ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 145 -
ิ
การสลายสารอาหารชนิดอื่น ๆ
ในสภาพปกติพลังงานส่วนใหญ่ได้มาจากการสลายน้ าตาลโมเลกุลเดี่ยว กระบวนการสลายกลูโคส
ิ
หรือกลูโคสออกซเดชันที่กล่าวมาแล้ว นอกจากจะเป็นการสลายสารอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังมีการ
สลายสารอาหารที่ให้พลังงานอีก 2 ประเภท คือ ไขมัน และโปรตีน
ภาพที่ 4.44 ภาพกระบวนการสลายโปรตีนและลิพิด (ที่มา: https://il.mahidol.ac.th/e-media/ap-
biology1/Chapter7/Part10.html)
- 146 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4
ิ
1) การสลายกรดไขมันและกลีเซอรอล
ื่
กรดไขมันจะเข้าสู่ไกลโคไลซิส โดยกรดไขมันแต่ละโมเลกุลจะแตกตัว โดยมีเอนไซม์และสารอน ๆ
ิ
ี
เป็นตัวช่วย ท าให้กรดไขมันเปลี่ยนเป็นสารอนทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กลงไปอก คือสารที่มีคาร์บอน 2
อะตอม แล้วรวมกับโคเอนไซม์ เอ กลายเป็นแอซิทิลโคเอนไซม์ เอ ก่อนเข้าสู่วัฏจักรเครบส์
ส่วนกลีเซอรอลจะเข้าสู่ไกลโคไลซิส โดยการสลายตัวเปลี่ยนเป็นสารฟอสโฟกลีเซอรัลดีไฮด์ (PGAL)
ซึ่งมีคาร์บอน 3 อะตอม ซึ่งต้องใช้ ATP หนึ่งโมเลกุล และปลดปล่อยไฮโดรเจนออกมา 2 อะตอม โดยมี
+
NAD เป็นตัวรับ ดังสมการ
+
+
NAD NADH + H
glyceral phosphoglyceraldehyde (PGAL)
ADP ATP
PGAL ที่เกิดขึ้นจะถูกสลายต่อกลายเป็นกรดไพรูวิก (3C) ผ่านเข้าสู่วัฏจักรเครบส์ต่อไป ส่วน NADH
ิ
+ H จะน าอะตอมไฮโดรเจนเข้าสู่กระบวนการถ่ายทอดอเล็กตรอน
+
ในการสลายไขมัน 1 โมเลกุลสามารถสร้างแอซิทิลโคเอนไซม์ เอ ได้มากกว่าการสลายกลูโคส 1 โมเลกุล เป็น
ผลท าให้การสลายไขมันมีการสังเคราะห์ ATP ได้มากกว่า ดังนั้นเมื่อเทียบน้ าหนักที่เท่ากัน สารอาหารจ าพวก
ไขมันจะให้พลังงานมากกว่าสารอาหารจ าพวกคาร์โบไฮเดรต
2) การสลายกรดอะมิโน
ขั้นตอนการสลายกรดอะมิโน มีดังนี้
- การก าจัดหมู่อะมิโน (-NH2) ของกรดอะมิโน เรียกว่า deamination หมู่อะมิโนที่หลุดออกมาจะ
เปลี่ยนเป็นแอมโมเนีย (NH3)
ิ
- โดยทั่วไปแอมโมเนียเป็นพษต่อร่างกายสัตว์ ร่างกายจะมีกระบวนการเปลี่ยน NH3 เป็นยูเรีย หรือ
กรดยูริก และก าจัดออกนอกร่างกายด้วยระบบขับถ่าย คือก าจัดออกไปพร้อมเหงื่อ ปัสสาวะ และลมหายใจออก
- กรดอะมิโนที่ดึงหมู่อะมิโนออกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสารตัวกลางของไกลโคไลซิสหรือของวัฏจักรเครบส์
เพื่อสลายต่อไปเป็น CO2 HO2 และพลังงาน
ในภาวะที่ไม่มีออกซิเจนหรือมีออกซิเจนไมเพียงพอจะท าให้ NADH และ FADH2 ไม่สามารถถ่ายทอด
่
ิ
อเล็กตรอนให้กับตัวรับอเล็กตรอนต่างๆที่ฝังตัวอยู่ในเยื่อหุ้มไมโตคอนเดรียได้ เนื่องจากขาดออกซิเจนซึ่งท า
ิ
หน้าที่เป็นตัวรับอเล็กตรอนตัวสุดท้าย จึงไม่สามารถสร้าง ATP ได้ และมีการสะสม NADH และ FADH2 ท าให้
ิ
ั้
ขาด NAD+ และ FAD มีผลท าให้การถ่ายทอดอิเล็กตรอนด าเนินต่อไปไม่ได้ อีกทงยังท าให้ขาด ATP เซลล์จึงมี
ื่
การผันกลับให้ NADH กลายเป็น NAD+ เพอให้กระบวนการไกลโคไลซิสไม่หยุดชะงัก และสามารถสร้าง ATP
ต่อไปได้ กระบวนการนี้ เรียกว่า กระบวนการหมัก (fermentation)
กระบวนการหมักแอลกอฮอล์ (alcohol fermentation)
ยีสต์ มีกระบวนการสลายกลูโคสแล้วได้เอทานอลหรือเอทิลแอลกอฮอล์ เรียกว่ากระบวนการหมัก
แอลกอฮอล์ จะเกิดผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอทานอลหรือเอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นการสลายกลูโคสโดยไม่ใช้
ออกซิเจน เริ่มต้นด้วยไกลโคไลซิสเช่นเดียวกับการสลายอาหารแบบใช้ออกซเจนกล่าวคือ กลูโคส 1 โมเลกุล
ิ
ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 147 -
ิ
สลายได้กรดไพลูวิก 2 โมเลกุล แล้วปล่อย ATP 2 โมเลกุล และ ไฮโดรเจน 4 อะตอม NAD จะมารับ
ไฮโดรเจนเป็น NADH+H+ และจะถ่ายทอดอะตอมของไฮโดรเจนให้กับแอซิตัลดีไฮด์ ซึ่งมีคาร์บอน 2 อะตอม จึงไม ่
ิ
ี
สามารถน าเอาพลังงานอเล็กตรอนที่มีอยู่ในอะตอมของไฮโดรเจนมาสร้าง ATP ได้อก ดังนั้นการสลาย
กลูโคส 1 โมเลกุล จึงได้ ATP เพยง 2 โมเลกุลเท่านั้น เอทานอลที่ได้จากการสลายกลูโคสถ้ามีปริมาณ
ี
ั
ั
มากจะเป็นอนตรายต่อเซลล์ ร่างกายจะมีกระบวนการเปลี่ยนเอทานอลให้เป็นสารอนที่ไม่เป็นอนตรายแก่
ื่
เซลล์ และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย
เมื่อน ายีสต์มาเลี้ยงในน้ าตาลจะได้เอทานอลถึงแม้เอทานอลจะเป็นพษต่อยีสต์ก็ตาม การหมักนั้นจะไม่ให้
ิ
อากาศเข้าสู่ภาชนะที่ใช้หมักและให้อาหารยีสต์อย่างเพียงพอจะเกิดสมการดังนี้
C6H12O6 2C2H5OH + 2CO2 + พลังงาน
กลูโคส แอลกอฮอล์
แต่ถ้าอากาศเข้าสู่ภาชนะที่ใช้หมักจะท าให้ยีสต์หายใจแบบใช้ออกซิเจน เกิดสมการดังนี้
C6H12O6 + 6O2 6CO2 + H2O + พลังงาน
เอทานอลที่ได้จะมพลังงานศักย์สะสมอยู่เพราะสามารถติดไฟได้ จึงกล่าวได้ว่าเป็นการสลายของ
ี
อาหารที่ไม่สมบูรณ์ ส่วนสมการที่ใช้ O2 ไม่เหลือพลังงานอยู่ในส่วนของคาร์บอนไดออกไซด์
ภาพที่ 4.45 แสดงกระบวนการหมักแอลกอฮอล์
ที่มา http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/1270/lactic-acid-fermentation-
ผลผลิตของกระบวนการหมักแบบนี้ที่ส าคัญคือ เบียร์ สุรา ไวน์ต่าง ๆ ในปัจจุบันมีผู้น าความรู้นี้ไป
ผลิตแอลกอฮอล์จากวัสดุเหลือใช้ เช่น การผลิตแอลกอฮอล์จากกากน้ าตาล นอกจากลดปัญหามลภาวะของ
กากน้ าตาลแล้ว แอลกอฮอล์ยังเป็นสารที่มีพลังงานแฝงอยู่มาก สามารถน าไปใฃ้เป็นเชื้อเพลิงได้ ส่วนในการ
ท าขนมปัง เมื่อใส่ยีสต์ลงไปในส่วนผสมที่ท าขนมปัง ขนมปังจะฟูเพราะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซขึ้นในขนม
ปัง และดมดูจะมีกลิ่นแอลกอฮอล์
- 148 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4
ิ
กระบวนการหมักกรดแลกติก
กล้ามเนื้อลายและแบคทีเรีย มีกระบวนการสลายกลูโคส จนเป็นกรดแลกติก เรียกว่า กระบวนการ
ิ
หมักกรดแลกติก เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อในขณะออกก าลังกาย เลือดล าเลียงออกซเจนให้ไปไมทัน ท าให้ปริมาณ
่
ของ ATP ในเซลล์ลดลงอย่างรวดเร็ว เซลล์จะสลายอาหารโดยกระบวรการหมักกรดแลกติก ( lactic acid
+
fermentation ) กระบวนการนี้คล้ายกับการหมักแอลกอฮอล์ แต่ NDAH + H จะถ่ายทอดอะตอมของ
ไฮโดรเจนให้แก่กรดไพรูวิก ดังภาพที่ 4.45
ภาพที่ 4.46 กระบวนการหมักกรดแลกติก
ที่มา: http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/1270/lactic-acid-fermentation-
ไกลโคเจนที่กล้ามเนื้อลายสลายตัวหลายๆชั้นตามปฏิกิริยาที่เรียกว่า ไกลโคไลซิส แต่ละชั้นตอนใช้
เอนไซม์หลายชนิด จนได้กรดแลกติกและพลังงาน ในช่วงนี้กล้ามเนื้อไม่ใช้ออกซเจนเลย แต่ถ้าทางานนาน ๆ
ิ
เข้าจะท าให้ได้กรดแลกติกซึ่งเป็นต้นเหตุท าให้เมื่อยล้า( Fatique ) จนกระทั่งอาจเป็นตะคริว(Cramp) ดังนั้น
จึงต้องท าให้หายเมื่อยล้าโดยการหายใจแบบใช้ออกซิเจน คือการน าเอาออกซิเจนเข้าไปท าปฏิกิริยากับกรด
แลกติก1ใน 5 ส่วน ให้เกิดพลังงาน คาร์บอนไดออกไซด์และน้ า พลังงานนี้น าคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ า
จะถูกส่งออกไปยังเส้นเลือดส่งไปที่ปอดและขับออกมากับลมหายใจ ดังสมการ
กรดแลกติก (1ใน5ส่วน) + 3CO2 3CO2 + 3H2O + พลังงาน
กรดแลกติก (4ใน5ส่วน ) + พลังงาน ไกลโคเจน
การสลายกลูโคสแบบไม่ใช้ออกซิเจน (โดยกระบวนการหมัก) ได้พลังงานน้อยกว่าแบบใช้ออกซิเจน
เพราะขั้นตอนการสลายกลูโคสแบบไม่ใช้ออกซิเจนจะหยุดลงเพียงชั้นไกลโคไลซิสเท่านั้น
ไมโทคอนเดรียไม่มีความจ าเป็นต่อการสลายกลูโคสแบบไม่ใช้ออกซิเจนโดยการหมัก เพราะการ
สลายกลูโคสแบบไม่ใช้ออกซเจนไม่มีกระบวรการถ่ายทอดอิเล็กตรอน กรดไพรูวิก 2 โมเลกุล แล้วปล่อย ATP
ิ
2 โมเลกุล และไฮโดรเจน 4 อะตอม NAD จะมารับไฮโดรเจนเป็น NADH + H และจะถ่ายทอดอะตอมของ
+
ไฮโดรเจนให้กับแอซิตัลไฮด์ ซึ่งมีคาร์บอน 2 อะตอม จึงไม่สามารถน าเอาพลังงานอเล็กตรอนที่มีอยู่ใน
ิ
ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 149 -
ิ
ี
ี
อะตอมของไฮโดรเจน มาสร้าง ATP ได้อก ดังนั้นการสลายกลูโคส 1 โมเลกุล จึงได้ ATP เพยง 2 โมเลกุล
ั
เท่านั้น เอทานอลที่ได้จากการสลายกลูโคสถ้ามีปริมาณมากจะเป็นอนตรายต่อเซลล์ ร่างกายจะมี
กระบวนการเปลี่ยนเอทานอลให้เป็นสารอนที่ไม่เป็นอนตรายแก่เซลล์และขับออกจากร่างกายโดยระบบ
ื่
ั
ขับถ่าย
เปรียบเทียบการสลายสารอาหารแบบใช้ออกซิเจนและการสลายสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจน
- การสลายสารอาหารแบบใช้ออกซิเจนเกิดในไซโตพลาสซึมและไมโตคอนเดรีย มีออกซิเจนเป็น
ตัวรับอิเล็กตรอนจากกลูโคสเป็นตัวสุดท้าย และได้พลังงาน 36 หรือ 38 ATP ต่อกลูโคส 1 โมเลกุล
- การสลายสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจนเกิดในไซโตพลาสซึม มีกรดไพรูวิกเป็นตัวรับอิเล็กตรอน
จากกลูโคสเป็นตัวสุดท้าย และได้พลังงาน 2 ATP ต่อกลูโคส 1 โมเลกุล
แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม
การหายใจระดับเซลล์
- 150 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4
ิ
Q: ทดสอบความเข้าใจที่ 4.4
เรื่องการหายใจระดับเซลล ์
1. การสร้างพลังงานจากการหายใจระดับเซลล์ จะมีการสร้างพลังงานออกมาช้าๆหลายขั้นตอน
ขั้นที่ 1 ……………………..................... เกิดขึ้นที่บริเวณใด…………………….............................................
ขั้นที่ 2 ……………………..................... เกิดขึ้นที่บริเวณใด…………………….............................................
ขั้นที่ 3 ……………………..................... เกิดขึ้นที่บริเวณใด…………………….............................................
ขั้นที่ 4 ……………………..................... เกิดขึ้นที่บริเวณใด……………………..............................................
2. กระบวนการ…………………………….... ผลผลิตที่ได้คือ............................................ 2 โมเลกุล และได้
พลังงานสุทธิ……………………ATP ปฏิกิริยานี้สามารถเกิดขึ้นแบบมีหรือไม่มออกซิเจน
ี
3. การสร้าง Acetyl CoA มี…………………………………………………………………เป็นสารตั้งต้น ได้ผลิตภัณฑ ์
คือ………………………………………………………………………………………......................................................
4. วัฏจักรเครบส์. glucose 1 โมเลกุล จะให้ NADH……….……..โมเลกุล ,FADH2 ………..................….....
โมเลกุล พลังงาน ……………………ATP และ ได้ แก๊สคาร์บอนไดออกไชด์ .............................................
โดยการเปลี่ยนแปลงจ านวน C อะตอมอย่างไร ...................................................................................
5. เมื่อสิ้นสุดการสลายกลูโคส 1 โมเลกุล จะเกิด NADH…….........…โมเลกุล และ
FADH2........................โมเลกุลท าให้สามารถ สร้าง ATP ทั้งสิ้น ................... โมเลกุล จาก
กระบวนการถ่ายทอดอิเล็คตรอน เรียกการสร้าง ATP แบบนี้ว่า ................................................
6. การหายใจระดับเซลล์ ของน้ าตาลกลูโคส 1 โมเลกุล ในสภาวะที่มีออกซิเจนจะได้ผลผลิต
.......................... ATP และยังได้ ............................ และ ....................................เป็นผลผลิตร่วมด้วย
7. ค าชี้แจง จงน าค าที่กาหนดให้เติมลงในช่องว่างให้ถูกต้อง
7.1 Acetyl CoA Coenzyme A CO2 NADH NAD + Pyruvate
Cytoplasm Mitochondrial Matrix
กระบวนการ……………………………………………………..
ิ
ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 151 -
Q: ทดสอบความเข้าใจที่ 4.5
เรื่อง แบบฝึกหัดท้ายหน่วยท 4
ี่
ศึกษาแผนภาพแล้วตอบค าถามข้อ 1-5
3……...…
2…………
.
4……… 1………...
5………
6………
11………..
7………
10………..
8……….. 9………
1. เซลล์ของแบคทีเรียและสาหร่ายสีเขียวแกมน้ าเงินไม่มีโครงสร้างใด
ก. 1 ข. 2 ค. 4 ง. 7
ี
2. โครงสร้างใดที่ท าหน้าที่ก าจัดสารพิษในเซลล์ตับและมมากในเซลล์ตับ คือ
ก. 5 ข. 7 ค. 9 ง. 7
3. โครงสร้างใดที่ท าหน้าที่สร้างพลังงาน และสามารถเพิ่มปริมาณได้เอง คือ
ก. 7 ข. 8 ค.10 ง. 11
4. โครงสร้างที่เป็นศูนย์รวม RNA และสร้างไรโบโซมคือ
ก. 3 ข. 4 ค. 5 ง. 6
5. โครงสร้างใดไม่พบในเซลล์พืช
ก. 3 ข. 5 ค. 6 ง. 11
6. เซลล์ที่มี Lysosome มากที่สุด คือ
ก. เซลล์ตับ ค. เซลล์ทีมีบริเวณตลอดของหน่วยเนฟรอน
ข. เซลล์เม็ดเลือดขาว ง. เซลล์ของต่อมไร้ท่อ
- 152 - ชีววทยาพื้นฐาน ม.4
ิ
7. ผนังเซลล์ที่มีสารประกอบพวกใดจะสามารถทนทานต่อการชะล้างของน้ า การท าลายของ
จุลินทรีย์และลดการระเหยของน้ าได้ดีที่สุด
ก. กรดเพคติก ข. เซลลูโลส ค. ซูเบอริน ง.. ลิกนิน
ี
8. ออร์แกเนลล์ชนิดหนึ่ง จะมจ านวนเพิ่มขึ้นมากมายในไซโทพลาซึมของเซลล์ที่ต้องได้พลังงาน
มาก เช่น เซลล์ตับและเซลล์ไข่ของหอยเม่นคือ
ก. ไรโบโซม ข. ไลโซโซม ค. ไมโทคอนเดรีย ง. คลอโรพลาสต์
9. เซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีส่วนประกอบหลัก คือ เยื่อหุ้มเซลล์ นิวเคลียส และออร์แกเนลล์
เซลล์ใดต่อไปนี้ที่มีสภาพเป็นเซลล์ไม่มีชีวิต
ก. เม็ดเลือดแดงในเลือด ข. เพลตเลต
ค. เทรคีด ง. ไซเลมพาเรนไคมา
10. การแยกสลายน้ าตาลกลูโคสในสิ่งมีชีวิตชั้นสูง กระบวนการที่ท าให้เกิดพลังงานมากที่สุดเกิดขึ้น
ที่บริเวณ
ก. ไรโบโซม ข. ผนังไมโทคอนเดรียชั้นนอก
ค. ผนังไมโทคอนเดรียชั้นใน ง. ช่องว่างภายโนไมโทคอนเดรีย
11. ในเซลล์ที่สังเคราะห์โปรตีนขึ้นมาใช้ภายในเซลล์เท่านั้น เราจะพบไรโบโซมส่วนมากอยู่ที่
บริเวณใด
ก. Golgi bodies ข. เอนโดพลาสมิกเรติคิวลัม
ค. เยื่อหุ้มนิวเคลียส ง. ลอยอยู่อิสระในไซไทพลาสซึม
12. เซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่
ก. อาจมีนิวเคลียสได้มากกว่า 1 นิวเคลียส
ข. จะต๊องมีนิวเคลียสอย่างน้อย 1 นิวเคลียส
ค. สามารถเคลื่อนไหวได้
ง.ปราศจากสารเคลือบเซลล์
13. เซลล์ชนิดหนึ่งประกอบด้วยโครงสร้าง A ซึ่งมีลักษณะเป็นเยื่อบางสองชั้น บางส่วนของเยื่อมี
เม็ดเล็ก ๆ จ านวนมากเกาะติดอยู่ที่ผิว บางตอนของโครงสร้างนี้กับโครงสร้าง B ซึ่งมีลักษณะ
เป็นเยื่อสองชั้นเหมือนกัน แต่มีช่องเล็ก ๆ อยู่ทั่วไป A และ B คือ (ตามล าดับ)
ก. ไรโบโซม และเยื่อหุ้มเซลล์
ข. ไมโทคอนเดรีย และเอนโดพลาสมิกเรติคิวลัม
ค. เอนโดพลาสมิกเรติคิวลัม และเยื่อหุ้มนิวเคลียส
ง. เยื่อหุ้มนิวเคลียส และเอนโดพลาสมิกเรติคิวลัม
14. โครงสร้างใดที่ท าหน้าที่สร้างไรโบโซม
ก. ดี เอ็น เอ ข. เอนโดพลาสมิกเรติคิวลัม
ค. กอลจิ บอดี ง. นิวคลีโอลัส
15. โครงสร้างใดที่พบเฉพาะในเซลล์สัตว์
ก. แวคิวโอล ข. กอลจิ บอดี
ค. ไมโตติก สปินเดิล ง. แอสเตอร์
ิ
ชีววทยาพื้นฐาน ม.4 - 153 -
16. ถ้าน าเซลล์ชนิดหนึ่งมาศกษาดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน พบว่ามีไมโทคอนเดรียอยู่ใน
ึ
ไซโทพลาซึมเป็นจ านวนมาก เซลล์เหล่านี้ท ามาจากเนื้ออวัยวะส่วนใด
ก. สมอง ข. หัวใจ ค. ปอด ง. ตับ
17. ออร์แกเนลล์ใดที่มีเยื่อหุ้มเพียงชั้นเดียว
ก. ไลโซโซม และกอลจิ บอดี ข. กอลจิ บอดี และไรโบโซม
ค. ไลโซโซม และคอนแทรกทล แวคิวโอล ง. ไรโบโซม และเอนโดพลาสมิก เรติคูลัม
ิ
18. ในกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของเพศชายที่ระยะ telophase I จะได้เซลล์ 2 เซลล์ที่มีโครโมโซมเป็น
อย่างไร
ก. 22 + XX และ 22 + YY ข. 44 + XX และ 44 + YY
ค. 22 + X และ 22 + Y ง. 44 + X และ 44 + Y
19. ข้อความในข้อใดที่เป็นความจริงเกี่ยวกับระยะอินเตอร์เฟส
ก. โครโมโซมมีลักษณะคล้ายร่างแห ข. เป็นระยะที่ไม่เห็นไคเนโตคอร์
ค. เป็นระยะที่เกิดในไมโทซีสเท่านั้น ง. เซลล์อยู่ในระยะพกตัวไม่มีกิจกรรมเมแทบอลิซึม
ั
20. ภาพใดเป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธ ์
ก. 1 และ 4 ข. 2 และ 3 ค. 1 และ 2 ง. 3 และ 4
21. หยดน้ าหวานที่มีความเข้มข้น 10% ลงบนเซลล์เยื่อหอม A จะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังรูป B ท่าน
คิดว่าส่วนที่เป็น semipermeable layer คือส่วนใด
ก. 1และ 3
-2 ข. 1และ 2
ค. 1 และ 2
ง. 2 และ 3
22. พลานาเรียตัวที่หนึ่ง (1) อยู่ในน้ าเกลือเจือจาง ส่วนตัวที่สอง (2) อยู่ในน้ าฝน เฟลมเซลล์ของทั้ง
ของตัว จะมีกิจกรรมอย่างไร
ก.. ของตัว (1) มีกิจกรรมมากกว่าของตัว (2)
ข. ของตัว (1) มีกิจกรรมน้อยกว่าของตัว (2)
ค. ไม่ต่างกัน เพราะเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนปรับตัวได้ดี
ง. ไม่ต่างกัน เพราะการท างานของมันถูกควบคุมโดยของเสียในร่างกาย
23. ออร์แกเนลล์ใด มีการท างานร่วมกันในการขนส่งโปรตีนออกนอกเซลล์
1. นิวเคลียส 2. เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมชนิดเรียบ 3. เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมชนิดขรุขระ
4. กอลจิบอดิ 5. ไมโตคอนเดรีย 6.คลอโรพลาสต์
ก.1 5และ 6 ข.1 4และ 6 ค. 2 4และ 5 ง. 1 3และ 4
บรรณานุกรม
ิ
สถาบันส่งเสริมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี( 2561) หนังสือเรียนรายวิชาชีววทยา เล่ม 1 ชั้น
ึ
มัธยมศึกษาปีที่ 4-6 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกษาขั้นพื้นฐาน ปี
การศึกษา 2551(ฉบับปรับปรุง 2560) พิมพิ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ: โรงพิมพิ์ สกสค.ลาดพร้าว.
ปรีชา สุวรรณพินิจและ นงค์ลักษณ์ สุวรรณพินิจ( 2546) ชีววิทยา 1 พิมพ์ครั้งที่ 5 กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ ์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประดิษฐ์ เหล่าเนตรและคณะ( 2544) ชีววิทยาพื้นฐาน กรุงเทพฯ :ส านักพิมพ์แม็ค
เชาวน์ ชิโนรักษ์ และ พรรณี ชิโนรักษ์ (2540) ชีววิทยา 1 กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์โสภณการพิมพ์
Campbell, N.A., and Urry, L.A., Cain, M.L., Wasserman, S.A., Minorsky,P.V.,&Reece,J.H.(2018)
th
Biology :A global approach (11 ed) New York : Pearson Education Limited.
th
Hardin,J., Bertoni,G.(2016). Becker’s World of The Cell (9 ed).Boston:Pearson
Education,Inc
Marry K., Campbell and shawn O.farrell.(2008). Biochemistry (6 ed). Canada:Nelson
th
Education limited.