95
ข้อควรพิจารณาในการลดิ กิ่ง ประกอบดว้ ย
- ชนิดไม้ ควรทำการลิดกิ่งกับชนิดไม้ท่ีลิดก่ิงเองตามธรรมชาติได้ยากและไม่ควรทำการลิดกิ่งกับชนิด
ไม้ทอ่ี าจจะได้รบั อันตรายจากโรคแมลง ลมพายุ หรอื ไฟไดง้ ่าย
- วัตถุประสงค์การปลูกต้นไม้ เช่น เพ่ือนำไปใช้ประโยชน์ทำไม้แปรรูป ไม้บางหรือไม้ซุงที่เปลาตรง
ปราศจากตำหนิจากปุ่ม ตา มคี วามจำเปน็ ตอ้ งทำการลดิ กงิ่
- ขนาดและอายุไม้ ไม่ควรทำการลิดกิ่งต้นไม้ท่ีมีอายุน้อยและมีขนาดเล็กเกินไปเพราะจะทำให้ต้นไม้
โตช้า และจะไม่ได้ประโยชนเ์ ท่าที่ควร ตามปกติควรทำการลดิ กิ่งเม่ือต้นไม้มีความสงู ได้ขนาดพอที่จะทำซุงได้หน่ึง
ทอ่ นแลว้
- ความสูงของการลิดก่ิง ในการลิดกิ่งต้นไม้ในคร้ังแรกมักทำเพียงแค่ผู้ทำการลิดกิ่งสามารถเอ้ือมถึง
และในคร้ังตอ่ ๆ ก็จะลดิ กง่ิ ให้สูงขนึ้ ไปจนได้ขนาดความยาวของลำตน้ ที่ปราศจากกงิ่ ตามตอ้ งการอย่างไรก็ตามการ
ลิดกง่ิ แต่ละคร้งั ควรเหลอื เรอื นยอดท่เี ปน็ ก่งิ สดไวเ้ พียงพอต่อความเติบโตของตน้ ไม้นนั้
- ฤดกู ารลดิ ก่ิง ไม่ควรลดิ กิ่งในฤดูการเติบโตของต้นไมเ้ พราะในระยะนีเ้ ปลือกไมจ้ ะฉีกขาดได้งา่ ยทำให้
เกดิ บาดแผลบนลำต้นเปน็ สาเหตุให้เชอื้ ราเข้าทำอันตรายต้นไมไ้ ด้มากขึ้น ฤดูทเ่ี หมาะสมสำหรับการลิดก่ิงคือระยะ
ที่ตน้ ไมห้ ยุดการเตบิ โต
- เคร่ืองมือที่ใช้ในการลิดก่ิง (ภาพที่ 5.5) การลิดกิ่งท่ีดีจะต้องตัดกิ่งให้เรียบชิดขนานกับลำต้นไม่ให้
เหลือส่วนของโคนกิ่งไว้บนลำต้นและตัดจะต้องไม่ทำให้เปลือกฉีดขาดและลำต้นได้รับอันตราย ดังนั้นการใช้เลื่อย
และกรรไกรตัดก่ิงไม้ช่วยในการลิดกิ่งจะให้ผลดีกว่าการใช้มีดและขวาน การลิดก่ิงขนาดเล็กสามารถใช้กรรไกรตัด
กง่ิ และตัดเพียงคร้ังเดียว แต่หากก่ิงมีขนาดใหญ่ ควรทำการตัด 3 ขั้นตอน เพื่อลดทอนน้ำหนักของก่ิง ไม่ให้ก่ิงฉีก
ขาดและเกิดรอยแผล โดยขัน้ แรกเล่ือยด้านล่างท่ีสว่ นกลางก่อน ขน้ั ท่ีสองจึงเล่ือยส่วนด้านรมิ นอก และข้ันสุดท้าย
ตัดทโี่ คนก่ิง(ด้านชดิ ลำตน้ ) (ภาพที่ 5.6)
ภาพท่ี 5.5 เครื่องมือสำหรบั การลิดก่งิ
96
ท่มี า: City of Bellevue (2009)
ภาพที่ 5.6 ขน้ั ตอนการลิดกิ่งขนาดเล็กและกิ่งขนาดใหญ่ทีถ่ ูกตอ้ ง
การลิดก่ิง ทำเพื่อกำจัดตำหนิที่เกิดจากการเกิดกิ่งขนาดใหญ่ เพ่ือให้ได้ไม้ท่อนที่มีรูปทรงตรงเปลา
ขนาดยาวท่ีสุด ซึง่ จะทำให้มีราคาไม้สงู ข้ึนด้วย ปกติมักทำการลดิ ก่ิงสูงจากพ้ืนดินประมาณ 5 เมตรเทา่ น้นั ซ่ึงเป็น
ขนาดความยาวของไม้ซุงท่ีต้องการ แต่การลิดกิ่งก็ทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้นและต้นไม้ไม่อาจคุมวัชพืชใน
พ้นื ท่ีได้ในเวลาอนั สมควร ทำให้ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการกำจัดวัชพืชมากขึ้น ดังนั้นจงึ ต้องมีการพิจารณา
ดูว่าการลิดกิ่งมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด การลิดกิ่งที่ไม่ถูกต้อง ได้แก่ การตัดก่ิงและทำให้เกิดการฉีกขาดของ
เน้ือไม้ การตัดเข้าไปชิดลำต้นมากเกินไป หรือตัดแล้วเหลือส่วนของก่ิงอยู่มากเกินไป ซ่ึงนอกจากทำให้เป็นรอย
แผลแล้ว ยงั เปน็ ตำแหน่งที่โรคและแมลงมีโอกาสเขา้ ทำลายเนื้อไม้ไดม้ ากขึน้ (ภาพท่ี 5.7)
ทม่ี า: ฝา่ ยวิจัยการปลูกสรา้ งสวนป่า (2558)
ภาพที่ 5.7 แสดงการลดิ กง่ิ ที่ไม่ถูกต้องและผลทเ่ี กิดข้นึ
97
5.4.2 การตัดขยายระยะ
การตัดขยายระยะเป็นการปฏิบัติเพื่อลดความหนาแน่นของต้นไม้ลง ลดการเบียดเสียดแก่งแย่งทาง
เรือนยอดและทางระบบรากให้น้อยลง เปิดโอกาสให้ไม้ท่ีเหลืออยู่เติบโตต่อไปอย่างเต็มท่ี หากไม่ทำการตัดขยาย
ระยะจะส่งผลทำให้ต้นไม้ทั้งแปลงหยุดการเติบโตและตายลงบางส่วนเพ่ือให้ต้นไม้ที่เหลืออยู่สามารถเติบโตได้ ซึ่ง
การปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจะทำใหร้ ะยะเวลาทตี่ ้นไม้จะมีขนาดใหญ่ได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกจิ ชา้ ไปมาก
(ภาพที่ 5.8)
ทม่ี า: ฝา่ ยวิจัยการปลูกสร้างสวนป่า (2558)
ภาพท่ี 5.8 สวนป่าสักท่ีได้รับการตดั ขยายระยะท่อี ำเภอเมือง จงั หวดั อุตรดิตถ์
สำหรับการตัดขยายระยะเพื่อเพ่ิมผลผลิต มี 2 รูปแบบ คือเพ่ิมผลผลิตเมล็ด และผลผลิตทางเน้ือไม้
โดยรูปแบบแรกจะเป็นการตัดขยายระยะสำหรับแปลงปลูกที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือผลิตเมล็ด (สุวรรณ 2557) ส่วน
รปู แบบทส่ี องเป็นการตัดขยายระยะในสวนป่าทว่ั ไปทม่ี วี ัตถุประสงค์เพ่ือการใช้เน้ือไม้
5.4.2.1 การตัดขยายระยะเพ่ือการผลติ เมลด็
การตัดขยายระยะ ถือว่าเป็นการจัดการที่สำคัญอย่างหน่ึงของการปฏิบัติต่อแหล่งเมล็ด การตัดขยาย
ระยะทำได้ไม่ง่ายนัก มีระเบียบ ข้ันตอนหลายประการ และยังใช้เวลาการดำเนินงานนาน ดังน้ันจึงควรทำความ
เข้าใจให้ชัดเจนว่าเมื่อใดควรเร่ิมทำการตัด ควรตัดต้นไม้ออกเท่าไร และจะพิจารณาเลือกต้นต้นไม้ต้นใดออก จึง
สรา้ งปัญหาใหแ้ ก่ผปู้ ฏิบัติโดยเฉพาะผทู้ ี่เปน็ เจา้ หน้าที่ของรัฐ
สวนปา่ โดยท่ัวไป ไม่ว่าจะปลูกเพื่อวตั ถุประสงค์ในการใช้เน้ือไม้ หรือเพื่อใชเ้ ป็นแหล่งเก็บเมล็ด การตัด
ต้นไม้ออกจากสวนในขณะท่ีต้นไม้กำลังเติบโตมีความจำเป็น เนื่องจากได้ประโยชน์สองประการพร้อมกันคือ ลด
ความหนาแน่นซึ่งทำให้เกิดแก่งแย่งท้ังทางเรือนยอดและระบบราก เปิดโอกาสให้ไม้ที่เหลืออยู่พัฒนาและเติบโตได้
เต็มที่ และเป็นการกำจัดต้นที่มีลักษณะไม่ดี (undesirable phenotypes) ออก งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็น
ถึงความสำคัญของการตัดขยายระยะที่มีต่อการเติบโต (นันทนา 2536; ทวีโชค 2539; กอบศักดิ์ 2540; จักรพันธ์ุ
และขวัญชัย 2543; สุวรรณ และคณะ 2542; ทศพร และชิงชัย 2545) และต่อผลผลิตเมล็ด (สุวรรณ และคณะ
98
2542) สำหรับสวนผลิตเมล็ดการตัดขยายระยะย่ิงมีความสำคัญมาก เน่ืองจากตามหลักวิชาการจัดสร้างสวนผลิต
เมล็ดต้องตดั ต้นไม้ทีม่ ีลักษณะไมด่ ใี ห้เหลอื แตต่ ้นท่ีดีได้มโี อกาสผสมพนั ธุ์กัน
1) การกำหนดระยะเวลาการตัดขยายระยะ กำหนดเวลาการตัดขยายระยะข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของ
สวนป่าและชนิดไม้นั้น ๆ ตัวอย่างเช่น หากเป็นสวนป่าอุตสาหกรรมทั่วไปการตัดควรทำเมื่ออัตราการเติบโตลดลง
ซึ่งทราบได้จากการวัดการเติบโตของต้นไม้ทุกปี แต่สำหรับไม้โตเร็วที่ปลูกเพื่อใช้ช้ินไม้สับ เช่น ยูคาลิปตัส การตัด
ขยายระยะอาจไม่จำเป็นมากนกั เพราะเม่ืออายุ 5-6 ปี กส็ ามารถตดั ไมท้ ง้ั สวนออกใชท้ ้ังหมดในคราวเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้จะกล่าวได้ว่าโดยทั่วไป ควรตัดเม่ือเรือนยอดของต้นไม้เริ่มเบียดชิดกันแต่เพ่ือให้เป็น
แนวทางในการนำไปปฏิบัติ จึงขอเสนอแนะว่าสำหรับหมู่ไม้ท่ีปลูกในระยะปลูก 4x4 เมตร หากเป็นไม้โตปานกลาง
ควรตัดคร้ังแรกเมื่ออายุไม่เกิน 6 ปี ตัวอย่างเช่น สนสามใบ (จักรพันธ์ุ และขวัญชัย 2543) และหากเป็นไม้โตเร็ว
ควรตัดเม่ืออายุไม่เกิน 4 ปี เช่น กระถินณรงค์ (สุวรรณ และคณะ 2542) แต่สำหรับไม้สักซ่ึงมีเรือนยอดค่อนข้าง
โปร่งและเนื้อไมต้ ้องใช้เวลาหลายปีก่อนจะมีความแข็งพอท่ีจะใช้ประโยชน์ในเชงิ พาณิชย์ได้ ควรตัดคร้ังแรกเมอื่ อายุ
15 ปี ท้ังนี้เป็นการปลูกสักแบบใหม่ที่กำหนดรอบตัดฟันไว้ท่ีอายุเพียง 40 ปี และมีพืชเกษตรแทรกตามระบบวน
เกษตร และตดั ครั้งท่ี 2 และคร้ังท่ี 3 ทอี่ ายุ 20 และ 30 ปี ตามลำดับ (บญุ วงศ์ และคณะ 2535)
ข้อเสนอแนะนี้เป็นเพียงแนวทางในการวางแผนเพ่ือกำหนดช่วงเวลาการตัดขยายระยะเท่านั้น แต่
ชว่ งเวลาท่ีควรตัดจริงอาจต้องทำก่อนหรือหลังกไ็ ด้ เน่ืองจากการเติบโตของต้นไม้และการพฒั นาเรือนยอดซ่งึ ใช้เป็น
สิ่งกำหนดเวลาการตัด จะมีปัจจัยท่ีเก่ียวข้องอ่ืน ๆ ท่ีทำให้ต้นไม้โตช้าหรือเร็วกว่าที่ประมาณไว้ ดังนั้นการ
กำหนดเวลาตัดทีแ่ น่นอนจำเปน็ ต้องดูสภาพจริงของสวนป่าเป็นหลัก
2) ปริมาณการตัดไม้ออก การพิจารณาว่าจะตัดต้นไม้ออกเท่าใดหรือความหนักเบาของการตัดขยาย
ระยะ อาจข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้สวนป่า ระยะการพัฒนาของสวนป่าหรืออายุของสวนป่า และจำนวน
ตน้ ไม้ท่ีตัดก็มีความสมั พันธ์กับวิธีการตัดด้วยดังจะได้กล่าวต่อไป แต่ในท่ีนี้จะกล่าวถึงปรมิ าณตน้ ไม้ที่จะตัดออกจาก
“สวนป่าท่ตี ้องการใชเ้ ป็นแหลง่ เมล็ด”
การกำหนดความหนักเบาของการตัดขยายระยะวิธีหน่ึงท่ีทำได้ง่ายและรวดเร็ว คือการใช้ค่า
ความสัมพันธ์ของความสูงของต้นไม้และระยะห่างระหว่างต้นไม้ ท่ีเรียกว่า relative spacing (RS) (Pedersen,
1999) การหาคา่ RS น้ี เจา้ หน้าที่เพียงคนเดียวกส็ ามารถทำได้และใช้เวลาในภาคสนามไม่มากนักโดยเฉพาะหากหมู่
ไม้มีลักษณะท่ีคล้ายคลึงกันมาก (uniform) จะสามารถทำให้เสร็จได้ภายในเวลาเพียงช่ัวโมงเดียว วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้
ก็พบหาไดท้ ่ัวไปได้แก่ เทปวัดระยะ เครือ่ งมอื วดั ความสูง ปากกา กระดาษและเครื่องคดิ เลข ค่า RS หาได้จากสูตร
Relative spacing (RS) = Distance among tree (D) / Height of tree (H)
(Distance among tree = ค่าเฉลี่ยระยะห่างระหวา่ งตน้ ไม้ , Height of trees = ความสูงเฉล่ยี ของต้นไม้)
ความหนักเบาของการตัดจะรู้ได้จากค่า RS ท่ีหาได้ โดยเปรียบเทียบกับ “ค่า RS มาตรฐาน” โดยค่า
RS มาตรฐานท่ีใช้เพอ่ื วตั ถุประสงคใ์ นการผลิตเมล็ด คือ 35 - 40% *
* หมายเหตุ : “ค่า RS มาตรฐาน” ที่ระบุไว้นี้ เป็นเพียงตัวเลขประมาณท่ีพอจะใช้เป็นแนวทาง เพ่ือให้สามารถ
นำไปใช้ปฏิบัติได้ เน่ืองจากยังไม่มีการทำ “ค่า RS มาตรฐาน” ของไม้ป่าเขตร้อน ค่า 35 – 40% น้ี ผู้จัดทำอนุมาน
จากเอกสารทางวิชาการ (Pedersen, 1999) และทไี่ ดท้ ดลองปฏิบตั ิจริงกับไมป้ ่าบางชนิดของประเทศไทย
3) การเลือกตัดต้นไม้ออก เม่ือทราบว่าควรจะตัดต้นไม้ออกกี่ต้นแล้วข้ันต่อไปคือ พิจารณาว่าจะตัด
ต้นไม้ต้นไหนออก ซึ่งการเลือกตัดต้นไม้ข้ึนอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ลักษณะของสวนป่า วัตถุประสงค์ของ
การใช้งานสวนปา่ ความสมำ่ เสมอของตน้ ไม้ในแปลงและลักษณะทรงพุ่ม และความหนาแนน่ ของเรือนยอด
99
ปัจจัยอีกประการหน่ึงท่ีต้องพิจารณาด้วยคือ ระบบสืบพันธ์ุของไม้ชนิดนั้น กล่าวคือหากเป็นพืชท่ีมี
ดอกตัวผ้แู ละตัวเมียแยกกัน เมอื่ วางแผนจะตดั กต็ ้องพิจารณาคัดเลือกให้มีต้นตัวผู้ ตน้ ตัวเมยี ทเ่ี หลืออยู่ให้มีสัดสว่ น
ท่เี หมาะสม
วธิ ีการเลอื กตัดต้นไมห้ รือวธิ กี ารตัดขยายระยะทำได้ 5 แบบ คอื
- low thinning เป็นการตัดจากเบื้องล่างโดยตัดไม้ที่มีลักษณะที่เลวท่ีสุดออกก่อน เช่น พวกท่ีถูกบดบัง
เปน็ โรค ฯลฯ หลังจากนัน้ จึงพจิ ารณาตัดไมท้ มี่ ีลักษณะสูงขึ้น
- crown thinning เป็นการตัดจากเบ้ืองบนลงมา โดยพิจารณาตัดไม้ที่มีเรือนยอดเด่นและนำไปใช้
ประโยชน์ได้ก่อน วิธีน้ีจะมุ่งตัดไม้เดิมและไม้รองเพ่ือเปิดช่องว่างให้แก่ต้นไม้ที่เหลือ เพ่ือเร่งการเติบโตและเป็นการ
เพิม่ พูนรายไดอ้ กี ทางหนึง่
- mechanical or geometric thinning หรือ row thinning เป็นการเลือกตัดต้นไม้อย่างเป็นระบบ
แน่นอน เช่น ตัดต้นเว้นต้นหรือแถวเว้นแถว วิธีนี้ให้ความสำคัญของระยะห่าง (spacing) ระหว่างต้นไม้มากกว่า
ตำแหน่งเรือนยอดของต้นไม้ หรือสภาพและขนาดของต้นไม้ท่ีตัดออกหรือท่ีเหลืออยู่ หรือไม่คำนึงว่าต้นหรือแถวท่ี
ตัดจะเป็นไม้เรือนยอดเด่น (dominant) ไม้เรือนยอดรอง (co-dominant) มีลักษณะดีหรือเลว ขนาดใหญ่หรือเล็ก
(Nyland, 1996) เป็นวิธีหนึ่งท่ีนิยมใช้กันทั่วไป เนื่องจากเป็นวิธีท่ีปฏิบัติได้ง่ายไม่ต้องอาศัยความชำนาญในการ
คัดเลือกไม้ทจี่ ะตดั ออก สามารถใช้เครอ่ื งจักรกลปฏิบัติงานได้ วิธีนี้ยังเหมาะกบั การตัดขยายระยะครั้งแรก ซึง่ ต้นไม้
ยังเตบิ โตไมม่ ากนักและมีขนาดใกลเ้ คียงกัน
- selection thinning เป็นการตัดไม้ท่ีมีเรือนยอดเด่นแต่มีลักษณะไม่ดี หรือมีเรือนยอดเด่นโดดเดี่ยว
เหนอื ไม้อื่นออก เพ่อื เปดิ โอกาสให้ไมท้ ่ีมีเรือนยอดต่ำกว่าที่มีอยู่เป็นจำนวนมากเติบโตได้เต็มที่
- integrated thinning เป็นการตัดแบบผสมผสาน คือต้องใช้หลายวิธีผสมกันเพ่ือให้ได้หมู่ไม้ที่มี
ลกั ษณะตามต้องการ มักใชก้ บั สวนป่าท่มี กี ารเติบโตและพัฒนาไมส่ ม่ำเสมอ
การตัดขยายระยะในสวนป่าหนึ่งๆหรือการตัดแต่ละคร้ัง ส่วนใหญ่ต้องใช้หลายวิธีผสมผสานกัน
ตัวอย่างเช่น ท่ีสวนป่ากระถินเทพา จังหวัดชุมพร ใช้วิธี low thinning ตัดไม้ท่ีขนาดเล็ก คดงอ และถูกเบียดบัง
ออก พร้อมกับวิธี selection thinning ตัดต้นท่ีมีเรือนยอดเด่นแต่ลักษณะไม่ดีออก เพื่อให้มีต้นไม้ที่ดีท่ีเหลือ
สามารถเจริญพัฒนาให้ผลผลิตเมล็ดท่ีสมบูรณ์ได้ และการตัดไม้สักซึ่งปลูกที่ระยะปลูก 4x4 ม ครั้งแรกตัดแบบ
mechanical thinning (ตัดแถวเว้นสองแถว) แต่ครั้งท่ีสองและสามใช้ selection thinning ที่อายุ 15 ปี 20 ปี
และ 30 ปีตามลำดับ (บุญวงศ์ และคณะ 2535)
4.4.2.2 การตดั ขยายระยะเพื่อผลผลติ ทางเน้ือไม้
การตดั ขยายระยะในครั้งแรก มวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่ือต้องการให้ไมท้ ่ีเหลืออย่เู ติบโตดีมีคุณภาพ ดังน้ันต้นไม้
ที่เหลือไว้ควรเป็นต้นไม้ท่ีมีลักษณะดีและมีขนาดใหญ่ ไม้ที่จะให้ราคา คือไม้ท่ีมีอายุมากกว่า 15 ปี หรือมีขนาดเส้น
ผา่ นศูนย์กลางมากกว่า 10 นิ้วข้ึนไป ซ่ึงมีราคาดีกว่าไม้ขนาดเล็กมาก ในทางทฤษฎีอาจต้องวัดอัตราการเติบโตของ
ต้นไม้ติดต่อกันทุกปี เมื่อพบว่าการเติบโตเฉลี่ยลดลงจึงควรทำ การตัดขยายระยะแต่ทางปฏิบัติการตัดขยายระยะ
จะทำกันเม่ือเรือนยอดชิดกันมากเกินไปแล้วอย่างไรก็ดีการจะเลือกวิธีการตัดขยายระยะแบบไหนน้ัน จะต้อง
คำนึงถึงความสม่ำเสมอของต้นไม้ในแปลงปลูก ส่วนจะทำการตัดขยายระยะเมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
ระยะปลูก หรืออัตราการเติบโต เป็นต้น วิธีการตัดขยายระยะ แบ่งออกเป็น 2 วิธีหลัก ได้แก่ (ทศพร และคณะ,
2558)
100
1) วิธีกล (systematic, mechanical or line thinning)
การตัดขยายระยะแบบวิธีกล เป็นการตัดโดยไม่คำนึงถึงขนาดของต้นไม้ แต่คำนึงถึงระยะห่างระหว่าง
ต้นเพยี งอย่างเดียว มักใช้กับการตัดขยายระยะครั้งแรก และการเติบโตของไม้ในแปลงมีความสมำ่ เสมอ เชน่ การตัด
แถวเว้นแถว หรือการตดั ตน้ เวน้ ตน้ เป็นวธิ ีทม่ี คี ่าใช้จา่ ยในการดำเนินการตำ่ กว่าวธิ เี ลอื กตดั (ภาพที่ 5.9)
2) วิธีเลือกตัด (selective thinning) เปน็ วิธีการท่ีผู้ดำเนินการเป็นผตู้ ัดสินใจในการคัดเลือกต้นไม้ที่จะ
ตัดขยายระยะ โดยพิจารณาจากชั้นเรือนยอดและคุณภาพของต้นไม้แต่ละต้นและความเข้มของการตัดขยายระยะ
ซึง่ เปน็ วธิ ที ม่ี ีคา่ ใช้จ่ายสูงกว่าวธิ กี ล แบง่ ออกเปน็ 4 วิธยี ่อย ไดแ้ ก่
- การตัดขยายระยะไม้ชั้นเรือนยอดต่ำ (low thinning) เป็นการตัดต้นไม้ที่มีขนาดเล็ก หรือไม้ช้ันเรือน
ยอดตำ่ ออก เพ่อื เร่งการเตบิ โตของต้นไมข้ นาดกลางและขนาดใหญ่ท่เี หลืออยู่ (ภาพที่ 5.10)
- การตัดขยายระยะไม้ชั้นเรือนยอดบน (crown thinning) เป็นการตัดต้นไม้ที่มีเรือนยอดรองเด่นและ
เรือนยอดเด่นออกเป็นบางส่วน เพ่ือส่งเสริมการเติบโตของไม้ชั้นเดียวกัน หรือไม้ขนาดเล็กแต่มีลักษณะดีกว่า
(ภาพท่ี 5.11)
ก่อนตัดขยายระยะ ตดั ขยายระยะโดยพจิ ารณาระยะหา่ งของต้นไม้
ก่อนตดั ขยายระยะ ตัดขยายระยะโดยพิจารณาแถวของต้นไม้
ทีม่ า: สุวรรณ (2561)
ภาพที่ 5.9 การตัดขยายระยะวิธีกล โดยพจิ ารณาระยะห่างของตน้ ไม้ และพจิ ารณาแถวของต้นไม้
101
(very light thinning) (light thinning)
ภาพที่ 5.10 การตดั ขยายระยะไม้ชั้นเรือนยอดต่ำ (low thinning)
ท่มี า: สวุ รรณ (2561)
ภาพท่ี 5.11 การตดั ขยายระยะไม้ชน้ั เรือนยอดบน
102
- การตัดขยายระยะแบบเลือกตัด (selection thinning) หรือเป็นการตัดขยายระยะไม้เรือนยอดเด่น
(thinning of dominants) เป็นการเลือกตดั ต้นไม้ขนาดใหญ่ออก หรือตัดต้นท่ีมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้น
ใหญ่กว่าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของหมู่ไม้ในขณะน้ัน เหลือเพียงต้นไม้ขนาดปานกลางและขนาดเล็กที่มลี ักษณะดี
ไว้ เพื่อช่วยให้ต้นไม้ที่มีขนาดเล็กกว่ามีการเติบโตและรูปทรงดี วิธีนี้เหมาะสำหรับภาวะที่ตลาดต้องการไม้ขนาด
ใหญ่อันจะทำให้เจ้าของสวนไดร้ ับผลตอบแทนกลบั คืนมาก่อนกำหนดบ้าง (ภาพท่ี 5.12)
ท่ีมา: สุวรรณ (2561)
ภาพท่ี 5.12 การตดั ขยายระยะแบบเลอื กตัด
- การตัดขยายระยะแบบผสมผสาน (free thinning) เป็นการผสมผสานวิธีดังกลา่ วข้างต้นอย่างน้อย 2
วิธีขึ้นไปร่วมกันบางคร้ังเรียกว่า combine method วิธีนี้เน้นการช่วยให้ต้นไม้ที่ต้องการนำไปใช้ประโยชน์ (crop
tree) มกี ารเตบิ โตทดี่ ี (ภาพที่ 5.13)
ที่มา: สุวรรณ (2561)
ภาพที่ 5.13 การตดั ขยายระยะแบบผสมผสาน
103
การเลือกวิธีการตัดขยายระยะแบบไหนน้ัน จะต้องคำนงึ ถึงความสม่ำเสมอของต้นไม้ในแปลงปลูก ส่วน
จะทำการตัดขยายระยะเมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะปลูก หรืออัตราการเติบโต เป็นต้น การตัดขยาย
ระยะ แบบ mechanical thinning โดยยึดระยะระหว่างต้นเป็นสำคัญเป็นวิธีที่สะดวกและเสียค่าใช้จ่ายในการ
ดำเนินการน้อยท่ีสุดสำหรับสวนป่าที่การเติบโตของหมู่ไม้มีความสม่ำเสมอและทำการตัดขยายระยะคร้ังแรก ส่วน
การตัดขยายระยะแบบ low thinning จะเหมาะสมต่อการสร้างรายได้ท่ีดีในรอบตัดฟันรอบสดุ ท้าย เพราะจะตัดไม้
ทถี่ ูกบดบงั ออก ซึ่งไม้พวกน้ีไม่ช้าก็จะตายไปเอง ไมก่ อ่ ให้เกิดรายได้เทา่ ไร
ผลของวิธกี ารตัดขยายระยะต่อการพัฒนาของหมู่ไม้ การตัดขยายระยะมีผลต่อ
1) ความสงู เฉลย่ี ของหมไู่ ม้
2) ขนาดเสน้ ผา่ นศูนย์กลางลำต้นเฉลย่ี ของหมู่ไมแ้ ละการกระจายของชน้ั เส้นผา่ นศูนย์กลางลำต้น
3) อัตราสว่ นของขนาดเฉลี่ยของต้นไม้ทต่ี ดั ขยายระยะกับขนาดเฉล่ียของต้นไมท้ ่ีเหลือไว้
ระยะเวลาทเ่ี หมาะสมสำหรับการตัดขยายระยะ
1) การตดั ขยายระยะครัง้ แรกมีความสำคัญท่ีสดุ ต่อการจัดการและการปฏบิ ตั ิทางวนวฒั นต่อสวนป่า
2) การตัดขยายระยะครง้ั แรก เป็นโอกาสที่จะตัดต้นไม้ท่ีมีกิ่งใหญ่หรือต้นที่มีหลายยอด ออกจากแปลง
ก่อนทจ่ี ะทำไม้
3) การตดั ขยายระยะครง้ั แรก ควรทำก่อนทีข่ นาดเรือนยอดของตน้ ไมจ้ ะลดลงจนมีขนาดเล็กเกินไป
4) เกณฑ์ในการพิจารณา เช่น live crown ratio พ้ืนที่หน้าตัดของหมู่ไม้ หรืออัตราการเติบโตทาง
ขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลาง
5) โดยทั่วไปแล้วหมู่ไม้ที่มีการเติบโตดกี ว่าจะตัดขยายระยะครั้งแรกและคร้ังต่อไปเร็วกวา่ ในขณะที่หมู่
ไม้ทปี่ ลูกดว้ ยระยะปลูกท่ีกว้างกว่าและมีการตดั ขยายระยะคร้ังแรกหนกั กว่าจะมผี ลตรงกนั ข้าม
ข้อพิจารณาในกรณที ่ีตัดสินใจไมด่ ำเนนิ การตัดขยายระยะ
1) เนื่องจากการตัดขยายระยะมตี ้นทุน (ค่าใชจ้ ่าย) จึงต้องพิจารณาสมดลุ ระหวา่ งรายได้จากการขายไม้
และมูลค่าของไม้ท่ีจะได้ในอนาคตจากการปรับปรุงขนาดและคุณภาพของไม้ที่ปลูก กับต้นทุนค่าใช้จ่ายจากการตัด
ขยายระยะ
2) เมือ่ ค่าแรงงานสูงขึน้ จงึ มีแนวโน้มทีจ่ ะไม่ทำการตัดขยายระยะ
3) การหลีกเล่ียงไม่ดำเนินการตัดขยายระยะ มีข้อพิจารณา คือ ไม่ทำให้ปริมาตรรวมของหมู่ไม้ลดลง
หมู่ไม้ไม่เกิดการแก่งแย่งอย่างหนักจนเป็นสาเหตุให้อัตราการตายสูงมาก การกำหนดอายุรอบหมุนเวียนให้สั้นลง
หรือกำหนดระยะปลกู เมื่อเร่ิมปลกู ให้กว้างข้ึน
4) กรณีท่ีการจัดการสวนป่าเพื่อวัตถุประสงค์ในการผลิตเสน้ ใย (fiber) และต้องการผลผลิตสูงสดุ และ
คณุ ภาพของต้นไม้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ การดำเนินการตดั ขยายระยะไมจ่ ำเป็นตอ้ งทำ
5) การผลิตไม้ฟืน ไม้ทำเยื่อกระดาษ ไม้เสาแบบหยาบ (rough pole) ท่ีต้องการผลผลิตสูง ขนาดไม้
ปานกลาง และรอบหมนุ เวยี นส้ัน สว่ นใหญไ่ มท่ ำการตดั ขยายระยะ
6) ในสวนปา่ ท่ีปลูกเพอ่ื ปอ้ งกนั ดินและการกัดชะดนิ ไมด่ ำเนนิ การตดั ขยายระยะ
7) ข้อควรระวังในการไม่ตัดขยายระยะ คือ ในหมู่ไม้บางชนิด ถ้ามีความหนาแน่นมาก มีโอกาสได้รับ
อนั ตรายจากโรคและแมลงบางชนิดสงู
ในการจัดการสวนป่าของเกษตรกรนั้นส่วนใหญ่ไม่นิยมตัดขยายระยะเน่ืองจากสาเหตุหลายประการ
เช่น ไม้ยังมีขนาดไมใ่ หญ่มากนักจึงเสียดายไมต่ ้องการตดั ต้นไมห้ รอื ต้องการเกบ็ ไม้เอาไว้ใช้ ไม้ขนาดเล็กจากการตัด
104
ขยายระยะไม่สามารถนำไปจำหน่ายได้ ไม่มีแรงงานในการตัดขยายระยะ และไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายในการตัด
ขยายระยะในขณะที่ไม้ท่ีตัดออกมาไม่สามารถนำไปจำหน่ายเพ่ือให้เกิดรายได้ หากมีการตัดต้นไม้ออกจากสวนป่า
จะใช้วิธีการเลือกตัด โดยตัดต้นไม้ที่มีลักษณะแคระแกรน มีลำต้นไม่สวยงาม มีการเติบโตไม่ดีออก และบางกรณี
เลือกตัดต้นไม้ออกตามความต้องการเช่น ตัดไม้ท่ีมีขนาดตามต้องการไปใช้ประโยชน์ หรือตัดไม้ตามขนาดที่มีผู้มา
ขอซ้อื โดยไม่ไดค้ ำนึงถึงหลกั การเรื่องการแก่งแย่งแข่งขนั ซ่ึงอาจตดั ต้นไม้ออกน้อยเกินไป ทำให้ไมท้ ี่เหลืออยูก่ ็ยงั ไม่
สามารถเตบิ โตได้อยา่ งเต็มทน่ี ัก ซึ่งอาจไมไ่ ด้นับวา่ เป็นการตัดขยายระยะ
5.5. การตัดฟันครงั้ สดุ ท้ายหรือการทำไม้ออก
สวนป่าที่ปลูกเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เมื่อครบกำหนดต้องทำการตัดฟันหรือการทำไม้ออก อายุท่ี
ทำการตัดฟนั ขึ้นกับรอบตัดฟนั ในกรณขี องไม้สัก ที่ปลูกด้วยระยะปลกู 4x4 เมตร เม่ือทำการตัดขยายระยะครั้งท่ี 1
และ 2 (หรือครั้งท่ี 3) แล้ว ส่วนใหญ่จะมีต้นสักเหลืออยู่ 25 ต้น ในพื้นท่ี 1 ไร่ จะทำการตัดฟันคร้ังสุดท้าย (final
cutting) หรอื ตดั หมด (clear cutting) เมอื่ อายุ 60 ปใี นอดีต และตอ่ มาลดลงเหลือ 30 ปี กรณีของยคู าลิปตสั หาก
ปลูกเพ่ือผลิตเยื่อและกระดาษจะตัดหมดในปีท่ี 4-5 หากต้องการเก็บไว้เพื่อผลิตเป็นไม้เสาจะตัดหมดในปีท่ี 7-10
เป็นต้น
การทำไม้ออกหรือการตัดหมด มีการกล่าวถึงผลกระทบท่ีเกิดขึ้นในพ้ืนท่ี เช่น ทำให้เกิดการชะล้าง
พังทลายของหน้าดิน เนื่องจากไม่มีต้นไม้เหลืออยู่ในพ้ืนที่จนทำให้หน้าดินขาดส่ิงปกคลุม แต่ในความเป็นจริงแล้ว
การตัดหมดทำให้เกิดความสะดวกในการนำไม้ออกและการจัดการพ้ืนท่ีเพ่ือการปลูกใหม่ เป็นการทำลายแหล่งรวม
ของเชื้อโรคหรือแมลงและลดปริมาณเช้ือเพลิงในพ้ืนท่ี รวมท้ังส่งผลให้ต้นไม้ท่ีปลูกใหม่มีการเติบโตที่ดีและ
สม่ำเสมอ เน่อื งจากต้นไมท้ ่ปี ลูกใหม่ที่อยู่ใกลบ้ ริเวณทม่ี ีต้นไม้เหลืออยู่จะได้รับแสงน้อยส่งผลให้ต้นไม้มีการเติบโตช้า
กว่าบริเวณที่ได้รับแสงอย่างเต็มที่ นอกจากน้ีไม้เศรษฐกิจหลายชนิด เช่น สัก และยูคาลิปตัส ที่มีการจัดการด้วย
วิธีการแตกหน่อซึ่งเป็นการสืบต่อพนั ธุ์แบบลดคา่ ใชจ้ ่ายจะเกิดได้ดีและได้ต้นไม้ที่มีคุณภาพมากกว่าเม่อื เกดิ หลังการ
ตัดหมด อย่างไรก็ตามปัญหาการชะล้างพังทลายของหน้าดินจะไม่เกิดขึ้นจากการทำไม้ในสวนป่าเศรษฐกิจท่ีเป็น
พื้นท่ีราบไม่ลาดชัน ในปัจจุบันเพ่ือเป็นการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดจากการตัดหมดในพื้นที่สวนป่าขนาดใหญ่
ขององคก์ ารอุตสาหกรรมปา่ ไม้ จึงได้มีนโยบายคงเหลอื ต้นไมไ้ ว้ประมาณร้อยละ 10 เพือ่ รักษาสภาพพ้นื ทไ่ี ว้
การทำไม้ (ทั้งการตัดฟันครั้งสุดท้ายหรือการตัดขยายระยะ) ในประเทศไทยส่วนใหญ่ใช้แรงงานคนใน
การโค่นต้นไม้ ลิดก่ิง ตัดยอด และใช้เคร่ืองจักรกลในการชักลากออกจากพ้ืนที่สวนป่า ในสวนป่าขององค์การ
อุตสาหกรรมป่าไม้ที่มีพน้ื ท่ีอยู่ในพ้ืนทล่ี าดชนั อาจมีการนำช้างมาชักลากไม้ออกจากพ้ืนที่ ซ่ึงนอกจากลดการทำลาย
พ้ืนท่ีป่าไม้แล้วยังเป็นการเพ่ิมอาชีพและรายได้ให้แก่ช้างและคนเล้ียงช้างอีกด้วย เมื่อนำมารวมกองที่หมอนไม้ ทำ
การวัดตัดทอนให้ได้ขนาดตามต้องการ จัดกองตามขนาดเพ่ือจำหน่ายหรือขนส่งไปยังโรงงาน โรงเลื่อย หรือสถานที่
รบั ซ้ือ (ภาพท่ี 5.14 และภาพท่ี 5.15)
การทำไม้เศรษฐกิจนอกจากผู้ปลูกจะดำเนินการตัดฟัน ขนส่งและนำไปจำหน่ายหน้าโรงงานเองแล้ว ส่วน
ใหญ่จะมีผู้ซื้อเข้ามาดำเนินการ เช่น ยูคาลิปตัส ที่ส่งโรงงานเย่ือและกระดาษ ไม้สัก ท่ีส่งโรงเลื่อยหรือโรงงาน
เฟอรน์ เิ จอร์ และในกรณีการทำไม้หวงห้าม ต้องปฏบิ ัติตามระเบยี บและกฎหมายท่ีเกยี่ วข้องอีกด้วย
เพื่อให้การปลูกสร้างสวนป่าเกิดความย่ังยืน การมีการแบ่งพ้ืนที่เป็นแปลงย่อยหรือกำหนดรอบ
หมุนเวียนเพื่อให้สามารถตัดฟันไม้ออกไปใช้ประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่อง การวางแผนการปลูกไม้หลายช้ันเรือนยอด
105
ปลูกแบบผสมผสานหรอื ใช้ระบบวนเกษตร จะทำให้เกิดความยั่งยืนทางด้านรายได้ และการรักษาความหลากหลาย
ทางชวี ภาพ การรักษาไมส่ ่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม
ที่มา: ฝ่ายวจิ ยั การปลกู สร้างสวนปา่ (2557)
ภาพท่ี 5.14 การชกั ลากไม้ออกจากแปลงโดยใชช้ ้าง (บน) และการทำไม้ออก ด้วยการขนไม้ออกไว้ทหี่ มอนไม้ (ลา่ ง)
106
ทม่ี า: ฝา่ ยวิจยั การปลกู สรา้ งสวนป่า (2557)
ภาพที่ 5.15 การวัดขนาด ตดั ทอนเป็นไมท้ ่อน (บน) และการรวมกองไม้ตามขนาดเพอื่ จำหน่าย (ล่าง)
สรุป
เนื้อหาในบทน้ีกล่าวถึงสาระสำคัญขององค์ประกอบด้านการปลูก ดูแล รักษา และจัดการสวนป่า ซ่ึง
ถอื เปน็ กจิ กรรมหลักของการปลูกปา่ เศรษฐกจิ ประกอบด้วยขัน้ ตอนต่าง ๆ ได้แก่ การปลูกซ่ึงตอ้ งมีการเตรียมกล้า
ไม้ เตรียมพ้ืนที่ปลูก เตรียมหลุมปลูก การดูแลรักษาหลังการปลูก ซ่ึงต้องมีการปลูกซ่อม กำจัดวัชพืช ใส่ปุ๋ย
ป้องกันไฟ ป้องกันโรคแมลง ในส่วนของรูปแบบการปลูกเป็นการให้ข้อมูลและเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของ
รูปแบบสวนป่าเชิงเด่ียวและสวนป่าแบบผสม และข้อดีข้อเสียของการปลูกแบบเป็นแถวและแบบไม่เป็นแถว
พร้อมแนวทางของการปลูกผสมในรูปแบบวนเกษตร ในช่วงท้ายของบท กล่าวถึงการจัดการสวนป่าเพื่อเพ่ิม
ผลผลิต ซึ่งมี 2 กิจกรรมสำคญั คือการลดิ ก่ิงและตัดขยายระยะ โดยการตัดขยายระยะนอกเหนือจากการให้ขอ้ มูล
ทางวิชาการด้านการตัดขยายระยะเพ่ือเพ่ิมผลผลิตเน้ือไม้ ให้ต้นไม้เติบโตดีและแข็งแรง ซึ่งดำเนินการโดยท่ัวไป
แล้ว ยังกล่าวถึงการตัดขยายระยะเพ่ือเพ่ิมผลผลิตเมล็ดในกรณีท่ีเป็นสวนป่าท่ีปลูกเพ่ือการผลิตเมล็ดพันธุ์ด้วย
เช่น สวนผลิตเมล็ดพันธ์ุ และท้ายสุดให้ข้อเท็จจริงทางวิชาการของการตัดฟันคร้ังสุดท้าย หรือการทำไม้ออก ว่า
การทำไม้ในระบบตัดหมด มคี วามสะดวกในการนำไม้ออกและการจัดการพ้ืนท่ีเพ่ือการปลูกใหม่ ทำลายแหลง่ รวม
ของเช้ือโรค แมลง ลดปริมาณเช้ือเพลิงในพื้นท่ี รวมทั้งส่งผลให้นไม้ที่ปลูกใหม่มีการเติบโตสม่ำเสมอกว่าระบบ
เลือกตัดเพราะได้รับแสงเต็มที่ โดยรวมกล่าวแนะนำได้ว่า หากผู้ปลูกดำเนินการการปลูกที่ถูกวิธี การกำหนด
รูปแบบการปลูก ดูแล จัดการท่ีเหมาะสม จะช่วยเสริมทำให้ต้นไม้เติบโตได้ดี สม่ำเสมอ การปลูกในรูปแบบวน
เกษตรจะสามารถใหผ้ ลตอบแทนระยะสนั้ ได้ในระหว่างทรี่ อผลผลติ จากเนอื้ ไม้ของพชื หลกั ซ่ึงตอ้ งใช้ระยะเวลานาน
107
และในบางกรณียังช่วยลดการระบาดของโรคและแมลงท่ีเกิดกับชนิดไม้หลักได้ด้วย และหากต้องการให้ต้นไม้มี
การเติบโตอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องดำเนินการตัดขยายระยะ (ซึ่งมักไม่ได้มีการดำเนินการ) เพื่อเปิดช่องว่างให้
ต้นไม้ได้รับแสงเต็มท่ี ข้อควรระวังท่ีสำคัญของการปลูกให้ประสบความสำเร็จ ต้องไม่ละเลยความสำคัญของ
ขนาดและอายุของกลา้ ไม้ทใ่ี ช้ปลูก ช่วงเวลาและการปลูกท่เี หมาะสม รวมทัง้ การตัดขยายระยะซึ่งมกั ไม่ได้รบั ความ
ใส่ใจในการจัดการสวนป่าของเกษตรกรด้วยเหตุผลหลายประการ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเติบโตอย่าง
ต่อเนือ่ งของตน้ ไม้ ทำใหไ้ ม่ได้ผลผลติ ตามที่คาดหวงั
เอกสารอา้ งองิ
กอบศักด์ิ วันธงชัย. 2540 ผลของการตัดขยายระยะต่อการเติบโตและผลผลิตของสวนป่าไม้ ยูคาลิปตัสคามาลดู
เลนซิสกับไม้ประดู่ป่า. วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาโท. มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. 92 น.
โครงการส่งเสริมการเพาะชำกล้าไม้และปลูกป่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. 2539. คู่มือส่งเสรมิ การปลูกป่า. ขอนแก่น
พบั ลชิ ช่งิ , ขอนแกน่ .
จักรพันธ์ สกุลมีฤทธ์ และขวัญชัย ดวงสถาพร. 2543. ผลของการตัดขยายระยะต่อการเติบโตของไม้สนสามใบ
สวนป่าดอยหลวง อำเภอฮอด, จงั หวัดเชียงใหม.่
ทวีโชค จำรัสฉาย. 2539. ผลของการตัดขยายระยะต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตของสวนป่าไม้ยูคาลิปตัสคา
มาลดูเลนซิส ที่ปลูกด้วยระยะการปลูกต่างกันที่สวนป่าสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธ์ุ. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท.
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. 88 น.
ทศพร วัชรางกูร และชิงชัย วิริยะบัญชา. 2545. การตัดขยายระยะและการแตกหน่อของสวนป่าไม้สัก และ
การเติบโตของสวนป่าไม้สักในช่วงระยะเวลา 3 ปี ภายหลังการตัดขยายระยะ. น. 83-102 ใน รายงาน
การประชมุ วิชาการปา่ ไม้ ประจำปี 2545, กรมป่าไม.้
ทศพร วัชรางกูร. วรพรรณ หมิ พานต์, ประพาย แก่นนาค, วิโรจน์ ครองกจิ ศิริ, สจั จาพร หงส์ทอง, ธีรยทุ ธ วงสอน
, จารุณี โนรีเวช, ปิยนุช รับพร และสุพัตรา กล่อมอ่ิม. 2556. การปลกู ไมป้ ่าโดยระบบวนเกษตร. อักษร
สยามการพิมพ,์ กรงุ เทพฯ.
ทศพร วัชรางกรู . วรพรรณ หิมพานต,์ ปยิ นุช รับพร และจารณุ ี โนรีเวช. 2558. แนวทางการตดั ขยายระยะ
สวนปา่ เชิงพาณิชย.์ ศูนยส์ ่ือและสงิ่ พมิ พ์แก้วเจา้ จอม มหาวทิ ยาลัยราชภฎั สวนสุนนั ทา, กรุงเทพฯ.
นันทนา บริบาลบุรีภัณฑ์. 2536. ผลของการตัดขยายระยะต่อการเติบโตของไม้ยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิสและ
ผลผลติ ของพชื แทรก. วิทยานิพนธป์ ริญญาโทมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. 106 น.
บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ สุนันทา ขจรศรีชล และสิรินทร์ ติยานนท์. 2535. งานวิจัยด้านการปลูกสร้าง สวนสัก
สัมมนา 50 ปี สวนสักห้วยทากเฉลมพระเกียรติ 60 พรรณษามหาราชินี 5-8 สิงหาคม 2535. จังหวัด
ลำปาง.
ฝ่ายวิจัยการปลูกสร้างสวนป่า. 2557. รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557. โครงการวิจัย เทคนิคการเพิ่ม
ผลผลิตสำหรับการปลูกสร้างสวนป่า ส่วนวนวัฒนวิจัย สำนักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้ ,
กรงุ เทพฯ.
ฝ่ายวิจัยการปลูกสร้างสวนป่า. 2558. รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558. โครงการวิจัย เทคนิคการเพิ่ม
ผลผลิตสำหรับการปลูกสร้างสวนป่า ส่วนวนวัฒนวิจัย สำนักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้,
กรุงเทพฯ.
108
สวุ รรณ ตงั้ มิตรเจรญิ ประเสริฐ สอนสถาพรกุล และสุดารัตนว์ ิสทุ ธิเทพกลุ . 2542. ผลของระยะปลูก การตดั ขยาย
ระยะ การให้ปุ๋ย และการถางวัชพืชท่ีมีผลผลิตเมล็ดและการเติบโตของไม้กระถินณรงค์อายุ 2-5 ปี
วารสารวชิ าการปา่ ไม้. 1(2): 113-123.
สุวรรณ ตั้งมิตรเจริญ. 2557. แนวทางการพัฒนาแหล่งเมล็ดพันธ์ุไม้ป่า. สำนักวิจัยการจัดการป่าไม้และผลิตผล
ปา่ ไม,้ กรมป่าไม้, กรงุ เทพฯ. 148 น. (ฉบบั ปรับปรุง ตีพิมพ์คร้งั ที่ 2)
สุวรรณ ตัง้ มติ รเจริญ. 2561. การปลกู ดูแลรกั ษา และจัดการสวนป่าเศรษฐกจิ . เอกสารเผยวิชาการเผยแพร่.
สำนักวจิ ัยและพฒั นาการปา่ ไม้, กรมป่าไม.้ เขา้ ถงึ ไดจ้ าก
http://forprod.forest.go.th/forprod/forprod2017/Knowledgebase/default.php
City of Bellevue. 2009. Pruning Guidelines. Cited 2014 October 24. Available from :
http://www.ci.bellevue.wa.us/Development%20Services/Tree_Pruning_Guidelines.pdf.
บทท่ี 6
การวเิ คราะหผ์ ลตอบแทนจากการปลกู สรา้ งสวนปา่
การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นการใช้ทรัพยากร ทุน ท่ีดิน แรงงานและการจัดการ
ซึ่งเป็นพ้ืนฐานในกระบวนการผลิตได้อย่างเหมาะสม และการดำเนินการเพ่ือนำปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้มาใช้ผลิตส่ิง
ใดสิ่งหนึ่งให้เกิดประสิทธิภาพ จึงจำเป็นจะต้องมีการวิเคราะห์ผลตอบแทนของการลงทุนว่าคุ้มหรือไม่
ถ้าผลตอบแทนทไ่ี ด้รบั มากกวา่ ค่าลงทนุ แลว้ ถือว่าการลงทุนนั้นมีความเป็นไปได้และสมควรได้รับการพิจารณาให้
ดำเนินการ
การปลูกสร้างสวนป่า เป็นการลงทุนอย่างหน่ึงท่ีจำเป็นต้องทราบถึงผลตอบแทนจากการลงทุนว่าคุ้ม
หรือไม่ ท้ังนี้เพราะต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่าจะสิ้นสุดโครงการ และการวิเคราะห์ทางการเงินของการปลูก
สร้างสวนป่านั้น จะมีรายได้เกิดข้ึนเป็นช่วง ๆ แตกต่างจากโครงการเศรษฐกิจรูปแบบอื่น เช่น ไม้สกั เป็นไมย้ นื ต้นท่ี
ตอ้ งใช้ระยะเวลายาวนานตง้ั แต่การปลูกจนถึงเวลาตัดขยายระยะ และระยะเวลาส้ินสุดโครงการคอื การตัดฟันครั้ง
สุดทา้ ย ซ่ึงจะมรี ายไดจ้ ากการตัดสางขยายระยะ และรายได้จากการตัดครง้ั สุดท้ายเมอ่ื ไมม้ ีอายคุ รบรอบหมุนเวียน
แต่ในส่วนของต้นทุนจะมีอยู่ทุก ๆ ปี จนกระทั่งถึงปีสุดท้ายที่มีการทำไม้ออก สำหรับการปลูกสร้างสวนป่า
ไม้โตเร็ว เช่น ไม้ยูคาลิปตัส จะไม่มีการตัดสางขยายระยะ คือจะมีรายได้เกิดขึ้นเพียงคร้ังเดียวเม่ือมีการทำไม้ออก
ในรอบหมนุ เวยี นแรก (วุฒิพล, 2557)
ดังนั้น ในการวิเคราะห์ผลตอบแทนของการลงทุนจากการปลูกไม้มีค่าชนิดต่าง ๆ นั้น การประเมินผล
ความสำเร็จของการปลูกสร้างสวนป่า จึงเป็นการวิเคราะห์ถึงต้นทุนและผลตอบแทนในรูปของตัวเงินท่ีคิดเฉลี่ย
ต่อพื้นท่ีสวนป่าซ่ึงแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของการกำหนดรอบหมุนเวียนในการตัดฟันหรือทำไม้ออก
โดยจะทำการศกึ ษาผลประโยชน์หรือผลตอบแทนสุทธิ จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางดา้ นการเงิน (financial
analysis) ซ่ึงมแี นวคดิ และทฤษฎีทนี่ ำมาใช้ในการวเิ คราะห์ ดงั ตอ่ ไปนี้ (พทิ ยา, 2545)
6.1 แนวคิดเบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั การวเิ คราะห์ทางการเงิน
การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินของโครงการใดๆ ถ้าต้องการจะเปรียบเทียบผลตอบแทนและ
ต้นทุนของโครงการนั้นๆ ผลตอบแทนและต้นทุนของโครงการจะเกิดข้ึนในระยะเวลาต่างๆ กัน ตลอดอายุของ
โครงการ จึงจำเป็นต้องปรับค่าเวลาของโครงการเพ่ือให้สามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนที่ได้รับและต้นทุนท่ีเสีย
ไปในช่วงเวลาท่ตี า่ งกนั ใหเ้ ปน็ เวลาปจั จบุ ัน ซ่งึ จะทำให้ได้ผลตอบแทนถกู ต้องและชัดเจน (เสถียร, 2542)
การวิเคราะห์ทางด้านการเงินจึงเป็นการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายหรือเงินลงทุน และผลตอบแทนหรือผล
กำไรทางการเงินของโครงการ เพ่ือวิเคราะห์ว่าโครงการที่จัดทำขึ้นนั้นมีความคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ โดยแบ่ง
การวเิ คราะห์ได้ 2 ประเภท ดงั นี้
6.1.1 วิธีการวิเคราะห์โดยไม่มีการคิดลด (Undiscounted Approach) คือการวัดค่าของต้นทุนและ
ผลตอบแทนจากโครงการ โดยไม่ใช้คา่ เงินที่ได้มาหรือใชไ้ ปในช่วงเวลาท่ีตา่ งกนั เช่น เงินสดรบั ในปีที่ 1 จำนวนหนึ่ง
กับเงนิ จำนวนเดยี วกันที่จะได้รับในปีที่ 5 จะถือว่ามีมลู คา่ ทีเ่ ทา่ กัน การวิเคราะหว์ ิธนี ้ี เช่น การหาระยะเวลาคนื ทุน
(playback period) ซึ่งเป็นการคำนวณว่านับจากจุดเริ่มต้นโครงการจะใช้ระยะเวลาเท่าไร จึงจะมีกระแสเงินสด
รับสุทธจิ ากโครงการรวมกันเทา่ กับมลู คา่ ในการลงทุน (total capital investment)
110
6.1.2 วิธีการวิเคราะห์โดยมีการคิดลด (Discounted Approach) วิธีวิเคราะห์โดยมีการคิดลดเป็น
วิธีการวัดค่าของผลตอบแทนและต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายท่ีเกิดขึ้นในโครงการโดยอาศัยค่าเสียโอกาสผ่านวิธีการคิด
ลด ซ่ึงวิธีท่ีนิยมใช้ได้แก่มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) อัตราตอบแทน
ภายในจากการลงทนุ (IRR)
การวิเคราะหท์ างการเงินมวี ตั ถุประสงค์ 4 ประการ คอื
1) เพ่ือศึกษาและประเมินความเป็นไปได้ทางการเงิน หรือเพื่อประเมินความสามารถในการทำ
โครงการ ว่าโครงการท่ีทำน้ันมีความสามารถก่อให้เกิดรายได้ที่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายหรือมีผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับ
การลงทนุ ซึ่งการประเมนิ ในสว่ นนีจ้ ะต้องทำการประมาณการต้นทุนและผลตอบแทนท้ังหมด เพ่ือทำการศึกษาหา
ผลตอบแทนสทุ ธขิ องโครงการ
2) เพ่ือประเมินแรงจูงใจ ในการวิเคราะห์ทางการเงินจะมีความสำคัญต่อการประเมินแรงจูงใจให้กับ
เจ้าของโครงการและผู้มีส่วนร่วมกับโครงการ ซ่ึงถ้าเป็นโครงการที่หน่วยงานภาครัฐให้ทุนสนับสนุน ก็จะต้อง
พจิ ารณาว่าผลตอบแทนทีไ่ ด้รับจะเพยี งพอ และบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ทางการเงนิ ทตี่ อ้ งการหรือไม่
3) เพื่อจัดให้มีแผนการเงินที่ดี ทั้งน้ีเพ่ือให้โครงการมีกำไรและผลตอบแทนท่ีดี จึงจำเป็นท่ีเจ้าของ
โครงการต้องมแี ผนการเงินท่ีดี ในเรื่องการวางแผนในการจัดหาแหล่งเงินทนุ เพื่อใหไ้ ด้มาซึ่งเม็ดเงินในจำนวนและ
ในเวลาท่ีจำกัด โดยให้เสียค่าใช้จ่ายต่ำสุด เพื่อให้เกิดความเหมาะสมของอัตราค่าบริการ ราคา และปริมาณการ
ผลติ ที่ทำให้โครงการคุ้มทุน
4) เพ่ือทำให้โครงการสามารถประเมินขีดความสามารถในการบริหารเงิน สำหรับโครงการลงทุน
ขนาดใหญ่ที่มีการบริหารการเงินที่สลับซับซ้อน ก็มีความจำเป็นต้องพิจารณาถึงระบบการจัดการดา้ นการเงินและ
ความสามารถของผู้บริหารการเงิน ว่าจะมีการบริหารงานอย่างไรให้องค์กรสามารถจัดการกับระบบควบคุมและ
การตรวจสอบการเงนิ เพอื่ ให้โครงการสามารถดำเนนิ การไปตามกำหนดได้
6.2 การวเิ คราะห์ผลตอบแทนทางการเงนิ ของโครงการปลกู สรา้ งสวนป่า
การวิเคราะห์ต้นทนุ และผลตอบแทนของโครงการปลกู สรา้ งสวนปา่ จะทำการวเิ คราะห์ตอ่ หนว่ ยพื้นที่
การผลิต คอื ต้นทุนและผลตอบแทนเฉล่ยี ตอ่ พนื้ ที่เพาะปลกู 1 ไร่ ภายในระยะเวลา 1 ปี ของการดำเนนิ โครงการ
ซ่งึ จะทำให้ทราบถงึ กำไรทีเ่ กษตรกรได้รับ โดยแบง่ การวเิ คราะหไ์ ด้ดงั น้ี (นราทิพย์, 2539)
6.2.1 ต้นทนุ ทางการผลิต
ตน้ ทุนทางการผลิต หมายถึง คา่ ใช้จา่ ยต่าง ๆ ท่ีเกิดข้นึ จากการลงทุนและการดำเนินการ ซึ่งการ
วิเคราะห์จะพจิ ารณาถงึ ต้นทุนทางการผลิตทงั้ ในรูปทีเ่ ปน็ เงินสดและไม่เป็นเงนิ สด จึงได้จำแนกประเภทของตน้ ทุน
ทางการผลติ ไวด้ งั น้ี
6.2.1.1 ตน้ ทุนผันแปร (variable costs) หมายถงึ ต้นทุนการผลติ ที่เปลย่ี นแปลงไปตามปริมาณ
ของผลผลิต ต้นทนุ ผนั แปรจึงเปน็ ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใชป้ จั จัยผันแปรในการผลติ ถ้าทำการผลติ ในปริมาณมาก
ก็จะจ่ายตน้ ทนุ ผันแปรมาก ถ้าผลติ น้อยก็จะจ่ายตน้ ทุนผันแปรน้อย เมอ่ื ไม่ทำการผลติ ก็จะไม่ตอ้ งจา่ ยต้นทุนชนดิ น้ี
เลย และปจั จัยผนั แปรจะใช้หมดไปในชว่ งการผลติ สั้นๆ ต้นทุนผนั แปรสามารถแบ่งออกได้เปน็ 2 ประเภท ดงั น้ี
1) ตน้ ทุนผนั แปรท่ีเป็นเงินสด หมายถึง ต้นทนุ ผนั แปรที่ผผู้ ลิตจ่ายออกไปจริงเปน็ เงินสดจากการ
ใช้ปจั จัยผันแปรต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ค่าจ้างแรงงาน ค่าวสั ดุอุปกรณก์ ารเกษตร ตลอดจนค่าซอ่ มแซมอุปกรณ์
2) ต้นทุนผันแปรที่ไม่เป็นเงินสด หมายถึง ต้นทุนผันแปรที่ผู้ผลิตไม่ได้จ่ายออกไปจริงเป็นเงินสด
เป็นค่าใช้จ่ายที่คิดให้กับปัจจัยการการผลิตผันแปรต่าง ๆ ท่ีเป็นของผู้ผลิตเอง หรือได้รับมาแล้วก็ใช้ไปในรูปของ
111
สง่ิ ของ ไดแ้ ก่ คา่ แรงงานของบุคคลในครอบครวั ค่าวัสดุอุปกรณ์การเกษตรที่เกษตรกรผลิตได้เอง หรือได้รับมาฟรี
และค่าเสยี โอกาสของเงนิ ลงทนุ หมุนเวียน
6.2.1.2 ต้นทุนคงท่ี (fixed cost) หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่เกิดข้ึนจากการใช้ปัจจัยคงท่ี ซึ่งต้นทุน
คงท่ีจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการผลิต ไม่ว่าจะผลิตในปริมาณมากหรือน้อยเท่าใดก็ตาม ค่าใช้จ่าย
ประเภทนี้จะมีจำนวนคงท่ี หรือไม่สามารถเปล่ียนแปลงปริมาณการใช้จ่ายได้ในระยะเวลาของการผลิต และถา้ ไม่
ดำเนนิ การผลติ ก็จะตอ้ งสูญเสียตน้ ทุนนี้ ตน้ ทนุ คงทส่ี ามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังน้ี
1) ต้นทุนคงท่ีที่เป็นเงินสด หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่ผู้ผลิตจะต้องจ่ายในรูปของเงินสดในจำนวนท่ี
คงทีต่ ่อปี ไดแ้ ก่ คา่ เชา่ ที่ดิน ค่าภาษีทดี่ นิ เปน็ ตน้
2) ต้นทุนคงท่ีที่ไม่เป็นเงินสด หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่ผู้ผลิตไม่ได้จ่ายออกไปจริงในรูปของเงินสด
หรือเป็นค่าใช้จ่ายคงท่ีประเมิน ได้แก่ ค่าเส่ือมราคาของอุปกรณ์การเกษตร ค่าเสียโอกาสของเงินลงทุนในการซ้ือ
อุปกรณ์การเกษตร และค่าเสียโอกาสการใช้ทด่ี ินในกรณีทีม่ ที ่ีดนิ เปน็ ของตนเอง
6.2.2 รายได้จากการผลติ
รายได้จากการผลิต หมายถึง รายได้ท้ังหมดท่ีผู้ผลิตได้รับจากการผลิตต่อหน่ึงรอบการผลิตหรือ
ตอ่ ปี ซึง่ มีคา่ เท่ากบั ผลคณู ของปรมิ าณผลผลิตกบั ราคาเฉลี่ยที่ได้รับ
6.2.3 กำไรจากการผลิต
กำไรจากการผลิต หมายถึง ผลต่างระหว่างรายได้จากการผลิตและต้นทุนการผลิต ซึ่งสามารถ
แบง่ การวเิ คราะหไ์ ด้ 3 สว่ น ดังนี้
6.2.3.1 รายได้เหนือต้นทุนผันแปร เป็นผลต่างระหว่างรายได้จากการผลิตและต้นทุนผันแปร
ทั้งหมด
6.2.3.2 รายได้เหนือต้นทุนท่ีเป็นเงินสด เป็นผลต่างระหว่างรายได้จากการผลิตและต้นทุนที่เป็น
เงนิ สดทง้ั หมด
2.3.3 กำไร เป็นผลต่างระหว่างรายได้จากการผลิตและต้นทุนท้ังท่ีเป็นเงินสดและไม่เป็นเงินสด
เพื่อคำนงึ ถึงรายได้สุทธทิ ่เี กษตรกรได้รับจรงิ จากการผลติ
6.3 ขนั้ ตอนการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงนิ
การวเิ คราะหผ์ ลตอบแทนทางการเงนิ มีส่งิ ทีต่ อ้ งพจิ ารณา ดังนี้
6.3.1 การวเิ คราะห์ผลตอบแทนทางการเงิน
แนวความคิดเบ้ืองต้นในการวิเคราะห์ทางการเงินของโครงการลงทุนใด ก็คือการเปรียบเทียบเงิน
ลงทุนและค่าใช้จ่าย (cost) กับรายได้หรือผลประโยชน์ (benefit) จากโครงการ เพื่อท่ีจะแสดงให้เห็นถึง
ความสามารถของโครงการท่ีจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ดังกล่าวจากการลงทุนได้ ในการเปรียบเทียบเงินลงทุนและ
ผลประโยชน์ สิ่งแรกท่ีจะต้องทำก็คือ การจัดทำกระแสเงินสดท่ีเกิดข้ึนในแต่ละช่วงเวลา เพื่อท่ีจะแสดงให้เห็นถึง
รายได้ (benefit) และ ค่าใช้จ่าย (cost) ท่ีเกิดข้ึนตลอดช่วงอายุของโครงการ การจัดทำกระแสเงินสดมีสิ่งที่ต้อง
จดั ทำคอื
6.3.1.1 กำหนดรายการที่เปน็ คา่ ใช้จ่ายหรือเงนิ ลงทนุ (costs)
6.3.1.2 กำหนดรายการทเี่ ปน็ รายได้หรอื ผลประโยชนข์ องโครงการ (benefits)
6.3.1.3 พิจารณาเลอื กรูปแบบจำลอง
112
6.3.2 การเปรยี บเทยี บรายได้และค่าใช้จา่ ยโดยพจิ ารณาถงึ มูลคา่ ของเงนิ
การพิจารณาถึงมูลค่าของเงินท่ีเปล่ียนแปลงไปตามเวลา (Time Value of Money) เป็นการคำนึงถึง
ผลกระทบของเวลาท่ีมีต่อการตัดสินใจในการลงทุน ท้ังนี้เพราะการลงทุนในโครงการต่าง ๆ เป็นการใช้ทรัพยากร
ท่ีมีค่าใช้จ่ายเกิดข้ึน โดยคาดหวังท่ีจะมีรายได้หรือผลประโยชน์เกิดข้ึนในอนาคตจากการใช้ทรัพยากรนั้น น่ันคือ
มูลค่าของคา่ ใชจ้ ่ายหรอื ผลประโยชนห์ รือรายได้ของโครงการน้นั จะแตกต่างกันไปตามเวลาต่าง ๆ ที่ค่าใชจ้ ่ายและ
ผลประโยชน์นน้ั เกิดขนึ้
แนวความคดิ ของมลู คา่ ของเงนิ ที่เปล่ยี นไปตามเวลาขนึ้ อยกู่ บั หลักการท่ีวา่ มูลคา่ เงินในปจั จุบันมีมูลค่า
มากกว่าเงนิ ในอนาคต ซ่ึงในที่นไ้ี ม่ได้หมายถงึ ว่าเป็นเพราะภาวะเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจึงทำให้มลู ค่าลดลง
แต่เป็นเพราะว่าเงินในปัจจุบันสามารถท่ีจะก่อให้เกิดรายได้ขึ้นมา ดังนั้น เงินในปัจจุบันจะเท่ากับเงินจำนวนท่ี
มากกว่าในอนาคต ท้ังนี้เพราะการที่เรามีโอกาสเลือกในการลงทุนจึงทำให้เราสามารถที่จะแสดงให้เห็นว่ามูลค่า
ของเงินจะเปล่ียนแปลงไปเท่าใดบ้างในอนาคต ซ่ึงก็หมายถึงว่ามูลค่าของเงินจะเท่ากับรายได้ท่ีเราจะต้องสูญเสีย
ไปในการได้นำเงนิ น้นั มาลงทนุ ในโครงการ
Gittinger (1982) กล่าวว่า มูลค่าในปัจจุบันของเงินจะดีกว่ามูลค่าในอนาคต การไม่คำนึงถึงมูลค่า
ตามเวลาจึงถือเป็นจุดอ่อน ดังน้ัน จำเป็นจะต้องพิจารณาถึงการปรับค่าของเวลามาประกอบการคิดมูลค่าของ
ต้นทุน และผลตอบแทน
ประสิทธ์ิ (2544) ได้อธิบายว่า โดยหลักการแล้วเงินจำนวนเดียวกันในปัจจุบันและอนาคตจะไม่
เท่ากัน คือ เงินจำนวน 100 บาทในวันนี้จะไม่เท่ากับ 100 บาทในปีถัดไป มูลค่าของเงินในอนาคตจะน้อยกว่า
มูลค่าของเงินในปัจจุบัน จึงไม่สามารถรวมต้นทุนและผลตอบแทนท่ีเกิดขึ้นในปีต่าง ๆ เข้าด้วยกันโดยตรง แล้ว
นำมาเปรียบเทยี บกันหรอื เพ่ือคำนวณหาผลตอบแทนสุทธิ หากแต่ตอ้ งคำนงึ ถึงมลู คา่ ของเงินตามเวลาด้วย
อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า มูลค่าของเงินจะแตกต่างกันเมื่อระยะเวลาที่จะได้รับเงินหรือต้องจ่ายเงิน
แตกต่างกัน การปรับค่าของเวลาถูกกำหนดโดยปัจจัย 2 ชนิด คือ ช่วงเวลาระหว่างปัจจุบันและอนาคตของ
โครงการ และอัตราดอกเบี้ยที่เลือกใช้ กล่าวคือ เม่ืออัตราดอกเบ้ียย่ิงสูงและระยะเวลาท่ีได้รับผลตอบแทน
ยาวนานออกไปเท่าไร มลู ค่าปจั จบุ นั ของผลตอบแทนท่ไี ด้รบั จะยงิ่ นอ้ ยลงเทา่ น้นั
6.3.3 อัตราคดิ ลด (Discount rate)
การปรับค่าของต้นทุนและผลตอบแทนที่เกิดขึ้นต่างปีกัน จะต้องปรับให้เป็นค่า ณ ปีใดปีหน่ึง
เหมือนกนั เพ่ือให้สามารถรวมค่าที่ได้เข้าด้วยกันและเปรียบเทียบกันได้ โดยปกติมักจะคิดให้เป็นมูลค่าในปัจจุบัน
หรอื ที่เรยี กวา่ มูลค่าปัจจบุ นั
เยาวเรศ (2543) ไดใ้ ห้ความหมายของมูลค่าปัจจุบัน หมายถงึ มูลค่าของต้นทุนหรือผลประโยชน์จาก
การดำเนินโครงการที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตท่ีถูกปรับให้เป็นมูลค่า ณ ปัจจบุ ัน โดยการปรบั ให้มูลค่าในอนาคต
ลดลงในอตั ราหนึ่งๆ ตอ่ ปีหรอื ทเี่ รยี กว่า อัตราคดิ ลด
ในการคิดลดจะต้องเลือกใช้อัตราท่ีเหมาะสม Gittinger (1982) กล่าวว่าอัตราคิดลดท่ีผู้วิเคราะห์
จะตอ้ งเลือกใช้ มี 3 อตั รา ได้แก่
6.3.3.1 ค่าเสียโอกาสของต้นทุน (opportunity cost of capital) ใช้สำหรับการวิเคราะห์ทาง
เศรษฐศาสตร์ เป็นอัตราผลตอบแทนของเงินทั้งหมดท่ีใช้ในการดำเนินงาน รวมท้ังต้นทุนที่ไม่มีตัวตน ถือเป็น
113
แนวคิดท่ีดี แต่ยากที่จะประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ น่ันคือไม่มีใครทราบว่าค่าเสียโอกาสของทุนจริง ๆ เป็นเท่าไร
ในประเทศกำลังพัฒนามักจะสมมุตอิ ัตราคิดลดอยรู่ ะหว่างร้อยละ 8-15 แตส่ ว่ นมากจะนิยมใชอ้ ตั รารอ้ ยละ 12
6.3.3.2 อัตราดอกเบ้ียกู้ยืม (borrowing rate) อัตราดอกเบ้ียกู้ยืมถือเป็นต้นทุนของเงินทุน อัตรา
ดอกเบี้ยทโ่ี ครงการสามารถกู้ยืมไดค้ ือตน้ ทนุ ค่าเสียโอกาส จึงควรนำมาเป็นอัตราคิดลดในการวิเคราะหท์ างการเงิน
โดยอตั ราผลตอบแทนที่ไดร้ บั จากโครงการจะต้องไมต่ ำ่ กว่าอตั ราดอกเบย้ี กูย้ มื
6.3.3.3 อัตราผลตอบแทนทางสังคม (social rate of return) เป็นอัตราที่สะท้อนถึงค่าเสียโอกาส
ของสังคม จากการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ของคนในสังคมท้ังภาครัฐและ
เอกชน การนำเอาทรัพยากรส่วนหนึ่งของสังคมมาใช้จึงทำให้เกิดต้นทุนค่าเสียโอกาสของสังคมขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
การลงทุนของภาครัฐหรือภาคเอกชน
6.4 ทฤษฎกี ารตดั สนิ ใจลงทนุ
เป็นเกณฑ์การตัดสินใจแบบปรับค่าเวลา การตัดสินใจว่าโครงการใดมีความเหมาะสมท่ีจะลงทุน
หรอื ไม่นัน้ มวี ิธีวเิ คราะหท์ ี่สามารถทำไดด้ งั นี้ (หฤทัย, 2544)
6.4.1 มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value --NPV) คือ การประเมินหาผลรวมสุทธิของมูลค่า
ปัจจุบันของกระแสเงินสดรบั และเงินสดจ่าย ทเี่ กิดข้ึนจรงิ ตลอดชว่ งอายุของโครงการหลังหักภาษีเงินได้นิติบคุ คล
โดยลดค่าด้วยอัตราลดค่ามีรูปแบบในการคำนวณดังนี้
NPV = ( − )
1 +
t=0
โดยกำหนดให้
NPV = มูลค่าปัจจุบันสทุ ธติ ลอดอายุของการลงทุน
Bt = รายได/้ ผลประโยชนก์ ารโครงการในปที ี่ t
Ct = คา่ ใช้จา่ ยหรือเงนิ ลงทนุ ของโครงการในปที ี่ t
r = อัตราคดิ ลดหรือค่าเสียโอกาสของเงนิ ทนุ
t = ระยะเวลาของโครงการ (ป)ี เมอ่ื t = 0, 1, 2,…,n
n = อายุโครงการ (ป)ี
ข้ันตอนการหามูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) จะดำเนินการวิเคราะห์หาต้นทุนและผลตอบแทนทางการ
เงิน ดังตัวอย่างตาม ตารางท่ี 6.1 โดยวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนทางการเงินของสวนป่าไม้ยูคาลิปตัส โดย
มลู ค่าปัจจุบันของผลตอบแทน คือ Bt,มูลค่าปัจจุบันของต้นทุน คือ Ct ภายใต้อัตราคิดลด (กำหนดให้เป็นร้อยละ
10 ตอ่ ปี) คือ r ภายในระยะเวลาการลงทนุ หรือ อายุโครงการ คือ n (5 ปี) ซึ่งเมื่อวิเคราะห์หามูลคา่ ปจั จุบันสุทธิ
(NPV) แล้วได้ 3,227 บาทต่อไร่ ภายใต้อัตราคิดลดร้อยละ 10 ต่อปี ซึ่งมากกว่า 0 แสดงว่า ผลตอบแทนทาง
ต้นทุนสุทธิของโครงการมีค่าเป็นบวก หมายความว่า การปลูกสวนป่าไม้ยูคาลิปตัสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ระยะปลูก 2x4 เมตร ช้ันคุณภาพพื้นท่ีปานกลาง ท่ีราคาไม้ตันละ 720 บาท ภายใต้อัตราคิดลดร้อยละ 10 ต่อปี
นัน้ ได้ผลตอบแทนคมุ้ ค่ากับการลงทนุ
114
ตารางที่ 6.1 ต้นทุนและผลตอบแทนทางการเงินของสวนป่าไม้ยูคาลิปตัสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือระยะปลูก
2x4 เมตร ชนั้ คุณภาพพืน้ ที่ปานกลาง ท่รี าคาไม้ตันละ 720 บาท ภายใต้อตั ราคดิ ลดรอ้ ยละ 10
(หน่วย : บาท/ไร/่ ปี)
ปที ่ี ผลตอบแทน ต้นทนุ ผลตอบแทน อัตราคดิ มลู คา่ มูลคา่ NPV 10%
(n) สทุ ธิ ลดร้อยละ ปจั จุบนั ของ ปัจจบุ นั ของ
ผลตอบแท ต้นทนุ (Ct)
10
น (Bt)
1 0 1,260 -1,260 0.909 0 1,146 -1,146
2 0 904 -904 0.826 0 747 -747
3 0 530 -530 0.751 0 398 -398
4 0 400 -400 0.683 0 273 -273
5 9,626 300 9,326 0.621 5,977 186 5,791
รวม 9,626 3,394 6,232 5,977 2,750 3,227
ทมี่ า : วฒุ ิพล และคณะ(2542)
หลกั เกณฑ์การตดั สินใจเพื่อการลงทุนในโครงการมดี งั นี้
ถา้ ค่าของ NPV ท่ีได้มีค่ามากกว่า 0 หรือเป็นบวกเป็นการลงทุนที่คุม้ ค่าเนื่องจากผลตอบแทน ท่ี
ได้รับจากโครงการมีมากกวา่ ตน้ ทุนของโครงการทีเ่ กิดขึ้น
ถ้าค่าของ NPV ท่ีได้มีค่าน้อยกว่า 0 หรือเป็นลบเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเนื่องจากผลตอบแทน
ท่ีได้รบั จากโครงการมีน้อยกว่าต้นทุนของโครงการท่เี กิดขน้ึ
ถ้าค่าของ NPV ท่ีได้มีค่าเท่ากับ 0 การตัดสินใจที่ยอมรับ หรือปฏิเสธโครงการน้ีก็ได้ เน่ืองจาก
ผลตอบแทนท่ีได้รบั จากโครงการมีคา่ เทา่ กนั พอดีกบั ต้นทนุ ของโครงการท่เี กดิ ขน้ึ
ดงั นนั้ การตดั สินใจทแี่ สดงวา่ โครงการปลกู สรา้ งสวนป่ามีความเหมาะสมและคุม้ คา่ ทางเศรษฐกิจ
จะต้องมคี ่าผลรวมของผลตอบแทนหรือรายไดม้ ากกว่าผลรวมของค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาของโครงการในอัตรา
คิดลดทเ่ี หมาะสมทไ่ี ด้กำหนดไว้ น่นั คือ ค่าของ NPV ท่ไี ด้จะตอ้ งมีค่ามากกวา่ 0 หรือเป็นบวกนนั่ เอง
ข้อจำกัดของ NPV คือบอกได้เพียงว่าโครงการนี้สามารถทำกำไรให้แก่ผู้เป็นเจ้าของโครงการได้
หรือไม่ ถ้าจะได้มากน้อยเพียงใด โดยต้องกำหนดส่วนลด (r) ลงไปในสูตร NPV แต่ NPV ไม่สามารถบอกได้ว่า
โครงการที่กำลงั พิจารณาจะคืนทุนในอัตราเท่าใด
115
6.4.2 อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (Benefit-Cost Ratio--B/C Ratio) โครงการท่ีจะได้รับการ
ยอมรบั ว่าเหมาะสมแก่การลงทุน ควรมีมูลค่าผลประโยชน์ที่หักลดแล้วมากกว่ามลู ค่าของค่าใช้จ่ายท่ีไดห้ ักลดแล้ว
มรี ปู แบบในการคำนวณดงั นี้
B/C Ratio = ( )
=0(1+ )
( )
=0(1+ )
โดยกำหนดให้
B/C Ratio = อตั ราผลประโยชนต์ อ่ ต้นทนุ
Bt = รายได/้ ผลประโยชน์จากโครงการปใี นปีท่ี t
Ct = คา่ ใชจ้ า่ ยหรอื เงนิ ลงทุนโครงการในปที ี่ t
r = อตั ราคดิ ลดหรือคา่ เสยี โอกาสของเงนิ ทนุ
t = ระยะเวลาของโครงการ (ป)ี เมอ่ื t = 0,1,2,…,n
n = อายุโครงการ (ปี)
หลักเกณฑ์การตดั สินใจเพอ่ื การลงทุนในโครงการมีดงั นี้
ถ้าค่า B/C Ratio ท่ไี ดค้ ่ามากกว่า 1 แสดงว่ายอมรับข้อเสนอโครงการ
ถา้ ค่า B/C Ratio ท่ีได้มคี ่านอ้ ยกว่า 1 แสดงวา่ ไม่ยอมรับขอ้ เสนอโครงการ
ถ้าค่า B/C Ratio ที่ได้มีค่าเท่ากับ 1 แสดงว่าไม่มีผลกระทบใด ๆ ไม่ว่าจะยอมรับ หรือ
ปฏเิ สธขอ้ เสนอโครงการ
จากข้อมูลในตารางท่ี 6.1 ก็สามารถนำมาวิเคราะห์หาอัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio)
ได้ โดยคิดจากสัดส่วนของผลรวมรายได้หรือผลตอบแทนต่อผลรวมค่าใช้จ่ายหรือเงินลงทุนตลอดระยะเวลาของ
โครงการ ภายใต้อัตราคิดลดร้อยละ 10 ต่อปี ในที่น้ีคือ 5,977/2,750 มีค่าเท่ากับ 2.17 ซ่ึงมากกว่า 1 แสดงว่า
ผลตอบแทนของการปลูกสวนป่าไม้ยูคาลิปตัสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือระยะปลูก 2x4 เมตร ช้ันคุณภาพพ้ืนที่
ปานกลาง ทีร่ าคาไม้ตนั ละ 720 บาท มีค่ามากกว่าเงนิ ลงทุน ภายใต้อตั ราคดิ ลดร้อยละ 10 ต่อปี ซ่ึงหมายความว่า
โครงการนเ้ี หมาะสมแกก่ ารลงทนุ
ในกรณีนี้การตัดสินใจลงทุนปลูกสร้างสวนป่าจะต้องมีสัดส่วนผลรวมของรายได้ต่อผลรวมของ
คา่ ใช้จ่ายตลอดระยะเวลาของโครงการในอตั ราคิดลดท่ีเหมาะสมทีไ่ ด้กำหนดไว้ มีค่ามากกว่า 1 น่ันคือคา่ ของ B/C
Ratio ที่ไดค้ ่ามากกว่า 1 แสดงว่าโครงการปลูกสร้างสวนป่ามีความเหมาะสมและคุม้ ค่าทางเศรษฐกจิ
ขอ้ จำกดั ของ B/C Ratio มดี งั น้ี
1) ไม่สามารถบอกถึงขนาดของความคุ้มค่าในการลงทุนได้ ซึ่งทำให้บางครั้งเกิดการตัดใจ
ผิดพลาด โดยเลอื กโครงการทีม่ ี B/C Ratio ซึง่ มี NPV ตำ่ กว่าอกี โครงหนึ่ง
2) มีความไหวตัวต่อมูลค่าปัจจุบันของผลประโยชน์ และต้นทุนอย่างมาก ถ้ามกี ารคิดต้นทุนบาง
รายการเปน็ ผลประโยชน์ติดลบ และคิดผลประโยชน์บางรายการเป็นต้นทุนติดลบ เช่น โครงการมลภาวะ อาจทำ
ใหค้ า่ B/C Ratio ไม่สามารถบอกถึงความเหมาะสมของโครงการได้ ซ่ึงในลักษณะนี้มกี ารใชห้ ลกั เกณฑ์ NPV จะได้
ผลลพั ธท์ เี่ หมาะสมกวา่
116
6.4.3 อตั ราผลตอบแทนภายในการลงทนุ (Internal Rate of Return--IRR) หมายถงึ อัตราส่วนลดที่
ทำให้มลู ค่าปัจจุบันของผลตอบแทนเท่ากับมลู คา่ ปัจจุบันของค่าใช้จา่ ย เป็นอัตราความสามารถของเงินทุนที่ทำให้
ผลตอบแทนคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายเมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันมีอัตราส่วนลดท่ีทำให้ NPV = 0 โดยมีรูปแบบในการ
คำนวณดงั น้ี
IRR = ( − ) = 0
=0 (1+ )
โดยกำหนดให้
IRR = อัตราผลตอบแทนในจากการลงทุน
Bt = รายได้/ ผลประโยชนจ์ ากโครงการปีในปที ่ี t
Ct = ค่าใช้จ่ายหรือเงินลงทนุ โครงการในปที ี่ t
r = อัตราส่วนทีท่ ำให้ NPV = 0
t = ระยะเวลาของโครงการ (ปี) เมอื่ t = 0, 1, 2,…,n
n = อายโุ ครงการ (ป)ี
หลักเกณฑก์ ารตัดสินใจเพื่อการลงทนุ ในโครงการ เม่ือได้ IRR ออกมาแลว้ กน็ ำไปเปรียบเทียบกับ
คา่ เสยี โอกาสของทุน ถา้ ค่า IRR ท่ไี ด้สงู กว่าคา่ เสียโอกาสของทุนแสดงว่า โครงการคุ้มคา่ ในการลงทุน ถ้าค่า IRR ที่
ได้ต่ำกว่าค่าเสียโอกาสของทุนแสดงว่า โครงการไม่คุ้มค่าในการลงทุน ถ้าค่า IRR ท่ีได้เท่ากับค่าเสียโอกาสของทุน
แสดงว่า จะเลือกยอมรบั หรอื ปฏิเสธโครงการน้ีกไ็ ด้
การพิจารณาทำได้โดยนำค่า IRR ไปเปรียบเทียบกับอัตราค่าเสียโอกาสของเงินทุน ซึ่งอาจเป็น
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงิน อัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ธุรกิจยอมรับได้ หรืออัตราผลตอบแทนจากการ
ลงทุนในระยะยาวตามที่กำหนด
วิธีคำนวณหา IRR คือ วิธีลองผิดลองถูกควบคู่กับการเข้าสูตร บัญญัติไตรยางศ์ประมาณค่า ในช่วง
โดยดู NPV เป็นหลัก และการเลือกอตั ราส่วนลด (r) อตั ราหนง่ึ มาคำนวณ
ถา้ อตั ราส่วนลด (r_1) ทเ่ี ลือกทำให้ NPV ติดลบแสดงว่า r_1 ทเี่ ลือกมีคา่ สงู เกนิ ไป หมายถงึ ต้อง
จา่ ยดอกเบี้ยสำหรับเงินลงทนุ แพงมากไม่คุ้มทุน
ถ้าอัตราส่วนลด( r_2) ที่เลือกทำให้ NPV เป็นบวก แสดงว่า r_2 ท่ีเลือกมีค่าต่ำเกินไป หมายถึง
ต้องจ่ายดอกเบ้ียเงินลงทนุ ไปแลว้ ในอตั รา r_2%ผลประโยชน์ยังคงมากกว่าค่าใชจ้ ่าย
ดังน้ันอัตราส่วนลด (r) ท่ีทำให้ NPV = 0 อยู่ระหว่าง r_1และ r_2ดังมีรูปแบบในการคำนวณ
ดังน้ี
IRR = อัตราส่วนลดตัวต่ำ + ผลตา่ งของอตั ราสว่ นลดทั้งสอง คณู กบั NPV ของอัตราส่วนลด
ตัวต่ำ/ผลตา่ งของ NPV ทใี่ ชอ้ ตั ราส่วนลดทง้ั สอง
จากข้อมลู ในตารางท่ี 6.1 นำมาวิเคราะหห์ าอตั ราผลตอบแทนภายในจากการลงทนุ (IRR) ได้
รอ้ ยละ 41.9 ต่อปี ซึง่ เปน็ ค่ามากกวา่ มลู ค่าตน้ ทุน ท่อี ัตราคดิ ลดรอ้ ยละ 10 ตอ่ ปี ซึ่งหมายความว่า เม่ือนำไป
เปรียบเทียบกบั ค่าเสยี โอกาสของทุน การปลกู สวนปา่ ไมย้ คู าลปิ ตสั ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือระยะปลูก 2x4
เมตร ชัน้ คณุ ภาพพืน้ ทีป่ านกลาง ทร่ี าคาไม้ตนั ละ 720 บาท ภายในระยะเวลาการลงทุน หรอื อายโุ ครงการ 5 ปี
จะทำให้ผลตอบแทนคุม้ ค่าต่อการลงทนุ ตามตาราง 6.2 ซง่ึ แสดงใหเ้ ห็นวา่ ที่อัตราผลตอบแทนภายในจากการ
ลงทุน (IRR) ร้อยละ 41.9 ตอ่ ปี ทำให้ได้ NPV = 0
117
ตารางท่ี 6.2 ต้นทุนและผลตอบแทนทางการเงินของสวนป่าไม้ยูคาลิปตัสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือระยะปลูก
2x4 เมตร ช้ันคุณภาพพื้นทป่ี านกลาง ที่ราคาไมต้ นั ละ 720 บาท ภายใตอ้ ัตราคิดลดรอ้ ยละ 41.9
(หน่วย : บาท/ไร/่ ปี)
ปที ่ี ผลตอบ ตน้ ทนุ อตั รา มูลค่าปัจจุบนั มลู ค่าปัจจุบัน IRR 41.9%
แทน ผลตอบ คดิ ลด ของ ของตน้ ทุน (Ct)
แทนสุทธิ ร้อยละ ผลตอบแทน
41.9 (Bt)
1 0 1,260 -1,260 0.705 0 888 -888
2 0 904 -904 0.497 0 449 -449
3 0 530 -530 0.350 0 186 -186
4 0 400 -400 0.247 0 99 -99
5 9,626 300 9,326 0.174 1,674 52 1,622
รวม 9,626 3,394 6,232 1,674 1,674 0
ท่มี า : ดัดแปลงจาก วุฒิพล และคณะ(2542)
ขอ้ ดีของ IRR มีดังนี้
1) เป็นการวัดประสิทธิภาพส่วนเพิ่มของการลงทุนวา่ เมื่อตัดสนิ ใจลงทนุ ไปแล้วจะใหผ้ ลตอบแทน
เป็นอย่างไร (ในรูปของเปอร์เซ็นต์) ทำให้ง่ายต่อการเข้าใจ เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเสียโอกาสของทุน (อัตรา
สว่ นลด)
2) มีประโยชน์ถ้ามีการวิเคราะห์ความอ่อนไหวของโครงการ กล่าวคือ ถ้าต้นทุนของโครงการ
เปลีย่ นแปลงจะมผี ลกระทบต่อ IRR อย่างมาก ดังน้ัน IRR จะสะท้อนถงึ ทางเลือกทเี่ หมาะสมทสี่ ดุ
ข้อเสยี ของ IRR คอื
ถ้าโครงการมีลักษณะพ่ึงพิงกัน กล่าวคือ ถ้าดำเนินโครงการหนึ่งจะต้องไม่ดำเนินอีก
โครงการหนึ่ง หากเกิดปัญหาขึ้นเนื่องจากเกณฑ์ต่าง ๆ มีความแตกต่างการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ ใน
กรณีเช่นน้ีควรใช้ NPV มาเป็นเกณฑ์ตัดสินใจโดยเปรียบเทียบค่าของ NPV ของแต่ละโครงการท่ีมีให้เลือกที่ใช้ค่า
เสียโอกาสของทุนท่เี ท่ากันเปน็ อัตราส่วนลด
สำหรับค่า IRR ของโครงการปลูกสร้างสวนป่า ที่อัตราความสามารถของเงินทุนที่ทำให้
ผลตอบแทนคมุ้ ค่ากบั ค่าใช้จา่ ยเม่ือคดิ เป็นมลู ค่าปัจจุบันมอี ตั ราสว่ นลดทีท่ ำให้ NPV = 0 นั้น หมายความไดว้ ่าเป็น
อัตราคดิ ลดหรืออตั ราดอกเบี้ยสูงสุดท่ีจะยอมรบั ได้ในการลงทุนน่ันเอง
118
กล่าวโดยรวม สำหรับค่า NPV, B/C ratio, และ IRR ได้ว่า ควรใช้ทั้งค่าทั้ง 3 ประกอบกัน
เนื่องจากแต่ละค่ามีข้อดี ข้อด้อยหรือข้อจำกัดในการวิเคราะห์ เช่น กล่าวอย่างง่าย ๆ ว่า ค่า NPV สร้างผลกำไร
หรือไม่ (มากกว่า 0 คือได้ผลกำไร) แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าโครงการท่ีกำลังพิจารณาจะให้ผลตอบแทนคุ้มค่าการ
ลงทุนหรือไม่ (หรือจะคืนทุนในอัตราเท่าใด) และอัตราผลตอบแทนว่าเป็นเท่าใด ซ่ึงต้องอธิบายด้วย B/C ratio
และ IRR ตามลำดบั
สำหรับเกณฑ์การตัดสินใจแบบไม่ปรับค่าเวลา เป็นเกณฑ์ท่ีไม่นำเวลาเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญใน
การกำหนดมูลค่าของเงนิ ตรา ทำให้มลู ค่าเงนิ ในอนาคตเท่ากบั มูลคา่ เงินปจั จุบนั สามารถนำมาใชไ้ ด้ ดังนี้
1) การตรวจสอบอย่างงา่ ยๆ ช่วยในการตัดสินใจอย่างคร่าวๆ ผู้วิเคราะห์เพียงทราบปริมาณการ
ลงทนุ และผลตอบแทน ก็สามารถบอกไดว้ า่ โครงการหน่ึงจะดกี วา่ โครงการหน่งึ
2) ระยะเวลาคืนทุน (payback period) ได้แก่ ระยะเวลาท่ีผลตอบแทนสทุ ธิจากการดำเนินงาน
มคี ่าเท่ากับคา่ ใชจ้ ่ายในการลงทุน พิจารณาถงึ จำนวนปีท่จี ะได้รับผลตอบแทนคุ้มกับเงินลงทนุ ถ้ามีระยะเวลาส้ันก็
ดี เพราะหมายถงึ ความเส่ียงน้อยและผู้ลงทุนสามารถถอนทุนและนำเงินท่ีถอนทุนไปลงทุนในกิจการอืน่ ๆ ต่อไปมี
รปู แบบในการคำนวณดงั น้ี
ระยะเวลาคนื ทุน =
สำหรับการหาระยะเวลาคืนทุนของโครงการปลูกสร้างสวนป่าน้ัน จะพบว่าแตกต่างจากโครงการ
เศรษฐกิจอนื่ เนื่องจากจะมีรายไดเ้ กิดขนึ้ เป็นช่วง ๆ หรือเกิดข้ึนเพียงครง้ั เดยี วเม่อื ทำไม้ออก เช่นกรณีเปน็ ไม้ยืนต้น
ท่ีต้องใช้ระยะเวลายาวนานตั้งแต่การปลูกจนถึงเวลาตัดขยายระยะ และระยะเวลาส้ินสุดโครงการคือการตัดฟัน
ครั้งสุดท้าย จะมีรายได้จากการตัดสางขยายระยะ และรายได้จากการตัดครั้งสุดท้ายเมื่อไม้มีอายุครบรอบ
หมนุ เวียน แต่ในสว่ นของต้นทนุ จะมอี ยทู่ ุก ๆ ปี จนกระทัง่ ถึงปีสดุ ท้ายทม่ี ีการทำไม้ออก สำหรบั การปลูกสร้างสวน
ปา่ ไม้โตเร็วจะมีรายได้เกิดข้นึ เพยี งคร้งั เดยี วเมอ่ื มีการทำไม้ออก จะทำใหก้ ารหาระยะเวลาคนื ทุนของโครงการปลูก
สร้างสวนป่าแตกต่างจากธุรกิจอื่น เน่อื งจากจะไดร้ ายไดเ้ มื่อส้ินสดุ โครงการ
6.4.4 การวิเคราะห์ความอ่อนไหวของโครงการ (Sensitivity analysis) ในการวิเคราะห์โครงการมัก
เป็นการประเมินเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งอนาคตเป็นสิง่ ไม่แน่นอนจึงมีความเสี่ยงรวมอยู่ด้วย จึงต้องมีการวางแผน
และการวิเคราะห์ซ้ำว่า เมื่อข้อมูลต่าง ๆ ท่ีได้กำหนดไว้เปลี่ยนแปลงไปจะเกิดผลกระทบอย่างไร ท้ังนี้ความเสี่ยง
ขน้ึ อยู่กับปัจจยั ต่าง ๆ ทีใ่ ชใ้ นการประเมินค่าเปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ ปริมาณผลผลิตท่ีคาดว่าจะผลิตได้ ราคาตลาด
ของสินค้า ต้นทุนของโครงการเปลี่ยนแปลงไป ในกรณีเหล่าน้ีจะเกิดอะไรขึ้นกับค่าที่คำนวณไว้เดิมของค่า NPV,
B/C Ratio และ IRR เมื่อคิดผลประโยชน์สุทธิจะยังคงคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ ย่อมทำให้การวิเคราะห์โครงการ
ใกล้เคียงความจรงิ มากย่ิงข้ึน
การวิเคราะห์ความอ่อนไหวของโครงการเป็นการวัดผลการวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนอ่อ นไหว
หรือในแต่ละตัวแปรควรกำหนดช่วงมูลค่าที่เป็นไปได้ในกรณีฐาน หรือกรณีปกติ (base case) เนื่องจากการ
วิเคราะห์ที่ผ่านมาได้กำหนดให้แต่ละตัวแปรมีค่าที่เป็นไปได้เพียงค่าเดียว แต่เม่ือเป็นกรณีของการวิเคราะห์ความ
อ่อนไหวจะพิจารณาค่าต่าง ๆ ของแต่ละตัวแปรตามความเหมาะสม โดยทั่วไปแล้วมักจะพิจารณา 3 ถึง 5 ค่าใน
แต่ละตัวแปร วิธีการที่ใช้กันมากที่สุด คือ การกำหนดมูลค่าของตัวแปรออกเป็น 3 ค่า ได้แก่ ค่าในแง่ดี ค่าที่
119
เป็นไปได้มากที่สุด และค่าในแง่ร้าย โดยที่ค่าที่เป็นไปได้มากที่สุดสามารถกำหนดจากค่าเฉล่ีย ทั้งน้ีความสัมพันธ์
ระหว่างคา่ เฉลยี่ ในแงด่ ี และแงร่ ้ายไม่จำเปน็ ต้องเป็นสดั สว่ นท่ีคงที่ (ไพบลู ย์, 2548) ปจั จัยทีส่ นใจ มีดงั น้ี
1) ผลตอบแทนของโครงการ ซึ่งเป็นท่ีมาของผลประโยชน์ของโครงการอาจจะมีการคาดการณ์
ของผลผลิตในปริมาณท่ีสูง ในกรณีเช่นน้ีจะต้องมีการพิจารณาว่า หากผลผลิตเปลี่ยนแปลงไปจากที่คาดการณ์ไว้
จะมผี ลตอ่ มูลค่าผลผลติ ท่ีได้จากโครงการอยา่ งไรบ้าง
2) ตน้ ทุนของโครงการอาจมีการเปล่ยี นแปลง ต้องเพิม่ คา่ ใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ
3) ราคา เนื่องจากราคาทน่ี ำมาใช้ประเมินต้นทุนของโครงการ จะใชร้ าคาปจั จบุ ันคงที่ อาจจะทำ
ให้ผลประเมนิ ผิดพลาดได้ ซึง่ ในความเปน็ จริงราคาของปัจจยั การผลติ ที่ใชป้ ระเมนิ ย่อมจะไม่คงท่ีตลอดระยะเวลา
อย่างไรก็ตามการวิเคราะหค์ วามอ่อนไหวของโครงการ เป็นเพียงการแสดงใหเ้ ห็นว่าจะเกิดผลอย่างไร
ได้บ้าง แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลเร่ืองความน่าจะเป็นของกรณีต่าง ๆ การตัดสินใจจึงข้ึนอยู่กับวิจารณญาณของผู้ประเมิน
โครงการเป็นสำคัญ ข้อจำกัดอีกประการหน่ึง คือ การวิเคราะห์ความอ่อนไหวแต่ละคร้ังจะเปล่ียนค่าตัวแปรท่ีไม่
แน่นอนได้เพียงค่าเดียว ในกรณีท่ีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นกับตัวแปรหลายตัว การวิเคราะห์ความอ่อนไหวจะ
กระทำได้กับตัวแปรแต่ละตัวโดยต้องสมมติให้ตัวแปรอ่ืนคงท่ี อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์ความอ่อนไหวของ
โครงการก็เปน็ วิธที ง่ี า่ ยในการคำนวณ
6.5 วธิ กี ารวเิ คราะห์ทางการเงนิ ของการปลกู สร้างสวนปา่
การวิเคราะห์ทางการเงินของการปลูกสร้างสวนป่าจะมีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์
ของการกำหนดรอบหมุนเวียนในการตัดฟันหรือทำไม้ออก พอจะอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้นโดยยกตัวอย่างประกอบ
แยกตามการกำหนดรอบหมนุ เวยี น ไดด้ งั นี้
6.5.1 กรณกี ารปลูกสรา้ งสวนป่าไม้โตเร็วท่มี ีรอบหมนุ เวยี นส้นั
ในกรณีการปลูกสร้างสวนป่าไม้โตเร็ว จะขอยกตัวอย่างของ วุฒิพล และคณะ (2542) ที่ได้ทำ
การวิเคราะห์ด้านการเงินการลงทุนปลูกสร้างสวนป่าไม้ยูคาลิปตัส คามาลดูเลนชีส ของเกษตรกรในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ท่ีกำหนดรอบหมุนเวียนเท่ากับ 3–5 ปี โดยเน้นขนาดความโตของไม้ท่ีจะขายได้เป็นหลัก
และรอบหมุนเวียนจะแตกต่างกนั ไปตามช้นั คณุ ภาพของพื้นท่ี โดยมีระยะปลูกที่พบเป็นสว่ นใหญ่ ได้แก่ 2x2, 2x4,
และ 4x4 เมตร รายละเอียดเกี่ยวกบั ต้นทุนและรายได้ตอ่ ไร่ของการปลูกสวนป่ายคู าลิปตัส มีดงั นี้
6.5.1.1 ด้านตน้ ทนุ
ต้นทุนในการปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัส จำแนกออกได้เป็น 3 หมวด ได้แก่ 1. ค่าเช่าท่ีดิน 2. ค่าจ้าง
แรงงานในการเตรียมพ้ืนท่ี วางแนวปลูก ปลูก ใส่ปุ๋ย ถางวัชพืช และปลูกซ่อม และ 3. ค่าวัสดุ ได้แก่ ค่าใช้จ่าย
เก่ียวกบั กล้าไม้ ไม้หลักที่ใช้กำหนดตำแหนง่ ที่จะปลูก ค่าปยุ๋ รายละเอียดเกี่ยวกับต้นทุนการปลูกสรา้ งสวนป่ายูคา
ลิปตัส เฉล่ยี ต่อไรใ่ นภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ต้งั แต่ปีท่ี 1-5 ในแต่ละระยะการปลูก ดงั ตารางท่ี 6.3
จาก ตารางท่ี 6.3 แสดงให้เหน็ วา่ ต้นทุนการปลูกสร้างสวนปา่ ยคู าลิปตัสจะสูงท่ีสุดในปีที่ 1 และ
ลดลงในปีถัดๆ ไป ต้นทุนเฉลี่ยต่อไร่จะสัมพันธก์ ับระยะปลูก ถ้าปลกู ระยะชดิ กันมากเท่าไรกจ็ ะเสยี ตน้ ทุนเฉลีย่ ต่อ
ไร่เพ่ิมสูงขึ้น ท้ังนี้เพราะตน้ ทุนผนั แปรเพ่ิมสงู ขึ้นตามจำนวนกล้าไม้ ค่าจ้างแรงงานในการปลูก การดูแล การใส่ปุ๋ย
รวมทั้งปรมิ าณป๋ยุ ท่ใี ช้กเ็ พ่ิมมากขน้ึ ตามจำนวนกล้าท่ีใช้ จะเห็นไดว้ ่าตน้ ทนุ เฉล่ียต่อไร่ในแต่ละปีของการปลูกสร้าง
สวนป่ายูคาลิปตัสท่ีระยะปลูก 2x2 เมตร มีมูลค่าสูงท่ีสุด และรองลงไปคือระยะ 2x4 เมตร และระยะ 4x4 เมตร
ตามลำดบั
120
ตารางท่ี 6.3 ต้นทุนเฉล่ียต่อไร่ของการปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปีที่ 1-5
ระยะปลูก 2x2, 2x4, และ 4x4 เมตร
รายการ ปที ี่ 1 (บาท/ไร่) ปที ี่ 2 (บาท/ไร่) ปีท่ี 3 (บาท/ไร)่ ปีที่ 4 (บาท/ไร)่ ปีท่ี 5 (บาท/ไร่)
2x2 2x4 4x4 2x2 2x4 4x4 2x2 2x4 4x4 2x2 2x4 4x4 2x2 2x4 4x4
1. ค่าเช่าท่ีดนิ 300 300 300 300 300 300 300 300 300 300 300 300 300 300 300
2. ค่าจ้างแรงงาน
180 180 180 - -- --- --- ---
เตรยี มพน้ื ที่ 100 80 80 - -- --- --- ---
วางแนวปลกู 200 160 160 - -- --- --- ---
ปลกู 110 100 100 130 100 100 --- --- ---
ใส่ปยุ๋ --- 320 230 230 260 230 230 170 100 100 ---
ถางวัชพชื --- 130 150 100 --- --- ---
ปลูกซอ่ ม
3. ค่าวัสดุ 500 250 125 - -- --- --- ---
กล้าไม้ 100 50 25 - -- --- --- ---
ไม้หลกั 174 140 124 237 124 124 --- --- ---
ปุย๋ 1,664 1,260 1,094 1,117 904 854 560 530 530 470 400 400 300 300 300
รวม
ทมี่ า: วฒุ ิพล และคณะ (2542)
6.5.1.2 ด้านรายได้
สำหรับรายได้เฉล่ียตอ่ ไร่ของการปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัส จะหาได้จากผลผลิตเฉล่ียต่อไร่คูณ
ดว้ ยราคาของไม้ยูคาลิปตสั โดยปกติไม้ยูคาลิปตัสจะซ้ือขายกันโดยการช่ังน้ำหนัก ราคาจงึ มีหน่วยเป็นบาทต่อตัน
และไม้ยูคาลปิ ตัสมขี นาดโตพอท่ีจำหนา่ ยเป็นสนิ คา้ ไดเ้ มื่อมขี นาดเสน้ ผา่ ศูนย์กลางตรงปลายท่อนตง้ั แต่ 3 น้วิ ขน้ึ ไป
โดยใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี วุฒิพล และคณะ (2542) ได้คำนวณหารายได้เฉลี่ยต่อไร่ของไม้ยูคาลิปตัส ใน 3 ช้ัน
อายุคือ 3, 4 และ 5 ปี แต่ละช้ันอายุประกอบด้วย 3 ช้ันคุณภาพพ้ืนที่ คือ ดี ปานกลาง และเลว และกำหนดให้
ราคาไม้ยูคาลิปตัสมี 2 ระดับ คือ 720 และ 758 บาทต่อตัน รายละเอียดของผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ และรายได้เฉลี่ย
ตอ่ ไร่ ตามชัน้ อายุ ระยะปลูก และชน้ั คณุ ภาพพนื้ ท่ี ดังแสดงในตารางท่ี 6.4 และ ตารางที่ 6.5 ตามลำดบั
จาก ตารางท่ี 6.4 จะเห็นได้ว่าท่รี ะยะปลูก 2x4 เมตร จะให้ผลผลิตเฉล่ียต่อไร่สงู สุด โดยสูงกว่า
ผลผลิตเฉล่ียต่อไร่ของการปลูกท่ีระยะปลูก 2x2 เมตร และ 4x4 เมตร ในทุกชั้นอายุ และชั้นคุณภาพพื้นท่ี และ
จากตารางที่ 6.5 ช้ีให้เห็นว่าระยะปลูก 2x4 เมตร จะให้รายได้เฉลี่ยต่อไร่สูงกว่ารายได้เฉล่ียต่อไร่ของระยะปลูก
2x2 เมตร และ 4x4 เมตร ในทุกช้ันอายุและทุกชั้นคุณภาพพื้นท่ีเช่นกัน และปัจจัยสำคญั ทีม่ ีผลทำให้รายได้เฉลี่ย
ตอ่ ไร่เปลี่ยนไปคือราคาไม้ เมื่อราคาไม้สงู ข้ึนเท่าไรก็จะมีผลทำให้รายได้เฉล่ียต่อไรส่ ูงข้ึนเท่าน้ัน ดังนั้น ราคาไม้จึง
เป็นปจั จัยสำคัญท่ีเกษตรกรใช้ประกอบการตดั สนิ ใจในการเขา้ มาลงทนุ ในธุรกจิ การปลูกสร้างสวนปา่
121
ตารางท่ี 6.4 ผลผลิตเฉล่ยี ตอ่ ไรข่ องสวนปา่ ยคู าลปิ ตสั ตามชั้นอายุ ระยะปลูก และช้ันคุณภาพพน้ื ทใี่ น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อายุ ระยะปลกู ผลผลติ เฉลยี่ ตนั ต่อไร่ ตามชัน้ คุณภาพพ้นื ที่
(ปี) (เมตร) ดี ปานกลาง เลว
3 5.89 4.02 3.77
4 2x2 6.90 5.19 4.71
5 10.00 6.36 5.79
3 8.46 6.46 4.67
4 2x4 12.62 9.63 6.69
5 15.83 13.37 10.40
3 4.53 4.50 3.79
4 4x4 8.79 7.41 6.24
5 14.49 12.20 10.28
ทมี่ า: วฒุ พิ ล และคณะ (2542)
ตารางท่ี 6.5 รายได้เฉลี่ยต่อไร่ของสวนป่ายูคาลิปตัส ตามช้ันอายุ ระยะปลูก และชั้นคุณภาพพื้นท่ีใน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื
อายุ ระยะปลูก รายไดเ้ ฉลย่ี ต่อไร่ (บาท/ไร)่ ตามระดบั ราคาและชั้นคุณภาพ
(ปี) (เมตร) ราคาไม้ 720 บาท/ตัน ราคาไม้ 758 บาท/ตนั
ดี ปานกลาง เลว ดี ปานกลาง เลว
3 4,241 2,894 2,714 4,465 3,047 2,858
4 2x2 4,968 3,737 3,391 5,230 3,934 3,570
5 7,200
4,579 4,169 7,580 4,821 4,389
3 6,091 4,651 3,362 6,413 4,897 3,540
4 2x4 9,086 6,934 5,011 9,566 7,300 5,276
5 11,398
9,626 7,488 11,999 10,134 7,883
3 3,262 3,240 2,729 3,434 3,411 2,873
4 4x4 6,329 5,335 4,493 6,663 5,617 4,730
5 10,433
8,784 7,402 10,983 9,248 7,792
ทมี่ า: วุฒพิ ล และคณะ (2542)
122
6.5.1.3 การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางดา้ นการเงนิ และความอ่อนไหวของโครงการ
วฒุ ิพล และคณะ (2542) ได้ทำการวิเคราะห์หาผลตอบแทนทางด้านการเงินจากการลงทุนปลูก
สร้างสวนป่ายูคาลิปตัส โดยคำนวณหาอัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C) มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) และอัตรา
ผลตอบแทนภายในของโครงการ (IRR) ของสวนป่าไม้ยูคาลิปตัสในแต่ละชั้นอายุ ชั้นคณุ ภาพพ้ืนท่ี และระยะปลูก
และทำการวิเคราะห์ความออ่ นไหวของโครงการ ภายใตข้ อ้ กำหนด ดังน้ี
1) ตน้ ทนุ เพิม่ ขน้ึ 5 เปอร์เซ็นต์ ราคาไมค้ งท่ี
2) ตน้ ทุนเพม่ิ ขึน้ 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ ราคาไม้คงท่ี
3) ตน้ ทนุ เพมิ่ ขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ ราคาไม้เพิ่มขน้ึ 5 เปอรเ์ ซ็นต์
4) ต้นทุนเพม่ิ ขึน้ 10 เปอร์เซน็ ต์ ราคาไม้เพ่ิมขึ้น 5 เปอรเ์ ซน็ ต์
โดยกำหนดอตั ราดอกเบ้ียไว้ 4 ระดบั คอื 4, 8, 10 และ 15 เปอร์เซน็ ต์
ในท่นี ้ีจะขอยกตวั อย่างการวิเคราะห์หาผลตอบแทนทางด้านการเงนิ จากการลงทนุ ปลกู สร้างสวน
ป่ายูคาลิปตัสที่กำหนดรอบหมุนเวียนในการตัดฟันหรือทำไม้ออก 3, 4 และ 5 ปี ท่ีระยะปลูก 2x4 เมตร ในช้ัน
คุณ ภ าพพ้ืนที่ปานกลางซึ่งจะสามารถใช้เป็นตัวแทนของสวนป่าไม้ยูคาลิปตัส ในภ าคตะวันออกเฉียงเห นือ
รายละเอียดของอัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C) มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) และอัตราผลตอบแทนภายในของ
โครงการ (IRR) ภายใต้อัตราดอกเบี้ยท่ีกำหนดไว้ข้างต้น รวมทั้งการวิเคราะห์ความอ่อนไหวของโครงการ แสดงไว้
ใน ตารางท่ี 6.6
จาก ตารางท่ี 6.6 จะเห็นว่าการปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัสที่ระยะปลูก 2x4 เมตร ในพื้นท่ีที่มี
ชั้นคุณภาพพ้ืนที่ปานกลาง จะให้ผลตอบแทนในรูปอัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C) มีค่ามากกว่า 1 และมูลค่า
ปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีค่ามากกว่า 0 ในทุกชั้นอายุและทุกอัตราดอกเบ้ีย และภายใต้การเปลี่ยนแปลงในทุกอัตรา
ของต้นทุนและราคาไม้ท่ีกำหนดให้ นั่นหมายความว่าการลงทุนปลูกสร้ างสวนป่ายูคาลิปตัสในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ท่ีระยะปลูก 2x4 เมตร ในช้ันคุณภาพพ้ืนท่ีปานกลาง และภายใต้การเปลี่ยนแปลงในทุก
อัตราของต้นทุนและราคาไม้ท่ีกำหนดดังกล่าว จะให้ผลตอบแทนคุ้มค่าต่อการลงทุนในทุกชั้นอายุและทุกอัตรา
ดอกเบ้ีย เนื่องจากผลตอบแทนทไ่ี ดร้ บั จากโครงการมีมากกวา่ ต้นทุนของโครงการทเี่ กิดข้ึน
123
ตารางที่ 6.6 อัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C) มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) และอัตราผลตอบแทนภายใน
ของโครงการ (IRR) ของสวนป่าไม้ยูคาลิปตัสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือระยะปลูก 2x4
เมตร ช้ันคุณภาพพ้ืนท่ีปานกลาง ตามระดับอัตราดอกเบ้ีย และอัตราเปล่ียนแปลงของ
ตน้ ทุนและราคาไม้
อายุ อัตราเพม่ิ อตั ราดอกเบยี้ (%)
(ป)ี ของต้นทนุ 4 8 10 15
(%) B/C NPV IRR B/C NPV IRR B/C NPV IRR B/C NPV IRR
ราคาไม้ 720 บาท/ตนั
3 0 1.64 1,616 11.58 1.56 1,330 9.53 1.53 1,204 8.63 1.44 930 6.67
4 0 2.07 3,067 11.06 1.92 2,440 8.80 1.85 2,172 7.83 1.68 1,608 5.80
5 0 2.55 4,805 9.98 2.29 3,691 7.67 2.17 3,227 6.70 1.91 2,280 4.74
3 5 1.56 1,490 10.68 1.49 1,212 8.68 1.45 1,089 7.81 1.37 824 5.91
4 5 1.97 2,924 10.54 1.83 2,307 8.32 1.76 2,044 7.37 1.60 1,490 5.37
5 5 2.43 4,650 9.66 2.18 3,548 7.37 2.07 3,089 6.42 1.82 2,155 4.48
3 10 1.49 1,364 9.78 1.42 1,093 7.84 1.39 975 6.98 1.31 718 5.14
4 10 1.88 2,781 10.03 1.74 2,175 7.84 1.68 1,916 6.91 1.53 1,373 4.95
5 10 2.31 4,494 9.34 2.08 3,405 7.07 1.98 2,952 6.13 1.74 2,030 4.22
ราคาไม้เพมิ่ ขนึ้ 5% (758 บาท/ตนั )
3 0 1.73 1,835 12.49 1.65 1,525 10.38 1.61 1,388 9.45 1.51 1,092 7.43
4 0 2.18 3,380 11.57 2.02 2,709 9.28 1.94 2,422 8.29 1.77 1,817 6.22
5 0 2.68 5,222 10.31 2.41 4,036 7.97 2.29 3,542 6.99 2.01 2,533 5.00
3 5 1.65 1,709 11.63 1.57 1,407 9.58 1.53 1,274 8.67 1.44 986 6.71
4 5 2.08 3,237 11.08 1.92 2,576 8.82 1.85 2,294 7.86 1.69 1,700 5.82
5 5 2.55 5,067 10.00 2.30 3,893 7.68 2.18 3,405 6.72 1.92 2,408 4.75
3 10 1.57 1,583 10.78 1.50 1,289 8.77 1.46 1,159 7.89 1.38 879 5.99
4 10 1.98 3,094 10.59 1.84 2,444 8.37 1.77 2,166 7.42 1.61 1,582 5.42
5 10 2.44 4,912 9.69 2.19 3,750 7.40 2.08 3,267 6.45 1.83 2,282 4.50
ทมี่ า: วฒุ ิพล และคณะ (2542)
124
เม่ือพิจารณาที่รอบหมุนเวยี นในการตัดฟันหรือทำไม้ออกท่ี 3, 4 และ 5 ปี จะเห็นว่าเม่ือสวนป่า
ยูคาลิปตัสมีอายุครบ 5 ปี จะให้ผลตอบแทนในรูปของอัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C) มูลค่าปัจจุบันสุทธิ
(NPV) สูงสุด รองลงมาเป็นสวนป่ายูคาลิปตัสอายุ 4 และ 3 ปี ในทุกอัตราดอกเบี้ย และเง่ือนไขของอัตราการ
เปล่ียนแปลงของต้นทุนและราคาไม้ที่กำหนด สาเหตุที่เป็นเชน่ น้เี นอ่ื งจากไม้ยูคาลิปตัสที่มอี ายุระหวา่ ง 3–5 ปี ยัง
อยู่ในช่วงที่มีอัตราการเจริญเติบโตหรือมีความเพ่ิมพูนในอัตราเร่ง ซึ่งจะมีผลทำให้รายได้เพิ่มขึ้นจากเน้ือไม้ท่ี
เพิ่มพูนขึ้น และรายได้ที่เพิ่มขึ้นรายปีนี้มีมูลค่าสูงกว่าต้นทุนรายปี ทำให้ได้รับผลตอบแทนในรูปของอัตรา
ผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C) มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) และอัตราผลตอบแทนภายในของโครงการ (IRR) เพิ่มขึ้น
ถ้าขยายระยะรอบหมุนเวียนในการตัดฟันหรือทำไม้ออก โดยปล่อยให้ต้นไม้มีอายุมากข้ึนเร่ือย ๆ อัตราความ
เพิ่มพูนของเนื้อไม้ในปีหลงั ๆ จะลดลง ซ่งึ จะมีผลทำให้อัตราผลตอบแทนลดลงด้วย (วุฒิพล, 2557) ดังน้ัน ในการ
หาระดับอายุครบรอบตัดฟันท่ีเหมาะสมที่ทำให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุด ก็นับว่าเป็นส่ิงจำเป็นที่จะต้องนำมา
พจิ ารณา
ยังมีปัจจัยสำคัญท่ีจะต้องนำมาพิจารณาในกรณีปลูกสร้างสวนป่าไม้โตเร็ว คือการคัดเลือกสาย
ต้นที่มีการเจริญเติบโตดี และเหมาะสมกับสภาพท้องท่ีท่ีนำไปปลูก เนื่องจากการปลูกสร้างสวนป่าไม้โตเร็วมีรอบ
หมุนเวยี นในการตดั ฟันหรอื ทำไม้ออกส้ัน ชนดิ ไม้ทมี่ ีสายต้นทโ่ี ตได้เร็วและเหมาะสมกับพื้นท่ีท่ีนำไปปลูก จะทำให้
ไดผ้ ลผลิตเฉล่ียต่อไร่เมอ่ื ครบรอบตัดฟันสูงกว่า น่นั หมายถึงจะทำให้ไดร้ ับรายได้เฉลยี่ ต่อไร่เพิ่มข้ึนด้วย นอกจากน้ี
ราคาเปน็ อีกปัจจัยหน่ึงที่สำคัญท่ีมีผลตอ่ การตัดสินใจลงทนุ ของเกษตรกรในการเข้ามาลงทุนในธุรกจิ การปลกู สร้าง
สวนป่า เช่น ราคารับซ้ือ และระยะห่างจากจุดรับซื้อซึ่งมีผลต่อต้นทุนค่าขนส่ง ก็เป็นส่ิงที่ต้องนำมาประกอบการ
พิจารณาดว้ ยเช่นกัน
6.5.2 กรณีการปลกู สร้างสวนป่าไม้โตชา้ ท่ีมีรอบหมนุ เวยี นยาว
ในกรณีการปลูกสร้างสวนป่าไม้โตช้าที่มีรอบหมุนเวียนยาว จะมีการวิเคราะห์ทางการเงินของ
การปลูกสร้างสวนป่าท่ีแตกต่างจากการปลูกสร้างสวนป่าไม้โตเร็วอยู่บ้าง เช่น ในด้านต้นทุน ภาครัฐจึงอาจมี
โครงการสนับสนุนเงินค่าใช้จ่ายบางส่วนให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เพ่ือส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกไม้โตช้า
เพิ่มมากข้นึ ในด้านรายได้ เกษตรกรจะมรี ายได้บางสว่ นจากการขายไม้ทีต่ ดั ขยายระยะมากกวา่ 1 ครัง้ กอ่ นท่ีจะมี
การตดั ครัง้ สุดท้าย ซึง่ แตกตา่ งจากรายได้ของการปลูกสร้างสวนป่าไม้โตเรว็ คอื จะมีรายได้เกดิ ข้ึนเพยี งครงั้ เดยี วเม่ือ
มีการทำไมอ้ อกในรอบหมุนเวียนแรก
ในท่ีนี้จะขอยกตัวอย่างการวิเคราะห์ด้านการเงินของการลงทุนปลูกสร้างสวนป่าไม้สัก ภายใต้
โครงการส่งเสริมปลูกไม้เศรษฐกิจในจังหวัดเชียงราย โดย รุ่งศรัณย์ (2546) ได้ทำการศึกษาด้านการเงินของการ
ลงทนุ ปลูกสรา้ งสวนป่าไม้สัก โดยได้ทำการวิเคราะหอ์ ัตราผลประโยชน์ตอ่ ต้นทุน (B/C) มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV)
และอัตราผลตอบแทนภายในของโครงการ (IRR) ในรอบตัดฟันไม้สัก 30 ปี ที่มีการตัดขยายระยะทุก ๆ 5 ปี รวม
4 คร้ัง คือ ในปีท่ี 10, 15, 20 และ 25 ที่ระดับอัตราคิดลด 4 ระดับ คือ ร้อยละ 6, 8, 10 และ 12 จากตัวแทน
สวนป่าไม้สัก 3 ช้ันคณุ ภาพคือ ดี ปานกลาง และต่ำ รายละเอยี ดเกีย่ วกับต้นทุนและรายได้ต่อไร่ของการปลูกสวน
ปา่ ไมส้ กั มดี ังนี้
6.5.2.1 ด้านต้นทุน
ต้นทุนในการปลูกสร้างสวนป่าไม้สัก รุ่งศรัณย์ (2546) ได้ดัดแปลงจาก ธงชัย (2537) โดย
นำค่าใช้จ่ายของปีท่ี 1 ถึง 5 มาปรับใช้ราคาปัจจัยการผลิตในปัจจุบันของแต่ละชนิดในพ้ืนท่ีท่ีทำการศึกษาของ
จังหวัดเชียงราย และค่าใช้จ่ายตั้งแต่ปีที่ 10 ถึงปีท่ี 30 กำหนดให้ค่าดูแลและบริหารเฉล่ีย 100 บาทต่อไร่ต่อปี
125
รายละเอียดดังแสดงใน ตารางที่ 6.7 และแปลงค่าใชจ้ ่ายดังกล่าวให้อยู่ในรูปของมูลค่าปจั จุบัน โดยกำหนดอัตรา
คดิ ลด 4 ระดบั คือ รอ้ ยละ 6, 8, 10 และ 12 รายละเอียดแสดงใน ตารางท่ี 6.8
ตารางที่ 6.7 รายละเอียดคา่ ใช้จา่ ยในการปลกู สร้างสวนปา่ ไม้สักตอ่ ไร่
รายการคา่ ใชจ้ ่าย ปรมิ าณตอ่ ไร่ คา่ ใชจ้ า่ ย (บาท/ไร่)
คา่ แรงงานในการเตรียมพื้นท่ี (90 บาท/คน/ไร่) 4 360.00
การแผ้วถางพื้นที่ (ไถดะ) 4 360.00
เกบ็ รมิ สุมเผา 5.6 504.00
ทำแนวกันไฟ 0.5 45.00
ตดั หลกั หมายแนวปลูก 0.5 45.00
ปักหลักหมายแนวปลปู 1.5 135.00
ปลูกไมส้ กั 1.5 135.00
กำจัดวชั พืช 1 90.00
ปลกู ซ่อมและตรวจนบั เปอร์เซน็ ต์
240 270.00
ค่าวสั ดุ 50.00
กลา้ สัก (3 บาท/กลา้ ) 1.5 165.00
คา่ ใช้สอยและวัสดุอน่ื ๆ
ป๋ยุ (330 บาท/กระสอบ)
รวมเปน็ เงนิ 2 2,609
1 1,809
ไดร้ ับเงินจากกรมปา่ ไม้ 800 บาท/ไร่ คงเหลอื 0.25
1 180
ค่าบำรงุ สวนป่าไมส้ กั ปีที่ 2 (90 บาท/ไร/่ คน) 2 90
ค่าดายวัชพืช 22.5
ค่าแรงใสป่ ุ๋ย 90
คา่ แรงรดนำ้ 660
คา่ แรงทำแนวกนั ไฟ
คา่ ปุ๋ย (330 บาท/กระสอบ)
รวมเป็นเงิน 1,042.50
ไดร้ ับเงนิ จากกรมปา่ ไม้ 700 บาท/ไร่ คงเหลือ 342.50
คา่ บำรุงสวนปา่ ไมส้ กั ปที ่ี 3 (90 บาท/ไร/่ คน)
ค่าแรงดายวชั พืช 2 180.00
คา่ แรงใสป่ ๋ยุ 1 90.00
ค่าแรงทำแนวกนั ไฟ 1 90.00
คา่ ปุ๋ย (330 บาท/กระสอบ) 2 660.00
รวมเปน็ เงนิ 1,020.00
ได้รับเงินจากกรมปา่ ไม้ 600 บาท/ไร่ คงเหลอื 420.00
126
ตารางที่ 6.7 (ต่อ) ปริมาณต่อไร่ ค่าใช้จา่ ย (บาท/ไร่)
รายการคา่ ใชจ้ ่าย 2 180.00
ค่าบำรงุ สวนป่าไมส้ กั ปที ี่ 4 (90 บาท/ไร/่ คน) 1 90.00
1 90.00
ค่าแรงดายวัชพืช 2 660.00
ค่าแรงใสป่ ๋ยุ
ค่าแรงทำแนวกันไฟ
คา่ ปยุ๋ (330 บาท/กระสอบ)
รวมเปน็ เงิน 1,020.00
520.00
ได้รับเงนิ จากกรมปา่ ไม้ 500 บาท/ไร่ คงเหลอื
2 180.00
ค่าบำรงุ สวนป่าไมส้ ักปีท่ี 5 (90 บาท/ไร/่ คน) 1 90.00
ค่าแรงดายวชั พืช 1 90.00
ค่าแรงใส่ป๋ยุ 2 660.00
คา่ แรงทำแนวกนั ไฟ
คา่ ปุย๋ (330 บาท/กระสอบ) 1,020.00
620.00
รวมเปน็ เงิน
2 180.00
ได้รับเงินจากกรมปา่ ไม้ 400 บาท/ไร่ คงเหลอื 1 90.00
1 90.00
คา่ บำรุงสวนป่าไมส้ กั ปที ่ี 6-9 (90 บาท/ไร/่ คน)
คา่ แรงดายวัชพืช
คา่ แรงลิดก่งิ
คา่ แรงทำแนวกนั ไฟ
รวมเป็นเงนิ (บาท/ไร/่ ป)ี 360
ทีม่ า: รุ่งศรัณย์ (2546)
หมายเหตุ : ตง้ั แตป่ ีที่ 10 ถงึ ปที ี่ 30 กำหนดคา่ ใชจ้ า่ ยในการค่าดูแลและบรหิ ารเฉลยี่ 100 บาทตอ่ ไร่ต่อปี
127
ตารางที่ 6.8 ต้นทุนรวมและมูลค่าปัจจุบันของต้นทุนรวมจากการลงทุนปลูกสร้างสวนป่าไม้สักระยะเวลา
30 ปี (บาทต่อไร่)
ปีที่ ต้นทุน มลู คา่ ปจั จบุ นั ณ ระดบั อตั ราคิดลด (ร้อยละ)
(บาท/ไร่)
1 6 8 10 12
2 1,809
3 342.5 1,706.60 1,675.00 1,644.55 1,615.18
4 420 304.82 293.64 283.06 273.04
5 520 352.64 333.41 315.55 298.95
6 620 411.89 382.22 355.17 330.47
7 360 463.30 421.96 384.97 351.80
8 360 253.79 226.86 203.21 182.39
9 360 239.42 210.06 184.74 162.85
10 360 225.87 194.50 167.94 145.40
11 100 213.08 180.09 152.68 129.82
12 100 55.84 46.32 38.55 32.20
13 100 52.68 42.89 35.05 28.75
14 100 49.70 39.71 31.86 25.67
15 100 46.88 36.77 28.97 22.92
16 100 44.23 34.05 26.33 20.46
17 100 41.73 31.52 23.94 18.27
18 100 39.36 29.19 21.76 16.31
19 100 37.14 27.03 19.78 14.56
20 100 35.03 25.02 17.99 13.00
21 100 33.05 23.17 16.35 11.61
22 100 31.18 21.45 14.86 10.37
23 100 29.42 19.87 13.51 9.26
24 100 27.75 18.39 12.28 8.26
25 100 26.18 17.03 11.17 7.38
26 100 24.70 15.77 10.15 6.59
27 100 23.30 14.60 9.23 5.88
28 100 21.98 13.52 8.39 5.25
29 100 20.74 12.52 7.63 4.69
30 100 19.56 11.59 6.93 4.19
รวม 100 18.46 10.73 6.30 3.74
17.41 9.94 5.73 3.34
ทมี่ า: รุง่ ศรัณย์ (2546) 7,251.50
4,867.73 4,418.82 4,058.65 3,762.58
128
จากตารางที่ 6.7 แสดงให้เห็นรายละเอียดค่าใช้จ่ายในปีท่ี 1-5 เท่ากับ 1,809.00, 342.50,
420.00, 520.00 และ 620.00 บาทต่อไร่ตามลำดับ และในปีที่ 6-9 มีค่าใช้จ่าย 360 บาทต่อไร่ต่อปี รวมต้นทุน
ตลอดระยะเวลา 30 ปี เท่ากับ 7,251.50 บาท ตารางที่ 6.8 แสดงมูลค่าปัจจุบันของต้นทุนเมื่อกำหนดอัตราคิดลด
4 ระดับ คือ ร้อยละ 6, 8, 10 และ 12 จะได้มูลค่าปัจจบุ ันของตน้ ทุนรวมตลอดระยะเวลา 30 ปี เท่ากับ 4,867.73,
4,418.82, 4,058.65 และ 3,762.58 บาทต่อไรต่ ามลำดบั
6.5.2.2 ดา้ นรายได้
สำหรับรายได้เฉลี่ยต่อไร่ของการปลูกสร้างสวนป่าไม้สัก รุ่งศรัณย์ (2546) ได้หาจากการคำนวณ
ผลผลิตเฉล่ียต่อไร่เป็นปริมาตรลกู บาศก์เมตรในแตล่ ะช้ันคณุ ภาพพื้นที่ในปีท่ี 10, 15, 20, 25 และ 30 คูณด้วยราคา
ของไม้สักท่อนขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และคำนวณเป็นรายได้เฉลี่ยต่อไร่ของไม้สัก ใน 3 ชั้นคุณภาพพ้ืนท่ี
คือ ดี ปานกลาง และต่ำ ในการศึกษาครั้งน้ี รุ่งศรัณย์ (2546) ได้คำนวณจากการตัดขยายระยะคร้ังแรกเริ่มในปีท่ี
10, 15, 20, และ 25 โดยใช้อตั รารอ้ ยละ 20 จากปริมาตรไมท้ ่ีปรากฏในตารางผลผลิต สำหรบั รายได้เฉลี่ยต่อไรจ่ าก
การตัดขยายระยะและตัดไม้ขายครั้งสุดท้าย ตามช้ันคุณภาพพ้ืนที่ แสดงรายละเอียดใน ตารางที่ 6.9 จากน้ันทำ
การแปลงรายได้ดังกล่าวให้อยู่ในรูปของมูลค่าปัจจุบันในแต่ละระดับอัตราคิดลดของสวนป่าไม้สักใน 3 ช้ันคุณภาพ
พน้ื ท่ี ตลอดอายโุ ครงการ 30 ปี ดงั แสดงใน ตารางท่ี 6.10
จากตารางที่ 6.9 แสดงให้เห็นรายได้สุทธิเฉลี่ยต่อไร่จากการตัดขยายระยะและตัดไม้ขายครั้ง
สุดท้าย รวมรายได้ตลอดระยะเวลา 30 ปี ของสวนป่าไม้สักคุณภาพดีเท่ากับ 162,547.40 บาท ช้ันคุณภาพปาน
กลางเทา่ กับ 81,306.50 บาท และชั้นคณุ ภาพต่ำเท่ากบั 32,054.80 บาท และจะเห็นได้วา่ รายได้จากการปลูกสรา้ ง
สวนปา่ ไม้โตชา้ ที่มรี อบหมุนเวยี นยาวจะมีรายได้เกดิ ขน้ึ ก่อนตัดฟันคร้ังสุดท้ายต่างจากการปลูกสร้างสวนปา่ ไม้โตเร็ว
ที่มีรายได้เกิดขึ้นเพียงคร้ังเดียว จากนั้นทำการคำนวณหามูลค่าปัจจุบันของรายได้เม่ือกำหนดอัตราคิดลด 4 ระดับ
คอื รอ้ ยละ 6, 8, 10 และ 12 จะไดม้ ูลค่าปจั จบุ นั ของรายไดร้ วมตลอดระยะเวลา 30 ปี ดัง ตารางที่ 6.10
129
ตารางที่ 6.9 รายได้เฉลีย่ ต่อไร่จากการตัดขยายระยะและตัดไม้ขายคร้งั สดุ ทา้ ยของสวนป่าไมส้ ักตามชน้ั คุณภาพ
พ้ืนท่ี
ช้ัน อายุ (ป)ี ปรมิ าตร %ของการตัด ปริมาตรไม้ตัดขยาย ราคาขาย รายไดร้ วม คา่ ทำไม้ รายได้สทุ ธิ
(ม3/ไร่) ขยายระยะ ระยะ (ม3.) (บาท/ม3.) (บาท) (บาท) (บาท)
คุณภาพ
10 13.03 20 2.606 3,250 8,469.50 390.90 8,078.60
15 18.58 20 3.716 6,250 23,225.00 557.40 22,667.60
ดี 20 22.97 20 4.594 7,900 36,292.60 689.10 35,603.50
25 26.19 20 5.238 8,300 43,475.40 785.70 42,689.70
30 29.40 20 5.880 9,250 54,390.00 882.00 53,508.00
10 8.36 20 0.772 2,350 1,814.20 115.80 1,698.40
ปาน 15 12.76 20 2.550 3,600 9,180.00 382.50 8,797.50
กลาง 20 16.55 20 3.310 5,150 17,046.50 496.50 16,550.00
20 3.906 6,250 24,412.50 585.90 23,826.60
25 19.53 20 4.480 6,950 31,136.00 672.00 30,464.00
30 22.40
10 3.69 20 0.738 1,900 1,402.20 110.70 1,291.50
15 7.50 20 1.500 2,600 3,900.00 225.00 3,675.00
ตำ่ 20 10.71 20 2.142 2,600 5,569.20 321.30 5,247.90
25 13.12 20 2.624 3,250 8,528.00 393.60 8,134.40
30 15.40 20 3.080 4,600 14,168.00 462.00 13,706.00
ทมี่ า: รุ่งศรัณย์ (2546)
ตารางท่ี 6.10 มูลค่าปัจจุบนั ของรายไดร้ วมของสวนปา่ ไมส้ กั ตลอดอายุโครงการ 30 ปี ท่ีอัตราคดิ ลดระดบั ต่าง ๆ
คณุ ภาพพื้นที่ รายไดร้ วม มูลค่าปจั จุบันของรายได้ (บาท) ณ อัตราคดิ ลด (ร้อยละ)
(บาท)
ดี 6 8 10 12
ปานกลาง 162,547.40
81,306.50 44,333.71 30,077.34 20,839.88 14,730.41
ต่ำ 32,054.80
20,630.07 13,614.36 9,164.14 6,287.18
8,172.59 5,432.49 3,694.01 2,567.24
ที่มา: รงุ่ ศรัณย์ (2546)
130
6.5.2.3 การวิเคราะหผ์ ลตอบแทนทางดา้ นการเงินและความอ่อนไหวของโครงการ
จากข้อมูลอัตราคิดลด 4 ระดับ คือ ร้อยละ 6, 8, 10 และ 12 ของมูลค่าปัจจุบันของรายได้รวมใน
ตารางที่ 16 และมูลคา่ ปัจจุบันของตน้ ทนุ รวมในตารางที่ 14 จะนำไปทำการวิเคราะหห์ าผลตอบแทนทางดา้ นการเงินจาก
การลงทนุ ปลูกสร้างสวนปา่ ไม้สกั โดยคำนวณหาอัตราผลประโยชน์ตอ่ ต้นทนุ (B/C) มูลค่าปจั จุบันสุทธิ (NPV) และอัตรา
ผลตอบแทนภายในของโครงการ (IRR) ของสวนปา่ ไมส้ กั ในแต่ละช้ันคุณภาพพื้นที่ และทำการวเิ คราะหค์ วามออ่ นไหวของ
โครงการ ภายใต้เงอ่ื นไข 3 กรณี ดงั นี้
1) ตน้ ทุนเพิม่ ขน้ึ 10 เปอร์เซ็นต์ ผลตอบแทนคงท่ี
2) ต้นทุนคงท่ี ผลตอบแทนลดลง 10 เปอร์เซน็ ต์
3) ตน้ ทุนเพิ่มขนึ้ 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ ผลตอบแทนลดลง 10 เปอร์เซน็ ต์
ภายใต้อัตราคดิ ลด 4 ระดับ คือ 6, 8, 10 และ 12 เปอรเ์ ซน็ ต์
ในท่ีนีจ้ ะขอยกตัวอย่างการวิเคราะห์หาผลตอบแทนทางด้านการเงินจากการลงทนุ ปลูกสรา้ งสวนป่าไม้
สัก ในชัน้ คุณภาพพ้ืนที่ปานกลาง รายละเอียดผลการวเิ คราะห์ด้านการเงิน ภายใต้อัตราคิดลดท่ีไดก้ ำหนดไว้ รวมทั้งการ
วิเคราะหค์ วามอ่อนไหวของโครงการแสดงไวใ้ น ตารางที่ 6.11
จาก ตารางท่ี 6.11 จะเหน็ ว่าการปลูกสร้างสวนปา่ ไม้สกั ในพื้นที่ทีม่ ีชั้นคณุ ภาพพนื้ ท่ีปานกลาง จะให้
ผลตอบแทนในรปู อัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C) มีค่ามากกว่า 1 และมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีค่ามากกวา่ 0 ใน
ทุกอตั ราคิดลด และภายใตก้ ารเปลีย่ นแปลงของตน้ ทนุ และผลตอบแทนในทุกกรณี นั่นหมายความวา่ การลงทุนปลูกสรา้ ง
สวนป่าไมส้ ัก ในชน้ั คณุ ภาพพื้นที่ปานกลาง และภายใต้การเปลยี่ นแปลงในทุกอตั ราของตน้ ทนุ และผลตอบแทนทกี่ ำหนด
ดังกล่าว จะให้ผลตอบแทนคุ้มค่าต่อการลงทุนในทุกอัตราคิดลด เน่ืองจากผลตอบแทนท่ีได้รับจากโครงการมีมากกว่า
ต้นทนุ ของโครงการที่เกดิ ขน้ึ
ในกรณีปลูกสร้างสวนป่าไม้โตช้าท่ีมีรอบหมุนเวียนยาว เน่ืองจากเป็นไม้ท่ีโตช้าต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รายได้กลับมา
จึงมปี จั จัยทสี่ ำคญั ควรนำพิจารณา ได้แก่
1) การเลือกพนื้ ท่ปี ลูก ควรเลือกพื้นทีป่ ลกู ที่มคี วามอุดมสมบูรณ์ และเหมาะสมต่อการเตบิ โตกับ
ชนดิ ไม้ทน่ี ำไปปลกู
2) การปลูกบำรุง ได้แก่ การคัดเลือกพันธ์ุและกล้าไม้ที่มีคุณภาพดี การบำรุงสวนป่าให้ถูกต้อง
ตามหลักวิชาวนวัฒนวิทยาเพ่ือเพิ่มความเพิ่มพูนด้านผลผลิต เช่น การใส่ปุ๋ย การลิดก่ิง และการตัดสางขยายระยะใน
ชว่ งเวลาท่ีเหมาะสม
3) การเลือกใช้ระบบวนเกษตร โดยในปีแรกๆ ของการดำเนินการ เกษตรกรยังไม่ ได้รับ
ผลประโยชน์จากสวนป่า จึงควรเลือกใช้ระบบวนเกษตรกับชนิดพืชท่ีมีความเหมาะสมกับพ้ืนที่และความต้องการของ
ตลาดนำมาปลกู ร่วมกบั ไม้ปา่ เพ่ือที่จะได้รายไดห้ มุนเวยี นระหวา่ งรอจนกว่าต้นไม้เติบโต
4) ดา้ นราคาและการตลาด เป็นปจั จัยสำคัญต่อการตัดสนิ ใจของเกษตรกรท่ีจะต้องพิจารณาก่อน
ตัดสินใจลงทุนปลูกสร้างสวนป่า เน่ืองจากปัญหาเก่ียวกับราคาและการตลาดท่ีเกษตรกรประสบส่วนใหญ่ คือการไม่มี
ตลาดรบั ซ้อื หรือแม้มกี ารรับซ้ือแตข่ ายได้ในราคาท่ีต่ำ ทำใหข้ าดแรงจูงใจในการลงทุนปลกู สรา้ งสวนป่า
นอกจากน้ียงั มอี ีกกรณีทีจ่ ะตอ้ งนำมาพิจารณากับการปลูกสวนปา่ ไม้โตช้าที่มีรอบหมุนเวียนยาว
คอื อตั ราคิดลดหรอื อตั ราดอกเบีย้ ซึ่ง วไิ ลลักษณ์ และคณะ (2528) ไดท้ าํ การศกึ ษารอบตัดฟันไม้สักท่นี าํ มาใชป้ ระโยชน์
และเห็นว่ารอบตัดฟันไม้สักท่ีเป็นไปได้ควรมีอายุ 30 ปี มากกว่าจะปล่อยให้มีอายุ 60 ปี ท้ังนี้เพราะการปล่อยให้ไม้สัก
ยนื ต้นถงึ อายุ 60 ปี ทำใหร้ ายไดใ้ นอนาคตอันยาวนานของไม้สักลดลงอยา่ งมาก เมื่อคำนวณเป็นมูลค่าปจั จบุ ัน
131
ตารางท่ี 6.11 การวเิ คราะห์ด้านการเงนิ และการวิเคราะหค์ วามออ่ นไหวของสวนป่าไมส้ กั ชั้นคณุ ภาพปานกลาง
รายการ ก่อนการ ต้นทนุ เพ่ิมข้นึ 10 % ต้นทนุ คงที่ ผลตอบแทน ตน้ ทนุ เพม่ิ ข้ึน 10 %
เปลยี่ นแปลง ผลตอบแทนลดลง 10 %
ณ อัตราคดิ ลด 6 % ผลตอบแทนคงที่ ลดลง 10 %
NPV 15,762.34 13,212.56
B/C 4.238 15,275.57 13,699.33 3.468
IRR 15.593 3.853 3.814 14.158
14.905 14.834
ณ อัตราคดิ ลด 8 % 9,195.54 7,392.22
NPV 3.081 8,753.66 7,834.10 2.521
B/C 15.593 2.801 2.773 14.158
IRR 14.905 14.834
5,105.49 3,783.21
ณ อัตราคดิ ลด 10 % 2.258 4,699.63 4,189.07 1.847
NPV 15.593 2.053 2.032 14.158
B/C 14.905 14.834
IRR 2,524.60 1,519.62
1.671 2,148.34 1,895.88 1.367
ณ อตั ราคดิ ลด 12 % 15.593 1.519 1.504 14.158
NPV 14.905 14.834
B/C
IRR
ท่มี า: รุ่งศรัณย์ (2546)
สรปุ
ในการวิเคราะหโ์ ครงการด้านปา่ ไม้ ส่วนใหญ่จะเปน็ การวิเคราะหท์ างการเงนิ ของการปลูกสร้างสวนปา่ ซ่ึง
ผลการประเมินจะทำให้ทราบถึงต้นทุนรายปีที่จะต้องใช้ ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกสร้าง
สวนป่า จนกระท่ังถึงปีท่ีสิ้นสุดของโครงการซ่ึงจะเป็นช่วงของการดำเนินกิจกรรมข้ันสุดท้ายคือการทำไม้ออก จะทำให้
เกิดรายได้จากการจำหน่ายไม้ และผลตอบแทนของโครงการท้ังในรูปแบบของอัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C) หรือ
มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) จะข้ึนอยู่กับผลผลิตไม้ ราคาไม้ อัตราดอกเบี้ย ปริมาณและราคาปัจจัยการผลิต รวมทั้งการ
กำหนดอายคุ รบรอบตดั ฟนั ท่ีเหมาะสม ปัจจยั ตา่ ง ๆ เหล่านีล้ ้วนมีผลตอ่ ตน้ ทนุ และรายได้จากการปลูกสรา้ งสวนป่า
ตัวช้ีวัดความค้มุ คา่ ของโครงการ ได้แก่ อัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C) มูลค่าปัจจุบนั สุทธิ (NPV) และ
อัตราผลตอบแทนภายในของโครงการ (IRR) สามารถใช้เป็นหลักเกณฑ์การตัดสินใจเพื่อการลงทุนมีดังนี้ 1) อัตรา
ผลประโยชนต์ อ่ ต้นทนุ (B/C) ต้องมคี ่ามากกว่า 1 2) มลู คา่ ปจั จบุ นั สุทธิ (NPV) ตอ้ งมีค่ามากกวา่ 0 หรือเปน็ บวก และ 3)
อตั ราผลตอบแทนภายในของโครงการ (IRR) ตอ้ งมีอัตรารอ้ ยละสงู กว่าอตั ราดอกเบีย้ หรืออัตราคดิ ลด สำหรับระยะเวลา
คืนทุนของโครงการปลูกสร้างสวนป่าจะแตกต่างจากธุรกิจอื่น เน่ืองจากโครงการปลูกสร้างสวนป่าใดๆ จะต้อง
ดำเนินโครงการจนสิ้นสุดโครงการอยู่แล้ว เน่อื งจากมีรายได้เกิดข้ึนเปน็ ช่วงๆ หรือไดร้ ายได้ท้ังหมดจากการตัดฟนั คร้ัง
สุดท้าย เพอ่ื ให้ผลการวิเคราะห์โครงการเป็นท่ยี อมรบั และใกลเ้ คียงความจริงมากย่งิ ข้นึ การวิเคราะหค์ วามอ่อนไหวของ
โครงการปลูกสร้างสวนป่าจึงมคี วามสำคญั เพราะโครงการท่ีมีระยะเวลายาวนานอาจมีความเส่ียงกบั ปัจจัยตา่ ง ๆ ท่ีใช้
ในการประเมินค่าเปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ ปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะผลิตได้ ราคาตลาดของสินค้า ต้นทุนของ
132
โครงการเปล่ียนแปลงไป ดังน้ันจึงควรคาดการณ์ถึงข้อมูลต่าง ๆ ท่ีได้กำหนดไว้เปลี่ยนแปลงไปจะเกิดผลกระทบ
อยา่ งไรเพ่ือใช้ประกอบการตัดสินใจลงทนุ
ข้อมูลต่าง ๆ ท่ีได้จากการวิเคราะห์โครงการการปลูกสร้างสวนป่าของไม้เศรษฐกิจชนิดใดก็ตาม จะเป็น
ประโยชน์ในการนำไปใชใ้ นการสง่ เสริมโครงการปลูกไมเ้ ศรษฐกิจให้กบั เกษตรกรกลุ่มเปา้ หมาย โดยเฉพาะอย่างย่งิ ข้อมูล
เกี่ยวกับผลตอบแทนจากการปลูกสรา้ งสวนป่าในรปู ของมูลค่าปจั จุบันสุทธิตอ่ ไร่ (NPV) ซ่งึ จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อ
เกษตรกรท่ีจะทราบถึงความคุ้มค่าในลงทุนปลูกสร้างสวนป่า และจะได้นำมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการประกอบการ
ตัดสนิ ใจได้อยา่ งถูกต้องในเข้าร่วมโครงการปลกู สรา้ งสวนป่าไม้เศรษฐกิจที่ไดร้ บั การส่งเสริมตอ่ ไป
เอกสารอ้างอิง
ธงชยั เปาอนิ ทร์. 2537. การลงทุนปลกู ไมส้ กั เพือ่ การค้า. บริษัท บพิธการพมิ พ์ จำกัด, กรุงเทพฯ.
นราทิพย์ ชตุ วิ งศ.์ 2539. ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค. โรงพิมพ์-จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, กรุงเทพฯ.
ประสิทธิ์ ตงย่ิงศิริ. 2544. การวางแผนและการวิเคราะห์โครงการ. สำนกั พิมพ์ซีเอด็ ยเู คช่นั , กรุงเทพฯ.
พทิ ยา จำปาแก้ว. 2545. การวิเคราะห์ทางการเงินของสวนปา่ ไม้สกั ภายใต้โครงการสง่ เสริมปลูกไม้เศรษฐกจิ ใน
ท้องท่ีอำเภอเวยี งสา จังหวัดน่าน. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาโท, มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์.
ไพบลู ย์ แยม้ เผ่ือน. 2548. เศรษฐศาสตรว์ ิศวกรรม. สำนักพมิ พซ์ ีเอ็ดยูเคช่นั , กรงุ เทพฯ.
เยาวเรศ ทบั พนั ธุ์. 2543. การประเมินโครงการตามแนวทางเศรษฐศาสตร.์ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์
กรงุ เทพฯ.
รงุ่ ศรณั ย์ ขันโท. 2546. การวเิ คราะห์ดา้ นการเงนิ ของการลงทุนปลกู สรา้ งสวนปา่ ไม้สัก.
วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาโท, มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์.
วไิ ลลกั ษณ์ ไทยอุตสา่ ห์ ปรดี า ฉนั ทะกุล และ สมพงษ์ อรพินท.์ 2528. การวเิ คราะห์ต้นทุน-กำไร ของการปลูก
สรา้ งสวนปา่ . มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ กรุงเทพฯ.
วุฒพิ ล หัวเมอื งแกว้ . 2557. เศรษฐศาสตร์ทรัพยากรป่าไม้. ภาควิชาการจดั การป่าไม้ คณะวนศาสตร,์
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ.
วุฒิพล หัวเมืองแกว้ พสุธา สุนทรหา้ ว มณฑล จำเรญิ พฤกษ์ และปสั สี ประสมสนิ ธุ์. 2542. การสำรวจผลผลิต
ของสวนปา่ ยูคาลปิ ตสั ภาคเอกชน ในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2540. ใน รายงานผลการวจิ ัยฉบับสมบูรณ์
เสนอตอ่ สถาบันวจิ ยั และพัฒนาแหง่ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ กรงุ เทพฯ.
เสถยี ร ศรีบญุ เรือง. 2542. การวางแผนและประเมินโครงการ. คณะเศรษฐศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,
เชียงใหม่.
หฤทัย มีนะพนั ธ์. 2544. หลกั การวิเคราะห์โครงการ: ทฤษฎีและวธิ ีปฏิบัติเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ.
สำนกั พิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , กรงุ เทพฯ. อา้ งถึง Baum, W. C.; Tolbert, S. M. 1987.
Investing in development: lessons of World Bank experience., Oxford University Press.
Gittinger, J.P. 1982. Economic Analysis of Agricultural Project (2nd). The John Hopkins University
Press, Baltimore.
บทท่ี 7
ระบบทะเบียนและการรับรองไม้ทีป่ ลูก
ปัจจุบันถือว่า มีกระแสตื่นตัวในการการปลูกป่าเศรษฐกิจอย่างกว้างขวางในประเทศไทยท้ังในพ้ืนที่
กรรมสิทธ์ิและในที่ดินท่ีรัฐอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ ด้วยมูลเหตุจูงใจหลายประการ อันได้แก่ การมียุทธศาสตร์
นโยบาย การปรับแก้กฎหมาย ระเบียบต่าง ๆ ท่ีเป็นรูปธรรมมากกว่าในอดีต รวมทั้งนโยบายและมาตรการ
แก้ปัญหา สาหรับในที่ดินของรัฐ ก็มีมาตรการแก้ปัญหาและทากินในพ้ืนที่ป่าสงวนแห่งชาติ ด้วยการจัดต้ัง
คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เพ่ือแก้ปัญหาการอยู่อาศัยและทากินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดย
ออกมาตรการตา่ ง ๆ แก้ปญั หาชมุ ชนท่อี ยู่ในพ้นื ทีแ่ ละช่วงเวลาทีแ่ ตกต่างกนั ซ่ึงบางพื้นท่ี เช่นพ้ืนที่ท่ีประชาชนอยู่
อาศัยตามมติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 ในบริเวณลุ่มน้า ชั้น 3,4,5 เพ่ิงได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยได้ถูกต้องตาม
กฎหมาย โดยโครงการจัดท่ีดินทากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (กรมป่าไม้, 2561) มีศักยภาพในการปลูกป่า
เพ่ือเศรษฐกิจมากถึง 3.9 ล้านไร่ ในส่วนของภาคการตลาด ล่าสุด กรมป่าไม้ดาเนินการจัดทาเกณฑ์และตัวช้ีวัด
สาหรับการจดั การสวนป่าและป่าชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการจัดทามาตรฐานการจัดการสวนป่า
อยา่ งยงั่ ยืน พรอ้ มทงั้ สง่ เสรมิ ให้มีการรบั รองตามมาตรฐานสากลส่งเสรมิ การค้าไม้สู่ตลาดโลก ถือเป็นส่วนปลายน้า
ทีม่ คี วามสาคญั ทจี่ ะสรา้ งรายได้แก่ผ้ปู ลูก เกดิ เปน็ แรงจงู ใจในการปลกู ปา่ เศรษฐกิจอย่างแท้จริง (กรมปา่ ไม,้ 2562)
7.1 ปัจจัยช่วยเสริมการปลูกป่าเศรษฐกจิ
7.1.1 ปัจจัยช่วยสง่ เสรมิ การปลูกปา่ เศรษฐกจิ ด้านยทุ ธศาสตร์และนโยบาย
เปน็ ท่นี ่ายนิ ดขี องการผู้สนใจการปลกู ปา่ เศรษฐกิจว่า ในชว่ งไม่กปี่ มี าน้ีมีปัจจัยท่ีเอ้ือต่อการปลูกต้นไม้เพ่ือ
เศรษฐกจิ หลายประการ อาทิเช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ภายใต้ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการ
เติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อม ซึ่งกาหนดเป้าหมายในเร่ืองรักษาและเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่เป็นมิตร
ต่อสิ่งแวดล้อมไว้ ว่า กาหนดให้ประเทศไทยมีพื้นท่ีสีเขียวเพ่ือการใช้ประโยชน์ ในส่วนพื้นท่ีป่าเศรษฐกิจในท่ีดิน
ของเอกชนและในท่ีดนิ ของรัฐ ประมาณไมน่ ้อยกว่า 26 ล้านไร่ ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์และแผนงาน
การส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจร (พ.ศ.2561-2579) (อ้างตาม กรมป่าไม้, 2562) ทาให้ทิศทางการส่งเสริม
ป่าเศรษฐกจิ เกิดเป็นรปู ธรรมมากข้นึ นอกจากม้ี มีการยกเลกิ มาตรา 7 ปลดล็อกปลูกไม้หวงห้าม และใช้ประโยชน์
จากไม้หวงห้ามในที่ดินกรรมสิทธิ์ โดยออกพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับท่ี 8) พ.ศ.2562 ต้ังแต่วันที่ 16 เมษายน
พ.ศ.2562 และการให้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง
กาหนดให้ทรัพย์สินอ่ืนเป็นหลักประกันทางธุรกิจ เมื่อวันท่ี 24 กรกฎาคม 2561 โดยกาหนดให้ “ไม้ยืนต้น”
ยกตัวอย่างตามรายการไม้ของ พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. 2535 จานวน 58 รายการ มาเป็นหลักประกันทาง
ธุรกิจ เพ่ือการขอกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินได้ ปัจจัยเหล่าน้ีถือเป็นสิ่งสาคัญท่ีส่งเสริมและจูงใจให้เกษตรกรหัน
มาปลูกไม้ยืนต้นหรือทาสวนป่ามากข้ึน เนื่องจากลดความกังวลในด้านการขออนุญาต ขั้นตอน การปลูก การตัด
และทส่ี าคญั เลง็ เห็นโอกาสและผลตอบแทนทม่ี หี ลักประกันมากขน้ึ จากการทาธุรกิจสวนปา่
______________________________________________________________
หมายเหตุ *พ้นื ท่สี ีเขยี ว คือ พ้ืนที่ทมี่ ีพชื พรรณท่ีสามารถจาแนกไดว้ า่ มีไมย้ นื ต้นปกคลุมขึ้นอยู่ท้งั ในและนอกเขต
เมอื งหรือชมุ ชนทป่ี ระชาชนสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในรปู แบบต่าง ๆ หรือการได้รบั การบรกิ ารจากพน้ื ท่ี เช่น
ป่าธรรมชาติ สวนปา่ เศรษฐกิจ พืน้ ทเ่ี พื่อการพกั ผ่อนหย่อนใจหรอื เพ่ือการเรียนรู้ และเพอื่ การใชป้ ระโยชน์อ่ืน ๆ
อา้ งตาม : กรมปา่ ไม้ (2562)
134
7.1.2 พระราชบญั ญตั ิป่าไม้ (ฉบับท่ี 8) พ.ศ. 2562 (ยกเลิกไมห้ วงหา้ มในทดี่ ินกรรมสิทธ์ิ)
ในปี พ.ศ.2562 มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ท่ปี ระชาชนคาดหวังและรอคอยเปน็ เวลานาน ในการ
ปลดลอ็ ก การปลกู และตดั ไม้หวงหา้ มในที่ดินกรรมสทิ ธิ์ หรอื กล่าวอกี นยั หน่ึงว่า ไม้ในท่ีดินกรรมสิทธ์ิทุกชนิดไม่ถือ
เป็นไม้หวงห้าม พ.ร.บ.น้ีถือได้ว่าก่อให้เกิดกระแสการตื่นตัวในการปลูกต้นไม้และปลูกป่าเป็นวงกว้าง ผู้ปลูก
จานวนมากไปติดต่อขอรับกลา้ ไม้จากหน่วยงานเพาะชากล้าไม้ ในสังกดั กรมป่าไมก้ นั อย่างล้นหลาม จนไม่เพียงพอ
ต่อความต้องการ สาระสาคัญ อยู่ในมาตรา 4 ท่ีให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484
ซ่ึงแก้ไขเพิม่ เติมประกาศคณะรกั ษาความสงบแห่งชาติ ฉบบั ที่ 106/2557 เรื่องแกไ้ ขเพ่มิ เติมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้
และให้ใชข้ ้อความต่อไปน้ีแทน
“มาตรา 7 ไม้ชนิดใดที่ข้ึนในป่าจะให้เป็นไม้หวงห้ามประเภทใด ให้กาหนดโดย พระราชกฤษฎีกา สาหรับไม้ทุก
ชนิดทีข่ ึ้นในท่ดี นิ ที่มีกรรมสิทธ์ิ หรือสิทธิครอบครองตามประมวล กฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้าม หรือไม้ที่ปลูก
ข้ึนในที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ทาประโยชน์ตามประเภท หนังสือแสดงสิทธิที่รัฐมนตรีประกาศกาหนดโดยความ
เหน็ ชอบของคณะรฐั มนตรี ให้ถอื ว่าไม่เป็นไม้หวงห้าม”
นอกจากน้ี ราชกิจจานเุ บกษาฉบบั ที่ 8 นย้ี งั ไดม้ ีการปรบั แก้ไขเพิ่มเตมิ กฎหมาย ในมาตรา 6 ใหเ้ พิม่ ความ
ต่อไปนเี้ ป็นส่วนที่ 2/1 การรับรองไม้ มาตรา 18/1 มาตรา 18/2 และมาตรา 18/3 ของหมวด 1 การทาไมแ้ ละ
เก็บหาของป่า แห่ง พ.ร.บ. ปา่ ไม้ พ.ศ. 2484 ท่วี า่ ดว้ ยเรือ่ งของการรับรองไม้ ดังน้ี
มาตรา 18/1 เพื่อประโยชน์ในการจาแนกแหล่งท่ีมาของไม้ เจ้าของไม้ที่ขึ้นในที่ดินท่ีมีกรรมสิทธ์ิ หรือสิทธิ
ครอบครองตามประมวลกฎหมายท่ีดิน หรือเจ้าของไม้ที่ปลูกข้ึนในท่ีดินท่ีได้รับอนุญาตให้ทาประโยชน์ตาม
ประเภทหนังสือแสดงสิทธิที่รัฐมนตรีประกาศกาหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จะแจ้งพนักงาน
เจา้ หนา้ ท่ี เพอ่ื ขอหนงั สือรับรองไม้ก็ได้ การแจง้ และการออกหนงั สอื รบั รองตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่
อธบิ ดีกรมปา่ ไม้กาหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
มาตรา 18/2 ผู้ใดประสงค์จะขอหนังสือรับรองไม้ ผลิตภัณฑ์ไม้ และถ่านไม้ เพื่อการค้าหรือการส่งออกไปนอก
ราชอาณาจักร ให้ยื่นคาขอต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี และเสียค่าใช้จ่ายในการออกหนังสือรับรองตามที่กรมป่าไม้
กาหนด
การขอและการออกหนังสือรับรอง และอัตราค่าใช้จ่ายตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกรมป่าไม้
กาหนดโดยความเห็นชอบของรฐั มนตรี
มาตรา 18/3 การออกหนังสือรับรองตามมาตรา 18/1 หรือมาตรา 18/2 กรมป่าไม้ จะกาหนดให้สถาบันหรือ
องค์กรอื่นดาเนินการแทนก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขในระเบียบท่ีอธิบดีกรมป่าไม้กาหนด ใน
การนี้ให้ถือว่าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของสถาบันหรือองค์กรอื่น ที่ดาเนินการแทนพนักงานเจ้าหน้าท่ีเป็นเจ้า
พนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา เฉพาะในส่วนทเ่ี กยี่ วข้องกับการปฏบิ ัติตามความในส่วนน้ี
มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดย
พระราชบญั ญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 และให้ใชค้ วามตอ่ ไปน้แี ทน
มาตรา 25 ผู้ใดนาไม้ทีม่ ิใชไ่ มห้ วงหา้ มเข้าเขตดา่ นป่าไม้ ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามอัตราที่รัฐมนตรีกาหนด เว้นแต่
เป็นการนาไปเพื่อใช้สอยส่วนตัวภายในเขตท้องท่ีจังหวัดท่ีทาไม้น้ัน หรือเป็นการนาไม้ท่ีปลูกข้ึนในท่ีดินท่ีได้รับ
135
อนุญาตให้ทาประโยชน์ตามประเภทหนังสือแสดงสิทธิที่รัฐมนตรีประกาศกาหนดโดยความเห็นชอบของ
คณะรฐั มนตรี ตามมาตรา 7 วรรคหนง่ึ เข้าเขตด่านป่าไม้ ไปใชส้ อยสว่ นตวั ไมต่ อ้ งเสียคา่ ธรรมเนียม
มาตรา 9 บรรดาไม้สัก ไม้ยาง ไม้ชิงชัน ไม้เก็ดแดง ไม้อีเม่ง ไม้พะยุงแกลบ ไม้กระพี้ ไม้แดงจีน ไม้ขะยุง ไม้ซิก
ไมก้ ระซกิ ไมก้ ระซิบ ไม้พะยงู ไมห้ มากพลูตั๊กแตน ไม้กระพ้เี ขาควาย ไมเ้ ก็ดดา ไม้อีเฒ่า และไม้เก็ดเขาควาย ที่ข้ึน
ในป่า ใหเ้ ปน็ ไม้หวงหา้ มประเภท ก.
มาตรา 10 การดาเนนิ การออกระเบียบตามมาตรา 18/1 มาตรา 18/2 และมาตรา 18/3 แห่ง พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ.
2484 ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดย พ.ร.บ.นี้ ให้ดาเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีนับแต่วันท่ี พ.ร.บ.น้ีใช้บังคับ หากไม่
สามารถดาเนนิ การได้ ให้รฐั มนตรรี ายงานเหตผุ ลที่ไมอ่ าจดาเนนิ การไดต้ อ่ ครม. เพอื่ ทราบ
สาหรับการแปรรูปไม้เพื่อใช้สอยหรือการทาไม้ภายในท่ีดินท่ีมีกรรมสิทธิ์ ไม่ต้องขออนุญาต แต่การแปร
รูปไม้ท่ีมีปริมาณมาก จานวนมากนั้น ยังคงเข้าข่าย ตาม พระราชบัญญัติโรงงาน ซึ่งต้องขออนุญาตอยู่เช่นเดิม
(ภาครฐั กาลังดาเนินการออกกฎหมายลูกที่จะผ่อนผัน ยืดหยุ่นให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ซับซ้อน และใช้เวลา
เร็วข้ึน) อย่างก็ตามจาเป็นต้องดาเนินการอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันไม้จากป่าธรรมชาติที่อาจจะถูกนาเข้ามาสู่ระบบ
ด้วย สาหรับการเคล่ือนย้ายไมน้ ั้น ปจั จบุ นั แม้ว่าดา่ นปา่ ไมไ้ ด้รบั การยกเลิกไปหลายจุด เหลือเพียงด่านป่าไม้หลักๆ
จานวนไม่มากนัก โดยเฉพาะบริเวณชายแดน เพ่ือทาหน้าท่ีป้องกันการลักลอบค้าไม้ แต่ในกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง
ยังคงมขี อ้ จากดั อยู่ ตาม พ.ร.บ. ปา่ ไม้ ปี 2562 น้ี ได้มรี ะบถุ งึ การเคลอ่ื นยา้ ยไมอ้ ยู่ใน มาตรา 25
“มาตรา 25 ผู้ใดนาไม้ท่ีมิใช่ไม้หวงห้ามเข้าเขตด่านป่าไม้ ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามอัตราที่รัฐมนตรีกาหนด เว้น
แตเ่ ปน็ การนาไปเพือ่ ใช้สอยส่วนตัวภายในเขตท้องท่ีจังหวัดที่ทาไม้นั้น หรือเป็นการนาไม้ที่ปลูกข้ึนในที่ดินที่ได้รับ
อนุญาตให้ทาประโยชน์ตามประเภทหนังสือแสดงสิทธิท่ีรัฐมนตรีประกาศกาหนดโดยความเห็นชอบของ
คณะรฐั มนตรี ตามมาตรา 7 วรรคหน่ึง เข้าเขตดา่ นป่าไม้ไปใช้สอยส่วนตัวไมต่ ้องเสยี ค่าธรรมเนียม”
ดงั นั้น ในการเคล่ือนยา้ ยไมน้ ั้น จะได้รับการยกเว้นคา่ ธรรมเนียม ในกรณที ีน่ าไปใช้สอยส่วนตัวภายในเขตจังหวัดท่ี
มีการตัด-ทาไม้ ซ่ึงในกรณีท่ีมีการเคล่ือนย้ายออกจากพื้นท่ีทาไม้ ในลักษณะของการค้า ยังคงต้องอิงกับระเบียบ
กรมปา่ ไม้ในการขอใบเบิกทางอยเู่ ชน่ เดมิ
โดยสรปุ แม้ว่า พ.ร.บ. ป่าไม้ ฉบับใหม่น้ี เปิดทางให้มีการปลูกและตัดทาไม้เศรษฐกิจได้สะดวกขึ้น มีการ
ลดหย่อนผ่อนคลาย มากข้ึน แต่ยังคงติดขัด ในกฎหมายอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้องอยู่ เน่ืองจากกฎหมายที่เก่ียวข้องกับ
ป่าไม้มีหลายฉบับ ผูกกับหน่วยงานรัฐอีกหลายหน่วยงาน จึงยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะหน่ึงในการแก้ไขข้อ
กฎหมายท่ีเก่ยี วขอ้ งได้ท้งั หมด อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ ปี พ.ศ. 2562 นี้ถือเป็นอีกพัฒนาการก้าวแรกของการ
สง่ เสรมิ อุตสาหกรรมปา่ ไม้ในประเทศไทยให้ก้าวหน้าทัดเทียบกบั ต่างประเทศอย่างจริงจังและเป็นรปู ธรรมมากขึ้น
7.1.3 ปจั จยั เสรมิ จากมาตรการแก้ปญั หาการอยู่อาศัยและทากินในพืน้ ทีป่ ่าสงวนแห่งชาติ
นอกเหนือจากพ้ืนที่กรรมสิทธิ์การแก้ไขปัญหาตามแนวทางคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที
กาหนดมาตรการแกป้ ญั หาการอยอู่ าศัยและทากินในพ้ืนท่ีป่าสงวนแห่งชาติ ในรูปแบบต่าง ๆ ท้ังในพ้ืนท่ีลุ่มน้า 1,
2 และลุ่มน้า 3,4,5 ตามเง่ือนเวลาท่ีแตกต่างกัน ท่ีสาคัญและเก่ียวข้องกับการปลูกป่าเศรษฐกิจได้แก่ ผลตามมติ
คณะรัฐมนตรี 30 มิ.ย.2541 ทาให้ชุมชนสามารถอยู่กับป่าและใช้ประโยชน์ที่ดินได้ถูกต้องตามกฎหมายตาม
โครงการ คทช. และช่วงระหว่างปี 2545 ถึง 2557 หรือหมายถึงพ้ืนท่ีมีร่องรอยการทาประโยชน์หลังปี 2545
และต้องปฏิบัติตามคาส่ัง คสช. ที่ 66/2557 กาหนดเป็นพ้ืนท่ีฟ้ืนฟูสภาพป่าและป่าเศรษฐกิจ ทาให้ชุมชนได้รับ
อนุญาตให้อยู่อาศัยและทากินในแบบแปลงรวม โดยให้ชุมชนและรัฐใช้พ้ืนท่ีร่วมกัน ต้องดูแล รักษา และใช้
ประโยชน์พ้ืนที่ในลักษณะที่เก้ือกูลต่อการอนุรักษ์ตามที่กาหนดรวมกัน ในส่วนนี้มีข้อกาหนดให้ปลูกป่าเพ่ือ
136
เศรษฐกิจไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของพ้ืนที่ทั้งหมด (3.7 ล้านไร่) ในส่วนหลังนี้ ถือเป็นพ้ืนท่ีเป้าหมายสาคัญท่ีช่วย
ผลกั ดันเปา้ หมายป่าเศรษฐกิจในประเทศไทย (ภาพท7่ี .1)
ทม่ี า: กรมปา่ ไม้ (2561)
ภาพท่ี 7.1 มาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศยั และทากนิ ในพ้ืนทปี่ า่ สงวนแหง่ ชาติตามแนวทางของคณะกรรมการ
นโยบายทด่ี นิ แหง่ ชาติ
ดังได้กล่าวมาในช่วงต้น ส่วนท่ีเป็นปัจจัยเสริมความสาเร็จของการทาสวนป่าเศรษฐกิจ ทางด้าน
วิชาการ อันได้แก่ การคัดเลือกชนิดไม้และพ้ืนท่ีที่เหมาะสม แหล่งพันธุกรรม การปลูก ดูแล และการจัดการสวน
ป่า บทนี้กล่าวถึงปัจจัยเสริม ในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการ อันได้แก่ งานด้านเอกสาร การจัดการด้าน
ทะเบียนต้นไม้ และการรับรองสวนป่า ซึ่งอาจกล่าวโดยภาพรวม ว่า การจัดทาทะเบียนต้นไม้เสมือนเป็นการ
รับรองแหล่งท่ีมาของไม้ และการรับรองไม้เสมือนเป็นการรับรองทั้งระบบ เพราะรวมถึงที่มาของไม้ และรับรอง
การควบคุมไม้
ในบทน้ี กล่าวถึงเร่ืองท่ีมีความสาคัญต่อการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนปลูกต้นไม้ ท้ังเพ่ือปลูกเพ่ือ
เป็นสวนป่าและเพ่ือเพิ่มพื้นท่ีสีเขียว คือ 1) ระบบทะเบียน และ 2) ระบบการรับรองไม้ หากประชาชนปลูกเพ่ือ
วัตถุประสงค์ทางการค้า การดาเนินงานท้ังสองระบบจะเป็นการรับรองท่ีมาของไม้และรับรองมาตรฐานในการ
จัดการสวนป่า ในส่วนของระบบทะเบียน ปัจจุบันมีการดาเนินการโดยกรมป่าไม้ 2 แบบ คือ ระบบการขึ้น
ทะเบียนสวนป่าตามพระราชบัญญัติสวนป่า (พ.ร.บ.สวนป่า) และระบบลงทะเบียนไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธ์ิ
(e-Tree) ดังน้ี http://etree.forest.go.th/rfd_app/rfd_tree_farms_m7/portal/ ท้ังน้ีมีความมุ่งหวังจูงใจให้
137
เกิดการปลูกสร้างสวนป่าเพื่อการค้าให้มากข้ึน รวมทั้งจูงใจให้ประชาชนปลูกต้นไม้เพ่ือเพิ่มพ้ืนท่ีสีเขียวมากข้ึน
สาหรบั พ.ร.บ.สวนป่าฉบบั ปจั จุบนั (ต่อไป เรียกว่า พ.ร.บ.สวนป่า) คือ พ.ร.บ.สวนป่า (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2558 ได้มี
การได้รับการปรับปรุงแก้ไขจาก พ.ร.บ.สวนป่า พ.ศ. 2535 เพ่ืออานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการให้มากข้ึน
(กรมปา่ ไม,้ 2560ก)
ระบบทะเบยี นทัง้ สองถอื เปน็ ภาคสมคั รใจของผู้ปลูกต้นไม้หรือสวนป่าเอง มิได้เป็นการบังคับจากส่วน
ราชการ สามารถเลือกที่จะเข้าสู่ระบบทะเบียนหรือไม่ก็ได้ ข้อแตกต่างสาคัญ (ณ ปัจจุบัน) สาหรับระบบท้ังสอง
คอื พ.ร.บ.สวนป่า เป็นการดาเนินการที่มีกฎหมายรองรับ ตามพ.ร.บ. สวนป่า และกฎกระทรวงว่าด้วยการขอข้ึน
ทะเบียนและออกหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนที่ดินท่ีเป็นสวนป่า จึงสามารถอ้างอิงได้ท้ังที่มาและการรับรองไม้
ผู้ข้ึนทะเบียนจะได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่า จะได้รับความคุ้มครองสิทธ์ิในการทาไม้ท่ีปลูกตามกฎหมาย เช่น
การตัดโค่น การค้าไม้ และการนาไม้เคล่ือนที่ไปยังสถานท่ีต่าง ๆ ท้ังยังสามารถเก็บหา ค้า มีไว้ในครอบครอง
โดยได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียค่าภาคหลวงไม้และของป่า แต่ข้อเสีย คือ การขึ้นทะเบียนจากัดชนิดไม้ในกลุ่ม
58 รายการ (ภาคผนวกที่ 7.1 และ ตารางท่ี 7.1) สาหรับระบบน้ีผู้ปลูกในกรุงเทพฯติดต่อที่กรมป่าไม้ ส่วนใน
ต่างจังหวัดติดต่อที่ สานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันกรมป่าไม้ยังได้อานวยความสะดวก
แก่ประชาชนด้วยการใหบ้ ริการย่ืนหนังสือขนึ้ ทะเบยี นออนไลน์ (ตามเวปไซด์ https://nsw.forest.go.th) อย่างไร
ก็ตามระบบสวนป่าออนไลน์ยังต้องมกี ารพัฒนาระบบอยู่ เน่ืองจากยังไม่ออนไลน์ทุกขั้นตอน เช่นเดียวกับ e-Tree
ซึ่งสามารถลงทะเบียนได้ด้วยตนเอง และได้รับ “หนังสือสรุปรายละเอียดในระบบการลงทะเบียนต้นไม้ในที่ดิน
กรรมสิทธ์ิ” (ภาคผนวกท่ี 7.2) ซ่ึงถือเป็นการแสดงรายละเอียดการลงทะเบียนต้นไม้ในท่ีดินกรรมสิทธิ์เท่าน้ัน
หากประสงค์ขอหนังสือรับรองเพื่อประโยชน์ทางการค้าหรือเพื่อการส่งออก จาเป็นต้องยื่นขอการรับรองไม้ ตาม
มาตรา 18/1 เพื่อประโยชน์ในการจาแนกแหล่งท่ีมาของไม้ และตามมาตรา 18/2 เพื่อขอหนังสือรับรองไม้
ผลิตภัณฑ์ไม้ และถ่านไม้ เพ่ือการค้า หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยย่ืนคาขอตาม
ช่องทางที่กรมป่าไม้กาหนดต่อไป สาหรับข้อได้เปรียบของ e-Tree คือไม่จากัดชนิดไม้ท่ีลงทะเบียน ซึ่ง พ.ร.บ.
สวนป่า กาหนดไว้เพียง 58 รายการ แผงผังแสดงข้ันตอนการดาเนินการของระบบการขึ้นทะเบียนสวนป่าตาม
พระราชบญั ญัติสวนป่า (พ.ร.บ.สวนปา่ ) และระบบลงทะเบียนไม้มคี ่าในที่ดนิ กรรมสิทธิ์ (e-Tree) ดงั ภาพที่ 7.2
138
ภาพที่ 7.2 แผงผังแสดงขั้นตอนการดาเนินการของระบบการข้ึนทะเบียนสวนป่าตามพระราชบัญญัติสวนป่า
(พ.ร.บ.สวนป่า) และระบบลงทะเบยี นไมม้ ีคา่ ในทดี่ ินกรรมสทิ ธ์ิ (e-Tree)
139
ตารางที่ 7.1 เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของระบบขึ้นทะเบียนสวนป่าตามพระราชบัญญัติสวนป่าและระบบ
ลงทะเบียนไมม้ ีค่าในท่ดี นิ กรรมสทิ ธ์ิ (e-Tree)
ข้อดี ข้อเสีย
พ.ร.บ. - เปน็ การดาเนนิ งานตามกฎหมาย/ มีกฎหมายรองรับ -จากดั ชนิดไม้ 58 รายการ
สวนปา่
(พระราชบญั ญัตสิ วนปา่ พ.ศ.2535 และทแี่ กไ้ ขเพิ่มเตมิ ) (ตามบญั ชีตน้ ไม้ทา้ ย พ.ร.บ.สวนปา่ )
ทาใหส้ ะดวกตอ่ การขอหนังสอื รบั รองจากกรมปา่ ไม้ -ตอ้ งตดิ ต่อเจ้าหนา้ ท่ี/มกี ารตรวจสอบ(มี
ขัน้ ตอนระยะเวลาดาเนินการ)
-มีบทลงโทษ
- ดาเนนิ การกบั ท่ดี นิ ได้ 6 ประเภท คือ - ท่ีดินประเภทอื่นนอกเหนือจาก 6
1. โฉนดทีด่ นิ รวมถึง โฉนดแผนท่ี โฉนดตราจอง และตราจองที่ตรา ประเภทข้างต้น ไม่สามารถนามาขอขึ้น
ว่า “ไดท้ าประโยชนแ์ ลว้ ” หนังสือรบั รองการทาประโยชน์ (น.ส.3, ทะเบยี นท่ีดินเปน็ สวนปา่
น.ส.3 ก. ,น.ส.3 ข.)
2. หนังสือแสดงการทาประโยชน์ในท่ดี นิ นิคมสรา้ งตนเอง (น.ค.3) ,
หนงั สืออนญุ าต ใหเ้ ขา้ ทาประโยชน์ ในทด่ี ินนคิ มสหกรณ์ (กสน.๕)
3. ทด่ี ินในขตปฏิรปู ที่ดิน ท่ดี ินทีม่ หี ลกั ฐานการอนญุ าต(ส.ป.ก.4-01
,ส.ป.ก.4-01ก ,ส.ป.ก.4-01ข, ส.ป.ก.4-01ค ,ส.ป.ก.4-01ช) ทดี่ ินที่
มหี ลักฐานการเชา่ (ส.ป.ก.4-14ก ,ส.ป.ก.4-119) ทีด่ นิ ที่มหี ลกั ฐาน
การเช่าซ้ือ (ส.ป.ก.4-18ข) ทด่ี นิ ท่มี ีหลักฐานการโอน หรือตกทอด
ทางมรดก
4. ที่ดิน สทก.1 ก. ,สทก. 2ก. ,สทก.1 ข. ,ป.ส.31
5. ทด่ี ินท่มี ีใบอนญุ าตตามกฎหมายว่าด้วยป่าไมใ้ ห้ทาสวนป่า
6. ทีด่ ินท่ไี ด้ดาเนนิ การเพอื่ การปลกู ปา่ โดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
หรือหน่วยงานอื่นของรฐั
-มรี ะบบสวนปา่ ออนไลน์ เพิม่ ชอ่ งทางในการอานวยความสะดวกให้ -ยังไม่ครอบคลมุ ทกุ กระบวนการตาม
พ.ร.บ.สวนป่า (อยู่ระหว่างการพฒั นา
ประชาชนสามารถย่ืนคาขอขน้ึ ทะเบยี นท่ดี ินเปน็ สวนปา่ ได้
ระบบเพ่ือเชอ่ื มโยงกับระบบรบั รองไม้ที่
ที่มา: กรมปา่ ไม้ (2560) ดาเนนิ การตามมาตรา 18/1 และ 18/2)
ระบบ - ไมม่ บี ทลงโทษทางกฎหมาย -เปน็ เพียงการรบั รองตนเอง
ลงทะเบยี น - ไมม่ ีขอ้ ผกู มดั - ดาเนินการได้เฉพาะท่ดี ินกรรมสทิ ธ์ิ
ไมม้ ีคา่ ใน เท่านน้ั
ที่ดนิ - ไมจ่ ากัดชนิดไม้เพียง 58 รายการ ทาใหผ้ ปู้ ลกู มีอิสระในการเลือก
กรรมสทิ ธิ์ ชนดิ ไม้
- ประชาชนดาเนนิ การลงทะเบยี นไดด้ ว้ ยตนเอง สะดวก รวดเร็ว - ยังมีขอ้ จากดั ในกระบวนการตอ่ ไป
และไดร้ ับ “หนังสือสรปุ รายละเอียดในระบบการลงทะเบยี นตน้ ไม้ อยรู่ ะหว่างการพฒั นา (ยังไมอ่ อนไลน์ทุก
ในที่ดินกรรมสทิ ธ์ิ” ขน้ั ตอน)
- หากในอนาคตเชื่อมโยงกบั ระบบรับรองไมต้ ามมาตรา 18/1 และ
18/2 แลว้ ผปู้ ลูกจะยน่ื ขอหนังสือรบั รองจากกรมป่าไม้ได้
รายละเอียดของระบบลงทะเบียน และระบบการรับรองไมเ้ ปน็ ดงั นี้
140
7.2 ระบบทะเบยี น
7.2.1 ระบบการข้นึ ทะเบียนสวนป่าตามพระราชบญั ญัตสิ วนป่า (พ.ร.บ.สวนปา่ )
สาหรบั ระบบการขน้ึ ทะเบียนสวนปา่ มพี ระราชบญั ญัติท่ีเก่ียวข้อง 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติสวนป่า
พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 โดยฉบับหลังมีเจตนารมณ์ให้ ผู้ประกอบการสวน
ปา่ สะดวกขน้ึ และคาดหวังจะส่งเสริมให้ประชาชนร่วมปลูกป่ามากขึ้น มีการออกกฎกระทรวงการขอข้ึนทะเบียน
และการออกหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนท่ีดินเป็นสวนป่า พ.ศ. 2561 (ภาคผนวกท่ี 7.1) สาหรับ พ.ร.บ.ฉบับ
แกไ้ ข กาหนดใหไ้ มบ้ างชนดิ ได้แก่ ยางพารา มะฮอกกานี โกงกาง ยูคาลิปตัส กระถิน สนประดิพัทธ์ เสม็ด ไม่อยู่
ในบญั ชีต้นไม้แนบทา้ ย พ.ร.บ. สวนป่า ตามท่ีกลุ่มเกษตรกรต้องการ เนื่องจากเป็นไม้ในอุตสาหกรรมไม้เศรษฐกิจ
อยู่แลว้ ไม่ต้องการความยุ่งยากในขั้นตอนการดาเนินการตามระเบียบของทางราชการ
รายละเอียดของการข้ึนทะเบียนสวนป่าดาเนินการตามกฎกระทรวงการขอข้ึนทะเบียนและก ารออก
หนังสือรับรองการข้ึนทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่า พ.ศ. 2561 และคาขอข้ึนทะเบียนสวนป่า ตามแบบฟอร์ม สป.1-
สป.15 (ภาคผนวกท่ี 7.3) ในปัจจุบัน กรมป่าไม้ยังได้อานวยความสะดวกแก่ประชาชนด้วยการให้บริการขึ้น
ทะเบียนออนไลน์ โดยผทู้ ีข่ ้นึ ทะเบยี นออนไลนจ์ ะได้รบั หนงั สือรับรองการขน้ึ ทะเบียนที่ดนิ เป็นสวนปา่ (สป.3)
ประโยชน์สาคญั ทีไ่ ดร้ บั จากการขึน้ ทะเบยี นสวนปา่ ได้แก่ สามารถผลติ ไม้เพ่ือเป็นสินค้า เก็บหา ค้า มี
ไวใ้ นครอบครองโดยไม่ต้องขออนุญาตและไม่เสียค่าบารุงใด ๆ สามารถขอสถานท่ี เพื่อเป็นการแปรรูปไม้จากการ
ทาสวนป่า และสามารถขอใบสาคัญเพ่ือการส่งออกไม้ไปขายต่างประเทศได้ ได้ทราบถึงปริมาณไม้ที่มีอยู่ใน
ปัจจุบัน และสามารถประเมินผลปริมาณไม้ในอนาคตได้เพื่อการใช้ประโยชน์ต่อไป นอกจากน้ี การข้ึนทะเบียน
สวนปา่ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ปลูกด้านการสนับสนุนและส่งเสริมของทางราชการท่ีจะให้ความรู้ต่าง ๆ และข้อมูลใน
ส่วนท่ีเกี่ยวข้อง เช่น การปลูกและบารุงสวนป่าการจัดการสวนป่า การตลาดไม้ การแปรรูปไม้ใช้ ประโยชน์ และ
ข่าวสารต่าง ๆ ทั้งยังเป็นฐานข้อมูลที่ทางราชการจะได้ดาเนินการจัดการป่าเอกชนในภาพรวมท้ังหมด และจะได้
ทราบถงึ ปริมาณไม้ท่ีมีอยู่ในปัจจุบันและประเมินผลปริมาณไม้ในอนาคตได้เพ่ือการใช้ประโยชน์ต่อไป เม่ือผู้ทาสวน
ป่าข้ึนทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่าและได้รับหนังสือรับรองฯ จากนายทะเบียนแล้ว จะได้รับความคุ้มครองสิทธิ
ประโยชน์ต่าง ๆ ท่ีได้มาจากสวนป่าตามที่กฎหมายว่าด้วยสวนป่าบัญญัติไว้ โดยเฉพาะได้รับความคุ้มครองสิทธิ์ใน
เร่ือง การเก็บหา ค้า มีไว้ในครอบครอง หรือนาเคลื่อนท่ี ซึ่งของป่าได้โดยไม่ต้องเสียค่าภาคหลวงและค่าบารุงป่า
เช่นเดียวกับไม้ท่ีปลูก ซึ่งมีกรรมสิทธิ์และสิทธิในการทาไม้ การแปรรูปไม้ที่ได้มาจากการทาสวนป่าอันเป็นสิทธิ
ประโยชน์แก่สุจริตชนผู้ทาสวนป่า การส่งออกไม้ ท่ีได้มาจากการทาสวนป่าต้องมีใบสาคัญรับรองการจัดการป่าไม้
อยา่ งย่ังยืนตามความตอ้ งการของประเทศปลายทาง ตามท่กี ฎหมายว่าด้วยสวนป่าบัญญัติเพื่อให้หลักการทาสวนป่า
และอุตสาหกรรมป่าไม้ของไทยเป็นไปโดยสอดคล้องกับหลักสากล เนื่องจากประเทศไทยเป็นสมาชิกสมาคม
ประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีพันธกรณีภายใต้กรอบความร่วมมือด้านป่าไม้ของอาเซียนท่ี
กาหนดแนวทางปฏบิ ัติและแผนงานในการจัดการทรพั ยากรป่าไม้อย่างย่ังยืนเพ่ือส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการป่าไม้
ทดี่ ี และสนับสนนุ การพฒั นาทรัพยากรป่าไมท้ ่ีมีประสทิ ธิภาพ เพอ่ื ตอ่ ตา้ นการตัดไมจ้ ากปา่ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
การออกพระราชบัญญตั สิ วนป่า พ.ศ. 2535
เนื่องจากพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 เป็นกฎหมายหลักสาคัญท่ีมีบทบัญญัติครอบคลุมเร่ืองป่า
ไม้ไว้ทั้งหมด คุ้มครองที่ดินซึ่งเป็นป่าและควบคุม “ไม้หวงห้าม” ควบคุม “ของป่า” อันเป็นผลิตผลจากป่า และ
ควบคุมไปถึงไม้สักและไม้ยางซ่ึงไม่ได้เติบโตข้ึนในป่าอีกด้วย การแปรรูปไม้หวงห้าม การมีไม้แปรรูปไว้ใน
141
ครอบครอง การครอบครองไม้ซุง การตั้งโรงงานแปรรูปไม้ การตั้งโรงค้าไม้แปรรูป การค้าสิ่งประดิษฐ์จากไม้หวง
ห้าม การนาไม้และของป่าเคลอ่ื นที่ ฯลฯ ทงั้ หลายเหล่าน้ี แม้มิไดก้ ระทาในปา่ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ก็
ยังตามไปควบคุมด้วย วัตถุประสงค์เพื่อควบคุมดูแลจัดการรักษาป่าไม้ กล่าวโดยสรุปคือ ในเรื่องป่าไม้ทั้งหลาย
ดังกล่าวหากไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.
2484
การประกาศปดิ ปา่ เมอ่ื ปี พ.ศ. 2532 ส่งผลกระทบสาคัญทาให้เกิดการลดลงอย่างรวดเร็วของปริมาณ
ไม้ทีผ่ ลติ ได้ในประเทศ ตามตัวเลขของสานักงานสารนิเทศ กรมป่าไม้ ปี พ.ศ. 2539 พบว่าปริมาณไม้ท่ีผลิตได้ในปี
พ.ศ. 2530 มีปริมาณกว่า 200,000 ลูกบาศก์เมตร และลดลงเหลือเพียง 40,000 ลูกบาศก์เมตร ในปี พ.ศ.2539
ในขณะทคี่ วามต้องการใชไ้ มม้ ีมากกว่า 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ด้วยเหตุน้ีรัฐบาลในสมัยนายอานันท์ ปันยารชุน จึง
ผลกั ดันให้มี พระราชบญั ญตั ิสวนปา่ พ.ศ. 2535 ขน้ึ โดยเหตุผลทีไ่ ด้เขียนไว้แนบท้ายคือ เพื่อส่งเสริมให้มีการปลูก
สร้างสวนปา่ เพ่ือการค้าในที่ดินของรฐั และเอกชนใหก้ วา้ งขวางยง่ิ ข้ึน อีกทั้งเพ่ือเป็นการส่งเสริมอาชีพให้ประชาชน
มงี านทาและผลติ ไม้เพ่ือเปน็ สินคา้ ตลอดจนเพิ่มพ้นื ที่ทาไม้ให้มีปริมาณมากข้ึน และเพื่อให้ผู้ที่จะทาการปลูกสร้าง
สวนป่ามีความมั่นใจในสิทธิและโยชน์ที่จะได้รับจากการปลูกสร้างสวนป่า ต่อมาในปี พ.ศ. 2558 มีฉบับแก้ไข
เพ่มิ เติม
พระราชบญั ญตั ิสวนป่า (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2558
ราชกจิ จานุเบกษาเผยแพร่พระราชบัญญตั ิสวนปา่ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2558 มีสาระสาคัญ ดังนี้
คาวา่ ‘สวนป่า’ หมายถึง ทด่ี นิ ได้ขึ้นทะเบียนเพื่อทาการปลูกและบารุงรักษาต้นไม้ตามบัญชีแนบท้าย
โดยเป็นท่ดี นิ ทีม่ โี ฉนดที่ดินหรือหนังสอื รับรองการทาประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายท่ีดิน หรือที่ดินในเขตปฏิรูป
ที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมท่ีมีหลักฐานการอนุญาต การเช่า เช่าซ้ือ การโอนหรือ
การตกทอดทางมรดก อีกท้ังเป็นท่ีดินที่มีหนังสือของทางราชการรับรองว่าท่ีดินดังกล่าวอยู่ในระยะเวลาที่อาจ
ขอรบั โฉนดที่ดนิ หรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ เน่ืองจากได้มีการครอบครอง
และเขา้ ทากนิ ในทด่ี ินดงั กลา่ วตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการจัดรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมหรือตามกฎหมายว่าด้วยการจัด
ที่ดิน เพื่อการครองชีพไว้แล้ว สวนป่า ยังหมายถึง ท่ีดินท่ีมีหนังสืออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ
ให้บุคคลทาประโยชน์และอยู่อาศัย หรือปลูกป่าหรือไม้ยืนต้นภายในเขตปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติ หรือทาการ
บารุงป่า หรือปลูกสร้างสวนป่าหรือไม้ยืนต้นในเขตป่าเส่ือมโทรม หรือท่ีดินท่ีมีใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยป่า
ไม้ให้ทาสวนป่า หรือท่ีดินท่ีได้ดาเนินการเพื่อการปลูกป่าโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอ่ืนของรัฐ
สาหรับบัญชตี ้นไม้แนบท้าย พระราชบัญญัติสวนปา่ ระบุไว้ 58 ชนิด
พระราชบัญญัติสวนป่า ระบุว่า หากพบผู้ทาสวนป่าผู้ใดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการทา
สวนป่าหรือไม่ปฏิบัติตามคาสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งสั่งการตาม พระราชบัญญัติน้ี ให้นายทะเบียนมีอานาจ
ส่งั ให้ผู้ทาสวนป่านั้นปฏิบัติให้ถูกต้องหรือจัดการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาท่ีกาหนด ในกรณีท่ีผู้ทาสวนป่า
ไม่ปฏิบัติหรือจัดการแก้ไขให้ถูกต้องตามคาสั่งของนายทะเบียนภายในระยะเวลาท่ีกาหนดหรือในกร ณีที่ผู้ทาสวน
ป่าได้กระทาการใดท่ีไม่อาจปฏิบัติหรือจัดการแก้ไขให้ถูกต้องได้ มีบทลงโทษ คือ ให้นายทะเบียนมีอานาจสั่งเพิก
ถอนหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนท่ีดินเป็นสวนป่าได้ โดยผู้ทาสวนป่าผู้ใดถูกเพิกถอนหนังสือรับรองการข้ึน
ทะเบียนท่ีดินเป็นสวนป่า ไม่มีสิทธินาที่ดินแปลงน้ันมาย่ืนคาขอข้ึนทะเบียนท่ีดินเป็นสวนป่า เว้นแต่ระยะเวลาได้
142
ล่วงพ้นมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี นับแต่วันที่ถูกเพิกถอนหนังสือรับรองการข้ึนทะเบียนท่ีดินเป็นสวนป่า และ
บทลงโทษในมาตรการทางอาญาไดแ้ ก่
1. กรณีผู้ทาสวนป่าผู้ใดใชส้ ถานทใ่ี ดเพ่อื ทาการแปรรูปไม้ ท่ีได้มาจากการทาสวนป่า โดยไม่ย่ืนคาขอรับ
ใบอนุญาตต่อนายทะเบียน ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหน่ึงปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือท้ังจาท้ังปรับ
(มาตรา 10/1 ประกอบมาตรา 25/1)
2. กรณีผู้ทาสวนป่าผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศของอธิบดีกาหนดการเก็บหา ค้า มี ไว้ใน
ครอบครอง หรือนาเคล่ือนที่ซึ่งของป่า ต้องขอรับใบอนุญาต และกาหนดเงื่อนไข วิธีการเก็บหาของป่าและปริมาณ
การเก็บของป่า ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหน่ึงปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือท้ังจาทั้งปรับ (มาตรา 14/1
วรรคสองประกอบ มาตรา 25/3)
3. กรณีต้องมีหนังสือรับรองและบัญชีแสดงรายการกากับของป่าเพ่ือแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่ง
การค้ามีไวใ้ นครอบครองหรอื นาเคล่อื นทีซ่ ่ึงของปา่ หากผ้ใู ดฝา่ ฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินสาม
เดือน หรือปรับไม่เกินห้าพนั บาท หรือทั้งจาท้งั ปรบั (มาตรา 14/1 วรรคสามประกอบกบั มาตรา 25/4)
4. กรณีที่นายทะเบียนสั่งรับข้ึนทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่าแล้ว ผู้ทาสวนป่าต้องจัดทาบัญชีแสดงชนิด
และจานวนไม้ ที่ทาการปลูกและบารุงรักษาตามระเบียบท่ีอธิบดีกาหนด หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่ง
หมื่นบาท แตถ่ า้ ผูท้ าสวนป่าผใู้ ดจดั ทาบัญชี แสดงชนิดและจานวนไมอ้ ันเป็นเทจ็ ตอ้ งระวางโทษปรับสูงข้ึน คือ ปรับ
ไมเ่ กินสองหมืน่ บาท (มาตรา 6 วรรคสองประกอบมาตรา 22/3)
5. กรณีที่ผู้กระทาความผิดซึ่งต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติน้ี เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทาความผิด
ของนิติบุคคลน้ันเกิดจากการสั่งการ หรือการกระทาของบุคคลใด หรือไม่สั่งการหรือไม่กระทาการอันเป็นหน้าที่ที่
ตอ้ งกระทาของกรรมการผ้จู ัดการ ผู้จดั การ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดาเนินงานของนิติบุคคลน้ันผู้นั้นต้อง
รบั โทษตามทบี่ ญั ญัติไว้สาหรบั ความผิดนนั้ ๆ ด้วย (มาตรา 27)
เอกสารและหลักฐานประกอบการขอขึ้นทะเบียนท่ีดินเป็นสวนป่า ได้แก่ แบบคาขอขึ้นทะเบียนที่ดิน
เป็นสวนป่า สาเนาทะเบียนบ้าน สาเนาบัตรประชาชน หนังสือยินยอมทาประโยชน์ (กรณีเป็นผู้ขออนุญาตใข้
ประโยชนใ์ นทด่ี ิน) สาเนาหลกั ฐานทดี่ นิ ท่แี สดงว่าเป็นผู้มกี รรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองหรือสิทธ์ิใช้ประโยชน์ใน
ทีด่ นิ นั้น และแผนทสี่ ังเขป แสดงทต่ี ้ัง เขตตดิ ต่อและแนวเขตท่ีดินที่ขอข้นึ ทะเบียนเป็นสวนป่า
การข้ึนทะเบียนเป็นประโยชน์ต่อราชการคือ คือ ทาให้ทราบว่า เจ้าของท่ีดิน ชนิด จานวน ต้นไม้ท่ี
ปลูก และช่วงเวลาปลูก เพ่ือรวบรวมข้อมูลไว้เป็นหลักฐานและเพื่อทางราชการจะได้ออกหนังสือรับรองไว้ให้เพื่อ
เป็นหลักฐานในการดาเนินกิจการตามกฎหมาย สาหรับการส่งออกไม้ที่ได้มาจากการทาสวนป่า ต้องมีใบสาคัญ
รบั รองการจดั การปา่ ไม้อยา่ งยง่ั ยนื ตามความต้องการของประเทศปลายทางตามท่ีกฎหมายว่าด้วยสวนป่าบัญญัติ
เพื่อให้หลักการทาสวนป่าและอุตสาหกรรมป่าไม้ของไทยเป็นไปโดยสอดคล้องกับหลักสากล เนื่องจากประเทศ
ไทยเป็นสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีพันธกรณีภายใต้กรอบความร่วมมือ
ด้านปา่ ไม้ของอาเซยี นท่กี าหนดแนวทางปฏิบัติ และแผนงานในการจัดการทรัพยากรป่าไม้อย่างย่ังยืนเพ่ือส่งเสริม
พฤติกรรมการจดั การปา่ ไมท้ ่ดี ีและสนบั สนุนการพฒั นาทรัพยากรปา่ ไม้ท่ีมีประสิทธิภาพ เพ่ือต่อต้านการตัดไม้จาก
ป่าโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
องค์ประกอบสาหรับการขน้ึ ทะเบยี นสวนป่า มีขอ้ พิจารณา 3 ประการ ดงั นี้
143
1. คณุ สมบตั ขิ องผูย้ ่ืนคาขอเพื่อเป็น “ผ้ทู าสวนป่า”ตามพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. 2535 และแก้ไข
เพ่ิมเตมิ มาตรา 3 วรรคหน่ึง “ท่ีดินท่ีได้ขึ้นทะเบียนตามมาตรา 5” ซึ่งมาตรา 5 กาหนดไว้ว่า ผู้มีกรรมสิทธ์ิ สิทธิ
ครอบครอง หรือผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินตามมาตร 4 (ท่ีดิน 6 ประเภท สามารถขึ้นทะเบียนสวนป่าได้) หาก
ประสงค์จะใช้ที่ดินน้ันทาสวนป่าเพ่ือการค้า ให้ย่ืนคาขอขึ้นทะเบียนต่อนายทะเบียน การออกหนังสือรับรองการ
ข้ึนทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่าให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขท่ีกาหนดในกฎกระทรวง และการออก
กฎกระทรวงต้องกาหนดชนิดของพันธ์ุไม้ท่ีเหมาะในการทาสวนป่าในแต่ละพ้ืนท่ีด้วย สาหรับในกรณีที่ผู้ยื่นคาขอ
ขึน้ ทะเบยี นเป็นผ้เู ช่าหรอื ผู้เชา่ ซ้ือท่ีดนิ ทข่ี อข้นึ ทะเบยี นทด่ี ินเป็นสวนปา่ และทดี่ ินดังกล่าวเป็นที่ดินตามมาตร 4 (1)
(ทด่ี นิ ประเภททมี่ โี ฉนดหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ตามประมวลกฎหมายท่ีดิน) ผู้ยื่นคาขอต้องมีหลักฐาน
การเช่าหรือเช่าซื้อที่ดินดังกล่าว พร้อมทั้งหนังสือยินยอมของผู้มีกรรมสิทธ์ิ หรือสิทธิครอบครองในท่ีดินนั้น ท่ี
แสดงว่าอนุญาตให้ทาสวนป่าได้ ดงั นัน้ ผ้ยู ่นื คาขอเพ่อื เป็น “ผู้ทาสวนปา่ ” ต้องมคี ุณสมบัติ ดงั นี้
1.1 เปน็ ผ้มู กี รรมสทิ ธิ์ สิทธิครอบครอง หรือผมู้ สี ทิ ธิใชป้ ระโยชนท์ ่ีดนิ นนั้
1.2 กรณีเป็นผู้เช่า หรือผู้เช่าซ้ือที่ดิน ซ่ึงเป็นที่ดินตามประมวลกฎหมายท่ีเช่า หรือสัญญาเช่าซื้อ
พรอ้ มหนงั สอื ยนิ ยอมของผู้ให้เช่าหรอื ผู้ใหเ้ ชา่ ซ้ือที่แสดงว่าอนญุ าตให้ทาสวนป่าได้
2. ชนิดต้นไม้ที่ขอขึ้นทะเบียนที่ ดินเป็นสวนป่าได้ ตาม พระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับ
ท่ี 2) พ.ศ. 2558 ซ่ึงได้กาหนดชนิดต้นไม้ท่ีสามารถขอขึ้นทะเบียนท่ีดินเป็นสวนป่าได้ไว้แนบท้าย พระราชบัญญัติน้ี
จานวน 58 รายชื่อ เช่น สัก พะยูง ชิงชัน แดง ประดู่ป่า ประดู่บ้าน มะค่าโมง เต็งรัง ตะเคียนทอง ไม้สกุลยา ง
สะเดา มะขามป้อม หว้า จามจุรี กันเกรา เป็นต้น และยังกาหนดให้การปรับปรุงหรือแก้ไขชนิดของต้นไม้ตามบัญชี
ท้ายพระราชบัญญัติสวนป่าน้ี ให้กระทาเป็นพระราชกฤษฎีกา ซ่ึงจะทาให้ฝ่ายบริหารสามารถเพิ่มหรือถอนรายช่ือ
ต้นไม้ได้สะดวกรวดเรว็ ยิง่ ข้นึ
3. ประเภทของทดี่ ินท่สี ามารถนามาขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่า ตามพระราชบัญญัติสวนปา่ พ.ศ. 2535 ซง่ึ
แก้ไขเพ่ิมเตมิ โดย พระราชบัญญัตสิ วนป่า (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2558 กาหนดประเภททด่ี ิน ที่สามารถข้นึ ทะเบียนเปน็
สวนป่าได้ แบ่งเปน็ 6 ประเภท ตามมาตรา 4 (1) - (6) ดังน้ี
3.1 ท่ดี นิ ทม่ี ีโฉนดทดี่ ิน หรือหนังสอื รบั รองการทาประโยชน์ตามประมวลกฎหมายท่ีดิน ท่ีดินประเภทน้ี
คือท่ีดินตามประมวลกฎหมายท่ีดิน หลักฐานเอกสาร ได้แก่ โฉนดที่ดิน 6 แบบ คือ น.ส.4 น.ส.4 ก. ข. ค. ง. จ.
โฉนดแผนที่ โฉนดตราจอง ตราจองที่ตราว่า “ได้ทาประโยชน์แล้ว” และหนังสือรับรองการทาประโยชน์ คือ น.ส.3
น.ส.3 ก. ข. แบบหมายเลข 3
3.2 ที่ดินที่มีหนังสือของทางราชการรับรองว่าท่ีดินดังกล่าว อยู่ในระยะเวลาที่อาจขอรับ โฉนดท่ีดิน
หรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ เนื่องจากได้มีการครอบครองและเข้าทากินใน
ที่ดินดังกล่าวตามกฎหมายว่าด้วยการจัดรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม หรือตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการ
ครองชีพไว้แล้ว ที่ดินประเภทนี้คือที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ.2517 และตาม
พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 หลักฐานเอกสาร ได้แก่ หนังสือรับรองของทางราชการ ตาม
พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หนังสือแสดงการทาประโยชน์ในนิคมสร้างตนเอง แบบ น.ค.3 หรือ
หนังสอื แสดงการทาประโยชน์ในนิคมสหกรณ์ แบบ ก.ส.น.5
144
3.3 ทด่ี นิ ในเขตปฏิรปู ทด่ี นิ ตามกฎหมายวา่ ด้วยการปฏริ ูปที่ดนิ เพอ่ื เกษตรกรรมท่ีมีหลักฐานการอนุญาต
การเช่า เช่าซ้ือ การโอนหรือการตกทอดทางมรดก ที่ดินประเภทนี้คือที่ดินตามพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดินเพ่ือ
เกษตรกรรม พ.ศ. 2518 หลักฐานเอกสาร ได้แก่ หนังสืออนุญาตให้เข้าทาประโยชน์ แบบ ส.ป.ก.4 -01
ส.ป.ก.4-01 ก. ส.ป.ก.4-01 ข. สัญญาเช่า สญั ญาเช่าซื้อ และสัญญาค่าชดเชยทด่ี ิน
3.4 ที่ดินท่ีมีหนังสืออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติให้บุคคลทาประโยชน์และอยู่อาศัย
หรอื ปลกู ป่า หรือไมย้ นื ต้นภายในเขตปรับปรุงปา่ สงวนแหง่ ชาติ หรอื ทาการบารุงป่าหรือปลูกสร้างสวนป่าหรือไม้ยืน
ต้นในเขตป่าเสื่อมโทรม ท่ีดินประเภทนี้คือที่ดินตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และหลักฐาน
เอกสาร ได้แก่ หนังสืออนุญาตตามมาตรา 16 ทวิ (2) แบบ ส.ท.ก. 1 ข. หรือ หนังสืออนุญาตตามมาตรา 20 แบบ
ป.ส. 31
3.5 ทดี่ ินท่มี ใี บอนญุ าตตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ให้ทาสวนป่า (เพิ่มโดย พระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับ
ท่ี 2) พ.ศ.2558 ซง่ึ เปน็ ที่ดินที่มใี บอนญุ าตตาม พระราชบญั ญตั ปิ ่าไม้ พ.ศ. 2484)
กฎหมายกาหนดให้ที่ดินประเภทตามข้อ (3.4) และข้อ (3.5) น้ี ก่อนรับข้ึนทะเบียนท่ีดินเป็นสวนป่า
กฎหมายให้นายทะเบียนสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบและทารายงานเกี่ยวกับสถานท่ีตั้ง สภาพดิน
ชนดิ ขนาด และจานวนของตน้ ไม้ที่มอี ยู่เดมิ ตามธรรมชาติ ตลอดจนรายละเอยี ดของที่ดิน
3.6 ท่ีดินท่ีได้ดาเนินการเพื่อการปลูกป่าโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอ่ืนของรัฐ ท่ีดินนี้
มิได้กาหนดว่าเป็นท่ีดินประเภทใด แต่ต้องเป็นท่ีดินของทบวงการเมือง รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอ่ืนของรัฐซึ่งได้
ดาเนินการอ่ืนเพ่ือการปลูกป่า อาจเป็นป่าที่สาธารณะประโยชน์ ที่ราชพัสดุ ดังน้ันการข้ึนทะเบียนให้ใช้หลักฐาน
โฉนดทดี่ ิน หนังสอื รับรองการทาประโยชน์ หรอื หลกั ฐาน แสดงการมีสิทธใ์ิ ช้ประโยชน์ทด่ี ินนน้ั
อานาจหน้าท่ีของนายทะเบียน
นายทะเบียน (อธิบดีกรมป่าไม้ สาหรับกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัด สาหรับจังหวัดอ่ืน)
นอกจากอานาจหน้าที่ในการรับขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่าตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่าแล้วยังมีอานาจสั่งการ
ตามท่ีกฎหมายบัญญตั ิ เช่น
1. อานาจส่ังให้ผู้ทาสวนป่าปฏิบัติให้ถูกต้องหรือจัดการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาท่ีกาหนด เมื่อ
ปรากฏว่าผทู้ าสวนป่าผ้ใู ดไม่ปฏบิ ัติตามเง่อื นไขในการทาสวนปา่ หรือไมป่ ฏิบตั ิตามคาสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ซ่ึงสั่ง
การตามกฎหมายว่าดว้ ยสวนปา่ บัญญตั ิ
2. อ านาจส่ังเพิกถอน หนังสือรั บรองการขึ้ นทะเบียนท่ีดิ นเป็ นสว นป่าในกรณีที่ ผู้ท า
สวนป่าไม่ปฏิบัติ หรือจัดการแก้ไขให้ถูกต้องตามคาสั่งของนายทะเบียนภายในระยะเวลาท่ีกาหนด หรือในกรณีท่ี
ผู้ทาสวนป่าได้ กระทาการใดท่ไี ม่อาจปฏิบตั หิ รือจัดการแก้ไขใหถ้ ูกต้องได้
สทิ ธิหน้าที่ของผทู้ าสวนป่า
เมอ่ื ผ้ทู าสวนปา่ ไดย้ ่นื คาขอข้นึ ทะเบียนท่ีดินเป็นสวนป่าต่อนายทะเบียนเพื่อปลูกต้นไม้ชนิดที่กาหนดไว้
แนบท้ายพระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2558 และได้รับหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่าแล้ว
ยอ่ มเกิดสทิ ธิหน้าที่ตามกฎหมายวา่ ด้วยสวนปา่
1. หน้าท่ีจัดทาบัญชีแสดงชนิดและจานวนไม้ ท่ีทาการปลูก จัดทาตราประทับไม้ และก่อนตัดโค่นต้อง
แจ้งตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี