The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Steel Reinforcing Bar Handbook TATA by DRMK (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ebook, 2023-08-23 19:44:49

Steel Reinforcing Bar Handbook TATA by DRMK (1)

Steel Reinforcing Bar Handbook TATA by DRMK (1)

RC DETAILING 2 Beam Mongkol JIRAVACHARADET 43 คานรองรับเสา ให้ยื่นเหล็กเสริมในเสาลงมาจนถึงเหล็กเสริมล่างของคาน โดยจัดให้มีเหล็กปลอกอย่างหนาแน่น เพื่อให้มีการโอบอุ้มอย่างเพียงพอที่จะส่งผ่านแรงไปยังส่วนบนของคาน ถ้าน้้าหนักบรรทุกมีขนาด ใหญ่อาจใช้เหล็กรูปคอม้าเข้ามาช่วยเสริมดังในรูป รูปที่ 2.46 การเสริมเหล็กในคานรองรับเสา การเสริมเหล็กคานเซาะร่อง ในคานที่มีการเซาะร่องบริเวณกลางช่วงดังแสดงในรูปทางด้านซ้าย เหล็กเสริมจะถูกดัดไปตามขอบ ร่องซึ่งไม่เหมาะสม เนื่องจากต้องการให้เหล็กเสริมรับแรงทางตรง ซึ่งอาจท้าให้เกิดการแตกร้าวได้ ดังนั้นจึงควรแยกเหล็กเสริมเป็นคนละเส้นดังในรูปทางขวาของรูปที่ 2.47 รูปที่ 2.47 การเสริมเหล็กในคานเซาะร่อง s/2 5 . s


RC DETAILING 2 Beam Mongkol JIRAVACHARADET 44 คานลึก องค์อาคารรับการดัดจะถูกออกแบบเป็นคานลึกเมื่อมีอัตราส่วนความลึกต่อความหนามากจนท้าให้ น้้าหนักบรรทุกถูกถ่ายเทผ่านลงสู่จุดรองรับผ่านแท่งรับแรงอัด ACI ก้าหนดว่าคานลึกคือองค์อาคารที่ รับน้้าหนักบนหน้าหนึ่งและจุดรองรับอยู่ด้านตรงข้าม และ (ก) อัตราส่วนของระยะช่วงคาน Ln (วัด ระหว่างผิวจุดรองรับ ดูรูปที่ 2.48(ก)) ต่อความลึก h มีค่าน้อยกว่า 4 หรือ (ข) บริเวณที่รับน้้าหนัก กระท้าเป็นจุดภายในระยะสองเท่าความลึกคานวัดจากผิวจุดรองรับ (รูปที่ 2.48(ข)) (ก) คานลึกเมื่อ Ln/h 4 (ข) คานลึกเมื่อ x 2h รูปที่ 2.48 เงื่อนไขการพิจารณาคานลึก ส้าหรับคานลึกจะต้องพิจารณาการกระจายหน่วยแรงแบบไม่เป็นเส้นตรงและการโก่งเดาะ ด้านข้างดังแสดงในรูปที่ 2.49 โดยในรูปที่ 2.49(ก) แสดงการกระจายหน่วยแรงอิลาสติกที่กึ่งกลาง ช่วงของคานลึก และรูปที่ 2.49(ข) แสดงเส้นทางหน่วยแรงหลักของคานลึกที่รับน้้าหนักเป็นจุดที่ท้าที่ กลางช่วงด้านบน เมื่อน้้าหนักบรรทุกเพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่ง รอยร้าวดิ่งเอียงจะปรากฎขึ้นโดยมีทิศทางตั้ง ฉากกับหน่วยแรงดึงหลักดังในรูปที่ 2.49(ค) ดังนั้นจึงจ้าเป็นต้องมีทั้งเหล็กเสริมในแนวนอนและแนวดิ่งเพื่อต้านทานหน่วยแรงจากน้้าหนัก บรรทุก นอกจากนั้นยังต้องมีเหล็กเสริมรับแรงดึงจากการดัดในส่วนล่างหนึ่งในห้าของความลึกหน้า h Ln h P x


RC DETAILING 2 Beam Mongkol JIRAVACHARADET 45 ตัดเพื่อต้านทานหน่วยแรงดัด (รูปที่ 2.49(ข)) โดยทั่วไปแล้วการวิเคราะห์คานลึกมีความซับซ้อนและ อาจใช้โมเดลโครงถักหรือไฟไนต์อิลิเมนต์เพื่อความแม่นย้าที่มากกว่า (ก) การกระจายหน่วยแรง (ข) เส้นทางหน่วยแรง (ค) รูปแบบการแตกร้าว (ง) โมเดลโครงถักส้าหรับแรงกระท้าเป็นจุด รูปที่2.49 การกระจายหน่วยแรงและการแตกร้าว ส้าหรับคานลึก ACI แนะน้าให้วางเหล็กเสริมบริเวณผิวแนวดิ่งของโซนแรงดึงดังแสดงในรูปที่ 2.50 เพื่อต้านทานการแตกร้าวของคานซึ่งอาจมีความกว้างมากเกินไปที่ระดับของเหล็กเสริมรับแรง ดึง ขนาดของเหล็กเสริมที่ผิวไม่ได้มีก้าหนดไว้ ผลการวิจัยระบุว่าระยะห่างมีความส้าคัญกว่าขนาด เหล็กเสริม โดยปกติแล้วจะใช้เหล็กขนาด 9 ม.ม. ถึง 16 ม.ม. หรือตะแกรงลวด โดยมีพื้นที่เหล็ก เสริมอย่างน้อยที่สุด 2.15 ซม.2 ต่อความลึก 1 เมตร c C T y Stress distribution bw Section A-A c 0.75h y (0.6 – 0.8)h Ln y w A A Ln P Struts Ln w


RC DETAILING 2 Beam Mongkol JIRAVACHARADET 46 รูปที่2.50 การเสริมเหล็กแนวดิ่งด้านข้างในคานที่มีความลึกมากกว่าปกติ การเสริมเหล็กในคานลึกทั้งแบบดั้งเดิมหรือใช้วิธี Strut-and-Tie Model จะมีการใช้ทั้งเหล็ก เสริมหลักในการรับแรงดึง และเหล็กเสริมรับแรงเฉือนและป้องกันการแตกร้าวของท่อนคอนกรีตรับ แรงอัดซึ่งจะเสริมทั้งแนวดิ่งและแนวนอนตามระยะห่างที่ก้าหนดเป็นตะแกรงที่ผิวทั้งสองด้านของ คานดังแสดงในรูปที่ 2.51 รูปที่2.51 การเสริมเหล็กแนวดิ่งด้านข้างในคานที่มีความลึกมากกว่าปกติ h เหล็กเสริมล่าง รับโมเมนต์บวก h/2 s s s s เหล็กเสริมด้านข้าง h เหล็กเสริมบน รับโมเมนต์ลบ h/2 s s s s 10.8 m 3.6 m 3.6 m 3.6 m 60 60 cm column 17-DB36 with 90o hooks in 5 layers 60 60 cm column [email protected] m # each face 3.6 m 0.6 m


RC DETAILING 2 Beam Mongkol JIRAVACHARADET 47 ช่องเปิดในคาน ในอาคารขนาดใหญ่จะมีการเดินท่องานระบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นระบบสุขาภิบาล ระบบปรับอากาศ ระบบไฟฟ้า และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยหลักการแล้วระบบท่อเหล่านี้จะวิ่งผ่านใต้ท้องคาน ท้าให้เสียช่องว่างความสูงในแต่ละชั้นไป อีกทางเลือกหนึ่งคือการวางแนวท่อเจาะผ่านช่องเปิดคานดัง ในรูปข้างล่าง ซึ่งในอาคารสูงที่มีจ้านวนชั้นมากจะช่วยประหยัดความสูงและค่าก่อสร้างอาคาร รูปที่ 2.52 การเดินท่อผ่านช่องเปิดในคาน ช่องเปิดในคานอาจมีได้หลายขนาดและรูปร่าง แบ่งออกเป็น วงกลม, สี่เหลี่ยม, ข้าวหลามตัด, สามเหลี่ยม, สี่เหลี่ยมคางหมู และรูปร่างไม่ปกติ ดังแสดงในรูปข้างล่าง โดยรูปวงกลมและสี่เหลี่ยมจะ มีการใช้งานมากที่สุด ช่องวงกลมใช้ในงานเดินท่อน้้าหรือท่อร้อยสายไฟ ส่วนระบบปรับอากาศมักให้ ท่อสี่เหลี่ยม บางครั้งจะลบมุมให้กลมมนเพื่อลดหน่วยแรงที่อาจกระจุกตัวที่มุมแหลม ซึ่งจะช่วยลด โอกาสที่จะเกิดการแตกร้าวในคาน รูปที่ 2.53 ช่องเปิดในคานรูปร่างต่างๆ ช่องเปิดวงกลมจึงดีกว่าช่องเปิดรูปเหลี่ยมเนื่องจากไม่มีการกระจุกตัวของหน่วยแรงที่มุมซึ่งจะ ท้าให้เกิดการแตกร้าว ในกรณีที่ช่องเปิดมีขนาดเล็กที่มีขนาดไม่เกิน 25% ของความลึกคาน อาจถือ ได้ว่าไม่มีผลต่อก้าลังของคาน การวิเคราะห์และออกแบบจะเหมือนกับในกรณีที่ไม่มีช่องเปิด แต่ต้อง เสริมเหล็กพิเศษเพื่อช่วยต้านทานการแตกร้าวจากการกระจุกตัวของหน่วยแรง


RC DETAILING 2 Beam Mongkol JIRAVACHARADET 48 h d d d 0.25h รูปที่ 2.54 ช่องเปิดขนาดเล็ก เหล็กเสริมพิเศษโดยรอบช่องเปิดเป็นสิ่งที่จ้าเป็นเพื่อควบคุมการแตกร้าวขณะรับน้้าหนัก บรรทุกใช้งาน และช่วยลดการแอ่นตัวของคาน โดยทั่วไปจะใช้เหล็กเสริมทแยงและเหล็กปลอกใน แนวดิ่งควบคู่กันซึ่งนอกจากจะช่วยลดการแตกร้าวแล้ว ยังช่วยเพิ่มก้าลังของคานอีกด้วย h h/2 h/2 h/2 , P , w A A h/2 bc Section A-A bc = รูปที่ 2.55 ต้าแหน่งของช่องเปิดในคาน ข้อแนะน าทั่วไปในการเลือกขนาดและต าแหน่งของช่องเปิดในคาน: 1. ส าหรับคานตัวทีช่องเปิดจะอยู่ใต้ปีกคานพื้นที่เหนือหรือใต้ช่องเปิด ส่วนในคานสี่เหลี่ยม มักจะวางช่องเปิดที่กลางความลึกหน้าตัด แต่ก็อาจวางเยื้องขึ้นลงได้ แต่ต้องมีเนื้อที่เหลือ เพียงพอเพื่อรับแรงอัดจากการดัด และมีความลึกเพียงพอให้มีการเสริมเหล็กรับแรงเฉือน 2. ช่องเปิดอยู่ห่างจากจุดรองรับ น้ าหนักกระท าเป็นจุด และช่องเปิดข้างเคียงอย่างน้อย h/2 เมื่อ h คือความลึกคาน เพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่วิกฤตต่อการวิบัติโดยการเฉือน และ ความแออัดของเหล็กเสริม 3. ความลึกของช่องเปิดควรจะไม่เกิน h/2 4. ปัจจัยที่จ ากัดความยาวช่องเปิดคือเสถียรภาพของท่อนคอร์ดรับแรงอัดและการแอ่นตัว ของคาน แทนที่จะท าช่องเปิดขนาดใหญ่อาจท าเป็นช่องเปิดขนาดเล็กหลายช่อง 5. เมื่อใช้ช่องเปิดหลายช่อง ระยะห่างของแต่ละช่องเปิดไม่ควรจะน้อยกว่า h/2


RC DETAILING 2 Beam Mongkol JIRAVACHARADET 49 ช่องเปิดวงกลม คานที่มีช่องเปิดกลมขนาดเล็กอยู่ภายใต้การดัดและการเฉือนสามารถออกแบบตามมาตรฐานโดยการ ลดก าลังเฉือนคอนกรีตลงเนื่องจากช่องเปิดโดยพิจารณารูปแบบการวิบัติสองรูปแบบดังในรูปที่ 2.56 รูปที่ 2.56 รูปแบบการวิบัติของช่องเปิดวงกลม เพื่อควบคุมการแตกร้าว ควรจะมีเหล็กเสริมทแยงที่มีก าลังเพียงพอที่จะรับอย่างน้อย 50% ของแรงเฉือนที่มากระท า hb ht d0 b Frame-type failure Beam-type failure รูปที่ 2.57 รายละเอียดการเสริมเหล็กช่องเปิดวงกลม รูปที่ 2.58 รายละเอียดการเสริมเหล็กช่องเปิดสี่เหลี่ยม V M Failure crack (ก) Beam-type failure V M Failure crack (ข) Frame-type failure A A Section A-A


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 51 พื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นคือองค์อาคารที่มีลักษณะเป็นแผ่นในแนวราบมีหน้าที่รับน้้าหนักบรรทุกจรจากการใช้งานอาคาร และน้้าหนักบรรทุกคงที่ของตัวพื้นเองและวัสดุปูทับผิวหน้า จากแบบแปลนในแต่ละชั้นจะแสดงพื้น พร้อมระบุหมายเลขก้ากับได้แก่ S1, S2,… คือพื้นหล่อในที่ทางเดียวหรือสองทาง, SP หรือ PS คือพื้น ส้าเร็จรูป (Precasted Slab) และ GS คือพื้นบนดิน รูปที่3.1 แบบแปลนอาคาร พื้นทางเดียว (One-way Slab) S1 คือพื้นที่มีด้านยาว (L) เกินสองเท่าของด้านสั้น (S) พฤติกรรมการรับน้้าหนักเป็นไปในทิศทางเดียวคือ ด้านสั้น ดังนั้นจึงมีลักษณะเช่นเดียวกับคาน จุดรองรับของพื้นที่ขอบทั้งสองข้างของด้านสั้น การเสริม เหล็กในพื้นมีทั้งสองทิศทางเป็นตะแกรงเพื่อต้านทานการแตกร้าว เสริมเหล็กล่างเพื่อรับโมเมนต์บวก บริเวณกลางช่วง และเสริมเหล็กบนเพื่อรับโมเมนต์ลบที่บริเวณจุดรองรับ S1 PS PS S2


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 52 รูปที่3.2 พื้นทางเดียวรับน้้าหนักบรรทุก การเขียนสัญลักษณ์พื้นทางสั้นจะเขียนชื่อพื้น S1, S2,… ภายในวงกลม และเขียนลูกศรทาง เดียวขนานกับทิศทางสั้น (S) ซึ่งเป็นทิศทางในการรับน้้าหนักบรรทุก รูปที่3.3 พื้นทางเดียวรับน้้าหนักบรรทุก แบบรายละเอียดของพื้นทางสั้นมักเขียนเฉพาะรูปตัดด้านข้างของพื้นในทิศทางสั้น โดยมีเหล็ก เสริมทางสั้นซึ่งเป็นทิศทางหลักเขียนเป็นเส้นแสดงเหล็กล่างและเหล็กบนเช่นเดียวกับในคาน และ เขียนเหล็กเสริมในทิศทางยาวเป็นจุดเพื่อกันการแตกร้าวและช่วยยึดเหล็กทางสั้นเป็นตะแกรง รูปที่3.4 แบบรูปตัดพื้นทางเดียวตามทิศทางด้านสั้น t S L Simple supports on two long edges only S1 S = L = > 2S S t


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 53 การเสริมเหล็กในพื้นแบบแยกเป็นตะแกรงเหล็กชั้นบนและชั้นล่าง เพื่อให้เหล็กเสริมอยู่ใน ต้าแหน่งที่ต้องการในขณะที่เทคอนกรีต ส้าหรับเหล็กล่างจะใช้ลูกปูนหนุน และจะใช้เหล็กตีนกาช่วย ในการรองรับเหล็กชั้นบน รูปที่3.5 เหล็กตีนการองรับเหล็กเสริมชั้นบน การเสริมเหล็กอีกแบบหนึ่งเรียกว่าแบบ “คอม้าเส้นเว้นเส้น” โดยจะดัดเหล็กล่างเป็นคอม้า ขึ้นมาเป็นเหล็กบนเส้นเว้นเส้นเพื่อเป็นการรองรับเหล็กชั้นบนและช่วยลดเหล็กเสริมที่ใช้ไปในตัว จากนั้นเสริมเหล็กบนพิเศษในต้าแหน่งของเหล็กล่างที่ไม่ถูกดัดขึ้นมา วิธีการนี้จะได้ปริมาณเหล็ก เสริมบนที่ปลายช่วงและเหล็กล่างที่กลางช่วงเท่ากัน เช่นในตัวอย่างข้างล่าง ปริมาณเหล็กเสริมคือ RB9 @ 0.10 ม. (As = 6.36 ซม.2 /ความยาว 1 ม.) รูปที่3.6 การเสริมเหล็กคอม้าเส้นเว้นเส้นในพื้นทางเดียว RB9 @ 0.10 ค.ม. เส้นเว้นเส้น RB9 @ 0.20 เสริมพิเศษ RB9 @ 0.10 ค.ม. เส้นเว้นเส้น RB9 @ 0.20 เสริมพิเศษ


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 54 รูปที่3.7 ตัวอย่างรายละเอียดการเสริมเหล็กคอม้าเส้นเว้นเส้นในพื้นทางเดียว พื้นสองทาง (Two-way Slab) S2 ส้าหรับพื้นที่มีด้านยาว (L) ไม่เกินสองเท่าของด้านสั้น (S) พฤติกรรมการรับน้้าหนักเป็นไปใน สองทิศทาง ตัวอย่างเช่นพื้น S2 ในรูปที่ 4.1 สัญลักษณ์ที่เขียนจะเป็นลูกศรสองทิศทาง รูปที่3.8 พื้นสองทางรับน้้าหนักบรรทุก การเสริมเหล็กเพื่อรับน้้าหนักจึงจ้าเป็นต้องมีทั้งสองทิศทางเป็นตะแกรงเหล็กชั้นล่างโดยเหล็ก ทิศทางสั้นจะอยู่ล่างเพื่อให้มีความลึกมากกว่าเนื่องจากต้องรับโมเมนต์ดัดมากว่า เหล็กในทิศทางสั้น จะแสดงเป็นจุดและเส้นสลับกันในแต่ละทิศทางหน้าตัด รูปที่3.9 เหล็กเสริมชั้นล่างในพื้นสองทาง RB9 @ 0.20 ม. เหลก็เสรมิกนัรา้ว RB9 @ 0.08 ม.คอมา้เสน้เวน้เสน้ RB9 @ 0.16 ม. เสรมิพเิศษ RB9 @ 0.08 ม. คอมา้เสน้เวน้เสน้ + เสรมิพเิศษ 12 ซม. 0.95 ม. 1.25 ม. 3.7 ม. 0.55 ม. 0.95 ม. RB9 @ 0.20 RB9 @ 0.20 ม. เหลก็เสรมิกนัรา้ว RB9 @ 0.08 ม.คอมา้เสน้เวน้เสน้ RB9 @ 0.16 ม. เสรมิพเิศษ RB9 @ 0.16 ม. เสรมิพเิศษ RB9 @ 0.08 ม. คอมา้เสน้เวน้เสน้ + เสรมิพเิศษ RB9 @ 0.08 ม. คอมา้เสน้เวน้เสน้ + เสรมิพเิศษ 12 ซม. 0.95 ม. 1.25 ม. 3.7 ม. 0.55 ม. 0.95 ม. t S L Simple supports on all four edges t S L Simple supports on all four edges (L) (S) (S) (L) S2


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 55 ส่วนเหล็กชั้นบนในแต่ละทิศทางนั้นสามารถเลือกแบบแยกอิสระจากชั้นล่าง หรือแบบคอม้า เส้นเว้นเส้นเช่นเดียวกับในพื้นทางเดียว รูปที่3.10 รูปแบบการเสริมเหล็กในพื้นสองทาง รูปที่3.11 ตัวอย่างการเสริมเหล็กในพื้นสองทาง Sn Sn / 7 Sn / 4 Sn / 4 Sn / 3 รูปตัดด้านสั้น Ln Ln / 7 Ln / 4 Ln / 4 Ln / 3 รูปตัดด้านยาว Sn Sn / 7 Sn / 4 Sn / 4 Sn / 3 รูปตัดด้านสั้น Ln Ln / 7 Ln / 4 Ln / 4 Ln / 3 รูปตัดด้านยาว 0.50 0.10 0.20 4.80 0.20 [email protected] คอมา้เสน้เวน้เสน้ [email protected] เสริมพเิศษ [email protected] เสริมพเิศษ พ้ืนดา้นยาว 0.70 1.20 1.20 1.60 0.50 0.10 0.20 3.80 0.20 [email protected] คอมา้เสน้เวน้เสน้ [email protected] เสริมพเิศษ [email protected] เสริมพเิศษ พ้ืนดา้นสน้ั 0.95 1.30 0.55 0.95 0.50 0.10 0.20 4.80 0.20 [email protected] คอมา้เสน้เวน้เสน้ [email protected] เสริมพเิศษ [email protected] เสริมพเิศษ พ้ืนดา้นยาว 0.70 1.20 1.20 1.60 0.50 0.10 0.20 4.80 0.20 [email protected] คอมา้เสน้เวน้เสน้ [email protected] เสริมพเิศษ [email protected] เสริมพเิศษ พ้ืนดา้นยาว 0.70 1.20 1.20 1.60 0.50 0.10 0.20 3.80 0.20 [email protected] คอมา้เสน้เวน้เสน้ [email protected] เสริมพเิศษ [email protected] เสริมพเิศษ พ้ืนดา้นสน้ั 0.95 1.30 0.55 0.95 0.50 0.10 0.20 3.80 0.20 [email protected] คอมา้เสน้เวน้เสน้ [email protected] เสริมพเิศษ [email protected] เสริมพเิศษ พ้ืนดา้นสน้ั 0.95 1.30 0.55 0.95


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 56 พื้นส าเร็จรูป (Precasted Slab) SP หรือ PS พื้นส้าเร็จรูปใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันส้าหรับพื้นภายในอาคารทั่วไป เนื่องจากมีความสะดวก รวดเร็วในการก่อสร้าง โดยพื้นส้าเร็จรูปซึ่งถูกหล่อเป็นแผ่นคอนกรีตอัดแรงมาจากโรงผลิตจะมีหน้า ตัดสี่เหลี่ยมตัน (Solid Plank) กว้าง 30-35 ซม. หนา 5 ซม. และจ้านวนลวดอัดแรงตามการ ออกแบบ จะใช้ส้าหรับงานขนาดเล็ก และหน้าตัดกลวง (Hollow Core) กว้าง 60 ซม. หนา 10-15 ซม. จะใช้ส้าหรับงานขนาดใหญ่ รูปที่3.12 หน้าตัดแผ่นพื้นคอนกรีตส้าเร็จรูป เมื่อขนส่งมาถึงสถานที่ก่อสร้างแผ่นพื้นจะถูกยกขึ้นวางพาดระหว่างคานรองรับ จากนั้นปู ตะแกรงเหล็กแล้วเทคอนกรีตทับหน้า รูปที่3.13 การยกวางแผ่นพื้นคอนกรีตส้าเร็จรูป พื้นส้าเร็จรูปมีการรับน้้าหนักในหนึ่งทิศทางตามการยกวางพาดของพื้น จึงใช้เขียนลูกศร ทิศทางเดียวเช่นเดียวกับพื้นทางเดียว ลูกศรจะชี้ขนานกับการวางพื้น ตะแกรงที่วางทับหน้าอาจเป็น เหล็ก RB6 (6 ม.ม.) ดังในรูปข้างล่าง หรือตะแกรงลวดเหล็ก (Wire Mesh) ขนาด 4 ม.ม. รูปที่3.14 แบบรายละเอียดพื้นคอนกรีตส้าเร็จรูป Solid Plank Hollow Core PS PS 0.50 0.25 0.05 RB9 @ 0.40 m RB6 @ 0.20 m 5 . 0.05 0.05 Ln


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 57 เนื่องจากพื้นส้าเร็จรูปถ่ายน้้าหนักบรรทุกในทิศทางเดียวไปยังคานที่รองรับทั้งสองข้าง การจัด วางพื้นส้าเร็จรูปจึงมักวางสลับทิศทางในแต่ละช่องเพื่อกระจายน้้าหนักบรรทุกไปยังคานทั้ง สองทิศทาง ดังในรูปข้างล่าง รูปที่3.15 แบบแปลนพื้นคอนกรีตส้าเร็จรูป รูปที่3.15 แบบรายละเอียดรอยต่อระหว่างแผ่นพื้นส้าเร็จรูป 1 2 3 RC BEAM RB9 @ 0.20 m 0.30 m พ น HOLLOW CORE T 0.05 RB9 @ 0.20 m # 0.05 0.05 L/10 L/10 RB9 @ 0.20 m SECTION 1 1


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 58 รูปที่3.16 แบบรายละเอียดรอยต่อปลายพื้นส้าเร็จรูป รูปที่3.17 แบบรายละเอียดรอยต่อด้านข้างพื้นส้าเร็จรูป เพื่อป้องกันการแตกร้าวที่ปลายพื้นเนื่องจากการแอ่นตัวให้ใส่เหล็กเสริมบนเป็นระยะ L/10 เมื่อ L คือระยะช่วงความยาวพื้น ในกรณีที่เป็นพื้นช่วงริมให้ฝังยึดเหล็กกับคานที่รองรับ ในบางกรณี เพื่อลดความลึกของระบบพื้นอาจใช้การบากคานเป็นรูปตัว L ดังในรูปข้างล่าง RC BEAM พ น HOLLOW CORE T 0.05 RB9 @ 0.20 m # L/10 RB9 @ 0.20 m # 0.10 m รูปที่3.18 คานรูปตัว L รับพื้นส้าเร็จรูป RC BEAM RB9 @ 0.20 m 0.30 m พ น HOLLOW CORE T 0.05 RB9 @ 0.20 m # 0.05 L/10 SECTION 2 2 RC BEAM 0.30 m พ น HOLLOW CORE T 0.05 RB9 @ 0.20 m # SECTION 3 3 RB9 @ 0.20 m # RB9 @ 0.20 m #


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 59 ช่องเปิดในพื้น (Slab Openings) ช่องเปิดในพื้นโดยไม่มีคานจะเกิดหน่วยแรงสูงที่มุมช่องเปิด จึงต้องเสริมเหล็กทแยงมุมที่มุมพื้นทั้งผิว บนและล่างดังในรูป เ ิ น เ ว 0.60 X0.60 m DB12x0.70m. @ 0.05m. (T&B) นพ น คส . ถ้าไม่ระบุในแบบ ทุกช่องเปิดในแผ่นพื้น หรือผนัง คสล. ที่มีขนาดเล็กกว่า 0.60 ม. ให้เสริมเหล็กพิเศษทแยงที่ทุกมุม ขนาด 2-DB12x0.70m. @ 0.05 m. (T&B) รูปที่ 3.19 เหล็กเสริมพิเศษที่มุมช่องเปิด ขนาดเล็ก ถ้าไม่มีระบุในแบบ ทุกช่องเปิดในแผ่นพื้น หรือผนัง คสล. ที่มีขนาดตั้งแต่ 0.60 ม. ขึ้นไปให้ เสริมเหล็กตามรูปข้างล่าง (ในกรณีที่มีการเจาะผนังเพิ่มเติม นอกเหนือจากการเจาะที่ระบุไว้ในแบบ โครงสร้าง จะต้องเสริมเหล็กรอบช่องเปิดให้สามารถรับน้้าหนักได้เท่ากับเนื้อคอนกรีตที่หายไป เช่น การเจาะฝังท่อแอร์ และอื่นๆ) มาตรฐาน ว.ส.ท. ระบุว่าสามารถท้าช่องเปิดได้โดยไม่มีผลต่อก้าลังของแผ่นพื้นเมื่อ 1) ช่องเปิดอยู่ในเนื้อที่ร่วมของสองแถบกลางที่ตัดกัน โดยใช้เหล็กเสริมเท่ากับในพื้นไม่มีช่องเปิด 2) ในพื้นที่ร่วมของสองแถบกลางที่ตัดกัน เปิดช่องกว้างได้ไม่เกิน 1/8 ของความกว้างแถบเสาด้าน นั้นๆ 3) ในเนื้อที่ร่วมที่เกิดจากแถบเสาหนึ่งแถบและแถบกลางหนึ่งแถบ สามารถเปิดช่องได้ โดยเหล็ก เสริมที่ขาดหายไปในแต่ละทิศทางต้องไม่เกิน 1/4 ของเหล็กเสริมในแถบนั้นๆ ปริมาณเหล็ก เสริมที่หายไปให้เสริมเพิ่มไว้ที่ด้านข้างของช่องเปิดในแต่ละทิศทาง ตัวอย่าง ถ้าเหล็กเสริมล่างรับโมเมนต์บวกกลางแผ่นพื้นที่ใช้คือ DB12 @ 0.15 m # (As = 1.13 cm2 ) แล้วต้องการเจาะช่อง เปิดขนาด 0.80x0.80 เมตร จ้านวนเหล็กเส้นที่หายไป = 80/15 = 5.33 เส้น พื้นที่เหล็กที่หายไป = 1.13x5.33 = 6.02 ซม.2 ต้องเสริมเหล็กทดแทนทั้งสองข้าง = 6.02/2 = 3.01 ซม.2 ดังนั้นเสริมเหล็ก 2-DB16 (As = 4.02 ซม.2 ) ทั้งสองข้าง


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 60 0.80 m 0.80 m 0.80 m เ ิ น ว 0.60 X 0.60 m นพ น คส . 2-DB16mm. @ 0.10m. (T&B) 2-DB16mm. @ 0.10m. (T&B) 2-DB12x1.0m. @ 0.5m. (T&B) ม ม 2-DB16mm. @ 0.10m. (T&B) รูปที่ 3.20 เหล็กเสริมพิเศษโดยรอบช่องเปิดขนาดใหญ่ ช่องเปิดขนาดเล็กในพื้นส าเร็จรูป: ช่องเปิดกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 150 ม.ม. หรือช่องเปิดสี่เหลี่ยม ขนาดความกว้างไม่เกิด 150 ม.ม. สามารถกระท้าได้ตรงบริเวณรูกลวงและไม่ควรมีช่องเปิดมากกว่า 3 ช่อง ในหน้าตัดแผ่นพื้นเดียวกัน PLAN SECTION t รูปที่ 3.21 ช่องเปิดขนาดเล็กในพื้นคอนกรีตส้าเร็จรูป


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 61 ช่องเปิดขนาดใหญ่ในพื้นส าเร็จรูป: ช่องเปิดชนิดเต็มความกว้างแผ่นพื้นส้าเร็จ สามารถท้าได้โดย การใช้เหล็กฉากมารองรับน้้าหนักบรรทุกจากปลายแผ่นพื้นที่ถูกตัดไปยังแผ่นข้างเคียง เ ิ น ( ) เ ร ร นพ นส เร เ ว พ น นพ นส เร ้ น ้ เ ร ร รูปที่ 3.22 ช่องเปิดขนาดใหญ่ในพื้นคอนกรีตส้าเร็จรูป การเสริมเหล็กบริเวณมุมพื้น ระบบแกนอ้างอิงของพื้นเป็นดังแสดงในรูปที่ 3.23 โดยแกน X และ Y จะอยู่ในระนาบของพื้นเสมอ และแกน Z จะมีทิศทางตั้งฉากกับระนาบพื้น โมเมนต์บิด Mxx จะท้าให้เกิดการหมุนรอบแกน X และ Myy จะท้าเกิดการหมุนรอบแกน Y โดยค่าโมเมนต์บิดเหล่านี้จะมีค่าสูงบริเวณมุมของพื้น ถ้าก้าลัง ต้านทานของพื้นไม่เพียงพอจะท้าให้เกิดรอยแตกร้าวที่ผิวบนและล่างของพื้นดังในรูปที่ 3.24


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 62 รูปที่ 3.23 ระบบแกนอ้างอิงและทิศทางโมเมนต์บิดในพื้น (ก) ผิวด้านบน (ข) ทางเลือกที่สอง รูปที่ 3.24 รูปแบบรอยร้าวที่มุมพื้น การเสริมเหล็กเพิ่มพิเศษที่พื้นบริเวณมุมอาคารท้าเพื่อต้านทานการแตกร้าวจากการบิดตัวของ พื้น โดยจะเสริมเหล็กเสริมล่างและเหล็กเสริมบนทแยงมุมตั้งฉากกันเป็นระยะ 1/5 ของด้านยาว โดย ระยะห่างระหว่างเหล็กเสริมให้ใช้เท่ากับเหล็กล่างกลางพื้นด้านที่มีระยะห่างน้อยกว่า (ก) ทางเลือกที่หนึ่ง (ข) ทางเลือกที่สอง L คือระยะช่องว่างระหว่างจุดรองรับของช่วงคานที่ยาวกว่า รูปที่ 3.25 เหล็กเสริมพิเศษที่มุมอาคาร Z X Y Mxx Myy L/5 L/5 As both ways, top and bottom L/5 L/5


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 63 ตามมาตรฐาน ACI318-14 ก้าหนดให้พิจารณาการบิดที่มุมพื้นเมื่อคานที่ขอบพื้นมีค่า f ซึ่ง เป็นอัตราส่วนสติฟเนสการดัดของคานต่อสติฟเนสการดัดของพื้นมากกว่า 1.0 โดยให้ออกแบบโดย ใช้ค่าโมเมนต์บวกมากที่สุดต่อความกว้างพื้น ดังนั้นปริมาณเหล็กเหล็กเสริม As ดังในรูปจึงมีค่า เท่ากับปริมาณเหล็กเสริมรับโมเมนต์บวกมากที่สุดต่อความกว้างพื้น พื้นบนดิน (Slab on Ground) SG หรือ GS พื้นคอนกรีตซึ่งใช้พื้นดินเป็นที่รองรับท้าบนพื้นที่มีสภาพดินแข็งแรงเพียงพอในการรับน้้าหนัก โดย ปรับพื้นดินให้ได้ระดับ บดอัดดินให้แน่นแล้วปรับระดับด้วยทรายหยาบและคอนกรีตหยาบ คอนกรีต จะต้องมีก้าลังและโมดูลัสยืดหยุ่นเพียงพอที่จะแผ่กระจายถ่ายน้้าหนักบรรทุกลงสู่พื้นดิน รูปที่3.26 พื้นวางบนดิน พื้นคอนกรีตโดยทั่วไปจะหนา 15-30 ซม. ท้าหน้าที่ถ่ายน้้าหนักบรรทุกบนพื้นลงสู่ดินที่รองรับ ด้านล่าง ในบ้านพักอาศัยขนาดเล็กอาจใช้พื้นคอนกรีตถ่ายน้้าหนักลงสู่พื้นดินโดยตรงได้ ถ้าพื้นดินมี ก้าลังแบกทานไม่น้อยกว่า 5 ตัน/ตรม. รูปที่3.27 พื้นถ่ายน้้าหนักบรรทุกลงสู่ดิน SLAB GROUND Applied floor and roof loads Slab transmits loads to soil


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 64 การก้าหนดระยะรอยต่อและรายละเอียดจุดต่อที่เหมาะสม จะช่วยป้องกันการแตกร้าวจาก การหดตัว (Shrinkage) และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ รูปที่3.28 รอยต่อในพื้นวางบนดิน การควบคุมการแตกร้าวจากการหดตัวท้าให้โดยการเสริมเหล็กและการก้าหนดระยะรอยต่อที่ เหมาะสม รูปที่ 3.29 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความหนาพื้นและระยะห่างรอยต่อเพื่อการควบคุม การหดตัวที่มีประสิทธิภาพ พื้นที่แรเงาแสดงขอบเขตที่เหมาะสมในการใช้เหล็กเสริมและระยะ รอยต่อในการควบคุมการหดตัว รูปที่3.29 ความสัมพันธ์ระหว่างระยะห่างรอยต่อและความหนาพื้นวางบนดิน Joint spacing Joint spacing Shrinkage & Temp. change in concrete slab Range of maximum spacing 0 5 10 15 20 25 Slab thickness, cm 0 3 6 9 Maximum joint spacing, meters


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 65 ระยะห่างระหว่างรอยต่ออาจค้านวณได้จากสูตรประมาณอย่างง่ายคือ 30 เท่าของความหนา พื้น เช่นส้าหรับพื้นหนา 15 ซม. ระยะห่างรอยต่อคือ 30 x 0.15 = 4.5 m รอยต่อที่ขอบพื้นวางบนดินต่อกับคานหรือผนังอาคารจะต้องเว้นช่องว่างไว้พื้นให้คอนกรีตยืด หดตัวโดยไม่ส่งผ่านแรงไปยังส่วนอื่นของโครงสร้างท้าให้เกิดรอยร้าวในพื้นคอนกรีต จากนั้นยาแนว ด้วยวัสดุยืดหยุ่นเช่นยางมะตอย ขอบของพื้นภายนอกจะท้าเป็นขอบหนาเพื่อกันดินไหลออก รูปที่3.30 แบบรายละเอียดพื้นวางบนดิน ชนิดของรอยต่อ: รอยต่อในพื้นวางบนดินไม่หลายชนิดตามวัตถุประสงค์การใช้งานดังนี้ 1. รอยต่อเพื่อการขยายตัว (Expansion joints) จะยอมให้พื้นคอนกรีตยืดหดตัวได้โดยไม่ ท้าให้เกิดแรงภายในเพิ่มขึ้นในพื้นและโครสร้างโดยรอบ มักจะท้าเป็นช่องว่างโดยสมบูรณ์ ระหว่างแผ่นพื้นคอนกรีตที่อยู่ถัดกัน โดยจะตัดแบ่งทั้งคอนกรีตและเหล็กเสริมทั้งหมด แล้ว ใช้เหล็กเดือย (Dowel bars) เชื่อมต่อระหว่างแผ่นโดยข้างหนึ่งท้าเป็นปลอกหุ้มเพื่อยอมให้ ขยับได้โดยไม่ก่อให้เกิดหน่วยแรงในพื้นเพิ่มขึ้น 2. รอยต่อเพื่อการหดตัว (Contraction joints) รอยต่อชนิดนี้จะยอมให้เพียงการหดตัวของ คอนกรีตที่มักจะเกิดขึ้นหลังการหล่อคอนกรีตระหว่างกระบวนการบ่มคอนกรีต 3. รอยต่อควบคุมรอยร้าว (Crack control joints) เนื่องจากการแตกร้าวในคอนกรีตเป็นสิ่ง ที่ยากหลีกเลี่ยง ดังนั้นจึงท้าเป็นรอยต่อไว้เพื่อก้าหนดให้เกิดรอยร้าวในต้าแหน่งที่ก้าหนด 4. รอยต่อเพื่อการก่อสร้าง (Construction joints) แม้ว่ารอยต่อชนิดนี้จะไม่สามารถขยับ เขยื้อนได้จริง เพราะเป็นรอยต่อที่เกิดจากการหยุดเทคอนกรีตจากเหตุผลบางประการในการ ก่อสร้าง ท้าให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในเนื้อคอนกรีต พ้ืน าย น พ้ืน ายน GB รา นอ น น - ม GB 3-5 ม t/2 2-2.5 ม รา นอ น น - ม 5-10 ม 10 ม 45o รา นอ น น - ม GB


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 66 ขั้นตอนการเทพื้นคอนกรีต ในการเทพื้นคอนกรีตขนาดใหญ่ แผ่นพื้นมักจะถูกแบ่งย่อยโดยใช้เหล็กเดือยยึดตามแนวรอยต่อ ระหว่างแผ่น ในการเทคอนกรีตโดยทั่วไปมักจะเทแผ่นเว้นแผ่นดังในรูปข้างล่าง รูปที่3.31 ขั้นตอนการเทพื้นคอนกรีตแบบช่องเว้นช่อง มาตราฐาน ACI 302.1R-04 แนะน้าให้เทคอนกรีตแบบเว้นเป็นแถบยาวซึ่งจะท้าให้เข้าถึงพื้น คอนกรีตที่เทได้สะดวกกว่าการเว้นคอนกรีตแบบเว้นแผ่นสลับแบบตารางหมากรุกแบบดั้งเดิมเพื่อ ยอมให้เกิดการหดตัวก่อนท้าให้รอยต่อแคบลง จากการทดสอบพบว่าการหดตัวในช่วงแรกของการเท นั้นเกิดขึ้นช้าเกินกว่าจะท้าให้วิธีนี้มีประสิทธิภาพ การเข้าถึงพื้นคอนกรีตจะยุ่งยากและสิ้นเปลืองกว่า และรอยต่ออาจไม่ตรงแนวกัน รูปที่3.32 การเทพื้นคอนกรีตแบบสลับแถบตาม ACI 302.1R-04 Dowels at 0.30 m C/C 4.5 m 6-10 m Poured bays Bays to be poured Contraction joint Construction joint Strips cast first Infill strips Bays cast first Infill bays


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 67 รอยต่อเพื่อการขยายตัว (Expansion joints) แผ่นพื้นคอนกรีตจะถูกแยกจากกันอย่างสมบูรณ์โดยคั้นด้วยแผ่นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นแล้วยาแนว ด้านบนวัสดุเชื่อมประสานที่กันน้้าเช่นยางมะตอย เหล็กเดือยท้าหน้าที่ถ่ายน้้าหนักบรรทุกระหว่าง รอยต่อของแผ่นคอนกรีตโดยมีความยาวและขนาดตามความหนาของแผ่นคอนกรีต ถ้าไม่มีการระบุจากผู้ออกแบบแนะน้าให้ใช้เหล็กเส้นขนาด DB25 ความยาว 0.60 ม. วาง ระยะห่าง 0.30 ม. ปลายครึ่งหนึ่งของเหล็กเดือยจะชุบยางมะตอยหรือสีเพื่อป้องกันมิให้คอนกรีตยึด ติดแน่น ท้าให้แผ่นคอนกรีตสามารถยืดหดได้โดยอิสระไม่เกิดการแตกร้าว ในพื้นถนนที่รับน้้าหนัก บรรทุกมากจะใช้ปลอกหุ้มที่ปลายเหล็กเดือยดังแสดงในรูป รูปที่3.33 รอยต่อเพื่อการขยายตัว (Expansion joint) รอยต่อเพื่อการหดตัว (Contraction joints) เป็นรอยต่อท้าไว้เพื่อบังคับให้พื้นคอนกรีตแตกร้าวตรงตามแนวที่ก้าหนด รอยต่อชนิดนี้จะใช้ในการ ป้องกันการแตกร้าวที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงปริมาตรของคอนกรีตที่เกิดขึ้น สังเกตจาก รอยต่อที่ชิดกันเพื่อป้องกันการหดตัวของคอนกรีต รูปที่3.34 รอยต่อเพื่อการหดตัว (Expansion joint) t/2 t เ เ (Dowel bar) Filler น น น 2 cm 5 cm 2.5 cm Expansion cap L t/2 t เ เ (Dowel bar) น น น 2 cm L


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 68 รอยต่อควบคุมรอยร้าว (Crack control joints) การท้าร่องที่ผิวคอนกรีตโดยอาจใช้เกรียงเซาะร่องปาดตอนที่คอนกรีตยังไม่แข็งตัว หรือใช้เลื่อยเซาะ ร่องหลังจากที่คอนกรีตแช็งตัวแล้ว ท้าให้เกิดหน้าตัดที่อ่อนแอข้างล่างซึ่งจะเกิดรอยร้าวขึ้น รูปที่3.35 รอยต่อควบคุมรอยร้าว รอยต่อเพื่อการก่อสร้าง (Construction joints) เป็นรอยต่อที่ท้าเมื่อต้องหยุดท้าการก่อสร้างในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่นในการเทพื้นคอนกรีตขนาดใหญ่ ซึ่งไม่สามารถเทคอนกรีตทั้งหมดได้ในหนึ่งวัน แบบหล่อที่ใช้เป็นขอบในการหยุดจะต้องมีความ สะอาดเรียบร้อยเพื่อให้สามารถท้างานต่อได้ในวันถัดมา ในบางกรณีอาจเสียบเหล็กเดือยเพื่อช่วยใน การส่งผ่านแรงได้เช่นกัน รูปที่3.36 รอยต่อเพื่อการก่อสร้าง t/4 t 0.3 cm Saw cut & Joint filling Steel Dowel Construction joint Concrete placed on Day 2 Concrete placed on Day 1


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 69 รูปที่3.37 แบบแปลนการวางเหล็กเสริมในพื้นถนน รูปที่3.38 แบบรายละเอียดรอยต่อแนวขวาง LANE WIDTH LANE WIDTH TRANSVERSE JOINT RB9 @ 0.40 m (SEE DETAILS) RB9 @ 0.20 m 10.00 m LONGITUDINAL JOINT (SEE DETAILS) DB25 x 0.50 m @ 0.30 m C/C T/2 ส ร JOINT SEALER T TRANSVERSE JOINT DETAIL (EXPANSION JOINT) 10 cm COMPACTED SAND 15 cm SUBBASE COMPACTED SUBGRADE


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 70 รูปที่3.39 แบบรายละเอียดรอยต่อแนวยาว พื้นคอนกรีตวางบนดินภายในอาคาร เพื่อไม่ให้น้้าหนักจากพื้นถ่ายลงสู่โครงสร้างจะท้าการตัดรอยต่อแยก (Isolation joint) ระหว่างพื้น และส่วนโครงสร้างอื่นได้แก่ คาน เสา และ ผนัง รอยต่อที่มักพบทั่วไปในพื้นวางบนดินภายในอาคาร ได้แก่ รอยต่อเพื่อการตัดแยก (Isolation joint), รอยต่อเพื่อการหดตัว (Contraction joints) และ รอยต่อเพื่อการก่อสร้าง (Construction joints) ดังแสดงในรูปที่ 3.40 และ 3.41 รูปที่3.40 รอยต่อพื้นวางบนดินในอาคาร รอยต่อเพื่อการตัดแยก (Isolation joint) ใช้เมื่อต้องการตัดแยกการเคลื่อนที่ให้เป็นอิสระจากกันทั้งในแนวราบและแนวดิ่งระหว่างพื้นและส่วน โครงสร้างอื่นเช่น คาน เสา ผนัง หรือแท่นเครื่องจักร เพื่อไม่ให้เกิดการยึดรั้งระหว่างกันซึ่งอาจท้าให้ เกิดการแตกร้าวของโครงสร้างในระยะยาว รอยต่อตัดแยกท้าได้โดยแทรกวัสดุกั้นระหว่างพื้นและส่วนโครงสร้าง โดยตัดแยกตลอดความ ลึกของพื้นโดยเหลือร่องส่วนบนไว้เพื่ออุดด้วยวัสดุยาแนวเช่น ยางมะตอย ดังในรูปที่ 3.42 DB25 x 0.50 m @ 0.30 m C/C T/2 JOINT SEALER T LONGITUDINAL JOINT DETAIL 10 cm COMPACTED SAND 15 cm SUBBASE COMPACTED SUBGRADE Compacted Granular Subbase Slab Thickness Isolation joint Interior column Contraction joint Isolation joint


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 71 รูปที่3.41 ต้าแหน่งการวางรอยต่อพื้นวางบนดินในอาคาร Equipment base Isolation joint Corner bars at reentrant corners Isolation joint around equipment foundation Contraction or Construction joints Isolation joint at each column ร เพ ร ว เ ค น ร ร เส ร พ น เส ร น น รร ค ้ว ร ร ้ ว ม เส เส ร ร ว ม


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 72 รูปที่3.42 รอยต่อตัดแยกรอบเสาภายใน รอยต่อตัดแยกรอบฐานเครื่องจักรนั้นนอกจากช่วยป้องกันหน่วยแรงยึดรั้งแล้วยังช่วยป้องกัน ไม่ให้การสั่นสะเทือนจากเครื่องจักรส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอื่น รูปที่3.43 รอยต่อตัดแยกรอบฐานเครื่องจักร พื้นไร้คาน (Flat Slab & Flat Plate) ในปัจจุบันระบบพื้นไร้คานมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายในอาคารหลายชั้นเพราะนอกจากจะช่วย ประหยัดความสูงของอาคาร ยังท้าให้การก่อสร้างท้าให้อย่างรวดเร็วเนื่องจากเสียเวลาในการตั้งแบบ น้อยลง นอกจากนั้นท้าเป็นพื้นคอนกรีตอัดแรงทีหลัง (Post-tension Floor) ท้าให้ได้ช่วงความยาว ที่มากขึ้น พื้นไร้คานที่ใช้งานในอาคารมีหลายประเภทดังแสดงในตารางที่ 3.1 ซึ่งจะแสดงรูปแบบ ของระบบพื้น และระยะช่วงคานที่เหมาะสม นร เ ค น ร ้ม นเส ิน น น พ นค น ร ร เส นร นเคร ร พ นค น ร ิน น น ว ส เ ิมเ ม น ว ส นว


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 73 ตารางที่ 3.1 ระบบพื้นไร้คาน ระบบพื้น ช่วงความยาว พื้นไร้คานท้องเรียบ (Flat Plate) 6 - 9 m พื้นไร้คานมีหัวเสา (Flat Slab with column capital) 8 – 11 m พื้นไร้คานมีแป้นหัวเสา (Flat Slab with drop panel) 9 – 12 m พื้นมีแถบหัวเสา (Slab with slab band) 8 – 14 m


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 74 มาตรฐาน วสท. 1008-38 ก้าหนดความหนาต่้าสุดของแผ่นพื้นที่ไม่มีคานตามในตารางที่ 3.2 และ ต้องไม่น้อยกว่าค่าดังต่อไปนี้ แผ่นพื้นที่ไม่มีแป้นหัวเสา . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 12.5 ซม. แผ่นพื้นที่มีแป้นหัวเสา . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 10.0 ซม. ตารางที่ 3.2 ความหนาต่้าสุดของแผ่นพื้นไร้คาน หน่วยแรงคราก fy กก./ซม.2 ไม่มีแป้นหัวเสา มีแป้นหัวเสา ช่วงพื้นภายนอก ช่วงพื้น ภายใน ช่วงพื้นภายนอก ช่วงพื้น ภายใน ไม่มีคานขอบ มีคานขอบ ไม่มีคานขอบ มีคานขอบ 3,000 L/33 L/36 L/36 L/36 L/40 L/40 4,000 L/30 L/33 L/33 L/33 L/36 L/36 แป้นหัวเสาใช้เพื่อช่วยในการรับโมเมนต์ดัดและแรงเฉือนทะลุบริเวณหัวเสา ต้องมีขนาดเป็นไปตาม ข้อก้าหนดดังนี้ 1. แป้นหัวเสาต้องยื่นออกจากเส้นกึ่งกลางของที่รองรับในแต่ละทิศทางไม่น้อยกว่า 1/6 ของ ความยาวช่วงในทิศทางนั้น 2. ความหนาของแป้นหัวเสาส่วนที่อยู่ใต้แผ่นพื้น ต้องไม่น้อยกว่า 1/4 ของความหนาพื้น หัวเสาช่วยเพิ่มขนาดเสาท้าให้มีเส้นรอบรูปเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยในการรับแรงเฉือนทะลุที่หัวเสา โดยท้าเป็นรูปโคนท้ามุมเอียงไม่น้อยกว่า 45 องศากับแนวราบ หัวเสาควรมีขนาดไม่เกิน 1/4 ของ ความยาวช่วง และมีความหนาที่ขอบบนอีกอย่างน้อย 4 ซม. ดังแสดงในรูปที่ 3.44 รูปที่3.44 ขนาดของหัวเสาและแป้นหัวเสาในพื้นไร้คาน ในการค้านวณออกแบบเพื่อเสริมเหล็กในพื้นไร้คานจะแบ่งพื้นออกเป็นแถบเสา (Column strip) และแถบกลาง (Middle strip) ตามมาตรฐาน วสท. ก้าหนดว่า แถบเสา คือ แถบที่ออกแบบ ให้มีความกว้างในแต่ละข้างจากเส้นกึ่งกลางแนวเสาออกไปเท่ากับ 1/4 ระยะช่วงความยาวที่น้อย กว่า และ แถบกลาง คือ แถบที่อยู่กลางช่วงโดยมีแถบเสาขนาบสองข้าง L t ้ น วเส Drop panel วเส Column capital Drop thk. t/4 L/6 L/4 Min. 4 cm


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 75 รูปที่3.45 ความกว้างแถบเสาและแถบกลางในแต่ละทิศทาง เพื่อความสะดวกจะเขียนแถบเสาและแถบกลางในทั้งสองทิศทางในรูปเดียวกันดังแสดงในรูป ที่ 3.46 ในกรณีพื้นไร้คานที่มีแป้นหัวเสา จะใช้ความกว้างแถบเสาเท่ากับขนาดของแป้นหัวเสา ดัง แสดงในรูปที่ 3.47 รูปที่3.46 แถบเสาและแถบกลางทั้งสองทิศทางในพื้นไร้คานที่ไม่มีแป้นหัวเสา L1/4 L1/4 L1 < L2 L1/4 L1/4 L2 เส (Column strip) (Middle strip) เส (Column strip) L1/4 L1/4 L1 < L2 เส (Column strip) (Middle strip) เส (Column strip) L1/4 L1/4 L2 (longer span) L1/4 Column strip L1/4 L1/4 L1/4 Middle strip L1 (shorter span) Column strip Middle strip


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 76 รูปที่3.47 แถบเสาและแถบกลางทั้งสองทิศทางในพื้นไร้คานที่มีแป้นหัวเสา เมื่อท้าการค้านวณออกแบบในแต่ละแถบและในแต่ละทิศทางโดยจะแบ่งเป็นบริเวณกลางช่วง ที่รับโมเมนต์บวกต้องการเหล็กเสริมล่าง และบริเวณหัวเสาที่รองรับโมเมนต์ลบต้องการเหล็กเสริมบน และมีเหล็กเสริมอื่นในทิศทางที่ตั้งฉากมาช่วยยึดเพื่อให้เป็นตะแกรงเหล็กเสริมทั้งชั้นบนและชั้นล่าง รูปที่3.48 เหล็กเสริมบนและล่างในพื้นไร้คาน ปริมาณเหล็กเสริมในแต่ละทิศทางค้านวณได้จากโมเมนต์ดัดที่ได้จากการวิเคราะห์ ระยะเรียง ของเหล็กเสริมต้องไม่น้อยกว่า 2 เท่าความหนาพื้น ส้าหรับเหล็กล่างซึ่งรับโมเมนต์บวกที่ขอบที่ไม่ ต่อเนื่องต้องยื่นเข้าไปในคานขอบ เสา หรือก้าแพง ให้มีระยะฝังหรืองอขออย่างน้อย 15 ซม. L2 (longer span) Column strip = Drop sizeMiddle strip L1 (shorter span) Drop size Middle strip Drop size L1 ร L2 เ เสริม เ เสริม น


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 77 รูปที่3.49 แปลนรูปแบบการเสริมเหล็กชั้นล่างในพื้นไร้คาน รูปที่3.50 แปลนรูปแบบการเสริมเหล็กชั้นบนในพื้นไร้คาน L1 > L2 L2 L1 > L2 L2 เ เสริม ว เ เสริม เ เสริม ว เ เสริม เ เสริม ว เ เสริม เ เสริม ว เ เสริม


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 78 รูปที่3.51 ระยะยื่นต่้าสุดของเหล็กเสริมในพื้นไร้คานที่ไม่มีแป้นหัวเสา รูปที่3.52 ระยะยื่นต่้าสุดของเหล็กเสริมในพื้นไร้คานที่มีแป้นหัวเสา ว (Ln) ว (Ln) 0.5As 0.5As 0.20Ln 0.30Ln 0.5As 0.5As 0.30Ln 0.30Ln 0.20Ln 0.20Ln 0.5As 0.5As 0.30Ln 0.20Ln ร ว (L) ร ว (L) max 0.125L max 0.125L 0.5As 0.5As 0.5As 0.5As 7.5 cm 7.5 cm 15 cm น น น เส น น น max 0.125L max 0.125L 0.5As 0.5As 0.5As 0.5As 7.5 cm 7.5 cm 15 cm As 0.22Ln As 0.22Ln 0.22Ln As 0.22Ln ว (Ln) ว (Ln) 0.5As 0.5As 0.20Ln 0.33Ln 0.5As 0.5As 0.33Ln 0.33Ln 0.20Ln 0.20Ln 0.5As 0.5As 0.33Ln 0.20Ln ร ว (L) ร ว (L) max 0.125L 0.5As 0.5As 0.5As 0.5As 7.5 cm 7.5 cm 15 cm น น น เส น น น max 0.125L max 0.125L 0.5As 0.5As 0.5As 0.5As 7.5 cm 7.5 cm 15 cm As 0.22Ln As 0.22Ln 0.22Ln As 0.22Ln min 24 or 30 cm max 0.125L min 24 or 30 cm


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 79 การเฉือนทะลุ (Punching shear) เป็นรูปแบบการวิบัติจากการรับแรงเฉือนที่ต้องพิจารณาในการ ออกแบบแผ่นพื้นไร้คานและฐานราก การแตกร้าวจะเอียงเป็นรูปโคนหรือปิรามิดรอบหัวเสาหรือ แป้นหัวเสาดังแสดงในรูปที่ 3.53 รูปที่3.53 การวิบัติจากการเฉือนทะลุรอบหัวเสาในพื้นไร้คาน มุมของรอยร้าว กับแนวราบ (ดูในรูปที่ 3.54) ขึ้นกับปริมาณเหล็กเสริมในพื้น มีช่วงอยู่ ระหว่าง 20 ถึง 45 องศา รูปที่3.54 แนวการแตกร้าวจากการเฉือนทะลุรอบหัวเสาในพื้นไร้คาน หน้าตัดวิกฤตส้าหรับการเฉือนทะลุจะคิดที่ระยะ d/2 จากผิวของเสาออกมาโดยรอบ ดังแสดง ในรูปที่ 3.55 เป็นเส้นรอบรูปการเฉือนทะลุของหน้าตัดสี่เหลี่ยมและวงกลมของเสาภายใน เสาขอบ และเสามุม หน้าตัดสี่เหลี่ยม หน้าตัดวงกลม เสาภายใน Floor load Slab Column Punching shear Critical section d/2 d h d/2 d/2 d/2 d/2


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 80 เสาขอบ เสามุม รูปที่3.55 เส้นรอบรูปการเฉือนทะลุรอบหัวเสาในพื้นไร้คาน ส้าหรับเสาหน้าตัดอื่น ACI ก้าหนดให้หาเส้นรอบรูป b0 ที่สั้นที่สุดโดยมีระยะห่างจาก พื้นที่หน้าตัดเสา d/2 ดังแสดงในรูปที่ 3.56 รูปที่3.56 เส้นรอบรูปการเฉือนทะลุรอบหัวเสารูปอื่นๆ ส้าหรับเสาที่มีแป้นหัวเสาจะคิดการเฉือนทะลุสองหน้าตัดคือรอบหัวเสาและแป้นหัวเสาโดยใช้ ระยะห่างตามความหนาแป้นหัวเสาและความหนาพื้นตามล้าดับ ดังแสดงในรูปที่ 3.57 d/2 d/2 d/2 d/2 d/2 d/2 d/2 d/2 Critical perimater b0 Effective loaded area


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 81 รูปที่3.57 เส้นรอบรูปการเฉือนทะลุรอบหัวเสาและแป้นหัวเสา เมื่อก้าลังเฉือนทะลุของพื้นคอนกรีตมีไม่เพียงพอจะให้การเสริมเหล็กรับการเฉือนทะลุซึ่งการ ท้าได้หลายรูปแบบดังแสดงในรูปที่ 3.58 ในรูป 3.58(ก) จะใช้เหล็กรูปพรรณฝังในแผ่นพื้นเพื่อเพิ่ม เส้นรอบรูปที่หัวเสา ในรูปที่ 3.58(ข) จะใช้การดัดเหล็กเอียงท้ามุม 45o เป็นคอม้าตัดผ่านแนวการ แตกร้าวและยื่นฝังเป็นเหล็กล่างในพื้นเป็นระยะที่เพียงพอ ในรูปที่ 3.58(ค) จะเป็นเหล็กลูกตั้งและเหล็กนอนยื่นออกจากหัวเสาทั้งสองทิศทาง และในรูป ที่ 3.58(ง) จะเป็นแบบหมุดเหล็กเชื่อมติดกับแผ่นเหล็กซึ่งติดตั้งได้ง่ายและมีประสิทธิภาพดี (ก) (ข) d/2 d h dd/2 dd/2 d/2 dd d/2 dd/2 d/2 dd/2 Column Drop panel Welded I or W sections


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 82 (ค) (ง) รูปที่3.58 เส้นรอบรูปการเฉือนทะลุรอบหัวเสาและแป้นหัวเสา เหล็กเสริมน้อยที่สุดในพื้นสองทาง ปริมาณเหล็กเสริมรับการดัดน้อยที่สุด As,min ในพื้นซึ่งจะต้องจัดวางไว้บริเวณผิวรับแรงดึง ตาม มาตรฐาน ACI318-14 ก้าหนดให้ใช้ตามตารางที่ 3.3 ซึ่งมีค่าเท่ากับปริมาณเหล็กเสริมที่ต้องการ ส้าหรับต้านทานการแตกร้าวจากการหดตัวและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ แต่เหล็กเสริมกันร้าวจะ เสริมกระจายทั้งหน้าตัดในขณะที่เหล็กเสริมการดัดน้อยที่สุดจะเสริมบริเวณที่รับแรงดึง ตารางที่ 3.3 เหล็กเสริมรับแรงดัดน้อยที่สุด As,min ในพื้นสองทาง ชนิดเหล็กเสริม fy (ก.ก./ซม.2 ) As,min (ซม.2 ) เหล็กข้ออ้อย 4,200 0.0020Ag เหล็กข้ออ้อยหรือ ตะแกรงลวด 4,200 ค่าที่มากกว่าของ g y 0.0018 4,200 A f 0.0014Ag รูปที่ 3.59 แสดงการจัดวางเรียงเหล็กเสริมรับการดัดบริเวณผิวบนของพื้นสองทางที่รองรับ น้้าหนักโน้มถ่วงแบบแผ่กระจายสม่้าเสมอโดยมีระยะหยุดเหล็กตามที่ก้าหนดไว้ในรูปที่ 3.51 หรือ 3.52 ขึ้นกับชนิดของระบบพื้น


RC DETAILING 3 Slab Mongkol JIRAVACHARADET 83 รูปที่3.59 การจัดวางเหล็กเสริมรับการดัดน้อยที่สุดที่ผิวด้านบนของพื้นสองทาง Centerline bay


RC DETAILING 4 Column Mongkol JIRAVACHARADET 85 เสาคอนกรีตเสริมเหล็ก เสาคือองค์อาคารในแนวดิ่งซึ่งมีหน้าที่รับน้้าหนักบรรทุกจากพื้นและคานแต่ละชั้นของอาคาร รวบรวมสะสมลงสู่ชั้นที่ต่้าลงมาลงสู่ตอม่อและฐานรากของอาคาร รูปที่4.1 การถ่ายน้้าหนักของเสาในอาคาร ชนิดของหน้าตัดเสา หน้าตัดเสาท้าได้หลายรูปแบบที่มักพบได้ทั่วไปคือ (a) เสาสี่เหลี่ยมปลอกเดี่ยว (Tied Column) และ (b) เสากลมปลอกเกลียว (Circular Column) นอกจากนั้นยังอาจท้าเป็น (c) เสาสี่เหลี่ยมแกนเหล็ก, (d) เสาเหล็กหุ้มคอนกรีต และ (e) ท่อกลมเหล็กกรอกคอนกรีตภายใน GS, GB S, B RS, RB


RC DETAILING 4 Column Mongkol JIRAVACHARADET 86 รูปที่4.2 ชนิดของหน้าตัดเสา เสาหน้าตัดสี่เหลี่ยมต้องมีเหล็กเสริมหรือเรียกว่า “เหล็กยืน” อย่างน้อยที่สุด 4 เส้นที่แต่ละมุม โดยมีเหล็กปลอกเดี่ยวแบบปิด (closed loop tie) โอบรัดเหล็กเสริมทุกเส้นอยู่ภายใน ส่วนหน้าตัด กลมต้องมีเหล็กอย่างน้อย 6 เส้น กระจายบนเส้นรอบวงภายในเหล็กปลอกเกลียว หน้าเสาควรมี ขนาดอย่างน้อย 20 ซม. ปริมาณเหล็กเสริมที่ใช้จะอยู่ระหว่าง 0.01 ถึง 0.08 ของพื้นที่ทั้งหมด Ag ของหน้าตัดเสา โดยเหล็กเสริมที่ใช้ควรมีขนาด 12 ม.ม. ขึ้นไป รูปที่4.3 เหล็กเสริมน้อยที่สุดในหน้าตัดเสา เมื่อเสารับน้้าหนักบรรทุกมากขึ้นอาจขยายหน้าตัดเสาหรือเพิ่มจ้านวนเหล็กเสริม การเพิ่ม เหล็กเสริมจะเพิ่มโดยรอบหน้าตัดแบบสมมาตรดังในรูปที่ 4.4 และ 4.5 โดยให้ยึดโดยรอบเหล็ก ปลอก ถ้าระยะช่องว่างระหว่างเหล็กมากกว่า 15 ซม. ต้องใช้เหล็กยึด (crosstie) (รูปที่ 4.4) หรือ เพิ่มจ้านวนเหล็กปลอกเพื่อยึดจับเหล็กยืนในทั้งสองทิศทาง (รูปที่ 4.5) 4 6


RC DETAILING 4 Column Mongkol JIRAVACHARADET 87 4 BARS 6 BARS 8 BARS 10 BARS 12 BARS 14 BARS รูปที่4.4 รูปแบบการจัดวางเหล็กยืนและเหล็กปลอกในหน้าตัดเสาตามมาตรฐาน ACI 315 s คือระยะช่องว่าง ระหว่างเหล็กยืน s s s < 15 cm s > 15 cm Tie bar s s s < 15 cm s > 15 cm s > 15 cm


RC DETAILING 4 Column Mongkol JIRAVACHARADET 88 (ก) เหล็กยืน 4 เส้น เหล็กปลอก 1 ปลอก (ข) เหล็กยืน 6 เส้น เหล็กปลอก 2 ปลอก (ค) เหล็กยืน 8 เส้น เหล็กปลอก 2 ปลอก (ง) เหล็กยืน 8 เส้น เหล็กปลอก 2 ปลอก (จ) เหล็กยืน 10 เส้น เหล็กปลอก 3 ปลอก


RC DETAILING 4 Column Mongkol JIRAVACHARADET 89 (จ) เหล็กยืน 12 เส้น เหล็กปลอก 3 ปลอก (ฉ) เหล็กยืน 14 เส้น เหล็กปลอก 3 ปลอก (ช) เหล็กยืน 16 เส้น เหล็กปลอก 3 และ 4 ปลอก (ซ) เหล็กยืน 18 เส้น เหล็กปลอก 3 ปลอก (ฆ) เหล็กยืน 20 เส้น เหล็กปลอก 3 ปลอก รูปที่4.5 รูปแบบการจัดวางเหล็กยืนและเหล็กปลอกในหน้าตัดเสาที่ใช้ในประเทศไทย


RC DETAILING 4 Column Mongkol JIRAVACHARADET 90 เหล็กปลอกเดี่ยว เหล็กปลอกเดี่ยวในประเทศไทยนิยมท้าเป็นปลอกปิดดัดปลายโอบรัดท้ามุม 135o ดังในรูปที่ 4.6 เหล็กเสริมที่ใช้มีขนาดเล็กได้แก่ RB6, RB9, DB10 และ DB12 ซึ่งจะมีระยะปล่อยปลายไม่น้อยกว่า 6 เท่าขนาดเหล็กเสริมดังแสดงในตารางที่ 4.1 ตามมาตรฐาน ACI 318-14 รูปที่4.6 การเสริมเหล็กปลอกเดี่ยวในหน้าตัดเสาสี่เหลี่ยม ตารางที่ 4.1 เส้นผ่าศูนย์กลางภายในการดัดและความยาวปล่อยปลายน้อยที่สุดส้าหรับเหล็กปลอกตามมาตรฐาน ACI 318-14 ชนิด ของงอ ขอ ขนาด เหล็กเสริม เส้นผ่าศูนย์กลาง ภายในน้อยที่สุด ความยาวปลาย ตรง Lext ชนิดของงอขอ งอฉาก 90o DB10- DB16 4db ค่าที่มากกว่าของ 6db และ 7.5 ซม. DB20- DB25 6db 12db งอ 135o DB10- DB16 4db ค่าที่มากกว่าของ 6db DB20- และ 7.5 ซม. DB25 6db งอขอ 180o DB10- DB16 4db ค่าที่มากกว่าของ 4db DB20- และ 5 ซม. DB25 6db 6db 7.5 cm db 135o 6db 7.5 cm 4db s เส้นผ่าศูนย์กลาง db งอฉาก 90o Lext เส้นผ่าศูนย์กลาง db งอ 135o Lext เส้นผ่าศูนย์กลาง db งอขอ 180o Lext


RC DETAILING 4 Column Mongkol JIRAVACHARADET 91 ระยะช่องว่างเหล็กปลอกปิดควรมีค่าไม่น้อยกว่า 4/3 เท่าขนาดมวลรวม และระยะห่างเหล็ก ปลอกควรมีค่าไม่เกินค่าที่น้อยที่สุดระหว่าง 16 เท่าขนาดเหล็กยืน, 48 เท่าขนาดเหล็กปลอก และ ขนาดเสาด้านที่น้อยที่สุด ขนาดเหล็กปลอกน้อยที่สุดจะขึ้นกับขนาดเหล็กยืน ควรใช้เหล็กปลอกไม่น้อยกว่า DB10 ส้าหรับเหล็กยืนขนาด DB32 หรือเล็กกว่า และใช้เหล็กปลอกไม่น้อยกว่า DB12 ส้าหรับเหล็กยืน ขนาด DB36 หรือใหญ่กว่า หรือเหล็กยืนที่มัดรวมกันเป็นก้า (bundle bars) ตารางที่ 4.2 ระยะคอนกรีตหุ้มน้อยที่สุดของเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก สภาพแวดล้อม เหล็กเสริม ระยะหุ้มน้อยที่สุด (ซม.) คอนกรีตหล่อสัมผัสผิวดิน ทุกขนาด 7.5 ใช้แบบหล่อแต่อยู่ภายนอก DB20-DB60 5 DB16 และน้อยกว่า 4 เสาภายใน เหล็กยืน ปลอกเดี่ยว และปลอกเกลียว 4 เหล็กปลอกเกลียว เหล็กปลอกเกลียวใช้ส้าหรับหน้าตัดเสาที่มีเหล็กยืนวางเรียงตัวเป็นวงกลมอย่างน้อย 6 เส้น ขนาด ของเหล็กปลอกเกลียวควรมีขนาดไม่น้อยกว่า 9 มม. ระยะช่องว่างเหล็กปลอกปิดควรมีค่าไม่น้อย กว่า 4/3 เท่าขนาดมวลรวม และ 2.5 ซม. แต่ไม่ควรมีค่าเกิน 7.5 ซม. และควรมีการฝังยึดเหล็ก ปลอกที่ปลายเสาโดยการพันรอบเพิ่มอีก 1-1/2 รอบ รูปที่4.7 การเสริมเหล็กปลอกเกลียวในหน้าตัดเสากลม s


RC DETAILING 4 Column Mongkol JIRAVACHARADET 92 รูปที่ 4.8 หน่วยแรงในปลอกเกลียวที่เกิดจากแรงอัดในแกนกลาง อัตราส่วนเหล็กปลอกเกลียว s คืออัตราส่วนระหว่างปริมาตรของเหล็กปลอกเกลียวต่อ ปริมาตรทั้งหมดของแกนเสา b core b s 2 core core A h 4A ( h / 4)s h s (4.1) เมื่อ s คือระยะเกลียวและ Ab คือพื้นที่ของปลอกเกลียว เพื่อชดเชยก้าลังอัดที่ลดลงจากการสูญเสียพื้นที่คอนกรีตหุ้มที่กระเทาะออกไปโดยใช้ก้าลังอัด ที่ได้เพิ่มขึ้นจากผลของการโอบรัดจากเหล็กปลอก มาตรฐาน ACI ก้าหนดให้อัตราส่วน s มีค่าไม่ น้อยกว่า g c s core y A f 0.45 1 A f (4.2) การต่อเหล็กปลอกเกลียวอาจท้าได้สองวิธีคือ การต่อแบบเชิงกลหรือการเชื่อมโดยรอยต่อ จะต้องมีก้าลังดึงหรือก้าลังอัดอย่างน้อยที่สุด 1.25 เท่าของก้าลังครากเหล็กปลอก และการต่อแบบ ทาบซึ่งต้องมีระยะทาบอย่างน้อยเท่ากับค่าที่มากกว่าของ 30 ซม. และค่าในตารางที่ 4.3 ตารางที่ 4.3 ระยะทาบส้าหรับเหล็กปลอกเกลียว ชนิดเหล็กปลอก การเคลือบผิว ปลายเหล็กทาบ ระยะทาบ เหล็กกลมผิวเรียบ ไม่เคลือบผิว หรือ เคลือบสังกะสี ไม่ต้องงอปลาย 72db งอปลายมาตรฐาน 48db เหล็กข้ออ้อย ไม่เคลือบผิว หรือ เคลือบสังกะสี ไม่ต้องงอปลาย 48db เคลือบอีพ็อกซี่ ไม่ต้องงอปลาย 72db งอปลายมาตรฐาน 48db *งอปลายมาตรฐานตามที่ก าหนดในตารางที่ 4.1 Core Spiral s hcore Ab fy Ab fy s


Click to View FlipBook Version