ู
ื
“...เม่อเรามีความรัก ความปรารถนาดี มีสติปัญญา และเหตุผล มีความร้จักความพอเหมาะ
ู
ู
้
้
ึ
ี
ึ
ั
ึ
ำ
พอเพียง มีความอดทน พากเพียร รเหตุผล รวิธีการแก้ปญหา ซ่งจะนาพาซ่งความสุขท่เกิดข้นในตน
และนาไปสความสขตอครอบครัว ตอสงคม และประเทศชาต ทาใหเราสามารถแก้ไขปญหา
่
ำ
ำ
ิ
้
่
ุ
ั
ั
่
ู
และฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ท่เกิดข้น ให้ผ่านไปได้ด้วยดี ทาให้ชาติบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า
ำ
ึ
ี
และมั่นคงได้...”
พระราชดำารัส
พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๒
วันจันทร์ ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑
นาวิกศาสตร์ นิตยสารของกองทัพเรือ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่วิชาการและข่าวสารทหารเรือทั้งในและนอกประเทศ
ตลอดจนวิทยาการอื่น ๆ ทั่วไปและเป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ของกองทัพเรือ
สารบัญ ๗
บทความ
๗ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ยอดนาวิกโยธินไทย
พลโท รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์
๒๐ พิธีเจิมเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
กองเรือฟริเกตที่ ๑ กองเรือยุทธการ
๒๘ ผลการศึกษาแนวทางการใช้กำาลังทางเรือตามโครงการ
เสริมสร้างกำาลังทางเรือ ร.ศ.๑๒๙ ของกรมหลวงชุมพรฯ
และเอกสารความเห็นเกี่ยวกับเรือ ส. ของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร
อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
เพื่อการปรับปรุงแผนป้องกันประเทศทางทะเลของกองทัพเรือ ๒๐
(ตอนจบ)
นาวาเอก พิสุทธิ์ศักดิ์ ศรีชุมพล
๓๗ รากฐานความคิดทางการเมืองระหว่างประเทศของกองทัพเรือ
สมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ : ทฤษฎีสัจนิยมและเสรีนิยม (ตอนจบ)
นาวาเอก หัสไชยญ์ มั่งคั่ง
๔๖ ทหารเรือไทยในน่านน้ำามังกรจีน (ตอนจบ)
ผึ้งบ้าน ๔๒๑
๕๖ “เอกลักษณ์ทหารเรือ : ชุดกะลาสี”
นาวาโท ฐิติ ภาษี
ปกหน้าและปกหลัง พิธีอัญเชิญพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ขึ้นจากเรือ ณ ท่าเทียบเรือ หอประชุมกองทัพเรือ
พิมพ์ที่ กองโรงพิมพ์ กรมสารบรรณทหารเรือ
เจ้าของ ราชนาวิกสภา
์
ผู้พิมพ นาวาเอก สมริทธ์ งามสวย
ข้อคิดเห็นในบทความที่นำาลงนิตยสารนาวิกศาสตร์เป็นของผู้เขียน มิใช่ข้อคิดเห็นหรือนโยบายของหน่วยงานใดของรัฐและมิได้ผูกพันต่อทางราชการแต่อย่างใด
ได้นำาเสนอไปตามที่ผู้เขียนให้ความคิดเห็นเท่านั้น การกล่าวถึงคำาสั่ง กฎ ระเบียบ เป็นเพียงข่าวสารเบื้องต้น เพื่อประโยชน์แก่การค้นคว้า
คลังความรู้
คู่ราชนาวี
นายกกรรมการราชนาวิกสภา
พลเรือโท เคารพ แหลมคม
รองนายกกรรมการราชนาวิกสภา
นาวิกศาสตร์ นิตยสารของกองทัพเรือ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่วิชาการและข่าวสารทหารเรือทั้งในและนอกประเทศ ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ประจำ�เดือน ธันว�คม ๒๕๖๒ พลเรือตรี พีระ อดุลยาศักดิ์
ตลอดจนวิทยาการอื่น ๆ ทั่วไปและเป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ของกองทัพเรือ กรรมการราชนาวิกสภา
พลเรือตรี วรพล ทองปรีชา
๕๖ พลเรือตรี ธนรักษ์ เอี่ยวสานุรักษ์
พลเรือตรี ก้องเกียรติ สัจวุฒิ
พลเรือตรี สุพพัต ยุทธวงศ์
พลเรือตรี กิตติคุณ นาคสุก
พลเรือตรี กตัญญู ศรีตังนันท์
พลเรือตรี ธีระยุทธ นอบน้อม
พลเรือตรี ทวี ทองประยูร
พลเรือตรี เอกสิทธิ์ รอดอยู่
พลเรือตรี กิตติศักดิ์ บุณย์เพิ่ม
พลเรือตรี สนทยา แสงบางมุด
พลเรือตรี ไชยา ภาตะนันท์
กรรมการและเลขานุการราชนาวิกสภา
นาวาเอก ณฐพัฒน์ ซื่อมงคล
คอลัมน์ประจำา เหรัญญิกราชนาวิกสภา
เรือเอก สุขกิจ พลัง
ที่ปรึกษาราชนาวิกสภา
๓ พลเรือโท สุพจน์ ภู่ระหงษ์
พลเรือโท ชนินทร์ ผดุงเกียรติ
ี
ื
พลเรอตร อำานวย ทองรอด
ี
พลเรอตร บัญชา บัวรอด
ื
ื
พลเรอตรี สิทธิชัย ต่างใจ
บรรณาธิการ
นาวาเอก ณฐพัฒน์ ซื่อมงคล
๖๗ ผู้ช่วยบรรณาธิการ
ว่าที่ นาวาเอกหญิง วรนันท์ สุริยกุล ณ อยุธยา
ประจำากองบรรณาธิการ
นาวาเอก วชิรพร วงศ์นครสว่าง
ปกหน้าและปกหลัง พิธีอัญเชิญพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นาวาเอก สมริทธ์ งามสวย
ขึ้นจากเรือ ณ ท่าเทียบเรือ หอประชุมกองทัพเรือ นาวาเอก สุวิทย์ จันทร์เพ็ญศรี
นาวาเอก ธาตรี ฟักศรีเมือง
พิมพ์ที่ กองโรงพิมพ์ กรมสารบรรณทหารเรือ นาวาเอก บุญมี กาโน
นาวาเอกหญิง แจ่มใส พันทวี
เจ้าของ ราชนาวิกสภา ๘๓ นาวาโทหญิง ศรุดา พันธุ์ศรี
ผู้พิมพ นาวาเอก สมริทธ์ งามสวย ๘๖ นาวาโทหญิง อรณัฐ โพธิ์ตาด
์
เรือเอก เกื้อกูล หาดแก้ว
๘๘ เรือโทหญิง สุธิญา พูนเอียด
เรือโท อัศฐวรรศ ปั่นจั่น
เรือโทหญิง อภิธันย์ แก่นเสน
สำานักงานราชนาวิกสภา
ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย
กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร. ๐ ๒๔๗๕ ๓๐๗๒
๐ ๒๔๗๕ ๔๙๙๘
บรรณาธิการ แถลง
นาวาเอก ณฐพัฒน์ ซื่อมงคล
[email protected]
ิ
ั
ี
่
้
ั
�
ี
ี
ั
ื
ั
์
ั
็
ั
่
่
ุ
ิ
่
ี
ั
ั
สวสดครบสมาชกทรกทกทาน นาวกศาสตรฉบบเดอนธนวาคม ๒๕๖๒ น เปนฉบบสงทายปพทธศกราช ๒๕๖๒ ทกาลง
ี
้
ุ
ี
ั
ั
ี
จะผ่านพ้นไป และก้าวสู่ปีใหม่ท่จะเข้ามา เปรียบดังเช่นนาวิกศาสตร์ของเราท่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดย้ง ท้งเน้อหาสาระ และ
ื
ื
ื
บทความต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์หลักของราชนาวิกสภาท่ได้สืบสานต่อเน่องกันมา เพ่อให้บทความต่าง ๆ ในนาวิกศาสตร์
ี
มีความน่าอ่าน น่าสนใจ และน่าติดตาม ท�าให้ผู้อ่านได้ทั้งความรู้ และความเพลิดเพลินอีกด้วย
นิตยสารนาวิกศาสตร์ฉบับเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ น้ มีบทความพิเศษ ท่เขียนโดยกองเรือฟริเกตที่ ๑ กองเรือยุทธการ
ี
ี
ั
ี
ี
ิ
เขียนถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของกองทพเรือ ท่ต้องจารกไว้ว่า กองทพเรือได้รับพระมหากรุณาธคุณอย่างหาท่สุดมิได้
ึ
ั
่
�
ี
ในวโรกาสทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดาเนินมาเป็นองค์ประธาน
ประกอบพิธีเจิมเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เรือฟริเกตสมรรถนะสูงลาใหม่ของกองทัพเรือ ณ ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ
�
ื
ุ
ี
�
ี
ี
ิ
ุ
่
่
ั
ี
ั
ื
ั
ี
�
ู
ั
ั
ื
ั
ฐานทพเรอสัตหบ อาเภอสตหบ จงหวดชลบร เมอวนท ๑๖ ตุลาคม พทธศกราช ๒๕๖๒ นาความปลาบปล้มปต และภาคภมใจ
ิ
อย่างสูงสุดแก่กองทัพเรือ และก�าลังพลประจ�าเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช ทุกนาย
ี
ื
�
เน่องด้วยเดือนธันวาคมเป็นเดือนท่มีความสาคัญ มีความหมายต่อคนไทยทุกคน คือ ในวันท่ ๒๘ ธันวาคมของทุกปี
ี
�
กาหนดให้เป็นวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กองบรรณาธิการนิตยสารนาวิกศาสตร์มีความภาคภูมิใจ
�
นาเสนอบทความ เร่อง “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ยอดนาวิกโยธินไทย” มาให้ท่านสมาชิกได้อ่านกัน
ื
ิ
ี
ี
บทความน้เขียนโดย พลโท รวมศักด์ ไชยโกมินทร์ และเคยลงพิมพ์ในนาวิกศาสตร์ ฉบับเดือนธันวาคม ๒๕๓๖ บทความน้เขียนถึง
�
�
้
พระปรีชาสามารถของพระองค์ว่า ทรงเป็นยอดนักรบไทย ทรงทาการรบได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการรบทางบก ทางลานา
�
ี
และการรบแบบนาวิกโยธิน สมดังท่เหล่าทหารหาญขานพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ยอดนาวิกโยธินไทย”
นอกจากน้ นิตยสารนาวิกศาสตร์ฉบับธันวาคม ๒๕๖๒ ยังมีบทความท่น่าติดตามอีกจานวนมาก หลายเร่องเป็นบทความท ี ่
�
ื
ี
ี
ี
ื
ั
ี
ึ
เป็นตอนจบต่อเน่องจากบทความท่ผู้อ่านได้ติดตามมาต้งแต่ตอนท่ ๑ ซ่งในฉบับน้เสนอเป็นตอนจบครับ ได้แก่ “ผลการศึกษา
ี
แนวทางการใช้ก�าลังทางเรือตามโครงการเสริมสร้างก�าลังทางเรือ ร.ศ.๑๒๙ ของกรมหลวงชุมพรฯ และเอกสาร
ี
ความเห็นเก่ยวกับเรือ ส. ของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เพ่อการปรับปรุง
ื
แผนป้องกันประเทศทางทะเลของกองทัพเรือ” “รากฐานความคิดทางการเมืองระหว่างประเทศของกองทัพเรือ
สมัยใหม่ และหลังสมัยใหม่ : ทฤษฎีสัจนิยม และเสรีนิยม” “ทหารเรือไทยในน่านน�้ามังกรจีน” และปิดท้ายด้วย
บทความ เรื่อง “เอกลักษณ์ทหารเรือ : ชุดกะลาสี”
�
ี
ในโอกาสท่ปีเก่า ๒๕๖๒ กาลังจะผ่านพ้นไป และปีใหม่ ๒๕๖๓ จะก้าวเข้ามา กองบรรณาธิการนิตยสารนาวิกศาสตร์
ิ
ิ
ี
ั
ิ
ิ
ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และส่งศักด์สิทธ์ท้งหลายท่ท่านเคารพนับถือ ดวงพระวิญญาณอันศักด์สิทธ์ของสมเด็จพระเจ้า
ิ
ิ
ี
ตากสินมหาราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหัว และพลเรือเอก พระเจาบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกยรตวงศ์
ู่
้
ั
ิ
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด์ อีกท้งเดชะพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน ี
ได้โปรดดลบันดาลพระราชทานพรให้สมาชิกทุกท่าน และครอบครัว ประสบแต่ความสุข ความเจริญ สมหวังในส่งท่พึงปรารถนา
ิ
ี
ทุกประการ
พบกันใหม่ปีหน้า ฉบับเดือนมกราคม ๒๕๖๓ ครับ
“คนเราทาผิดกันได้ แต่ต้องไม่เกิดจากการประพฤติทุจริต
�
และต้องพยายามหลีกเลี่ยงความเขลา”
ข้อคิด คติเตือนใจ ของ ผู้บัญชาการทหารเรือ
กองบรรณาธิการ
ปกหน้าและปกหลัง : พิธีอัญเชิญพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ขึ้นจากเรือ
ณ ท่าเทียบเรือ หอประชุมกองทัพเรือ
ี
เนื่องในวันท ๒๘ ธันวาคมของทุกปี นับเป็น อัญเชิญพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
่
�
ื
วันสาคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยเน่องจากเป็น ไปประดิษฐานยังวงเวียนใหญ่ เป็นเส้นทางสุดท้ายของ
ิ
ื
่
ั
วนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กองบรรณาธการ โครงการ เพอให้ประชาชนได้สกการะก่อนอญเชญไป
ิ
ั
ั
ึ
ี
�
ี
นิตยสารนาวิกศาสตร์ ได้นาภาพพิธีอัญเชิญพระบรมรูป ยังพระราชวังเดิมกรุงธนบุร ซ่งพระองค์ทรงใช้สถานท่น ี ้
ี
ั
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในโครงการ ๒๕๐ ปี เป็นท่ต้งพระราชวังก่อนจะกลับมาสถาปนากรุงธนบุร ี
ี
ี
ุ
ตามรอยกองเรือยกพลขึ้นบกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ศรมหาสมุทรเป็นราชธาน ณ พระราชวังเดมกรงธนบุร ี
ิ
ึ
จากจันทบุรีสู่อยุธยา ข้นเป็นปกนิตยสารนาวิกศาสตร์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการกองทัพเรือ
เพ่อร่วมราลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้า โครงการตามรอยกองเรือยกพลข้นบกฯ ได้อัญเชิญ
ื
ึ
�
กรุงธนบุรีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ “พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” ที่ประดิษฐาน
ต่ออาณาประชาราษฎร์ และชาติบ้านเมืองเป็นอเนกประการ ณ พิพิธภัณฑ์ทหารนาวิกโยธิน อ�าเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
ื
เม่อปี พ.ศ. ๒๕๖๑ กองทัพเรือจัดโครงการ ๒๕๐ ปี ตามรอย เดินทางโดยรถยนต์ ระยะทาง ๒๓๕ กิโลเมตร ไปยังอู่ต่อเรือ
ี
ึ
กองเรือยกพลข้นบก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บ้านเสม็ดงาม จังหวัดจันทบุร ท่เป็นจุดเร่มต้นในการยาตราทัพ
ี
ิ
ื
จากจันทบุรีสู่อยุธยา เพ่อเป็นการน้อมระลึกถึง ของสมเด็จพระเจ้าตากสินในการกู้เอกราช โดยอัญเชิญ
ึ
ี
ในการท่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงใช้ยุทธวิธ ี พระบรมรูปลงเรือหลวงอ่างทอง เรือยกพลข้นบกขนาดใหญ่
�
ในการยกทัพที่อาศัยเส้นทางทะเลและแม่น�้า ทรงน�าทัพเรือ ร่วมกับ เรือระบายพล และเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง นายาตราทัพ
มากู้ชาติได้สาเร็จ และเป็นกิจกรรมท่ปลุกจิตสานึกให้ ทางทะเลในเส้นทางจังหวัดจันทบุร ระยอง ชลบุร ฉะเชิงเทรา
ี
ี
ี
�
�
คนไทยเกิดความรักชาต โดยจาลองการเคล่อนทัพทางนา สมุทรปราการ กรุงเทพฯ นนทบุร ปทุมธาน และพระนครศรีอยุธยา
ิ
ี
้
�
�
ี
ื
ในเส้นทางประวัติศาสตร์ มายังหอประชุมกองทัพเรือ และ
นาวิกศาสตร์ 4
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
เรือตรีหญิง เบญจรัตน์ ดีกระจ่าง
ู
การเสด็จเลียบพระนครของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอย่หัว
�
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดาเนินโดย
�
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดาเนิน กระบวนพยุหยาตราสถลมารคเลียบพระนคร
ั
ี
จากพลับพลาเปลื้องเคร่อง ประทับพระท่น่งราชยานพุดตานทอง
ื
หน้าวัดบวรนิเวศวิหาร ในกระบวนเสด็จพยุหยาตราสถลมารค
เลียบพระนคร ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช วันที่ ๓ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๔๕๔
่
ื
เม่อวันท ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จ
ี
้
ี
็
่
ู
ั
พระมงกุฎเกล้าเจาอย่หัว รชกาลท ๖ เสดจฯ เลียบพระนคร
ึ
ี
ชลมารคตามพระราชประเพณ นับเป็นส่วนหน่งใน
ื
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพ่อให้ราษฎรได้เข้าเฝ้า ตาม เรือพระท่นงศรสุพรรณหงส์ เรือพระท่นงลาทรง โดยกระบวน
่
ี
ั
่
�
ั
ี
ี
พระราชประเพณีเดิมน้นสันนิษฐานว่าจะเสด็จฯ เลียบ พยุหยาตราชลมารคเลียบพระนคร ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ั
ถึงเมืองท่รายรอบมณฑลราชธาน เสด็จฯ โดยทางบกบ้าง สมโภช วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๔
ี
ี
ทางเรือบ้าง ประทับรอนแรมเป็นระยะเวลานานหลายวัน
ี
จนกว่าจะรอบมณฑลราชธาน คร้นต่อมาเห็นว่าเป็น
ั
�
การยากลาบาก จึงร่นระยะทางมาเสด็จฯ เลียบพระนคร
�
ี
ราชธาน และย่อลงมาเพียงเสด็จฯ เลียบรอบกาแพง
พระนคร ส่วนสถลมารคเป็นแต่แห่เสด็จฯ รอบบริเวณ
พระราชวัง การเสด็จฯ เลียบพระนครชลมารคน้น
ั
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นก่อนหน้ารัชกาลท ๖
่
ี
�
มีเพียง ๒ ครั้ง เท่านั้น คือ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ และ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดาเนิน
ึ
โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคเลียบพระนคร เสด็จข้นท่าฉนวน
รัชกาลที่ ๔ วัดอรุณราชวราราม
นาวิกศาสตร์ 5
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
๕ ธันวาคม วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระมหากรุณาธิคุณจารึกในใจไทยชั่วกาล
ข้าพระพุทธเจ้า คณะกรรมการราชนาวิกสภา
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ยอดนาวิกโยธินไทย
ี
�
ี
ื
ธันวาคมเป็นเดือนท่มีความสาคัญ และมความหมาย บทความ เร่อง “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ุ
ื
ี
่
ต่อคนไทยทกคน กล่าวคอในวันท ๒๘ ธันวาคมของทุกปี ยอดนาวิกโยธินไทย” เคยลงพิมพ์ในนิตยสารนาวิกศาสตร์
กาหนดให้เป็นวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ฉบับเดือนธันวาคม ๒๕๓๖ บทความน พลโท รวมศักด์ฯ
ิ
�
้
ี
กองบรรณาธิการนิตยสารนาวิกศาสตร์มีความภาคภูมิใจ ได้จรดปลายปากกาต้งใจถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ
ั
ื
�
ื
นาเสนอบทความ เร่อง “สมเด็จพระเจ้าตากสิน เพ่อเทิดพระเกียรต สดุดีในพระปรีชาสามารถของ
ิ
มหาราช ยอดนาวิกโยธินไทย” มาให้ท่านสมาชิก สมเดจพระเจ้าตากสินมหาราชว่า ทรงเป็นยอดนักรบไทย
็
์
�
ิ
ี
ได้อ่านกัน บทความน้เขียนโดย พลโท รวมศักด ไชยโกมินทร์ ทรงทาการรบได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการรบทางบก
�
่
ี
�
้
อดีตแม่ทัพภาคท ๓ ทปรึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ ทางลานา และการรบแบบนาวิกโยธิน สมดังท ่ ี
่
ี
่
ั
ของกองทพบกท่านเป็นผู้เช่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ เหล่าทหารหาญขานพระนามวา “สมเด็จพระเจ้าตากสิน
ี
การศึกสงครามไทย จนได้รับฉายา “นายพลนักประวัติศาสตร์” มหาราช ยอดนาวิกโยธินไทย”
และได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากกรมส่งเสริม ในโอกาสน้ขอเชิญทุกท่านได้อ่านบทความทาง
ี
วัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่น ประวัติศาสตร์ เร่อง “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ื
ทางวัฒนธรรม สาขามนุษยศาสตร์ (ประวัติศาสตร์) ยอดนาวิกโยธินไทย” กันเลยครับ
เมื่อปี ๒๕๓๑
นาวิกศาสตร์ 7
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
นาวิกศาสตร์ 8
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
นาวิกศาสตร์ 9
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
นาวิกศาสตร์ 10
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
นาวิกศาสตร์ 11
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
นาวิกศาสตร์ 12
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
นาวิกศาสตร์ 13
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
นาวิกศาสตร์ 14
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
นาวิกศาสตร์ 15
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
นาวิกศาสตร์ 16
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
นาวิกศาสตร์ 17
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
นาวิกศาสตร์ 18
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
นาวิกศาสตร์ 19
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
พิธีเจิมเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
กองเรือฟริเกตที่ ๑ กองเรือยุทธการ
ึ
้
ื
่
ี
่
ี
ิ
ี
ิ
วันพุธท ๑๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๒ เวลา ๑๘๐๐ ปฏบตราชการต่อไป โดยพธเจมเรอได้เรมมขนเป็น
ิ
ั
ิ
ิ
�
ั
ึ
เป็นอีกหน่งวันสาคัญในประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือ คร้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
่
ท่จะต้องจารึกไว้ เม่อกองทัพเรือได้รับพระมหากรุณาธิคุณ เจ้าอยู่หัว รัชกาลท ๕ โดยในปีพุทธศักราช ๒๔๓๕
ื
ี
ี
ี
อย่างหาท่สุดมิได้จาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน เสด็จพระราชดาเนิน โปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระยาดารงราชานุภาพ
�
�
ี
ื
มาเป็นองค์ประธานประกอบพิธีเจิมเรือหลวงภูมิพล เม่อยังทรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
อดุลยเดช เรือฟริเกตสมรรถนะสูงลาใหม่ของกองทัพเรือ กรมหมื่นฯ กับพระยาชลยุทธโยธินทร์ (เดริชลิว) เสด็จฯ
�
ณ ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ ยุโรป และให้ส่งเรือกลไฟขนาดใหญ่เข้ามาเป็นเรือ
ึ
่
ื
ี
ั
่
ื
อ�าเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี น�าความปลื้มปีติยินดี และ พระท่น่ง ๑ ลา ซงพระราชทานชอว่า “เรอพระท่น่ง
ี
�
ั
ื
�
ความภาคภูมิใจอย่างสูงสุดมาสู่กองทัพเรือ และกาลังพล มหาจักรี” และเรือลาน้นเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ เม่อวันท ี ่
ั
�
ประจ�าเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชทุกนาย ๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๓๕ เทียบท่าราชวรดิฐ ซึ่งพระบาท
การประกอบพิธีเจิมเรือของกองทัพเรือ มีประวัต ิ สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา
ื
ความเป็นมายาวนาน มีความมุ่งหมายเพ่อให้เกิดความ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีพีธีเจิมเรือ พระราชทาน
เป็นสิริมงคลแก่เรือท่ได้รับมาใหม่ หรือกลับมาจากการไป ขึ้นระวางเป็นเรือพระที่นั่ง และมอบให้กระทรวงทหารเรือ
ี
ปฏิบัติราชการสงครามในต่างประเทศเป็นระยะเวลานาน ในสมัยนั้น และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาในทุกรัชกาลจะมี
�
�
เป็นการสร้างขวัญและกาลังใจแก่กาลังพลของเรือในการ พิธีเจิมเรือรบแห่งราชนาวีสืบต่อกันมาได้แก่ ในรัชสมัย
นาวิกศาสตร์ 20
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ู
ุ
็
ั
ี
่
ั
พระบาทสมเดจพระมงกฎเกล้าเจ้าอย่หว รชกาลท ๖ ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ทรงเจิมเรือพิฆาตตอร์ปิโดเสือค�ารณสินธุ์ เรือตอร์ปิโด ๔ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต พระบรมราชินีนาถ
ิ
์
่
ั
ี
ื
่
ั
่
ี
�
เรอหลวงพระร่วง และเรอพระทนงมหาจกร (ลาท ๒) พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจิมเรือ ต.๙๙ ในวันที่
ี
ื
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท ๗ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
่
ี
ิ
ื
ทรงเจมเรอหลวงรตนโกสนทร์ (ลาแรก) และเรอหลวง โปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ
�
ื
ั
ิ
ื
ุ
่
�
ุ
ิ
ั
สุโขทัย (ลาแรก) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สยามมกฎราชกมาร เมอครงทยงทรงพระอสรยยศ
ิ
ี
้
ั
่
�
ั
อานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์ ในขณะน้น เสด็จพระราชดาเนินแทนพระองค์ ทรงเจิม
เจิมเรือหลวงศรีอยุธยา เรือหลวงธนบุร เรือหลวงมัจฉาณ ุ เรือหลวงเจ้าพระยา เรือหลวงบางปะกง เรือหลวงสายบุร ี
ี
ื
เรือหลวงวิรุณ เรือหลวงสินสมุทร เรือหลวงพลายชุมพล และเรอหลวงกระบร ต่อมาเมอวนท ๙ กนยายน
่
ั
ี
่
ั
ี
ุ
ื
และเรือตอร์ปิโดใหญ่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรม พ.ศ.๒๕๔๐ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จ
รัชกาลที่ ๙ ผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์ เจิมเรือหลวง พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี
บางปะกง เรือหลวงประแส เรือหลวงโพสามต้น เรือหลวง พันปีหลวง เสด็จพระราชดาเนินทรงเจิม เรือหลวง
�
ท่าดินแดง เรือหลวงสารสินธ เรือหลวงทยานชล เรือหลวง จักรีนฤเบศร เรือหลวงนเรศวร เรือหลวงตากสิน และ
ุ
ั
ุ
�
คารณสินธ เรือหลวงกูด เรือหลวงไผ่ เรือหลวงสมุย เรือหลวงสิมิลัน นับเป็นพิธีเจิมเรือคร้งหลังสุดของ
เรือหลวงปราบ เรือหลวงสัตกูด และเรือหลวงมัตโพน และ กองทัพเรือ
ในวันท ๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๐ พระบาทสมเด็จพระบรม
่
ี
เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช หมายเลข ๔๗๑ ของกองทัพเรือ
นาวิกศาสตร์ 21
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กราบบังคมทูลถวายรายงาน
ื
ั
ี
่
ื
เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เรือฟริเกตสมรรถนะสูง ท่ม ี และการจดหาเรอทเหมาะสมให้กองทพเรอใช้เป็น
ี
ั
ิ
ึ
ขีดความสามารถในการรบทางเรือทุกมิต ซ่งกองทัพเรือ แนวทางในการปฏิบัติตลอดมา
ได้ว่าจ้างบริษัท Daewoo Shipbuilding & Marine การประกอบพิธีเจิมเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช ณ
Engineering หรือ DSME สาธารณรัฐเกาหล เป็นผู้ดาเนิน ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ
ี
�
�
ื
ี
ื
�
การสร้างเรือเพ่อนาเข้าประจาการตามแนวทางการ อาเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุร เม่อวันพุธท ๑๖ ตุลาคม
�
่
ี
พัฒนากาลังรบตามยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือรองรับ พ.ศ.๒๕๖๒ น้น มีเร่องราวท่น่าจดจาเป็นอย่างย่ง
ั
ื
ิ
�
�
ี
�
ี
ี
บทบาท และหน้าท่ของกองทัพเรือในด้านการป้องกัน ในโอกาสน้จึงขอนาข้อมูลในวันสาคัญดังกล่าวมาเผยแพร่
�
ื
ื
ประเทศ การรักษาผลประโยชน์ และเส้นทางคมนาคม เพ่อเป็นท้งเร่องราวอันทรงคุณค่า เป็นที่ระลึก และเป็น
ั
�
ึ
ิ
ิ
ของชาติทางทะเล อีกท้งยังเป็นการเพ่มขีดความสามารถ หลักฐานสาคัญช้นหน่งในประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือ
ั
ให้กองทัพเรือมีความทันสมัยทัดเทียมนานาประเทศ ดังนี้
�
ซ่งเรือลาน้ได้เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย เม่อวันท ี ่ เวลา ๑๖๓๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ
ี
ื
ึ
๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๒ ได้รับพระมหากรณาธคุณ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ประทับรถยนต์พระท่น่ง
ี
ิ
ุ
ั
ั
ื
จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานช่อว่า เสด็จออกจากพระท่น่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยัง
ี
“เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช” เพ่อเฉลิมพระเกียรติและ ท่าอากาศยานทหารดอนเมือง
ื
�
น้อมราลกในพระมหากรณาธิคณ ของพระบาทสมเดจ เวลา ๑๖๕๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ
ึ
ุ
ุ
็
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ถึงลานจอด
บรมนาถบพิตร ซ่งเปรียบเสมือนองค์บิดาของทหารเรือไทย เครื่องบินพระที่นั่ง ท่าอากาศยานทหารดอนเมือง
ึ
อีกพระองค์หนึ่ง ที่ได้พระราชทานแนวทางการสร้างเรือ
นาวิกศาสตร์ 22
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
พลเรือเอก ชุมศักดิ์ นาควิจิตร ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และภริยา ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตร
เวลา ๑๗๐๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ - พลเรือเอก ช่อฉัตร กระเทศ รองผู้บัญชาการ
ิ
็
้
ึ
ื
ื
ู
ั
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน ประทับเคร่องบิน ทหารเรอ กราบบงคมทลเชญเสดจขนแท่นรบการถวาย
ี
ั
พระทนั่ง เสดจออกจากท่าอากาศยานทหารดอนเมอง ความเคารพจากกองทหารเกียรติยศ
ื
ี
่
็
�
ไปยังกองการบินทหารเรือ สนามบินอู่ตะเภา อาเภอ เวลา ๑๗๔๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ึ
บ้านฉาง จังหวัดระยอง เสด็จข้นแท่นทรงรับการถวายความเคารพจากกองทหาร
เวลา ๑๗๓๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ เกียรติยศ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน เสด็จฯ ถึงกองการบิน เวลา ๑๗๔๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ
ี
ี
ทหารเรือ สนามบินอู่ตะเภา อาเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน ประทับรถยนต์
�
ี
ิ
ู
ื
ั
้
ื
ี
ี
- พลเรอตร ไพศาล มศร ผบญชาการกองเรอฟรเกต พระที่นั่ง เสด็จออกจากกองการบินทหารเรือ สนามบิน
ี
�
่
ท ๒ กองเรือยุทธการ นายทหารราชองครักษ์ กราบบังคมทูล อู่ตะเภา อาเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ไปยังพระอนุสาวรีย์
ถวายรายงาน พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากร
ิ
์
ิ
- นายสุรศักด เจริญศิริโชต ผู้ว่าราชการจังหวัด เกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ระยอง นางสาววิไล จิวังกูร อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๖ เวลา ๑๗๔๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ
ช่วยท�างานชั่วคราว ในต�าแหน่ง อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๒ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน เสด็จฯ ถึงพระอนุสาวรีย์
ี
พลเรือโท ชุตินธร ทัตตานนท์ รองผู้บัญชาการ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากร
กองเรือยุทธการ พลโท ธรรมนูญ วิถ แม่ทัพภาคท ๑ เกียรติวงศ์ฯ
่
ี
ี
ิ
ี
�
�
ึ
พลตารวจโท มนตร ย้มแย้ม ผู้บัญชาการตารวจภูธรภาค ๒ - เสด็จข้นลานพระอนุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้า
ี
พลเรือตร ระพีพงษ์ โสวรรณ ผู้บัญชาการกองการบิน บรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ฯ
ทหารเรือ กองเรือยุทธการ พร้อมข้าราชการ เฝ้าฯ รับเสด็จ
นาวิกศาสตร์ 23
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
�
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวางพุ่มดอกไม้ จังหวัดพัทยา พลเรือโท วราห์ แทนขา ผู้บัญชาการ
ี
�
ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายสักการะทรงกราบ ฐานทัพเรือสัตหีบ พลตารวจตร ประการ ประจง
ิ
็
ี
- สมเดจพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนี ทรงวาง ผู้บังคับการต�ารวจภูธรจังหวัดชลบุร พร้อมข้าราชการ
ุ
ื
พุ่มดอกไม้ทรงจดธูปเทียนเคร่องทองน้อยถวายสักการะ ทหารเรือ สมาคมภริยาทหารเรือ เฝ้าฯ รับเสด็จ
ทรงกราบ - พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ
- เสด็จลงจากลานพระอนุสาวรีย์ พลเรือเอก และนาวาเอกหญิง อุบลวรรณ รุดดิษฐ์ ภริยาผู้บัญชาการ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ฯ ทหารเรือ เฝ้าฯ รับเสด็จ
ไปยังรถยนต์พระที่นั่ง - พลเรือเอก ชุมศักด นาควิจิตร ผู้บัญชาการ
์
ิ
เวลา ๑๗๕๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ กองเรือยุทธการ และพันเอกหญิง กัลยกร นาควิจิตร
ี
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน ประทับรถยนต์ ภริยาผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เฝ้าฯ รับเสด็จ
ั
็
พระท่น่ง เสดจออกจากพระอนุสาวรีย์ พลเรือเอก - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ
ี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ฯ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จเข้าพลับพลาพิธี
ไปยังท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียน
ื
อ�าเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เคร่องนมัสการบูชาพระพุทธนวราชบพิตร ทรงกราบ
์
ั
เวลา ๑๘๐๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ประทบพระราชอาสนทรงศล (ประธานสงฆถวายศล จบ)
์
ี
ี
ี
์
ิ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน เสด็จฯ ถึงท่าเรือ - พลเรือเอก ชุมศักด นาควิจิตร ผู้บัญชาการ
จุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ (กองทหาร กองเรอยุทธการ ทลเกลาฯ ถวายสจบตรแด พระบาทสมเดจ
ิ
ู
ั
็
่
้
ู
ื
เกียรติยศถวายความเคารพ/วงดุริยางค์บรรเลงเพลง พระเจ้าอยู่หัว
สรรเสริญพระบารมี) - พันเอกหญิง กัลยกร นาควิจิตร ภริยาผู้บัญชาการ
- นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุร ี กองเรือยุทธการ ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตรแด่ สมเด็จ
นางสาวนภาวรรณ ขุนอักษร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
ก�าลังพลประจ�าเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช แถวรับเสด็จ
นาวิกศาสตร์ 24
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
- พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ - นาวาเอก สมิทนัท คุณวัฒน์ ผู้บังคับการเรือหลวง
ู
ั
�
ื
กราบบงคมทลรายงานความเป็นมาในการต่อเรอหลวง ภูมิพลอดุลยเดช กราบบังคมทูลถวายรายงาน ตามลาดับ
ภูมิพลอดุลยเดช และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ไปทรง - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ
ประกอบพิธีเจิมเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปยังบริเวณ
เวลา ๑๘๑๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ หัวเรือ เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
ี
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน เสด็จออกจาก - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระสุหร่าย
ื
ี
พลับพลาพิธี ไปยังเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจิมท่แผ่นป้ายช่อเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
ื
ั
ิ
ื
่
- เสด็จขึ้นเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช (นายยามใหญ่ แล้วทรงคล้องพวงมาลยบรเวณแผ่นป้ายชอเรอหลวง
ี
บอกแถวทหารถวายความเคารพ แตรเด่ยวเป่าถวาย ภูมิพลอดุลยเดช (ขณะนั้น พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา
ความเคารพ ๓ จบ) ชาวพนักงานลั่นฆ้องชัย ประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์)
- เสด็จขึ้นแท่นพิธี ทรงยืน ณ พระสุจหนี่ (ทรงผิน - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ
พระพักตร์ไปทางเรือหลวงปิ่นเกล้า ๑๐ นาฬิกา ของ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปทอดพระเนตร
ทิศหัวเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช) ภายในห้องศูนย์ยุทธการเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
- ทรงรับการถวายความเคารพจากเรือหลวงปิ่นเกล้า - นาวาเอก สมิทนัท คุณวัฒน์ ผู้บังคับการเรือหลวง
ยิงสลุตหลวงจ�านวน ๒๑ นัด/ใช้เวลา ๑ นาที ๒๔ วินาที ภูมิพลอดุลยเดช กราบบังคมทูลถวายการบรรยายภายใน
- นาวาเอก สมิทนัท คุณวัฒน์ ผู้บังคับการเรือหลวง ห้องศูนย์ยุทธการ เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
ภูมิพลอดุลยเดช กราบบังคมทูลเม่อยิงสลุตหลวงครบ - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ
ื
๒๑ นัด พระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน เสด็จออกจากห้องศูนย์
ี
ี
- พลเรือตร อนุพงษ์ ทะประสพ ผ้บญชาการ ยุทธการ ไปยังห้องโถงนายทหาร เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
ั
ู
กองเรือฟริเกตที่ ๑ กองเรือยุทธการ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จขึ้นแท่นพิธี บนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
โดยมีก�าลังพลเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช แถวรับเสด็จ
นาวิกศาสตร์ 25
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
เรือหลวงปิ่นเกล้ายิงสลุตหลวง ๒๑ นัด
ุ
ั
ิ
ื
ู
ิ
- พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ นายทหารเรอหลวงภมพลอดลยเดช ไปยงแท่นพธ ี
น้อมเกล้าฯ ถวายเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช (จ�าลอง) (นายยามใหญ่บอกแถวทหารถวายความเคารพ แตรเด่ยว
ี
์
- พลเรือเอก ชุมศักด นาควิจิตร ผู้บัญชาการ เป่าถวายความเคารพ ๓ จบ)
ิ
กองเรือยุทธการ น้อมเกล้าฯ ถวายลองลูกปืนยิงสลุตหลวง - เสด็จขึ้นแท่นพิธี ทรงยืน ณ พระสุจหนี่ (ทรงผิน
ั
ื
นัดแรก พระพกตร์ไปทางเรอหลวงปิ่นเกล้า ๑๐ นาฬิกา ของ
ี
ั
ู
- พลเรือตร อนุพงษ์ ทะประสพ ผ้บญชาการ ทิศหัวเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช)
ี
กองเรือฟริเกตท ๑ กองเรือยุทธการ ทูลเกล้าฯ ถวาย - ทรงรับการถวายความเคารพจากเรือหลวงปิ่นเกล้า
่
พระมาลาปักช่อเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช แด่พระบาท ยิงสลุตหลวง จ�านวน ๒๑ นัด/ใช้เวลา ๑ นาที ๒๔ วินาที
ื
็
ู
็
สมเดจพระเจ้าอย่หัว และสมเดจพระนางเจ้าฯ - นาวาเอก สมิทนัท คุณวัฒน์ ผู้บังคับการเรือ
พระบรมราชินี หลวงภูมิพลอดุลยเดช กราบบังคมทูล เมื่อยิงสลุตหลวง
- นาวาเอก สมิทนัท คุณวัฒน์ ผู้บังคับการเรือหลวง ครบ ๒๑ นัด
ภูมิพลอดุลยเดช เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ สมุดที่ระลึก - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ
ี
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย พระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน เสด็จลงจากเรือหลวงภูมิพล
ี
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน ทรงลงพระนามาภิไธย อดุลยเดช เข้าพลับพลาพิธี
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคน
ี
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน เสด็จออกจากห้องโถง จตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระสงฆ์ พระบาทสมเด็จ
นาวิกศาสตร์ 26
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจิมแผ่นป้ายชื่อเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
ี
ั
พระเจ้าอยู่หัว ประทับพระราชอาสน์ท่เดิมทรงหล่ง เวลา ๑๙๐๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ
ทักษิโณทก (พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ถึง กองการบิน
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทรงกราบ ทหารเรือ สนามบินอู่ตะเภา
ที่หน้าเครื่องนมัสการ ทรงลาพระสงฆ์ เวลา ๑๙๐๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จ
ึ
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ ข้นแท่นทรงรับการถวายความเคารพจากกองทหารเกียรติยศ
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน เสด็จออกจากพลับพลาพิธ ี เวลา ๑๙๑๓ ประทับเครื่องบินพระที่นั่ง เสด็จออก
ี
ไปยังรถยนต์พระที่นั่ง จากกองการบินทหารเรือ สนามบินอู่ตะเภา อาเภอบ้านฉาง
�
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ จังหวัดระยอง ไปยังท่าอากาศยานทหารดอนเมือง
ี
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน ประทับรถยนต์พระท่น่ง เวลา ๑๙๕๐ เสด็จฯ ถึงท่าอากาศยานทหารดอนเมือง
ี
ั
เสด็จออกจากท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือ - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ
ั
สัตหีบ ไปยังกองการบินทหารเรือ สนามบินอู่ตะเภา พระนางเจ้าฯ พระบรมราชิน ประทับรถยนต์พระท่น่ง
ี
ี
อาเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง (กองทหารเกียรติยศ เสด็จออกจากท่าอากาศยานทหารดอนเมือง ไปยัง
�
ุ
ถวายความเคารพ/วงดรยางค์บรรเลงเพลงสรรเสรญ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
ิ
ิ
พระบารมี) - เสด็จพระราชด�าเนินกลับ
นาวิกศาสตร์ 27
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
้
้
ผลการศึกษาแนวทางการใชก�าลังทางเรือตามโครงการเสริมสรางก�าลังทางเรือ
ร.ศ.๑๒๙ ของกรมหลวงชุมพรฯ และเอกสารความเห็นเกี่ยวกับ
เรือ ส. ของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
เพื่อการปรับปรุงแผนป้องกันประเทศทางทะเลของกองทัพเรือ
(ตอนจบ)
นาวาเอก พิสุทธิ์ศักดิ์ ศรีชุมพล
การกาหนดขนาดขีดความสามารถกาลังทางเรือของ shelves) หมู่เกำะ (archipelagos) และเกำะต่ำง ๆ
�
�
กองทัพเรือในอนาคต ซงบำงครงมระยะถง ๒๐๐-๓๐๐ ไมล์ทะเลจำกชำยฝั่ง
ั
ี
ึ
่
ึ
้
้
ื
่
ึ
ึ
่
ี
�
ั
ี
ปัจจัยส�ำคัญอันหน่งในกำรก�ำหนดขนำด ซงเป็นพนททำงทะเลทสำคญเพรำะเป็นเส้นทำงขนส่ง
่
�
ขีดควำมสำมำรถก�ำลังทำงเรือของกองทัพเรือในห้วง ๒๐ ปี ทำงทะเลชำยฝั่ง และเป็นน่ำนน้ำภำยในของประเทศ
ึ
ี
�
่
�
้
ุ
่
ั
ี
ื
ได้แก่ ภำรกิจ และขนำดพ้นท่ปฏิบัติกำรท่กองทัพเรือ ซงจะเกยวข้องกบงำนศลกำกร งำนของตำรวจนำ
ี
ิ
ได้รับผิดชอบ และภัยคุกคำมซ่งเกิดจำกกำรประเมิน งำนส่งแวดล้อม และระบบทำงเศรษฐกิจของประเทศ
ึ
ี
ั
สภำพแวดล้อมควำมม่นคงทำงทะเลในยุทธศำสตร์ โดยกองทัพเรือประเภทน้ต้องมีขีดควำมสำมำรถในกำร
กองทัพเรือในห้วง ๒๐ ปีข้ำงหน้ำ จำกเอกสำรแนวคิด ป้องกันประเทศทำงลึก (Defense in Depth) และ
ในระดับยุทธกำรของ กองทัพเรือสหรัฐฯ (US 2010 Naval ขีดควำมสำมำรถในกำรป้องกันเชิงรุกในอำณำเขตของตน
Operations Concept) ได้แบ่งสภำพภูมิศำสตร์ของ (Offensive force within its territory)
ี
ทะเล (Maritime Geography) ไว้ ๓ ประเภท ได้แก่ ๓. Blue-Water Navy คือ กองทัพเรือท่ม ี
Blue Water คือ Open Ocean, Green Water คือ ขีดควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติกำรขยำยระยะต่อจำก
Coastal Waters Ports and Harbors และ Brown Green-Water Navy ไปจนถึงมหำสมุทร โดยกองทัพเรือ
Water คือ Navigable rivers their estuaries and bay ประเภทน้สำมำรถขยำยสมุททำนุภำพออกไปได้ท่วโลก
ี
ั
ซ่งเม่อน�ำมำใช้ในกำรก�ำหนดขนำดขีดควำมสำมำรถ และ (Project its nation’s power throughout the world)
ื
ึ
ใช้ในกำรแบ่งประเภทของกองทัพเรือ สรุปได้ดังนี้ โดยปกติแล้วกองทัพเรือท่เป็น Blue-water navy น้น
ี
ั
ึ
๑. Brown-Water Navy คือ กองทัพเรือท่ม ี จะประจ�ำกำรเรือบรรทุกอำกำศยำนอย่ำงน้อยหน่งล�ำ
ี
ั
ขีดควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติกำรในล�ำน้ำ หรือชำยฝั่ง ในกองเรือท่ประจ�ำกำรนอกประเทศ ท้งน้จ�ำนวนเรือ และ
�
ี
ี
ึ
มีระยะพ้นท่ปฏิบัติกำรจำกแนวชำยฝั่งไปจนถึงจุดส้นสุด ระยะเวลำประจ�ำกำรก็ข้นอยู่กับศักยภำพในมิติต่ำง ๆ
ี
ิ
ื
ั
ี
ี
ของไหล่ทวีป กองทัพเรือ Brown-Water น้จะมุ่งเน้น ของประเทศน้น ๆ ด้วย ในปัจจุบันประเทศท่จัดได้ว่ำ
็
้
ั
ั
�
ี
ื
ั
ไปที่กำรด�ำเนินงำนชำยฝั่ง และส่วนใหญ่มีบทบำทในเชิง มกำลงกองทพเรอเป็น Blue-water Navy นน กเช่น
ป้องกัน ประเทศสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นต้น ทั้งนี้ยังมีอีก
๒. Green-Water Navy คือ กองทัพเรือท่ม ี หลำยประเทศท่ก�ำลังพัฒนำกองทัพเรือของตนให้เป็น
ี
ี
ขีดควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติกำรขยำยระยะต่อจำก Blue-water Navy เช่น เกำหลีใต้ อินเดีย และจีน
Brown-Water Navy จำกไหล่ทวีป (continental โดยทั่วไปแล้วจุดประสงค์ของกองก�ำลังทะเลลึกนั้น ไม่ได้
นาวิกศาสตร์ 28
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
็
ึ
ั
พิจำรณำเพียงแค่รับรองว่ำประเทศใดประเทศหน่งได้รับ ประเดนพิจารณาแนวโน้มความขดแย้งระหว่างรัฐ
ั
กำรคุ้มครอง แต่เพ่อสร้ำงควำมม่นใจในควำมปลอดภัย ทางทะเลในศตวรรษที่ ๒๑
ื
และเสถียรภำพของโลกรวมถึงกำรปกป้องเส้นทำง สรุปผลการประเมินสภาวะแวดล้อมด้าน
ั
กำรค้ำโลก ความม่นคงในห้วง ๒๐ ปีข้างหน้า (พ.ศ.๒๕๘๐)
พบว่ำ ปัญหาจากปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ ปัญหำ
�
ื
�
การกาหนดขนาดขีดความสามารถกาลังทางเรอ ควำมรุนแรงใน ๓ จังหวัดชำยแดนภำคใต้ ปัญหำ
ั
ั
ของกองทัพเรือในห้วง ๒๐ ปี เมื่อพิจำรณำจำกภำรกิจ ควำมม่นคงทำงทะเล ปัญหำควำมม่นคงของสถำบันหลัก
บทบำทหน้ำท่ตำมกฎหมำย และขีดควำมสำมำรถ ของชำติ และควำมขัดแย้งด้ำนกำรเมือง กำรแพร่ขยำย
ี
ื
ของกองทพเรอทกระท�ำได้บนพนฐำนงบประมำณ แนวคิดแบบสุดโต่งจำกกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ภัยคุกคำม
้
ั
ื
่
ี
ั
ี
ิ
ท่ได้รับในกำรเสริมสร้ำงกองทัพเรือในห้วง ๒๐ ปี ด้ำนไซเบอร์ อำชญำกรรมข้ำมชำต ปัญหำควำมม่นคง
ุ
ิ
ั
ข้ำงหน้ำต่อภยคกคำมทอำจจะเกดขนจรงจำกปัญหำ ทำงด้ำนพลังงำน สภำวะโลกร้อน ปัญหำสังคมผู้สูงอำยุ
ึ
้
ิ
ี
่
ื
่
ิ
ั
ควำมขดแย้งในเรองอำณำเขตทำงทะเล และกำรแย่งชง ปัจจัยภายนอกประเทศพิจำรณำในประเด็นภูมิรัฐศำสตร์
�
ั
้
ี
ื
ทรัพยำกรธรรมชำติในทะเล คือ ประเทศเพ่อนบ้ำน ของไทยพบว่ำท่ต้งทางภูมิศาสตร์น่านนาไทยมีลักษณะ
ี
ึ
ทมอำณำเขตทำงทะเลตดกบไทย ทงนจำกนยำมหลกกำร เป็นก่งปิด (Semi Enclosed Sea) ท่ห้อมล้อมด้วย
ั
ั
้
ั
ิ
่
ิ
ี
้
ี
ี
�
้
ี
ในกำรก�ำหนดขนำดขีดควำมสำมำรถก�ำลังทำงเรือ น่านนาท่เป็นเขตเศรษฐกิจจ�าเพาะของประเทศ
ของสหรัฐฯ ข้ำงต้น จึงสรุปได้ว่ำ ด้วยลักษณะภูมิศำสตร์ เพื่อนบ้าน ได้แก่ อ่ำวไทยชั้นใน คือ กัมพูชำ เวียดนำม
ึ
ั
ประเทศไทยเป็นแบบทะเลก่งปิด (Semi-Close) และ และมำเลเซีย ช้นนอก คือ จีน อินโดนีเซีย และ
ภำรกิจท่กองทัพเรือได้รับตำมกฎหมำย กองทัพเรือ ฟิลิปปินส์ ส่วนทำงด้ำนตะวันตกอันดำมัน คือ มำเลเซีย
ี
ี
ไทยจึงเป็นกองทัพเรือแบบ “Green-Water Navy” อนโดนเซย อนเดีย และเมยนมำร์ โดยประเทศไทย
ี
ิ
ิ
ี
ี
ิ
่
ี
่
ื
ื
ี
ด้วยลักษณะธรรมชาติ ท่มีพ้นท่ปฏิบัติการในการ มแนวโน้มทจะเกดปัญหากับประเทศเพ่อนบ้านในเรอง
ี
ื
ิ
�
้
ควบคุมทะเล ป้องกันการถูกปิดอ่าว การรักษาเส้นทาง การอ้างสิทธ์เขตแดนทางทะเล และการแย่งชิงนามัน
คมนาคมทางทะเล และคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติ และแก๊สธรรมชาติในพื้นที่เหลื่อมทับในทะเล อันเนื่อง
�
ทางทะเลในระยะอาณาเขตเศรษฐกิจจาเพาะ มำจำกปัญหำควำมต้องกำรน้ำมัน และแก๊สธรรมชำต ิ
�
ั
๒๐๐ ไมล์ทะเล ดังน้นแนวคิดในกำรใช้ก�ำลังในกำร ในกำรสนับสนุนภำคอุตสำหกรรม และกำรผลิตไฟฟ้ำ
ี
�
ป้องกันประเทศทำงทะเล สำมำรถใช้ข้อได้เปรียบ ของประเทศไทย และกำรท่ปริมำณส�ำรองน้ำมัน และ
ึ
ั
ในลักษณะทะเลก่งปิดในกำรต้งรับ หรือต่อต้ำน แก๊สธรรมชำติของแหล่งผลิตในอ่ำวไทยจะหมดภำยใน
ั
ื
กำรเข้ำถึงพ้นท่ผลประโยชน์ประเทศของฝ่ำยตรงข้ำม ๑๐ ปี อีกท้งประเทศเพ่อนบ้ำนโดยเฉพำะกับประเทศ
ื
ี
ี
�
ั
(Anti-Access) ได้ด้วยกำรจัดต้งระบบตรวจกำรณ์ กัมพูชำท่จะมีควำมต้องกำรน้ำมัน และแก๊สธรรมชำต ิ
ี
และแจ้งเตือนทำงทะเล สนับสนุนระบบกำรรับรู้เท่ำทัน มำใช้ในกำรพัฒนำประเทศท่จะมีกำรเจริญเติบโตอย่ำง
สถำนกำรณ์ทำงทะเล (Maritime Domain Awareness รวดเร็วจำกกำรลงทุนของประเทศจีน ส�ำหรับผลกระทบ
ี
ุ
ุ
ั
: MDA) และกำรจดตงฐำนขปนำวธอำวธปล่อยน�ำวถ ี จากชาติมหาอานาจ ประเทศไทยอยู่ในภูมิภำคเอเชีย
ั
้
�
ิ
ี
ื
ู
ี
โจมตจำกฝั่งส่ทะเลไปยงเป้ำหมำยเรอฝ่ำยตรงข้ำมได้ แปซิฟิก ท่ติดกับมหำสมุทรแปซิฟิก และมหำสมุทรอินเดีย
ั
ิ
ั
ี
ิ
ี
ร่วมกับกำรปฏิบัติกำรทำงเรือในกำรควบคุมทะเลในพ้นท ่ ี ซงเป็นแหล่งของทรพยำกรทงทมชวต และไม่มชวต
ี
่
ั
ื
้
ี
ี
่
ึ
ิ
�
ทะเลเขตเศรษฐกิจจ�ำเพำะ โดยเฉพำะแก๊สธรรมชำต และน้ำมันในทะเล เป็น
นาวิกศาสตร์ 29
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
�
เส้นทำงขนส่งสินค้ำ และระบบพลังงำนของโลก ผลการวิเคราะห์ลักษณะการทาสงครามทางเรือ
ี
ั
มหำอ�ำนำจจึงมุ่งท่จะแผ่ขยำยอิทธิพลท้งกำรเมือง ในการเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐ พบว่ำสถำนกำรณ์
กำรทหำร และด้ำนเศรษฐกิจต่อประเทศไทย และใน ควำมขัดแย้งในระดับกำรปฏิบัติกำรทำงทหำรขนำดใหญ่
ี
้
ประเทศในภูมิภำคน ดุลยภำพ และพลวัตด้ำนควำม ระหว่ำงประเทศไทยกับประเทศในภูมิภำคอำเซียนในห้วง
ึ
ั
ม่นคงทำงทะเลในภูมิภำคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จง ๒๐ ปีข้ำงหน้ำมีโอกำสเกิดขึ้นน้อย แต่ที่มีโอกาสเกิดขึ้น
ึ
ข้นอยู่กับบทบำท และควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศใน มากที่สุด คือ สงครามจ�ากัดทางทะเล (Limited War)
ั
ื
ภูมิภำคน้กับประเทศมหำอ�ำนำจท้งประเทศจีน อินเดีย โดยกองทัพไทยจะมีวัตถุประสงค์ทำงทหำรเพ่อสนับสนุน
ี
และสหรัฐฯ กำรสร้ำงอ�ำนำจต่อรองในกำรรักษำควำมม่นคง และกำร
ั
รักษำผลประโยชน์ของชำติในกำรเจรจำยุติควำมขัดแย้ง
ในระดับรัฐบำล ซ่งเป้าหมายทางทหารของฝ่ายตรงข้าม
ึ
คือ กำรเข้ำยึดจุดศูนย์ดุลในระดับยุทธศำสตร์ของประเทศ
ได้แก่ การเข้ายึดครองอาณาเขตทางทะเลโดยเฉพาะ
ื
ี
ื
พ้นท่เหล่อมทับทางทะเลกับไทย และการปฏิบัติการ
ทางทหารในลักษณะการยึดครอง และทาลายผลประโยชน์
�
�
ี
ึ
ของชาติท่สาคัญซ่งเป็นจุดศูนย์ดุลของประเทศทางทะเล
หมำยถึง ผลประโยชน์ของชำติทำงทะเลที่มีควำมส�ำคัญ
ู
ต่อควำมอย่รอดของประเทศไทย แบ่งออกได้ ๒ ระดบ
ั
ี
ได้แก่ ระดับท่ ๑ Survival National Interest
ื
ึ
จะเกิดข้นเม่อกำรด�ำรงอยู่ของชำติตกอยู่ภำยใต้ภัยคุกคำม
ี
ของกำรโจมต คือ เส้นเขตแดนทำงทะเลท่รัฐต้องรักษำ
ี
ควำมเป็นเอกรำช อธิปไตย สิทธิอธิปไตย โดยเป็นแนวคิด
เดยวกบแผนป้องกันชำยแดนของทหำรบก ระดับท่ ๒
ั
ี
ี
คือ Vital National interest คือ เป็นสถำนกำรณ์
ทจะมภยร้ำยแรงเกดขนกบประเทศถ้ำไม่ใช้มำตรกำร
ิ
ี
ั
ึ
่
้
ั
ี
ึ
รุนแรงซ่งก็รวมถึงกำรใช้ก�ำลังเข้ำปกป้องผลประโยชน์
ได้แก่ เส้นทำงขนส่งสินค้ำทำงทะเล และโครงสร้ำง
พื้นฐำนของประเทศทำงทะเล
ข้อเสนอในการปรับปรุงแผนการป้องกันประเทศ
ทางทะเลจากผลการศึกษาโครงการจัดสร้างกาลัง
�
ทางเรือ ร.ศ.๑๒๙ และความเห็นเกี่ยวกับเรือ ส.
ื
ั
โครงการจดสร้างกาลงทางเรอ ร.ศ.๑๒๙ โดย
�
ั
พลเรือเอก พระเจ้ำบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ำอำภำกร
ภาพที่ ๑๑ พื้นที่เหลื่อมทับทางทะเลระหว่างประเทศไทยกับ
ิ
์
ประเทศเพื่อนบ้านและแหล่งน�้ามันแก๊สธรรมชาติในอ่าวไทย เกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด ถือว่ำเป็น
ที่มา : https://pantip.com/topic/35424020 แผนกำรทัพ (Campaign Plan) หรือ แผนป้องกัน
นาวิกศาสตร์ 30
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ี
ประเทศทางทะเลฉบับแรกของกองทัพเรือท่เป็น ของกรมหลวงชุมพรฯ ได้ระบุแนวคิดกำรใช้ก�ำลังทำงเรือ
รำกฐำนในกำรพัฒนำก�ำลังทำงเรือยุคใหม่ต่อมำ เช่น และแผนกำรเสริมสร้ำงก�ำลังรบทำงเรือตำมแผน
ี
ื
ิ
ั
ุ
พระรำชบัญญัตบ�ำรงกำลังทำงเรอ พ.ศ.๒๔๗๗ โดย ป้องกันประเทศไว้ชัดเจน ท้งน้เน่องจำกพระองค์
ื
�
โครงกำรจัดสร้ำงก�ำลังทำงเรือ ร.ศ.๑๒๙ เป็นกำรพัฒนำ ทรงจบกำรศึกษำจำกโรงเรียนนำยเรืออังกฤษ แนวคิด
กองเรือใกล้ฝั่ง (Coastal Fleet) จำกกองทัพเรือ ของพระองค์จึงเป็นแนวคิดแบบนักยุทธศำสตร์ทะเล
ท่มีขีดควำมสำมำรถในลักษณะ Brown Water ท่มีควำมเหมำะสมตำมลักษณะภูมิรัฐศำสตร์ของ
ี
ี
ิ
ื
ี
ื
Navy ไปเป็นกองทัพเรือท่เร่มมีขีดควำมสำมำรถ ประเทศไทย คอ กำรมองเขตแดนทำงทะเลเป็นเสมอน
ในลักษณะ Green Water Navy ท�ำให้ได้เรือปืน แผ่นดินท่ต้องมีอ�ำนำจอธิปไตย และกำรท่ประเทศต้อง
ี
ี
เรือสลุป เรือตอร์ปิโด เรือวำงทุ่นระเบิด เรือด�ำน้ำ เรือล�ำเลียง รักษำผลประโยชน์ของชำติทำงทะเลเช่นเดียวกับ
�
ื
รวม ๒๕ ล�ำ และมีเคร่องบินลำดตระเวนทำงทะเล กำรรักษำผลประโยชน์ของชำติทำงเศรษฐกิจบนบก และ
ี
ึ
เข้ำประจ�ำกำรในปี พ.ศ.๒๔๘๑ ซ่งกองเรือน้ได้ใช้ใน ข้อเท็จจริงท่ว่ำควำมขัดแย้งระหว่ำงรัฐท่จะมีกำรใช้ก�ำลัง
ี
ี
ี
ั
ึ
ิ
กำรรบกับฝร่งเศสท่เกำะช้ำง พ.ศ.๒๔๘๔ และปฏิบัติกำร ทำงทหำรจะไม่เร่มเกิดข้นก่อนเฉพำะจำกกำรรุกล้ำ
�
ในกำรรักษำเส้นทำงคมนำคมทำงทะเลท้งด้ำนอ่ำวไทย เขตแดนทำงบกเท่ำน้น แต่ภัยคุกคำมสำมำรถเร่มจำก
ิ
ั
ั
ี
ั
ื
่
และอันดำมันในระหว่ำงสงครำมโลกคร้งท ๒ กำรส่งก�ำลัง กำรเคล่อนก�ำลังมำจำกทำงทะเลได้ด้วยเช่นกัน โดย
ทำงเรือเข้ำร่วมรบกับกองก�ำลังสหประชำชำติในสงครำม แนวควำมคิดของกรมหลวงชุมพรฯ ในกำรใช้ก�ำลังทำงเรือ
ี
่
ั
้
ื
่
ี
ี
ื
เกำหลีในปี พ.ศ.๒๔๙๓ และสงครำมเวียดนำม ต่อมำ และกำรวำงตำบลทก�ำลังตำมพนท แบ่งพ้นท่กำรป้องกน
�
สหรัฐฯ ได้ให้ควำมช่วยเหลือทำงทหำรแก่ประเทศไทย ประเทศทำงทะเลเป็น ๕ ชั้น จำกเขำสำมร้อยยอดจนถึง
�
ั
ั
้
ด้ำนอำวุธยุทโธปกรณ์ กำรให้ทุนกำรฝึก และศึกษำ สิงคโปร์ ท้งนแนวคิดในการใช้กาลังของท้งสองพระองค์
ี
ในประเทศสหรัฐฯ ทร. จึงได้น�ำวิธีการประเมินยุทธศาสตร์ เป็นการกาหนดแนวทางการใช้กาลังทางเรือตามระดับ
�
�
และการกาหนดโครงสร้างกาลังรบมำใช้ ท�ำให้กองทัพเรือ สถานการณ์ความขัดแย้ง หรือ Spectrum of Conflict
�
�
่
มีกำรจัดหำยุทโธปกรณ์โดยเฉพำะเรือรบอย่ำงเป็นระบบ ได้แก่ ในสถานการณ์ปกติถึงความขัดแย้งระดับตาจะใช้
�
ั
ี
ท่สอดคล้องกับภัยคุกคำม และสภำพแวดล้อมควำมม่นคง แนวความคิดในการป้องกันทางลึกแบบ Defense in
ึ
ี
ี
ทำงทะเลท่เปล่ยนแปลงไป ซ่งเห็นได้จำกกำรพัฒนำ Depth ในระดับความขัดแย้งระดับสูงจะใช้แนวคิด
ิ
แนวคิดโครงสร้ำงก�ำลังรบทำงเรือของกองทัพเรือจำก การป้องกันเชงรุก Active Defense และเม่อเกิด
ื
Brown Water Navy ไปเป็น Green Water Navy สงครามจากัดทางทะเลจะใช้แนวคิดการรบแบบ Decisive
�
่
ั
ี
่
ิ
ี
ี
ุ
ื
้
ี
ั
ทมขดควำมสำมำรถในกำรควบคมทะเลในเขตเศรษฐกจ Battle ทงน้เมอน�ำมำปรบใช้ตำมสภำพแวดล้อม
จ�ำเพำะ ๒๐๐ ไมล์ทะเลในปัจจุบัน และอำจจะก้ำวไปสู่ ควำมม่นคงทำงทะเล และกำรพัฒนำเทคโนโลยีสงครำม
ั
ี
ี
กำรพัฒนำ Blue Water Navy ท่มีขีดควำมสำมำรถ ทำงเรือท่เปล่ยนแปลงไปในยุคปัจจุบัน สำมำรถปรับใช้กับ
ี
ในกำรปฏิบัติกำรในทะเลหลวงในกำรคุ้มครองผลประโยชน์ แนวควำมคิดระดับยุทธกำรตำมหลักนิยมทำงเรือของ
�
ของชำติในทะเลหลวง (High Sea) และน่ำนน้ำสำกล กองทัพเรือ สรุปได้ดังนี้ คือ
ในอนำคต แนวคิดการป้องกันทางลึก (Defense in Depth)
ข้อเสนอในการปรับปรุงแผนการป้องกันประเทศ ตำมหลักนิยมทำงทะเลของกองทัพเรือ (อทร.๘๐๐๑)
ู
่
ิ
ทางทะเลจำกผลกำรศึกษำโครงกำรจัดสร้ำงก�ำลังทำงเรือ ได้แก่ กำรปฏเสธกำรใช้ทะเลเพอต่อต้ำนกำรถกปิดอ่ำว
ื
ร.ศ.๑๒๙ และควำมเห็นเกี่ยวกับเรือ ส. มีดังนี้ ระยะไกล กำรคุ้มครองเส้นทำงคมนำคมทำงทะเล และ
�
๑. โครงการจัดสร้างกาลังทางเรือ ร.ศ.๑๒๙ กำรป้องกันท่หมำยส�ำคัญในทะเลและชำยฝั่งท่ทหำรเรือ
ี
ี
นาวิกศาสตร์ 31
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ี
รับผิดชอบ และกำรควบคุมทะเลในอ่ำวประวัติศำสตร์ จ. กำรโจมตีท่หมำยส�ำคัญตำมระดับกฎกำร
และเขตเศรษฐกิจจ�ำเพำะของประเทศไทย ใช้ก�ำลัง (ROE)
ี
ื
แนวคิดการป้องกันเชิงรุก (Active Defense) ฉ. กำรควบคุมทะเลในพ้นท่ส�ำคัญท่เป็นผลประโยชน์
ี
ี
เป็นแนวควำมคิดระดับ ยุทธกำรในกำรป้องกัน ของชำติทำงทะเล และท่เป็นจุดช้ขำดทำงกำรรบ หรือ
ี
ี
ประเทศในสงครำมจ�ำกัดทำงทะเลท่มีจุดมุ่งในกำรใช้ จุด Chokepoint ส�ำคัญของไทย
ก�ำลังทำงเรือภำยใต้อ�ำนำจเต็มของ ผู้บัญชำกำรทหำรเรือ ช. กำรปฏิเสธกำรใช้ทะเลของฝ่ำยข้ำศึก
ื
ตำมกฎหมำยเพ่อยุติสงครำม ควำมขัดแย้งกับคู่สงครำมได้
�
ในห้วงระดับควำมขัดแย้งระดับสูงในสงครำมจ�ำกัด เม่อเกิดสงครามจากัดทางทะเลจะใช้แนวคิด
ื
ื
(Limited War) ทำงทะเลเพ่อลดควำมสูญเสียของ การรบแบบ Decisive Battle โดยจะเป็นกำรปฏิบัติกำร
ประเทศไม่ให้สถำนกำรณ์ลุกลำมไปจนถึงข้นสงครำม ในพื้นที่เหลื่อมทับทำงทะเลตลอดจนในพื้นที่กำรรบของ
ั
ื
เบ็ดเสร็จ (Total War) โดยมีแนวคิดเพ่อป้องกันเขตแดน ประเทศคู่สงครำมโดยมีแนวคิดกำรควบคุมทะเล (Sea
ื
ทำงทะเลและผลประโยชน์ของชำติทำงทะเลในลักษณะ Control) เพ่อกำรป้องกันกำรขยำยอ�ำนำจจำกทะเล
Preemptive Self-Defense ในพื้นที่เขตแดนทำงทะเล เข้ำสู่ฝั่งไทยของฝ่ำยข้ำศึก และกำรปฏิบัติกำรสะเทินน�้ำ
ี
ื
ของไทย และในพ้นท่เหล่อมทับทำงทะเลเพ่อให้ยุติกำรรบ สะเทินบก (Power Projection from the Sea)
ื
ื
ี
ึ
ื
ได้ในลักษณะท่ฝ่ำยเรำเป็นฝ่ำยได้เปรียบ โดยกำรใช้ เพ่อขยำยอ�ำนำจจำกทะเลข้นสู่ฝั่งข้ำศึกของฝ่ำยเรำ หรือ
ก�ำลังทำงเรือปฏิบัติกำรตอบโต้อย่ำงรุนแรง และรวดเร็ว กำรแย่งยึดคืนพื้นที่ของฝ่ำยเรำ ประกอบด้วย
ี
ื
ี
ื
ี
(Quick Response) ให้สำมำรถมีอ�ำนำจเหนือพ้นท่กำรรบ ก. กำรรบแตกหักทำงเรือในพ้นท่ท่เรำได้เปรียบกำรรบ
ื
(Battle Space Dominance) มีควำมต่อเน่องในกำร ข. กำรควบคุมทะเลในพ้นท่ส�ำคัญท่เป็นผลประโยชน์
ี
ี
ื
ปฏิบัติกำร (Sustained Operations) และเป็นหน่วย ของชำติทำงทะเล
ี
ื
ก�ำลังท่เป็นเครือข่ำย และมีควำมคล่องตัวในกำรปรับเปล่ยน ค. กำรปฏิบัติกำรสะเทินน้ำสะเทินบก เม่อถูกฝ่ำยตรงข้ำม
�
ี
ื
ื
ี
ภำรกิจ และเข้ำใจภำพสถำนกำรณ์ทำงทะเล (Net and ยึดพ้นท่เกำะ หรือพ้นท่ชำยฝั่ง หรือสนับสนุนกำรปฏิบัติกำร
ี
Agile Force, Maritime Domain Understanding) ทำงบก
รวมทั้งกำรใช้ก�ำลังอ�ำนำจด้ำนอื่นที่มิใช่ทำงทหำร (Soft ง. กำรปฏิบัติกำรร่วม ทหำรเรือ-ทหำรอำกำศ และ
ั
ั
ั
ุ
้
ั
้
Power) สนบสนนกำรใชกำลงปองกนประเทศ และรกษำ กำรปฏิบัติกำรร่วม ทหำรเรือ-ทหำรบก
�
ุ
ิ
ผลประโยชน์แห่งชำติท้งในมิติของทะเล และองค์รวม เมอยตสงคราม จะใช้แนวคดการป้องกนเชงรก
ิ
ั
ุ
ิ
่
ั
ื
ของท้งประเทศโดยมีกำรปฏิบัติกำรทำงเรือตำมหลักนิยม และการควบคุมทะเลในพ้นท่เหล่อมทับทำงทะเล และ
ื
ั
ื
ี
ื
ทำงทะเลของกองทัพเรือ ได้แก่ วำงก�ำลังในจุดยุทธศำสตร์เพ่อสร้ำงควำมได้เปรียบ
่
ุ
ื
ุ
ก. กำรควบคุมทะเลเพ่อต่อต้ำนกำรถูกปิดอ่ำว ในกำรเจรจำยตสงครำม และเพอค้มครองผลประโยชน์
ิ
ื
ระยะไกล ของชำติทำงทะเลอย่ำงต่อเนื่อง
ข. กำรประกำศ MEZ เพ่อรกษำเส้นทำงคมนำคม ๒. ข้อพิจารณาประเด็นกฎหมายเร่องแนวทาง
ั
ื
ื
ทำงทะเล และควำมได้เปรียบในกำรใช้ก�ำลังทำงเรือ การใช้กาลังของรัฐตามกฎบัตรสหประชาชาต หลักกำร
�
ิ
ค. กำรป้องกันที่หมำยส�ำคัญในทะเล และชำยฝั่งที่ ห้ำมใช้ก�ำลังในควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ อยู่ใน
ทหำรเรือรับผิดชอบ มำตรำ ๒ อน ๔ กฎบัตรสหประชำชำติกล่ำวว่ำ “ในควำม
ุ
ง. กำรควบคุมทะเลในอ่ำวประวัติศำสตร์ของ สมพนธ์ระหว่ำงประเทศสมำชกทงปวง จะต้องละเว้น
ั
ั
ิ
ั
้
ประเทศไทย กำรคุกคำม หรือกำรใช้ก�ำลังต่อบูรณภำพแห่งอำณำเขต
นาวิกศาสตร์ 32
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ิ
ั
หรือเอกรำชทำงกำรเมืองของรัฐใด ๆ หรือกำรกระท�ำกำร อนย่งยวด (Necessity) ต้องได้สัดส่วนกบกำรโจมต ี
ั
ื
ี
่
ในลักษณะกำรอ่นใดทไม่สอดคล้องต่อควำมมุ่งประสงค์ (Proportionality) และต้องเป็นไปอย่ำงฉับพลันโดย
ของสหประชำชำติ” อย่ำงไรก็ตำม ในเรื่องหลักการห้ามใช้ ไม่รีรอ (Immediacy) ทั้งนี้กำรที่รัฐใช้สิทธิป้องกันตนเอง
กาลังในกฎบัตรสหประชาชาติ มิใช่ห้ามใช้กาลังใน ย่อมถือว่ำชอบด้วยกฎหมำยระหว่ำงประเทศ ข้อพิจำรณำ
�
�
ื
ทุกกรณี โดยมีข้อยกเว้น ได้แก่ “แม้ในบำงกรณียังไม่ได้มีกำรใช้มำตรกำรสันติวิธีเพ่อระงับ
๒.๑ กำรใช้สิทธิในกำรป้องกันตนเองตำมมำตรำ ยับยั้งกำรโจมตีนั้นก็ตำม”
ั
๕๑ แห่งกฎบัตรสหประชำชำติ - สิทธิป้องกันตนเองเป็นสิทธิช่วครำวของรัฐ
�
ื
ื
๒.๒ กำรด�ำเนินกำรเพ่อรักษำสันติภำพ และ ในกำรใช้กำลังเพ่อป้องกนตนเองตำมมำตรำ ๕๑
ั
ควำมม่นคงระหว่ำงประเทศตำมหมวด ๗ แห่งกฎบัตร แห่งกฎบัตรสหประชำชำต “จนกว่ำคณะมนตร ี
ั
ิ
ื
สหประชำชำติ ควำมม่นคงจะได้ด�ำเนินมำตรกำรท่จ�ำเป็นเพ่อธ�ำรงไว้ซ่ง ึ
ั
ี
๒.๓ กฎหมำยจำรีตประเพณีระหว่ำงประเทศ สันติภำพ และควำมมั่นคงระหว่ำงประเทศ”
เช่น มำตรกำรตอบโต้ (Counter-Measure) กำรใช้ - กำรใช้สิทธิป้องกันตนเองสำมำรถกระท�ำได้เมื่อมี
ื
ึ
ก�ำลังแทรกแซงเพ่อมนุษยธรรม (Humanitarian กำรโจมตีด้วยก�ำลังอำวุธเกิดข้น (Armed Attack
ึ
ื
Intervention) กำรต่อสู้เพ่อสิทธิในกำรปกครองตนเอง Occurs) ผลกำรศึกษำสิทธิป้องกันตนเองซ่งถือว่ำ
(Self Determination) และสงครำมปลดแอกกำรกดขี่ เป็นข้อยกเว้นของมำตรำ ๒(๔) ในเร่องหลักกำรห้ำมใช้
ื
ี
ของต่ำงชำติ เป็นต้น ก�ำลังในควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ ตำมท่กฎบัตร
กำรด�ำเนินกำรภำยใต้ข้อตกลงขององค์กำรส่วน สหประชำชำติมำตรำ ๕๑ ได้บัญญัติไว้นั้น เมื่อพิจำรณำ
ี
ภูมิภำคตำมหมวด ๘ แห่งกฎบัตรสหประชำชำติ มำตรำ ถ้อยค�ำท่ถูกใช้ในมำตรำ ๕๑ คือ กำรโจมตีด้วยก�ำลังอำวุธ
ิ
ั
ี
ิ
๕๑ แห่งกฎบัตรสหประชำชำต กล่ำวว่ำ “ไม่มีส่งใด (Armed Attack) น้นมีขอบเขตควำมหมำยท่แตกต่ำง
�
ั
ิ
ี
่
ุ
ั
ในกฎบตรปัจจบันทจะทำลำยสิทธด่งเดิม (Inherent จำกถ้อยค�ำที่ใช้ในมำตรำ ๒ อนุ ๔ ที่ว่ำ กำรคุกคำม หรือ
Right) ของกำรป้องกันตนเดี่ยว หรือ กำรป้องกันร่วมกัน กำรใช้ก�ำลัง (Threat or Use of Force) ซึ่งในประเด็นนี้
(Individual or Collective Self-Defense) ถ้ำม ี แล้วในกรณีกำรใช้สิทธิกำรป้องกันตนเองแบบกำรป้องกัน
ึ
ี
กำรใช้อำวุธเกิดข้น (An armed attack occurs) ท่กระทบ ตนเองล่วงหน้ำ (Anticipatory Self-Defence หรือ
ต่อสมำชิกสหประชำชำติ จนกว่ำคณะมนตรีควำมมั่นคง Preemptive Self-Defence) ยังเป็นหลักเกณฑ์ท่ยัง
ี
แห่งสหประชำชำติออกมำตรกำร เพ่อด�ำรงไว้ซ่งสันติภำพ ไม่ชัดเจนในกฎบัตรสหประชำต ท้งน้ประเทศท่น�ำ
ั
ี
ี
ิ
ึ
ื
ี
ั
และควำมม่นคงระหว่ำงประเทศ มำตรกำรท้งหลำยท ี ่ หลักกำรน้มำใช้ได้แก่ประเทศมหำอ�ำนำจท่อยู่ในคณะ
ี
ั
ื
รัฐสมำชิกใช้เพ่อป้องกันตนเองจะต้องแจ้งคณะมนตร ี มนตรีควำมม่นคง คือ ประเทศสหรัฐฯ และจีน ดังนั้น
ั
ควำมมั่นคงฯ โดยหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในกำรใช้สิทธิ ประเทศไทยแล้วควรใช้หลักการใช้สิทธิป้องกันตนเอง
ึ
ื
�
�
ในกำรป้องกันตนเองของรัฐ มีดังนี้ สามารถกระทาได้เม่อมีการโจมตีด้วยกาลังอาวุธเกิดข้น
่
ี
ิ
้
ั
ี
ี
ุ
- สิทธิป้องกันตนเองเป็นสิทธิโดยธรรมชำติของรัฐ เท่านน ยกเว้นกรณีท่เป็นเหตุฉกเฉนทมผลกระทบ
(Inherent Right) ในกำรใช้ก�ำลังเพื่อป้องกันตนเองโดย อย่างรุนแรงต่อจุดศูนย์ดุลประเทศทางทะเลในระดับ
ั
ิ
ิ
ื
รฐอำจใช้สทธโดยล�ำพง(Individual Self-Defense) หรอ ยุทธศาสตร์ เช่น ท�ำลำยแท่นขุดเจำะ เรือน�้ำมัน ท�ำให้
ั
�
ิ
โดยร่วมกัน (Collective Self-Defense) เช่น กำรกระท�ำ ประเทศไม่มีน้ำมัน และแก๊สธรรมชำต ส่งผลถึงระบบเศรษฐกิจ
ของอังกฤษในกรณีสงครำมฟอร์คแลนด์ และควำมเป็นอยู่ของประชำชนอย่ำงรุนแรง แม้ในกรณีฝ่ำย
- สิทธิป้องกันตนเองต้องใช้ในกรณีที่มีควำมจ�ำเป็น ตรงข้ำมไม่ได้ใช้ก�ำลังโดยตรงต่อก�ำลังทำงเรือของฝ่ำยเรำ
นาวิกศาสตร์ 33
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ี
ิ
ี
แต่ถือว่ำมีกำรใช้ก�ำลังต่อจุดศูนย์ดุลท่เป็นผลประโยชน์ ภูมศำสตร์ของประเทศท่มลักษณะคล้ำยกับประเทศไทย
ี
ิ
ี
ื
ั
�
ั
ู
ั
ของชำตทสำคญในระดบ Survival หรอ Vital National ได้แก่ ประเทศอินเดียซงมลกษณะทำงภมศำสตร์เป็น
ิ
่
ึ
่
ี
ื
ั
ั
ื
ั
ี
ี
้
้
ึ
ิ
ิ
Interests ดงน้น ทหารเรอจงควรใชสทธในการปองกน พ้นท่ไหล่ทวีปท่ทอดยำวลงทิศใต้ไปในมหำสมุทรอินเดีย
ตนเองของรัฐตามมาตรา ๕๑ ในกฎบัตรสหประชาชาต ิ จะมีกำรจัดโครงสร้ำงกำรบังคับบัญชำกองทัพเรือแบบ
ซ่งรวมถึงการป้องกันตนเองล่วงหน้าแบบ Preemptive แบ่งพ้นท่รับผิดชอบ (Area Command) เป็น
ึ
ื
ี
Self-Defense ในการป้องกันประเทศทางทะเล ทัพเรือภำค ประกอบด้วย ๔ ทัพเรือภำค ได้แก่ ทัพเรือ
๓. ผลการศึกษาแนวคิดการบังคับบัญชาแบบ ภำคตะวันออก (Eastern Naval Command) ทัพเรือ
พื้นที่ (Area Command Concept) ภำคตะวันตก (Western Naval Command) ทัพเรือ
กำรจัดทัพเรือภำคเป็น ๓ ทัพเรือภำค ในปัจจุบันนี้ ภำคทำงใต้ (Southern Naval Command) และทัพเรือ
ั
ี
ี
แตกต่ำงจำกแนวคิดกำรจัดเป็น ๒ ทัพเรือภำค ของ ท่ต้งอยู่ท่จุดยุทธศำสตร์ ได้แก่ ทัพเรือภำคอันดำมัน
�
กรมหลวงชุมพรฯ ท่มีการกาหนดแกนสงคราม หรือ และนิโคบำร์ (Andaman and Nicobar Command)
ี
ี
ื
�
ึ
ทิศทางการเคล่อนกาลังของภัยคุกคามทางทะเล และประเทศเกาหลใต้ซ่งมีลักษณะทำงภูมิศำสตร์
ี
ื
จะมาจากทิศใต้ไปสู่ทิศเหนือ (เพ่อโจมตีจุดศูนย์ดุล เป็นพ้นท่ไหล่ทวีปท่ทอดยำวลงทิศใต้ไปในมหำสมุทร
ื
ี
ิ
ิ
ื
ั
ั
้
ั
ั
ี
ั
ั
้
้
ี
คอ เมืองหลวงของประเทศ) ทงนธรรมชำติกำรรบ แปซฟก จะมกำรจดโครงสรำงกำรบงคบบญชำกองทพเรอ
ื
ื
ี
ื
ี
ทำงเรือเป็น Maneuvering Warfare พ้นท่ทำงทะเล แบบแบ่งพ้นท่รับผิดชอบ (Area Command) เป็น
ื
ี
ไม่สำมำรถแบ่งพ้นท่เป็นเขตหน้ำเขตหลังแบบแนวคิด ทัพเรือภำค ประกอบด้วย ๓ ทัพเรือภำค ได้แก่
ของแผนกำรรบทำงบกได้ แต่กำรรบทำงเรือจะใช้ ทัพเรือภำคตะวันออก (Eastern Naval Command)
ุ
ั
ิ
ี
�
้
ทกพนท่ทะเลต้งแต่ห้วงอำกำศ (Air Warfare) ผวนำ ทัพเรือภำคตะวันตก (Western Naval Command)
้
ื
(Surface Warfare) ใต้น้ำ (Sub Surface Warfare) ทัพเรือภำคทำงใต้ (Southern Naval Command) และ
�
ื
ั
ี
ไปจนถึงท้องทะเล (Seabed Warfare) เม่อพิจำรณำ ทัพเรือท่ต้งอยู่ท่จุดยุทธศำสตร์ ได้แก่ Inchon Naval
ี
หลักกำรภูมิยุทธศำสตร์ (Geo-Strategy) กับลักษณะ Sector Defense Command ดังแสดงได้ตำมภำพ
ภาพที่ ๑๒ โครงสร้างกองทัพเรืออินเดีย และเกาหลีใต้แบบ Area Command Concept
ที่มา : เอกสารประจ�าภาค วทร. เรื่อง การพัฒนาแนวทางการใช้ก�าลังในการป้องกันประเทศทางทะเลของกองทัพเรือ
นาวิกศาสตร์ 34
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ั
ผลการศึกษาแนวคิดการบังคับบัญชาแบบพื้นที่ ควำมรับผิดชอบของทัพเรือภาคควรเป็นหน่วยท้ง
ื
่
ื
ื
�
ี
เม่อน�ำภำรกิจของกองทัพเรืออินเดีย และประเทศ ในเรองการเตรยมกาลง เพ่อฝึกให้มีควำมคุ้นเคย
ั
ื
ี
ั
ี
ื
ื
เกำหลีใต้ พ้นท่ผลประโยชน์ทำงทะเล และลักษณะ ในพ้นท่ปฏิบัติกำรจริง ดังน้นเม่อเกิดเหตุกำรณ์กำรรบ
ภัยคุกคำมของประเทศอินเดีย และประเทศเกำหลีใต้ ทำงเรือ ปฏิบัติกำรทำงเรือข้นจริงจะได้ปฏิบัติงำน
ึ
มำวิเครำะห์เปรียบเทียบกับกองทัพเรือไทย พบว่ำ ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ และเป็นหน่วยในการใช้กาลัง
�
กำรแบ่งกองทัพเรือเป็นทัพเรือภำคตะวันออก และ ทางเรือ เพื่อให้ทัพเรือภำคมีควำมพร้อมสูงสุดในภำรกิจ
ทัพเรือภำคตะวันตก มีควำมเหมำะสมในท้งในเชิง กำรป้องกันประเทศทำงทะเล ในส่วนภำรกิจในกำรรักษำ
ั
ื
ี
่
่
แนวคิดทำงยุทธศำสตร์ในกำรป้องปรำม กำรป้องกัน ผลประโยชนของชำตทำงทะเล เนองจำกพนทรบผดชอบ
้
ื
ิ
์
ิ
ั
แบบเชิงรุก (Active Defense) และโจมตีอย่ำงเด็ดขำด ศรชล. ครอบคลุมพ้นท่เขตแดนทำงทะเล ทะเลหลวง
ี
ื
(Decisive Operation) ต่อประเทศคู่สงครำมทั้งในยำม แล้วยังต่อเนื่องเข้ำมำถึงเกำะ ชำยฝั่ง และจังหวัดชำยฝั่ง
ี
ึ
ื
ปกต และยำมสงครำม คือ กำรแสดงก�ำลังด้วยท่ต้ง ั ทะเลซ่งเก่ยวข้องกับเร่องกำรบังคับใช้กฎหมำยซ่งม ี
ี
ิ
ึ
ี
ั
ี
ี
ของศูนย์บัญชำกำร และฐำนทัพท่มีก�ำลังทำงเรือท่ม ี หน่วยงำนท่เก่ยวข้องหลำยหน่วยงำน ดังน้นรูปแบบ
ี
ประสิทธิภำพ สำมำรถบังคับบัญชำก�ำลังทำงเรือในกำร โครงสร้ำงของ ศรชล. พิจำรณำตำมภำรกิจ และควำม
ี
ื
ปฏิบัติกำรทำงทหำร โดยสำมำรถเข้ำถึงพ้นท่ขัดแย้ง รับผิดชอบทำงกฎหมำยแล้ว โครงสร้ำงของ ศรชล.
็
ทำงกำรทหำรได้อย่ำงรวดเรว และได้เปรยบทำงกำรรบ ควรแบ่งเป็น ศรชล.เขต เช่นเดิม
ี
ตำมสภำวะระดับควำมขัดแย้งที่เรียกว่ำ Spectrum of
ึ
Conflict ซ่งแนวคิดน้ตรงกับแนวคิดโครงกำรก�ำลัง บทสรุปข้อเสนอเชิงนโยบาย
ี
ทำงเรือ ร.ศ.๑๒๙ ของ กรมหลวงชุมพรฯ และโครงกำร ภาพกองทัพเรือในอนาคต (Future Navy) ในห้วง
เรือ ส. โดยสมเด็จพระมหิตลำธิเบศร อดุลยเดชวิกรม ๒๐ ปี คือ “กองทัพเรือจะเป็นกองทัพ Green-Water
พระบรมรำชชนก โดยมีควำมเหมำะสมกับภูมิยุทธศำสตร์ Navy ท่มีขีดสมรรถนะสูงในการปฏิบัติภารกิจการป้องกัน
ี
ี
ั
ี
ประเทศไทยท่มีท่ต้งของจุดศูนย์ดุลระดับยุทธศำสตร์ ประเทศทางทะเล และการปกป้องผลประโยชน์ของชาต ิ
ิ
้
ั
ื
ั
ื
ู
่
ั
ประเทศ คอ เมองหลวงตงอยกลำงประเทศ (ตรงกบแนวคด ทางทะเล โดยจะเป็นหน่วยงานหลักด้านความม่นคง
ี
ในแผนป้องกันภัยทำงอำกำศของกองทัพไทย) สรุปได้ว่า ทางทะเลท่ประชาชนเช่อม่น ภาคภูมิใจ และเป็น
ื
ั
กองทัพเรือควรแบ่งพื้นท่รับผิดชอบของทัพเรือภาค กองทัพเรือช้นนาในภูมิภาคท่มีบทบาทนาในการรักษา
ี
�
ี
ั
�
ื
้
่
ี
ื
ื
้
่
ี
ั
ิ
ั
ั
เป็น ๒ พนท คอ พนทด้านตะวนออกรบผดชอบ ความม่นคงทางทะเลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ุ
การป้องกันประเทศทางทะเลด้านมหาสมุทรแปซิฟิก การสนบสนน และส่งเสริมการรกษาสนตภาพ และ
ิ
ั
ั
ั
ี
ื
่
ึ
ิ
และพ้นท่ด้านตะวันตกด้านมหาสมุทรอินเดีย ซ่งแนวคิด ความมนคงทางทะเลภายใต้กรอบสหประชาชาตใน
ั
ี
น้จะเป็นกำรปรับโครงสร้ำงกองทัพเรือใหม่ท่แตกต่ำงจำก ภูมิภาคอินโดแปซิฟิก” โดยมยทธศาสตร์กองทัพเรือ
ี
ุ
ี
ปัจจุบันโดยสรุปกำรแบ่งเป็น ๒ ทัพเรือภำค คือ ๒๐ ปี เป็นเอกสำรหลัก หรือ แผนแม่บทกองทัพเรือ
๑. ทัพเรือภำคตะวันออก รับผิดชอบอ่ำวไทย ในกำรปฏิบัติงำนตำมยุทธศำสตร์ชำต ๒๐ ปี โดย
ิ
ช่องแคบมะละกำ มหำสมุทรแปซิฟิก ในวัตถุประสงค์มูลฐำนในกำรป้องกันประเทศนั้นจะม ี
๒. ทัพเรือภำคตะวันตก รับผิดชอบด้ำนทะเล กำรระบุแนวความคิดระดับยุทธศาสตร์ “Double O
อันดำมันต่อไปจนถึงมหำสมุทรอินเดีย Triple A” โดยมีควำมหมำยดังนี้ คือ Double O หรือ
กำรจะท�ำให้ทัพเรือภำคมีควำมพร้อมสูงสุดใน Two Ocean คือ กำรให้ควำมส�ำคัญของกองทัพเรือ
ภำรกิจกำรป้องกันประเทศน้น กำรก�ำหนดหน้ำท ่ ี ในภำรกิจกำรป้องกันประเทศทำงทะเลโดยมีหน่วย
ั
นาวิกศาสตร์ 35
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ื
ั
ั
ี
่
้
รบผิดชอบในระดบพนท ได้แก่ ทัพเรือภาคตะวันออก ในห้วงสถำนกำรณ์วิกฤตใช้หลักกำรการป้องกันเชิงรุก
รับผิดชอบมหำสมุทรแปซิฟิก และ ทัพเรือภาคตะวันตก (Active Defense) และกำรท�ำสงครำมจ�ำกัดในทะเล
รับผิดชอบมหำสมุทรอินเดีย ส่วน Triple A หรือ Three แบบ Decisive Battle ในการป้องกันประเทศ
Area of Operation หมำยถึง สามพื้นที่ปฏิบัติการของ ทางทะเล และการควบคุมทะเล (Sea Control)
ศรชล. (ศรชล.เขต ๑ ศรชล.เขต ๒ และ ศรชล.เขต ๓) ในพ้นทผลประโยชน์ของชำติทำงทะเลในห้วงกำรเจรจำ
่
ี
ื
ิ
�
ในภำรกจกำรค้มครอง และรกษำผลประโยชน์ของชำต ิ ยุติสงครำม โดยในสถำนกำรณ์ปกติ-ขัดแย้งระดับต่ำ
ุ
ั
ทำงทะเลของประเทศไทย สำมำรถใช้ขีดควำมสำมำรถทำงเรือท่มีอยู่ในปัจจุบัน
ี
แนวคิดระดับยุทธการ (Operational Concept) ในภำรกิจกำรคุ้มครองผลประโยชน์ของชำติทำงทะเล
ในยุทธศำสตร์กองทัพเรือ ๒๐ ปีตำมระดับสถำนกำรณ์ กำรรักษำสันติภำพ และควำมมั่นคงทำงทะเลในภูมิภำค
หรือ Spectrum of Conflict ได้แก่ ในสถำนกำรณ์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกำรสนับสนุนควำม
ู
�
่
ั
ิ
ปกติจนถึงสถำนกำรณ์ควำมขัดแย้งระหว่ำงรัฐระดับต่ำ มนคงทำงทะเลภำยใต้กรอบสหประชำชำตในภมิภำค
ใช้หลักกำรการป้องกันเชิงลึก (Defense in Depth) อินโดแปซิฟิก
เอกสารอ้างอิง (Reference)
- Rudiger Wolfrum and Christians Philipp United Nations : Law Policies and Practice (Michigan Law Review 1984) :
1635-1637
- อริศรำ ต้งเทียมยำ “สิทธิป้องกันตนเองปัญหำควำมชอบธรรมด้วยกฎหมำยของกำรป้องกันตนเองล่วงหน้ำ ภำยใต้มำตรำ ๕๑
ั
กฎบัตรสหประชำชำติ” สำรนิพนธ์หลักสูตรนิติศำสตร์มหำบัณฑิต คณะนิติศำสตร์ มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์ ๒๕๔๘
- โครงกำรจัดสร้ำงก�ำลังทำงเรือ ร.ศ.๑๒๙ ของ นำยพลเรือเอก พระเจ้ำบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ำอำภำกรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพร
เขตอุดมศักดิ์
- ควำมเห็นเรื่อง เรือ ส. โดย สมเด็จพระมหิตลำธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมรำชชนก
- หลักนิยมทำงทะเลของกองทัพเรือ (อทร.๘๐๐๑)
- แชน ปัจจุสำนนท์ และ สวัสดิ์ จันทนี : กรณีพิพำทระหว่ำงไทยกับฝรั่งเศส และกำรรบที่ปำกน�้ำเจ้ำพระยำ สมัย ร.ศ.๑๑๒ กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์คุรุสภำ ๒๕๑๙
นิยามศัพท์ส�าคัญ
๑. การป้องกันทางลึก (Defense in Depth) ใน อทร.๘๓๐๗ หมำยถึงกำรป้องกันกองเรือด้วยกำรป้องกันภัยทำงอำกำศ กำรสงครำมปรำบ
ึ
�
เรือด�ำน้ำและเรือผิวน้ำ แต่ควำมหมำยของ กห. สหรัฐฯ Defence in Depth Strategy ซ่งหมำยถึง To delay rather than prevent the
�
advance of an attacker. The more layers of defence you have the attack will lose momentum and you’ll have more time
to respond appropriately.
๒. แผนความมั่นคงแหงชาติทางทะเล พ.ศ.๒๕๕๘ – ๒๕๖๔ นิยำม “อ�านาจอธิปไตย (Sovereignty)” หมำยถึง อ�ำนำจสูงสุดของรัฐ
่
ในกำรปกครองประเทศที่จะด�ำเนินกิจกรรมในทำงเศรษฐกิจ สังคม กำรเมือง ภำยในอำณำเขตแหงรัฐ ซึ่งเป็นไปตำมหลักกฎหมำยระหว่ำงประเทศ
่
ั
ิ
ี
และ สิทธิอธิปไตย (Sovereign Rights) หมำยถึง สิทธิในกำรส�ำรวจ แสวงประโยชน์ อนุรักษ์และจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำต ท้งท่มีชีวิตหรือ
�
ื
ื
ไม่มีชีวิตในน้ำ เหนือพ้นดินท้องทะเล ในพ้นดินท้องทะเลกับใต้ดินท้องทะเล และมีสิทธิในส่วนกิจกรรมอ่นเพ่อกำรแสวงประโยชน์และกำรส�ำรวจ
ื
ื
่
ทำงเศรษฐกิจ เช่น กำรผลิตพลังงำนจำกน�้ำและลมในเขตเศรษฐกิจจ�ำเพำะและไหลทวีป
นาวิกศาสตร์ 36
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
รากฐานความคิดทางการเมืองระหว่างประเทศของกองทัพเรือ
สมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ : ทฤษฎีสัจนิยมและเสรีนิยม(ตอนจบ)
นาวาเอก หัสไชยญ์ มั่งคั่ง
๓. ช่องว่างทางความคิดระหว่างทฤษฎีสัจนิยมและ วิธีการให้ตนเองอยู่รอด รัฐก็เหมือนกับมนุษย์ ต่างแสวงหา
้
เสรีนิยม อ�านาจอยู่ตลอดเวลาเพื่อใหตนเองอยู่รอดภายใตสภาวะ
้
ื
ั
ิ
่
ิ
ั
ี
เมอเปรียบเทียบทฤษฎีสจนยมกบทฤษฎีเสรีนยม อนาธิปไตยท่ไร้รัฐบาล
ึ
ิ
จะพบความแตกต่างซ่งเป็นช่องว่างทางความคิดระหว่าง ทฤษฎีเสรีนิยมเร่มต้นต่างจากทฤษฎีสัจนิยม
ั
ื
ทฤษฎีท้งสองในประเด็นเร่องธรรมชาติของมนุษย์ และ โดยมองว่าก่อนท่มนุษย์จะมารวมตัวเป็นรัฐ มนุษย์อยู่ใน
ี
รัฐ ปัจจัยต่อความร่วมมือและความขัดแย้งระหว่างประเทศ สภาวะธรรมชาติท่มีกฎธรรมชาติอย เช่น กฎผลประโยชน์
ู่
ี
�
และข้อเสนอแนะต่อความม่นคงระหว่างประเทศ ต่างตอบแทน กฎการไม่ทาร้ายกัน เป็นต้น มนุษย์จึงม ี
ั
ดังมีรายละเอียดดังต่อไปน ้ ี ความเจริญถึงระดับหน่งไม่เหมือนกับมนุษย์ตามแนวคิด
ึ
ื
๓.๑ ธรรมชาติของมนุษย์และธรรมชาติของรัฐ ของสัจนิยม แต่เน่องจากบางคร้งเกิดความขัดแย้งกัน
ั
ิ
ื
ี
ี
�
ื
�
ทฤษฎีสัจนิยมเร่มต้นด้วยการมองว่าก่อนท่มนุษย์ ในเร่องทรัพย์สิน เช่น การรุกลาท่ทากินผู้อ่น การลักขโมย
้
จะมารวมตัวเป็นรัฐ มนุษย์อยู่ในสภาวะสงครามท่ต้อง ทรัพย์สินของเพ่อนบ้าน เป็นต้น และไม่มีใครเป็นคนกลาง
ื
ี
ื
ต่อสู้ด้นรนเพ่อความอยู่รอด ชีวิตแต่ละวันเต็มไปด้วย ในการตัดสินข้อพิพาท มนุษย์จึงตัดสินใจร่วมกัน
ิ
ี
ึ
ความหวาดระแวงว่าผู้ใดจะมาทาร้าย ด้วยเหตุน้มนุษย์ สร้างรัฐข้นมาเพ่อเป็นคนกลาง และธรรมชาติของมนุษย ์
ื
�
ั
ี
จึงไม่สามารถอยู่ในสภาวะเช่นน้ต่อไปได้ จึงรวมตัวจัดต้ง ด้านท่เป็นอารยะตามกฎธรรมชาติก็ติดตัวมนุษย์มาด้วย
ี
�
ึ
สถาบันทางการเมืองข้นเรียกว่ารัฐ และมอบอานาจให้กับ รัฐเป็นการรวมตัวของมนุษย์ก็มีธรรมชาติเหมือนมนุษย์
่
่
้
องค์อธิปัตย์ควบคุมพฤติกรรมของแต่ละคนไม่ให้ทาร้ายกัน และรวมมอกนเพอผลประโยชนตางตอบแทนได ตางจากรฐ
ั
ื
ื
่
�
์
่
ั
ี
ิ
ึ
ื
รัฐเกิดข้นมาเพ่อยุติสภาวะสงครามตามธรรมชาต อย่างไร ในแนวคิดสัจนิยมท่อยู่ในสภาวะหวาดระแวงตลอดเวลา
ื
�
ื
ิ
ก็ตาม เม่อมนุษย์มารวมตัวกันเป็นรัฐแล้วก็ไม่สามารถละท้ง จึงต้องการอานาจเพ่อลดความกลัวของตนเองลง
ึ
ความกลัวซ่งเป็นพ้นฐานของตนเองในสภาวะธรรมชาต ิ ธรรมชาติของมนุษย์และรัฐของทฤษฎีสัจนิยมและ
ื
ไปได้ ดังน้น การท่มนุษย์จะอยู่รอดได้ต้องแสวงหาอานาจ เสรีนิยมท่ต่างกันเช่นน้ส่งผลต่อการอธิบายเหตุผลต่อ
ั
ี
�
ี
ี
สัจนิยมจึงมองว่าอานาจเป็นท้งเป้าหมายปลายทาง และ ปรากฏการณ์ทางความสมพนธ์ระหว่างประเทศและ
ั
ั
�
ั
นาวิกศาสตร์ 37
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ื
พฤติกรรมของกองทัพเรือสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ท ่ ี ในกรณีของสัจนิยม ปัจจัยพ้นฐานไม่ว่าประเทศ
แสดงออกมาในรูปของความร่วมมือและความขัดแย้ง จะร่วมมือหรือขัดแย้งกันคือ “ความต้องการให้ตนเองอยู่รอด
ึ
�
ระหว่างประเทศในประเด็นต่อไป (survival)” ซ่งประเทศต่าง ๆ ต้องแสวงหาอานาจ
ื
ื
่
ื
๓.๒ ปัจจัยต่อความร่วมมือและความขัดแย้ง เป็นเคร่องมือพ้นฐานเพอรับประกันความอยู่รอด
ระหว่างประเทศ ของตนเอง หากเป็นมหาอานาจก็ต้องการอานาจสูงสุด
�
�
�
ื
การทาความเข้าใจเร่องความร่วมมือ และความขัดแย้ง เพ่อรับประกันความเป็นไปได้ท่ตนเองจะอยู่รอดในระบบ
ี
ื
ระหว่างประเทศว่ามีท่มาจากเหตุผลใดน้นจาเป็นต้องม ี อนาธิปไตยท่ไม่มีรัฐบาลโลกคอยตรวจสอบพฤติกรรม
ั
ี
�
ี
ื
ื
พ้นฐานทางทฤษฎีสัจนิยมและเสรีนิยมในเร่องธรรมชาต ิ ของแต่ละประเทศ แต่ในกรณีของเสรีนิยม ปัจจัย
ั
์
ิ
ุ
ของมนษยและธรรมชาตของรัฐดงทกลาวมา เพราะทาท ี พ้นฐานคือ “ความต้องการให้ระบบระหว่างประเทศ
่
ื
่
ี
่
ของมนุษย์ หรือรัฐจะกาหนดว่ารัฐจะดาเนินนโยบาย เกิดเสถียรภาพ (stability) และความเจริญรุ่งเรือง
�
�
ื
ี
ั
ุ
ั
ื
ี
ในแบบร่วมมอ หรอขดแย้งกน เช่น กรณสยามในยค (prosperity)” ต่างจากกรณีของสัจนิยมท่ต้องการให้
�
�
ั
�
อาณานิคมจาเป็นต้องเอาตัวรอดจากมหาอานาจยุโรป ตนเองเท่าน้นอยู่รอด ส่วนระบบจะเป็นอย่างไรไม่สาคัญ
ก็จะรู้สึกว่าตนเองอยู่ในสภาวะธรรมชาติแบบสัจนิยม กล่าวง่าย ๆ คือ จุดมุ่งของสัจนิยม คือ ความอยู่รอด
ิ
และหาทางเสริมสร้างอานาจของตนเองด้วยการเพ่ม ของตนเอง จุดมุ่งของเสรีนิยม คือ เสถียรภาพและ
�
�
ขีดความสามารถทางทหารสมัยใหม่ หรือไม่ก็เข้าร่วมมือ ความรุ่งเรืองของระบบซ่งก็แล้วแต่ยุคสมัยจะกาหนด
ึ
เป็นพันธมิตรกับมหาอานาจยุโรป เช่น รัสเซีย ว่าระบบน้นคืออะไร เช่น ระบบภายใต้สหประชาชาต ิ
ั
�
แต่หากไทยในยุคปัจจุบันท่มีประชาคมอาเซียนต้องการ หลังสงครามโลกคร้งท่สอง ปัจจุบันคือระบบเศรษฐกิจ
ั
ี
ี
ั
์
ื
ุ
แสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม ก็จะรู้สึก ทุนนิยมเสรียคโลกาภิวัตน เป็นต้น ปัจจยพนฐานเหล่าน ้ ี
้
ว่าตนเองอยู่ในสภาวะธรรมชาติแบบเสรีนิยม และหาทาง จะช้ว่าประเทศต่าง ๆ จะร่วมมือหรือขัดแย้งในประเด็น
ี
ื
ิ
เปิดการค้าเสรีในทุกด้านเพ่อเพ่มการค้าการลงทุน เป็นต้น อะไรระหว่างกัน
อย่างไรก็ตาม ผู้ศึกษาหลายท่านยังติดกับดักของการ ๓.๓ ข้อเสนอแนะต่อความม่นคงระหว่างประเทศ
ั
ี
ลดทอน (reductionism) อย่างง่าย ๆ โดยมองว่าหาก ข้อเสนอแนะท่ทฤษฎีสัจนิยมและเสรีนิยมเสนอ
คิดแบบสัจนิยมแล้วจะมีแต่ความขัดแย้งเพราะทุกประเทศ เพ่อให้เกิดความม่นคงระหว่างประเทศมีท่มาจากธรรมชาต ิ
ื
ั
ี
ี
�
�
เห็นแก่ตัวหมด ความเห็นแก่ตัวนามาแต่ความขัดแย้ง ของมนุษย์และรัฐ รวมถึงปัจจัยพื้นฐานท่ทาให้เกิด
ี
ิ
ื
แต่หากคดแบบเสรนิยมแล้วจะมแต่ความร่วมมอเพราะ ความร่วมมือและความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยสัจนิยม
ี
ึ
ั
ทุกประเทศเป็นอารยะ เห็นประโยชน์ส่วนรวมจึงทาให้ เสนอว่าความม่นคงระหว่างประเทศจะเกิดข้นได้
�
�
เกิดความร่วมมือ วิธีการคิดเช่นน้จะคลาดเคล่อน และ ด้วยสภาวะ “ดุลอานาจ (balance of power)” เพราะ
ื
ี
ื
นาไปสู่การมองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศท่บิดเบือนได้ พ้นฐานมนุษย์และรัฐคือความกลัว การสร้างสมดุล
ี
�
�
เพราะในโลกความเป็นจริงการเอาตัวรอดแบบสัจนิยม ให้เกิดข้นระหว่างประเทศก็จะทาให้ประเทศต่าง ๆ
ึ
�
ก็สามารถทาให้เกิดความร่วมมือได้ เช่น การสร้างกฎ กลัวว่าหากเร่มสร้างความขัดแย้งและก่อสงครามข้น
ึ
ิ
็
�
้
ี
่
่
่
ั
ั
การเดินเรือสากลเพราะไม่ต้องการให้เรือชนกันและ และตนเองไมไดรบชยชนะ กจะไมเสยงทาสงครามเพราะ
ั
่
ึ
เกิดหายนะ การเข้าเป็นพันธมิตรกับมหาอานาจก็ถือเป็น ไมมนใจวาตนเองจะชนะหรอไม สานกสจนยมยอยสานกหนง
่
�
ั
ิ
่
ั
ื
่
่
ั
�
�
่
ความร่วมมือตามแนวคิดสัจนิยมเช่นกัน เป็นต้น ดังน้น มองว่าดุลอานาจเป็นกลไกท่เกิดข้นเองตามธรรมชาต ิ
ั
�
ึ
ี
ั
�
ึ
ี
ผู้ศึกษาต้องตระหนักถึงปัจจัยท่แท้จริงท่ทาให้ประเทศ ไม่ว่าประเทศต่าง ๆ ต้งใจจะสร้างให้เกิดข้นหรือไม่ก็ตาม
ี
ี
ี
ต่าง ๆ ร่วมมือหรือขัดแย้งกันตามท่ทฤษฎีกล่าวเอาไว้ ทฤษฎีเสรีนิยมมีข้อเสนอท่ต่างออกไปจากสัจนิยม
นาวิกศาสตร์ 38
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
เพราะมองธรรมชาติของรัฐและมนุษย์ต่างกัน เสรีนิยม จริยศาสตร์ (ethics) ทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
�
มองว่ามีกฎธรรมชาติกากับพฤติกรรมของมนุษย์และรัฐ ฮอฟแมนตอบค�าถามว่า “อะไรที่เรียกว่าจริยธรรม
ั
ี
อยู่ในขณะท่สัจนิยมมองว่ากฎธรรมชาติน้นมีอยู่ รัฐจะมีพฤติกรรมท่มีจริยธรรมได้หรือไม่ และถ้ามีจะเกิดข้น
ึ
ี
ื
ื
เร่องเดียวเท่าน้นคือ “กฎแห่งป่า” หรือหลักการท ี ่ ภายใต้เง่อนไขอะไรบ้าง” (What could be called
ั
ผู้แข็งแกร่งกว่าย่อมอยู่รอด (survival of the fittest) the moral itself? Can there be moral behavior
ั
ดังน้นเสรีนิยมจึงมองว่าประเทศต่าง ๆ สามารถเข้าใจ in international affairs? If so, under what
ี
ิ
ั
้
กฎธรรมชาตนและร่วมมอกนได้ สามารถสร้างกลไก conditions?) โดยเริ่มด้วยประเด็นในทางความสัมพันธ์
ื
�
บางอย่างร่วมกันอันจะนาไปสู่ความม่นคงระหว่าง ระหว่างประเทศ ได้แก่
ั
ประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นองค์การระหว่างประเทศ กฎหมาย
ระหว่างประเทศ การค้าการลงทุนระหว่างประเทศ
อุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยระหว่างประเทศ หนทางของ
ิ
ั
ั
่
เสรีนยมในการสร้างความมนคงระหว่างประเทศน้นม ี
ความหลากหลาย แต่ท้งหมดน้มีพ้นฐานมาจากธรรมชาต ิ
ื
ี
ั
ิ
้
ั
ของมนษย์ รฐ และปัจจยเบองต้นในพฤตกรรมระหว่าง
ื
ุ
ั
ื
ประเทศ คอความต้องการให้ระบบระหว่างประเทศ
�
ึ
เกิดเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองอันจะนามาซ่ง
ผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศต่าง ๆ
๔. การประนีประนอมทฤษฎีสัจนิยมและเสรีนิยมในทาง
ปฏิบัติ
ในทางปฏิบัต ช่องว่างระหว่างทฤษฎีสัจนิยม และ
ิ
ี
เสรีนิยมไม่ได้ห่างกันดังท่กล่าวมา มีวรรณกรรม
�
ึ
้
ั
ทางความสมพันธ์ระหว่างประเทศจานวนหน่งท่ชว่า
ี
ี
ั
ในทางการทูต ผู้กาหนดนโยบายต้องใช้ทฤษฎีท้งสอง
�
ควบคู่กันเพราะในโลกความเป็นจริง ความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศดาเนินไปตามหลักการของสัจนิยม
�
�
�
�
�
และเสรีนิยม การทาความเข้าใจควรแยกวิเคราะห์ ๑ ) . การใช้กาลัง (use of force) คาถาม คือ การใช้กาลัง
�
แต่ในทางปฏิบัติต้องลดช่องว่างทางความคิดลง มีข้อจากัดอย่างไร สหรัฐอเมริกามีสิทธิใช้กาลังแทรกแซง
�
ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ท่กาลังเผชิญอยู่ ในท่น ้ ี รัฐอ่นได้หรือไม่ และเม่อแทรกแซงจะใช้กาลังท่เหมาะสม
ี
ื
ื
ี
�
�
ี
จะพิจารณาแนวความคิดของ สแตนลีย์ ฮอฟแมน อย่างไร
(Stanley Hoffmann) ในบทความว่าด้วยจริยศาสตร์ ๒ ). สิทธิมนุษยชน (human rights) เกิดคาถามว่า
�
ี
ั
่
็
๑๐
ทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในบทความน ้ ี ประเดนนเกยวข้องกบนโยบายต่างประเทศมากน้อย
้
ี
่
ิ
็
ึ
ฮอฟแมนเรมต้นด้วยการกล่าวถงประเดนทาง เพียงใด สิทธิแบบใดที่เกี่ยวข้องกับนโยบายต่างประเทศ
๑๐ Stanley Hoffmann, Duties beyond Borders: On the Limits and Possibilities of Ethical International Politics (New York: Syracuse
University Press, 1980), pp. 1-43.
นาวิกศาสตร์ 39
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ี
�
ื
คุ้มค่าหรือไม่ท่รัฐจะสนับสนุนประเด็นเร่องสิทธิมนุษยชน สาหรับ แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ก็มองไม่ต่างจากฮอบส์
ี
๓ ). ความยุติธรรมในการจัดสรร (distributive justice) เท่าใดนัก โดยท่เวเบอร์แยกจริยธรรมออกเป็น ๒ แบบ
ี
ื
�
คือ ความยุติธรรมท่เก่ยวข้องกับเร่องการจัดสรรภาระ คือ จริยธรรมของพวกนักบุญหรือพระ กับจริยธรรมของผู้นา
ี
ี
ี
หน้าท่และสิทธิประโยชน์ เช่น การท่ประเทศท่พัฒนา พวกพระหรือนักบุญจะมีโอกาสในการประพฤติปฏิบัติตน
ี
แล้วจะต้องช่วยเหลือจัดสรรทรัพยากรให้กับประเทศ ให้สอดคล้องกับหลักการทางจริยธรรมได้ง่าย เน่องจาก
ื
ด้อยพัฒนาอย่างเหมาะสม ตามความขาดแคลน ความรับผิดชอบของพวกนักบุญต่างจากความรับผิดชอบ
�
ี
�
ั
ของประเทศเหล่าน้น เป็นต้น คาถามท่ตามมา คือ ของผู้นารัฐ เวเบอร์เรียกจริยธรรมของผู้นารัฐว่าเป็น
�
ความจ�าเป็น (obligation) ท่จะต้องช่วยเหลือของ “จริยธรรมแห่งความรับผิดชอบ (ethics of responsibility)”
ี
ึ
ี
�
ประเทศพัฒนาแล้วมีจริงหรือไม่ ปริมาณ และคุณภาพของ ซ่งหมายความว่าผู้นารัฐ มีหน้าท่รับผิดชอบต่อชีวิต
ั
ความช่วยเหลือควรเป็นอย่างไร ของประชาชนในรัฐ ซ่งในหลายต่อหลายคร้งผู้นารัฐ
�
ึ
ท่ได้กล่าวมาท้งหมดดูเหมือนว่า ปัญหาทางจริยธรรม จาเปนต้องอาศยอานาจ หรอความรุนแรงในการปกป้อง
ี
ั
�
ั
ื
�
็
�
ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีอยู่มากมาย และ ความอยู่รอดของรัฐและประชาชน เช่น การทาสงคราม
�
�
ี
�
�
ี
คาตอบมีได้หลากหลายตามท่แต่ละบุคคลเห็นว่าถูกต้อง สรุปแล้วผู้นารัฐมีข้อจากัดอย่างมากท่จะทาตาม
เหมาะสม แต่ฮอฟแมนพยายามสร้างความชัดเจน หลักการทางจริยธรรมเมื่อเทียบกับนักบุญหรือพระ
�
ิ
ึ
ให้เกิดข้น โดยเร่มสารวจปัญหาทางจริยธรรม
ี
ั
ท่มอยู่จริงในความสัมพนธ์ระหว่างประเทศ และ
ี
ั
เสนอแนะแนวทางในการผสมผสานจริยธรรมกบนโยบาย
ิ
ี
่
ึ
ั
ต่างประเทศ รวมท้งปัญหา และอุปสรรคทอาจเกดขน
้
ในทางปฏิบัต ิ
๔.๑ ปัญหาทางจริยธรรมในความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศ
ั
ฮอฟแมนต้งประเด็นคาถาม และยกเป็นหัวข้อ
�
ื
ในการอธิบายประเด็นเร่องของจริยธรรม ในความสัมพันธ์
�
ระหว่างประเทศไว้สองประเด็น ประเด็นแรก ผู้นารัฐ
ี
่
�
จะมโอกาสเลอกดาเนินนโยบายตางประเทศทตอบสนอง
ื
ี
่
ี
ต่อวัตถุประสงค์ทางจริยธรรมได้หรือไม่ และประเด็นท่สอง
ถ้าเป็นไปได้ข้อจากัดในการดาเนินนโยบายดังกล่าว
�
�
ั
ี
ั
้
ี
มอะไรบ้าง คาตอบต่อคาถามทงสองมรายละเอยดดงน ้ ี
�
�
ี
ี
๑ ). นโยบายต่างประเทศท่มีเป้าหมายเชิงจริยธรรม
มีความเห็นจากนักปรัชญาการเมืองหลายท่าน
ต่อประเด็นน ฮอฟแมนเร่มต้นท โทมัส ฮอบส์ (Thomas
่
ี
ี
้
ิ
ื
ี
Hobbes) ซ่งมองว่าเร่องทางจริยธรรมไม่เก่ยวข้อง
ึ
ื
กับนโยบายต่างประเทศ เน่องจากสภาวะธรรมชาต ิ
�
ของมนุษย์และรัฐเป็นสภาวะแห่งสงคราม (state of war) ต่อมาฮอฟแมนยกตัวอย่างนักคิดสานักกฎหมาย
ั
�
เป้าหมายของรัฐ คือ ความม่นคง และการอยู่รอดเท่าน้น ธรรมชาต (natural law) และสานักประโยชน์นิยม
ิ
ั
นาวิกศาสตร์ 40
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ั
�
(utilitarianism) ท้งสองสานักมองว่ามนุษย์มาอยู่ร่วมกัน “ความอยู่รอด” เป็นเสมือนหนึ่งกติกาส�าคัญระหว่างรัฐ
ื
่
ั
�
ั
�
ั
ในสงคมเนองมาจากการมีบรรทดฐานร่วมกน และ รัฐจาเป็นต้องดาเนินนโยบายเพื่อความอยู่รอดก่อน
ผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ในทางความสัมพันธ์ระหว่าง แล้วประเด็นทางความยุติธรรม หรือจริยธรรมค่อยตามมา
ประเทศบรรทัดฐานร่วมกันระหว่างประเทศต่าง ๆ น้น ประการที่สอง ปัจจัยทางความคิดในความสัมพันธ์
ั
ี
ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างรัฐ ระหว่างประเทศ กฎเกณฑ์ท่มีอยู่มิได้มีเพียงอย่างเดียว
ุ
็
ื
่
ั
็
่
ั
ั
ั
ี
ั
กมลกษณะชวครงชวคราวเท่านน เหตผลหลกกคอ และกฎเกณฑ์หลายประการก็มีลักษณะขัดกับหลักการ
้
ั
้
ไม่มีอานาจกลาง (central power) ระหว่างรัฐในการ ทางจริยธรรมด้วย เช่น หลักการแทรกแซงเพ่อ
�
ื
จัดระเบียบให้เกิดข้น ฮอฟแมนยกตัวอย่างความคิดของ มนุษยธรรม หรือหลักการโจมตีก่อน (preemption)
ึ
ี
ี
ึ
ฌ็อง-ฌัก รูโซ (Jean-Jacques Rousseau) ซ่งมองว่า แต่หลักการร่วมท่ส�าคัญของรัฐท่ไม่เข้ากับหลักจริยธรรม
ั
ในสภาวะอนาธิปไตยระหว่างประเทศ รัฐจะเป็นห่วงและ เป็นอย่างยงคือ “ความเหนแก่ประโยชน์ตนเองของรฐ
ิ
่
็
ื
ั
ี
คิดคานวณแต่เร่องผลประโยชน์ของตนเองเท่าน้น และ (national egoism)” ประเด็นน้จึงเป็นอุปสรรคอีกประการ
�
ั
�
ผลประโยชน์ดงกล่าวจะแปรผนไปตามสถานการณ์ หนึ่งในการท่รัฐไม่สามารถดาเนินนโยบายให้สอดคล้อง
ั
ี
ท่เปล่ยนแปลงไป ด้วยเหตุน้หลักจริยธรรมท่ชัดเจนตายตัว กับหลักจริยธรรมได้
ี
ี
ี
ี
ระหว่างรัฐจึงเกิดข้นได้ยาก ประการสุดท้าย ปัจจัยทางการเมืองสภาวะอนาธิปไตย
ึ
๒ ). เหตุใดทางเลือกในการดาเนินนโยบายต่างประเทศ ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทาให้การเมืองมีความ
�
�
จึงมีไม่มากนัก ไม่แน่นอนสูงมาก การเมืองระหว่างประเทศมีลักษณะ
ี
�
ี
ี
ฮอฟแมนช้ถึงเหตุท่ทาให้หลักจริยธรรมท่ชัดเจน เป็นพลวัตสูง (dynamic) การประเมินสถานการณ์
ตายตัวระหว่างรัฐเกิดข้นได้ยากไว้ ๓ ประเด็น คือ ปัจจัย ของผู้นารัฐจึงมีอุปสรรคมาก ก่อให้เกิดการตีความ
�
ึ
ทางโครงสร้าง (structural reason) ปัจจัยทางความคิด ในสถานการณ์ในทางลบเสียเป็นส่วนมาก ผลการ
�
(philosophical reason) และปัจจัยทางการเมือง ดาเนินนโยบายจึงขัดกับหลักจริยธรรมได้ง่าย อีกท้ง
ั
่
(political reason) ซงมีรายละเอยดดงต่อไปน ้ ี ผู้นารัฐก็มีข้อจากัดทางจริยธรรมจากภายในประเทศ
ั
ี
�
ึ
�
ั
ึ
ประการแรก ปัจจยทางโครงสร้าง มนษย์ในฐานะปัจเจก ซ่งมาจากการเรียกร้องของประชาชน และสถานการณ์
ุ
ี
บุคคลมีทางเลือกในการประพฤติตามหลักจริยธรรมได้ ทางการเมืองในรัฐของตนท่บีบให้ผู้นารัฐจาเป็นต้อง
�
�
�
้
แต่เม่อมารวมกันเป็นกลุ่มแล้ว มนุษย์ในฐานะกลุ่มบุคคล ดาเนนนโยบายเพอตอบสนองการเรยกรองจากภายในรฐ
ื
ี
่
ิ
ั
ื
จะมีพฤติกรรมในการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง และอาจก่อให้เกิดการละเมิดจริยธรรมของรัฐอ่น
ื
ิ
�
โดยเฉพาะอย่างย่ง เม่อก่อเกิดเป็นรัฐแล้วผู้นารัฐ ฮอฟแมนท้งท้ายด้วยการประเมินว่าจะเกิดผลอย่างไร
ื
ิ
จาเป็นอย่างย่งท่จะต้องปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ กับการท่ผู้นารัฐมีข้อจากัดในการดาเนินนโยบาย
�
ี
�
ี
�
ิ
�
ั
ึ
อย่างเต็มท ดังน้นโอกาสในการละเมิดหลักจริยธรรม ต่างประเทศให้สอดคล้องกับหลักจริยธรรม ซ่งสรุปได้ว่า
่
ี
เม่อมนุษย์มารวมตัวกันเป็นรัฐจึงเกิดข้นได้ง่ายอย่างย่ง ผู้นารัฐจะให้นาหนักกับประเด็นทางจริยธรรมระหว่าง
ื
�
ิ
ึ
้
�
ื
ึ
อีกประการหน่งเป็นเร่องความแตกต่างระหว่างการเมือง ประเทศในลาดับท้าย ๆ ในนโยบายต่างประเทศ และ
�
�
�
ี
ภายในกับการเมืองระหว่างประเทศ สาหรับการเมือง การทาเช่นน้อย่างต่อเน่องของรัฐต่าง ๆ ก่อให้เกิดหลัก
ื
ี
ึ
ี
ภายใน รัฐจะมีกรอบกฎเกณฑ์ท่สมาชิกจะต้องปฏิบัติตาม จริยธรรมข้นมาใหม่ท่แยกออกจากระบบจริยธรรมสากล
อย่างชัดเจนซ่งจะสอดคล้องกับหลักจริยธรรมต่างจาก ซึ่งก็คือรัฐจะมองเพียงว่าอะไรก็ตามท่ตอบสนอง
ึ
ี
ี
่
ุ
่
ิ
ิ
การเมืองระหว่างประเทศท่มีลักษณะอนาธิปไตย ต่อผลประโยชน์แห่งชาตเป็นสงทถกต้องชอบธรรมทสด
ี
ู
่
ี
ี
ไม่มีกฎเกณฑ์ท่แน่นอนตายตัว และเป็นท่รู้กันว่า ไม่ว่าผลประโยชน์น้นจะได้มาด้วยวิธีการใดก็ตาม
ั
ี
นาวิกศาสตร์ 41
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ื
�
ิ
ี
ั
หลักจริยธรรมเพ่อผลประโยชน์แห่งชาต (moral คือเป้าหมายท่สาคัญน้นมีอุปสรรคพอสมควร ประการแรก
ี
national interest) น้เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง คือ ใครจะเป็นผู้ตัดสินความถูกต้องชอบธรรมของเป้าหมาย
ี
้
ี
ี
ต่อสังคมระหว่างประเทศ เหล่าน ประการท่สอง คือ การช้ถึงเป้าหมายให้ชัดเจนลงไป
ี
�
ึ
ั
๔.๒ จริยธรรมในพฤติกรรมนโยบายต่างประเทศ น้นทาได้ยาก นโยบายหน่ง ๆ จะมาจากกระบวนการท่ซับซ้อน
ี
หลังจากท่ฮอฟแมนวิเคราะห์ปัญหาทางจริยธรรม ยากท่จะกาหนดเป้าหมายให้ชัดเจนลงไปได้ ประการ
�
ี
�
ี
ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว ก็กล่าวถึงมาตรการ สุดท้าย คือ การจัดลาดับความสาคัญให้กับเป้าหมายท่มีอย ู่
�
การตัดสินประเด็นทางจริยศาสตร์ สาหรับเร่อง ทาได้ลาบากเพราะเป้าหมายบางอย่างอาจมีการขัดกันเอง
�
ื
�
�
ี
ึ
ี
ิ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ฮอฟแมนเห็นว่าข้นอยู่กับ ประการท่สอง วิธีการเป็นส่งท่ผู้นารัฐต้องพิจารณา
�
ื
บริบทหรือสถานการณ์ มีลักษณะสัมพัทธ์ (relative) ด้วยอีกหน่งประการ เน่องจากการใช้วิธีการท่ไม่ชอบธรรม
ี
ึ
�
ี
และเป็นจริยศาสตร์ท่เน้นผล (ethics of consequences) อาจทาลายเป้าหมายท่รัฐต้องการได้ง่าย อิสระในการ
ี
กล่าวคือการดาเนินนโยบายต่างประเทศจะนามาซ่ง เลือกใช้เครื่องมือเพื่อด�าเนินนโยบายของผู้น�ารัฐแต่ละรัฐ
�
�
ึ
ผลท่ดีต่อประเทศของตนหรือไม่ เช่น การท่สหรัฐอเมริกา มีแตกต่างกัน ข้นอยู่กับข้อจากัดทางสถานการณ์การเมือง
ึ
�
ี
ี
�
ทาสงครามในอิรักคร้งท ๒ ผู้นาสหรัฐอเมริกา ไม่ได้มองว่า ระหว่างประเทศ ถึงแม้ว่าสภาพการเมืองระหว่างประเทศ
ั
�
ี
่
ึ
�
�
�
ี
�
การทาสงครามจะนามาซ่งการสูญเสียชีวิตมนุษย์ มีความไม่แน่นอนสูง แต่ผู้นารัฐก็จาเป็นท่จะต้องเลือกวิธ ี
ี
�
ี
ื
ั
ซ่งเป็นข้อพิจารณาทางจริยธรรมท่เป็นเร่องของหลักการ การดาเนินนโยบายท่ขัดกับหลักการทางจริยธรรมท่วไป
ึ
ท่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นทหารอเมริกันเอง หรือประชาชน และขัดกับเป้าหมายของรัฐให้น้อยท่สุด กล่าวง่าย ๆ
ี
ี
บริสุทธ์ชาวอิรักหรือไม่ แต่ประธานาธิบดีบุชจะมองว่า คือ ผู้นารัฐจะต้องมีศิลปะในการเลือกวิธีการท่สอดคล้อง
ี
ิ
�
ั
ึ
้
�
ี
ั
สงครามจะนามาซ่งผลท่ดีต่อสหรัฐอเมริกาเอง เช่น กบเป้าหมายของรัฐ และทงวิธการและเป้าหมาย
ี
ั
�
้
ผลประโยชน์ทางนามันในตะวันออกกลางหรือไม่ ดังน้น จะต้องสอดคล้องกันมีความชอบธรรม และได้รับการ
ิ
ส่งท่ดีในทางการเมืองระหว่างประเทศจึงเป็นการอ้าง ยอมรับจากนานาประเทศอีกด้วย
ี
�
ั
้
้
หลักการท่หนักแน่นน่าเช่อถือ (sound principles) ประการสดทาย ขอจากดทางจรยธรรมหมายความวา ่
ิ
ุ
ื
ี
�
ื
เพ่อให้เกิดประสิทธิผล (effectiveness) เท่าน้น ผู้นารัฐจะต้องพิจารณาถึงข้อเรียกร้องทางจริยธรรม
ั
ื
ื
�
เม่อจริยธรรมของผู้นารัฐมีลักษณะเป็นจริยศาสตร์ จากประเทศอ่น ๆ อีกด้วย หน้าที่ทางจริยธรรมของผู้นารัฐ
�
แบบการเน้นท่ผลแล้ว ปัญหาเชิงบรรทัดฐาน (normative) โดยเฉพาะอย่างย่งรฐมหาอานาจ นอกเหนือจากความ
ี
ิ
�
ั
ี
ึ
หรือเกณฑ์การวัดว่านโยบายท่ดีคืออะไรจึงเกิดข้น รับผิดชอบต่อประเทศของตนเองแล้ว จะต้องรับผิดชอบ
ี
ฮอฟแมนเสนอว่าจริยธรรมของผู้น�ารัฐจะต้องประกอบด้วย ต่อการเปล่ยนแปลงระบบระหว่างประเทศจากสภาพ
พ้นฐานสาคัญ ๓ ประการท่ประสานสอดคล้องกัน ได้แก่ แห่งป่า (state of jungle) ท่รัฐมุ่งแสวงหาความอยู่รอด
ี
ี
�
ื
เป้าหมาย (ends) เครื่องมือหรือวิธีการ (means) และ และผลประโยชน์ของตนเท่าน้น ไปสู่สภาพชุมชนระหว่าง
ั
ข้อจากัดทางจริยธรรม (self-restraint) โดยมีรายละเอียด ประเทศ (international society) ท้งน้เน่องจาก
�
ื
ั
ี
ี
ดังนี้ การมีชุมชนระหว่างประเทศน้เองจะเปิดโอกาสให้
ึ
�
�
ประการแรก เป้าหมายเป็นส่งสาคัญประการแรก จริยธรรมระหว่างประเทศปรากฏข้น และช่วยให้ผู้นารัฐ
ิ
ี
�
้
่
้
ี
ี
้
ทผนารฐจะตองคานงถง โดยทจะตองมการวางเปาหมาย ดาเนินนโยบายต่างประเทศท่สอดคล้องกับหลักการ
�
�
้
ี
่
ู
ึ
ึ
ั
การดาเนินนโยบายต่างประเทศอย่างเป็นระบบ สอดคล้อง ทางจริยธรรมได้ง่ายข้น เท่ากับการลดสภาวะทางแพร่ง
�
ึ
�
กับสภาพความเป็นจริง และมีการจัดลาดับความสาคัญ ทางจริยธรรม (moral dilemma) ในนโยบายต่างประเทศ
�
ั
่
ในเป้าหมายอย่างชดเจน อยางไรกตาม การระบุวาอะไร ได้ด้วย
่
็
นาวิกศาสตร์ 42
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ี
้
ในประเด็นน ฮอฟแมนอ้างถึงปรัชญาการเมือง (justice) ว่าใครได้ประโยชน์ รัฐหรือปัจเจกบุคคล
ึ
ี
ื
ของ อิมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant) ซ่งเสนอว่า สรุปว่าปัญหาน้เป็นเร่องของความเสมอภาคระหว่าง
จุดเร่มต้นในการท่มนุษย์จะร่วมกันสร้างสังคมระหว่าง ปัจเจกบุคคลท่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันภายใต้
ี
ี
ิ
ื
ประเทศเกิดข้นภายในรัฐ น่นคือรัฐจะต้องปกครอง กฎเกณฑ์อย่างเดียวกัน และเป็นเร่องสิทธิของปัจเจกบุคคล
ั
ึ
ด้วยรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญหรือหลักนิติธรรม หรือ (human rights) ท่สัมพันธ์กับสิทธิของรัฐ (state rights)
ี
ด้วยระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันเพราะในระบอบ ว่าสิทธิของฝ่ายใดมีความสาคัญมากกว่ากัน
�
ื
ประชาธิปไตยจะมีการตรวจสอบถ่วงดุลจากประชาชน ส่วนปัญหาเร่องการสร้างกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ
�
ี
ี
และองค์การต่าง ๆ โอกาสท่จะเกิดผู้นาแบบเผด็จการ ประการท่สอง คือ คาถามท่ว่ากฎเหล่าน้เป็นกฎประเภทใด
�
ี
ี
ิ
ก็จะมีน้อย คานท์ทานายว่าประเทศต่าง ๆ มีเป้าหมาย (what kinds of rules) ตอบสนองต่อส่งใด หากเจาะจง
�
�
�
ื
สู่สันติภาพเน่องจากความจาเป็นจะต้องเอาตัวรอด ลงไปก็คือประเด็นเร่อง “ผลประโยชน์กับจริยธรรม” ผู้นารัฐ
ื
ึ
�
ิ
จากอาวุธสมัยใหม่ท่มีอานุภาพสูงซ่งเป็นผลประโยชน์ จะทาหน้าท่ปกป้องผลประโยชน์แห่งชาต ได้แก่ ความอยู่รอด
ี
ี
ร่วมกันระหว่างประเทศต่าง ๆ ท่วโลก การมีชุมชนระหว่าง ความม่นคงและผลประโยชน์อ่น ๆ ตามมา แต่การพิจารณา
ั
ั
ื
ประเทศน สาหรับคานท์แล้วมีความเป็นไปได้เพราะมนุษย์ เร่องผลประโยชน์แห่งชาต โดยปกติผู้นารัฐจะมอง
�
ิ
้
ื
�
ี
ั
ี
ึ
ื
ั
รู้จักเรียนรู้ท่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติน่นเอง ในหลายมิติโดยมีจริยธรรมเป็นเพียงเร่องหน่งเท่าน้น
ื
ื
สุดท้ายข้อเสนอเร่องการสร้างกฎเกณฑ์ระหว่าง แต่จะไม่ให้ความสาคัญกับเร่องจริยธรรมเลยหากขัดกับ
�
ั
ื
ประเทศ (rules of behavior) ให้รัฐต่าง ๆ เห็นร่วมกันน้น ผลประโยชน์ข้นพ้นฐานของรัฐ สรุปได้ว่าข้อเสนอของ
ั
่
่
ี
ื
�
ิ
้
ื
ี
ั
ึ
มปญหาเกดขนสองประการ ปญหาแรก คอ คาถามทวากฎ ฮอฟแมนเป็นการมองประเด็นเร่องจริยธรรมในความ
ั
ึ
้
ึ
ี
เหล่านีน�าไปใช้กับใคร (rules for whom) ซ่งมีข้อพิจารณา สัมพันธ์ระหว่างประเทศท่กว้างข้นกว่าการมองเพียง
ปัญหาน้อย ๒ แนวทาง คือ เร่องสัมพัทธนิยม (relativism) เร่องของผลประโยชน์และความอยู่รอดของรัฐเท่าน้น
ั
ื
ื
ี
ู่
�
กับเร่องสากลนิยม (cosmopolitanism) ในเร่องแนวคิด หน้าท่ของผู้นารัฐนอกเหนือจากท่จะต้องปกป้องรัฐ และ
ี
ื
ื
ี
ั
�
สัมพัทธนิยมน้น อาจกล่าวได้ว่าประเทศในโลก ประชาชนของตนเองแล้ว ฮอฟแมนยังเสนอให้ผู้นารัฐ
มีความหลากหลายทางด้านโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรม พิจารณามิติทางจริยธรรมให้มากข้น ด้วยตระหนักว่า
ึ
ึ
ึ
อย่างมาก ปัญหาจะเกิดข้นหากผู้คนในวัฒนธรรมหน่ง หากระบบระหว่างประเทศพัฒนาไปสู่ความเป็นชุมชน
ี
ี
มองว่าค่านยมของคนในวฒนธรรมอนเป็นภยคกคาม ระหว่างประเทศแล้ว ผลประโยชน์ท่พึงปรารถนาท่รัฐต่าง ๆ
ั
ั
ุ
่
ื
ิ
ต่อการอยู่รอดของวัฒนธรรมตนเอง เช่น การท่บุคคล จะได้รับร่วมกัน เช่น สันติภาพก็อาจเกิดข้นตามมา
ี
ึ
ื
ในหลายชาติพันธุ์ปฏิเสธวัฒนธรรมบริโภคนิยมจาก เม่อพิจารณาแนวความคิดของฮอฟแมนแล้วจะพบว่า
�
�
�
ตะวันตก เป็นต้น ปัญหาเป็นอุปสรรคต่อความพยายาม ในการดาเนินนโยบายทางการทูต ผู้นารัฐอาจทาให้ประเด็น
ื
สร้างกฎเพ่อนาไปบังคับใช้กับประเทศต่าง ๆ ในโลก ทางจริยธรรมเกิดขึ้นได้โดยไม่จ�าเป็นต้องขัดกับหลักการ
�
ิ
ี
ื
ในเร่องแนวคิดสากลนิยมท่มองว่ามนุษย์ต้องอยู่ร่วม เร่องผลประโยชน์แห่งชาต เพียงแค่ต้องเข้าใจก่อนว่า
ื
ื
กันภายใต้กฎแห่งจริยธรรม หรือกฎแห่งธรรมชาต เน่องจาก ผลประโยชน์ของตนเองกับผลประโยชน์ร่วมระหว่าง
ิ
มนุษย์อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติเดียวกัน มนุษย์จึงไม่ตกอย ู่ ประเทศเป็นจริงได้ตามคาอธิบายของทฤษฎีสัจนิยม
�
ื
ภายใต้รัฐใดรัฐหนึ่ง แต่เป็นรัฐสากลในโลกน ข้อโต้แย้งในเชิง และเสรีนิยม จากน้นเม่อต้องนาไปกาหนดนโยบายและ
ั
�
้
ี
�
สากลนิยมน้เกิดจากความสงสัยว่ากฎเกณฑ์ต่าง ๆ ท่รัฐต่าง ๆ ยุทธศาสตร์จึงพิจารณาตามหลักการของฮอฟแมน
ี
ี
่
ื
สร้างข้นมาน้นตอบสนองต่อส่งใด หรือผลประโยชน์ เรองเป้าหมาย เคร่องมอหรือวธีการ และข้อจากัดทาง
ิ
ิ
ั
ื
ึ
ื
�
ื
่
ิ
ื
ของใคร กล่าวง่าย ๆ คอ เป็นประเด็นเรองของความยุตธรรม จริยธรรมให้สอดคล้องลงตัว
นาวิกศาสตร์ 43
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
�
�
๕. การกาหนดยุทธศาสตร์และกาลังรบตามแนวคิด ไปในอนาคต ประเด็นท่กล่าวมาท้งหมดจะให้แนวทาง
ั
ี
กองทัพเรือสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ ในการมองการเมืองระหว่างประเทศท้งในระดบรัฐ
ั
ั
�
สาหรับการนาแนวคิดกองทัพเรือสมัยใหม่และ ตามทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และในระดับ
�
�
หลังสมัยใหม่ไปใช้ในการกาหนดยุทธศาสตร์และ กองทัพเรือตามแนวคิดกองทัพเรือสมัยใหม่และ
กาลังรบใด ๆ ก็ตามซ่งรวมถึงกาลังทางเรือด้วย หลังสมัยใหม่ หัวข้อสุดท้ายน้จะช้ว่าส่งท่วิเคราะห์
�
�
ึ
ี
ี
ิ
ี
�
จาเป็นอย่างย่งท่ผู้กาหนดยุทธศาสตร์ และกาลังรบ ได้จากทฤษฎ และแนวคดดงกลาวจะเปนแนวทางใหกับ
�
�
ิ
ี
ี
้
ั
ิ
็
่
ื
ต้องเข้าใจทฤษฎีสัจนิยมและเสรีนิยมเป็นพ้นฐาน ผู้กาหนดยุทธศาสตร์และกาลังรบได้อย่างไร
�
�
ิ
รวมถึงต้องนาแนวคดกองทัพเรือสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ ในการกาหนดยุทธศาสตร์ ฝ่ายวิเคราะห์อนาคต
�
๑๑
�
ไปใช้ในทางปฏิบัติตามสภาวะแวดล้อมด้านความม่นคง จะต้องฉายภาพให้เห็นว่าสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศ
ั
ี
ท่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และท่กาลังจะเปล่ยนแปลง จะเปล่ยนแปลงไปในทิศทางใด เช่น ทานายว่าจีน
ี
ี
�
�
ี
๑๑ Henry C. Bartlett, G. Paul Holman, Jr. and Timothy E. Somes, “The Art of Strategy and Force Planning,” in Strategy and Force Planning,
4th ed. (Newport, RI: Naval War College Press, 2004), pp. 17-23.; P. H. Liotta and Richmond M. Lloyd, “The Strategy and Force Planning
Framework,” in Strategy and Force Planning, 4th ed. (Newport, RI: Naval War College Press, 2004), pp. 1-16.
นาวิกศาสตร์ 44
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ี
�
ึ
จะเป็นมหาอานาจระดับโลกซ่งมีเส้นทางคมนาคม ประเทศมากท่สุด แล้วเสนอเป็นแผนเสริมสร้าง
�
๑๒
ึ
�
ท้งทางทะเล และทางบกผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กาลังรบต่อไป ซ่งกาลังรบทางเรือย่อมจะอยู่ภายใต้
ั
และประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะรวมกันแน่นขึ้น แนวความคิดของกองทัพเรือสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่
จากการมีประชาคมอาเซียน สหรัฐอเมริกาจะมีบทบาท อย่างแน่นอน เช่น การใช้เรือระบายพลขนาดใหญ่สามารถ
ื
�
ั
�
ทางการทหารลดลง และจะคงกาลังเอาไว้ในจุดยุทธศาสตร์ เป็นไปได้ท้งในเร่องการทาสงครามตามแบบอย่าง
้
�
ื
�
ี
ั
ท่สาคัญจริง ๆ เท่าน้น เป็นต้น แต่การทานายอนาคต การปฏิบัติการยุทธสะเทินนาสะเทินบก และในเร่อง
�
ั
จะต้องใช้หลักทฤษฎีสัจนิยมและเสรีนิยมเป็นฐานใน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลท้งคนชาติตนเอง
ื
การคิด และอธิบายว่าความร่วมมือและความขัดแย้งท ี ่ และคนชาติอ่น เป็นต้น
ประเทศต้องเผชิญน้นมีอะไรบ้าง และเป็นไปได้มากน้อย
ั
ั
เพียงใด จากน้นผู้กาหนดยุทธศาสตร์จึงจะประมวลภาพรวม สรุป
�
ของไทยและกองทัพเรือว่ามีจุดยืนอย่างไรภายใต้สภาวะ กองทัพเรือสมัยใหม่ และกองทัพเรือหลังสมัยใหม่
ี
ื
ึ
ี
แวดล้อมน โดยมองถึงผลประโยชน์ท่รัฐบาลต้องการ เป็นแนวความคิดท่ทิลล์พัฒนาข้นมาเพ่ออธิบายหน้าท ่ ี
้
ี
ิ
ึ
ซ่งปรากฏในเอกสาร เช่น ยุทธศาสตร์ชาต นโยบาย ของกองทัพเรือในโลกยุคโลกาภิวัตน์ กองทัพเรือสมัยใหม่
ิ
ื
้
ั
้
้
่
ี
�
�
ความม่นคง เป็นต้น แล้วจากัดความให้ชัดเจนว่าจะม ี ทาหนาทหลักเพ่อการปกปองผลประโยชน์ของชาตนน ๆ
ั
ี
แนวความคิดในการรักษาผลประโยชน์ของไทยอย่างไร สอดคล้องกับทฤษฎีสัจนิยมท่อธิบายว่าความอยู่รอดของรัฐ
ื
ี
�
�
ภายใต้กาลังอานาจท่มีอยู่ในปัจจุบัน ตนเองเป็นปัจจัยพ้นฐาน ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ี
�
ื
เม่อพิจารณาแนวความคิดในการรักษาผลประโยชน์ ส่วนกองทัพเรือหลังสมัยใหม่ทาหน้าท่หลักในการรักษา
�
ื
ี
�
�
และกาลังท่มีในปัจจุบันจะพบช่องว่างในเร่องกาลังว่า ระบบโลกาภิวัตน์ให้ดาเนินได้ต่อไป มากกว่าจะเพียงแค่
ั
ึ
�
ไม่เพยงพอในการรกษาผลประโยชน์จนทาให้เกดความ รักษาผลประโยชน์ของรัฐตนเองเท่าน้น ซ่งสอดคล้องกับ
ิ
ั
ี
ี
ั
เส่ยงต่อความม่นคงของประเทศ เช่น เม่อตรวจสอบ ทฤษฎีเสรีนิยมท่มองเห็นว่ามีผลประโยชน์ร่วมกันระหว่าง
ี
ื
ี
ั
ื
สภาวะแวดล้อมเร่องการเสริมสร้างขีดความสามารถ ประเทศต่าง ๆ ท้งน้เพราะโลกยุคโลกาภิวัตน์มีระดับของ
ี
ึ
ื
ทางเรือของเพ่อนบ้านแล้วพบว่าไทยยังขาดเคร่องมือ การข้นต่อกัน (interdependent) มากกว่าท่เคยเป็นมาใน
ื
�
ี
�
้
�
�
ท่จะใช้ในการสร้างดุลอานาจ เช่น เรือดานา เป็นต้น อดีตหลายเท่า เช่น หากระบบการค้าทางทะเลไม่ทางาน
�
ึ
ี
่
ก็จาเป็นต้องหาวิธีลดความเส่ยงลง อาจปรับ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจระหว่างประเทศท่พงพาการนาเข้า
ี
�
ุ
่
ี
ี
วตถประสงค์ใหม หรือเปลยนวธการรักษาผลประโยชน์ ส่งออก และความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ
ิ
ั
่
�
แต่วิธีท่ง่ายท่สุด คือ การจัดหากาลังรบเพ่มเติม ผู้กาหนด ที่มีเศรษฐกิจแบบเสรี เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องมีหน่วยงาน
ิ
ี
�
ี
ึ
ี
ี
�
ี
�
ยุทธศาสตร์ และกาลังรบจะทากระบวนการน ี ้ ทาหน้าท่ปกป้องระบบประเภทน้เอาไว้ ซ่งเป็นหน้าท่ของ
�
ั
้
ซาไปมาจนกระท่งได้ยุทธศาสตร์ และกาลังรบ กองทัพเรือหลังสมัยใหม่น้นเอง
�
ั
�
ท่ตรงกับสภาวะความเป็นจริงทางการเมืองระหว่าง
ี
๑๒ Mackubin Thomas Owens, “Strategy and the Logic of Force Planning,” in Strategy and Force Planning, 4th ed. (Newport, RI: Naval
War College Press, 2004), pp. 483-496.
นาวิกศาสตร์ 45
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ทหารเรือไทยในน่านน�้ามังกรจีน (ตอนจบ)
ผึ้งบ้าน ๔๒๑
เรื่องที่สองในจีน เหตุการณ์ ณ ช่องแคบไต้หวัน
กล่าวน�า
มฝ.นนร. ออกเดินทางจากเมืองท่าชิงเต่า เมื่อวันที่
ื
๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๒ เพ่อเข้าร่วมการฝึกในทะเล
“China – Southeast Asia Maritime Exercise
2019” ร่วมกับเรือ ทร.สปจ. กับเรือ ทร. ประเทศ
ิ
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายหลังจากเสร็จส้น
ื
ี
การฝึกฯ มฝ.นนร. มแผนเดินทางต่อไป เพ่อเข้าร่วม
ั
การฝึกผสมทวิภาคี Blue Strike 2019 (BS2019) คร้งท่ ๔
ี
ี
ั
ระหว่างวนท ๒ - ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ระหว่าง
่
ทร. กับ ทร.สปจ. ณ เมืองจ้านเจียง มณฑลกวางตุ้ง
�
ตามคาเชิญของ ทร.สปจ. เส้นทางเดินเรือกว่า ๑,๗๐๐ ไมล์ ภาพที่ ๑ ช่องแคบไต้หวันอีกจุดวาบไฟของความขัดแย้งในอนาคต
มีเวลาเดินทาง ๔ วัน ท�าให้การวางแผนเดินเรือต้องผ่าน
�
ช่องแคบไต้หวันเพ่อให้ทันต่อกาหนดการท่ทาง ทร.สปจ. Sir Julian Corbett ผู้ให้ค�าจ�ากัดความของการควบคุม
ื
ี
กาหนด ท้งน้จากเหตุการณ์ท่เกิดข้นกับตนเองในการ ทะเล (Sea Control) แทนการครองทะเล โดยหมายถึง
ี
ี
ั
�
ึ
ั
ึ
ี
ู
นาเรอผ่านช่องแคบไต้หวน รวมถงการศกษาข้อมล การท่กองเรือมีอิทธิพลทางทะเลเหนือฝ่ายตรงข้ามได้
ื
�
ึ
ึ
ื
ี
ี
ี
ิ
ี
ั
ั
ึ
เพ่มเติม และติดตามข่าวสารเก่ยวกับความขัดแย้งท่เกิดข้น เฉพาะในพ้นท่ และในห้วงเวลาท่ต้องการเท่าน้น ซ่งท้ง
ท�าให้นึกถึงต�าราของ Alfred Thayer Mahan เกี่ยวกับ Corbett และ Mahan มีความเห็นตรงกันว่าการครองทะเล
ี
ื
�
ื
ทฤษฎีสมุททานุภาพท่กล่าวถึง “การครองทะเล (Command หรอการควบคุมทะเล เป็นเป้าหมายหลักของกาลังทางเรอ
ี
of The Sea)” ได้ให้ค�าจ�ากัดความว่า คือ การที่กองเรือ ท่จะต้องบรรลุให้ได้ โดยการปฏิเสธการใช้ทะเลเป็นเพียง
ขนาดใหญ่สามารถขยายอิทธิพลทางทะเลเหนือ ขั้นตอนหนึ่งเพื่อน�าไปสู่การครองทะเล หรือการควบคุม
ฝ่ายตรงข้ามได้ในทุกพ้นท่และทุกห้วงเวลา ทาให้มีเสร ี ทะเลเท่าน้น ท้งน้จากพฤติกรรมของ ทร.สปจ. ใน
�
ื
ี
ี
ั
ั
ี
ี
ในการปฏิบัติโดยท่ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถขัดขวางได้ ช่องแคบไต้หวันพยายามท่จะปฏิเสธการใช้ทะเลของ
�
ี
ื
ิ
ั
ิ
ึ
่
ซงในทางปฏบตจรงอาจเป็นไปได้ยาก เนองจากการม ี มหาอานาจและชาติอ่น ๆ ด้วยการบีบบังคับเรือท่เดินทาง
ื
่
ิ
ื
ุ
�
ิ
ิ
ี
กองเรือท่มีความเข้มแข็งในระดับนั้นสามารถทาได้ยาก ผ่านโดยสจรต (Innocent Passage) หรอล่วงเกน
ในบางคร้งนักยุทธศาสตร์ทางเรือจึงนิยมใช้ทฤษฎีของ เสรีภาพในการเดินเรือ (Freedom of Navigation)
ั
นาวิกศาสตร์ 46
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ึ
ั
ั
ื
ี
ี
ื
ี
อย่างท่เกิดข้นกับเรือของ ทร. คร้งน้ เพ่อสร้างอิทธิพล มายังเกาะน้และได้ต้งช่อเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ยึดเอามาเป็น
ั
ุ
ื
ี
ั
็
่
ุ
จีนเหนือพ้นท่ช่องแคบไต้หวันและประกาศให้โลกรู้ว่า อาณานิคม ปจจบนเปนอกหนงจดวาบไฟ (Flash Point)
ี
ึ
“ที่นี่ทะเลอั๊ว” หรือชนวนเหตุของความขัดแย้งท่น่าสนใจเพราะมีความ
ี
ั
สลับซับซ้อนท้งในแง่ของนิตินัยและพฤตินัย กล่าวคือ
ตามนโยบายของ สปจ. มีเพียงจีนเดียว (One China Policy)
่
ื
ิ
ิ
ี
ี
ิ
ี
�
เมอพรรคคอมมวนสต์จนเข้ามามอานาจในจนแผ่นดน
ใหญ่เม่อ พ.ศ.๒๔๙๒ พรรคก๊กมินต๋ง พรรคการเมือง
ื
ั
ชาตินิยมของจีนน�าโดย นายพล เจียง ไคเช็ก (General
Chiang Kaishek) ท่เป็นฝ่ายแพ้ก็พาผู้คนอพยพหน ี
ี
ออกจากแผ่นดินใหญ่มาต้งหลักท่ไต้หวันเพ่อวางแผน
ื
ี
ั
กลับไปครองอานาจในจีนต่อไป ชาวจีนมากกว่า
�
ี
่
๑.๕ ล้านคน อพยพตามมาอย่ทเกาะไต้หวน ในยคที ่
ั
ุ
ู
ภาพที่ ๒ USS Yorktown ถูกส่งเข้าปฏิบัติการในวิกฤติการณ์ เหมา เจ๋อตุง มีอ�านาจเต็มที่ในจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้น�าของ
ช่องแคบไต้หวันครั้งที่ ๒ ประเทศท้งสองจีน คือ ผู้นาพรรคคอมมิวนิสต์กับผู้นา
�
�
ั
ความเป็นมาของปัญหาช่องแคบไต้หวัน
ช่องแคบไต้หวัน (Taiwan Strait) หรือช่องแคบ
ฟอร์โมซา (Formosa Strait) เป็นช่องแคบระหว่าง
ี
ื
มณฑลฝูเจ้ยนของประเทศจีนกับเกาะไต้หวัน เช่อม
ทะเลจีนตะวันออกกับทะเลจีนใต้ มีความกว้าง ๑๑๐ ไมล์
(๑๘๐ กม.) ส่วนแคบสุดมีความกว้าง ๗๐ ไมล์ (๑๓๐ กม.)
มีช่อเรียกตามสาธารณรัฐจีน หรือ ไต้หวัน (Republic
ื
of China: R.O.C.) เดิมเรียกวาเกาะฟอรโมซา (Formosa)
์
่
หรือ Ilha Formosa ในภาษาโปรตุเกส แปลว่า ภาพที่ ๔ ความหนาแน่นการเดินเรือในช่องแคบไต้หวัน
“เกาะสวยงาม” เนื่องจากประเทศโปรตุเกสเคยเดินทาง สาธารณรัฐจีนบนเกาะไต้หวัน แย่งกันเป็นกระบอกเสียง
ของประชาชนจีนในเวทีโลก แต่เสียงของนานาประเทศ
ส่วนใหญ่เกรงอิทธิพลของจีนแผ่นดินใหญ่ จึงให้การ
ยอมรับจีนแผ่นดินใหญ่มากกว่า ดังน้น ถ้าเอาตาม
ั
หลักการไต้หวันมีองค์ประกอบครบเป็นรัฐชาติแต่
สหประชาชาติ (UN) ก็ไม่รับรองว่าไต้หวันเป็นประเทศ
ี
ในโลกน้มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันเพียงแค่
๒๐ ประเทศ (ไทยไม่รบรองเป็นประเทศ) ซงต่อไป
ึ
ั
่
ื
ี
�
ในอนาคตอาจลดลงเร่อย ๆ จากการท่ สปจ. ดาเนิน
นโยบายต่างประเทศกับมีอิทธิพลท้งทางเศรษฐกิจ และ
ั
ึ
ื
ภาพที่ ๓ พื้นที่ทางทะเลที่จีนอ้างสิทธิ์ การทหารมากข้นเร่อย ๆ จนสามารถบีบบังคับทางตรง
และทางอ้อมให้ประเทศเหล่าน้นยกเลิกการรับรอง
ั
นาวิกศาสตร์ 47
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
ื
ี
ี
ไต้หวันก็ไม่ใช่เร่องยาก ในขณะท่ไต้หวันเองก็มีกระแส ๑๐๐ ไมล์ แต่ทางสหรัฐฯ ได้ส่งกองเรือท่ ๗ มา
ั
ิ
ี
ั
่
ประกาศเอกราชให้จีนแผ่นดินใหญ่เดือดเป็นคร้งคราว ลาดตระเวน ในทะเลจนตะวนออกบรเวณชองแคบไตหวัน
้
ต้งแต่ท่สาธารณรัฐจีนซ่งเป็นประเทศท่ร่วมก่อต้งองค์การ จีนจึงพยายามท่จะผลักดันให้สหรัฐฯ ออกจากบริเวณ
ี
ั
ึ
ั
ี
ี
ี
ั
�
สหประชาชาติได้สูญเสียสมาชิกภาพในฐานะตัวแทน น้ด้วย ทาให้สหรัฐฯ มองว่าจีนเป็นผู้รุกราน ดังน้น
ั
่
ี
ั
ชาวจีนให้กับ สปจ. ในปี พ.ศ.๒๕๒๑ สหประชาชาต ิ ในวนท ๒๙ มกราคม ค.ศ.๑๙๕๕ รฐสภาสหรฐฯ
ั
ก็ประกาศรับรองจีนเดียว คือ จีนแผ่นดินใหญ่ (สปจ.) สมัย ปธน. Eisenhower ได้ผ่าน “Formosa Resolution”
ื
และตัดสัมพันธ์ทางการเมืองกับสาธารณรัฐจีน ท้ง เพ่อปกป้องไต้หวัน และเกาะโดยรอบจากการรุกรานของ
ั
สหรัฐอเมริกาก็ได้ถอนการรับรองว่าสาธารณรัฐจีน คอมมิวนิสต์ จากนั้น สหรัฐฯ ได้ส่งกองทหารไปประจ�า
ั
ิ
ื
ี
มฐานะเป็นรฐ ไต้หวนจึงกลายเป็นเพียงดนแดนท่จีน ท่ไต้หวันและได้ลงนามในสัญญาพันธมิตรทางทหารเพ่อ
ั
ี
ี
ั
ื
ึ
อ้างว่าเป็นส่วนหน่งของประเทศสาธารณรฐประชาชนจีน การป้องกันร่วมกันกับไต้หวัน และเม่อจีนเห็นว่าวิธีการ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ของตนไม่ประสบผลส�าเร็จ แต่กลับท�าให้สหรัฐฯ มีความ
ิ
ึ
ในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๙๕๐ สหรัฐฯ มองว่า สัมพันธ์ใกล้ชิดกับไต้หวันย่งข้น จีนจึงเลิกการระดมยิง
จีนเป็นตัวแทนของสหภาพโซเวียต (ในสมัยน้น) และยุติไปในที่สุด
ั
ั
เพราะจีนได้ลงนามในสัญญามิตรภาพพันธมิตร และ ความขัดแย้งคร้งท่ ๒ เกิดข้นในปี ค.ศ.๑๙๕๘
ี
ึ
ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (Sino-Soviet Treaty of โดย สปจ. ระดมยิงเกาะ Kinmen และ Matsu เพื่อให้
Friendship, Alliance and Mutual Assistance) เป็น ประชาชนไต้หวันแยกตัวจากพรรคก๊กมินต๋ง มีการยุทธ
ั
เวลา ๓๐ ปี ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ.๑๙๕๔ สหรัฐฯ ทางทะเลรอบเกาะ Dongding เมื่อไต้หวันพยายามที่ขัด
จึงเริ่มนโยบายปิดล้อม (Containment Policy) เข้ามา ขวางการยกพลขึ้นบกของ สปจ. ในขณะที่สหรัฐฯ ได้ส่ง
ี
ี
ในทวปเอเชยโดยได้ทาสญญาพนธมตรทางทหาร กองเรือท่ ๗ เข้ามาคุมเชิงและสนับสนุนไต้หวันในการดูแล
ี
ิ
ั
ั
�
(Southeast Asia Treaty Organization : SEATO) หรือ เส้นทางคมนาคมทางทะเลหลักของไต้หวันให้ปลอดภัย
Manila Pact ณ กรุงมะนิลา กับประเทศฝร่งเศส อังกฤษ ตามสนธิสัญญาการป้องกันไต้หวัน (ROC-United States
ั
นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ปากีสถาน และไทย mutual defense treaty) และความขัดแย้งคร้งท่ ๓
ั
ี
ื
ื
รวม ๘ ประเทศ เพ่อป้องกันอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ ในปี ค.ศ.๑๙๙๖ (1996 Taiwan Strait Crisis) เม่อ สปจ.
ี
เข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทดลองขีปนาวุธในช่องแคบไต้หวันระหว่างวันท่ ๒๑
เมื่อจีนมองว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน จึงท�าให้ กรกฎาคม ค.ศ๑๙๙๕ จนถึง ๒๓ มีนาคม ค.ศ.๑๙๙๖
มีความไม่ชัดเจนของเขตปกครองบนบก ปัญหาข้อพิพาท รวมทั้งการฝึกของ ทร.สปจ. เพื่อส่งสัญญาณเตือน ปธน.
ิ
ั
ี
ท้งทางทะเลและทางอากาศก็ย่อมเกิดข้น โดยได้เคย Lee Teng-hui ของไต้หวันท่เร่มตีตัวออกห่างนโยบาย
ึ
เกิดวิกฤตการณ์ช่องแคบฟอร์โมซา (The Taiwan Strait จีนเดียว (One China Policy) ของจีนแผ่นดินใหญ่และ
ั
ื
Crisis) ถึง ๓ คร้ง คือ คร้งแรกเม่อต้นปี ค.ศ.๑๙๕๔ จะจัดการเลือกตั้งภายในไต้หวัน ฝ่ายสหรัฐฯ โดย ปธน.
ั
ั
ที่ สปจ. มีนโยบายที่จะรวมไต้หวันกลับคืนมาเป็นของจีน คลินตัน ส่งการตอบโต้ด้วยการส่งเรือบรรทุก
ื
จึงพยายามแย่งชิงพ้นท่ด้วยการระดมยิงหมู่เกาะนอกฝั่ง เคร่องบิน ๒ ลา ได้แก่ USS Nimitz และ USS
ี
�
ื
ี
ท่ช่องแคบไต้หวัน อันได้แก่ เกาะคิวมอย (Quemoy) ๑ Independence เข้าประชิดเกาะไต้หวัน เพ่อแสดง
ื
และเกาะมัทสุ (Mazu) ที่ห่างเกาะไต้หวันทางตะวันตก ก�าลังในการที่จะปกป้องไต้หวันอย่างเต็มที่
๒
๑ เกาะ Quemoy ห่างจากฝั่งเมือง Xiamen สปจ. ๒ ไมล์
๒ เกาะ Mazu ห่างจากฝั่งเมือง Fuzhou สปจ. ๑๐ ไมล์
นาวิกศาสตร์ 48
ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒