The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นาวิกศาสตร์ ฉบับเดือน เมษายน ๒๕๕๙

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นาวิกศาสตร์, 2022-06-13 21:12:37

นาวิกศาสตร์ เดือน เมษายน ๒๕๕๙

นาวิกศาสตร์ ฉบับเดือน เมษายน ๒๕๕๙

พระราชดำรัส





“...ความคิดในทางส่วนตัวจะแตกต่างกัน ผลประโยชน์อันส่วนรวมคือที่ที่เรายืนอยู่นั้น
ที่ที่เราอยู่ยังมั่นคงอยู่นั้นเป็นรากฐานอันเดียวกัน ก็ขอให้ท่านระลึกถึงว่าการทำงานจะต้องช่วยกันทำ
แม้ระเบียบการจะมีความยุ่งยากปานใด แต่ละคนก็จะต้องเข้าหากันเพื่อให้หน้าที่ของตนลุล่วงไปด้วยดี...”












พระราชดำรัสพระราชทานแก่ผู้เข้าเฝ้า ฯ รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย

ณ ศาลาดุสิดาลัย วันอังคาร ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๑๗



เทพรัตนสุดาศิรวาท
๒ เมษายน ๒๕๕๙



๏ องค์ใด ธ ทรงสิริสุภา……คยสาธุรูปรมย์
สมนามสิรินธรอุดม………….อดิเรกคุณานันต์

๏ องค์ใด ธ ทรงพิริยภาพ…..และก็ทราบวิชาสรรพ์
ศาสตร์ศิลป์พิเศษสุขุมคัน…ถคดีกระเดื่องดิน
๏ องค์ใด ธ ว่องวิวิธวัจน์……สุประภัสร์ประพันธ์ศิลป์
อ่านเพลินเจริญทหยะริน……รสทิพย์บ่เทียมทัน

๏ องค์ใดผดุงศุภคดี………..จิตรศรี ธ สร้างสรรค์
ชุบชีพปุราณคติวรร………..ณคดีวิถีไทย
๏ สังคีตศิลป์และดุริยางค์…..ก็กระจ่างประจักษ์ใจ
เสียงซอสนิทและเสนาะใน…จิตน้อมนิยมชม

๏ ปี่พาทย์ก็แสนเสนาะระนาด...ขณะพาทย์ระดมพรม
แก้วกลิ้งกระทบกระเทาะระทม..ตละเทพประทานเสียง
๏ ไขขิมก็ขานก็เคาะคะค่อย…..และทยอยขยับเรียง
ขลุ่ยขับประคองและขณะเคียง..ก็จะเคล้าจะคอยคลอ

๏ นานาอเนกคณะชนิด………..ก็สนิทเสนาะหนอ
รินหลั่งประโลมหทยะรอ………ขณะร้อนก็เย็นลง
๏ ยามทุกข์ระทมมนะระทด…...ก็จะลดบ่ลุ่มหลง
ยามโศกจะสร่างทุมนะทรง……สุขเปรมทวีปรีดิ์

๏ องค์ใด ธ เพ่ง ณ ศุภผล…....อนุชนประชาชี
จักซึ้งเพราะเสพดุริยะศรี……..จะสง่าเสงี่ยมงาม
๏ ทรงสรรและเสกมธุรศัพ…...ทะประดับ ณ แดนสยาม
คือแก้วกุก่องกิรติคาม……….ภิรลักษณ์เลวงวัณน์

๏ เป็นมิ่งมหาดิลกโลก……….ศุภโชคเฉลิมขวัญ
เป็นศักดิศรีดุริยะสรร…………พสวัสดิมงคล
๏ องค์นั้นสยามบรมรา……….ชกุมาริเลิศชน
สมนามสิรินธรวิมล……………วรมิ่งสยามมวล

๏ ข้าขอประณตรตนตรัย………อดิศัยมหิศวร
พร้อมบุญพระบารมิประมวล…..ปรมัตถมังคัล
๏ พรหมเทพประทานจตุรพิธ…พรสิทธิ์พิเศษสรรพ์
ดับทุกขโรคภยะพลัน…………อริพ่ายพระบารมี

๏ ผ่องแผ้วพระทัยดุจประทุม…สุกุสุมประภัสร์ศรี
ภิญโญพระยศกิติทวี………….อภิวัฒนานนท์
๏ สิ่งทรงประสงค์ศุภสมิทธิ์…...ชยสิทธิมงคล
จำเริญจรัสจิระวิมล……………ดุจทูลถวายพระพร-เทอญ


ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า กองบรรณาธิการ นิตยสารนาวิกศาสตร์
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ( ร้อยกรอง )

บรรณาธิการ แถลง



สวัสดีครับ
ท่านสมาชิกฯ และผู้อ่านนิตยสาร
นาวิกศาสตร์ทุกท่าน ในวันที่ ๑ เมษายน
พ.ศ.๒๕๕๙ เป็นวันคล้ายวันก่อตั้ง
ราชนาวิกสภา ครบรอบ ๑๐๐ ปี กองทัพเรือได้อนุมัติจัดงาน ๑๐๐ ปี
ราชนาวิกสภา และแต่งตั้งคณะกรรมการจัดงาน ๑๐๐ ปี ราชนาวิกสภา มี
พลเรือเอก ไกรวุธ วัฒนธรรม ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานจัดงาน
๑๐๐ ปี ราชนาวิกสภา ทั้งนี้ คณะกรรมการราชนาวิกสภาได้เห็นถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์ราชนาวิกสภา
ที่คณะกรรมการจัดงาน ๑๐๐ ปี ราชนาวิกสภา ได้จัดทำหนังสือ “๑๐๐ ปี ราชนาวิกสภา ความภาคภูมิใจของราชนาวีไทย” มีเนื้อหา
ส่วนหนึ่ง เรียบเรียงโดย นายบุญพิสิฐ ศรีหงส์ นักประวัติศาสตร์ นั้นน่าจะมีประโยชน์ต่อการแสวงหาเพิ่มพูนความรู้ของสมาชิก
จึงมีมติในที่ประชุมให้พิมพ์เรียบเรียงลงพิมพ์ในนิตยสารนาวิกศาสตร์ ฉบับเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๕๙ เพื่อให้สมาชิกได้ทราบถึง
ประวัติศาสตร์อันน่าภาคภูมิใจของราชนาวิกสภาที่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งห้าพระองค์ที่ทรงร่วมก่อตั้ง
ราชนาวิกสภาขึ้น อีกทั้งมีพระบรมวงศานุวงศ์หลายท่านยังได้ร่วมพัฒนาระบบ “สภา” แห่งราชนาวี ซึ่งในเบื้องต้นใช้เป็นสถานที่
สำหรับเพิ่มพูนความรู้ให้กับนายทหารเรือ แล้วพัฒนาต่อมาเกิดเป็นสภาในรูปแบบการประชุมปรึกษาหารือเพื่อกำหนดนโยบาย
ไปสู่การปฏิบัติ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
๒๔๕๙

นอกจากนี้ วัตถุประสงค์เบื้องต้นในการก่อตั้งราชนาวิกสภายังได้ดำเนินการตามข้อบังคับที่ คือ การให้นายทหาร
๒๙/
๑๓๓๐๑

ชั้นสัญญาบัตรได้เรียนรู้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี โดยการเล่นยุทธกีฬา ทั้งยังมีการแสดงความรู้และการเรียนด้วยวิธีอื่น คือ

๑. แต่งเรื่อง (Essays) กรรมการตั้งเรื่องให้แต่ง หรือตั้งปัญหาให้แก้ด้วยหนังสือ
๒. บรรยาย (Lectures) กรรมการตั้งเรื่องให้เตรียมมาอธิบายในที่ประชุม
๓. คารม (Debate) กรรมการตั้งเรื่องหรือปัญหาให้นายทหารแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย แสดงความเห็นตอบโต้กัน
กระบวนการดังกล่าวเมื่อตกผลึกเป็นที่ยอมรับของนายทหารชั้นสัญญาบัตรในระดับหนึ่งแล้ว นายทหารชั้นสัญญาบัตร
จะได้นำไปบรรยายโดยเป็นองค์ปาฐกแล้วนำการบรรยายนั้นมาจัดพิมพ์ในนิตยสารนาวิกศาสตร์ต่อไป
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าราชนาวิกสภาคือ สถานที่ที่นำระบบ “สภา” แห่งราชนาวี ที่ให้นายทหารชั้นสัญญาบัตรทุกระดับชั้น
ได้เพิ่มพูนความรู้โดยการแสดงความคิดเห็น การเขียน การพูด การยอมรับซึ่งกันและกันด้วยเหตุและผล สามารถนำความรู้ไปใช้ใน
การปฏิบัติหน้าที่และทำงานเป็นทีมได้ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การสร้างคน” ซึ่งเป็นแนวพระดำริของ
นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้มีพระดำริกล่าวไว้ใน
ยุทธศาสตร์ทะเล ว่า “ข้าพระพุทธเจ้าได้พยายามอย่างที่สุด ที่จะรวบรวมวิชาที่โปรดเกล้าฯ ให้ไปเรียนโดยเฉภาะตัว
ข้าพระพุทธเจ้าให้หมดเชิง เมื่อเสร็จการเรียนความรู้แล้วได้กลับมารับราชการฉลองพระเดชพระคุณ ก็ได้ตั้งใจที่จะเปิดความรู้ให้แก่
ศิษย์ทุกอย่าง...” และนายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร กล่าวไว้ใน
นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๑ เล่มที่ ๑ เรื่อง ยุทธศาสตร์ ว่า “ราชนาวี ตั้งไว้ไม่ใช่สำหรับอื่น สำหรับต่อสู้ราชสัตรูให้เปนผลสำเร็จ ถึงแม้ว่า
จะมีสาตราวุธมากแลเรือมาก ฯลฯ แลวิเศษอย่างใด บุคคลนั่นและเปนข้อสำคัญที่จะนำไชยชะนะมาได้” พระดำริของ
ทั้งสองพระองค์จึงสะท้อนให้เห็นแนวพระดำริที่ทรงตั้งราชนาวิกสภาไว้
สุดท้ายนี้ ขอให้กำลังพลกองทัพเรือทุกท่านได้มีสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์
ทั้งห้าพระองค์ที่ทรงก่อตั้งราชนาวิกสภาขึ้น ถึงแม้ในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีหน่วยงานของกองทัพเรือ
รองรับภารกิจที่ราชนาวิกสภาเคยดำเนินการไว้ กระผมในนามบรรณาธิการนิตยสารนาวิกศาสตร์จะรักษาความเป็นนิตยสาร
นาวิกศาสตร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของราชนาวิกสภาเช่นนี้สืบต่อไปจึงขอขอบคุณ นายบุญพิสิฐ ศรีหงส์ ผู้เรียบเรียงที่ทุ่มเทเวลา
ค้นคว้าประวัติศาสตร์ราชนาวิกสภาให้แจ่มชัดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองประวัติศาสตร์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ที่ให้การ
สนับสนุนข้อมูล เอกสาร ภาพถ่าย อันทรงคุณค่าเป็นอย่างดี พบกันใหม่ฉบับหน้า สวัสดีครับ

น.อ.

(อารัญ เจียมอยู่)
บรรณาธิการนิตยสารนาวิกศาสตร์

สารบัญ


นายกกรรมการราชนาวิกสภา
พลเรือโท พิเชฐ ตานะเศรษฐ
รองนายกกรรมการราชนาวิกสภา
พลเรือตรี บุญเรือง หอมขจร
กรรมการราชนาวิกสภา
พลเรือตรี ศาสตราจารย์มนต์ชัย กาทอง
พลเรือตรี รัตนะ วงษาโรจน์
พลเรือตรี สมหมาย วงษ์จันทร์
พลเรือตรี ทิวา ดาราเมือง
พลเรือตรี สมชาย ณ บางช้าง
พลเรือตรี สมประสงค์ นิลสมัย
พลเรือตรี อาทร เคลือบมาศ
พลเรือตรี โสภณ รัตนสุมาวงศ์
พลเรือตรี สุรวิทย์ อาษานอก
พลเรือตรี สุทธิไชย รังสิโรดม์โกมล
พลเรือตรี วินัย มณีพฤกษ์
พลเรือตรี ทรงวุฒิ บุญอินทร์
กรรมการและเลขานุการราชนาวิกสภา
นาวาเอก อารัญ เจียมอยู่
เหรัญญิกราชนาวิกสภา
เรือเอก สานิตย์ ชัยมีเขียว
ที่ปรึกษาราชนาวิกสภา
พลเรือโท นฤดม ชวนะเสน
พลเรือโท เจียมศักดิ์ จันทร์เสนา
พลเรือตรี จักรกฤษณ์ เสขะนันทน์
นาวาเอก ธเนศ อินทรัมพรรย์
นาวาเอก ชวิช วงษ์รัตน์
บรรณาธิการ
นาวาเอก อารัญ เจียมอยู่
ผู้ช่วยบรรณาธิการ
นาวาเอกหญิง ชัญญา ศิริพงษ์
ประจำกองบรรณาธิการ ๒๗

นาวาเอก ทรงฤทธิ์ ฉัตรเงิน
นาวาเอก ธรรมนูญ วิเศษสิงห์
นาวาเอก ธาตรี ฟักศรีเมือง บทความ
นาวาเอก โกศล อินทร์อุดม
นาวาโทหญิง ปานะรี คชโคตร
นาวาโทหญิง จิฑาพัชญ์ ราษฎร์นิยม ๔ กำเนิดราชนาวิกสภา
นาวาโทหญิง ศรุดา พันธุ์ศรี
นาวาตรีหญิง กมลชนก ศิริสุนทร ๑๖ ที่ทำการราชนาวิกสภา
เรือโทหญิง นิพัฒน์ เพชรศิริ
เรือโท เกื้อกูล หาดแก้ว ๒๗ นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด ิ์
เรือตรี ขจรศักดิ์ กระทุ่มแก้ว กับราชนาวิกสภา
สำนักงานราชนาวิกสภา






ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย ๔๓ นายพลเรอเอก พระเจาบรมวงศเธอ กรมหลวงสงหวกรมเกรยงไกร
กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร. ๐ ๒๔๗๕ ๓๐๗๒ : ราชนาวิกสภาและเสนาธิการทหารเรือ
๐ ๒๔๗๕ ๔๙๙๘
๖๐ แม่น้ำเจ้าพระยาไม่เคยขาดสาย
s ส่งข้อมูล/ต้นฉบับได้ที่ [email protected]
s อ่านบทความเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ได้ที่ WWW.RTNI.ORG

คลังความรู้
คู่ราชนาวี







คอลัมน์ประจำ



๑ บรรณาธิการแถลง

๘๑ ภาพกิจกรรมกองทัพเรือ
๙๐ การฌาปนกิจสงเคราะห์แห่งราชนาวี

๙๒ มาตราน้ำ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙
เวลาดวงอาทิตย์ - ดวงจันทร์ ขึ้น - ตก
เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๙






















๔๓ ๖๐





ปกหน้า ภาพวาดอาคารราชนาวิกสภาและเข็มเครื่องหมายราชนาวิกสภา
ออกแบบปกโดย นางสาวอักษรา ยังผสม

ปกหลัง คณะกรรมการอำนวยการ ราชนาวิกสภาแห่งราชนาวีสยาม
พศ.๒๔๖๒ ถึง พ.ศ.๒๔๖๔
ในปกหน้า... พระราชดำรัส ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในปกหลัง... การท่าเรือแห่งประเทศไทย
จัดพิมพ์โดย... กองโรงพิมพ์ กรมสารบรรณทหารเรือ
เจ้าของ... ราชนาวิกสภา
ผู้โฆษณา... นาวาเอก อารัญ เจียมอยู่
ผู้พิมพ์... นาวาเอก ทรงฤทธิ์ ฉัตรเงิน




ข้อคิดเห็นในบทความที่นำลงนิตยสารนาวิกศาสตร์เป็นของผู้เขียน มิใช่ข้อคิดเห็นหรือนโยบายของหน่วยงานใดของรัฐและมิได้ผูกพันต่อทางราชการแต่อย่างใด
ได้นำเสนอไปตามที่ผู้เขียนให้ความคิดเห็นเท่านั้น การกล่าวถึงคำสั่ง กฎ ระเบียบ เป็นเพียงข่าวสารเบื้องต้น เพื่อประโยชน์แก่การค้นคว้า...

กำเนิดราชนาวิกสภา














































กองทัพเรือยึดถือวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๙ มีอำนาจสั่งให้นายทหารจำนวนไม่เกิน ๕ นาย เป็น
(ค.ศ.๑๙๑๖) เป็นวันกำเนิด “ราชนาวิกสภา” ด้วย กรรมการอำนวยการราชนาวิกสภาหรือเป็นกรรมการ
จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตร พิเศษเฉพาะการใดการหนึ่งได้ด้วย
สุขุมพันธ์ุ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดี คำสั่งกระทรวงทหารเรือดังกล่าวข้างต้น

กระทรวงทหารเรือ ลงพระนามในคำสั่งกระทรวงทหารเรือ ย่อมถือเป็นมูลกำเนิดแห่งราชนาวิกสภา หากสังเกต
๒๔๕๘
๕๓๒
ที่ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ จะเห็นว่าตั้งราชนาวิกสภาตั้งขึ้นในวันที่ ๑ เมษายน
๑๓๓๑๐
(ค.ศ.๑๙๑๖) ให้ตั้งราชนาวิกสภาขึ้น ในวันที่ ๑ พ.ศ.๒๔๕๙ วันถือกำเนิดของราชนาวิกสภาจึงเป็น

เมษายน พ.ศ.๒๔๕๙ วันขึ้นปีใหม่ (ในขณะนั้นเปลี่ยนพุทธศักราชในวันที่
ราชนาวิกสภาเมื่อแรกตั้งอยู่ในหน้าที่อำนวยการ ๑ เมษายน) ตลอดจนมีระยะเวลาราว ๑๖ วัน
ของเสนาธิการทหารเรือ มีอัตราเจ้าหน้าที่ ตำแหน่ง เพื่อเตรียมการ จึงน่าสนใจว่าก่อนจะถึงวันเปิดทำการ
บรรณารักษ์ ๑ นาย ปฏิคม ๑ นาย ผู้ช่วยปฏิคม ๑ นาย ราชนาวิกสภานั้นมีการเตรียมการเช่นใด
กับพลทหารรับใช้ตามอัตรา และเสนาธิการทหารเรือ

๒๔๕๘
๑ คำสั่งกระทรวงทหารเรือที่ ๕๓๒ ๑๓๓๑๐ วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ (ค.ศ.๑๙๑๖) ตั้งราชนาวิกสภา
๒๔๕๘
อนึ่ง หมายเลขคำสั่งดังกล่าวนี้ ในต้นฉบับเอกสารร่างคำสั่งกระทรวงทหารเรือเป็นหมายเลข ๕๓๑ ๑๓๓๑๐

4 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

ราชนาวีสภา
เอกสารสำคัญเกี่ยวกับการเตรียมการเพื่อจัดตั้ง

ราชนาวิกสภาที่เป็นเอกสารต้นฉบับยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน
มีแฟ้มเอกสารสำคัญจำนวน ๓ แฟ้มเอกสาร ได้แก่
แฟ้มเอกสารกองประวัติศาสตร์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
มีชื่อเอกสารว่า “ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวี

สถานของทหารเรือ” แฟ้มเอกสารหอจดหมายเหตุ
แห่งชาติซึ่งมีชื่อแฟ้มเอกสารใกล้เคียงกัน คือ “ตั้ง
ราชนาวีสภา ในกระทรวงทหารเรือและจัดการกีฬา

แข่งเรือ” กับแฟ้มเอกสารชื่อ “ขอพระบรมราชานุญาต

ตั้งราชนาวีของทหารเรือ”
เอกสารในแฟ้มเอกสารทั้ง ๓ เรื่อง มีความสืบเนื่องกัน
กล่าวคือ แฟ้มเอกสารแรกเป็นต้นร่างหนังสือ
กราบบังคมทูลฯ พร้อมเอกสารประกอบต่าง ๆ
ที่กระทรวงทหารเรือได้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอ
พระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสภา ในแฟ้มเอกสารนี้
ได้รวบรวมเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องไว้ด้วย

แฟ้มเอกสารที่ ๒ เป็นต้นฉบับเอกสารหนังสือ
กราบบังคมทูลฯ พร้อมสำเนาเอกสารประกอบต่าง ๆ
ของกระทรวงทหารเรือ ซึ่งปรากฏลายพระหัตถ์
ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงมีลายพระราชหัตถเลขา รวมทั้งเอกสารแจ้ง พลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์
พระบรมราชานุญาตของกรมราชเลขานุการ พร้อม กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต
เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
เอกสารประกอบต่าง ๆ

แฟ้มเอกสารที่ ๓ เป็นสำเนาซึ่งถ่ายเอกสารไปจาก จากข้อความที่ปรากฏในเอกสารทั้ง ๓ เรื่อง
แฟ้มเอกสารกองประวัติศาสตร์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ล้วนแสดงรายละเอียด บ่งชี้ความเป็นมาในการก่อตั้ง
แฟ้มที่ ๒ เอกสารทั้ง ๓ เรื่องล้วนมีต้นฉบับหรือสำเนา ราชนาวิกสภาว่าริเริ่มขึ้น โดยกรมเสนาธิการทหารเรือ
“บรรทึกความเห็นแลร่างข้อบังคับสำหรับการตั้ง ซึ่งถวายพระดำริต่อเสนาบดีกระทรวงทหารเรือให้ขอ
ราชนาวีสภา” ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๘ พระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือขึ้น
(ค.ศ.๑๙๑๖) อันเป็นต้นเรื่องแห่งกำเนิดราชนาวิกสภา ในชื่อ “ราชนาวีสภา” โดยมีลำดับความเป็นมาดังต่อไปนี้




๒ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือ.
๓ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ ก.๒๐.๑/๒๘ ตั้งราชนาวีสภา ในกระทรวงทหารเรือและจัดการกีฬาแข่งเรือ.
๔ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ กจช.(อ) ๙/๖๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีของทหารเรือ.


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 5

๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ (ค.ศ.๑๙๑๕) ได้ดำริห์จะตั้งราชนาวีสภาขึ้นอีกแพนกหนึ่ง แลได้ทรง
จากต้นฉบับหนังสือกรมเสนาธิการทหารเรือ พระดำริห์เห็นชอบด้วยตามระเบียบราชการที่เกล้าฯ
๒๔๕๘
ที่ ลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๘ ได้ถวายมาแล้วนั้น บัดนี้เกล้าฯ ขอประทานทำรายงาน
๖๖
๐๑๓๑๐
(ค.ศ.๑๙๑๕) กล่าวถึงเรื่องถวายอัตราเจ้าพนักงานและ การจัดตำแหน่งเจ้าน่าที่แลงบประมาณเงินสำหรับ
งบประมาณแผนกราชนาวีสภาเมื่อทรงพระอนุญาตแล้ว ลงทุนแลค่าใช้จ่ายประจำปีในแพนกราชนาวีสภา
จะดำริให้เปิดราชนาวีสภาขึ้นในต้น พ.ศ.๒๔๕๙ เนื้อหา ในชั้นต้นนี้เกล้าฯ ขอรับพระทานถวายอัตรา
ข้อความบ่งชี้ว่ากรมเสนาธิการทหารเรือ โดย นายพลเรือเอก เจ้าพนักงานแลงบประมาณดังต่อไปนี้ เมื่อทรง
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร พระอนุญาต แล้วกรมเสนาธิการทหารเรือจะดำริห์ให้

ขณะนั้นยังเป็น นายพลเรือโท พระเจ้าน้องยาเธอ เปิดราชนาวีสภานี้ ต้น พ.ศ.๒๔๕๙…”
พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร ๕ โดยหนังสือฉบับดังกล่าว นายพลเรือโท พระเจ้า
เคยถวายหนังสือกราบทูลเสนอพระดำริขอพระอนุญาต น้องยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ กรมหมื่น
ตั้ง “ราชนาวีสภา” ขึ้นอีกแผนกหนึ่งต่อ จอมพลเรือ สิงหวิกรมเกรียงไกร เสนาธิการทหารเรือ ทรงกราบทูล

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ุ เสนออัตราเจ้าหน้าที่ราชนาวีสภา รวม ๘ นาย คือ
กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ในขณะนั้นยังเป็น - บรรณารักษ์ ๑ นาย อัตรา นายเรือโท
นายพลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้า - ปฏิคม ๑ นาย อัตรา พันจ่าเอก
บริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต เสนาบด ี - ผู้ช่วย ๒ นาย อัตรา จ่าเอก และ
กระทรวงทหารเรือ ทรงเห็นชอบด้วยพระดำริเสนาธิการ - พลทหารคนใช้ ๔ นาย อัตราพลทหาร ข.
ทหารเรือมาก่อนวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๘ แล้ว นอกจากนี้เสนาธิการทหารเรือยังกราบทูลเสนอ
ดังข้อความระบุว่า “ด้วยตามที่กรมเสนาธิการทหารเรือ งบประมาณเพื่อการดังกล่าว ได้แก่
- ค่าเครื่องตู้ โต๊ะ เก้าอี้ นอกเหนือที่จะได้จาก


๕ ทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ และรั้งตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ แล้วเลื่อนขึ้นเป็นเสนาธิการทหารเรือ ในวันที่ ๑ มิถุนายน
๒๔๕๘
พ.ศ.๒๔๕๘ ตามคำสั่งกระทรวงทหารเรือที่ ๒๓ ๒๔๕๗ ลงวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๘
๖ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือ. แผ่น ๓๙ - ๔๐.


6 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

ขอตั้งราชนาวีสภาพร้อมแนบ “บรรทึกความเห็นแลร่าง
ข้อบังคับสำหรับการตั้งราชนาวีสภา” ต่อพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์
พ.ศ.๒๔๕๘ (ค.ศ.๑๙๑๖) เป็นข้อความว่า

“ด้วยกรมเสนาธิการทหารเรือได้ทำ บรรทึกความเห็น
เสนอว่าควรตั้ง ราชนาวีสภา (เทียบ Royal Naval
สำเนาหนังสือกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสภา
Institute) ขึ้น เพื่อเป็นสำนักนิ์ที่จะได้อำนวยการฝึกฝน
กองพัสดุทหารเรือ และเครื่องอื่น ๆ เป็นเงินประมาณ นายทหารให้มีความรู้วิชาการทหารเรือสูงขึ้นไป
๔,๐๐๐ บาท แลเป็นสถานที่ ๆ จะได้ศึกษาหรือแลกเปลี่ยนความรู้
- ค่าหนังสือ แบบตำราสำหรับห้องสมุดเบื้องต้น ซึ่งกันและกันในวิทยาและการอื่น ๆ อันจะเป็น

๔,๐๐๐ บาท และ ประโยชน์แก่การดำเนินราชการในน่าที่ กับทั้งให้มี
- ค่าหนังสือพิมพ์และแบบตำราจะเบิกจาก นาวีบรรณาคมเป็นที่รวบรวมหนังสือซึ่งเหล่านายทหารเรือ
กรมยุทธศึกษาทหารเรือ จะได้ใช้อ่านหรือศึกษา และให้เป็นสถานที่พักผ่อน
รวมเป็นเงิน ๘,๐๐๐ บาท สมาคมซึ่งกันแลกันในเวลาว่างราชการด้วย
อนึ่งราชนาวีสภานี้จะให้อยู่ในน่าที่อำนวยการ
๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๘ (ค.ศ.๑๙๑๖) ของกรมเสนาธิการทหารเรือ ไม่มีอำนาจปกครองตัวเอง
นายพลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เช่นระเบียบสโมสร ไม่มีสมาชิกลงชื่อออกเงินบำรุง
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต เป็นแต่เพียงสถานกลางซึ่งบรรดานายทหารเรือแล
เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เมื่อทรงเห็นชอบด้วยพระดำริ ข้าราชการพลเรือนชั้นสัญญาบัตรซึ่งรับราชการทหารเรือ
๒๔๕๘
จึงทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือกระทรวงทหารเรือที่ ๑๒๐๓๙ เข้าถึงได้ทั่วไป แลในการบางอย่างจะเจาะจงเรียกเป็น
๑๖
กราบบังคมทูลฯ เสนอเรื่องกรมเสนาธิการทหารเรือ รายนามให้ไปประชุมเป็นบังคับโดยทางราชการก็ได้


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 7

ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่าตามหลักความคิด ที่ยังไม่มีเครื่องมือฝึกสอนกับยังไม่มีครูเพียงพอ

อันนี้ เป็นการดีและจะได้ประโยชน์แก่ราชการ แต่การ จึงยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาดำเนินการ
ทั้งนี้จะถือว่าเป็นสถานที่ราชการล้วนก็ไม่เชิง แต่การจัดการศึกษาขั้นที่ ๓ ซึ่งเกี่ยวด้วยวิชาการ
มีทางเจือไปเป็นระเบียบสมาคม ซึ่งควรได้รับ สงคราม ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ นั้น กรมเสนาธิการทหารเรือ
พระบรมราชานุญาตก่อน จึงตั้งขึ้น ข้าพระพุทธเจ้า เห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือฝึกสอนและครูมากนัก
ได้รับพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายสำเนาบันทึกความเห็น สามารถจัดการศึกษาขั้นนี้ขึ้นได้ทันที แต่กรมเสนาธิการ
๑ ฉบับ และร่างข้อบังคับสำหรับการนี้ ๑ ฉบับ มาเพื่อ ทหารเรือไม่มีความประสงค์ที่จะจัดการศึกษาขั้นที่ ๓

ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยแล้ว” เป็นโรงเรียนสงคราม (War School) ขึ้น จึงเสนอ
สาระสำคัญของ “บรรทึกความเห็นแลร่าง ขออนุญาตตั้ง “ราชนาวีสภา” เพื่อจัดการศึกษาขั้นที่ ๓
ข้อบังคับสำหรับการตั้งราชนาวีสภา” คือ คำอธิบาย โดยใช้วิธีนำการเล่น “นาวียุทธกีฬา” ซึ่งมีผู้คิดขึ้นใช้
แผนจัดการศึกษาให้แก่นายทหารเรือแผนกเดินเรือว่า เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรวิชารบทางเรือของประเทศ
มีแผนจัดการศึกษาแบ่งออกกว้าง ๆ ๓ ขั้น ในทวีปยุโรปนำมาให้นายทหารเรือไทยฝึกใช้ เพื่อเป็น
ขั้นที่ ๑ ได้แก่ อาชีพศึกษาสามัญ คือวิชาเดินเรือ โอกาสให้นายทหารเรือได้คิดและเรียนรู้ด้วยตนเองว่า
และวิชาบังคับการในเรือ (การเรือการปกครอง) และ เรือที่กองทัพเรือไทยมีอยู่ในเวลานั้นจะใช้ให้ถูกทาง
สรรพาวุธ ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีได้อย่างไร และเพื่อให้สามารถ
ขั้นที่ ๒ ได้แก่ การศึกษาวิชาเฉพาะเป็นอย่าง ๆ ประเมินล่วงหน้าจากลักษณะภูมิประเทศในอ่าวไทยว่า
ให้รู้ดีกว่าขั้นที่ ๑ เช่น ปืนใหญ่ ตอร์ปิโด ทุ่นระเบิด กองทัพเรือไทยควรจะมีเรือชนิดใด มีเรือจำนวนเท่าใด

เดินเรือ ฯลฯ จึงจะสามารถป้องกันข้าศึก ได้ ดังเนื้อหาและวิธีการ
ขั้นที่ ๓ ได้แก่ วิชารบ ยุทธวิธี (วิธีการใช้เรือต่าง ๆ ของ “นาวียุทธกีฬา” ที่ปรากฏในต้นฉบับเอกสาร
ใช้อาวุธต่าง ๆ ฯลฯ รบกันในระหว่างเรือต่อเรือ “บรรทึกความเห็น แลร่างข้อบังคับสำหรับการตั้ง
นำกระบวนเรือเข้ารบ) และยุทธศาสตร์ ซึ่งกรมเสนาธิการ ราชนาวีสภา” เป็นข้อความว่า
ทหารเรือเสนอว่าสามารถจัดการศึกษาขั้นที่ ๓ ได้ทันที “ในการเล่นยุทธกีฬานี้จะถือว่าเปนการเล่น
โดยไม่ต้องรอให้นายทหารผ่านการศึกษาขั้นที่ ๒ ส่วนตัวของนายทหารเท่านั้น ไม่เปนทางราชการเลย...
เสียก่อน กล่าวคือ วิธีเข้าโจมตีหรือจัดการป้องกัน ฯลฯ เหล่านี้ ก็ไม่นับว่า

ในการจัดการศึกษาขั้นที่ ๑ ประกอบด้วย เปนแปลนที่กระทรวงทหารเรือคิดไว้สำหรับป้องกัน
การอาชีพศึกษาสามัญและการสรรพาวุธนั้น กรมเสนาธิการ พระราชอาณาจักร์เลย คือว่า ถ้ากระทรวงได้สอน
ทหารเรือเห็นว่าดำเนินสำเร็จลุล่วงไปแล้ว ดังจะเห็น แลชี้แจงหรือทำตัวอย่างให้ดู หรือวินิจฉัยว่า วิธีไหนถูก
ได้จากการจัดการศึกษาโรงเรียนนายเรือจนมีพื้นฐาน วิธีไหนผิดก็ดี เหล่านี้ ไม่ถือว่าเป็นหลักดำเนินการ
มั่นคง ทั้งยังอาจให้ดำเนินต่อไปเพียงแต่เพิ่มเติมให้ ของกระทรวง เปนแต่ตั้งใจจะชี้แจงให้นายทหารเห็นว่า
ทันสมัยเท่านั้น แต่การจัดการศึกษาในขั้นที่ ๒ ว่าด้วย มีวิธีใดบ้าง แลควรใช้วิธีใดในเวลาใดดังนี้เปนต้น

เรื่องการปืนใหญ่ ตอร์ปิโด ทุ่นระเบิด เดินเรือ นั้น การเล็กเชอร์ยุทธวิธียุทธศาสตร์ก็ฉันเดียวกัน”
กรมเสนาธิการทหารเรือยังมิได้จัดทำขึ้นเพราะเหตุ


๗ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือ. แผ่นที่ ๔ - ๖.,
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ ก.๒๐.๑/๒๘ ตั้งราชนาวีสภา ในกระทรวงทหารเรือและจัดการกีฬาแข่งเรือ. แผ่นที่ ๒๓ - ๒๔
๘ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือ. แผ่นที่ ๑๒.


8 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

นายพลเรือโท พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร
กรมเสนาธิการทหารเรือคาดหวังว่าผลจากการ ๖. ความรู้จักแผนที่

เล่นยุทธกีฬาจะทำให้นายทหารเรือต้องคำนึงถึงการต่าง ๆ ๗. การงานที่เป็นไปและกำลังของทหารเรือ
ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในราชการทหารเรือ และทำให้ ต่างประเทศ
นายทหารเรือมีความรู้ความชำนาญเพิ่มขึ้นในราชการ ๘. โปลิติกในการทหารของกรุงสยาม และนานา
ทหารเรือในเรื่องต่าง ๆ รวม ๑๒ เรื่อง ได้แก่ ประเทศ
๑. การเรือและการใช้เรือ ๙. การค้าขายและเรือสินค้าของกรุงสยาม และ
๒. วิธีใช้สรรพาวุธ นานาประเทศ
๓. การใช้และบังคับเรือเป็นลำ ๆ ในการรบ ๑๐. คมนาคมของสากล

๔. การใช้และการบังคับกระบวนเรือ ๑๑. พงศาวดารการทหารเรือและตำนานชลศึก
๕. การใช้และการบังคับกระบวนเรือและ ของนานาประเทศ
กองทหารบกรวมกัน ๑๒. กฎธรรมนิยมระหว่างประเทศอันเนื่องด้วย

การทำสงคราม
๙ ข้อ ๑๒ ตามเอกสารต้นฉบับเอกสารกรมเสนาธิการมีลายมือเขียนแทรกด้วยดินสอ สันนิษฐานว่าเป็นลายพระหัตถ์ของเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 9

ทั้งนี้ ยังมีสิ่งสำคัญเกี่ยวด้วยการเล่นยุทธกีฬา แสดงความคิดเห็นต่อการปกครองของรัฐบาล หรือ
อีกประการหนึ่ง นั่นคือ กรมเสนาธิการทหารเรือ ต่อตัวบุคคล กรรมการมีอำนาจที่จะห้ามมิให้พูด

ยังจะจัดให้มีการแสดงความรู้และการเรียนวิธีการรบ ข้อความนั้นได้
ด้วยวิธีการอื่น ๆ อีก ๓ วิธี ได้แก่ นอกจากนี้ยังมีสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ
๑. การแต่งเรื่อง (Essays) โดยกรรมการตั้งเรื่อง กรมเสนาธิการจะจัดให้มี “นาวีบรรณาคม” เป็นสถานที่
ให้แต่ง หรือตั้งปัญหาให้แก้ด้วยหนังสือ รวบรวมหนังสือต่าง ๆ ที่เกี่ยวด้วยการทหารเรือ การกล
๒. การเล็กเชอร์ (Lectures) โดยกรรมการตั้งเรื่อง อันเกี่ยวกับการทหารเรือ (ยุทธวิธี) พงศาวดารต่าง ๆ
ให้เตรียมมาอธิบายในที่ประชุม ให้นายทหารอ่านหรือหยิบยืมไปอ่านได้ รวมทั้งจะรับ
๓. การปุจฉาวิสัชนา (Debate) โดยกรรมการตั้ง หนังสือพิมพ์ต่างประเทศมาให้นายทหารอ่านด้วย


เรื่องหรือปัญหาให้นายทหารแบ่งออกเป็น ๒ พวก โดยจะใช้สถานที่สำหรับเล่น “ยุทธกีฬาและฟงเล็กเชอร์”
แสดงความเห็นโต้ตอบกัน กับเก็บบรรดาหนังสือต่าง ๆ ที่โรงเรือของกองพัน
กรมเสนาธิการทหารเรืออธิบายวิธีการเล่น พาหนะซึ่งเคยคิดจะทำเป็นสโมสรทหารเรือมาก่อน
ยุทธกีฬาและการปุจฉาวิสัชนาไว้ ในว่า จะทำการแบ่ง เป็นที่ทำการของ “ราชนาวีสภา” และจัดให้มีทหาร
ผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย ๆ หนึ่งเป็นฝ่ายเขียว อีกฝ่ายหนึ่ง จำนวนหนึ่งเป็นเจ้าพนักงานดูแลพัสดุ หนังสือและ
เป็นฝ่ายแดง ให้แต่ละฝ่ายช่วยกันคิดในเรื่องการป้องกัน รักษาความสะอาดสถานที่ ดังข้อความตามต้นฉบับเดิม
การเข้าตี หรือทั้งการป้องกันและการเข้าตี โดยให้ ซึ่งยังมิได้แก้ไขด้วยการตกเติมขีดฆ่าแก้ข้อความ
กรรมการเป็นฝ่ายเขียวเป็นผู้ตั้งปัญหาให้นายทหารอื่น ด้วยลายมือระบุไว้ว่า
เป็นฝ่ายแดงร่วมกันคิดแก้ หรืออาจให้นายทหาร “สถานที่

พวกหนึ่งเป็นผู้ตั้งปัญหาอีกพวกหนึ่งเป็นผู้คิดแก้ก็ได้ ในการที่จะเล่นยุทธกิฬาแลการฟังเล็กเชอร์
แต่ไม่ว่าจะเป็นประการใดในกรณีการปุจฉาวิสัชนา การเก็บบรรดาหนังสือต่าง ๆ เหล่านี้ จำเปนจะต้องมี
ที่นายทหารจะตั้งโต้เถียงกันได้นั้นจะต้องได้รับอนุญาต สถานที่พิเศษขึ้น เวลานี้คิดด้วยเกล้าว่า ที่โรงเรือ
จากกรรมการเสียก่อน และจะต้องอยู่ในหัวข้อที่กำหนดไว้ ของกองพันพาหนะ ซึ่งแต่ก่อนคิดไว้ว่าจะทำสะโมสรนั้น
จำนวน ๖ หัวข้อ ได้แก่ พอใช้การนี้ได้ เลิกการตั้งสะโมสรทหารเรือเสีย เปลี่ยนมา
๑๐
๑. การปกครองในเรือ การแก้ไข การบังคับบัญชา เป็น ราชนาวีสภา ต่อไป”
ในเรือ การใช้เรือในราชการต่าง ๆ นายพลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้า

๒. การป้องกันอันตรายต่าง ๆ ในเรือ บริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดี
๓. การปราบจลาจลหรือขบถในพระราชอาณาเขต กระทรวงทหารเรือจึงทูลเกล้าฯ ได้ถวายหนังสือ
ในเขตที่ทหารเรือจะช่วยปราบปรามได้ กราบบังคมทูลฯ พร้อมแนบสำเนาเอกสาร “บรรทึก
๔. การสงคราม ความเห็นแลร่างข้อบังคับสำหรับการตั้งราชนาวีสภา”
๕. วิธียุทธ์ของเรือและสรรพาวุธ ซึ่งมีเนื้อหาข้อบังคับรวม ๑๐ ข้อ กราบบังคมทูลฯ
๖. การป้องกันฝั่งสยามรวมกับทหารบก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่
๑๑
อย่างไรก็ดีในบางหัวข้อหากเป็นเรื่องที่มีผู้กล่าว ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๘ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น

๑๐ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือ. แผ่นที่ ๑๕.
๑๑ เอกสารนี้พิมพ์ขึ้นโดยเครื่องพิมพ์ดีด เว้นวันที่ว่างไว้ แต่ระบุเป็น เดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๕๘ (ค.ศ.๑๙๑๖) เมื่อพิจารณาประกอบกับ
หนังสือกรมเสนาธิการ ที่ ๖๖/๒๔๕๘/๑๑๓๑๐ ลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๘ จึงเป็นหลักฐานว่ากรมเสนาธิการทหารเรือมีแนวความคิดที่จะตั้ง
ราชนาวีสภาอย่างน้อยมาตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๘ (ค.ศ.๑๙๑๕) แล้ว
10 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖)


มีสิ่งที่พึงสังเกตว่า มีความคิดตั้งสโมสรทหารเรือ เปนลนเกลาฯ ลงลายพระราชหตถเลขาจดพระราชทาน




ขึ้นก่อน จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นแนวความคิดตั้งนาวีสภา คำภาษาไทยเทียบกับคำภาษาไทยทับคำศัพท์ภาษาอังกฤษ
ของทหารเรือขึ้นก่อนวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๙ ที่กระทรวงทหารเรือ ตลอดจนกรมเสนาธิการทหารเรือ
เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๓ เดือน กับในเรื่องนามเริ่มแรก ใช้ในหนังสือกราบบังคมทูลฯ กับสำเนาเอกสาร
ของราชนาวิกสภาที่กรมเสนาธิการทหารเรือคิดตั้งขึ้นนั้น “บรรทึกความเห็นแลร่างข้อบังคับสำหรับการตั้ง
ใช้คำว่า “ราชนาวีสภา” อีกทั้งยังมีการใช้คำภาษาไทย ราชนาวีสภา” อันเป็นคำภาษาไทยทับคำศัพท์ภาษา
ทับศัพท์ภาษาอังกฤษหลายคำซึ่งในเวลาต่อมาจะมี อังกฤษที่ยังมิได้แปลความหมายจากภาษาอังกฤษรวม

การกำหนดคำศัพท์ใหม่ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากคำศัพท์เดิม ๔ คำ ได้แก่คำว่า
- Navy (Noun) ทรงพระราชทานคำศัพท์ภาษาไทย
“ราชนาวิกะสภา” เป็น “นาวี”
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับ - Naval (Adjective) ทรงพระราชทานคำศัพท์
หนังสือกราบบังคมทูลฯ ของกระทรวงทหารเรือตลอดจน ภาษาไทยเป็น “นาวิกะ” หรือ “นาวิก”
เอกสารแนบเรื่องซึ่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ - Lectures ทรงพระราชทานคำศัพท์ภาษาไทย
ทูลเกล้าฯ ถวายแล้ว พระองค์จะได้ทรงพระอักษรเรื่องนี้ เป็น “บรรยาย”

ในวันใดไม่ปรากฏแน่ชัด หากแต่พระองค์ทรงม ี - Debate ทรงพระราชทานคำศัพท์ภาษาไทยเป็น
พระบรมราชานุญาตและทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ “คารม”



นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 11

ลายพระราชหัตถเลขา

ต่อมาในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา
๒๔๕๘
กรมปลัดทัพเรือมีหนังสือที่ แจ้งความมายัง จดพระราชทาน แล้วกระทรวงทหารเรือได้จัดทำ
๕๘
๑๒๖๔๘
นายพลเรือโท พระยามหาโยธา (ฉ่าง แสง - ชูโต) เอกสารขึ้นใหม่เป็นเอกสารพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด
ผู้บัญชาการกรมชุมพลทหารเรือว่า ใช้ชื่อเอกสารว่า “บรรทึกความเห็นเรื่องตั้งราชนาวิ
“กรมเสนาธิการทหารเรือแจ้งว่า ในการที่จะตั้ง กะสภา” กับ “ข้อบังคับว่าด้วยการตั้งราชนาวิกะสภา”
ราชนาวีสภาขึ้นตามที่ท่านทราบอยู่แล้วนั้น จะต้องใช้ที่ โดยเสนาบดีกระทรวงทหารเรือได้เพิ่มเติมข้อบังคับจากเดิม
๑๓
ชั้นล่างซึ่งเก็บเรือแจวพายอยู่ในเวลานี้ ๒ ห้อง (คือสอง รวมเป็นข้อบังคับทั้งหมด ๑๒ ข้อ มีเนื้อหาสาระของ
หน้าต่าง หรือสองประตู) ตอนข้างเหนือติดผนังด้านสกัด ข้อบังคับที่เพิ่มเติมขึ้นใหม่คือ
สำหรับตั้งโต๊ะบิลเลียด นายพลเรือเอกฯ เสนาบดี - ข้อบังคับข้อ ๙ ระบุให้อำนาจเสนาธิการทหารเรือ
มีรับสั่งให้จัดการกันเรือในที่ซึ่งกล่าวนั้นไปไว้ที่อื่น จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้บุคคลที่มิได้เป็นนายทหาร
แล้วแต่จะเปนได้ แล้วมอบที่นั้นให้แก่กรมเสนาธิการ หรือข้าราชการกระทรวงทหารเรือชั้นสัญญาบัตรเข้าไป
ทหารเรือเพื่อได้จัดสถานที่นั้นให้ทันเวลาเปิดสภานี้ ในราชนาวิกะสภา อนุญาตให้บุคคลเข้าไปค้าขายสิ่งของ
๑๒
ซึ่งกำหนดว่าในเมื่อสิ้น มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ แล้ว.” - ข้อบังคับข้อ ๑๐ กำหนดให้นายทหารเรือ
หลังจากนั้นในวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ และข้าราชการกระทรวงทหารเรือชั้นสัญญาบัตรจะเชิญ

กรมราชเลขานุการ จึงมีหนังสือที่ ๒๘/๑๘๓๒ แจ้ง ผู้ใดมาเป็นแขกของตนจะต้องแจ้งนามและขออนุญาต
พระบรมราชานุญาตมายังเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ต่อกรรมการอำนวยการเสียก่อน และ
ซึ่งในจดหมายบันทึกกระทรวงทหารเรือระบุวันที่ได้รับ - ข้อบังคับข้อ ๑๒ กำหนดให้การบรรยาย
หนังสือกรมราชเลขานุการในวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ การแสดงคารม การแต่งเรื่อง จะต้องให้กรรมการตรวจ
ต่อมาในวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ นายพลเรือเอก เนื้อเรื่องและนำเสนอเพื่อขออนุมัติเสนาธิการทหารเรือ
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ เสียก่อน ตลอดจนกำหนดให้กรรมการเฉพาะการหรือ
กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ กรรมการอำนวยมีหน้าที่ห้ามการกล่าวถ้อยคำบางอย่าง
จึงแก้ไขคำศัพท์ในต้นฉบับเอกสารให้ถูกต้องดัง ดังระบุเป็นข้อความส่วนหนึ่งว่า


๑๒ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือ. แผ่นที่ ๑๖.
๑๓ อย่างไรก็ตาม ข้อบังคับที่ประกาศใช้จริงมีเนื้อหาเพิ่มขึ้นอีก รวมเป็น ๑๔ ข้อ.

12 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

“...ในระหว่างดำเนีรการบรรยายก็ดี, แสดงคารม ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ (ค.ศ.๑๙๑๖)
ก็ดี, หรือในการประชุมสนทนาการอย่างใด ๆ ก็ดี, นายพลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
ถ้ามีผู้กล่าวความแสดงถึงการรัฐาภิปาลนโยบายทั่วไป เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต
แลการเมืองอันเปนสิ่งนอกน่าที่ของผู้เปนทหาร, เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ทรงลงพระนามในคำสั่ง
๒๔๕๘
หรือกล่าวข้อความติเตียนเสียดสีส่วนบุคคล หรือกล่าว กระทรวงทหารเรือที่ ๕๓๒ ๑๓๓๑๐ ลงวันที่ ๑๖
การใด ๆ อันมีโทษอาจนำมาซึ่งความเสียหายแก่ราชการ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ ตั้งราชนาวีสภาของทหารเรือขึ้น
หรือคณะนายทหารเรือไซร์, กรรมการเฉภาะการหรือ ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๙ โดยใช้คำเรียกว่า

กรรมการอำนวยการมีอำนาจน่าที่จะต้องห้ามปรามมิให้ “ราชนาวิกะสภา” และประกาศใช้ข้อบังคับทหารเรือ
๒๔๕๘
๑๔
๒๙
ปรารพภ์ข้อความอันนั้นอิกต่อไป.” ว่าด้วยการตั้งราชนาวิกะสภาบทที่ รวม
๑๓๓๑๐
ในวันเดียวกันนี้เสนาธิการทหารเรือได้มีหนังสือ ๑๔ ข้อโดยในส่วนอารัมภบทของข้อบังคับทหารเรือนี้
๒๔๕๘
กรมเสนาธิการทหารเรือ ที่ กราบทูล อธิบายถึงวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้ว่า
๗๕
๑๖๕๑
ขอประทาน เรือตรี เอี้ยม (เอี้ยม ลีนะกนิษฐ์) อาจารย์ “ด้วยเวลานี้นายทหารชั้นสัญญาบัตร์, ที่ได้ศึกษา
ภาษาอังกฤษกองโรงเรียนนายเรือ มาเป็นบรรณารักษ์ วิชามาจากโรงเรียนนายเรือก็ดี, จากที่ใด ๆ ก็ดี, เมื่อมา
ใน “ราชนาวิกะสภา” รับราชการในราชนาวีแล้ว โดยมากยังหาได้มีโอกาส
ที่จะได้ศึกษาวิชาต่อไปให้มีความรู้ทันกับสมัยไม่,
เพราะไม่มีสถานที่จะเล่าเรียนต่อได้อย่างหนึ่ง,



๑๔ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือ. แผ่นที่ ๒๗.


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 13

เพราะไม่มีแบบที่จะศึกษาได้เองอิกอย่างหนึ่ง, เพราะไม่ได้ ที่มีตำแหน่งประจำการ ตลอดจนบุคคลอื่น ๆ ที่ได้

สนทนาปราไสยเปนการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันแลกัน รับอนุญาตที่จะได้พบปะสนทนาทั้งในกิจราชการและ
ได้อิกอย่างหนึ่ง. กิจส่วนตัว โดยเสนาธิการทหารเรือมีอำนาจที่จะสั่งตั้ง
เพื่อจะแก้ไขความบกพร่องที่กล่าวมานี้ แลเพื่อ นายทหารเป็นกรรมการอำนวยการหรือเป็นกรรมการ
ประโยชน์แห่งราชนาวีต่อไป จึงได้ตั้งราชนาวิกะสภาขึ้น พิเศษเฉพาะการ มีอำนาจออกข้อบังคับสำหรับ
อิกแพนกหนึ่ง, ในกรมเสนาธิการทหารเรือ, โดย ราชนาวิกสภาที่ไม่ขัดแย้งเป็นปรปักษ์ต่อหลักสำคัญที่
๑๕
๑๖
ระเบียบการดังจะกล่าวไว้ในข้อบังคับต่อไปนี้…” วางไว้โดยข้อบังคับดังกล่าว
อารัมภบทของข้อบังคับทหารเรือว่าด้วยการตั้ง ภารกิจที่สำคัญเริ่มแรกของราชนาวิกสภาจึงได้แก่
ราชนาวิกสภาดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นการอธิบายย้ำ กิจการซึ่งเป็นสถานที่สำหรับประชุมปรึกษาและ
และขยายความวัตถุประสงค์ตลอดจนความมุ่งหมายหลัก สันทนาการของนายทหารและข้าราชการทหารเรือ
ในการก่อตั้งราชนาวิกสภาขึ้น คือให้เป็นสถานศึกษา ชั้นสัญญาบัตร กับกิจการห้องสมุด ดังนั้นในวันที่ ๑๖
ซึ่งใช้วิธีการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการเช่นโรงเรียน มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ วันเดียวกันนี้ นายพลเรือเอก
ที่ใช้การเรียนด้วยตำรา เป็นสถานศึกษาที่เปิดให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์
นายทหารสัญญาบัตรแห่งราชนาวีซึ่งสำเร็จการศึกษา กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
๕๘
จากโรงเรียนนายเรือหรือสำเร็จการศึกษาจาก จึงทรงมีคำสั่งย้ายนายทหาร บรรจุตำแหน่งที่ ๕๗๒ ๑๓๓๑๑
สถานศึกษาอื่น ๆ มีโอกาสศึกษาหาความรู้ให้ทันสมัย ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ ให้นายเรือตรี เอี้ยม
ได้สนทนาปราศัยแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ลีนะกนิษฐ์ มาสำรองราชการกรมเสนาธิการทหารเรือ
๑๗
ในเนื้อหาของข้อบังคับรวม ๑๔ ข้อ ได้อธิบาย มีตำแหน่งเป็นบรรณารักษ์ราชนาวิกะสภา
ลักษณะและการดำเนินงานราชนาวิกสภาเพิ่มเติมว่า และเมื่อตั้งราชนาวิกสภาขึ้นแล้วต่อมาวันที่ ๑๘
ราชนาวิกสภามีสถานะเป็นแผนกหนึ่งของกรมเสนาธิการ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๙ นายพลเรือโท สมเด็จพระเจ้า
ทหารเรือ เป็นสถานที่สำหรับรวบรวมหนังสือตำรา น้องยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ กรมหมื่น
เกี่ยวกับการทหารเรือกับรับหนังสือพิมพ์ไทยและ สิงหวิกรมเกรียงไกร เสนาธิการทหารเรือ ปฏิบัติหน้าที่
ต่างประเทศให้นายทหารอ่าน เป็นสถานที่สำหรับ แทนเสนาบดีกระทรวงทหารเรือจึงมีคำสั่งย้าย พันจ่าโท
๑๘
เล่นยุทธกีฬา ประชุมฟังการบรรยาย แสดงเรื่องที่ นายโมรา ประจำกองเรือกลชั้น ๔ กรมชุมพลทหารเรือ
นายทหารแต่งตามปัญหาที่กรมเสนาธิการตั้งให้เป็น มาเป็นปฏิคมราชนาวิกะสภา สังกัดกรมเสนาธิการ
๑๙
ครั้งคราว เป็นสถานที่ประชุมหารือ หรือแสดงคารม ทหารเรือ
ในวิทยาการและข้อราชการอันเกี่ยวกับการทหารเรือ
เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้หรือหาหนทางที่จะดำเนิน
ราชการให้เป็นระเบียบเดียวกัน เป็นสถานที่สมาคม
ของนายทหารชั้นสัญญาบัตรซึ่งประจำการ นายทหาร
กองหนุนและเบี้ยบำนาญ ข้าราชการชั้นสัญญาบัตร

๑๕ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือ. แผ่นที่ ๒๓.
๑๖ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือ. แผ่นที่ ๒๓ - ๒๙.
๑๗ นายเรือตรี เอี้ยม ลีนะกนิษฐ์ จึงเป็นบุคคลท่านเดียวที่มีตำแหน่งเป็นบรรณารักษ์ ก่อนวันตั้งราชนาวิกะสภา
๑๘ โมรา พุกกะณะเสน
๑๙ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือ. แผ่นที่ ๔๑.


14 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

ราชนาวิกสภา ชายทะเล ทรงรั้งตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือในวันที่
จากข้อความในเอกสารต่าง ๆ ที่ระบุมาโดยลำดับ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม
“ราชนาวิกสภา” ในปัจจุบันจึงถือกำเนิดขึ้นโดย พ.ศ.๒๔๕๘ แล้วดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ
พระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๘ ทรงบังคับบัญชา

เจ้าอยู่หัว โดยกรมเสนาธิการทหารเรือ ซึ่งในขณะนั้นมี ราชนาวิกสภาเป็นเวลาประมาณ ๑ ปี ๑๐ เดือน
นายพลเรือโท พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิไชย นับแต่แรกกำเนิดในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๙
เฉลิมลาภ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร ทรงดำรง จนถึงวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๐ จึงได้รับ
ตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือเป็นผู้ริเริ่มดำเนินการ พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นจเรทหารเรือ แล้ว
จนกระทั่งก่อตั้งราชนาวิกสภาขึ้น นายพลเรือโท พระเจ้าพี่ยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากร
นายพลเรือโท พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้า เกียรติวงศ์ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ดำรงตำแหน่ง
วุฒิไชยเฉลิมลาภ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร เป็นเสนาธิการทหารเรือทรงบังคับบัญชาราชนาวิกสภา
เดิมทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ต่อมา



นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 15

แผนที่ลอฟตัส




16 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

ที่ทำการราชนาวิกสภา


ทหารเรือโรงหล่อ ทหารที่อยู่ประจำการมีจำนวนน้อยตามสังกัดกรม
ราชนาวีไทยมีประวัติความเป็นมาว่าเกิดขึ้นโดย ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้านายเชื้อพระวงศ์
การรวบรวมทหารเรือวังหน้าในพระบาทสมเด็จ และข้าราชการดำรงตำแหน่งสำคัญเท่านั้น
พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งรัชกาลที่ ๔ ที่สืบเนื่องมา ในต้นสมัยรัชกาลที่ ๕ กิจการทหารเรือได้เริ่ม
แต่ครั้งรัชกาลที่ ๓ ต่อมาอยู่ในบังคับบัญชาของ เปลี่ยนแปลงรูปแบบมาเป็นกองทัพประจำการด้วย
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศ

ซึ่งเสด็จทิวงคตวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๒๘ จัดการทหารตั้งกรมยุทธนาธิการ รวบรวมทหารบก
ทหารเรือวังหน้าจึงถูกยุบเลิกไปสมทบกับฝ่ายวังหลวง ทหารเรือตามสังกัดกรมต่าง ๆ ขึ้นเป็นครั้งแรก
ส่วนทหารเรือฝ่ายวังหลวงได้แก่ทหารกรมเรือกลไฟ เมื่อวันศุกร์ เดือนห้า แรมค่ำหนึ่ง ปีกุน ยังเป็นอัฐศก
พระที่นั่งกับกรมอรสุมพลในบังคับบัญชา จุลศักราช ๑๒๔๘ คือวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๒๙
สมุหพระกลาโหมครั้งรัชกาลที่ ๕ รวมกัน ด้วยเหตุที่ (นับปีแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ.๒๔๓๐) โดยผลแห่งการ
การทหารแต่โบราณแม้จะเริ่มปรากฏราชการฝ่ายทหารเรือ ประกาศจัดการทหารดังกล่าวย่อมจะต้องมีที่ทำการ
เป็นการเฉพาะขึ้นแต่ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แล้วก็ตาม ทหารเรือขึ้น

ก็ยังไม่แบ่งเป็นทหารบกทหารเรือ ไม่มีทหารที่เป็นกองทัพ ตามประกาศจัดการทหาร จุลศักราช ๑๒๔๘ นั้น
ประจำการเช่นปัจจุบัน เมื่อมีราชการหรือการศึก ทหารเรืออยู่ในบังคัญบัญชาของ “เจ้าพนักงานใหญ่

สงครามขึ้นจึงจะเรียกเกณฑ์คนตามสังกัดมูลนายต่าง ๆ ผู้ช่วยบัญชาการทหารเรือ เรียกว่า สิเกรตาริ ตู ธีเนวี”
มาเข้าทัพเป็นทหารตามคราวไป เมื่อสิ้นราชการนั้นแล้ว ซึ่งพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ ดำรงตำแหน่งดังกล่าวนี้
ก็ปลดทหารที่เรียกเกณฑ์มากลับคืนสังกัดมูลนาย เป็นพระองค์แรก ก่อนหน้านั้นพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์
ไปประกอบอาชีพทำมาหากินตามภูมิลำเนาของตน ทรงบังคับบัญชากรมเรือพระที่นั่ง มีทหารเรือหลายกรม



๑ ประกาศจัดการทหาร. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔ หน้า ๒๖ - ๒๗.


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 17

พื้นที่และอาคารตรงข้ามท่าราชวรดิษฐ์

อยู่ในบังคับบัญชา อาทิ กรมแสง กรมทหารแคตลิงกัน อนันตการฤทธิ์ “เจ้าแฉ่” คือ หม่อมเจ้าอุทัย ยุคันธร
กรมเรือพระที่นั่งเวสาตรี ฯลฯ จากหนังสือราชการ พระโอรส กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ เมื่อสิ้นพระชนม์
ขณะนั้นบ่งชี้ว่าราชการทหารเรือระยะแรกมีที่ทำการ ในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๒๓ (๑๘๘๐)
เรียกชื่อว่า “ออฟฟิศที่ว่าการทหารเรือ” แต่จะมี แล้วพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มิได้ทรง
ที่ตั้งอยู่ ณ สถานที่แห่งใดในเอกสารไม่ระบุแน่ชัด พระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้เชื้อพระวงศ์
จึงสันนิษฐาน “ออฟฟิศที่ว่าการทหารเรือ” คงจะมีที่ตั้ง พระองค์ใดมาประทับแทน
ทำการอยู่ที่วังของเจ้านายเชื้อพระวงศ์หรือจวนของ “วังกรมอนันต์” ดังกล่าวคือจวนเจ้าพระยาจักรี

ข้าราชการผู้ใหญ่ซึ่งบังคับบัญชากรมทหารเรือ หรือสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ที่ต่อมาคือ
ตามแบบแผนธรรมเนียมการบริหารปกครองสมัยนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์
พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ ได้รับพระราชทานให้เป็น แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งเคยเป็นจวนเจ้าพระยาจักรี มาก่อน
ผู้รักษาวังซึ่งเคยเป็นที่ประทับของ กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ เสวยราชเป็นพระมหากษัตริย์จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
พระโอรสของกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ พระนิเวศน์เดิม หลังจากว่างเจ้านายเชื้อพระวงศ์ประทับ
เมื่อวันอังคาร แรมห้าค่ำ เดือนสิบสอง ปีมะแม พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ ได้รับพระราชทานให้เป็น
เบญจศก จุลศักราช ๑๒๔๕ ตรงกับวันที่ ๑๙ ผู้รักษาวัง ใน พ.ศ.๒๔๒๖ ก่อนจะมีตำแหน่งเป็น

พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๒๖ (๑๘๘๓) มีบันทึกปรากฏ “เจ้าพนักงานใหญ่ผู้ช่วยบัญชาการทหารเรือ เรียกว่า
ในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในพระบาทสมเด็จ สิเกรตาริ ตู ธีเนวี” บังคับบัญชาทหารเรือใน พ.ศ.๒๔๒๙
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาคที่ ๑๖ เป็นข้อความว่า และเนื่องจาก “วังกรมอนันต์” จึงสันนิษฐานว่า
“มีพระราชหัตถ์ถึงพระองค์สาย ว่าด้วย เมื่อพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์เป็นผู้สั่งเรือกลไฟจักรท้าย
วังกรมอนันต์ ได้ให้เจ้าแฉ่ไปจากที่นั้นแล้ว ให้พระองค์ สองเสาชื่อเรือพระที่นั่งเวสาตรีมาก่อน และเป็น

สายรักษาวังนั้นต่อไป” ผู้จัดการสร้างอู่กำปั่นในโรงงานทหารเรือ จึงเป็น

“กรมอนันต์” ตามข้อความในจดหมายเหตุ ผู้ซ่อมแปลงโรงหล่อเก่าเป็นที่ว่าการกรมทหารเรือขึ้น
พระราชกิจรายวัน คือ พระองค์เจ้ายุคันธร กรมหมื่น ในเขตบริเวณพระนิเวศน์เดิมนั้น


๒ จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ภาค ๑๖ พระนคร โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร ๒๔๘๑ หน้า ๑๒๑.
๓ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๒ ประวัติกระทรวงทหารเรือ. แผ่นที่ ๑๐.


18 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

ที่ว่าการกรมทหารเรือ
อาณาเขตพระนิเวศน์เดิมในสมัยรัชกาลที่ ๕ “ทหารโรงหล่อ” หรือ “ทหารเรือโรงหล่อ”
ด้านใต้ถัดจากเขตบ้านเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญรอด ซึ่งน่าจะเป็นเพราะพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ทรงใช้
บุณยรัตพันธุ์) ซึ่งอยู่ติดคลองมอญ ด้านเหนือกับ เป็นที่ทำการ “ออฟฟิศที่ว่าการทหารเรือ”
เขตอู่เรือกำปั่นที่ข้างวัดระฆัง (วัดบางหว้าใหญ่) ในวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ.๒๔๓๓ ณ ที่ออฟฟิศ

ด้านตะวันตก สันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ติดเขตวัดวงศมูล ทหารเรือแห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ด้านตะวันออกติดแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงเสด็จมายัง “โรงหล่อ” เพื่อประกอบพระราชพิธี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เปิดอู่หลวงและเวลาเย็นเสด็จประทับเสวยบน
ทรงพระราชทานที่พระนิเวศน์เดิมให้กรมทหารเรือ “ออฟฟิศทหารเรือ” ด้วย ดังข้อความปรากฏใน
สร้างที่ว่าการทหารเรือ ขยายต่อออกมาให้พอราชการ ราชกิจจานุเบกษาว่า
และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกำแพงมีใบเสมาหมายเขต “...บัดนี้ที่โรงหล่อข้างวังสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ

ไว้เป็นสำคัญให้ปรากฏว่าพระนิเวศน์เดิมอยู่ตรงนั้น พระองค์ใหญ่ซึ่งเป็นออฟฟิศกรมทหารเรือ ได้มีเวิกซ๊อป
สภาพพื้นที่บริเวณดังกล่าวปรากฏในแผนที่ คือที่ทำการช่างเหล็ก สำหรับทำเครื่องเรือกไฟต่าง ๆ
ซึ่งเขียนขึ้นโดยกัปตันจอห์น ลอฟตัส เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๒ แลมีโรงหลังหนึ่งต่างหากทำปัสตันปืนใช้ได้เอง
(๑๘๗๘) เขียนชื่อเรียกบริเวนนี้ว่า “The Royal ไม่ต้องซื้อจากนอกแล้ว ใช้เครื่องสติมทำเร็วอย่างยิ่ง ...
Foundry” แปลว่าโรงหล่อหลวง คำว่า “โรงหล่อ” แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตร
หรือ “Rong Lo” “Rong Lor” เป็นคำที่ใช้เรียกพื้นที่ โรงทำปัสตันแลโรงเวิกช๊อป ทอดพระเนตรหลอมเหล็ก
รวม ๆ ของทหารเรือ ได้แก่พระนิเวศน์เดิมและ กลึงปืน เลื่อยเหล็ก ทำเครื่องเรือกลไฟต่าง ๆ ทั่วทั้ง
พื้นที่ข้าง ๆ ด้านเหนืออันเป็นที่ตั้งของโรงหล่อ สามหลังซึ่งอยู่ติด ๆ กัน เวลาเย็นประทับโต๊ะเสวย
กับโรงงานต่าง ๆ จนถึงตัวอู่หลวง เป็นคำที่มักปรากฏ บนออฟฟิศทหารเรือ” ๕
ตามเอกสารร่วมสมัย ใช้เรียกทหารเรือสมัยนั้นว่า


๔ ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตำนานวังเก่า. หน้า ๒๐.
๕ พิธีเปิดอู่หลวง. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗ หน้า ๓๗๒ - ๓๗๓.


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 19

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเจิมเรือสุโขทัย
ดังที่กล่าวแล้วว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกำแพง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบรวมกระทรวงทหารเรือ
มีใบเสมาไว้เป็นเครื่องหมายขอบเขตของพระนิเวศน์ กับทหารบกรวมกันเป็นกระทรวงกลาโหม ใน พ.ศ.๒๔๖๗
เดิมและทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ขยายขอบเขต หลังจากนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นกรมทหารเรือ
พื้นที่ให้พอแก่การใช้การ และให้สร้างอาคารที่ทำการ ในที่สุดเปลี่ยนแปลงเป็น “กองทัพเรือ” ต่อมา
ทหารเรือ แต่การสร้างอาคารขึ้นใหม่ตลอดจนการ ย้ายที่ทำการไปอยู่ในบริเวณพระราชวังเดิมแล้ว
ต่อเติมอาคารที่มีอยู่เดิมจะทำขึ้นเพียงใด ตลอดจน ย้ายที่ทำการอีกครั้งหนึ่งไปอยู่ในบริเวณสวนนันทอุทยาน

ทำขึ้นในวันใดเดือนปีใด ยังตรวจสอบไม่ได้แน่ชัด มาจนกระทั่งปัจจุบัน
หากแต่ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ หน่วยงานทหารเรือที่มี
ที่ทำการอยู่ในบริเวณนี้ได้แก่ “กรมบัญชาการกลาง” อาคารที่ทำการราชนาวิกสภา
ซึ่งมีกรมย่อยขึ้นในบังคับกรมบัญชาการกลาง ๔ กรม อาคารที่ทำการราชนาวิกสภาซึ่งมีรูปลักษณ์ที่เห็น
คือ กรมเสนาธิการทหารเรือ กรมปลัดทัพเรือ ในปัจจุบันจะได้เริ่มสร้างขึ้นเมื่อใดยังไม่ได้ข้อสรุปแน่ชัด
กรมปลัดบาญชีทหารเรือ และกรมพระธรรมนูญทหารเรือ จากเอกสารเขียนขึ้นโดยความทรงจำของศาสตราจารย์
เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า สมภพ ภิรมย์ ซึ่งเคยเป็นช่างฝึกหัดและเคยรับราชการ

เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะ กรมยุทธโยธาทหารเรือ พิมพ์ในหนังสือนาวิกศาสตร์
กรมบัญชาการกลางและกรมย่อยที่ขึ้นในบังคับ ฉบับเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๓๖ กล่าวถึงอาคาร
เป็น “กระทรวงทหารเรือ” ในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ราชนาวิกสภาใน พ.ศ.๒๔๗๐ ว่า
พ.ศ.๒๔๕๓ (๑๙๑๐) ในวาระแรกแห่งรัชสมัย “คุณพ่อ (น.ท.หลวงบรรเจิดเรขกรรม – ‘ชม
เรียกชื่อที่ทำการกระทรวงทหารเรือว่า “ศาลาว่าการ ภิรมย์’) ได้พาผมไปที่กระทรวงทหารเรือ โดยเฉพาะ
กระทรวงทหารเรือ” กระทรวงทหารเรือจึงมีขึ้น บริเวณที่เป็นราชนาวิกสภา ผมได้เห็นอาคารราชนาวิกสภา
ก่อนการก่อตั้ง “ราชนาวิกะสภา” หรือ ราชนาวิกสภา เป็นตึกชั้นล่างทาสีขาว ชั้นบนเป็นไม้ทาสีเหลืองแก่
ที่ก่อตั้งใน พ.ศ.๒๔๕๘ ประมาณ ๕ ปี และเมื่อถึง ตอนล่างหรือชั้นล่างเก็บเรือเล็กเป็นเรือพายแจว



20 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

เรือเจนทะเล หน้าราชนาวิกสภา


มีชานชลาคอนกรีต หน้าตึกเป็นทางเดินเรียบ และ สะโมสรนั้นพอใช้การนี้ได้ เลิกการตั้งสะโมสรทหารเรือเสีย

ริมแม่น้ำเป็นทางเอียงลาด ... เพื่อให้เรือยกขึ้นลง เปลี่ยนมาเป็น ราชนาวีสภา ต่อไป”
ได้สะดวกตามระดับน้ำขึ้นลง และที่ทางลาดนี้ทหารเรือ ดังนั้นอาคารที่ใช้เป็นที่ทำการราชนาวิกสภาตั้งแต่
จะมาซักผ้ากันตามโอกาส อาคารราชนาวิกสภานี้ เริ่มแรก จึงได้แก่อาคารโรงเรือของกองพันพาหนะ
แน่นอนว่า สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๙ (คือปีที่ผมเกิด) ซึ่งอยู่ในปกครองของกรมชุมพลทหารเรือ มีลักษณะ
มีจารึกไว้ที่กระจกชานพักบันได ปัจจุบันยังเปิดออกเป็น เป็นอาคาร ๒ ชั้น เป็นอาคารที่มีอยู่แล้วในวันตั้ง
ประวัติศาสตร์ให้เห็นอยู่” ๖ ราชนาวิกสภา และกรมเสนาธิการทหารเรือขอใช้พื้นที่

แต่อาคารราชนาวิกสภาเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๐ ซึ่งแจ่มชัด ในอาคารแห่งนี้เพียงบางส่วนดังปรากฏในสำเนา
๒๔๕๘
อยู่ในความทรงจำวัยเด็กของ พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ หนังสือกรมปลัดทัพเรือที่ แจ้งความ
๕๘
๑๒๖๔๘
ว่ามีจารึกที่กระจกชานพักบันไดเขียนจารึกไว้ว่าสร้างเมื่อ มายัง นายพลเรือโท พระยามหาโยธา (ฉ่าง แสง - ชูโต)
พ.ศ.๒๔๕๙ นั้น น่าจะเป็นปีก่อตั้งราชนาวิกสภามากกว่า ผู้บัญชาการกรมชุมพลทหารเรือ เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์
ปีที่ก่อสร้างอาคาร เพราะเมื่อตรวจสอบกับเอกสาร พ.ศ.๒๔๕๘ เป็นข้อความว่า
การขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวิกสภาแล้ว “ด้วยกรมเสนาธิการทหารเรือแจ้งว่า ในการที่จะ
ปรากฏว่าในต้นฉบับ “บรรทึกความเห็นแลร่างข้อ ตั้งราชนาวีสภาขึ้นตามที่ท่านทราบอยู่แล้วนั้น จะต้อง

บังคับสำหรับการตั้งราชนาวีสภา” ซึ่งจัดทำขึ้นในวันที่ ใช้ที่ชั้นล่างซึ่งเก็บเรือแจวพายอยู่ในเวลานี้ ๒ ห้อง
๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๘ นั้น กล่าวถึงสถานที่ที่จะใช้ (คือ สองหน้าต่าง หรือ สองประตู) ตอนข้างเหนือ
เป็นที่ตั้งทำการไว้อย่างชัดเจนว่า ติดผนังด้านสกัด สำหรับตั้งโต๊ะบิลเลียด นายพลเรือเอกฯ
“สถานที่ ในการที่จะเล่นยุทธกิฬาแลการฟัง เสนาบดีมีรับสั่งให้ท่านจัดการกันเรือในที่ซึ่งกล่าวนั้นไป
เล็กเชอร์ การเก็บบรรดาหนังสือต่าง ๆ เหล่านี้ จำเปน ไว้ที่อื่น แล้วแต่จะเปนได้ แล้วมอบที่นั้นให้แก่กรมเสนาธิ
จะต้องมีสถานที่พิเศษขึ้น เวลานี้คิดด้วยเกล้าว่า การทหารเรือ เพื่อได้จัดสถานที่ให้ทันเวลาเปิดสภานี้

ที่โรงเรือของกองพันพาหนะซึ่งแต่ก่อนคิดไว้ว่าจะทำ ซึ่งกำหนดว่าในเมื่อสิ้น มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ แล้ว.”

๖ สมภพ ภิรมย์, พลเรือตรี. “อาคารราชนาวิกสภา”. นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๗๖ เมษายน ๒๕๓๖. หน้า ๑๙.
๗ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือ. แผ่นที่ ๑๕.
๘ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๒/๔ ขอพระบรมราชานุญาตตั้งราชนาวีสถานของทหารเรือ. แผ่นที่ ๑๖.


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 21

อาคารราชนาวิกสภา

จากข้อความดังกล่าวข้างต้น สถานที่ เพื่อเปิดทำการ อันเป็นประเพณีของ ‘ลูกประดู่’ Esprit de corps
ราชนาวิกสภาในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๙ จึงเป็น อนึ่ง ห้องขนาดเล็กสุดเฉลียงด้านใต้ นิยมจัดเป็น
เพียงห้อง ๒ หน้าต่าง ๒ ประตู ติดผนังด้านสกัดตอน ห้องแต่งงานของนายทหารเรือในสมัยนั้น... เฉพาะ
ข้างเหนือ อยู่ที่ชั้นล่างของอาคารโรงเรือกองพันพาหนะ ห้องเฉลียงตอนชั้นสองนี้ ทางราชการทหารเรือใช้เป็น
กรมชุมพลทหารเรือ เป็นอาคารที่ใช้เป็นที่เก็บเรือแจว ห้องเลี้ยงรับรองแขกชาวต่างประเทศ จัดโต๊ะรับประทาน
พายอยู่ ในขณะนั้นแล้ว อาหารค่ำ เรียกได้ว่าใช้เป็นห้อง BANQUET ใช้สำหรับ

ลักษณะอาคารที่มีมาตั้งแต่แรกน่าจะมีลักษณะ SIT DOWN DINNER โดยเฉพาะงานฉลองรัฐธรรมนูญ
ใกล้เคียงกับที่ พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ อธิบายไว้ตาม มีการแสดงกีฬาทางเรือ และราชนาวิกสภาจะเป็น

ความทรงจำ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๐ ว่าเป็นตึกชั้นล่างทาสีขาว จุดเส้นชัยแพ้ชนะเป็นที่สนุกสนานในสมัยนั้น”
ชั้นบนเป็นไม้ทาสีเหลืองแก่ ตอนล่างหรือชั้นล่าง อย่างไรก็ตาม ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าอาคารราชนาวิกสภา
เก็บเรือเล็กเป็นเรือพายแจว มีชานชลาคอนกรีต หน้าตึก เป็นอาคารที่มีอยู่ก่อนแล้ว มิได้สร้างขึ้นใน พ.ศ.๒๔๕๙
เป็นทางเดินเรียบ และริมแม่น้ำเป็นทางเอียงลาด ตามความเข้าใจของ พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์
ซึ่งเป็นอาคารเดียวกันกับอาคารราชนาวิกสภาใน เมื่อพิจารณาประกอบหลักฐานภาพถ่ายในสมัย

ปัจจุบัน รัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ พบว่า อาคารบ้านเรือนในบริเวณนี้
นอกจากนี้ พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ ยังได้กล่าวถึง มีทั้งบ้านเรือนข้าราชการและชาวบ้านซึ่งปลูกเรือน
ตำแหน่งที่ตั้งห้องสมุดซึ่งสันนิษฐานอยู่ติดกับเฉลียง ริมฝั่งน้ำหรือผูกแพทอดริมตลิ่งตลอดแนวฟากคลอง
ใหญ่ บนชั้น ๒ ด้านทิศใต้ฝั่งตะวันตก และกล่าวถึงการ และริมลำน้ำเจ้าพระยา จากหลักฐานภาพถ่ายบริเวณ
ใช้ประโยชน์ห้องต่าง ๆ ภายในอาคารอีกหลายประการ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาหน้ากระทรวงทหารเรือในต้นสมัย
ซึ่งน่าจะเป็นหลักฐานการใช้ประโยชน์ในอาคารตั้งแต่เริ่ม รัชกาลที่ ๖ ไม่ปรากฏมีอาคารโรง ๒ ชั้น ที่มีลักษณะ
แรกแล้ว ต่อมามีการขยายพื้นที่ใช้สอยในอาคารแห่งนี้ ใกล้เคียงกับอาคารราชนาวิกสภาปรากฏอยู่เลย เว้นแต่
เรื่อยมาจนกระทั่งมีการต่อเติมอาคารในภายหลังว่า แผนที่กระทรวงทหารเรือซึ่งเขียนเสร็จในเดือนเมษายน
“ห้องที่จำได้อย่างดี ไม่ลืม เพราะให้สปิริต พ.ศ.๒๔๖๕ ปรากฏรูปและตำแหน่งอาคารในแผนที่

แก่พวกเราคือ ห้องบิลเลียด ชั้นล่างด้านเหนือ ยิ่งโต๊ะใน และเรียกชื่ออาคารว่า “ราชนาวิกะสภา” ตั้งอยู่
เป็นโต๊ะนายทหารชั้นยศน้อย... โต๊ะนอกเป็นโต๊ะครู... ติดลำน้ำเจ้าพระยาด้านใต้กระทรวงทหารเรือ นอกเขต
ห้องบิลเลียดนี้มีไว้ให้ท่านครูกรุณาต่อศิษย์ ศิษย์เคารพครู พระนิเวศน์เดิม


๙ สมภพ ภิรมย์, พลเรือตรี. “อาคารราชนาวิกสภา”. นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๗๖ เมษายน ๒๕๓๖. หน้า ๒๐.


22 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งทำการราชนาวิกสภา
จากหลักฐานแผนที่กระทรวงทหารเรือ พ.ศ.๒๔๖๕
อาคารราชนาวิกสภาตั้งอยู่ติดกับกระทรวงทหารเรือ

ตั้งอยู่นอกบริเวณที่เรียกว่าพระนิเวศน์เดิม แต่ทว่า
เอกสารที่เขียนขึ้นอธิบายสถานที่ตั้งอาคารราชนาวิกสภา
ในชั้นหลังมักอธิบายไปในทิศทางเดียวกันว่า
“สถานที่ตั้งของราชนาวิกสภาอยู่ทางริมแม่น้ำ
เจ้าพระยาฝั่งตะวันตก เดิมเป็นบ้านของ พระอินทรเทพ
(ทัพ) ภายหลังตกเป็นของพระคลังข้างที่ กองทัพเรือ
ได้เริ่มเช่ามาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๔๓ โดยเช่าจากสำนักงาน

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในปัจจุบันอาคาร
ราชนาวิกสภาตั้งอยู่ติดกับโรงพยาบาลทหารเรือ
กรุงเทพ และกองเรือลำน้ำ (พระนิเวศน์เดิม) ...
จะเห็นได้ว่าบริเวนที่ตั้งอาคารราชนาวิกสภา
ปัจจุบัน ได้เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาบริเวณ
พระนิเวศน์เดิม อันเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
ของชาติ เพราะเป็นพระนิเวศน์เดิมของพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีเจ้านายถึง ๒
ขอใช้โรงเรือแจวพาย
พระองค์ ที่ประทับที่นี่... มาจนถึงรัชกาลที่ ๕ จึงได้รับ
อาคาร “ราชนาวิกะสภา” ตามแผนที่กระทรวง พระราชทานเป็นที่ตั้งกรมทหารเรือและได้สิ้นสุด
ทหารเรือ พ.ศ.๒๔๖๕ อันเป็นแผนที่ที่เขียนขึ้น การเป็นวัง...” ๑๐
ในระหว่างที่ นายพลเรือโท พระเจ้าพี่ยาเธอ คำอธิบายสถานที่ตั้งและตัวอาคารราชนาวิกสภา
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงดำรงตำแหน่ง ดังกล่าวข้างต้นมีความถูกต้องส่วนหนึ่ง คือ ส่วนที่
เสนาธิการทหารเรือมีลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยม กล่าวว่าเดิมเป็นสถานที่ซึ่งเป็นบ้านของพระอินทรเทพ
ผืนผ้า มีขนาดกว้าง ๑๘ เมตร ยาว ๕๘ เมตร หลังคา (ทัพ) แต่ตัวอาคารไม่ได้เป็นบ้านเดิมของพระอินทรเทพ

ทรงปั้นหยา มีบันไดทางขึ้น ๒ ข้าง อยู่ทางด้านสกัด (ทัพ) และไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตพระนิเวศน์เดิม ดังจะเห็น
ทั้งด้านเหนือและด้านใต้ เป็นหลักฐานยืนยันว่าเป็น ได้จากการกล่าวอธิบายว่าเป็นที่เช่านั่นเอง เพราะถ้าหาก
อาคาร ๒ ชั้น ตลอดจนเป็นหลักฐานว่าอาคารโรงเรือ จะเป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศน์เดิมย่อมจะตกเป็นที่ดิน
ซึ่งกองพันพาหนะ กรมชุมพลทหารเรือ แห่งนี้ใช้เป็น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่เก็บเรือแจวพายเป็นอาคารน่าจะสร้างขึ้นในปลาย พระราชทานแก่กรมทหารเรือ หากเป็นเช่นนั้น
สมัยรัชกาลที่ ๕ หรือต้นสมัยรัชกาลที่ ๖ ก่อน ย่อมไม่มีเหตุที่จะต้องเช่า
พ.ศ.๒๔๕๘ ต่อมาหลังจากตั้งราชนาวิกสภาขึ้นแล้ว อีกทั้งอาณาบริเวณที่เป็นสถานที่ตั้งตลอดจน
มีการย้ายเรือแจวพายไปเก็บยังโรงเรือคลองบางกอกน้อย ตัวอาคารราชนาวิกสภาก็มิได้ตั้งอยู่แต่ในบริเวณที่เคยเป็น
จึงสันนิษฐานว่าคงจะมอบอาคารทั้งหมดให้อยู่ใน บ้านของพระอินทรเทพ (ทัพ) เท่านั้น กล่าวคือ

ปกครองของราชนาวิกสภา มีหลักฐานอย่างอื่นปรากฏว่าตัวอาคารราชนาวิกสภา



๑๐ สุดจิต (เศวตจินดา) สนั่นไหว, “ราชนาวิกสภา : อาคารสำคัญของกองทัพเรือบนพื้นที่ประวัติศาสตร์”. นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๘๕ สิงหาคม
๒๕๔๕. หน้า ๑ - ๑๖.


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 23

แผนที่ ที่ดิน ซึ่งเป็นที่ตั้งราชนาวิกสภาในปัจจุบัน

ตั้งคร่อมอยู่บนที่ดิน ๒ แปลง ๆ หนึ่งเป็นตอนข้างใต้ ที่ดินซึ่งเดิมเป็นบ้านของพระอินทรเทพ (ทัพ) ๑๑
ของอาคารค่อนไปทางปากคลองมอญเป็นที่เดิมซึ่งเป็น พระอินทรเทพ (ทัพ ทรรพนันทน์) มีตำแหน่งเป็น
บ้านของพระอินทรเทพ (ทัพ) แต่มีอีกที่ดินแปลงหนึ่ง สมุหพระตำรวจขวาสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ดินซึ่งเดิมเป็น
อยู่ต่อกันทางด้านเหนือและอยู่ติดกับอาคารกระทรวง บริเวณบ้านของท่านต่อมาตกเป็นของพระคลังข้างที่
ทหารเรือ ที่ดินแปลงนี้เป็นของ “ท่านพลับ” ซึ่งให้ มีความยาวตามลำน้ำเจ้าพระยา ๑๙ วา ๓ ศอก (๓๙.๕
กรมทหารเรือเช่าแล้วต่อมา “ท่านพลับ” บอกขายให้ เมตร) กว้าง ๑๒ วา ๑ ศอก (๒๕ เมตร)
กรมทหารเรือใน พ.ศ.๒๔๕๑ อาคารราชนาวิกสภา กรมทหารเรือ ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับกรมพระคลังข้าว
จึงตั้งอยู่บนที่ดิน ๒ แปลง (ในรัชกาลที่ ๕) ที่ของพระอินทรเทพ (ทัพ) ไว้เป็นที่เก็บ

ที่ดินทั้งสองแปลงซึ่งมีประวัติความเป็นมาดังนี้ เรือพระที่นั่ง เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๓
(ร.ศ.๑๑๙) มีกำหนดเวลา ๕ ปี นับแต่วันที่ ๑ เมษายน
พ.ศ.๒๔๔๓ ปรากฏตามสำเนาสัญญาเช่าว่า
“หนังสือสัญญาฉบับนี้ทำที่ห้องกรมพระคลัง
ข้างที่ ไนพระบรมมหาราชวัง นะวันที่เก้า กรกดาคม
รัตนโกสินท์สกร้อยสิบเก้า ไนระหว่างหลวงสุภกรณ์
บรรนสาร เจ้าพนักงานพระคลังข้างที่ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

ในสัญญานี้ว่า ผู้ไห้เช่า ฝ่ายหนึ่ง กับพระอรสุมพลาภิบาล
เจ้าพนักงานเวนบัญชีเงิน กรมทหารเรือ ผู้แทน
กรมทหารเรือ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปไนสัญญานี้ว่า
ผู้รับเช่าฝ่ายหนึ่ง ได้ตกลงกันทั้งสองฝ่ายทำหนังสือ
สัญญาฉบับนี้ไว้เปนสำคันสำหรับไห้เช่าแลรับเช่าที่ดิน
ริมลำแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตวันตก ไกล้ที่ว่าการทหารเรือ
๑๒
ซึ่งเปนส่วนของพระคลังข้างที่ไห้ไว้ต่อกันฝ่ายละฉบับ”








๑๑ คำเขียนนามพระอินทรเทพ มีทั้ง ทัพ และ “ทับ”
๑๒ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ สบ.ทร.๑.๘/๑๒๙ ทวงถามค่าเช่าที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ใกล้กระทรวงทหารเรือเดิม. แผ่นที่ ๗.


24 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

ที่ดินของ “ท่านพลับ” (ทัพ)” ต่อมาตกเป็นของพระคลังข้างที่ ซึ่งกรมทหารเรือ
ที่ดินของ “ท่านพลับ” อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เริ่มใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงนี้โดยการเช่าเช่นเดียวกัน

ระหว่างที่ดินที่เดิมเป็นของพระอินทรเทพ (ทัพ)
ทางด้านใต้ กับที่ตั้งทำการกรมทหารเรือ ซึ่งต่อมาเป็น รูปลักษณ์อาคารราชนาวิกสภา
กระทรวงทหารเรือ ทางด้านเหนือ มีขนาดความยาว นอกจากคำอธิบายสถานที่ตั้งของอาคารราชนาวิกสภา
ตามลำน้ำเจ้าพระยา ๑๒ วา ๒ ศอก (๒๕ เมตร) ว่าตั้งอยู่บริเวนบ้านเดิมของพระอินทรเทพ (ทัพ)
กว้าง ๙ วา ๒ ศอก (๑๙ เมตร) ซึ่งเดิมกรมทหารเรือ มีความถูกต้องเพียงบางส่วนดังได้กล่าวแล้ว ยังมี
เช่าที่ดินแปลงนี้สร้างเป็นโรงเก็บเรือแจวพาย ต่อมา คำอธิบายลักษณะอาคารราชนาวิกสภา ว่าเป็นอาคาร
“ท่านพลับ” บอกขายที่ดินแปลงนี้ให้กรมทหารเรือ ที่มีรูปลักษณ์แบบตะวันตกที่เชื่อว่าเป็นมาแต่เดิม
ได้ทำสัญญาซื้อขายกับ “ท่านพลับ” เมื่อวันที่ ๑๘ แต่มีการต่อเติมด้านติดยาวติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา

มกราคม พ.ศ.๒๔๕๑ (ร.ศ.๑๒๗) ปรากฏตามหนังสือ ก่อน พ.ศ.๒๔๗๔ เพื่อร่วมสมโภชกรุงเทพมหานคร
หลวงฤทธิคำรณ รายงานต่อ นายพลเรือตรี พระยา ครบ ๑๕๐ ปี ดังคำอธิบายว่า
นาวาพลพยุหรักษ์ เจ้ากรมพระธรรมนูญ ในขณะนั้นว่า “อาคารราชนาวิกสภา เป็นอาคารแบบตะวันตก
“ด้วยตามบัญชาให้ข้าพเจ้าจัดการตามหนังสือ ๒ ชั้น ก่ออิฐถือปูน มีไม้ประกอบ ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยม
กรมยกรบัตรทัพเรือที่ ๖๙๔/๑๕๒๗ ลงวันที่ ๑๐ ผืนผ้า หันด้านหน้า (ด้านยาว) ออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
ธันวาคม ร.ศ.๑๒๗ เรื่องที่ดินซึ่งกรมทหารเรือได้เช่า ตรงกับหมู่พระมหาปราสาทของพระบรมมหาราชวัง...
ปลูกโรงไว้เรือหลวง แลท่านพลับเปนผู้ขายที่ดินรายนี้ อาคารนี้แต่เดิมไม่มีระเบียงด้านหน้าเช่น
ให้แก่กรมทหารเรือต่อไปนั้น. ในปัจจุบันนี้ แต่ได้มาถูกต่อเติมในราว ก่อน พ.ศ.๒๔๗๔
บัดนี้เจ้าพนักงานอำเภอท้องที่กระทรวงนครบาล เพื่อร่วมฉลองกรุงเทพ ฯ ๑๕๐ ปี โดย นาวาตรี

ได้มาทำหนังสือสัญญาขายที่ดินรายนี้ตามระเบียบ หลวงวัฒนประดิษฐ์ (รวย วัฒนประดิษฐ์) เป็นผู้ออกแบบ
เมื่อวันที่ ๑๘ เดือนนี้ มีชื่อท่านพลับเปนผู้ขายให้แก่ ในความควบคุมของหลวงบรรเจิดเรขกรรม (ชม ภิรมย์)
นายเรือเอกหม่อมเจ้าตุ้มกรมยกรบัตรทัพเรือ แทนนาม ซึ่งได้มีการทำบันไดทางขึ้นหลักที่กึ่งกลางของอาคารใหม่
กรมทหารเรือเปนผู้ซื้อ แจ้งอยู่ในสัญญาขายที่ดิน เพื่อความสง่างาม แทนที่บันไดชุดเดิมในคราวนี้ด้วย
๑๓
นั้นแล้ว...” บันไดนี้เขียนแบบโดย ศาสตราจารย์ พลเรือตรี สมภพ
จากลำดับเอกสารเกี่ยวกับการได้มาซึ่งที่ดิน ภิรมย์ ปูชนียบุคคลแห่งวงการสถาปัตยกรรมไทย
อันเป็นที่ตั้งอาคารราชนาวิกสภา ดังกล่าวข้างต้น ขณะดำรงตำแหน่งเป็นเด็กฝึกงานเขียนแบบ

อาคารราชนาวิกสภา ในปัจจุบันจึงตั้งอยู่บนที่ดิน ในแผนกนวกรรม กรมยุทธโยธาทหารเรือ โดยลักษณะ
๒ แปลงติดกัน แปลงด้านเหนือเดิมเป็นที่ดินของ สถาปัตยกรรมที่ต่อเติมคงมีอิทธิพลรูปแบบ
“ท่านพลับ” ซึ่งกรมทหารเรือเคยเช่าปลูกโรงเรือหลวง เรอเนสซองส์ แต่ได้มีการผสมผสาน และประยุกต์ให้
มาก่อนแล้ว “ท่านพลับ” ขายให้กรมทหารเรือ เรียบง่ายขึ้น ทั้งชั้นล่าง และชั้นบน มีระเบียงยาว
กับแปลงด้านใต้เดิมเป็นที่ดินของ “พระอินทรเทพ ตลอดความยาวของตัวอาคาร”
๑๔



๑๓ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ สบ.ทร.๘.๓.๓/๑ ซื้อที่ดินท่านพลับซึ่งกรมทหารเรือได้เช่าปลูกโรงไว้เรือหลวง. แผ่นที่ ๑ - ๒.
๑๔ สุดจิต (เศวตจินดา) สนั่นไหว, “ราชนาวิกสภา : อาคารสำคัญของกองทัพเรือบนพื้นที่ประวัติศาสตร์”. นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๘๕ สิงหาคม
๒๕๔๕. หน้า ๑ - ๑๖.


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 25

คำอธิบายเช่นว่านี้นับว่ามีความถูกต้องส่วนหนึ่ง อาคารราชนาวิกสภา ที่มีรูปลักษณ์แบบตะวันตก
๑๖
เช่นกัน เนื่องจากปรากฏหลักฐานอาคารราชนาวิกสภา เช่นที่เห็นนี้ เกิดขึ้นโดยการสร้างต่อเติมในราว พ.ศ.๒๔๗๔
๑๕
ในแผนที่กระทรวงทหารเรือ พ.ศ. ๒๔๖๕ ดังได้กล่าว ดังจะเห็นได้จากภาพถ่ายซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือนาวิกศาสตร์
แล้วว่าลักษณะรูปลักษณะอาคารในแผนที่ดังกล่าวเป็น ฉบับเดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นหลักฐานยืนยัน
รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาทรงปั้นหยา มีบันไดขึ้นอาคาร คำอธิบายว่ามีการต่อเติมอาคารแล้วเสร็จก่อนหรือใน
จากภายนอกตัวอาคารที่ด้านเหนือและด้านใต้ ๒ ข้าง พ.ศ.๒๔๗๕ สอดคล้องกับคำอธิบายข้างต้น
ในขณะนั้นน่าจะมีความนิยมเรียกอาคาร ๒ ชั้น เมื่อถึงวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๕ กองทัพเรือ
ที่ตัวอาคารชั้นล่างทำด้วยอิฐฉาบปูนว่า “ตึก” หากแต่ ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการก่อสร้างอาคารหอประชุม

จะเป็น “ตึก” ตามนิยามอาคารแบบตะวันตก ขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อใช้ในการประชุม
เป็นประการใดนั้นพึงพิจารณาดำริต่อไป ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย - แปซิฟิก ประจำปี
อย่างไรก็ตามโดยโครงสร้างเดิมของอาคาร ๒๕๔๖ (เอเปค ๒๐๐๓) ซึ่งมีวาระจัดขึ้นในกรุงเทพมหานคร
ราชนาวิกสภาที่เดิมเป็นอาคารของกองพันพาหนะ ผู้เข้าร่วมประชุมได้แก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจ ๒๑ ประเทศ
กรมชุมพลทหารเรือ ใช้เป็นโรงเรือเก็บเรือแจวพายนั้น ผู้เข้าร่วมประชุมจากภาครัฐและภาคเอกชน
ตัวอาคารดั้งเดิมที่ยังมิได้ต่อเติมเป็นอาคารโครงไม้ ต่างประเทศตลอดจนประเทศไทย รวมทั้งจะมี
ตั้งอยู่บนฐานรากที่ทำเป็นแพซุงไม้สักข้างใต้ เสาอาคาร การจัดพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี
เป็นไม้ ผนังชั้นล่างก่ออิฐฉาบปูน พื้นชั้นล่างปูกระเบื้อง พุทธศักราช ๒๕๔๙ ซึ่งประเทศที่มีพระมหากษัตริย์
พื้น และผนังชั้นบนเป็นไม้ โครงหลังคาไม้หลังคา ทรงเป็นประมุขจำนวน ๒๕ ประเทศจาก ๒๙ ประเทศ

มุงกระเบื้อง ทั่วโลกตอบรับคำเชิญของรัฐบาลไทยที่จะมาร่วมราชพิธี
ตัวอาคารเดิมจึงมีลักษณะเป็นการปลูกอาคาร ในโอกาสสำคัญยิ่งครั้งนี้ กองทัพเรือได้สร้างอาคาร
เครื่องไม้ขนาดใหญ่บนฐานที่ปูเป็นแพซุงไม้สัก อันเป็น หอประชุมขนาดใหญ่ขึ้นเรียกว่า “หอประชุมกองทัพเรือ”
ลักษณะสืบทอดภูมิปัญญาทางการก่อสร้างอาคารขนาด ในพื้นที่กรมสารวัตรทหารเรือ ซึ่งอยู่ถัดจากอาคาร
ใหญ่ในสยาม แต่มีการประยุกต์วัสดุร่วมสมัย ราชนาวิกสภา ติดปากคลองมอญฟากใต้
คือทำผนังชั้นล่างเป็นแบบก่ออิฐฉาบปูน พื้นปูกระเบื้อง ในโอกาสนี้จึงทำการปรับปรุงต่อเติมอาคาร
แต่พื้นชั้นบนยังคงใช้ไม้ ผนังชั้นบนยังใช้ไม้ฝา เปลี่ยนเครื่อง ราชนาวิกสภา สร้างเป็นอาคารที่มีรูปลักษณ์แบบเดียวกับ

บนทรงหลังคาเป็นแบบเรือนปั้นหยา เมื่อมีการสร้าง อาคารราชนาวิกสภา เชื่อมต่อติดกันทางด้านเหนือ
ต่อเติมส่วนซึ่งเป็นเฉลียงด้านหน้าด้วยโครงสร้าง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ ตลอดจน
คอนกรีต มีดาดฟ้า แล้วออกแบบให้มีหอคอยรูปโดม ชมกระบวนเรือพระราชพิธี ซึ่งจะได้จัดขึ้นในโอกาสพิเศษ
กำกับอยู่ทั้งสองข้าง ทำให้มองดูรูปลักษณ์โดยรวม อย่างยิ่งของประเทศ
ของอาคารดูเด่นตามสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก








๑๕ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๘/๑๕๙ แผนที่กระทรวงทหารเรือ [๒๔๖๓].
๑๖ “ข่าวทหารเรือ”. นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๑ มกราคม ๒๔๗๕. หน้า ๑๗๙.



26 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์


กับราชนาวิกสภา



“ถ้ายังมีกองทัพเรืออยู่ตราบใดก็ยังอาจโต้แย้งอำนาจสิทธิขาดนั้นได้เสมอ”

ยุทธศาสตร์ทะเล, กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักไดิ์ ๑


นอกประจำการสังกัดกระทรวงทหารเรือ ทรงพระยศทหารเรือ
และพระอิสริยศักดิ์เป็นนายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ

กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จนกระทั่งวันที่ ๑
สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๐ จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เข้ารับราชการในตำแหน่งจเรทหารเรือ ราชนาวิกสภา

จึงกำเนิดขึ้นก่อนการกลับเข้ารับราชการครั้งหลังของ
พระองค์ราว ๑ ปี ๔ เดือน
เหตุที่นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่น
ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
กลับเข้ารับราชการทหารเรือ ในครั้งนี้เนื่องด้วยสยาม
ประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย - ฮังการี

เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๐ ทรงเสด็จ
เข้ารายงานพระองค์ที่กระทรวงทหารเรือในฐานะที่เป็น

นายทหารกองหนุน แล้วทรงกราบบังคมทูลฯ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขอเข้ารับ
ราชการในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระราชหัตถเลขา
ราชนาวิกสภาเมื่อแรกกำเนิดขึ้นในวันที่ ๑ มายังเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ให้รับนายพลเรือตรี

เมษายน พ.ศ.๒๔๕๙ นั้น นายพลเรือเอก พระเจ้าบรม พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เข้ารับ
วงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ คงเป็นนายทหาร ราชการในตำแหน่งจเรทหารเรือ ๔


๑ ทรงเรียบเรียงทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๖
๒๔๖๐
๑๘๙
๒ คำสั่งกระทรวงทหารเรือที่ ลงวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๐ เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับราชการ
๑๐๔๓๓๘

๓ ประพัฒน์ จันทวิรัช, พลเรือเอก. “พระประวัติและพระกรณียกิจของพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ในระหว่างที่ทรงออกจากประจำการ ๑๓ เมษายน ๒๔๕๔ – ๑ สิงหาคม ๒๔๖๐” พิมพ์ใน เทิดพระเกียรติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (พ.ศ.๒๕๔๔). หน้า –๒๑-.
๔ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้ม ร.๖ ค.๑๑/๑๐ เงินเดือนกรมพระตำรวจ [หนังสือโต้ตอบในเรื่องเงินเดือนทางกระทรวงทหารเรือ]. แผ่น ๑๐๖ – ๑๐๙.,
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้ม ร.๖ ก.๒๐.๑/๒๔ ตั้งและย้ายข้าราชการทหารเรือ. แผ่น ๒๗.
อนึ่ง ยังมีเรื่องราวอีกกระแสหนึ่งกล่าวว่า นายพลเรือตรี พระยาหาญกลางสมุทร (บุญมี พันธุมนาวิน) ซึ่งขณะนั้นเป็นนายนาวาตรี
หลวงหาญสมุท เป็นผู้กราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ
กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กลับเข้ารับราชการ



นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 27

พระองค์ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรง หลังการฉลองสมโภชเรือพระร่วงทรงได้รับพระราชทาน
ตำแหน่งจเรทหารเรือ มาจนวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๐ เลื่อนพระอิสริยศักดิ์เป็น พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพร

จึงได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง เขตอุดมศักดิ์ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๓ ๗
จเรทหารเรือ เป็นเสนาธิการทหารเรือ แล้วทรงได้รับ ในขณะที่พระองค์ดำรงตำแหน่งเสนาธิการ

พระราชทานเลื่อนยศเป็นนายพลเรือโท เมื่อวันที่ ทหารเรือ ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น
๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๐ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ในวันที่ ๒๗ กันยายน
ในขณะที่พระองค์ ดำรงตำแหน่งเสนาธิการ พ.ศ.๒๔๖๑ (๑๙๑๘) อีกตำแหน่งหนึ่ง ทรงรับราชการ
ทหารเรือ ระหว่างวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๒ (๑๙๑๙) ในตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือและเจ้ากรมยุทธศึกษา
ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถวายพระราชดำริเกี่ยว ทหารเรือ มาจนกระทั่งวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๕

ด้วยการซื้อเรือพระร่วง ทรงรับเชิญเจ้าพระยาอภัยราชา (๑๙๒๓) จึงทรงได้รับพระบรมราชโองการให้เป็น
มหายุติธรรมธร (หม่อมราชวงศ์ลบ สุทัศน์) สภานายก เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ แต่วันที่ ๑ เมษายน

ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยามเป็นกรรมการที่ปรึกษาใน พ.ศ.๒๔๖๖ (๑๙๒๓) ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดี
การดำริและจัดซื้อเรือรบถวาย ทรงถวายพระดำริ กระทรวงทหารเรือ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ ในวันที่ ๑๘
จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๖
นครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เมื่อวันที่
๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๒ (๑๙๒๐) ว่าควรส่งนายทหาร เมื่อครั้งออกเป็นนายทหารกองหนุน
ช่างกลที่ชำนาญทางตำราอยู่แล้วไปตรวจดูวิธีการซ่อม เมื่อครั้งพระองค์ทรงเป็นนายทหารนอก
และสร้างเครื่องกังหันไอน้ำและเครื่องมือใหม่ที่จะใช้ ประจำการ พระองค์สมัครเป็นสมาชิกในกองเสือป่า

ต่อๆ ไป และทรงถวายพระดำริเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ที่สถาปนาขึ้นในวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๔
ขออาสาออกไปเลือกอาวุธให้เหมาะแก่เรือไปตรวจการ (๑๙๑๑) ต่อมาสันนิษฐานว่า พระองค์น่าจะถูกปลดจาก
ทหารเรือในทวีปยุโรปและนำเรือพระร่วงมาสู่กรุงเทพฯ ๖ สมาชิกกองเสือป่า ประเภทสามัญ เป็นสมาชิกประเภท
ทรงเดินทางออกจากกรุงเทพฯ วันที่ ๑๙ มีนาคม กองหนุน ตามข้อบังคับเสือป่า ว่าด้วยกองหนุนกองนอก
พ.ศ.๒๔๖๒ (๑๙๒๐) เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ วันที่ ๙ ในวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๕ (๑๙๑๒) รวมระยะ

ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๓ (๑๙๒๐) รวมระยะเวลาเฉพาะการ เวลาที่พระองค์ทรงเป็นสมาชิกกองเสือป่า โดยประมาณ
เดินทางไปยุโรปเพื่อจัดซื้อเรือพระร่วงประมาณ ๗ เดือน ๑๐ เดือน หลังปลดประจำการจากกองเสือป่า

ในระหว่างการเดินทางทรงได้รับพระราชทานเลื่อนยศ พระองค์ซึ่งทรงสนพระทัยศึกษาแพทย์แผนโบราณ
เป็นนายพลเรือเอกเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๓ เพื่อช่วยชีวิตคนยากจน ทรงรับเป็นหมอรักษาโรคภัยไข้
เมื่อทรงนำเรือพระร่วงเข้ามายังกรุงเทพฯ แล้ว เจ็บให้คนทั่วไปและตั้งพระนามพระองค์ว่า “หมอพร”

๒๔๖๐
๔๒๗
๕ คำสั่งกระทรวงทหารเรือที่ ลงวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๐ เรื่อง ย้ายตำแหน่ง
๑๐๐๗๔
๖ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑๑.๒/๓๒ เสนาธิการทหารเรือ (พล.ร.ท.กรมหมื่นชุมพรฯ) เสด็จประเทศยุโรป
ซื้อเรือหลวงพระร่วง ปึกที่ ๑. แผ่น ๑ – ๑๓.
๗ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๗ วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๔๖๓ หน้า ๒๘๙ – ๒๙๓.
๘ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔๐ วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๖๖ หน้า ๓.
อนึ่ง พระองค์ยังคงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือจนถึงวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๖
๙ ประพัฒน์ จันทวิรัช, พลเรือเอก. “พระประวัติและพระกรณียกิจของพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในระหว่างที่
ทรงออกจากประจำการ ๑๓ เมษายน ๒๔๕๔ – ๑ สิงหาคม ๒๔๖๐”. หน้า -๑- – -๑๑-.


28 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

สันนิษฐานว่าช่วงเวลาที่พระองค์ทรงเป็น “หมอพร” อุดมศักดิ์” เป็นเอกสารพิมพ์ขึ้นด้วยเครื่องพิมพ์ดีด
น่าจะอยู่ในระหว่าง พ.ศ.๒๔๕๕ (๑๙๑๒) – พ.ศ.๒๔๕๘ จำนวน ๔๐ หน้ากระดาษ แบ่งเป็นพระนิพนธ์ ๑๐ ตอน
(๑๙๑๕) ๑๐ ประกอบกัน คือ

และในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เองที่ นายพลเรือตรี ตอนที่ ๑ คำนำ ตอนที่ ๒ สงคราม ตอนที่ ๓
พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ทรง รุกและรับ ตอนที่ ๔ สงครามทะเล ตอนที่ ๕ กำลังทัพเรือ
เรียบเรียงพระนิพนธ์เรื่อง “ยุทธศาสตร์ทะเล” และนำ ตอนที่ ๖ วิธีใช้กำลัง ตอนที่ ๗ พิไชยสงครามโดยกำลัง
ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า เรือมาก ตอนที่ ๘ พิไชยสงครามโดยทัพเรือน้อย
อยู่หัว เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๖ (๑๙๑๓) ๑๑ ตอนที่ ๙ น่าที่พิเศษในการสงครามทางทะเล ตอนที่
๑๐ รวมความ
ยุทธศาสตร์ทะเลของชาติที่มีทัพเรือน้อย เนื้อหาสาระโดยรวมซึ่งพึงสังเกตต่อพระนิพนธ์นี้
“ยุทธศาสตร์ทะเล ของกรมหมื่นชุมพรเขตร ได้แก่ พระองค์นิพนธ์ขึ้นโดยการประเมินสภาวการณ์


๑๐ จากภาพถ่ายที่ปรากฏลายพระหัตถ์ลงพระนามพร้อมอักษรข้อความว่า “อาภากร. ร.ศ.๑๓๑” กับลายพระหัตถ์ซึ่งพระองค์เขียนไว้ที่หน้าปกสมุดตำรา
ยาไทยซึ่งพระองค์ตั้งชื่อว่า “พระคัมภีร์อติสาระวรรคโบราณะกรรมและปัจจุบันนะกรรม”เขียนเสร็จใน พ.ศ.๒๔๕๘
๑๑ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ ก.๒๐.๑/๒๐ ยุทธศาสตร์ทางทะเลของกรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์.



นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 29

ของกองทัพเรือสยามเพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจจุดที่ควรมุ่งหมาย ลำบากทุกอย่างจนถึงกฎนาๆ ประเทศ เพราะใช้แต่จะ
ในการดำรงอยู่ของกองทัพเรือ ใจความในพระนิพนธ์ จับเรือที่ชักธงชาติของข้าศึก จำเป็นจะต้องค้นของที่

หลายแห่งแสดงซึ่งวิถีแห่งอุดมการณ์ของพระองค์ จะช่วยข้าศึกในเรือชาติอื่นอันเป็นกลางด้วย มักเป็น
ซึ่งทรงแสดงออกและประพฤติปฏิบัติด้วยความตรงไป ปากเสียงกันมากทุกคราว แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะ
ตรงมาอยู่เสมอ ดังข้อความตอนหนึ่งในพระนิพนธ์ว่า ความมุ่งหมายก็จะให้ข้าศึกยับเยีน...” ๑๓
“การที่แต่งหนังสือฉบับนี้ หวังประโยชน์เพื่อที่จะ ทรงย้ำอธิบายว่าการรบประจัญบานในทะเล
ให้ผู้อ่านเข้าใจการรบฝ่ายทเลเป็นเลาๆ ประการหนึ่ง ไม่อาจทำให้สงครามยุติ ยิ่งเมื่อกองทัพเรือฝ่ายตน
อีกประการหนึ่งก็เพื่อจะให้ทหารบกแลพลเรือน เข้าใจว่า มีกำลังน้อยกว่าข้าศึก ก็ยิ่งจำเป็นจะต้องไม่ยอมเป็น
ชาติเราจะหวังความสำเร็จจากทหารแค่ไหน แลไม่ให้ ฝ่ายถูกกระทำ จำต้องใช้วิธีการตัดการขนส่งลำเลียง

หวังเกินกว่าที่ทหารเรือจะทำได้ การดำเนินของชาติ ของข้าศึก เมื่อข้าศึกไม่ได้เปรียบย่อมจำต้องเจรจา
นอกจากพระบารมีของพระมหากษัตริย์ ก็ต้องอาศัย ดังข้อความในพระนิพนธ์ระบุว่า
ความสามัคคีติดต่อกันเป็นสำคัญอย่างยิ่ง การที่จะให้ “การชะนะประจัญบานไม่เป็นการที่จะให้เลิกรบ
ติดต่อกันได้ก็ต้องมีความเข้าใจกัน แลรู้คุณวุฒิของกันแลกัน เมื่อไม่ใช่อำนาจปิดทางทำมาหากินเป็นน้ำหนักอีก
โดยตลอดทุกกระทรวงทุกหน้าที่ เพื่ออาศรัยกันในที่สุด...” ๑๒ ชั้นหนึ่งแล้ว ไหนเลยข้าศึกจะยอมทำสัญญาโดยง่าย
ทรงมีพระดำริว่าหน้าที่ในการดำเนินสงคราม การที่จะให้เลิกสงครามก็ต้องใช้น้ำหนักอย่างใดอย่างหนึ่ง
นั้นตกอยู่แก่เสนาธิการ การที่สยามมีอาณาเขตทั้ง ทั้งนั้น ก็เมื่อไม่มีน้ำหนักอย่างใดจะต้องยอมทำสัญญา
ทางบกและทางทะเล เสนาธิการทัพบกและเสนาธิการ กันทำไม แต่ในทางนี้ทัพเรือต้องใช้แรงกว่าทัพบก
ทัพเรือ จึงจำเป็นจะต้องปรึกษาซึ่งกันและกัน ทรง ถึงเป็นประเภทที่สองของยุทธศาสตร์บกก็จริง แต่บางที

อธิบายความมุ่งหมายของสงครามทางทะเลว่า คือ ต้องใช้ก่อน เพราะกองทัพเรือในที่นั้นถ้าน้อยกว่า
ความต้องการอำนาจสิทธิขาดในทะเล ไม่ให้ข้าศึก กองทัพเรือข้าศึก ก็มีทางเดียวแต่วิธีนี้ที่จะตั้งต้น
มีอำนาจสิทธิขาดได้ ปัจจัยซึ่งจะทำให้มีอำนาจสิทธิขาด ถ้ามิฉะนั้นก็จะต้องอยู่นิ่งๆ ซึ่งเป็นข้อร้ายที่สุดทั้ง
ทางทะเลได้มี ๒ ประการ ประการแรกคือความ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี” ๑๔
สามารถในการหักกำลังกองทัพเรือข้าศึก ประการที่สอง ทรงแสดงพระดำริ ชี้ชัดว่าในการสงครามแย่งชิง
คือความสามารถในการตัดสินค้าทางเรือของข้าศึกและ อาณาเขตนั้น ถ้าประเทศคู่สงครามมีเขตแดนไม่ติดต่อกัน
ไม่ให้ข้าศึกตัดสินค้าทางเรือของฝ่ายตนได้ ดังพระ หรือมีทะเลกั้น เมื่อนั้นอำนาจทางทะเลย่อมเป็นใหญ่

นิพนธ์ว่า ประเทศใดที่ครองทะเลได้ก่อนก็จะมีความได้เปรียบใน
“อำนาจทเลนี้จะต้องแปลออกไปเป็นสองสถาน เบื้องต้นทันที แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายที่เสีย
หนึ่งคือหักกำลังกองทัพเรือข้าศึกนั้นเป็นอำนาจหนึ่ง เปรียบทางทะเลจะต้องพ่ายแพ้เสียทีเดียว ดังทรง
สอง ต้องแปลออกไปถึงการตัดสินค้าทางเรือของข้าศึก พระนิพนธ์ว่า
แลรักษาสินค้าของตนเองไม่ให้ข้าศึกทำร้ายได้อิก “ถ้าจะกล่าวถึงการสงครามอันอยู่ห่างจาก
อำนาจหนึ่ง ในข้อหนึ่งไม่มีข้อเถียง แต่ในข้อสองจะต้อง ประเทศตนออกไป... ถ้าอยู่ห่างกันหรือเขตร์ทเลคั่น
อธิบายให้แจ้งเสียก่อน เพราะการตัดสินค้านี้ต้อง ในทันใดต้องนับว่าอำนาจทางทเลเป็นใหญ่ คือชาติใด


๑๒ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ ก.๒๐.๑/๒๐. แผ่นที่ ๖.
๑๓ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ ก.๒๐.๑/๒๐ แผ่นที่ ๒๒.
๑๔ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ ก.๒๐.๑/๒๐ แผ่นที่ ๒๓ – ๒๔.


30 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

เรือหลวงพระร่วง
ครองทเลได้ก็ต้องนับว่าได้เปรียบชั้นที่หนึ่งทันที พระองค์จึงนิพนธ์อธิบายการจะใช้กำลังทางเรือ

การส่งทหารข้ามทเล ถ้าไม่มีอำนาจทางทเลในที่นั้น อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งแรกที่จะต้องมีคือฐานทัพที่มี
ก็คงจะทำการไม่สำเร็จได้โดยง่าย แต่จะลงเนื้อเห็นว่า เครื่องมือสำหรับซ่อมแซมเรือ มีคลังสำรองอาวุธ
ต้องแพ้เสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะทางทเลกว้างขวางนัก ยุทธภัณฑ์ และสามารถป้องกันได้ง่ายทั้งทางบกทางน้ำ
ถึงกองทัพเรือจะใหญ่เท่าใดก็จะรักษาอำนาจสิทธิขาด ทรงแสดงพระดำริว่า ฐานทัพเรือควรจัดให้มีเป็นระยะ ๆ
ไม่ได้ทั่วไป คงจะครองได้ก็เฉภาะเป็นแห่งๆ เท่านั้น ตามพิสัยทำการไกลที่สุดในการเดินทะเลไปกลับของ
เพราะฉนั้นชาติที่มีกำลังทางทเลน้อยย่อมมี เรือตอร์ปิโดหรือเรือดำน้ำ ซึ่งจะกระทำได้ในครึ่งคืน
๑๖
โอกาสที่จะโต้แย้งอำนาจสิทธิ์ขาดแห่งทเล เป็นบางแห่ง คือ ครึ่งหนึ่งไปครึ่งหนึ่งกลับ พระดำริของพระองค์ชี้ชัด
แลบางคราวได้เฉภาะเวลาที่ต้องการ ถ้าแลข้าศึกเผลอตัว ว่าพระองค์ทรงเห็นความสำคัญในการที่สยามจะมีเรือดำน้ำ
กระทำผิดยุทธศาสตร์ก็อาจตีโต้ตอบเอาไชยชนะได้” ๑๕ มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๖ แล้ว
เมื่อนำเนื้อหาพระดำริ ชี้ชัดกล่าวมาวิเคราะห์ ทรงแสดงพระดำริอธิบายในเรื่องขีดความ
ร่วมกับข้อความในพระนิพนธ์ส่วนอื่น จะสังเกตเห็น สามารถของ “กำลังทัพเรือ” ว่า เรือที่ใช้ในการสงคราม
แนวพระดำริของพระองค์ ยืนยันว่ากองทัพเรือของฝ่าย แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่
มีกำลังน้อย มีโอกาสที่จะทำสงครามให้ได้ชัยชนะได้ ประเภทที่ ๑ เรือประจัญบาน ใช้สำหรับหักกำลัง
เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงแสดงพระดำริว่า “บาง ข้าศึกโดยตรง
ครั้งจะต้องใช้กำลังก่อนกำลังทัพบก” นั่นหมายความว่า ประเภทที่ ๒ เรือไล่ ใช้สำหรับทำลายและ
โอกาสซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเพียงบางครั้งนั้นจำเป็นต้องใช้ ป้องกันสินค้า

กำลังของกองทัพเรือ จึงนับว่าการซื้อเรือหลวงพระร่วง ประเภทที่ ๓ เรือเล็ก มีหน้าที่ป้องกันอ่าว
เป็นไปตามพระราชดำริที่ทรงพระนิพนธ์ไว้ใน ป้องกันโจรสลัด ลาดตระเวนส่งข่าว กับอาจใช้เป็นเรือ
“ยุทธศาสตร์ทะเล” ที่จะกล่าวต่อไปนี้ ประจัญบานได้ในบางคราวเมื่อข้าศึกเผลอ

๑๕ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ ก.๒๐.๑/๒๐ แผ่นที่ ๑๖, ๑๘.
๑๖ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ ก.๒๐.๑/๒๐ แผ่นที่ ๓๐.


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 31

เรือทั้งสามประเภท จะมีจำนวนเรือประเภทใด เรากระทำการกดน้ำหนักให้สำเร็จหรือเพื่อชาติอื่น

มีจำนวนเรือเท่าใด เสนาธิการทหารเรือ ซึ่งเป็นผู้ร่าง จะยื่นมือเข้ามาแก้ได้...
แผนสงครามจะเป็นผู้วินิจฉัยกำหนดจัดกำลังทัพเรือ การมีกองทัพเรือน้อยนั้นจะน้อยสักเท่าใดก็ดี
๑๗
ตามความประสงค์ของรัฐบาล ทรงแสดงพระดำริ ถ้าดำเนินทัพให้ถูกยุทธศาสตร์แล้ว ข้าศึกคงจะต้องเป็น
โดยนัยว่ากองทัพเรือไทย ควรจัดกำลังทัพเรืออย่าง ห่วงลังเลอยู่เสมอ ...แต่การสำคัญในที่นี้ก็อยู่ที่น้ำใจ
ประเภทที่ ๒ นั่นคือมีเรือรบประเภทเรือไล่ สำหรับใช้ การที่ต้องเป็นผู้รับโดยมีกำลังน้อยนั้น มักจะชวนให้
ทำลายและป้องกันสินค้า และมีขีดความสามารถพร้อมรบ รวนเรแลใจเสียอยู่เสมอ” ๑๙
อย่างชาติที่มีกำลังทัพเรือน้อย ซึ่งน่าจะหมายถึงการใช้ สิ่งซึ่งพึงสังเกตจากข้อความดังพระองค์ทรงย้ำ









ขีดความสามารถของเรือประเภทที่ ๓ ดังพระนิพนธ์ว่า ด้วยการขีดเส้นใต้นั้น คือการสื่อความหมายระหว่าง


“ถ้าจะใช้กำลังบังคับทัพบกกดข้าศึกให้ยอม บรรทัดต่อปัญหาในเชิงนโยบายแห่งรัฐต่อการมีกองทัพเรือ
ตามใจเราได้ก็ควรมีแต่เรือเพียงป้องกันอ่าวเช่นประเภทสาม และการสร้างกองทัพเรือสยาม ซึ่งสืบเนื่องมาจาก
“ถ้าจะใช้กำลังบังคับทัพบกกดข้าศึกให้ยอมตามใจเราได้ ปัญหาภายในองค์กรของกองทัพเรือสยามขณะนั้นยังผล
ก็ควรมีแต่เรือเพียงป้องกันอ่าวเช่นประเภทสาม ให้กองทัพเรือสยามทำได้เพียงเป็นผู้รับโดยมีกองทัพเรือน้อย
ถ้ากำลังทางบกไม่พอที่จะกดข้าศึกให้ยอมดังว่า ก็ต้อง ทั้งไม่อาจสร้างขวัญกำลังใจทหารเรือบรรลุซึ่งความ
เข็ญกำลังทัพเรือให้ไปถึงประเภทหนึ่ง แต่ถ้าทุนไม่พอ ฮึกเหิมภาคภูมิใจได้
ที่จะทำได้เช่นนั้น ก็ต้องลดลงมาเพียงประเภทสอง เมื่อพระองค์กลับเข้ารับราชการมีสิ่งซึ่งพึง
แลต้องเตรียมรบอย่างชาติที่มีกำลังทัพเรือน้อย” ๑๘ สังเกตว่าพระกรณียกิจของพระองค์ดูเหมือนจะดำเนิน
พระองค์ประเมินสถานะกองทัพเรือไทยในขณะ ไปตามแนวทางที่พระองค์ทรงแสดงพระดำริไว้ในพระนิพนธ์
นั้นแล้วเห็นว่าโดยเหตุปัจจัยในเรื่องงบประมาณที่ไม่ “ยุทธศาสตร์ทะเล” อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการ
เพียงพอ แต่พระองค์ทรงยืนยันประโยชน์และขีดความ วินิจฉัยเลือกซื้อเรือที่มีสมรรถนะในการรุกรบเช่นเรือ
สามารถทัพเรือของชาติที่มีกำลังทัพเรือน้อยอย่าง พระร่วง หรือทรงมีแนวความคิดตลอดจนพระกรณียกิจ
ชัดเจน ดังข้อความพระนิพนธ์ระบุว่า ในการสร้างฐานทัพเรือรวมทั้งที่ยิงเป้าปืนใหญ่และ
สถานีฝึกยิงตอร์ปิโดขึ้นที่สัตหีบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
“ชาติใดที่อาจมีกำลังทำเรือได้แต่น้อย ในการปกครองบริหารกิจการทหารเรือ พระองค์ทรงใช้

จะนับว่าอำนาจสิทธิ์ขาดทางทะเลต้องตกไปอยู่กับ แนวทางทางสร้างขวัญและกำลังใจ สร้างความรู้แก่ตัว
ข้าศึกอันมีกองทัพเรือใหญ่ในทันทีนั้นไม่ได้ ถ้ายังมี บุคคลเพื่อให้เกิดการปกครองบริหารทหารเรือด้วยตัว
กองทัพเรืออยู่ตราบใด ก็ยังอาจโต้แย้งอำนาจสิทธิขาด บุคคลทุกระดับ
นั้นได้เสมอ เพื่อมิให้ตกไปอยู่กับข้าศึกโดยเด็ดขาด พระองค์นำวิธีการบางอย่างเพื่อสร้างให้
ประการหนึ่ง กับกันมิให้ข้าศึกกระทำสำเร็จความ เกิดเข้าใจร่วมกัน แนวทางบริหารปกครองทหารเรือ
ประสงค์ได้โดยง่าย หรือให้การสงครามเนิ่นออกไป ของพระองค์มีลักษณะโดดเด่นด้วยการใช้วิธีการประชุม
จนกว่าจะมีโอกาศอื่นที่จะให้สงครามสงบลงได้อีก ปรึกษาหารือร่วมกัน ซึ่งพึงสังเกตว่าวิธีการเช่นนั้นเป็น
ประการหนึ่ง เช่นชักการให้เนิ่นเพื่อให้กำลังทางบกของ วิธีการสำคัญในกิจการแห่งราชนาวิกสภา และอาจ

๑๗ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ ก.๒๐.๑/๒๐ แผ่นที่ ๑๐.
๑๘ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ ก.๒๐.๑/๒๐ แผ่นที่ ๒๙.
๑๙ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ ก.๒๐.๑/๒๐ แผ่นที่ ๒๙ – ๓๑.



32 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

กล่าวได้ว่าพระองค์ใช้วิธีการเช่นนั้นเป็นจำนวนครั้ง
มากที่สุด ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ดำรงตำแหน่ง
เสนาธิการทหารเรือและเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ

เริ่มต้นที่ราชนาวิกสภา
พระกรณียกิจของ นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ

กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ทรงมีต่อราชนาวิกสภา
เริ่มขึ้นครั้งแรกในขณะพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งจเร
ทหารเรือ ทรงรับเชิญเป็นองค์ปาฐกให้แก่ราชนาวิกสภา
ทรงบรรยาย “ปกิรณกะถา” เรื่อง “ยุทธวิธี” เมื่อวัน
พฤหัสบดีที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๐ และบรรยายเรื่อง
เดียวกันนี้ให้แก่ราชนาวิกสภาติดต่อกันอีกหลายครั้ง ซึ่ง
๒๐
นายเรือเอก หลวงเริงกลางสมร (ทองดี สุวรรณพฤกษ์)
เป็นผู้รวบรวมเรียบเรียงนำเนื้อหาคำบรรยายมาลงพิมพ์
ในหนังสือนาวิกศาสตร์ตั้งแต่เล่มปฐมฤกษ์ ปีที่ ๑
ฉบับที่ ๑ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๖๐ จนถึงเล่มปีที่ ๔
ฉบับที่ ๑๑ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๔
ทั้งในคราวทรงบรรยายเรื่องยุทธวิธี ภาคที่ ๒
ในวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๐ แล้ว พระองค์ทรง
แนะนำข้อบังคับและระเบียบการเล่นยุทธกีฬาทางเรือ เรือมีอาวุธแล้วเปนหวังได้นั้น หามิได้.” ๒๑
และแนะนำให้เล่นแสดงเป็นตัวอย่างอีกด้วย ในการเล่น พระดำรัสซึ่งเรียบเรียงเป็นพระนิพนธ์ว่าความ
แสดงเป็นตัวอย่างครั้งนั้นพระองค์ทรงวินิจฉัยวิจารณ์ แม่นยำในการยิงเป็นของสำคัญอย่างยิ่งส่วนหนึ่งใน

การเล่นยุทธกีฬาทางเรือว่าการเข้าประจัญบานระหว่าง สงคราม และในเวลาการยิงเป็นการที่จะนำมาซึ่งผล
เรือลำต่อลำนั้น การเดินเรือเอาเปรียบทำมุมรบได้ก่อน แห่งความแพ้ชนะโดยตรงนั้น เมื่อคิดคำนึงถึงเหตุการณ์
และมีความแม่นยำในการยิงเป็นเรื่องสำคัญมาก ทางเรือซึ่งเกิดขึ้นในบริเวณอ่าวไทยชั้นหลังต่อมา ความ
ดังคำวินิจฉัยของพระองค์ที่นายเรือเอก หลวงเริงกลางสมร หมายดังพระดำรัสดูเหมือนจะสัมผัสในสำนึกทหารเรือ
(ทองดี สุวรรณพฤกษ์) รวบรวมไว้ว่า ไทยรุ่นหลังเสมอมา
“ความแม่นยำในการยิงจึงเปนของสำคัญ ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเสนา
อย่างยิ่งส่วนหนึ่งในสงคราม และในเวลาการยิงเปนการ ธิการทหารเรือ ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาราชนาวิกสภา

ที่จะนำมาซึ่งผลแห่งความแพ้ชนะโดยตรง. ข้อนี้เปนข้อ ตามตำแหน่งโดยตรง พระกรณียกิจสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งทรง
สำคัญที่ต้องขอตักเตือนไว้ในที่นี้ เพื่อให้ขวนขวาย มีต่อราชนาวิกสภา ขณะดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ
ฝึกหัดสั่งสอนทหารให้มีความรู้, ความชำนาญ, ความ ที่ทหารเรือ และครอบครัวทหารเรือรู้จักจดจำได้
แม่นยำไว้เสมอ โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยหรือความ และระลึกถึงพระองค์ท่านอยู่เสมอตราบจนทุกวันนี้ ก็
เปลืองใด ๆ จึงจะหวังได้ในการสงคราม หาใช่แต่เพียงมี คือการที่พระองค์ทรงส่งเสริมและอนุมัติให้คณะ
๒๐ ต่อมาเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ
๒๑ ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์, พ.ร.ต. พระเจ้าพี่ยาเธอ (นายเรือเอก หลวงเริงกลางสมร – รวบรวม). “ยุทธกีฬา”. นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๐. หน้า ๑๓.


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 33

๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๕ (๑๙๒๒) มีพระนามปรากฏใน
“บาญชีรายพระนามแลสมาชิกที่สมัคแพนกการกุศล
ฌาปนะกิจ” ลำดับที่ ๑๕ ๒๓
ปัจจุบัน “แพนกการกุศลฌาปนะกิจ” ซึ่งเริ่ม

ต้นขึ้นเป็นเพียงกิจการเล็ก ๆ แต่โดยเหตุที่ภารกิจนั้น
แฝงไว้ซึ่งการสร้างเสริมเกียรติภูมิ สร้างขวัญและกำลังใจ
แก่ทหารเรือตลอดจนครอบครัวญาติพี่น้องให้พร้อม
ทำหน้าที่เสี่ยงอันตรายในท้องทะเลห่างไกล ช่วยสร้าง
ความมั่นใจต่อเหตุการณ์ที่หากต้องประสบ เป็นกิจการ
ที่ยังคงดำรงอยู่เคียงคู่ราชนาวิกสภาในชื่อเรียกว่า
“การฌาปนกิจสงเคราะห์แห่งราชนาวี” ในทุกวันนี้
จะมีอายุเกินกว่า ๑๐๐ ปี ในอีกไม่กี่ปีซึ่งกำลังจะมาถึง

กรรมการอำนวยการราชนาวิกสภาก่อตั้ง “แพนกการ ไม่เพียงแต่การฌาปนกิจสงเคราะห์ของ
กุศลฌาปนะกิจ” ขึ้นในราชนาวิกสภา ดังปรากฏในแจ้ง ราชนาวิกสภาเท่านั้น พระองค์ยังอุดหนุนส่งเสริม
ความราชนาวิกสภาซึ่งต่อมาตีพิมพ์ในหนังสือนาวิก กิจการแผนกห้องสมุดของราชนาวิกสภา ทรงประทาน
ศาสตร์ เล่มปีที่ ๖ ฉบับที่ ๑ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๖๕ หนังสือ The Battle of Jutland พร้อมทั้งแผนที่ภาษา
(๑๙๒๓) เป็นข้อความว่า อังกฤษ ๑๒ แผ่น กับภาษาเยอรมัน ๗ แผ่น และ
“ด้วยคณะกรรมการอำนวยการราชนาวิกสภา ประทานหนังสือ Report on the work of the
ได้ประชุมหารือกันตั้งแพนกการกุศลฌาปนะกิจขึ้นอีก Education department กับ Summary of a
แพนกหนึ่งในราชนาวิกสภา แลได้นำความขึ้น report on the work of the Ministry of

กราบทูล นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวง Education ให้แก่ห้องสมุดราชนาวิกสภา ทรงอนุมัติ
๒๔
ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เสนาธิการทหารเรือ ทราบใต้ฝ่า แต่งตั้งบุคคลเข้ามาทำหน้าที่หรือให้พ้นจากตำแหน่งใน
พระบาทแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นไว้ตั้งแต่วันที่ ราชนาวิกสภาตลอดจนในเรื่องการดำเนินกิจการของ
๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๕ เปนต้นไป ราชนาวิกสภา ทั้งโดยการวินิจฉัยตามตำแหน่งหน้าที่
๒๕
บัดนี้คณะกรรมการมีความยินดี ที่จะแจ้งให้ เสนาธิการ หรือโดยมติแห่งที่ประชุมสภาบัญชาการ
บรรดาสมาชิกทั้งหลายทราบทั่วกันว่า ได้มีนายทหาร กระทรวงทหารเรือตลอดจนสภาการช่างทหารเรือ
แลข้าราชการชั้นสัญญาบัตรในราชนาวีสมัคเข้าเปน หรือสภาธุระการทหารเรืออีกด้วย
สมาชิกแพนกนี้รวม ๓๐๐ เศษแล้ว...” ๒๒ ดังปรากฏในการประชุมสภาบัญชาการกระทรวง
พระองค์ทรงสมัครเป็นสมาชิก “แพนกการ ทหารเรือที่มีระเบียบวาระการประชุมเป็นเรื่องของ

กุศลฌาปนะกิจ” ที่ก่อตั้งขึ้นในราชนาวิกสภาเมื่อวันที่ ราชนาวิกสภาโดยตรงที่มีขึ้นครั้งหนึ่งในการประชุม

๒๒ คณะกรรมการ. “แจ้งความราชนาวิกสภา”. นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๖ มกราคม ๒๔๖๕. หน้า ๑๓.
๒๓ “บาญชีรายพระนามแลนามสมาชิกที่สมัคแพนกการกุศลฌาปนะกิจ”. นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๖ มกราคม ๒๔๖๕. หน้า ๗.
๒๔ “แจ้งความห้องสมุดราชนาวิกะสภา”. นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๔ ธันวาคม ๒๔๖๔. หน้า ๑.,
“รายพระนามแลนามผู้ที่ประทานแลให้หนังสือห้องสมุดราชนาวิกะสภา”. นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๖๖. หน้า (๙).
๒๕ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ สบ.ทร.๑.๔.๑/๒๘ สำเนาคำสั่งกรมเสนาธิการทหารเรือ. แผ่นที่ ๒๘.,
กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ สบ.ทร.๑.๔.๑/๘๕ คำสั่งกรมเสนาธิการทหารเรือ. แผ่นที่ ๗.,

34 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

ครั้งที่ ๑๖ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๕ เป็น ธุรการ, เลขานุการบอกว่าให้ไปเบิกทางกรมพัสดุทหารเรือ

ระเบยบวาระการประชุมเกี่ยวด้วยราชนาวิกสภา ๒ เรื่อง เลขานุการชี้แจงในน่าที่เลขานุการสภาธุระการว่า
ดังบันทึกไว้ในรายงานการประชุมว่า ในเรือนี้มิได้มีความเกี่ยงงอนอย่างใด แลเปนจำนวน
“เรื่องที่ ๔ ราชนาวิกะสภาขออนุญาตเงิน เงินเล็กน้อย ที่ปัดให้ไปตั้งเบิกทางกรมพัสดุทหารเรือ
๔,๐๐๐ บาท สำหรับซื้อสมุดตำราต่าง ๆ ในงบประมาณ เพื่อรักษาอัตราจ่ายของจริงประจำปี ทั้งถ้าจะจัดการ
พ.ศ.๒๔๖๖ เบิกจ่ายเงินให้ จักเปนตัวอย่างในกิจการข้างน่าอีก
เมื่อที่ประชุมทราบว่าเงินจำนวนนี้เปนจำนวน เรื่องจึงตกมาถึงที่ประชุม ผู้เปนประธานรับสั่งว่า ให้ตั้ง
เท่ากับที่ตั้งไว้ใน พ.ศ.๒๔๖๕ แล้ว จึงเห็นควรอนุญาต... เบิกทางกรมพัสดุทหารเรือ แลต่อไปการเลี้ยงดูเช่นนี้
เรื่องที่ ๘ ราชนาวิกะสภาขอให้ พันจ่าเอก เปนของจำเปนสำหรับราชการทหารเรือต้องรับรองซึ่ง

เหม ทัพพะเกตุ ปฏิคม รับพระราชทานเงินเดือนอัตรา กันแลกัน เช่นเรือทอดอยู่ในน่านน้ำสยาม มีนายทหาร
นายเรือตรี. เรือต่างประทศมาเยี่ยมเยียนเปนต้น ... ต่อไปในกิจเช่นนี้
เจ้ากรมยุทธศาสตร์ทหารเรือแสดงความเห็น ให้ถือว่าเปนการรับรองโดยราชการ ตั้งเบิกสิ่งของจาก
ว่า ควรให้อัตราหัวน่าพันจ่า (๖๐, ๖๕, ๗๐ บาท ก็พอ) กรมพัสดุทหารเรือได้ตามควร แต่ถ้าเปนการปัจจุบัน
ผู้เปนประธานรับสั่งให้ตั้งอัตราหัวน่าพันจ่า ทันด่วนเวลากระชั้นชิด เบิกไม่ทันหรือเรือไปต่าง
แลให้รับพระราชทานเงินเดือน ๖๐ บาท ตั้งแต่เดือน ประเทศ ให้ตั้งฎีกาเบิกหักผลักใช้ทางกรมพัสดุทหารเรือได้
เมษายน พ.ศ.๒๔๖๖ เปนต้นไป. ที่ประชุมเห็นชอบด้วย.” ๒๗
ที่ประชุมตกลง” สิ่งที่พึงสังเกตจากรายงานการประชุมครั้งนี้
๒๖
นอกจากนี้ยังมีวาระการประชุมที่แสดงให้เห็น ก็คือ แม้ราชนาวิกสภาจะอยู่ในการอำนวยการของเสนาธิการ

ถึงกิจของราชนาวิกสภาในระยะเริ่มต้น ซึ่งแสดงให้เห็น ทหารเรือโดยตรงก็ตาม แต่เสนาธิการทหารเรือ
ถึงพระวินิจฉัยของพระองค์และการเสนอความคิดเห็น ก็ทรงนำกิจการของราชนาวิกสภาเข้าสู่การประชุมสภา
ของผู้ร่วมประชุมตลอดจนความเกี่ยวเนื่องกับการ บัญชาการกระทรวงทหารเรือเพื่อให้ผู้เข้าร่วมการ
ประชุมสภาอื่น ๆ ปรากฏในรายงานการประชุมครั้งที่ ประชุมตำแหน่งต่างๆ มีส่วนทราบและร่วมตัดสินใจ
๑๘ พ.ศ.๒๔๖๕ มีความว่า ดำเนินกิจการราชนาวิกสภาด้วย ๒๘
“กระบวนเรือที่ ๒ ขอหารือว่า การซื้อเครื่อง ทั้งนี้สิ่งที่พึงสังเกตมากที่สุด คือ พระดำริ
ว่างไปเลี้ยงนายทหารบกนักเรียนเสนาธิการ รวม ๒๔ นาย และพระวินิจฉัยของพระองค์ขณะทรงดำรงตำแหน่ง

ซึ่งได้ลงไปดูเรือพระร่วง ควรจะให้ตั้งฎีกาเบิกเงินเพื่อ เสนาธิการทหารเรือซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาราชนาวิกสภา
จ่ายให้ราชนาวิกะสภาทางใด, เพราะกรมพัสดุทหารเรือ โดยตรง นั้นมีร่องรอยที่แสดงความเกาะเกี่ยวซ้อนทับ
แจ้งว่าให้ไปตั้งเบิกทางสภาธุระการ ครั้นเบิกมาทางสภา ในการพัฒนาวิธีการประชุมแบบ “สภา” ซึ่งมีกำเนิด



๒๖ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ บ.๒/๒๕ หนงสอทขนมาจากวงบรพาฯ ‘แผนกเกี่ยวด้วยราชการทหารเรือ’ (ปึก ๒) แผ่น ๒๒๙ – ๒๓๒.




๒๗ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ สบ.ทร.๑.๕/๔๒ รายงานการประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือ ที่ ๑๘/๑๒/๒๔๖๕. แผ่นที่ ๑๒.
๒๘ ในการประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือ ครั้งที่ ๒ วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๔ การประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือ
ครั้งแรกวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๔ วาระการประชุมเรื่องที่ ๒ สร้างเรือทุ่นไฟ จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรม
พระยาภาณุพันธุวงศวรเดช จะเรทหารทั่วไปผู้กำกับราชการทหารเรือ ทรงพระดำรัสสั่งให้ออกความเห็นเป็นลำดับอาวุโสตั้งแต่ผู้น้อยขึ้นมา เป็นครั้งแรก
ต่อมา นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงดำเนินตามแนวพระดำริจะเรทหารทั่วไปผู้กำกับราชการ
ทหารเรือ คือ ในการประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือครั้งที่ ๑๑ วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๕ ในวาระการประชุมเรื่องต่อท้ายวาระ
การประชุมเรื่องที่ ๒ ทรงรับสั่งให้แสดงความเห็นตั้งแต่ผู้มีอาวุโสน้อยขึ้นมา
แนวพระดำริว่าด้วยการออกความเห็นโดยลำดับอาวุโสน้อยขึ้นมาจึงได้รับการปฏิบัติต่อมาจนเป็นหลักนิยมที่ราชนาวีไทยมีความภาคภูมิใจ

นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 35

การประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือ
ได้ริเริ่มขึ้นในที่ประชุมกระทรวงทหารเรือวันที่ ๓ ตุลาคม
พ.ศ.๒๔๖๔ เริ่มประชุมครั้งแรกวันที่ ๑๘ ตุลาคม
พ.ศ.๒๔๖๔ มีจอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศวรเดช จะเรทหารทั่วไป
ผู้กำกับราชการทหารเรือ ประทับเป็นประธาน นายพลเรือเอก
พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสนาธิการ

ทหารเรือและเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ นายพลเรือโท
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสิงหวิกรมเกรียงไกร จะเรทหารเรือ
กับปลัดทูลฉลองกระทรวงทหารเรือ ปลัดบาญชีทหารเรือ
และนายทหารเรือระดับเจ้ากรมทุกตำแหน่งเข้าร่วมประชุม
ประธานที่ประชุมมีพระดำรัสสั่งให้เลขานุการที่ประชุม
อ่านระเบียบการประชุม “สภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือ”
ซึ่งร่างขึ้นสำหรับตราไว้เป็นหลักปฏิบัติ ให้ผู้เข้าร่วม
ประชุมออกความเห็นและรับรอง ที่ประชุมเห็นชอบ
ด้วยจึงกำหนดเป็นระเบียบการว่าด้วยสภาบัญชาการ

กระทรวงทหารเรือ พ.ศ.๒๔๖๔ ลงวันที่ ๑๙ ตุลาคม
พ.ศ.๒๔๖๔ ซึ่งแสดงความมุ่งหมายของการประชุมสภา
บัญชาการกระทรวงทหารเรือว่า
“ด้วยการปกครองราชการทหารเรือเท่าที่ได้
ดำเนีรอยู่ทุกวันนี้ ยังไม่เปนระเบียบอันสมควรที่จะ
ณ ราชนาวิกสภามาก่อน มาเป็นการประชุมที่กำหนด ทำให้การงานรู้ทั่วถึงกันได้ เพราะต่างคนต่างทำ
นโยบายไปสู่การปฏิบัติครั้งแรกของกองทัพเรือ สมควรให้มีการประชุมปฤกษาหารือราชการเพื่อฟัง

และประเทศไทย ตลอดวาระการดำรงตำแหน่งเสนาธิ ข้อความคิดต่าง ๆ ของกรมอื่น ๆ จักได้เปนโอกาศแสดง
การทหารเรือขึ้นเป็นจำนวนครั้งมากที่สุด ความเห็นหรือสอบถามความดำริห์แลโต้แย้งแนะนำให้

เปนที่เข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น แลเมื่อได้ประชุมฟังคารม
การประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือ พร้อมเพรียงกันเช่นนี้แล้ว ราชการจักดำเนีรเร็วขึ้นกับ
ดังได้กล่าวแล้วว่า พระกรณียกิจที่โดดเด่นของ ทั้งความดำริห์ก็จะเปนที่สุขุมมั่นคงขึ้น โดยได้รับความ
พระองค์อย่างหนึ่งได้แก่ทรงมีส่วนร่วมในการนำการ เห็นชอบของกรมอื่น ๆ ประกอบด้วยอีกชั้นหนึ่ง
ประชุมที่มีรูปแบบเรียกว่า “สภา” เข้ามาใช้ในการ จึงสมควรให้มีการประชุมประจำดังจะได้ตราเปน

บริหารปกครองทหารเรือ ดังปรากฏการประชุม “สภา ระเบียบต่อไปนี้” ๒๙
บัญชาการกระทรวงทหารเรือ” นับแต่เริ่มการประชุมครั้งแรก สภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือ กำหนด

ประชุมเดือนละ ๑ ครั้งทุกสัปดาห์แรกของเดือน ณ

๒๙ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๕/๓ เรื่องระเบียบว่าด้วยสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือ. แผ่น ๑.



36 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

ห้องเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ระยะเวลาที่มีการประชุม เรื่องย้ายเรือแจวพายเล็กไปไว้โรงเรือคลองบางกอกน้อย
ตั้งแต่วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๔ จนถึง วันที่ ๑๘ แล้วย้ายเครื่องเรือพระราชพิธีไว้ใต้ราชนาวิกสภา
๓๑
พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๗ รวม ๒๙ ครั้ง จากเอกสาร แทน ฯลฯ
ที่เกี่ยวด้วยการประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือ สิ่งที่พระองค์มักแสดงให้ปรากฏต่อที่ประชุม

พบว่า นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพร สภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือเสมอ คือ การอธิบาย
เขตอุดมศักดิ์ เสนาธิการทหารเรือ ทรงเข้าร่วมประชุม แนวพระดำริซึ่งมีพระประสงค์จะให้ยึดเป็นหลัก
แล้วต่อมาได้รับพระประทานจากจะเรทหารทั่วไป พิจารณาในเรื่องการใช้งบประมาณของกระทรวงทหารเรือ
ผู้กำกับราชการทหารเรือให้ประทับเป็นประธานการ ทรงย้ำอธิบายพระดำริในการหาวิธีการเพื่อให้มีเงิน
ประชุมทำหน้าที่แทนเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เพียงพอและเหลือพอที่จะซื้อหรือสร้างเรือรบใหม่ โดยให้
เป็นส่วนใหญ่ จนถึงการประชุมครั้งที่ ๒๑ เมื่อวันที่ ผู้เข้าร่วมประชุมมีความเข้าใจจากรากฐานสถานะของ
๙ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๖ จึงทรงประทับเป็นประธานการ ประเทศซึ่งจะเป็นเครื่องกำหนดยุทธศาสตร์ทางการ
ประชุมในฐานะเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ๓๐ ทหาร ดังปรากฏในรายงานการประชุมว่า
ระเบียบวาระการประชุมซึ่งมีความสำคัญ “การป้องกันบ้านเมืองนั้นต้องเจริญรอย

ตลอดจนระเบียบวาระที่นำเข้าสู่การประชุมสภา เหตุผลในทางยุทธศาสตร์ อันเกี่ยวข้องแก่รัฐประสาสโนบาย
บัญชาการกระทรวงทหารเรือหลายครั้ง มีอาทิ ปัญหาเรื่อง เสมอไป คือประเทศสยามมีอาณาเขตร์อังกฤษแล
การเกณฑ์คนเข้ารับราชการ การลดฐานะกรมยุทธ ฝรั่งเศสขนาบอยู่ ๒ ข้าง แลจะรบกับใคร มีทหารบก
ศึกษาทหารเรือ จากกรมขึ้นตรงกระทรวงทหารเรือ ทหารเรือไว้ทำไม ก็คงได้ความว่า สำหรับปราบปราม
เป็นกรมขึ้นต่อกรมเสนาธิการทหารเรือ การรวบรวม จลาจลเท่านั้นเป็นข้อสำคัญ ถ้าจะมีราชสัตรูนอกจาก
แผนกต่าง ๆ ในกรมเสนาธิการทหารเรือ ยกเว้นแผนกที่ ๗ อังกฤษแลฝรั่งเศสแล้ว ทางบกสัตรูจะทำอะไรไม่ได้
(อุทกศาสตร์, ทุ่นและกระโจมไฟ) ขึ้นเป็นกรม เพราะจะต้องผ่านดินแดนของประเทศทั้ง ๒ นั้นก่อน

ยุทธศาสตร์ทหารเรือ กับยกฐานะแผนกที่ ๗ อุทกศาสตร์ มีทางเปิดอยู่ทางเดียงก็อ่าวสยามเท่านั้น เพราะฉนั้น
(อุทกศาสตร์, ทุ่นและกระโจมไฟ) ขึ้นเป็นกรมในสังกัด จึงนับว่าราชนาวีเป็นทัพน่า ซึ่งได้งบประมาณ ๕ ล้านบาท
กรมเสนาธิการทหารเรือ การจัดทำสมุดประวัติทหาร แลทหารบกได้ ๑๔ ล้าน แต่ที่จะบอกว่าประโยชน์ของ
การเปลี่ยนแปลงเพิ่มถอนหน้าที่และการสร้างรื้อถอน ทหารบกทหารเรือใครจะดีกว่ากันนั้น เปนของพูดยาก
โรงเรือนกองโรงเรียนจ่าเรือและกองโรงเรียนพลทหาร แล้วแต่กาละเทศะที่จะมีมา.
งบประมาณสร้างเรือยนต์ตอร์ปิโดจำนวน ๔ ลำ การโจมตีของข้าศึกที่จะหวังให้ประเทศสยามพ่ายแพ้
การก่อสร้างที่สัตหีบซึ่งต่อมาคือการขอพระราชทาน เขาต้องมุ่งตีกรุงเทพฯ เท่านั้น เพราะเปนบ่อกลาง
ที่ดินเพื่อสร้างฐานทัพเรือขึ้นที่สัตหีบ การสร้างกองบิน ของพาณิชย์การ เมื่อสินค้าหยุดชงัก ก็นับว่าเศรษฐการ
ทหารเรือที่สัตหีบ การส่งนักเรียนไปเรียนวิชาการทหารเรือ ของประเทศได้แตกสลายแล้ว เพราะฉนั้นการป้องกัน

ต่างประเทศปีละ ๔ คน เรื่องค่าซ่อมเรือศรีสมุท ส่วนสำคัญของประเทศสยามก็คือ ต้องคิดป้องกัน
กรุงเทพพระมหานครนั่นเอง.

๓๐ หลังจากการประชุมสภากระทรวงทหารเรือครั้งที่ ๒๙ วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๗ ไม่พบหลักฐานปรากฏว่ามีการประชุมสภาบัญชาการ
กระทรวงทหารเรือเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นใด อย่างไรก็ตามยังมีการประชุมที่เรียกว่า “การประชุมสภากองทัพเรือ” ขึ้นอีกครั้งหนึ่งเริ่มตั้งแต่
วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๕ ซึ่งน่าจะเปลี่ยนแปลงชื่อเรียกเป็นอย่างอื่นในเวลาต่อมา
๓๑ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ กปศ.ยก.ทร.๑.๕/๘ รายงานการประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือที่ ๑ – ๒๙. แผ่นที่ ๑ – ๒๖.
อนึ่ง เป็นข้อมูลเฉพาะช่วงเวลาที่นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ
และเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 37

ยุทธศาสตร์ในทางฝ่ายทหารเรือที่จะคิด แต่ด้วยเหตุที่งบประมาณทหารเรือในรัชสมัย
ป้องกันนั้น คือเราต้องเตรียมกองทัพเรือ มีเรือมาก รัชกาลที่ ๖ เกิดปัญหาทางการเงินจำต้องประหยัด
เท่าไรยิ่งดี แต่ที่จะบอกว่าต้องการกี่ลำนั้น ก็คงอยู่ใน พระราชทรัพย์ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจัดสรร
ถานที่อยากได้มากเสมอไป เมื่อจะร่างโครงการกองทัพ งบประมาณให้ทหารเรือปีละ ๕ ล้านบาท หากใช้ไม่หมด
เรือโดยไม่มีสิ่งใดจำกัดเปนเกณฑ์นั้นไม่ได้ ต้องมีจำกัด จะต้องหักเงินที่เหลือคืนกระทรวงพระคลังฯ พระองค์

คือถืองบประมาณที่คลังให้ปีละ ๕ ล้านบาทนั้นเปน จึงทรงหาวิธีการทำความตกลงว่าเงินที่ใช้ไม่หมดเหลือ
เกณฑ์ตั้ง เพราะฉนั้นเราต้องดำเนิรการทหารเรือให้อยู่ จากงบประมาณ กระทรวงพระคลังฯ จะรับฝากไว้ให้
ในวงเรือนเงินนี้ เราใช้ได้น้อยเท่าไรยิ่งดี เงินที่เหลือจาก โดยไม่คิดดอกเบี้ย เก็บรวบรวมไว้กี่ปีจะเบิกมาสร้าง
งบประมาณ คลังจะรับฝากเก็บไว้ให้โดยไม่คิดดอกเบี้ย...” ๓๒ หรือทำการใหญ่อะไรสักครั้งก็ได้ พระองค์มักจะอธิบาย


๓๒ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ สบ.ทร.๑.๕/๔๒ รายงานการประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือที่ ๑๘/๑๒/๒๔๖๕. แผ่นที่ ๒๐ - ๒๑.


38 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

ให้ที่ประชุมรับทราบถึงความเป็นมา ให้ตระหนักถึง ในการแลกเปลี่ยนราคาน้ำเงิน (exchange), คลัง
ความสำคัญและช่วยกันคิดแสวงหาหนทางประหยัด ยุบยับ เราจะขอขึ้นงบประมาณย่อมไม่ได้อยู่เอง พวก
รายจ่ายเพื่อให้มีเงินเหลือเก็บสะสมไว้สร้างกองทัพเรือ นายทหารที่ไม่รู้ถึงการลึกซึ้งมักปราถนาจะร้องขอให้มี
ดังข้อความที่ปรากฏในรายงานการประชุมสภา นั่นมีนี่ เมื่อเราจะมองดูการทหารเรือ ควรจะรู้แลมอง
บัญชาการกระทรวงทหารเรือ ครั้งที่ ๑๑ พ.ศ.๒๔๖๕ ว่า ถึงการคลังด้วย แลมองดูต้นทุนของเราเอง การเงินเปน
“อนึ่งพวกเราควรจะทราบว่า ตามพระบรม ของสำคัญที่สุด ที่เราได้อยู่ ๕ ล้านบาทนั้น เปนการ

ราโชบายของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงที่ได้ ดีแล้ว. ในที่นี้จึงขอร้องให้นายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เปนหัว
ทราบมาว่า การจ่ายพระราชทรัพย์สำหรับป้องกันพระราช น่ากรม, ผู้บัญชาการกระบวน ผู้บังคับการกองเรือ
อาณาเขตร์นั้น ให้ถือเรือนเงิน ๒๕% ของรายได้แผ่นดิน คิดถึงกระเป๋าเราให้มาก ช่วยกันกระเหม็ดกระแหม่การ
คือรวมทั้งทหารบกทหารเรือ... แลในเวลานี้เงินรายได้ ใช้จ่ายเท่าที่สุดจะทำได้...” ๓๓
แผ่นดินก็ยังคงยืนคงที่ การสินค้าไม่ดี มิหนำซ้ำขาดทุน

๓๓ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ สบ.ทร.๑.๕/๑๓ รายงานการประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือที่ ๑๑/๒๔๖๕. แผ่นที่ ๗




นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 39

ทรงอธิบายถึงความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนวิธี ก้อนใหญ่ จะลงทุนทีไรก็ต้องยั้ง ส่วนเครื่องปรุงนั้นหา
การงบประมาณแต่เดิมที่พิจารณาจากกองทัพเรือควร ง่ายและเพิ่มได้ทีละน้อย จึงเพิ่มบ่อยขึ้น แต่เมื่อมากครั้ง
จะมีเรือและอาวุธเช่นใดเป็นหลัก จะต้องเปลี่ยนวิธีการ ขึ้นก็ท่วมเต็มในงบประมาณไปหมด แก้ยากที่สุดประดุจ
เช่นนั้นเสียใหม่ ดังต้นฉบับลายพระหัตถ์ก่อนจะนำไป โรคเรื้อ ทั้งนี้คือกระทรวงซึ่งเป็นเครื่องประกอบ
พิมพ์ในรายงานการประชุมสภาบัญชาการทหารเรือ ของกองทัพ นั้นได้งอกเร็วและงามเกิดกองทัพไปหลาย
ครั้งที่ ๑๘ พ.ศ.๒๔๖๕ เขียนไว้ว่า เท่าด้วยประการฉนี้...” ๓๔

“หลักเดิมของการดำเนินในทหารเรือได้ยึดอยู่ ในบางกรณีพระองค์ทรงจัดพิมพ์เป็นเอกสาร
ที่กระบวนทัพเรือควรมีอยู่เต็มที่ ปรุงกิจการอื่นทั่วไป แสดงพระดำริไว้อย่างชัดเจนด้วย ดังตัวอย่างปรากฏใน
เข้าหาทางตลอดถึงการตั้งงบประมาณประจำปี ให้สม รายงานการประชุมครั้งที่ ๑๒ พ.ศ.๒๔๖๕ ซึ่งพระองค์
ตามถานะของกองทัพเรือที่ควรจะมีได้ ได้จัดทำความเห็นของเสนาธิการทหารเรือต่อท้าย
ผล ของการตั้งกองทัพเรือเป็นหลักนี้ได้ผลร้าย รายงานการประชุมไว้ว่า
โดยเหตุ ๑ หาเงินมาปรุงขึ้นได้ไม่ทันกับที่ต้อง “การซ่อมแซมแลก่อสร้างเรือในราชนาวีเรา
เสื่อมทรามเสียหายลงไป ๒ ทำให้เครื่องประกอบ นับจำเดิมที่เจริญมากที่สุดก็คือ ครั้งต่อเรือจักรข้าง
กองทัพซึ่งปรุงง่ายนั้นได้ดำเนินเกินกองทัพจน (สุริยมณฑล) ที่ในคลองบ้านสมเด็จ... แต่ถ้าจะตรวจถึง
เบียดเบียนเอาเนื้อของกองทัพไปทำให้การปรุงกองทัพ ถานของต้นความคิดและทำนองการที่กระทำในเวลานั้น

ช้าลงไปอีก โดยเรือรบเป็นของแพงมากและเป็นเงิน กับต่อมา คงจะได้หลักถานแต่ว่า “เราก็ทำได้” ไม่ใช่

๓๔ กองประวัติศาสตร์ ยศ.ทร. แฟ้มที่ ๑ สบ.ทร.๑.๕/๔๒ แผ่นที่ ๒๓ - ๒๔.



40 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

หลักถานอันยั่งยืนซึ่งจะนำวิชานี้มาเปนอาชีวะอย่าง ชอบในกิจการของตนแลเท่ากับการเปนส่วนเจ้าของ ๆ
แน่นแฟ้น หรือเปนหลักของสากลอาชีพ ที่เห็นได้ชัดก็ การนั้น ๆ ส่วนหนึ่ง กับเปนการดัดนิสัยเดิมซึ่งได้ฝังอยู่
เพียงแต่ว่าอำนาจวาสนาเพียงพอก็จะทำเล่น... ถ้าจะ แล้วอย่างแน่นแฟ้นในสันดาน โดยเหตุว่าต่างคนก็ต่าง

สังเกตในตอนนี้แล้วก็จะแลเห็นได้ว่า การใหญ่โตต่าง ๆ เปนผู้ช่วยอำนวยการ แต่หาได้รับส่วนแบ่งปันในการ
ที่เปนหลักถานนั้นเปนการจ้างเหมาทั้งสิ้น ที่เรียบร้อย รับผิดชอบอย่างใดไม่ ในการที่ดัดสันดานให้ รู้สึกว่า
ไปก็มากแลที่เสียชั้นเสียเชิงไปก็มีซึ่งไม่ควรจะคุ้ยเขี่ยขึ้น ตนเปนเจ้าของคนหนึ่งเช่นนี้ ต้องอาศรัยเปิดโอกาสให้
... แต่ในระหว่างที่เล่นกันอยู่กระทรวงได้งอกขึ้นเกิน เห็นการทั่วไปมากขึ้นยิ่งกว่าการเฉภาะหน้า จึงต้องหาเรือ
ส่วนเรือทั้งหมด ... จึงเปนการติดขัดขึ้นมากในการที่ มาเข้าในที่ประชุมให้เปนทางสาธารณะประโยชน์คือ
ซ่อมกองทัพไม่ทันเท่ากับที่ชำรุดลง ... ในท้ายที่สุดก็ ให้ทราบกิจการที่เปนไปภายในกระทรวงซึ่งเกี่ยวกับการช่าง
กลายเปนหางกระทำให้หัวกระดิกไม่ใช่มีหัวไว้ทำให้หาง และให้ออกความคิดเห็นวินิจฉัยเอาเองตามลำดับบ่อย ๆ

กระดิก (The tail wagging the Head instead of เปนเครื่องฝึกหัดเอ๊กเซอร์ไซในการดำเนิรความคิดอีก
the head wagging the tail) ที่ยังบกพร่องอยู่ก็คือ อย่างหนึ่ง คงได้ผลอย่างน้อยที่สุดก็คือ ได้เพิ่มอิศรภาพ
การดำริห์เกี่ยวด้วยวิชา ข้าพเจ้าจึงได้ขอทดลองในการ แห่งความดำริห์ในอาชีพวิชา ปรุงความเด็ดขาดในใจ
รวมนายช่างออกความเห็น ... จึงได้ตั้งที่ประชุมสภา เปนส่วนตัวของนายทหารฝ่ายช่าง ซึ่งเคยคอยแต่ฟังคำสั่ง
การช่างขึ้นเพื่อวินิจฉัยการงานต่าง ๆ ดังมีอยู่ในคำสั่ง ของหัวน่าที่จะบัญชาถ่ายเดียว ส่วนราชการนั้นก็ย่อม
ตั้งสภานั้นแล้ว...” ๓๕ เห็นได้ว่า เมื่อได้ฟังความคิดของคนหมู่มากรวมกันเช่นนี้
พระองค์มีพระดำริว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ก็ย่อมจะได้ผลดี ถึงแม้จะแตกต่างกันอยู่บ้างก็ยังมี
ผู้บริหารส่วนใหญ่ชำนาญในเรื่องการประสานงานแต่ โอกาสที่จะวินิจฉัยกระทำไปในทางที่ดีที่สุด กับทั้งปลด
ไม่มีความรู้ในด้านเทคนิค จึงต้องสอบถามจากผู้น้อยซึ่ง ความรับผิดชอบของหัวน่ากระทรวงลงไปได้อีกคั่นหนึ่ง

ไม่อาจเสนอข้อมูลและแสดงความคิดเห็นเกินกว่าผู้ใหญ่ ไม่ลังเลตรึกตรองในเรื่องที่ตนไม่รู้ แต่ก็จักต้องเปน
นั่นหมายถึงปัญหาเดียวกันนี้เสนาธิการทหารเรือหรือ ผู้วินิจฉัยชี้ขาด” ๓๖
เสนาบดีกระทรวงทหารเรือจะต้องเป็นผู้แก้ไขในที่สุด สภาการช่างทหารเรือเริ่มจัดการประชุมทุกวัน
ดังนั้นเพื่อจะแก้ไขสภาวะอันเป็นปัญหานี้ใน พฤหัสบดีที่ห้องเสนาธิการทหารเรือ มีเสนาธิการทหาร
แนวทางของพระองค์คือใช้วิธีการนำเรื่องเข้าหารือ เรือเป็นประธานการประชุม สภาการช่างทหารเรือเมื่อ
วินิจฉัยในที่ประชุมและตั้ง “สภาการช่าง” ขึ้นเพื่อ ได้ประชุมมาถึงครั้งที่ ๔ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สภาธุระการ
เสนอข้อมูลและข้อวินิจฉัยตามหลักวิชาการหลายๆ ทหารเรือ”

ฝ่าย เสนอให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงรับฟังข้อมูล
ประกอบการวินิจฉัยต่อไป ดังปรากฏเป็นความเห็นของ เสนาธิการกิจ
เสนาธิการทหารเรือต่อท้ายรายงานการประชุมสภา ด้วยลักษณะประจำพระองค์ที่ทรงเป็นผู้นำ
บัญชาการกระทรวงทหารเรือ ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ.๒๔๖๕ มี ความคิดและการปฏิบัติต่อทหารเรือ เมื่อคำนึงถึงหน้าที่
ข้อความส่วนหนึ่งว่า วัตรปฏิบัติของพระองค์แล้ว จะเห็นว่าพระองค์ทรงเป็น
“นัยแห่งความประสงค์เรื่องตั้งสภาการช่างนี้ ทั้งนักยุทธศาสตร์ที่ทำความเข้าใจและคำนึงถึงพื้นฐาน
ก็คือจะให้นายช่างทั้งหลาย ได้รับความรู้สึกถึงความผิด นโยบายแห่งรัฐ ทรงเป็นนักยุทธวิธีที่ไม่ยอมจำนนต่อข้อ


๓๕ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ บ.๒/๒๕ หนังสือที่ขนมาจากวังบูรพาฯ “แผนกเกี่ยวด้วยราชการทหารเรือ” (ปึก ๒) แผ่น ๑๖๗ – ๑๗๒.
๓๖ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ บ.๒/๒๕. แผ่น ๑๗๓ – ๑๗๕.


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 41

จำกัดทางนโยบายหรือปัญหาจากกรอบงบประมาณ วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖๕ แม้จะพัวพันมาแต่แนว
พระกรณียกิจหลายอย่างเมื่อพินิจพิจารณาแล้วจึง พระดำริและความพยายามในการแก้ไขปัญหาการ
สังเกตเห็นทิศทางแห่งแนวพระดำริที่เคลื่อนไปในทาง ปกครองและการบริหารกระทรวงทหารเรือก็ตาม แต่มี
เดียวกันกับพระดำริใน “ยุทธศาสตร์ทะเล” และดู ข้อความตอนหนึ่งซึ่งบันทึกไว้ในรายงานการประชุมครั้ง

เหมือนว่าจะเคลื่อนไปโดยวิธีการของราชนาวิกสภา นั้นแสดงให้เห็นเบื้องลึกแห่งน้ำพระทัยที่แท้จริงของ
นั่นคือ ใช้การบริหารปกครองทหารเรือโดยใช้รูปแบบ พระองค์ ดังพระดำรัสว่า
“สภา” ได้แก่ สภาบัญชาการทหารเรือ สภาการช่าง “ผลที่สุดก็คือ ถานะเครื่องประกอบกองทัพ
ทหารเรือ และสภาธุระการทหารเรือ จัดเป็นเอกลักษณ์ เรือใหญ่โตจนบังตัวกองทัพเรือมิดมืดหายไปหมด ถ้า
แห่งพระกรณียกิจเมื่อทรงดำรงแหน่งเสนาธิการทหาร ปล่อยให้เปนไปเช่นนี้ต่อไปทัพเรือก็จะสูญหายไปเหลือ
เรือ เป็นการนำการประชุมรูปแบบ “สภา” เป็นที่ระดม แต่กระทรวง เปนที่หากินของผู้รับพระราชทานเงิน
ความคิดเห็นโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างกันโดยยศ เดือนซึ่งเปนเลือดเนื้อของราษฎร แต่ไม่ให้ประโยชน์
ตำแหน่งหรือสายการบังคับบัญชาซึ่งกระทำขึ้นในสมัย อย่างไรเลย เท่ากับเกณฑ์ให้ชาติเลี้ยงคนจำพวกหนึ่งซึ่ง
แห่งราชาธิปไตย นับเป็นสิ่งที่ยากที่จะพบว่าเกิดขึ้นใน ไม่ทำประโยชน์หรือประกอบประโยชน์ให้แทนคุณ

หน่วยราชการทหารที่อื่นใด ที่เลี้ยงดูนั้นเลย เปนการลดกำลังของชาติโดยตรง
พระดำรัสที่บันทึกไว้ในรายงานการประชุม ถึงเวลาจำเปนแล้วต้องแก้ไข จึงต้องเปลี่ยนหลัก
สภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือครั้งที่ ๑๘/๒๔๖๕ ใน ดำเนิร...” ๓๗



๓๗ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. แฟ้มที่ ร.๖ บ.๒/๒๕. แผ่น ๒๔๙.



42 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร :

ราชนาวิกสภาและเสนาธิการทหารเรือ



“ราชนาวีตั้งไว้ไม่ใช่สำหรับอื่น สำหรับต่อสู้ราชสัตรูให้เปนผลสำเร็จ
ถึงแม้ว่าจะมีสาตราวุธมากและเรือมาก ฯลฯ แลวิเศษอย่างใด
บุคคลนั่นแหละเปนข้อสำคัญที่จะนำไชยชนะมาได้”
ยุทธศาสตร์, นายพลเรือโท พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร
เสนาธิการทหารเรือและเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ


































เรือมหาจักรี


เช้าวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๐ บนเรือพระที่นั่ง เมื่อถึงเวลาเที่ยงเศษพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
มหาจักรีซึ่งผูกเชือกเทียบอยู่ ณ ท่าราชวรดิฐ มีผู้คน เจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องเต็มยศอย่างจอมพลทหารบก
หลายร้อยคนอยู่ในเรือลำนี้ พวกเขาล้วนรอคอยเวลา เสด็จขึ้นทรงพระราชยานทองคำลงยาราชาวดี
สำคัญซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นครั้งแรกของประเทศสยาม ที่เบื้องหน้าพระทวารกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
รวมทั้งอาจเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกในชีวิตของผู้คนบน เสด็จพระราชดำเนินมาประทับพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย

เรือในวันนั้นด้วย เพราะเหตุว่า พระบาทสมเด็จ เจ้านายเชื้อพระวงศ์ ข้าราชการ อุปทูต กงสุลและผู้แทน
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กำลังจะเสด็จประทับเรือ ต่างประเทศตามตำแหน่งต่างรอฟังพระราชดำรัส
พระที่นั่งลำนี้ เพื่อเสด็จพระราชดำเนินไปยังแผ่นดิน พร้อมส่งเสด็จ ต่อจากนั้นพระองค์จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่ง
ที่อยู่ห่างออกไปไกลโพ้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศในทวีปยุโรป



นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 43

44 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙

ทันทีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จประทับเรือพระที่นั่งมหาจักรี ทหารเรือชักธง

มหาราชขึ้น ณ เสาท้ายเรือเป็นสัญญาณ กรมทหารบก
ยิงปืนใหญ่ถวายคำนับ ๒๑ นัด กรมทหารเรือยิงปืนใหญ่
ในเรือมกุฎราชกุมารถวาย ๒๑ นัด เรือพระที่นั่ง
มหาจักรี เคลื่อนออกจากท่าขึ้นไปในลำน้ำเจ้าพระยา
เพื่อกลับลำเรือหน้าวัดเทวราชกุญชร กองทหารเรือเป่า
แตรสรรเสริญพระบารมี พระบาทสมเด็จพระจุลจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภา

ผ่องศรีพระบรมราชินีนาถ รวมทั้งเจ้านายเชื้อพระวงศ์
และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตามไปส่งเสด็จ ณ หน้าป้อม
ผีเสื้อสมุทร เมืองสมุทรปราการ
การเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนี้มีพระราชโอรส
๔ พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า
สมมติวงษ์วโรทัย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ายุคล
ทิฆัมพร พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ตามเสด็จไป
เล่าเรียน ณ ประเทศในทวีปยุโรป


กรีนิช

พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า (Crooms Hill) ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของสวน
เจ้าอยู่หัว ทั้ง ๔ พระองค์ เมื่อเดินทางไปถึงกรุงลอนดอน สาธารณะกรีนิช (Royal Greenwich Park) และ
ประเทศอังกฤษก็เริ่มเตรียมพระองค์สมทบกับ พระเจ้าพี่ วิทยาลัยการทัพเรืออังกฤษ (The Royal Naval
พระเจ้าน้อง พระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จ College Greenwich) ปัจจุบันบริเวณที่ตั้งของ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จประทับศึกษา โรงเรียนน่าจะเป็นส่วนหนึ่ง บ้านเลขที่ ๕ ถนนคิงยอร์ช

ในยุโรปอยู่ก่อนแล้ว จนถึงเวลาสมควรจึงแยกย้าย โรงเรียนเดอะไลม์เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ขึ้นชื่อสำหรับ
ไปเรียนวิชายังสำนักวิชาแต่ละพระองค์ กุลบุตรชาวอังกฤษซึ่งประสงค์จะเป็นนายทหารเรือ
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ นิยมเข้าศึกษาเตรียมความพร้อมทางวิชาการ ร่างกาย
เสด็จไปยังโรงเรียนเดอะไลม์ The Limes ซึ่งมีครูฝึก ตามธรรมเนียมประเพณีทหารเรืออังกฤษ ให้สอบไล่
ทหารเรือเกษียณอายุแห่งราชนาวีอังกฤษ (Naval ได้เป็นนักเรียนโรงเรียนนายเรือบริตานเนีย (H.M.S.
Instructor, R.N. – retired.) วิลเลี่ยม ทอมัส Britannia) หรือสอบไล่เป็นนักเรียนทำการนายเรือ
ลิตเติลจอห์น (Mr. William Thomas Littlejohns – (Midshipman) มีสิทธิฝึกงานในเรือรบแห่งราชนาวี
W. T. Littlejohns) เป็นครูใหญ่ (Principal) อังกฤษ
ที่ตั้งของโรงเรียนเดอะไลม์ อยู่ใกล้สามแยก ณ โรงเรียนเดอะไลม์ แห่งนี้คือ สถานที่ซึ่งพระเจ้า

ถนนคิงยอร์ช (King George St.) ตัดกับถนนครูมฮิลล์ พี่ยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ได้เสด็จ



นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ 45

มาประทับ พำนักศึกษาเตรียมพระองค์เพื่อสอบเข้าเรียน

วิชาทหารเรือในราชนาวีอังกฤษ ทรงสอบไล่ได้ (Pass
through Examination) เมื่อเดือนกรกฎาคม
พ.ศ.๒๔๔๐ (July 1897) ทรงมีคำแนนสอบไล่
เป็นลำดับที่ ๔ ของผู้สอบไล่ได้จากโรงเรียนเดอะไลม์
ทรงสอบได้คะแนนดีเด่นทุกวิชา มีสิทธิเป็นนักเรียน
ทำการนายเรือ (Midshipman) ฝึกทำการในเรือรบ
แห่งราชนาวีอังกฤษ

พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ
เสด็จมาเตรียมพระองค์ ณ โรงเรียนแห่งนี้เช่นกัน
ทรงสอบไล่เป็นนักเรียนนายเรือบริตานเนีย ซึ่งตั้งอยู่ที่
เมื่องดาร์ทมัธ (Dartmouth) สำเร็จการศึกษาวิชาการเรือ
ชั้นเอก วิชาเดินเรือนำร่องชั้นโท วิชาคำนวณเลขต่าง ๆ
ชั้นตรี ได้เป็นนักเรียนทำการนายเรือ (Midshipman)
ทรงฝึกทำการบนเรือ H.M.S. Implacable แล้วจึงเข้า
ศึกษาวิทยาลัยการทัพเรือ กรีนิช (The Royal Naval
College Greenwich) ศึกษาวิชาการปืนใหญ่
กรมหลวงสิงห กรมหลวงชุมพร ที่โรงเรียน H.M.S. Excellent และศึกษาวิชาการ



































เรือ Implacable


46 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๙ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙


Click to View FlipBook Version