Ornithology) ศึกษาเกี่ยวกับนก

1.8 วิทยาเห็บไร (acrology) ศึกษาเกี่ยวกับเห็บและไร

2) พฤกษศาสตร์ (botany) ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ของพช เช่น
2.1 พืชชั้นต่ า (lower plant)

2.2 พืชมีท่อล าเลียง (vascular plant)
2.3 พืชมีดอก (angiosperm)
3) จุลชีววิทยา (microbiology) คือการศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ของจุลินทรีย์ เช่น
3.1 ราวิทยา (mycology) ศึกษาเกี่ยวกับ รา เห็ด ยีสต์
3.2 ไวรัสวิทยา (Virology) ศึกษาเกี่ยวกับไวรัส

3.3 แบคทีเรียวิทยา (Bacteriology) ศึกษาเกี่ยวกับแบคทีเรีย
3.4 วิทยาสัตว์เซลล์เดียว (Protozoology) ศึกษาเกี่ยวกับโพรโทซัว
4) การศึกษาจากโครงสร้างหน้าที่และการท างานของสิ่งมีชีวิต

4.1 สัณฐานวิทยา (Morphology) ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้าง รูปร่างของร่างกายและ อวัยวะต่าง ๆ
4.2 กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างและอวัยวะ ต่าง ๆ ภายในร่างกาย
4.3 สรีรวิทยา (Physiology) ศึกษาเกี่ยวกับการท างานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย

4.4 ชีวเคม (Biochemistry) ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงสารชีวโมเลกุล สิ่งมีชีวิต
4.5 เซลล์วิทยา (Cytology) ศึกษาเกี่ยวกับเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
4.6 นิเวศวิทยา (Ecology) ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของกลุ่มสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม
4.7 พันธุศาสตร์ (Genetics) ศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม

4.8 ปรสิตวิทยา (Parasitology) ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพนธ์ระหว่างปรสิต ต่าง ๆ และโฮสต์
4.9 คัพภะวิทยา (Embryology) ศึกษาเกี่ยวกับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต
4.10 มิญชยวิทยาหรือเนื้อเยื่อวิทยา (histology) ศึกษาลักษณะของเนื้อเยื่อ ทั้งทางด้าน โครงสร้างและ
หน้าที่การท างาน

- 16 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


5) การศึกษาเรื่องราวของสิ่งมีชีวิต
5.1 อนุกรมวิธาน (Taxonomy) ศึกษาเกี่ยวกับการ จัดจ าแนกสิ่งมีชีวิต ออกเป็นหมวดหมู่

5.2 วิวัฒนาการ (Evolution) ศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิต ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
5.3 บรรพชีวินวิทยา (Paleontology) ศึกษาเกี่ยวซากโบราณของสิ่งมีชีวิต

ชีววทยากับการด ารงชีวิต
ในการด ารงชีวิตของมนุษย์ เช่น การดูแลสุขภาพของร่างกายการป้องกันรักษาโรค การผลิตอาหาร

การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การประกอบอาชีพ การเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายของคน การรู้จักพฤติกรรมของสัตว์
ต่าง ๆ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับชีวิวิทยาทั้งสิ้น นักวิชาการซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาได้ใช้กระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต จึงท าให้ได้พนธุ์ของสิ่งมีชีวิตหรือผลผลิตตามความ

ต้องการ เช่น พันธุ์พชที่ต้านทานโรคและแมลงผลไม้ที่มีรสชาติอร่อย ผลที่มีขนาดใหญ่ สัตว์ที่เจริญเติบโต

เร็ว ให้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณมาก เช่น นม หรือไข่ ท าให้มนุษย์มีอาหารอย่างพอเพยงหรือเป็นสินค้าท า

รายได้เป็นอย่างดี ถ้าได้ติดตามการท างานตามโครงการพระราชด าริ โครงการส่วนพระองค์ หรือโครงการ
หลวง ท าให้ทราบว่า

มีการขยายพนธุ์พชที่ควรอนุรักษ์ โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เช่น ขนุนไพศาลทักษิณและการ

ปรับปรุงพันธุ์ เช่น เมล็ดถั่วแดงหลวงจากเมล็ดที่มีขนาดเล็กให้ได้เมล็ดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
นักวิชาการทางด้านการเกษตร ได้พฒนาเทคโนโลยีชีวภาพต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์อก เช่น


การถ่ายฝากตัวอ่อนของสัตว์การผลิตปุ๋ยชีวภาพ การผสมเทียมปลา ฯลฯ
การศึกษาวัฎจักรชีวิตและโครงสร้าง รูปร่างลักษณะและพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตช่วยให้สามารถเข้าใจ
การปรับตัวจากสิ่งมีชีวิตน าไปสู่การศึกษาวิจัยตัวยาที่น าใช้รักษาโรค และวิธีป้องกันโรคเทคโนโลยีชีวภาพ
สมัยใหม่ทางการแพทย์ส่วนใหญ่ได้มาจากความรู้ทางชีววิทยา การศึกษาในปัจจุบันก้าวหน้าจนสามารถตัดต่อ

ยืนจากสิ่งมีชีวิต ในกระบวนการพนธุวิศวกรรม (genetic engineering) ซึ่งน ามาใช้ทางการแพทย์ เช่น

สามารถใช้ยีสต์ผลิตฮอร์โมนอนซูลินเพอรักษาโรคเบาหวาน สามารถใช้สุกรสร้างโกรทฮอร์โมน (GH :
ื่
Growth hormone) เพอรักษาเด็กที่มีความสูงหรือต่ ากว่าปกติ และใช้ยีนบ าบัด (gene therapy) ในการ
ื่
รักษาโรคทางพันธุกรรมบางชนิด เป็นต้น
ความรู้จักการศึกษาคุณลักษณะของพชชนิดต่าง ๆ โดยแพทย์แผนโบราณสามารถน ามาปรุงยา

สมุนไพรใช้รักษาโรค นับเป็นภูมิปัญญาไทยที่น่าภาคภูมิใจ และปัจจุบันได้มีการศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้
ได้มาตรฐานสากล
การเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับร่างกายของเรา ท าให้เข้าใจการท างานของอวัยวะต่าง ๆ และเข้าใจ
วิธีการดูแลรักษาสุขภาพของตนและผู้ใกล้ชิด ความรู้ทางชีววิทยาอาจน ามาใช้ในการขยายพันธุ์สัตว์เศรษฐกิจ

และอนุรักษ์สัตว์ที่หายาก เช่น การโคลน (cloning) สัตว์ชนิดต่าง ๆ
ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ท าให้เราตระหนักถึงความส าคัญของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อ
มวลมนุษยชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงค้นพบว่า หญ้าแฝกเป็นพืชที่มีรากยาว
มาก แข็งแรงและหนาแน่น สามารถปลูกเพ่อช่วยป้องกันการกัดเซาะและการพังทลายของดินได้

การขาดความรู้ทางด้านชีววิทยา เกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมก็จะน าไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อม มี

ผลเสียต่าง ๆ ดังเหตุการณ์อทกภัยที่เกิดขึ้นที่อาเภอวังชิ้นจังหวัดแพร่ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2544 ถ้า

วิเคราะห์แล้วจะพบว่า สาเหตุส าคัญเนื่องมาจากการตัดไม้ท าลายป่า นักอนุรักษ์จึงต้องช่วยกันรณรงค์ให้

ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 17 -


ประชาชนเข้าใจถึงความส าคัญของป่า ซึ่งเป็นแหล่งของต้นน้ าล าธาร และแหล่งซับน้ าในดินถ้าเราไม่ช่วยกัน
ควบคุมดูแลภัยต่าง ๆ ก็จะบังเกิดขึ้น

ชีวจริยธรรม

ื่
หมายถึงการปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตอย่างมีคุณธรรม ไม่ท าร้าย หรือท าอนตรายต่อสัตว์หรือมนุษย์เพอ
การศึกษาหรือการวิจัย จรรยาบรรณในการใช้สัตว์ทดลอง ส านักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ ได้
ก าหนดจรรยาบรรณการใช้สัตว์เพื่องานวิจัย งานสอน งานทดสอบ และงานผลิตชีววัตถุไว้ ดังนี้

1. ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์
2. ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงความแม่นย าของผลงานโดยใช้สัตว์จ านวนน้อยที่สุด
3. การใช้สัตว์ป่าต้องไม่ขัดต่อกฎหมายและนโยบายการอนุรักษ์ป่า
4. ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักว่าสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์

5. ผู้ใช้สัตว์ต้องบันทึกการปฏิบัติต่อสัตว์ไว้เป็นหลักฐานอย่างครบถ้วน


การก ากับดูแลให้ผู้ใช้สัตว์ปฏิบัติตามจรรยาบรรณการใช้สัตว์ ทั้งระดับองค์กร และระดับชาติต้องจัด
ให้มีคณะกรรมการก ากับติดตามดูแลรับผิดชอบ เช่น ในระดับชาติได้แก่ ส านักงานคณะกรรมการการวิจัย
แห่งชาติ และกองบรรณาธิการของวารสารที่ตีพิมพ์ผลงานวิจัย


อาวุธชีวภาพ
เปิดตัวอาวุธชีวภาพที่ใช้ในการสงคราม มีทั้งอาวุธเชื้อโรคและอาวุธสารพิษชีวภาพ อาวุธประเภทนี้มี


ฤทธิ์เดชสามารถคร่าชีวิตผู้คนเป็นจ านวนมากได้ไม่แพ้ขีปนาวุธ และเชื่อกันว่าอรักสะสมอาวุธชีวภาพรวมทั้ง
อาวุธเคมีไว้เพื่อใช้ก่อสงคราม


การโคลน
โคลนนิ่ง (cloning) หรือการโคลน หมายถึงการคัดลอกหรือการท าซ้ า (copy) ในทางชีววิทยา

หมายถึง การสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนเดิมทุกประการ ประโยชน์ของการโคลน ช่วย
ให้สร้างสัตว์ที่มีลักษณะทางพนธุกรรมตามที่เราต้องการได้เป็นจ านวนมาก เช่น สัตว์ที่ให้น้ านมมาก มีความ

ต้านทานโรคสูง สัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ข้อเสียของการโคลนก็คือ สถิติความส าเร็จมีน้อยมาก ในการโคลน
แกะดอลลี่ ใช้ไข่ถึง 277 เซลล์ แต่ประสบผลเพียง 1 เซลล์ คิดเป็นร้อยละ 0.4 แต่นักวิทยาศาสตร์และกลุ่มคน
ที่ชอบยังคงมีความหวัง บางกลุ่มสนใจที่จะให้โคลนมนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก เพราะ


มนุษย์ที่เกิดจากการโคลนไม่มพ่อและแม่ที่แท้จริง และอาจมีอุปนิสัยใจคอต่างไป แม้จะมีรูปร่างหน้าตา
เหมือนกับบุคคลเจ้าของเซลล์ต้นก าเนิด อาจก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม แต่ในวงการแพทย์มีการวิจัยการโคลน
เอ็มบริโอของคนโดยมีเป้าประสงค์เพื่อน าอวัยวะไปทดแทนผู้ป่วย เช่น ไต เป็นต้น แต่ ก็เป็นการท าให้มนุษย์

โคลนมีอวัยวะไม่ครบ บางประเทศจึงไม่สนับสนุน โดยเหตุนี้ทุกประเทศทั่วโลกจึงห้ามการโคลนมนุษย์ แต่บาง
ประเทศได้ร่างกฎหมายเกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์เพื่อขออนุญาตให้ใช้ตัวอ่อนมนุษย์ในการท าวิจัย เช่น ฝรั่งเศส
อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น

- 18 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


การท าแท้ง
ตามหลักศาสนา ถือว่าการท าแท้งเป็นสิ่งไม่ดี ผิดศีลธรรม เป็นบาป แต่เมื่อไม่นานในสหรัฐอเมริกามี


บางกลุ่มถอว่าการท้องเป็นเรื่องส่วนตัว และกล่าวว่าเด็กในครรภ์เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะสตรี จึงมีสิทธิที่จะ
เลือกให้เด็กอยู่ในครรภ์หรือไม่ กลุ่มนี้เรียกว่า พวก pro-choice ส่วนกลุ่มตรงข้ามมีความเห็นว่าเด็กในครรภ์
เป็นสิ่งมีชีวิตที่จะถือก าเนิดมาเป็นมนุษย์ การท าแท้งถือเป็นฆาตกรรมอย่างหนึ่ง ความเห็นของกลุ่มนี้เรียกว่า
pro-life ในประเทศไทยมีการอนุมัติให้ขายยา RU 486 ที่ท าให้เกิดการแทง และมีกฎหมายอนุญาตให้ท าแท้ง

ได้ 2 กรณี คือ
1. สุขภาพกาย สุขภาพจิตของหญิงผู้เป็นแม่ และสุขภาพของทารกในครรภ์ ไม่ดี เช่น ติดเชื้อ HIV
2. เป็นโรคต่อม ไร้ท่อ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็งโรคธาลัสซีเมียมีภาวะปัญญาออน

2. การตั้งครรภ์เพราะถูกข่มขืน

สิ่งมชีวิต GMOs

สิ่งมีชีวิต GMOs หรือสิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรม GMOs ย่อมาจากค าว่า genetically
modified organisms หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีการตัดและต่อยีนด้วยเทคนิคพันธุวิศวกรรม (genetic
engineering) ท าให้มีลักษณะพันธุกรรมตามที่ต้องการมีประโยชน์ดังเช่น

1. สารที่ผลิตโดยจุลินทรีย์แปลงพันธุ์ มีหลายชนิดมีประโยชน์ เช่น ช่วยขยายหลอดเลือด ฟื้นฟูกระดูก
ภายหลัง การปลูกถ่ายไขกระดูก ลดน้ าหนองในปอดของคนไข้ กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อที่เกิดจาก
บาดแผลไฟไหม้ กระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยแก้ความเป็นหมัน


2. สารที่ผลิตโดยพืชแปลงพนธุ์ มีหลายชนิด เช่น แครอท ท าให้เนื้อเหนียวขึ้น มะเขือเทศ ช่วยควบคุมการ
สุกของผล มะละกอมีความทนทานต่อไวรัสโรคใบด่าง ผักกาดหอมต้านทานต่อโรค ทานตะวันท าให้
เมล็ดมีโปรตีนเพิ่มขึ้น ข้าวโพดทนทานต่อยาปราบวัชพืช ฯลฯ
3. สารที่ผลิตโดยสัตว์แปลงพันธุ์ มีหลายชนิด เช่น วัวผลิต GH ฮอร์โมนช่วยเพิ่มผลผลิตน้ านม หนูผลิต
GH ของคนช่วยเพิ่มความสูงของคนเตี้ยแคระ กระต่ายผลิตสาร EPO กระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือด

แดงส าหรับคนป่วยโรคโลหิตจางเนื่องจากไตวาย เป็นต้น

กิจกรรมเกมส์

1. เกมบันไดงู เรื่อง ชีววิทยากับการด ารงชีวิตและชีวจริยธรรม เป็นเกมที่เล่าเรื่องราวในชีวิตประจ าวันที่
เกิดขึ้นตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนถึงเข้านอนตอนดึก ของตัวละครสมมติซึ่งเป็น นักชีววิทยา ชื่อ แซม

ในเกมประกอบด้วยช่องที่ก าหนดให้เดินทั้งหมด 20 ช่อง โดยแต่ละช่องจะประกอบด้วยสถานการณ์

ต่าง ๆ และมีคะแนนก ากับ ดังนี้

- ครูให้ตัวแทนนักเรียนแต่ละกลุ่มจับสลาก เพื่อเรียงล าดับการเล่นเกมกอนหลัง
- ให้ตัวแทนนักเรียนกลุ่มแรกทอยลูกเต๋า แล้วเดินตามจ านวนช่องของจ านวนแต้มบนหน้าลูกเต๋า

เมื่อเจอสถานการณ์ที่ก าหนดในเกมให้สมาชิกในกลุ่มระดมสมองและช่วยกันตอบเพอที่จะเก็บ
ื่
คะแนนในข้อนั้น

-เกมจะสิ้นสุดลงเมื่อ มีกลุ่มทสามารถเดินจนครบ 20 ช่อง หรือ อาจจะครบตามเวลาที่กาหนด

ี่

ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 19 -



วิธีการทางวทยาศาสตร์ (Scientific method)


1. สังเกตและการตั้งปัญหา (observation and problem)
การสังเกตจะต้องใช้ประสาทสัมผัส การเห็น การได้ยิน สิ่งที่ได้จากการสังเกตอาจน าไปสู่การสงสัย
อาทิ นกบินได้อย่างไร ท าไมหิ่งห้อยจึงเรืองแสงได้ในเวลากลางคืน ตาของสุนัขสามารถจ าแนกสีที่แตกต่างกัน
ได้หรือไม่ ค าถามที่สงสัยก่อให้เกิดปัญหาที่ต้องการค้นหาค าตอบขึ้น

การตั้งปัญหาต้องยึดข้อเท็จจริงที่ได้รวบรวมจากการสังเกตหรือค้นคว้าจากแหล่งต่าง ๆ เราจะตั้ง
ปัญหานอกเหนือจากขอเท็จจริงไม่ได้โดยเด็ดขาด ปัญหาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ แต่การตั้งปัญหาให้ชัดเจนและ

สัมพันธ์กับความรู้เดิมของผู้ตั้งปัญหานั้นไม่ใช่สิ่งที่ท าได้ง่ายๆ
ดังที่ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ (Albert Einstein) ได้กล่าวว่า “การตั้งปัญหาส าคัญกว่าการแก้ปัญหา”



















ก ข
ภาพที่ 2.1 แบบทดสอบทักษะการสังเกต
ที่มา : www.bloggang.com/mainblog.php?id=tmr19&month


Q: ทดสอบความเข้าใจที่ 2.1


จากภาพ ก นักเรียนมองเห็นใบหน้าทั้งหมดกี่ใบหน้า.....................................................................................
จากภาพ ข นักเรียนมองเห็นสัตว์ทั้งหมดกี่ชนิด.............................................................................................



ถ้าก าหนดปัญหาได้อย่างชัดเจนและมีความสัมพนธ์กับความรู้เดิมหรือข้อเท็จจริงที่รวบรวมได้ ผู้ตั้ง
ปัญหาย่อมมองเห็นลู่ทางที่จะค้นหาค าตอบได้ ทดลองท าให้สามารถแก้ปัญหาได้ จึงถือว่า “การตั้งปัญหาเป็น
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง”
การตั้งปัญหา
อเลกซานเดอร์เฟลมมิง (Alexander Fleming) ได้สังเกตเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย

ในจานเพาะเชื้อ พบว่าถ้ามีราเพนนิซิเลียม (Penicillium notatum) อยู่ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อแบคทีเรียจะ
ไม่เจริญดี ผลของการสังเกตของ อเลกซานเดอร์ เฟลมมิง น าไปสู่ประโยชน์มหาศาลในวงการแพทย์

- 20 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4



Q: ทดสอบความเข้าใจที่ 2.2




1. ให้นักเรียนเลือกศกษาสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งจากภาพที่กาหนดให้
2. สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นให้มากที่สุด
3. บันทึกสิ่งที่นักเรียนสังเกตได้ภายใน 5 นาที

4. เขียนค าถามทอย่างน้อย 2 ข้อ เกี่ยวกับที่นักเรียนสังเกตได้
ี่
5. เปรียบเทียบและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพอน
ื่













ก ข















ภาพที่ 2.2 พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต ก. การเกยตื้นของปลาบางชนิด ข. สัณฐานของใบเฟน
ที่มา: www.bloggang.com/mainblog.php?id=tmr19&month



2. การตั้งสมมติฐาน
สมมติฐานได้มาจากไหน? ได้มาจากการตั้งปัญหา
ปัญหาได้มาจากไหน? ได้มาจากการสังเกต


ี่
การสังเกตเป็นทักษะส าคัญทน าไปสู่การค้นพบปัญหา ทักษะการสังเกตจึงเป็นทักษะที่ส าคัญของ

นักวิทยาศาสตร์ ปัญหา (Problem) เกิดจากการสงสัยที่ได้จากการสังเกตปรากฏการณ์ และขอเท็จจริงต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้น การคิดหาค าตอบที่อาจเป็นไปได้ของปัญหาเรียกว่าการตั้งสมมติฐาน

เมื่อได้รับข้อเท็จจริงหรือข้อมูลมากพอ ท าให้เห็นค าถามชัดเจน นักเรียนจะสามารถตั้งสมมติฐานได้
ส าหรับค าที่คิดหลายแง่หลายมุมค าถามนั้นก็จะเกิดสมมติฐานได้หลายสมมติฐาน ส าหรับคนที่ไม่ได้ฝึกการ


ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 21 -

ตั้งสมมติฐานมักจะคิดว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้เป็นสมมติฐานที่ถูกต้องเสมอ สมมติฐาน คือ ผลหรือค าตอบที่อาจ
เป็นไปได้หรือค าอธิบายที่เป็นไปได้ของปัญหาใด ๆ การตั้งสมมติฐานอาจใช้ค าว่า

ถ้า...... (อ้างอิงปัญหา) ดังนั้น...... (แนะลู่ทางการตรวจสอบสมมติฐาน)สมมติฐานที่ดี ควร
- กะทัดรัด ชัดเจน เข้าใจง่าย
- แนะช่องทางตรวจสอบสมมติฐาน
- มีความสัมพันธ์กับปัญหาและข้อเท็จจริงที่รวบรวมได้จากการสังเกต

นักเรียนอาจเคยสังเกตว่าต้นไม้ชนิดเดียวกันที่ปลูกอยู่ในบริเวณที่ร่มไม่เจริญเท่ากับต้นไม้ที่อยู่กลางแจ้ง
นักเรียนอาจสงสัยว่าอะไรท าให้ต้นไม้มีลักษณะเช่นนี้ ซึ่งข้อสงสัยอาจเป็นไปได้หลากหลาย ถ้านักเรียนได้
สังเกตปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชชนิดนั้น ๆ อย่างละเอียด เช่น ความชื้น ธาตุอาหารในดิน
ไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ท าให้พืชเจริญเติบโตแตกต่างกัน

ตัวอย่างสมมติฐาน
นักเรียนคนที่ 1 ตั้งสมมติฐานว่า “ถ้าความเข้มแสงมีผลต่อการเจริญเติบโตของพช ดังนั้นพชที่อยู่


กลางแจ้งจะมีการเจริญเติบโตกว่าพืชที่เจริญเติบโตในที่ร่ม”


นักเรียนคนที่ 2 ตั้งสมมติฐานว่า “ถ้าความเข้มแสงมีผลต่อการเจริญเติบโตของพช ดังนั้นพชที่อยู่
กลางแจ้งจะสูงกว่าพืชที่เจริญเติบโตในร่ม”
นักเรียนคนที่ 3 ตั้งสมมติฐานว่า “ถ้าเชื้อราเพนิซิเลียมมีผลต่อยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย ดังนั้น
ใส่เชื้อราเพนิซิเลียมเข้าไปในปริมาณที่ต่างกันจะท าให้แบคทีเรียเติบโตได้ต่างกัน”


3. การตรวจสอบสมมติฐาน



วิธการตรวจสอบสมมติฐาน ได้แก่ การสงเกต และรวบรวมข้อเทจจริงต่าง ๆ ที่เกิดจาก


ื่






ปรากฏการณ์ทางธรรมชาต อกวิธหนึง โดยการทดลอง ซึ่งเป็นวธการที่นิยมใชมากที่สุด เพอท า การ
ื่


ค้นควาหาข้อมูล รวบรวมข้อมูลเพอตรวจสอบดวาสมมติฐานข้อใดเป็นค าตอบที่ถูกต้องที่สุด ในการ


ตรวจสอบโดยการทดลองนัน ควรจะมีการวางแผนล าดับขั้นตอน การทดลองก่อนหลัง ออกแบบการ


ทดลองอยางด
กระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ผู้ทดลองจะต้องควบคุมปัจจัยที่มีผลต่อ การทดลอง เรียกว่า
ตัวแปร (Variable) คือสิ่งที่มีอทธิพลต่อการทดลอง ซึ่งควรจะมีตัวแปรน้อยที่สุด ตัวแปรแบ่ง

ออกเป็น 3 ชนิด คือ
1) ตัวแปรต้น /ตัวแปรอสระ (Independent variable) คือ ตัวแปรที่ต้องศึกษาท าการ

ตรวจสอบและดูผลของมัน เป็นตัวแปรที่เราก าหนดขึ้นมา เป็นตัวแปรที่ไม่อยู่ในความควบคุมของตัวแปร
ใด ๆ

2) ตัวแปรตาม (Dependent variable) คือ ตัวแปรที่ไม่มีความเป็นอสระในตัวมันเอง
เปลี่ยนแปลงไปตามตัวแปรอิสระ เพราะเป็นผลของตัวแปรอิสระ
3) ตัวแปรควบคุม (Controlled variable) หมายถึง สิ่งอน ๆ นอกจากตัวแปรต้น ที่ท า
ื่
ให้ผลการทดลอง คลาดเคลื่อนแต่เราควบคุมให้คงที่ตลอดการทดลอง เนื่องจากยังไม่ต้องการศึกษา ในการ

- 22 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


ตรวจสอบสมมติฐาน นอกจากจะควบคุมปัจจัยที่มีผลต่อการทดลอง จะต้องแบ่งชุดของการทดลองเป็น
กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม

- กลุ่มทดลอง หมายถึง กลุ่มที่เราใช้ศึกษาผลของตัวแปรอิสระ
ื่


- กลุ่มควบคุม หมายถึง ชุดของการทดลองที่ใช้เป็นมาตรฐานอางอง เพอเปรียบเทียบ
ข้อมูลที่ได้จากการทดลอง กลุ่มควบคุมจะแตกต่างจากกลุ่มทดลองเพียง 1 ตัวแปรเท่านั้น คือ ตัวแปรที่เรา

จะตรวจสอบหรือตัวแปรอสระ ในขั้นตอนนี้ จะต้องมีการบันทึกข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหรือการ
ทดลอง แล้วน าข้อมูลที่ได้มาจัดกระท าข้อมูลและสื่อความหมาย ซึ่งจะต้องมีการออกแบบการบันทึก
ข้อมูลให้อ่านเข้าใจง่ายอาจจะบันทึกในรูปตาราง กราฟ แผนภูมิ
4. การเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล
เป็นการน าข้อมูลจากการทดลองมาหาความสัมพันธ์กันเพื่ออธิบายว่ามีความเป็นไปได้ตาม

สมมติฐานหรือไม่
5. การสรุปผลการทดลอง
ื่
เมื่อเก็บข้อมูลแล้วจึงแปลผล และสรุปผลการทดลองเพอเป็นค าตอบของปัญหาต่อไป


ทฤษฎี (Theory)
คือ สมมติฐานที่ได้รับการตรวจสอบและทดลองหลายครั้ง จนสามารถอธิบายข้อเท็จจริงอน ๆ ที่
ื่
คล้ายกันได้ ทฤษฎีอาจเปลี่ยนแปลงได้หากได้รับข้อมูลหรือข้อเท็จจริงใหม่ ๆ เพิ่มขน เช่น ทฤษฎีเซลล์ ทฤษฎี
ึ้
วิวัฒนาการ ทฤษฎีการคัดเลือกตามธรรมชาติ เป็นข้อสรุปที่ได้รับการยืนยันจากผลการทดลอง (แต่อาจ
เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าผลการทดลองครั้งใหม่ เปลี่ยนไปจากเดิม)

กฎ (Law)


คือ ความจริงพื้นฐาน สามารถทดลอบได้และได้ผลเหมือนเดิมทุกครั้งโดยไมมีขอโต้แย้ง เช่น กฎของ
เมนเดล กฎความทนของเชลฟอร์ด เป็นข้อสรุปที่ได้รับการพิสูจน์ยืนยันหลายๆครั้ง ในสภาวะที่แตกต่างกัน

ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 23 -


Q: ทดสอบความเข้าใจที่ 2.2


ค าชี้แจง นักเรียนคั้นน้ าสับปะรด จากสับปะรด 2 ลูก ใส่ในขวดแยกกันขวดทั้ง 2 ขวด โดยมีการผสมน้ าเชื่อม
เพื่อเพิ่มรสชาติ หลังจากนั้นเก็บไว้เพื่อดื่ม พบว่าน้ าสับปะรดทั้ง 2 ขวดมีฟองต่างกัน และเมื่อเปิดฝาออกพบว่า
ี่
ขวดที่มีฟองมากกว่ามีกลิ่นแอลกอฮอล์ในปริมาณทมากกว่า
1. จงตั้งปัญหากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

1.1 ………………………………………………………………………..……………………………………………………………..
1.2……………………………………………………………………………..…………………………………………….…………..
1.3………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2. จงน าปัญหาที่ได้มาตั้งสมมุติฐาน

……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………………




แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม
























การเขียนเค้าโครงโครงงานวิทยาศาสตร์ สะเต็มและโครงงานวิทยาศาสตร์

- 24 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4



ความรู้ทางชีววิทยาได้มาอย่างไร


ให้นักเรียนแบ่งออกเป็นกลุ่มๆละ 4-5 คน ศึกษาการทดลองของอเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง ต่อไปนี้แล้ว
ตอบถามถามด้านล่าง อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง (Alexander Fleming) นักจุลชีววิทยาชาวอังกฤษ ได้
ทดลองเลี้ยงเชื้อแบคทีเรียในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ ทุกครั้งที่ทดลองเขาสังเกตว่ามีเชื้อราเจริญอยู่ในจานเลี้ยงเชื้อ

แบคทีเรีย และยังสังเกตเห็นอีกว่าแบคทีเรียที่เพาะเลี้ยงไว้ไม่เจริญใกล้บริเวณที่มีเชื้อรา จากการสังเกตท าให้
เกิดปัญหาว่า เมื่อมีเชื้อราเกิดขึ้น ท าไมแบคทีเรียจึงไม่เจริญ เขาจึงให้ข้อสังเกตว่าราที่เจริญในจานเพาะเลี้ยง
เชื้อน่าจะมีส่วนท าให้แบคทีเรียตายได้























ภาพที่ 2.3 ปฏิกิริยาของราเพนิซิลเลียมที่มีต่อเชื้อแบคทีเรีย



ที่มา:http://bio1152.nicerweb.com/Locked/


ภายหลังจากการค้นพบของอเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง ท าให้ได้ความรู้ใหม่ว่า ราที่เจริญในจานพาะ

เลี้ยงเชื้อแบคทเรียนั้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า เพนิซิเลียม (Penicillium sp.) ซึ่งเป็นราที่กอให้เกิดประโยชน์ทาง

การแพทย์ โดยน ามาท ายาปฏิชีวนะที่ชื่อว่า เพนิซิลลินซึ่งสามารถท าลายเชื้อแบคทีเรียที่ท าให้เกิดโรคต่าง ๆ
ได้หลายชนิด

ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 25 -



Q: ทดสอบความเข้าใจที่ 2.4




ค าชี้แจง จงตอบค าถามต่อไปนี้ให้สมบูรณ์


1. ปัญหาการทดลองนี้คืออะไร และได้มาอย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ในเบื้องต้น ของอเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง ได้ให้ค าตอบของปัญหานี้ว่าอย่างไร

……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……….…………………………………………………………………………………………………………………….…………..…
3. การทดลองนี้สรุปได้ว่าอย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ผลการทดลองนี้เกิดประโยชน์ในด้านใด
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. ให้นักเรียนเขียนแผนภาพขั้นตอนการศึกษาของอเล็กซานเดอร์ตามล าดับ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

6. สะเต็มศกษากับวิธีการทางวิทยาศาสตร์มีความแตกต่าง กันอย่างไร
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................

7. จากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ได้เรียนมา ให้นักเรียนจับกลุ่ม เพื่อท าโครงงาน
ชื่อโครงงาน
........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................

............................................................................................................................................................
ก าหนดปัญหา....................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................

สมมุติฐานคือ......................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................

- 26 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


กล้องจุลทรรศน์


กล้องจุลทรรศน์เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าและ


รายละเอยดโครงสร้างของเซลล์ กล้องจุลทรรศน์จ าแนกได้ 2 ชนิดคือ กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงและกล้อง
จุลทรรศน์อเล็กตรอน ซึ่งมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงจะแบ่ง

ออกเป็นกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงธรรมดาและกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงแบบสเตอริโอ



จุดประสงค์การเรียนรู้ เมื่อนักเรียนเรียนจบแล้ว นักเรียนสามารถ
1. บอกวิธีการและเตรียมตัวอย่างสิ่งมีชีวิตเพอศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง วัดขนาด
ื่
โดยประมาณและวาดภาพและปรากฏภายใต้กล้อง บอกวิธีการใช้ และการดูแลกล้องจุลทรรศน์
ใช้แสงที่ถูกต้อง


ประวัติของกล้องจุลทรรศน์
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่านะ เดิมใช้เพียงแว่นขยายและเลนส์อันเดียวส่องดู


คงเช่นเดียวกับการใช้แว่นขยายส่องดูลายมือ ในระยะต่อมา กาลิเลอ กาลิเลโอ ได้สร้างแว่นขยายส่องดู
สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในราวปี พ.ศ. 2153

ในช่วงปี พ.ศ. 2133 ช่างท าแว่นตาชาวฮอลันดาชื่อ แจนเสน ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ชนิดเลนส์
ประกอบ ประกอบด้วยแว่นขยายสองอัน

ในปี พ.ศ. 2208 โรเบิร์ต ดาว์ฮุก ได้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ชนิดเลนส์ประกอบที่มีล ากล้องรูปร่าง

สวยงาม ป้องกันการรบกวนจากแสงภายนอกได้ และไม่ต้องถือเลนส์ให้ซ้อนกัน เขาส่องดูไม้คอร์กที่ฝานบางๆ
แล้วพบช่องเล็ก ๆ มากมาย เขาเรียกช่องเหล่านั้นว่าเซลล์ ซึ่งหมายถึงห้องว่างๆ หรือห้องขัง เซลล์ที่ดาว์ฮก

เห็นเป็นเซลล์ที่ตายแล้วเหลือแต่ผนังเซลล์ของพืชซึ่งแข็งแรงกว่าเยื่อหุ้มเซลล์ในสัตว์ จึงท าให้คงรูปร่างอยู่ได้ ฮ ุ
กจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตั้งชื่อเซลล์

ในปี พ.ศ. 2215 แอนโทนี แวน เลเวนฮุค ชาวฮอลันดา สร้างกล้องจุลทรรศน์ชนิดเลนส์เดียวจากแว่น

ขยายที่เขาฝนเอง แว่นขยายบางอันขยายได้ถึง 270 เท่า เขาใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจดูหยดน้ าจากบึงและ
แม่น้ า และจากน้ าฝนที่รองไว้ในหม้อ เห็นสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ มากมายนอกจากนั้นเขายังส่องดูสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เช่น
เม็ดเลือดแดง, เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้, กล้ามเนื้อ เป็นต้น เมื่อเขาพบสิ่งเหล่านี้ เขารายงานไปยังราชสมาคมแห่ง
กรุงลอนดอน จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์



ปี พ.ศ. 2367 ดูโธรเชต์ นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสศึกษาเนื้อเยื่อพช และสัตว์พบว่าประกอบด้วย
เซลล์



ปี พ.ศ. 2376 โรเบิร์ต บราวน์ นักพฤกษศาสตร์ชาวองกฤษ เป็นค้นแรกที่พบว่าเซลล์และพชมี
นิวเคลียสเป็นก้อนกลม ๆ อยู่ภายในเซลล์


ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 27 -

ื่
ปี พ.ศ. 2378 นุก นะดือจาร์แดง นักสัตวศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ศึกษาจุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตอน ๆ
พบว่าภายในประกอบด้วยของเหลวใสๆ จึงเรียกว่า ซาร์โคด ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสมาจากศัพท์กรีกว่า ซารค์

(Sarx) ซึ่งแปลว่าเนื้อ

ปี พ.ศ. 2381 ชไลเดน นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ศึกษาเนื้อเยื่อพชชนิดต่าง ๆ พบว่าพชทุกชนิด

ประกอบด้วยเซลล์

ปี พ.ศ. 2382 ชไลเดนและชวาน จึงร่วมกันตั้งทฤษฎีเซลล์ ซึ่งมีใจความสรุปได้ว่า "สิ่งมีชีวิตทุกชนิด
ประกอบไปด้วยเซลล์และผลิตภัณฑ์จากเซลล์"

ปี พ.ศ. 2382 พวกินเย นักสัตว์วิทยาชาวเชคโกสโลวาเกีย ศึกษาไข่และตัวออนของสัตว์ชนิดต่าง ๆ


พบว่าภายในมีของเหลวใส เหนียว อ่อนนุ่มเป็นวุ้น เรียกว่าโปรโตพลาสซึม
ต่อจากนั้นมีนักวิทยาศาสตร์อกมากมายท าการศึกษาเกี่ยวกับเซลล์ด้วยกล้อง จุลทรรศน์ชนิดเลนส์


ประกอบ และได้พฒนาให้ดียิ่งขึ้น จนกระทั่งปี พ.ศ. 2475 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน คืออ.รุสกา และ

แมกซนอลล์ ได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการของกล้องจุลทรรศน์ที่ใช้แสงและเลนส์มาใช้ล าอิเล็กตรอน ท าให้เกิด

กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนขึ้นในระยะต่อ ๆ มา ปัจจุบันมีก าลังขยายกว่า 5 แสนเท่า
ชนิดของกล้องจุลทรรศน์
กล้องจุลทรรศน์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบธรรมดาและ
แบบสเตอริโอ
2. กล้องจุลทรรศน์แบบอิเล็กตรอน ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องผ่าน

และแบบส่องกราด
1. กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง
เป็นกล้องที่ได้รับการพัฒนาจากในอดีตอย่างมาก และใช้แสงที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ที่มีก าลังขยายถึง
2,000 เท่าและเป็นกล้องที่ราคาถูกสามารถใช้ในงานที่ละเอยดพอประมาณ แบ่งได้เป็น 2 ประเภท

1.1) กล้องจุลทรรศน์ที่ใช้แสงแบบธรรมดา

ประกอบด้วยเลนส์ 2 ชนิด คือ เลนส์ใกล้วัตถุและเลนส์ใกล้ตา โดยใช้แสงผ่านวัตถุแล้วขึ้นมาที่เลนส์จนเห็น
ภาพวัตถุอย่างชัดเจน















ก ข

ภาพที่ 2.4 ก.ภาพเทาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ข.กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง
ที่มา: https://www.google.com/search?q=stereo+microscope

- 28 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


ส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์ที่ใช้แสงแบบธรรมดา ประกอบด้วย


1. ล ากล้อง (Body tube) เป็นส่วนที่เชื่อมโยงอยู่ระหว่าง เลนส์ใกล้ตากับเลนส์ใกล้วัตถุ มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้
แสงจากภายนอกรบกวน
2. แขน (Arm) คือส่วนที่ท าหน้าที่ยึดระหว่างส่วนล ากล้องกับฐาน เป็นต าแหน่งที่จับเวลายกกล้อง
3. แท่นวางวัตถุ (Speciment stage) เป็นแท่นใช้วางแผ่นสไลด์ที่ต้องการศึกษา

4. ที่หนีบสไลด์ (Stage clip) ใช้หนีบสไลด์ให้ติดอยู่กับแท่นวางวัตถุ ในกล้องรุ่นใหม่จะมี Mechanical stage
แทนเพอควบคุมการเลื่อนสไลด์ให้สะดวกขึ้น
ื่
5. ฐาน (Base) เป็นส่วนที่ใช้ในการตั้งกล้อง ท าหน้าที่รับน้ าหนักตัวกล้องทั้งหมด

6. กระจกเงา (Mirror) ท าหน้าที่สะทอนแสงจากธรรมชาติหรือแสงจากหลอดไฟภายในห้องให้ส่องผ่านวัตถุ

โดยทั่วไปกระจกเงามี 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นกระจกเงาเว้า อกด้านเป็นกระจกเงาระนาบ ส าหรับกล้องรุ่นใหม่จะ

ใช้หลอดไฟเป็นแหล่งกาเนิดแสง ซึ่งสะดวกและชัดเจนกว่า
ึ้
7. เลนส์รวมแสง (condenser) ท าหน้าที่รวมแสงให้เข้มขนเพื่อส่งไปยังวัตถุที่ต้องการศึกษา
8. ไดอะแฟรม (diaphragm) อยู่ใต้เลนส์รวมแสงท าหน้าที่ปรับปริมาณแสงให้เข้าสู่เลนส์

9. ปุ่มปรับภาพหยาบ (Coarse adjustment) ท าหน้าที่ปรับภาพโดยเปลี่ยนระยะโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุ
(เลื่อนล ากล้องหรือแท่นวางวัตถุขึ้นลง) เพื่อท าให้เห็นภาพชัดเจน
10. ปุ่มปรับภาพละเอียด (Fine adjustment) ท าหน้าที่ปรับภาพ ท าให้ได้ภาพที่ชัดเจนมากขึ้น

11. เลนส์ใกล้วัตถุ (Objective lens) จะติดอยู่กับจานหมุน (Revolving nose piece) ซึ่งจานหมุนนี้ท า
หน้าที่ในการเปลี่ยนก าลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ ตามปกติเลนส์ใกล้วัตถุมีก าลังขยาย 3-4 ระดับ คือ 4x 10x
40x 100x ภาพที่เกิดจากเลนส์ใกล้วัตถุเป็นภาพจริงหัวกลับ
12. เลนส์ใกล้ตา (Eye piece) เป็นเลนส์ที่อยู่บนสุดของล ากล้อง โดยทั่วไปมีก าลังขยาย 10x หรือ 15x ท า
หน้าที่ขยายภาพที่ได้จากเลนส์ใกล้วัตถุให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ท าให้เกิดภาพที่ตาผู้ศึกษาสามารถมองเห็นได้ โดย

ภาพที่ได้เป็นภาพเสมือนหัวกลับ

การใช้งานกล้องจุลทรรศน์ที่ใช้แสงแบบธรรมดา


1. การจับกล้อง ใช้มือหนึ่งจับที่แขนของกล้อง และใช้อีกมือหนึ่งรองรับที่ฐาน
ื่
2. ตั้งล ากล้องให้ตรงเสมอเพอป้องกันไม่ให้ส่วนประกอบต่าง ๆ เลื่อนหลุดจากต าแหน่ง
3. หมุนเลนส์ใกล้วัตถุให้เป็นเลนส์ที่มีก าลังขยายต่ าสุดให้อยู่ในต าแหน่งแนวของล ากล้อง

4. ปรับกระจกเงา หรือเปิดไฟเพื่อให้แสงเข้าล ากล้องได้เต็มที่
5. น าแผ่นสไลด์ที่จะศึกษาวางบนแท่นวางวัตถุ ให้วัตถุอยู่บริเวณกึ่งกลางบริเวณที่แสงผ่าน
6. มองด้านข้างตามแนวระดับแท่นวางวัตถุ ค่อยๆหมุนปุ่มปรับภาพหยาบให้เลนส์ใกล้วัตถุเลื่อนลงมาอยู่
ใกล้ๆกระจกปิดสไลด์ (แต่ต้องระวังไม่ให้เลนส์กับสไลด์สัมผัสกัน เพราะจะท าให้ทั้งคู่แตกหักหรือ

เสียหายได้)
7. มองที่เลนส์ใกล้ตาค่อยๆปรับปุ่มปรับภาพหยาบให้กล้องเลื่อนขึ้นช้า ๆ เพื่อหาระยะภาพ เมื่อได้ภาพแล้ว
ให้หยุดหมุน ตรวจดูแสงว่ามากหรือน้อยเกินไปหรือไม่ ให้ปรับไดอะแฟรมเพื่อให้ได้แสงที่พอเหมาะ

ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 29 -



8. มองที่เลนส์ใกล้ตาหมุนปุ่มปรับภาพละเอยดเพอให้ได้ภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าวัตถุที่ศึกษาไม่อยู่ตรงกลาง
ื่
ให้เลื่อนแผ่นสไลด์เล็กน้อยจนเห็นวัตถุอยู่ตรงกลางพอดี

9. ถ้าต้องการให้ภาพขยายใหญ่ขึ้นก็หมุนเลนส์อนที่ก าลังขยายสูงขึ้นเข้าสู่แนวล ากล้อง แล้วปรับความ
คมชัดด้วยปุ่มปรับภาพละเอียดเท่านั้น

10. บันทึกก าลังขยายโดยหาได้จากผลคูณดังที่กล่าวไว้แล้ว
11. หลังจากใช้กล้องจุลทรรศน์แล้ว ให้ปรับกระจกเงาให้อยู่ในแนวดิ่ง ตั้งฉากกับตัวกล้อง เลื่อนที่หนีบสไลด์


ให้ตั้งฉากกับที่วางวัตถุ หมุนเลนส์ใกล้วัตถุให้เป็นอนที่มีก าลังขยายต่ าสุดอยู่ในต าแหน่งของล ากล้อง
และเลื่อนล ากล้องให้อยู่ในต าแหน่งต่ าสุด เช็ดท าความสะอาดส่วนที่เป็นโลหะด้วยผ้านุ่มๆและสะอาด
แล้วจึงน ากล้องเข้าเก็บในต าแหน่งที่เก็บกล้อง ก าลังขยายเราสามารถค านวณก าลังขยายของกล้องได้
โดย ก าลังขยายของเลนส์ใกล้ตา x ก าลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ


1.2) กล้องที่ใช้แสงแบบสเตอริโอ
เป็นกล้องที่ประกอบด้วยเลนส์ที่ท าให้เกิดภาพแบบ 3 มิติใช้ศึกษาวัตถุที่มีขนาดใหญ่แต่ตาเปล่าไม่
สามารถแยกรายละเอียดได้จึงต้องใช้กล้องชนิดนี้ช่วยขยาย กล้องชนิดนี้มีข้อแตกต่างจากกล้องทั่ว ๆ ไป คือ

1. ภาพที่เห็นเป็นภาพเสมือนมีความชัดลึกและเป็นภาพสามมิติ
2. เลนส์ใกล้วัตถุมีก าลังขยายต่ า คือ น้อยกว่า 1 เท่า
3. ใช้ศึกษาได้ทั้งวัตถุโปร่งแสงและวัตถุทึบแสง

4. ระยะห่างจากเลนส์ใกล้วัตถุกับวัตถุทศึกษาอยู่ในช่วง 63-225 มิลลิเมตร
ี่
















ก ข


ภาพที่ 2.5 ก.กล้องสเตอริโอ ข.ภาพแมลงภายใต้กล้องสเตอริโอ
ที่มา https://www.google.com/search?q=stereo+microscope
วิธีใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอริโอ

1. ตั้งระยะห่างของเลนส์ใกล้ตาให้พอเหมาะกับนัยน์ตาของผู้ใช้กล้องทั้งสองข้าง จะท าให้จอภาพที่
เห็นอยู่ในวงเดียวกัน
2. ปรับโฟกัสเลนส์ใกล้ตาทีละข้างจนชัดเจน ถ้าหากต้องการศึกษาจุดใดจุดหนึ่งของตัวอย่างให้ปรับ

โฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุทมีก าลังขยายสูงกอน เพราะจะท าให้เห็นภาพวัตถุได้ชัดเจนทั้งก าลังขยายสูงและ

ี่
ก าลังขยายต่ า

- 30 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4



Q: ทดสอบความเข้าใจที่ 2.5



ค าสั่ง จากภาพจงเติมขอความให้สมบูรณ์ และเติมหมายเลขให้สอดคล้องกับหน้าทีตามส่วนประกอบของ
กล้อง
................1.1 หมุนเพื่อเปลี่ยนก าลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ
................1.2 ปรับปริมาณแสงที่ผ่านไปยังวัตถุ
................1.3 ขยายภาพวัตถุให้ใหญ่ขึ้น เกิดเป็นภาพจริงหัวกลับ
................1.4 ขยายภาพวัตถุให้ใหญ่ขึ้น เกิดเป็นเสมือนจริงหัวกลับ

................1.4 ปรับภาพให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อเปลี่ยนก าลังขยาย 40x เป็นต้นไป














































ภาพที่ 2.6 กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง
ที่มา : http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201212/06/619382689.jpg


ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 31 -

กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (Electron Microscope)


หรือเรียกสั้นๆ ว่า E.M. ประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรก ในประเทศเยอรมนี เมื่อปี พ.ศ. 2475 โดย

นักวิทยาศาสตร์ 2 ท่าน คือ แมกซ์ นอลล์ (Max Knoll) และเอร์นสต์ รุสกา (Ernst Ruska) โดยแสงที่ใช้เป็น

ล าแสงอเล็กตรอน ซึ่งมีขนาดเล็กมาก ท าให้มีก าลังขยายสูงมาก ล าแสงอเล็กตรอนมีความยาวคลื่นประมาณ

o
-4
o
0.025 องสตรอม ( A ) (1 A = 10 ไมโครเมตร) ดังนั้นจึงท าให้กล้องจุลทรรศน์มีค่ารีโซลูชั่น ประมาณ

0.0004 ไมโครเมตร และมีก าลังขยายถึง 500,000 เท่า หรือมากว่า
แหล่งก าเนิดแสงอิเล็กตรอน คือ ปืนยิงอิเล็กตรอน (Electron fun) ซึ่งเป็นขดลวดทังสเตน มีลักษณะ


ิ่
เป็นรูปตัววี เมื่อขดลวดทังสเตนรั้นขึ้นโดยการเพมกระแสไฟฟาเข้าไปในขดลวด ท าให้อเล็กตรอนถูกปล่อย
ออกมาจากขดลวด เนื่องจากอิเล็กตรอนมีขนาดเล็กมาก เพื่อป้องกันการรบกวนของล าแสงอิเล็กตรอน จึงต้อง
ื่
มีการดูดอากาศออกจากตัวกล้องให้เป็นสุญญากาศ เพอป้องกันการชนกันของมวลอากาศกับล าแสง
อิเล็กตรอน ซึ่งท าให้เกิดการหักเหได้

ระบบเลนส์เป็นเลนส์ระบบแม่เหล็กไฟฟา (Electromagnetic lens) แทนเลนส์แก้วในกล้อง



จุลทรรศน์ธรรมดา เลนส์แม่เหล็กไฟฟาประกอบด้วยขดลวดพนรอบแท่งเหล็ก เมื่อกระแสไฟฟาผ่านเข้าไปท า

ให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น สนามแม่เหล็กไฟฟาท าให้ล าแสงอเล็กตรอนเข้มข้นขึ้น เพอไปตกที่ตัวอย่างวัตถุที่จะ

ื่


ศึกษา เลนส์ของกล้องจุลทรรศน์อเล็กตรอนประกอบด้วยเลนส์รวมแสง (Objective) และ Projector lens
โดย Projector lens ท าหน้าที่ฉายภาพ จากตัวอย่างที่จะศึกษาลงบนจอภาพ (ท าหน้าที่คล้ายกับ Eyepiece
ของกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา) จอภาพฉาบด้วยสารเรืองแสงพวกฟอสฟอรัส เมื่อล าแสงอิเล็กตรอนตกลงบนจอ
จะเกิดการเรืองแสงเป็นแสงสีเขียวแกมเหลือง ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


ผู้ศึกษาก็สามารถเห็นภาพบนจอได้ และก็สามารถบันทึกภาพนั้นด้วยกล้องถ่ายรูปซึ่งประกอบอยู่กับ
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนได้


1. กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องผ่าน (Transmission electron microscope)
เรียกย่อว่า TEM ซึ่งเอิร์น รุสกา ได้สร้างเป็นคนแรก เมื่อปี พ.ศ. 2475 ใช้ในการศกษาโครงสร้าง


ภายในของเซลล์ โดยล าแสงอเล็กตรอนจะส่องผ่านเซลล์หรือตัวอย่างที่ศึกษา ซึ่งต้องมีการเตรียมกันเป็นพิเศษ





และบางเปนพเศษ กลองจลทรรศนอเลกตรอนแบบTEM เป็นกล้องทีใชศึกษาโครงสร้างหรือ






องค์ประกอบของเซลลและเนื้อเยื่อในระดับโมเลกุล การใช้ต้องมีการเตรียมตัวอย่างดวย เทคนคพเศษ


โดยเฉพาะ เรียกวา ไอออนทิชชิ่ง(Ionteching) เป็นการน าเอาวัตถุตัวอย่างมาฉาบผิวด้วยโลหะ เพื่อให้ภาพ

ออกมามีความชัดเจน ส าหรับใช้ดูตัวอย่างในลักษณะภาพตัดขวาง (cross section)
2. กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องกราด (Scanning electron microscope)
เรียกย่อว่า SEM เอ็ม วอน เอนเดนนี (M. Von Andenne) สร้างส าเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2481 โดยใช้

ศึกษาผิวของเซลล์หรือผิวของตัวอย่างวัตถุที่น ามาศกษา โดยล าแสงอิเล็กตรอนจะส่องกราดไปบนผิวของ
วัตถุ ท าให้ได้ภาพซึ่งมีลักษณะเป็นภาพ 3 มิติกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด SEM เป็นกล้องที่ใช้

- 32 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


ศึกษาโครงสร้างหรือองค์ประกอบพื้นผิวของเซลล์เนื้อเยื่อ เละวัตถุได้ โดยท าให้องค์ประกอบต่างๆ ของเซลล์
หรือวัตถุให้มีความเข้มของเงาแตกต่างกัน


















ภาพที่ 2.7 ได้จากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM)

ที่มา: http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201212/06/619382689.jpg

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างของกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงและกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน


สิ่งเปรียบเทียบ กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน

ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 33 -


การหาขนาดจริงของวัตถุที่ศึกษา หรือขนาดของภาพจากกล้องจุลทรรศน์

1. อ่านค่าก าลังขยายของเลนส์ใกล้ตา และเลนส์ใกล้วัตถุ
2. ค านวณก าลังขยายของกล้องจากสูตร


ก าลังขยายรวมของกล้อง = ก าลังขยายของเลนส์ใกล้ตา X ก าลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ



= ขนาดของภาพ

ขนาดจริงของวัตถุ


ี่
3. บันทึกค่าตามทต้องการ


ตัวอย่างที่ 1 ถ้าวัตถุยาว 4 ไมโครเมตร เมื่อน ามาศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์จะมีความยาว 4 มิลลิเมตร
กล้องนี้มีก าลังขยายเท่าใด

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตัวอย่างที่ 2 พารามีเซียมในเลนส์ใกล้ตา 2 มิลลิเมตร โดยที่ใช้ก าลังขยายของเลนส์ใกล้ตา 10X และเลนส์


ใกล้วัตถุ 40X อยากทราบว่าขนาดจริงของพารามีเซียมตัวนี้มีขนาดเทาไหร่
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……
การเปลี่ยนหน่วย


ค าอุปสรรคจะใช้เมื่อค่าในหน่วยมูลฐานหรือหน่วยอนุพนธ์น้อยหรือมากเกินไปเราอาจจะเขียนค่านั้นอยู่ใน
รูปตัวเลขคูณด้วยเลขสิบยกก าลังบวกหรือลบ ได้ เพื่อให้เหมาะสมและกะทัดรัด สวยงาม ซึ่งในทาง
ชีววิทยา ค าอุปสรรคที่ใช้บ่อยๆ ได้แก่

-2
- เซนติ (c) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.01 หรือ 10
- มิลลิ (m) ซึ่งมีค่าเท่ากบ 0.001 หรือ 10
-3

-6
- ไมโคร (µ) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.000 001 หรือ 10

- 34 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


-9
- นาโน (n) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.000 000 001 หรือ 10
–10
- อังสตรอม (Å) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0. 000 000 0001 หรือ 10
ตัวอย่าง การเปลี่ยนหน่วย เช่น ภาพขนาด 0.7 มิลลิเมตร มีขนาดกี่ไมโครเมตร

ต้องการเปลี่ยน mm µm


-3
จาก 0.7 mm = 0.7 X 10 m

=


=


= 0.7 X 10 3


ถ้าต้องการกาลังขยายของภาพในหน่วยเซนติเมตร จะมีขนาดกี่เซนติเมตร
(แนวค าตอบ 8,000 µm = ? cm


=

= 8,000 X 10 cm หรือ 0.8 cm
-4
ดังนั้น ภาพที่ได้จะมีขนาด 0.8 cm ที่ก าลังขยาย 400 เท่า

ถ้าต้องการทราบขนาดจริงของภาพในหน่วยนาโนเมตรจะหาได้อย่างไร
-2
(แนวค าตอบ 5 X 10 µm = ? nm

=

= 50 nm ดังนั้น

ขนาดจริงของวัตถุนี้มีขนาด 50 nm


แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม



















การใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง การใช้กล้องจุลทรรศน์สเตอริโอ


ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 35 -

Q: ทดสอบความเข้าใจที่ 2. 6 เรื่อง กล้องจุลทรรศน์


ตอนที่ 1 ภาพจากการเปลี่ยนก าลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ ให้นักเรียนวาดภาพที่เห็นบนจอภาพจากกล้อง
จุลทรรศน์เลนส์ประกอบแบบใช้แสงที่ก าลังขยาย 4X, 10X และ 40X

ก าลังขยายของ ภาพที่เห็น

4X 10X 40X
เลนส์ใกล้วัตถุ







อักษร “ p ”














สไลด์ตัวอย่าง








ก าลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ
1. เมื่อเลื่อนสไลด์ไปทางขวาภาพที่ปรากฏมีทิศทางไปทางใด...........................................และเมื่อเลื่อน
สไลด์ออกจากตัว ภาพจะเลื่อนไปทางใด...............................................................................................

..............................................................................................................................................................
2. ภาพที่ได้จากกล้องจุลทรรศน์ เป็นภาพ.......................... มีทิศทาง.......................................................
ขนาด....................................................................................................................................................
. .............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................

- 36 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4




ขอบเขตภาพ จ านวน รายละเอียด ความสว่าง








ก าลังขยายต่ า




ก าลังขยายสูง


3. ถ้าภาพตัวอักษร “ม” มีขนาดจริง 20 ไมครอน ถ้ามองผ่านกล้องจุลทรรศน์ โดยใช้ก าลังขยายของเลนส์ใกล้
ตา = 10X และ เลนส์ใกล้วัตถุ = 40X ภาพที่เห็นจะมีลักษณะอย่างไร และมีขนาดภาพเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
4. ภาพขนาด 50 ไมโครเมตร ที่ก าลังขยายของเลนส์ใกล้ตา = 10X และ เลนส์ใกล้วัตถุ = 100X ขนาดจริงกี่

นาโนเมตร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………..........………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………
5. เซลล์เยื่อผิวของใบเรียงติดกัน 8 เซลล์ มีขนาด 0.15 มิลลิเมตร ที่ก าลังขยายของเลนส์ใกล้ตา = 10X และ

เลนส์ใกล้วัตถุ = 10X ถ้าเปลี่ยนก าลังขยายเป็น 400 เท่า จะเห็นเซลล์เยื่อผิวของใบกี่เซลล์
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………..........................…………


ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 37 -


8. ถ้าพารามีเซียมมีขนาดยาว 100 ไมโครเมตร เมื่อน ามาศกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ที่มีเลนส์ใกล้ตา 10x
เลนส์ใกล้วัตถุ 10x จะเห็นภาพพารามีเซียมมีขนาดความยาวเท่าใด

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

.................…………………………………………………………………………………………………………………………………………
ค าสั่ง ให้นักเรียนเลือกค าตอบที่ถูกต้อง

1. ในการตรวจรักษาผู้ป่วย ทางโรงพยาบาลจะมีแบบฟอร์มให้ผู้ป่วยกรอกประวัติส่วนตัว แบบฟอร์มนี้จัดเป็น

สิ่งใดทางวิทยาศาสตร์
ก. ข้อสรุป ข. ข้อเท็จจริง
ค. สมมติฐาน ง. กฎ
2. ข้อใด หมายถึงสมมติฐานในทางวิทยาศาสตร์

ก. การระบุปัญหา ข. การสังเกต
ค. การพยายามตอบปัญหา ง. การทดลอง
3. จากค ากล่าวของนักโภชนาการคนหนึ่ง ที่ว่า “มะนาวน่าจะช่วยป้องกันและทาให้อาการของ

โรคลักปิดลักเปิดลดลงได้” ค ากล่าวนี้จัดเป็น
ก. สรุปผล ข. ทฤษฎี
ค. สมมติฐาน ง. ข้อเท็จจริง
4. เมื่อนักเรียนไปหาหมอมักจะสอบถามอาการของนักเรียนก่อนที่จะท าการรักษา นักเรียน ว่าในขั้นตอน
การสอบถามอาการของคนไข้นั้นจัดเป็นขั้นใด

ก. ตั้งสมมติฐาน ข. สังเกต
ค. รวบรวมข้อมูล ง. ตรวจสอบสมมติฐาน
5. สิ่งใดที่ช่วยก าหนดแนวทางให้สามารถตั้งปัญหาได้อย่างถูกต้อง

ก. ข้อเท็จจริง ข. สมมติฐาน
ค. ข้อสรุป ง. ประสบการณ ์
6. ข้อใดหมายถึงสมติฐานในทางวิทยาศาสตร์
ก. การระบุปัญหา ข. ค าตอบที่เป็นจริง

ค. ค าตอบที่เป็นไปได้ ง. การทดลอง
7. นาย ชัดเจน ต้องการศึกษาว่า ปุ๋ยมีผลต่อการออกดอกของกุหลาบหนูหรือไม่ ตัวแปรอสระ ตัว แปรที่ต้อง

ควบคุม และตัวแปรตามในการทดลองนี้คืออะไร ตามล าดับ
ก. ปุ๋ย ชนิดกุหลาบ การออกดอก

ข. น้ า ชนิดกุหลาบ ปุ๋ย
ค. ปุ๋ย การออกดอก ปริมาณปุ๋ย
ง. การออกดอก ปุ๋ย ชนิดกุหลาบ

- 38 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


8. ถ้าใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูโปรโตซัวโดยใช้เลนส์ตาที่มีก าลังขยาย 10 เท่า และเลนส์ วัตถุที่มี ก าลังขยาย
40 เท่า สามารถมองเห็นโปรโตซัวในสเกลเลนส์ตามีความยาว 2 mm ขนาดจริงของโปรโตซัวคือ

ก. 0.5 ไมครอน ข. 5 ไมครอน
ค. 50 ไมครอน ง. 0.5 mm
9. ถ้าท่านใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง โดยใช้เลนส์ใกล้ตาทีมีก าลังขยาย 20 เท่า และ เลนส์
ใกล้วัตถุที่มีก าลังขยาย 100 เท่า สามารถมองเห็นจุลินทรีย์ดังกล่าวยาว 100 ไมโครเมตรขนาดจริงของ

จุลินทรีย์เป็นเท่าใด
ก. 0.5 นาโนเมตร ข. 5 นาโนเมตร
ค. 50 นาโนเมตร ง. 0.5 ไมโครเมตร
10. จากการส ารวจเซลล์ของแบคทีเรียชนิดคอกคัสจากกล้องจุลทรรศน์ที่มีก าลังขยาย เลนส์ใกล้ตา X20

และเลนส์วัตถุ X50 วัดได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 2.1 มิลลิเมตร ปริมาตรโดยประมาณของแบคทีเรีย
ชนิดนี้ควรจะเป็นเท่าไร
ก. 3.0 ไมโครลิตร
ข. 4.5 ไมโครลิตร

ค. 0.006 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
ง. 0.009 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
11. ก าหนดให้ 1 = เปลี่ยนเลนส์ใกล้วัตถุจาก 10X เป็น 40X

2 = หมุนปุ่มปรับภาพหยาบ
3 = หมุนปุ่มปรับภาพละเอียด
4 = ตามองที่เลนส์ใกล้วัตถุ
เมื่อดูภาพด้วยกล้องจุลทรรศน์โดยใช้เลนส์ใกล้วัตถุ 10X และปรับจนเห็นภาพชัดดี หาก
ต้องการจะดูรายละเอียดเพิ่มขึ้น จะมีขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างไร

ก. 1 4 3 ข. 1243

ค. 2143 ง. 2143
12. อักษร “ง” มีขนาดจริง 20 ไมครอน เมื่อมองผ่านกล้องจุลทรรศน์ซึ่งมีก าลังขยายเลนส์ ใกล้ตา 10 เท่า
เลนส์ใกล้วัตถุ 40 เท่า จะเห็นภาพเป็นอย่างไร
ก. ขนาด 8 มิลลิเมตร ข. ขนาด 0.4 มิลลิเมตร

ค. ขนาด 8 มิลลิเมตร ง. ขนาด 0.4 มิลลิเมตร
13. เส้นผ่านศูนย์กลางของอาณาเขตที่เห็นจากกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งใช้เลนส์ใกล้ตา 10X และเลนส์วัตถุ 10X
วัดได้ 1, 200 ไมโครเมตร เมื่อเปลี่ยนเลนส์วัตถุเป็น 40X จะเห็นภาพของวัตถุเป็นสัดส่วนกับอาณาเขตที่เห็น
ได้ดังภาพซ้ายมือ วัตถุที่เห็นมีความยาวจริงเท่าไร

ก. 50 ไมโครเมตร
ข. 100 ไมโครเมตร
ค. 200 ไมโครเมตร
ง. 300 ไมโครเมตร


ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 39 -

14. ภาพที่แสดงเป็นแมลงชนิดหนึ่งที่ปรากฏในวงภาพของกล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ ประกอบที่ใช้ก าลังขยาย
ปานกลาง ท่านจะปรับกล้องอย่างไรให้ได้รายละเอียดของ แมลงทั้งตัวในวงภาพ

ก. เลื่อนสไลด์ไปทางซ้าย-ไม่เปลี่ยนก าลังขยาย
ข. เลื่อนสไลด์ไปทางขวา-ไม่เปลี่ยนก าลังขยาย
ค. เลื่อนสไลด์ไปทางซ้าย-ใช้ก าลังขยายสูง
ง. เลื่อนสไลด์ไปทางขวา-ใช้ก าลังขยายสูง

15. สมมติฐานควรมีลักษณะเป็นอย่างไร
1. ทดสอบได้ด้วยการทดลอง
2. ครอบคลุมตัวแปรหลายๆตัว
3. ชัดเจน เข้าใจง่าย และสัมพันธ์กับปัญหา

4. สามารถอธิบายปัญหาต่างๆได้
ก. 1 2 ข. 1 3
ค. 2 3 ง. 1 4

16.ที่ก าลังขยายของกล้องจุลทรรศน์ที่กาลังขยาย 4x10 เห็นเส้นผ่านศูนย์กลางความยาว 4 มิลลิเมตรถ้า
เปลี่ยนก าลังขยายเป็น 10x10 จะเห็นไม้บรรทัดส่วนที่พาดผ่านศูนย์กลางมีความยาวเท่าใด
ก. 1.6 มิลลิเมตร ข. 1.0 มิลลิเมตร
ค. 4.0 มิลลิเมตร ง. 2.5 มิลลิเมตร

17.ขณะที่มองไปในจอภาพของกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง ข้อความใดถูกต้อง(มข.50)
ก. ถ้าเลื่อนสไลด์ไปทางขวา จะเห็นวัตถุที่ผนึกบนสไลด์เลื่อนไปทางซ้าย
ข. ถ้าเลื่อนสไลด์ห่างจากตัว จะเห็นวัตถุที่ผนึกบนสไลด์เลื่อนห่างออกไปจากตัว
ค. ถ้าเปลี่ยนไปใช้เลนส์ใกล้วัตถุก าลังขยายสูงขึ้น จะเห็นพื้นที่บนวัตถุเพิ่มขึ้น
ง. ถ้าเลื่อนไปใช้เลนส์ใกล้วัตถุก าลังขยายสูงขึ้น ความสว่างในจอภาพจะเพิ่มขึ้น

18.กล้องจุลทรรศน์ชนิดใช้แสงธรรมดา (Compound light microscope) มีขีดจ ากัดในการศึกษาวัตถุที่มี
ขนาดเล็กที่สุดเท่าใด(มอ.50 )
ก. 0.1 มิลลิเมตร ข. 0.2 ไมโครเมตร

ค. 0.5 มิลลิเมตร ง. 10 มิลลิเมตร
19. กล้องจุลทรรศน์ในข้อใดให้ก าลังขยายเป็นภาพ 3 มิติ(A-net 2551)
1. กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงแบบสเตอริโอ(Steoscopic microscope)
2. กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงธรรมดา( Compound light microscope)

3. กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องกราด(Scanning electron microscope)
4. กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องผ่าน(Transmission electron microscope)
ก. 1 และ 3 ข. 1 และ 4
ค. 2 และ 3 ง. 2 และ 4

- 40 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4




หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต



ี่
สารอนินทรีย์ที่ส าคัญ คือ น้ า และแร่ธาตุบางชนิด ในร่างกายมีน้ าเป็นองค์ประกอบมากทสุด น้ าเป็นตัว
ท าละลายที่ดี ช่วยล าเลียงสารต่าง ๆ ไปทั่วร่างกาย น้ ามีความจุความร้อนสูงจึงช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกาย

ให้คงที่ ส าหรับแร่ธาตุเป็นส่วนประกอบของเซลล์และเนื้อเยื่อ และช่วยให้เกิดปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ


สารอนทรีย์มีธาตุคาร์บอนและธาตุไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก สารอนทรีย์ที่พบมากในสิ่งมีชีวิตมี
4 กลุ่ม ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ลิพด และกรดนิวคลีอก สารเหล่านี้เป็นโครงสร้างของเซลล์ ช่วยให้


ร่างกายเจริญเติบโต เป็นสารที่ให้พลังงาน กรดนิวคลีอกท าหน้าที่เก็บและถ่ายทอดข้อมูลทางพนธุกรรม


นอกจากนี้ยังมีวิตามินซึ่งไม่ให้พลังงาน แต่ร่างกายจ าเป็นต้องได้รับจึงจะด ารงชีวิตได้อย่างปกติ
ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต มี 2 ประเภท คือ ปฏิกิริยาคายพลังงานและปฏิกิริยาดูดพลังงาน
ปฏิกิริยาเหล่านี้จ าเป็นต้องอาศัยเอนไซม์ช่วยเร่งปฏิกิริยา ความเป็นกรด-เบส อุณหภูมิ ความเข้มข้นของสาร
ตั้งต้น และความเข้มข้นของเอนไซม์มีผลต่อปฏิกิริยาต่าง ๆ ในเซลล์ ปฏิกิริยาอาจชะงักหรือหยุดไปถ้ามีสารที่

มีสมบัติยับยั้งการท างานของเอนไซม์เข้ารวมกับเอนไซม์หรือสารตั้งต้น



จุดประสงค์การเรียนรู้

1. สืบค้นข้อมูล อธิบายเกี่ยวกับสมบัติของน้ าและบอกความส าคัญของน้ าที่มีต่อส่งมีชีวิต และยกตัวอย่าง
ธาตุชนิดต่างๆ ที่มีความส าคัญต่อร่างกายสิ่งมีชีวิต

2. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต ระบุกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งความส าคัญของ
คาร์โบไฮเดรตที่มีต่อสิ่งมีชีวิต
3. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของโปรตีน และความส าคัญของโปรตีนที่มีต่อสิ่งมีชีวิต
4. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของลิพิด และความส าคัญของลิพิดที่มีต่อสิ่งมีชีวิต


5. อธิบายโครงสร้างของกรดนิวคลิอก และระบุชนิดของกรดนิวคลิอกและความส าคัญของกรดนิวคลิอิกที่มี

ต่อสิ่งมีชิต
6. สืบค้นข้อมูลและอธิบายปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต

7. อธิบายการท างานของเอนไซม์ในการเร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิตและระบุปัจจัยที่มีผลต่อการท างานของ
เอนไซม ์

ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 41 -


แบบทดสอบก่อนเรียน


ค าชี้แจง ให้นักเรียนเติมเครื่องหมายถูก(/) หรือผิด(x) หน้าข้อความที่ก าหนดให้
1.1 ………………. ตัวเลขที่แสดงจ านวนโปรตอนในอะตอม เรียกว่าเลขมวล ผลรวมของจ านวนโปรตรอนกับ
นิวตรอนเรียกว่า เลขอะตอม
1.2……………..…. อิเล็กตรอนที่อยู่ในระดับพลังงานชั้นนอกสุด ที่เคลื่อนที่รอบนิวเคลียส เรียกว่า เวเลนซ์

อิเล็กตรอน
1.3………….…… โปรตอนและนิวตรอนมีประจุไฟฟ้าบวก ส่วนอิเล็กตรอนมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ
1.4 ………..…… ปฏิกิริยาเคมีเป็นกระบวนการที่ท าให้สารเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีแล้วมีสารใหม่เกิดขึ้น
1.5 ……………… การเกิดปฏิกิริยาเคมอาจสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลง ของสี และ กลิ่นต่างไปจากเดิม การ

มีฟองแก๊ส หรือตะกอนเกิดขึ้น หรือมีการเพิ่มหรือลดอุณหภูมิ
1.6 …………..…… การหลอมเหลวของน้ าแข็ง หรือการระเหยกลายเป็นไอน้ าจัดเป็นปฏิกิริยาเคม ี
1.7 ……………..…สารประกอบคาร์บอนทุกชนิดเป็นสารอินทรีย์
1.8 ……………… สารชีวโมเลกุลคือสารทุกชนิดที่พบและเป็นองค์ประกอบในสิ่งมีชีวิต

1.9 ……………… เอนไซม์เป็นสารอินทรีย์ประเภทโปรตีนที่สามารถเร่งปฏิกิริยาให้เกิดได้เร็วขึ้น
1.10 …….………. .สารอนินทรีย์ ที่ท าหน้าที่ควบคุมการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตคือ DNA และ RNA
1.11 ……………. .โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ลิพิด และกรดนิวคลีอิก เป็นโมเลกุลที่ใหญ่เกิดจากหน่วยย่อย

(Monomer) ต่อกัน
1.12 …………….. เซลลูโลสจัดเป็นไดแซ็คคาไรค์ ท าหน้าที่เป็นส่วนประกอบหลักของผนังเซลล์
1.13 ……..…….. ฮีโมโกลบิล และเอนไซม์บางชนิดเป็นโปรตีน
1.14………….….. ไตรเพปไทด์ประกอบด้วยกรดอะมิโนมาเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเพปไทด์ 3 พันธะ
1.15…….……….. ไหมละลายที่ใช้เย็บแผลได้จากไคติน ซึ่งเป็นสารจ าพวกโปรตีนที่พบในกุ้ง

1.16………..…… นิวคลีโอไทด์ ที่มีเบสไทมีนเป็นองค์ประกอบ ของ DNA และ RNA

- 42 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4
















ก ข ค
ภาพที่ 3.1 ภาพธาตุและสารประกอบ ก. Sodium ข. Chlorine ค. Sodium chloride

ที่มา https://www.emaze.com/@AOIZQWZQ

สารประกอบที่ส าคัญบางชนิดที่มีในสิ่งมีชีวิต


สิ่งมีชีวิตในโลกมีรูปร่างและโครงสร้างแตกต่างกันมากมาย เช่น พช สัตว์ ท าให้เราสามารถแยก
สิ่งมีชีวิตเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ แต่ว่าถึงแม้จะแตกต่างกน สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็ล้วนประกอบขึ้นด้วยหน่วยพื้นฐานที่

เล็กที่สุดเรียกว่า เซลล์ ภายในเซลล์ทุกชนิดมีโครงสร้าง ที่ประกอบด้วยโมเลกุลของสารเคมีหลายชนิด โมเลกุล
ื้
ของสารเหล่านี้เกิดจากโครสร้างพนฐานที่เล็กที่สุด คืออะตอม ธาตุที่พบมากได้แก่ คาร์บอน ไฮโดรเจน
ไนโตรเจน ออกซิเจน ซึ่งมีการรวมกันเป็นโมเลกุล โมเลกุลบางชนิดมีขนาดใหญ่มาก เช่น โปรตีน ลิพด

คาร์โบไฮเดรตและกรดนิวคลีอิก เป็นต้น ประกอบกันเป็นโครงสร้างที่ท าหน้าที่ต่างกัน
นักวิทยาศาสตร์มีความสนใจที่จะศึกษาว่าสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยสารใดบ้าง มากน้อยแค่ไหน จาก
การศึกษาพบว่าเซลล์ในร่างกายของคนประกอบด้วยสารหลายชนิด และสารเหล่านี้มีปริมาณที่แตกต่างกัน

ดังภาพ



























ภาพที่ 3.2 ค่าร้อยละของสารต่าง ๆ ในร่างกายคน


ที่มา:http://www.scimath.org/socialnetwork/groups/viewbulletin


ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 43 -


ในสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกัน จะมีปริมาณของสารแตกต่างกน เช่น พืชและสัตว์ก็จะมีปริมาณของสารต่าง
ๆ ไม่เท่ากัน นอกจากนี้ยังพบว่าสารเหล่านี้ บางประเภทมีธาตุไฮโดรเจนและคาร์บอนเป็นองค์ประกอบและ

บางประเภทไม่มี นักวิทยาศาสตร์จึงได้จ าแนกสารออกได้เป็น 2 ประเภท
คือ สารอนินทรีย์ (inorganic substance) เช่น น้ า แร่ธาตุ สารอินทรีย์ (organic substance) เช่น แป้ง
ไกลโคเจน เซลลูโลส น้ าตาล วิตามิน ลิพิด โปรตีน และกรดนิวคลีอิก เป็นต้น ซึ่งเป็นสารที่มีธาตุคาร์บอนและ
ไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ


สารอนินทรีย์
สารอนินทรีย์ ที่เป็นองค์ประกอบของเซลล์ของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด สารบางอย่างมีปริมาณมาก เช่น
น้ า บางอย่างมีปริมาณน้อยแต่ล้วนมีความส าคัญต่อการด ารงชีวิตของเซลล์ จะเห็นได้ว่า องค์ประกอบของ

เซลล์ของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด สารบางอย่างมีปริมาณมาก
















ภาพที่ 3.3 พันธะไฮโดรเจนที่ยึดระหว่างโมเลกุลของน้ า

ที่มา ttp://www.scimath.org/socialnetwork/groups/ %B8%B6%E0%B8%81)?groupid=142



น้ า(water)

ซึ่งน้ าประกอบด้วยอะตอมของไฮโดรเจนและออกซิเจนยึดเหนี่ยวกันด้วยพนธะโคเวเลนซ์



(covalent bond) ซึ่งเกิดจากการใช้อเล็กตรอนร่วมกน อิเล็กตรอนวงนอกของอะตอมออกซิเจนยังมีเหลืออก

4 อเล็กตรอน ที่ยังไม่ได้ยึดเหนี่ยวกับอะตอมของธาตุอน จึงท าให้อะตอมของออกซิเจนแสดงประจุลบ และ
ื่

อะตอมของไฮโดรเจนทั้ง 2 อะตอม แสดงประจุบวกท าให้โมเลกุลของน้ าเป็นโมเลกุลที่มี
ขั้ว (polar) นอกจากน้ าเป็นโมเลกุลที่มีขั้วแล้ว น้ ายังมีสมบัติเป็นของเหลวที่อณหภูมิห้องซึ่งเกิดจากการยึด

เหนี่ยว

- 44 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4


ด้วยพันธะไฮโดรเจน (hydrogen bond) ระหว่างอะตอมของออกซิเจนกับอะตอมของไฮโดรเจนของ
น้ าแต่ละโมเลกุล พันธะไฮโดรเจนเป็นพันธะที่ไม่แข็งแรงเท่าพันธะโคเวเลนซ์ แต่ก็เพียงพอที่จะยึดเหนี่ยว

โมเลกุลของน้ าไว้ด้วยกัน จึงท าให้น้ ามีสภาพเป็นของเหลว ดังภาพที่ 3.3
สมบัติการมีขั้วของโมเลกุลของน้ าและการเกิดพันธะไฮโดรเจนกับโมเลกุลต่าง ๆ ท าให้สารต่าง ๆ ที่มี
ขั้วละลายน้ าได้ดี การที่น้ าแสดงทั้งประจุบวกและประจุลบอยู่ในโมเลกุลเดียวกัน น้ าจึงเป็นตัวท าละลายที่ดี
+
ส าหรับโมเลกุลที่ละลายน้ าได้และแตกตัวให้ไอออน เช่น โซเดียมคลอไรด์ เพราะ โซเดียมไอออน (Na ) เกาะ
-
กับอะตอมของออกซิเจนซึ่งเป็นขั้วลบ ส่วนคลอไรด์ไอออน (Cl ) เกาะอยู่กับอะตอมของไฮโดรเจนซึ่งเป็น
ขั้วบวก ดังภาพ





















ภาพที่ 3.4 การแตกตัวของตัวถูกละลายโซเดียมคลอไรด์
ที่มา http://www.scimath.org/ebook/sci/sci-sec4/11/eBook/

















ภาพที 3.5 การละลายน้ าของน้ าตาลเนื่องจากคุณสมบัติไฮโดรฟิลิก

ที่มา; http://www.scimath.org/ebook/sci/sci-sec4/11/eBook/

การที่โมเลกุลของน้ ามีขั้วท าให้สามารถยึดจับกับสารที่มีขั้วได้ ท าให้น้ าสามารถเคลื่อนที่ในท่อเล็ก ๆ ได้
(capillary movement) และสามารถเป็นตัวท าละลายที่ดีส าหรับอิออนและโมเลกุลที่มีขั้ว (polar molecule)


โมเลกุลที่ละลายในน้ าได้เรียกว่า ไฮโดรฟิลิก(hydrophilic) หรือ พวกที่ชอบน้ า โมเลกุลที่ไม่มขั้ว (nonpolar
molecule) ไม่สามารถละลายในน้ าและแยกตัวออกจากน้ าเรียกว่า ไฮโดรโฟบิก (hydrophobic)


Click to View FlipBook Version