The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นางสาวพรปรีณัน พสุนธราธรรม
รหัสนักศึกษา 6419050047

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by namkhing.pp, 2021-11-17 12:16:56

สรุปเนื้อหารายวิชาหลักการและทฤษฎีการบริหารการศึกษา

นางสาวพรปรีณัน พสุนธราธรรม
รหัสนักศึกษา 6419050047

สรุปความรู้ รายวิชา 905-502

ห ลั ก ก า ร แ ล ะ ท ฤ ษ ฎี
ก า ร บ ริ ห า ร ก า ร ศึ ก ษ า

นางสาวพรปรีณัน พสุนธราธรรม
รหัสนักศึกษา 6419050047

ทฤษฎีการบริหาร

ทฤษฎี หมายถึง ความคิด หรือความเชื่อที่เกิด
ขึ้นอย่างมีหลักเกณฑ์ มีการทดสอบ สังเกตจนเป็น
ที่แน่ใจ ทฤษฎีเป็นเซทของมโนทัศน์ ที่เชื่อมโยงซึ่ง
กันและกันอย่างกว้างขวางที่พรรณนาและอธิบาย
พฤติกรรมการบริหารองค์การทางการศึกษาอย่าง
เป็นระบบ ถ้าทฤษฎีได้รับการพิสูจน์ บ่อย ๆ ก็จะ
กลายเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นแนวความคิดที่มีเหตุผล
สามารถนำมาประยุกต์ และปฏิบัติได้ทฤษฎีมี
บทบาทในการให้คำอธิบายเกี่ยวกับปรากฎการณ์
ทั่วไป และเป็นสิ่งที่ช่วยชี้แนะการ

ประโยชน์ของทฤษฎีการบริหาร

1. ทำให้เกิดความรู้ ความคิดใหม่ ๆ เกิดความ
ก้าวหน้าทางวิทยาการ หรือถ้ามีทฤษฎีก็มีการ
พิสูจน์ ค้นคว้า เพื่อทดสอบหรือพิสูจน์ทฤษฎีอื่น
2. สามารถใช้ประกอบการทำนายเหตุการณ์
พฤติกรรม และใช้แก้ไขปั ญหาได้
3. ทฤษฎีจะช่วยขยายประสิทธิภาพของการ
ทำงาน กล่าวคือ ผู้บริหารที่รู้ทฤษฎีจะมีทางเลือก
และเลือกทางที่เหมาะสมได้
4. ทฤษฎีเป็นหลักยึดในการปฏิบัติ ดังนั้น ผู้ที่
ทำงานมีแนวคิดทฤษฎีก็จะเกิดความมั่นใจใน
การทำงานมากกว่าทำไปอย่างเลื่อนลอย ทฤษฎี
จะช่วยชี้แนะแนวทาง

ความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ

1. ทฤษฎีเป็นตัวกำหนดทิศทางสำหรับการวิจัย
และการชี้แนะที่มีเหตุผลต่อการปฏิบัติ
2. ทฤษฎีจะถูกทดสอบขัดเกลา โดยการวิจัย เมื่อ
ทฤษฎีผ่านการวิจัยแล้ว จึงนำมาประยุกต์ใช้กับ
การปฏิบัติ
3. ไม่มีการปฏิบัติการใด ๆ ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐาน
ของทฤษฎี ในเมื่อทฤษฏีอยู่บนพื้นฐานของตรรก
วิทยามีเหตุผลแม่นยำถูกต้องแล้ว การปฏิบัติก็จะ
มีเหตุผลและถูกต้องเช่นเดียวกัน

ทฤษฎีบริหารและจัดการองค์กร

การนำไปใช้

บริหารการศึกษา
บริหารสถานศึกษา

ความหมาย “การบริหาร”(Administration)

Peter F. Drucker : ศิลปะในการทำงานให้บรรลุ
เป้าหมายร่วมกับผู้อื่น

ความหมาย “การบริหาร”(Administration)

Harold Koontz : การดำเนินงานให้บรรลุ
วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยการอาศัยคน เงิน วัตถุ
สิ่งของ เป็นปั จจัยในการทำงาน

ความหมาย “การบริหาร”(Administration)

Herbert A.Simon : กิจกรรมที่บุคคลตั้งแต่ 2 คน
ขึ้นไปร่วมมือกันดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่า
ใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน

สรุปความหมายของ “การบริหาร” +“การศึกษา”

หมายถึง“การดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อพัฒนาคน
ให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ความคิด ความสามารถ และ
ความเป็นคนดี”
ความหมายของ “การบริหารการศึกษา”ซึ่งสามารถ
อธิบายขยายความได้ว่า ที่หมายถึง การดำเนินงานของ
กลุ่มบุคคล ซึ่งอาจเป็นการดำเนินงานของ

- ครูใหญ่ร่วมกับครูน้อยในโรงเรียน
- อธิการบดีร่วมกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัย
- รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับอธิบดีกรม
ต่าง ๆ และครูอาจารย์ในสถาบันการศึกษาต่างๆ

กลุ่มบุคคลเหล่านี้ต่างร่วมมือกันพัฒนาคนให้มี
คุณภาพทั้งสิ้น การจะพัฒนาคนให้มีคุณภาพได้นั้น
จะต้องมีการดำเนินการในการเรียนการสอน การจัด
กิจกรรม การวัดผล การจัดอาคารสถานที่และพัสดุ
ครุภัณฑ์ การสรรหาบุคคลมาดำเนินการหรือมาทำการ
สอนในสถาบันการศึกษา การปกครองนักเรียนเพื่อให้
นักเรียนเป็นคนดีมีวินัย และอื่นๆ ซึ่งการดำเนินงาน
เหล่านี้รวมเรียกว่า “ภารกิจทางการบริหารการ
ศึกษา”หรือ“งานบริหารการศึกษา” นั่นเอง

การบริหาร VS การจัดการ

การบริหาร (Administration) เป็นกระบวน
การที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายและแผน
งาน ตลอดจนการกำกับดูแลเพื่อให้แน่ใจว่าความ
สำเร็จที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับนโยบายและแผนที่
วางไว้

การจัดการ (Management) เป็นกระบวนการ
ของการนำเอานโยบายและแผนงานไปปฏิบัติให้
บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดในขั้นของการบริหาร

ความแตกต่างของการบริหารการศึกษากับ
การบริหารอื่นๆโดยวิเคราะห์จากทฤษฎี 4 Ps




- Purpose (ความมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์)
- People (บุคคล)
- Process (กรรมวิธีในการดำเนินงาน)
- Product (ผลผลิต)

หากแบ่งการบริหารออกเป็น 3 ประเภท คือ



1. การบริหารราชการแผ่นดิน
(Public Administration)

2. การบริหารธุรกิจ
(Bussiness Administration)

3. การบริหารการศึกษา
(Education Administration)

ภารกิจทางการบริหารการศึกษา หรือ
งานบริหารการศึกษา Edward W. Smith
กับคณะ ได้แบ่งงานของผู้บริหารการศึกษา
ไว้ 7 ประการ ด้วยกัน คือ

- งานวิชาการ

- งานบุคคล

- งานกิจการนักเรียน

- งานการเงิน

- งานอาคารสถานที่
- งานสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน

- งานธุรการ

ภารกิจทางการบริหารการศึกษา (พระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขฉบับที่ 2
พ.ศ.2545) ได้แบ่งภาระหน้าที่ในการบริหาร
โรงเรียนไว้ 4 ด้าน ได้แก่

- ด้านการบริหารงานวิชาการ
- ด้านการบริหารงบประมาณ
- ด้านการบริหารงานบุคคล
- ด้านการบริหารงานทั่วไป

นักทฤษฎีการบริหาร ได้ให้แนวคิดว่า
"การบริหารเป็นกระบวนการของหน้าที่
(Functions) ซึ่งหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของ
องค์การ" เช่น

-Planning : การวางแผน

-Organizing : การจัดองค์การ

-Staffing : การจัดคนเข้าทำงาน

-Leading : การนำองค์กร

(การนำทาง การนิเทศติดตาม)

-Controlling : การควบคุม

อำนาจของผู้บริหาร






อำนาจของผู้บริหาร มี 2 แบบ คือ

1. อำนาจในตำแหน่ง เช่น ตามกฎหมาย
การให้รางวัล การบังคับ และการให้ข้อมูล
ข่าวสาร

2. อำนาจส่วนบุคคล เช่น ความเชี่ยวชาญ
การอ้างอิงโดยอาศัยอำนาจของผู้อื่น การเกิด
จากการแนะนำ การเกิดจากคุณงามความดี

ระดับของผู้บริหาร

1) ผู้บริหารระดับสูง คือ ผู้ที่ใช้ทักษะด้านความคิด ใช้ความ
สามารถในการบริหารองค์การวิเคราะห์ปั ญหาต่างๆ ปรับปรุง
แก้ไข เพิ่มประสิทธิภาพนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จ มุ่งสู่เป้า
หมายความเป็นผู้นำขององค์กร
2) ผู้บริหารระดับกลาง คือ ผู้ที่ต้องใช้ทักษะด้านมนุษย์
สัมพันธ์ในการประสานสัมพันธ์ทำให้เกิดการทำงานในระบบ
ของกลุ่มหรือฝ่ายโดยใช้ความเข้าใจการจูงใจในลักษณะของ
ผู้นำ
3) ผู้บริหารระดับต้น คือ ผู้ที่ต้องใช้ทักษะด้านความรู้ความ
สามารถในการใช้วิธีการเครื่องมือและเทคนิคต่างๆ จากความ
ชำนาญประสบการณ์ ใช้ทักษะด้านเทคนิค รู้กรรมวิธี ขั้นตอน
การผลิตอย่างดี ทักษะเหล่านี้ถือเป็นกลไกหลักที่สำคัญในการ
งาน

ลักษณะโครงสร้างทางการบริหาร

ความแตกต่างทางแนวดิ่ง หรือความแตก
ต่างทางระดับการบริหาร เช่น เงินเดือนต่างกัน
ตำแหน่งที่ต่างกัน ข้อดี คือ ผ่านการกลั่นกรอง
อย่างดี ข้อเสียคือ อาจทำให้การดำเนินงานล่าช้า

ความแตกต่างทางแนวนอนหรือความแตก
ต่างโดยอาศัยเขตความรับผิดชอบ เช่น ความรู้
ความสามารถต่างกันต้องอยู่คนละฝ่าย ข้อดีคือ
ใช้ระยะเวลาดำเนินการน้อย สำเร็จได้อย่าง
รวดเร็ว ข้อเสียคือ ผ่านการกลั่นกรองน้อยอาจ
เกิดความเสียหายง่าย

ความสัมพันธ์ของระดับการบริหาร และ
ทักษะของผู้บริหาร



อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ

จะลดหลั่นไปตามสายบังคับบัญชา ซึ่งจะควบคู่กับ
ความรับผิดชอบ

ระดับการบริหาร : ทักษะของผู้บริหาร

ทักษะทางการบริหารประกอบด้วย 3 ทักษะ
1. Conceptual Skill : ทักษะด้านความคิด
2. Human Skill : ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์
3. Technicle Skill : ทักษะทางด้านวิชาการ

ความรับผิดชอบของผู้บริหาร
ผู้บริหารที่ดีควรมีความรับผิดชอบเหล่านี้




1. การบรรลุเป้าหมายองค์การ (Goal)
2. การบูรณาการภายใน (Integration)
3. การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมนอก

(Adapting)
4. การอนุรักษ์แบบแผนทางวัฒนธรรม

(Cultural Pattern

คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษา



1. ส่วนใหญ่มีความศรัทธาในตัวนักเรียน
อย่างจริงใจ

2.ผู้บริหารมีความสามารถในการทำงาน
กับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิผล

3.เป็นผู้บริหารสถานศึกษา
4.ผู้บริหารมีความกระตือรือร้นในฐานะ

เป็นผู้บริหารสถานศึกษา
5.ผู้บริหารมีความมุ่งมั่นต่อการศึกษา
6.เป็นผู้รู้จักปรับตัว
7.เป็นนักยุทธศาสตร์

คุณลักษณะผู้บริหารสถานศึกษา
ยุคดิจิทัล




ผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลจำเป็นที่จะต้อง
เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสารและเทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์ (ICT) และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการ
บริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อการใช้ ICT ให้เหมาะ
สม เกิดประโยชน์สูงสุด อย่างคุ้มค่าแท้จริง ดังนั้น
คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลจึง
ควรเป็นดังต่อไปนี้

1. กำหนดวิสัยทัศน์ด้าน ICT ของสถานศึกษาให้
ชัดเจนว่าต้องการไปในทิศทางใด และจะนำมาใช้กับ
การบริหารสถานศึกษาในเรื่องใดบ้าง

2. การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานให้
สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
Hardware,Software, Network และเครือข่ายไร้
สายต่างๆของสถานศึกษาให้ครู อาจารย์ บุคลากร
และนักเรียนทุกคนสามารถใช้และเข้าถึงได้อย่าง
รวดเร็ว สะดวกต่อการใช้งาน พร้อมทั้งจัดสรร
ทรัพยากรต่างๆเพื่อสนับสนุนอย่างเพียงพอ

3. การสร้างวัฒนธรรมการทำงานและบรรยากาศ
สถานศึกษาให้มีการใช้ ICT อย่างแพร่หลายไม่ว่า
จะเป็นการจัดการเรียนการสอนของครู การบริหาร
งานสถานศึกษาในด้านต่างๆ ตลอดจนการให้
นักเรียนสามารถใช้และเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้
ต่างๆผ่าน Internet ได้ตลอดเวลา
4. การฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรทุกคนของสถาน
ศึกษาให้มีความรู้ความสามารถด้าน ICT อย่างต่อ
เนื่องสม่ำเสมอ
5. ผู้บริหารสถานศึกษาต้องทำตนให้เป็นตัวอย่าง
ที่ดีสามารถใช้ ICT ในการปฏิบัติงานอย่างได้
เหมาะสม

6. ส่งเสริมสนับสนุนสร้างแรงจูงใจครูอาจารย์
บุคลากรทุคนของสถานศึกษาให้นำความรู้ความ
สามารถด้านICT และเทคโนโลยีต่างๆที่สถาน
ศึกษาจัดให้มาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆในการ
จัดการเรียนการสอนหรือการปฏิบัติงาน
7. จัดให้มีระบบการกำกับติดตามและการให้คำ
ปรึกษาเกี่ยวกับการใช้ ICT ของสถานศึกษาทั้ง
ครูอาจารย์ บุคลากรทุกคนและนักเรียนว่า
สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตาม
นโยบายอย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่

องค์ประกอบผู้บริหาร




1. มีภูมิรู้ คือ มีความรอบรู้ในหลักการ แนวคิด
ทฤษฎี และวิธีการในเรื่องต่างๆ เช่น

1.1 มีความรอบรู้ในหลักการ แนวคิด ทฤษฎี
และวิธีการบริหารงานตามโครงสร้างของสถาน
ศึกษา การบริหารคน การบริหารเวลา

1.2 มีความรอบรู้ในหลักการ แนวคิด ทฤษฎี
และวิธีการในการประยุกต์ใช้สื่อ นวัตกรรม
เทคโนโลยีและสารสนเทศอย่างเหมาะสม

1.3 มีความรอบรู้ด้านวิชาการ หลักสูตร
ปรัชญาการศึกษา หลักจิตวิทยาด้านต่างๆ ตลอด
จนวิทยาการใหม่ๆ เพื่อบรรลุผลสำเร็จได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ

1.4 มีทักษะในการครองตน ครองคน และ
ครองงาน

1.5 มีภาวะผู้นำ
1.6 เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change
Agent)

2. มีภูมิธรรม คือ การบริหารจัดการบนพื้นฐาน
ของหลักธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นการบริหารจัดการ
โดยอาศัยหลักต่างๆ เช่น

2.1 หลักนิติธรรม (The Rule of Law)
2.2 หลักคุณธรรม (Morality)
2.3 หลักความโปร่งใส (Accountability)
2.4 หลักการมีส่วนร่วม (Participation)
2.5 หลักความรับผิดชอบ (Responsibility )
2.6 หลักความคุ้มค่า

(Cost – effectiveness or Economy)

3. ภูมิฐาน คือ เป็นผู้ที่มีพื้น และฐานหรือภูมิหลัง
แห่งการสะสมในการคิดในการสร้างรู้จักการมอง
ที่กว้าง ลึก มองเห็นเหตุแห่งปั ญหาซึ่งจะเกิดขึ้น
โดยการสรุปจากประสบการณ์ที่สร้างสมมานั้น
เป็นคนช่างสังเกตและมองผลของการเกิดนั้น
จากเหตุ ปั จจุบันเราเรียกว่า มีวิสัยทัศน์

องค์ประกอบของมนุษย์



1.ฐานใจ คือการแสดงถึงอารมณ์และความรู้สึก
(affective domain) ปั ญญาหรือความสามารถ
ในการใช้อารมณ์ เกี่ยวข้องกับความรู้สึก การให้
คุณค่า ความรู้สึกว่าเป้าหมายหรือผลลัพธ์เป็นสิ่ง
ที่สำคัญ

2.ฐานกาย คือการแสดงถึงทักษะ
(psychomotor domain) ปั ญญาหรือความ
สามารถที่เกี่ยวข้องกับทักษะ ความรู้ที่เกิดจาก
การลงมือทำ ประสบการณ์ สัญชาตญาณ

3.ฐานคิด คือการแสดงถึงองค์ความรู้
(cognitive domain) โดยเป็นปั ญญาหรือความ
สามารถในเชิงเหตุผล การคิดวิเคราะห์ เข้าใจ
ด้วยกระบวนการคิด การเรียนรู้ผ่านการอ่าน กาา
ฟั ง การอภิปราย

problem solving =

Creative thinking + Critical thinking






1. การคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking)
หมายถึง กระบวนการคิดในรูปแบบใหม่ๆ ความ
สามารถในการรับรู้ความคิดใหม่ ๆ และ
นวัตกรรมโดยแยกออกจากความคิดทฤษฎีกฎ
และขั้นตอนการทำงาน มันเกี่ยวข้องกับการวาง
สิ่งต่างๆด้วยกันในรูปแบบใหม่และจินตนาการ
ความคิดสร้างสรรค์มักเรียกกันว่า "การคิดนอก
กรอบ"

2. การคิดเชิงอย่างมีเหตุผล (Critical
thinking) หมายถึง กระบวนการคิดโดยใช้
วิจารณญาณหรือการตัดสินอย่างมีเหตุผลรอบ
ด้าน โดยใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ประเด็น รวม
ทั้งการรวบรวมข้อมูลต่างๆรอบด้าน การสำรวจ
องค์ประกอบอื่น ๆ ที่อาจมีอิทธิพลต่อข้อสรุป
เพื่อตรวจสอบพิจารณา ตัดสินและประเมินความ
ถูกต้อง หรือสิ่งที่เป็นประเด็นในขณะนั้นๆ ให้
แม่นยำ

problem solving

ความรู้สำหรับผู้บริหาร
ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหาร
สามารถใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสมและเป็นผู้ที่
สามารถใช้เทคโนยีให้เกิดประโยชน์อย่างมี
ประสิทธิภาพในเชิงสร้างสรรค์

การปรับบุคลิกภาพ
เครื่องแต่งกายและทรงผมเป็นส่วนแรกที่
เห็นได้เด่นชัด การเลือกเครื่องแต่งกายให้เหมาะ
กับกาลเทศะ ช่วยเสริมให้บุคลิกภาพดีขึ้น
การเลือกเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมตามแต่ละ
โอกาสนี้ยังหมายรวมถึงการเลือกเครื่องประดับ
กระเป๋า รองเท้า และการตกแต่งทรงผมให้เป็น
ไปในทิศทางเดียวกัน

Management by walking
การบริหารแบบเดินหา หมายถึง การเดินไปพบ
ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทั่วถึงของผู้บริหาร เพื่อ
สอบถามติดตามงานว่าก้าวหน้าไปถึงใหน มี
ปั ญหาอะไรบ้าง โดยเน้นความรับผิด
ชอบ(Responsibility) ของผู้ปฏิบัติ แต่ยังคง
อำนาจหน้าที่อยู่ที่ผู้บริหาร

ดูคนให้ออก บอกคนให้ได้ ใช้คนให้เป็น



"มองคนให้ออก" หมายถึง ผู้นำที่ดี จะต้องมี
วิสัยทัศน์ หรือมุมมองที่ยาวไกล สามารถคาด
คะเนเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ และจะต้องมองลูก
น้องแต่ละคนว่ามีความสามารถที่ดีอย่างไรบ้าง

"บอกคนให้ได้" หมายถึง ผู้นำที่ดี จะต้อง
สามารถทำให้ผู้อื่นเคารพในตนเองได้ ไม่ว่าจะ
เป็นเรื่อง ความรู้ความสามารถ บุคลิกหรือทักษะ
บางอย่าง รวมทั้งการสอนงาน ถ่ายทอดความรู้
ให้ลูกน้อง และจะต้องมีจิตวิทยาในการทำงาน
ร่วมกับคนอื่น เช่น ติในที่ลับ ชมในที่แจ้ง

"ใช้คนให้เป็น" หมายถึง ผู้นำที่ดี จะต้องมี
การมอบหมายงานให้คนอื่นทำตามความเหมาะ
สมและความถนัดของแต่ละคน มีการกระจาย
อำนาจ

ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21



1. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม

2. ทักษะสารสนเทศ สื่อ เทคโนโลยี

3. ทักษะชีวิตและอาชีพ

ทฤษฎีทางการบริหาร



ทฤษฎีแห่งบทบาท คนแต่ละคนจะมีบทบาทของ
ตน 3 อย่าง

1.บทบาทที่พอดี คือ การกระทำที่พอเหมาะพอดี
อยู่ในขอบเขต

2. บทบาทที่ขาดไป คือ การกระทำที่ไม่สมบูรณ์
ไม่ถึงขอบเขตที่กำหนด

3. บทบาทที่ล้นเกิน คือ การกระทำที่เกินบทบาท
ที่ควรเป็น ฉะนั้น เราต้องรู้บทบาทของตนเองว่า
กำลังสวมบทบาทอยู่ในตำแหน่งใดและก็ต้อง
ปฏิบัติให้เหมาะสมกับบทบาทนั้นๆ

ทฤษฎีบูรณาการทางสังคมของ
Osborne and Gaebler




บุคคลแต่ละบุคคลจะได้รับการยอมรับ
จากสมาชิกในกลุ่มจะต้องมีเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง
และเมื่อเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มแล้ว หากแสดง
ความโดดเด่นจนเกินไปก็อาจจะทำให้เป็นภัยต่อ
ตนเอง

“จงทำดี อย่าทำเด่น จะเป็นภัย”
ถ้ามีอะไรดี ค่อยๆปล่อยออกมาเมื่อถึงเวลา

การบริหาร VS การจัดการทฤษฏี

ความต้องการ 5 ขั้นของอีริค ฟอร์ม

(Eric Form)




มีความเชื่อว่าบุคลิกภาพเกิดจากความสำเร็จ
หรือความล้มเหลวของสังคม ความต้องการที่เป็น
พื้นฐานสำคัญของบุคคลมี 5 ประการ ดังนี้
1. ความต้องการมีสัมพันธภาพ มนุษย์เป็นสัตว์
สังคมต้องการสัมพันธภาพกับผู้อื่น
2. ความต้องการสร้างสรรค์ เป็นความต้องการ
สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมของชีวิตให้แตกต่างจาก
สัตว์อื่น
3. ความต้องการมีสังกัด เป็นความต้องการที่จะ
เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ต้องการได้รับการ
ยอมรับจากกลุ่ม
4. ความต้องการมีเอกลักษณ์ เป็นความ
ต้องการเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าตนเองคือใคร
5. ความต้องการมีหลักยึดเหนี่ยว เป็นความ
ต้องการที่จะมีหลักสำหรับอ้างอิงความถูกต้องใน
การกระทำของตน

ทฤษฎีความต้องการความสัมฤทธิ์ผล
ของแมคเคลแลนด์

(McClelland’s Need Theory)

การอยู่ร่วมกันในสังคมและการอบรมเลี้ยงดู
ในวัยเด็กมีส่วนอย่างมากในการหล่อหลอมให้
บุคคลเกิดแรงจูงใจที่ผลักดันให้กระทำ
พฤติกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการ โดย
แมคเคลแลนด์ได้แบ่งความต้องการของมนุษย์
ออกเป็น 3 ประเภท คือ

1. ความต้องการความสำเร็จ เป็นความ
ต้องการที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้เต็มที่และดีที่สุดเพื่อ
ความสำเร็จ มีความสมบูรณ์แบบและได้
มาตรฐานดีเยี่ยม

2. ความต้องการการมีอำนาจ เป็นความ
ต้องการอำนาจเพื่อที่จะควบคุมสิ่งแวดล้อมและมี
อิทธิพลเหนือผู้อื่น

3. ความต้องการทางสังคม เป็นความ
ต้องการได้รับหรือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ต้องการการ
ยอมรับจากกลุ่ม

ทฤษฎีจูงใจของมาสโลว์




Abraham H. Maslow ได้ตั้งสมมติฐาน

เกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ว่ามนุษย์มีความ
ต้องการอยู่เสมอ เมื่อความต้องการได้รับการ
ตอบสนองแล้วจะมีความต้องการสิ่งอื่นเข้ามา
แทนที่ ความต้องการที่ได้รับการตองสนองแล้ว
จะไม่เป็นสิ่งจูงใจอีกต่อไป แต่ความต้องการที่
ยังไม่ได้รับการตอบสนองนั้นจะเป็นสิ่งจูงใจแทน
เป็นกระบวนการเช่นนี้โดยไม่มีที่สิ้นสุด Maslow
แบ่งความต้องการของมนุษย์ เป็น 5 ลำดับขั้น

ดังนี้

ทฤษฎีการจูงใจสุขอนามัยของเฮอร์

เบอร์ก (Herzberg’s Motivation

Hygiene Theory)



มีปั จจัยหรือองค์ประกอบ 2 ประการที่มี
ความสัมพันธ์กับความพึงพอใจและไม่พึงพอใจ
ในการปฏิบัติงาน ได้แก่ ตัวกระตุ้น (Motivator)
และปั จจัยสุขอนามัย (Hygiene)

ตัวกระตุ้น (Motivator) คือ องค์ประกอบที่
ทำให้เกิดความพึงพอใจหรือแรงจูงใจทางบวก
เช่น
-งานที่ปฏิบัติ
-ความรู้สึกเกี่ยวกับความสำเร็จของงาน
-ความรับผิดชอบ
-โอกาสความก้าวหน้า

ปั จจัยสุขอนามัย (Hygiene) คือ องค์
ประกอบที่สนับสนุนความไม่พึงพอใจในการ
ทำงาน เช่น
-แบบการบังคับบัญชา
-ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
-เงินเดือนค่าตอบแทน
-นโยบายของการบริการ

ทฤษฎี X และทฤษฎี Y
ของแมคเกรเกอร์



แมคเกรเกอร์ ได้ชี้ให้เห็นถึงแบบของการ
บริหาร 2 แบบ คือ ทฤษฎี X ซึ่งมีลักษณะเป็น
เผด็จการ และทฤษฎี Y หรือการมีส่วนร่วม
แต่ละแบบเกี่ยวข้องกับสมมุติฐานที่มีต่อลักษณะ
ของมนุษย์ ดังนี้

ทฤษฎีวุฒิภาวะของคริส อากิริส

วุฒิ = สติปั ญญา ฉลาด โง่ ปริญญาวิชาการ
ภาวะ = พฤติกรรม ขยัน ขี้เกียจ ปริญญา

ทฤษฎี X และทฤษฎี Y
ของแมคเกรเกอร์



แมคเกรเกอร์ ได้ชี้ให้เห็นถึงแบบของการ
บริหาร 2 แบบ คือ ทฤษฎี X ซึ่งมีลักษณะเป็น
เผด็จการ และทฤษฎี Y หรือการมีส่วนร่วม
แต่ละแบบเกี่ยวข้องกับสมมุติฐานที่มีต่อลักษณะ
ของมนุษย์ ดังนี้

ทฤษฎีหน้าต่างสี่บานของโจฮารี มีชื่อ
เรียกว่า “ทฤษฎีหน้าต่างดวงใจ”

ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรม
พฤติกรรมที่ดีเกิดจากปั จจัย 8 ประการ

กลุ่มราก
1.ความเฉลียวฉลาด
2.สุขภาพจิตดี
3.ประสบการณ์สังคมสูง
กลุ่มลำต้น
4.ทัศนคติ ค่านิยม คุณธรรม
5.เหตุผลเชิงจริยธรรม
6.แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์
กลุ่มดอกหรือผล
7.มุ่งอนาคต ควบคุมตน
8.ความเชื่ออำนาจในตน

จากทฤษฎีต้นไม้จริยธรรม มนุษย์มีจิตใจและ
ภูมิธรรมที่แตกต่างกัน 3 ประการ ดังนี้
1.มนุษย์ที่มีจิตใจเป็นสัตว์
2.มนุษย์ที่มีจิตใจเป็นคน
3.มนุษย์ที่มีจิตใจเป็นเทวดา

ทฤษฎีบุคลิกภาพของเชลดอน

จะขึ้นอยู่กับรูปร่างที่ปรากฏของบุคคลนั้น
แยกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.ผู้มีรูปร่างอ้วนกลม ป้อม ชอบความสบาย การ
สังคมดี
2.ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแข็งแรง ชอบออก
กำลังกาย จิตใจเป็นนักกีฬา
3.ผู้มีรูปร่างบอบบาง อ่อนแอ ไม่ชอบออกสังคม

ทฤษฎีเรือลอยน้ำ



1.น้ำ หมายถึง ผู้ใต้บังคับบัญชา หากน้ำไม่
ปรารถนาเรือ ก็สามารถล่มเรือได้ เหมือนวัน
ใดที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ยอมรับในตัวผู้บริหาร
ก็อาจร่วมกันร่วมแรงร่วมใจคว่ำผู้บริหารลง
จากตำแหน่งได้

2. เรือ หมายถึง ผู้บริหาร ผู้บริหารต้องได้รับ
การสนับสนุนจากผู้ใต้บังคับบัญชา จึงจะดำรง
ตำแหน่งอยู่ได้ เหมือนเรือที่ลอยได้โดยมีน้ำ
คอยพยุง

ทฤษฎีวัวสองตัว



มนุษย์และสัตว์ เมื่ออยู่ผู้เดียว ไม่ต้องแข่ง
กับใครก็อยู่ตามสบาย เปรียบได้กับวัวตัวเดียวที่
เล็มหญ้าโดยลำพัง ก็จะกินอย่างช้าๆสบายใจ แต่
เมื่อมีวัวอีกตัวเข้ามาอยู่ใกล้ ก็จะรู้สึกว่ามีคู่แข่ง
กลัวว่าหญ้าจะไม่พอกิน ต้องรีบกินเป็นการใหญ่
จึงเกิดแข่งขันขึ้นทันที ดังเช่นมนุษย์เรา เมื่อ
แข่งขันแล้วก็ต้องการเป็นผู้ชนะ

การนำไปใช้กับการบริหาร
-ควรมอบหมายงานคล้ายกันกับหลายกลุ่ม
-เปรียบเทียบกับการปฏิบัติงาน
-เทียบผลงาน
-ผลควรเป็น Win-Win

หลักการบริหารและวิวัฒนาการ



- มีการพัฒนาตามลำดับเริ่มจากอดีต หรือการ
บริหารในระยะแรกๆ นั้น มนุษย์ยังขาด
ประสบการณ์การบริหาร จึงเป็นการลองผิดลอง
ถูก
- การแลกเปลี่ยนประสบการณ์
- เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง หรือมีการ
แลกเปลี่ยนกันในวงจำกัด
-การถ่ายทอดไปยังทายาท ลูกศิษย์ หรือลูกจ้าง

นพพงษ์ บุญจิตราดุล แบ่งวิวัฒนาการ
ของการบริหารออกเป็น 3 ยุค ดังนี้
1.ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific
Management Era) ผู้มีบทบาทสำคัญ ได้แก่
-Frederick W. Taylor
-Henri Fayol
-Luther H. Gulick
-Lyndall Urwick

2.ยุคการบริหารแบบมนุษย์สัมพันธ์ (Human
Relation Era) ผู้มีบทบาทสำคัญ ได้แก่
-Mary P. Follet
-Elton Mayo
-Fritz J. Rocthlisberger

3.ยุคทฤษฎีการบริหาร (The Era of
Administrative Theory) เป็นยุคที่ผสม
ผสานสองยุคแรกเข้าด้วยกัน จึงเป็นยุคบริหาร
เชิงพฤติกรรมศาสตร์ ผู้มีบทบาทสำคัญ ได้แก่
-Chester I. Barnard
-Herbert A. Simon


Click to View FlipBook Version