แนวคิด POSDCORB
แนวคิดของ POSDCORB เกิดขึ้นหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพสหรัฐ ได้รวบรวมนัก
วิชาการเพื่อประเมินข้อผิดพลาดในการบริหาร
จัดการในกองทัพที่ผ่านมา เพื่อใช้ปรับปรุงให้มี
ประสิทธิภาพสูงสุด ในปี ค.ศ. 1937 ลูเธอร์ กูลิค
(Luther Gulick) และ ลินดัล เออร์วิหค์ เสนอ
แนวคิดภาระหน้าที่ที่สำคัญของนักบริหารโดยสรุป
เป็นแนวคิด
บทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร 7 ประการ
หรือ POSDCORB ที่ใช้เป็นเครื่องมือ
สำคัญสำหรับผู้บริหาร ประกอบด้วย
1) P = Planning คือ การวางแผน
2) O = Organization คือ การจัดองค์การ
3) S = Staffing คือ การจัดคนเข้าทำงาน
4) D = Directing คือ การอำนวยการ การสั่งการ
5) Co = Coordinating คือ การประสานงาน
6) R = Reporting คือ การรายงาน
7) B = Budgetting คือ การบริหารงบประมาณ
ทฤษฎีการจัดการตามระบบราชการ
(Bureaucratic management)
ของ Mex Weber
องค์กรควรจะถูกบริหารบนพื้นฐานของ
เหตุผล และไม่เป็นส่วนตัว ลักษณะที่สำคัญของ
องค์การแบบราชการ มีดังนี้
-มีการแบ่งงานกันทำเฉพาะด้าน
-มีการระบุสายการบังคับบัญชาอย่างชัดเจน
-บุคคลจะถูกคัดเลือกและเลื่อนตำแหน่งบนพื้น
ฐานของคุณสมบัติทางเทคนิค
-การบริหารกับการเป็นเจ้าขององค์การจะถูกแยก
จากกัน
-ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้
บังคับบัญชาอยู่บนพื้นฐานของความไม่เป็นส่วนตัว
-มีการกำหนดกฎและระเบียบวิธีการไว้อย่างเป็น
ทางการ
ทฤษฎีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์
(Scientific management
Frederick W. Taylor)
1. ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์และพัฒนาวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับ
การทำงานแต่ละอย่าง
2. ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือก
และการฝึกอบรมพนักงาน และมอบหมายความ
รับผิดชอบให้ทำงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละ
คน
3. มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้
บริหารและพนักงาน
4. แบ่งงานและความรับผิดชอบในงานเป็นส่วน
ต่างๆ
Henry L. Gantt (1861-1919)
Gantt เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในฐานะเป็นผู้พัฒนา
วิธีการอธิบายแผนภาพโดยกราฟแกน
ชาร์ต(Gantt Chart) ซึ่งได้นำมาใช้ในการ
อธิบายถึงการวางแผนการจัดการและการ
ควบคุมองค์การที่มีความซับซ้อน
Henri Fayol
ทฤษฎีบริหารจัดการ POCCC นั้นเน้นการ
บริหารจัดการรอบด้านและครอบคลุม
ตั้งแต่การวางแผน, การปฎิบัติการ, การจัด
โครงสร้างองค์กร ไปจนถึง
การควบคุมการทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่
วางไว้
ทฤษฎี POCCC และหน้าที่ทางด้านการจัดการ
(Management Function)
P – Planning : การวางแผน
O – Organizing : การจัดองค์กร
C – Commanding : การบังคับบัญชาสั่งการ
C – Coordination : การประสานงาน
C – Controlling : การควบคุม
เอลตัน เมโย (Elton Mayo)
สภาพแวดล้อมทางกายภาพ (physical
environment) มีผลต่อประสิทธิภาพในการ
ทำงาน (productivity)
สภาพแวดล้อมทางกายภาพในลักษณะที่
ทำงาน ถูกกำหนดขึ้นโดยปั จจัยต่อไปนี้
1. ความเข้มของแสงสว่าง
2. ระดับของอุณหภูมิ
3. และเงื่อนไขทางกายภาพในการทำงานอื่น ๆ
แนวความคิดของ Mayo จากการทดลองที่
Hawthorn ใกล้เมือง Chicago U.S A
สรุปได้ 5 ประการ คือ
1. ปทัสถานสังคม (ข้อตกลงเบื้องต้นในการ
ทำงาน)
2. กลุ่ม (พฤติกรรมของกลุ่มมีอิทธิพลจูงใจ)
3. การให้รางวัล และการลงโทษ
การควบคุมบังคับบัญชา
4. การควบคุมบังคับบัญชา
5. การบริหารแบบประชาธิปไตย
Balance Scorecard
การบริหารแบบถ่วงดุล
Balanced Scorecard (BSC)
กระบวนในการบริหารงานที่อาศัยการกำหนดตัวชี้
วัด (KPD) แบบสมดุลภาระงานขององค์กร นำ
กลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ (Strategic
Implementation) โดยอาศัยประเมิน
(Measurement) ที่สอดคก้องไปทางเดียวกัน
และมุ่งนันในสิ่งที่มีความลำคัญต่อความลำเร็จของ
องค์กร (Alignmnent and focused)
ตัวชี้วัดในสี่มุมมอง
- มุมมองด้านการเงิน Financial Perspective
- มุมมองด้านลูกค้า Customer Perspective
- มุมมองด้านกระบวนการภายใน Internal
Process Perspective
- มุมมองต้านการเรียนรู้และการพัฒนา Learning
andGrowth Perspective
กระบวนการจัดทำ Balanced Scorecard
-SWOT วิเคราะห์องค์กร ดูความพร้อม
-VISION กำหนดวิสัยทัศน์
-BSC ใช้ทฤษฎีเพื่อทำงาน
-INDICATER กำหนดตัวชี้วัด
-IMPLEMENT ใช้แผน กิจกรรม หรือโครงการ
ประโยชน์และความสำคัญของ Balanced
Scorecard
1. ช่วยทำให้องค์กรกำหนดวิสัยทัศน์และ
ภารกิจชัดเจน
2. วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์เชื่อมโยงกับ
มาตรการได้ชัดเจน
3. เกิดการวางแผน กำหนดเป้าหมาย และ
สร้างสรรค์กิจกรรมเชิงกลยุทธ์ได้ชัดเจน
4. เกิดการสะท้อนกลับและการเรียนรู้ของผู้
บริหาร
Benchmarking
คือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับองค์กร
อื่น ภายใต้กติกาสากล เพื่อนำวิธีที่ดีที่สุดมาใช้
แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
1.Competitive Benchmarking เป็นการ
เปรียบเทียบคู่แข่งกันโดยตรง สินค้าประเภท
เดียวกัน
2.Functional Benchmarking เปรียบเทียบ
ในลักษณะทำมาตรฐานอิงมาจากองค์กรที่เป็นที่
หนึ่งในอุตสาหกรรมนั้น
3. Internal Benchmarking เป็นการเปรียบ
เทียบหน่วยงานในองค์กรเดียวกัน มีความ
ประหยัดและทำง่ายที่สุด
4.Generic Benchmarking เป็นการเปรียบ
เทียบทั่วไป แม้จะต่างกิจกรรมต่างแบบ
แนวทาง Benchmarking
1.แบบกลุ่ม คือ ทั้งองค์กร
2.แบบเดี่ยว คือ บางคน เฉพาะคน
การเตรียมตัว Benchmarking
-การแต่งตั้งผู้รับผิดชอบระดับสูง
-การให้การฝึกอบรมผู้ที่เกี่ยวข้อง
-การเลือกวิธีการทำ Benchmarking (เดี่ยว
หรือกลุ่ม)
-ความพร้อมของทีมงานรวมถึงความเข้าใจ
และปฏิบัติตามจรรยาบรรณของการทำ
Benchmarking
- การประชาสัมพันธ์ภายในองค์กร
ขั้นตอนการทำ Benchmarking
1.การวางแผน (Planning)
2.การวิเคราะห์(Analysis)
3.การบูรณาการ (Integration)
4.การปฏิบัติ(Action)
จรรยาบรรณของการทำ Benchmarking
1.หลักการด้านกฎหมาย
2.หลักการด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล
3.หลักการด้านความลับ
4.หลักการด้านการใช้ข้อมูล (
5.หลักการด้านการติดต่อ
6.หลักการด้านการเตรียมตัว
7.หลักการด้านการทำให้สำเร็จ
8.หลักการด้านความเข้าใจและการปฏิบัติ
ประโยชน์ของ Benchmarking
การใช้ Benchmarking เป็นเครื่องมือใน
การพัฒนาองค์กรทำให้องค์กรสามารถตั้งเป้า
หมายที่ตรงกับความเป็นจริงได้สามารถเพิ่มผลิต
ภาพขององค์กร ทำให้องค์กรมองตัวเองได้ดีขึ้น
ทำให้องค์กรได้ทราบถึงสมรรถนะของตนเองเมื่อ
เทียบกับองค์กรอื่นอีกทั้งเป็นการกระตุ้นให้
พนักงานเกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรในด้านการ
สร้างความพึงพอใจของลูกค้าการลดระยะเวลา
ในการผลิต/ให้บริการ การลดของเสีย การเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการทำงานการส่งมอบ และการ
ลดต้นทุน
C – chief - หัวหน้า
E – Executive – ผู้บริหาร
O – officer – เจ้าหน้าที่
- เกิดจากความฝั น
– ขายความฝั น
– สร้างความฝั นให้เป็นจริง
- เป็นผู้บริหารทางยุทธศาสตร์
-วาดฝั นด้วย วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์
นโยบาย
- มีทั้งปั จจัยการส่งเสริมทั้ง ภายนอก และ ภายใน
- ศักยภาพของ CEO ใช้แก้ปั ญหา ปรับปรุงงาน
เพิ่มพูนประสิทธิภาพ
Total Quality Management (TQM)
Tatal = ทั้งหมดทุกคน, ทุกคนที่เกี่ยวข้องใน
องค์กร
Quality = คุณภาพ
-Sales Volume
-Customers
-Suppliers
-Management
-Shareholders
-Employees
Management = การจัดการ : ผู้บริหารยึดมั่น
ผูกพันอย่างจริงจัง ในกระบวนการบริหารจัดการ
TQM
-บริหารองค์กรที่มุ้งเน้นคุณภาพ
-โดยทุกคนมีส่วนร่วม
-มุ่งผลกำไรระยะยาว
-สร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า
-สมาชิกในองค์กรและสังคมได้ประโยชน์
วัตถุประสงค์ของ TQM
-คุณภาพของสินค้าหรือบริการ
-ใช้ศักยภาพของบุคลากร
-ทุกคนมีส่วนร่วม
-ความอยู่รอดขององค์กร
-เพื่อตนเองและสังคม
หลักการสำคัญ
-Customer Focus
-Quality Focus
-Process Improvement
-Total Involvement
ปั จจัยสนับสนุน
-ภาวะผู้นำ
-การศึกษาอบรม
-โครงสร้างองค์กร
-การติดต่อสื่อสาร
-ขวัญและการยอมรับ
-การวัดผลงาน
มุ่งเน้นที่ลูกค้า = บริการโดยยึดความต้องการ
ลูกค้า
-Marketing Research
-Survey
-Questionnaire
การปรับปรุงกระบวนการ
Right the first Time and Right Every
Time (กระบวนการสามารถทำงานของตนได้
อย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นและถูกต้องทุกครั้ง)
ทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วม
-ผู้ปฏิบัติงานจะรู้ปั ญหาและสามารถปรับปรุง
แก้ไขได้ดีที่สุด
-ทุกคนควรมีโอกาสแสดงข้อเสนอแนะเพื่อการ
ปรับปรุง
-Cross Functional Team
เครื่องมือแห่งคุณภาพ
-Data Collection
-Figures
-Statistics
-Information
Brainstorming
-ความคิดทุกคนมีคุณค่า
-คิดอย่างอิสระ
-เป็นกันเอง
-เสริมต่อความคิด
Why – Why Diagrams
-ทำไมถึงขาดทุน
-ทำไมถึงขายไม่ได้
-ทำไมถึงคุณภาพไม่ดี
-ทำไมออกแบบไม่ดี
-ทำไมไม่มีข้อมูลลูกค้า
How – How Diagrams
-จะเพิ่มจำนวนเด็กได้อย่างไร
-จะปรับปรุงคุณภาพการสอนได้อย่างไร
-จะปรับวิธีการสอนได้อย่างไร
-จะพัฒนาบุคลากรได้อย่างไร
หลัก ECRS
-Eliminate ขจัดขั้นตอนที่สูญเปล่า
-Combine รวบรวมข้อมูลที่คล้ายกันทำพร้อมกัน
-Rearrange จัดลำดับขั้นตอนใหม่ให้สะดวกขึ้น
-Simplify ทำให้ขั้นตอนต่าง ๆ ง่ายขึ้น
รายงานตรวจสอบเพื่อการปรับปรุงของ
ออสบอร์น (Osborne’s Check List)
-Put to Other
-Uses
-Adapt
-Modify แก้ไข
-Magnify ขยาย
-Minify ลงลง
-Substitute ทดแทน
-Reserse หมุนกลับ
-Combine รวมกัน
ผลดีจาก TQM
-Better Quality
-Zero Defect
-Eliminate
-Waste
-Speeding Service
-Participate
-Quality of life
หลักการการบริหารแบบมีส่วนร่วม
การบริหารที่มุ่งจูงใจให้ผู้ร่วมงาน ได้มีส่วน
ร่วมในการตัดสินใจ ร่วมรับผิดชอบในองค์การที่
ตนปฏิบัติงาน อยู่ด้วยความเต็มใจ
เป็นการบริหารที่เห็นความสำคัญของผู้ร่วม
งาน ในฐานะมนุษย์ในองค์การที่มีความสามารถมี
เหตุผล มีวิจารณญาณก่อให้เกิดการระดมสมอง
พลังงานอย่างแข็งขัน เพื่อให้การดำเนินงานเป็น
ไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และสนองต่อ
ความต้องการของมนุษย์ได้ดีที่สุด
การที่ผู้บริหารเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานมีส่วน
ร่วมในการบริหารงานอันได้แก่ การวางแผน การ
ปฏิบัติงาน การนิเทศ ติดตามและประเมินผล
และปรับปรุงแก้ไขงาน
แนวทางนำไปสู่การมีส่วนร่วม
- จะต้องมีเวลาเพียงพอเพื่อสร้างบรรยากาศการ
มีส่วนร่วมก่อนดำเนินงาน
- ผู้ร่วมงานสามารถติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน
ได้อย่างทั่วถึง
- จะต้องไม่ฝ่าฝืน ค่านิยมเศรษฐกิจของมวล
สมาชิก
- ไม่สร้างความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผู้ร่วมงาน
- มีการแนะหรือสอนงานเพื่อให้ผู้ร่วมงานมีความ
อบอุ่นใจ
- เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานแสดงความคิดเห็น
- ให้ควบคุมตนเองและควบคุมกันเอง
- จัดงานให้เหมาะกับความรู้ความสามารถของผู้
ร่วมงาน
ลักษณะบุคคลที่ทำให้เกิด
ความร่วมมือร่วมใจ
1.มีใจกว้าง
2.เป็นคนมีน้ำใจ
3.ซื่อสัตย์สุจริต
4.ตรงต่อเวลา
5.วาจาดี
6.มีมนุษยสัมพันธ์ดี
7.ไม่เอารัดเอาเปรียบ
8.มีความจริงใจเสมอ
9.เสมอต้นเสมอปลาย
10.ปฏิบัติงานตามแผนที่กำหนดไว้
11.ทำตามหน้าที่ที่กำหนด
12.เคารพความคิดความสามารถของผู้อื่น
13.มีความอดทนมุมานะและพากเพียร
14.มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
ขั้นตอนของการมีส่วนร่วม
ขั้นที่ 1 การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
ขั้นที่ 2 การมีส่วนร่วมในการดำเนินการ
ขั้นท่ี 3 การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์
ขั้นที่ 4 การมีส่วนร่วมในการประเมินผล
เราไม่สามารถปรับทิศทางลมได้แต่เราสามารถ
ปรับใบเรือได้
ประโยชน์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
1. การตัดสินใจที่ดีกว่า
2. ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น
3. กำลังใจและความพอใจงานที่ทำมากขึ้น
4. การออกจากงาน การขาดงาน และ
ความเฉื่อยชาน้อยลง
5. การติดต่อสื่อสาร และการยุติความขัดแย้ง
ดีกว่า
ประโยชน์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
1. ด้านองค์การ
-ประเพณีองค์การ
- ปั ญหาค่านิยมองค์การ
- คุณภาพนโยบาย
- คุณภาพของบุคลากร
- โครงสร้างองค์การ
- บรรยากาศองค์การ
2. ด้านการบริหาร
- นิสัยผู้บริหาร
- ขาดความเข้าใจ
- ขาดความมั่นคง
- มีอคติต่อลูกน้อง
- มีความกลัว
- ขาดการสื่อสาร
- มีความกลัว
3. ด้านสถานการณ์
- เวลา
- งาน
- เวลา
- งาน
ประโยชน์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
ทีม คือ กลุ่มของบุคคลที่ทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุ
วัตถุประสงค์เดียวกัน โดยสมาชิกต้องเสียสละ
ความเป็นส่วนตัว มีความเข้าใจ มีความผูกพัน
และให้ความร่วมมือกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ของทีมได้
ทำไมจะต้องทำงานเป็นทีม
-ทำงานเก่งคนเดียว เก่งได้ไม่นาน
-เอาความเก่งของแต่ละคนมารวมกัน
-หลายหัวดีกว่าหัวเดียว
ความสำคัญของทีม
-การสร้างทีมงานและการพัฒนาองค์กรนั้นเป็น
กิจกรรมที่ดีที่สุด
-การทำงานเป็นทีม จะเป็นประโยชน์สูงสุดของ
องค์กรและมีโอกาสประสบผลสำเร็จมากกว่าการ
ทำงานคนเดียว
-แต่การสร้างทีมงานนั้นต้องใช้ เวลา ในการ
พัฒนาบุคคล และพัฒนาทีมงานพอสมควร จึง
จะเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
แนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการทำงาน
ร่วมกันของบุคคล
“No two persons are alike”
ไม่มีคนสองคนที่เหมือนกัน
การยอมรับความแตกต่างของบุคคล
-ทางด้านร่างกาย
-จิตใจ
-อารมณ์
-ความรู้สึก
-บุคลิกภาพ
-ความเชื่อถือ
-ค่านิยม
-ด้านการรับรู้
-ด้านประสบการณ์
-อื่น ๆ
ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
สมาชิกทุกคน จะต้อง
-เข้าใจวัตถุประสงค์และเป้าหมายชัดเจน
-เปิดเผยจริงใจและร่วมกันแก้ปั ญหา
-สนับสนุนไว้วางใจ ยอมรับ และรับฟั งกัน
-ร่วมมือกัน ใช้ความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค์
-ทบทวนการปฏิบัติงานและตื่นตัวตลอดเวลา
-มีการพัฒนาตนเอง
-รู้จักตนเองและรู้จักผู้อื่น เข้าใจต่อเพื่อนร่วม
งานและสามารถร่วมกลุ่มกันได้เป็นอย่างดี
อุปสรรคของการทำงานเป็นทีม
-สามัคคีนั้นดีอยู่แต่ตัวข้าพเจ้าต้องเป็นใหญ่
-ทำงานคนเดียวดีและเก่ง ทำงานหลายคนเจ๊ง
-ต่างคนต่างอยู่ ธุระไม่ใช่
-มากคนก็มากเรื่อง
-ชิงดี ชิงเด่น
-ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้
-มองเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตน มองไม่เห็น
ส่วนทั้งหมด
ปั จจัยที่ทำให้ทีมไม่ประสบความสำเร็จ
-คน
-วิธีการทำงาน
อุปสรรคการทำงานเป็นทีม
1. ขาดการตกลงกันตั้งแต่เริ่มต้น
2. มีการปกปิดข้อมูลผิดพลาดที่ผ่านมาสมาชิก
หลีกเลี่ยงที่จะเผชิญปั ญหา
3. ไม่ได้ใช้วิธีการประชุมหารือ
4. ขาดการวางแผนงานและเวลา
5. ไม่มีการแบ่งความรับผิดชอบ
6. ขาดการประเมินผลการทำงานของทีม
แนวทางการลดปั ญหาในการทำงานเป็นทีม
1. สร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดี
2. มอบหมายงานต้องชัดเจนแน่นอน
3. ยอมรับในเรื่องความแตกต่างของสมาชิก
4. ให้ใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์
สูงสุด
5. ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมาย
6. กำหนดจำนวนผู้ทำงานให้เหมาะสม
7. ให้ทุกคนมีวินัยในการทำงาน และทำตามกฎ
ระเบียบ
8. จะต้องกำหนดกิจกรรมนั้นๆ จะมีวิธีปฏิบัติ
อย่างไร
9. จะต้องทำที่ไหน อย่างไร เพื่ออะไร เวลาใด
โดยใคร
10. จะต้องใช้ทรัพยากรอะไรบ้าง
11. จะประสานกับกิจกรรมอื่น ๆ อย่างไร
ทีมที่ดีควรเป็นอย่างไร
1. สมาชิกทุ่มเทกำลังกาย ความคิด เพื่องานและ
ความสำเร็จ
2. ทุกคนตระหนักว่าเป็นผลงานของทีมไม่ใช่ของ
คนใดคนหนึ่ง
3. ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างจริงใจ เปิด
เผย
4. ไม่มีการเล่นการเมือง
5. แก้ปั ญหาโดยเร็ว
6. แข่งขันกันเพื่อดีกว่า หรือมากกว่า ไม่ใช่
เพื่อเด่นหรือทำลาย
7. เชื่อมั่น และไว้วางใจกัน
8. มีบรรยากาศของการช่วยเหลือเกื้อกูล
9. มีความผิดพลาดจะต้องช่วยกันแก้ไขเหมือน
ของตนเอง
10. ถือความสำเร็จของงานเป็นหลัก เปิดโอกาส
ให้มีการเรียนรู้
ขั้นตอนการทำงานเป็นทีม
1. กำหนดเป้าหมายร่วมกัน
2. วางแผนการทำงาน
3. กำหนดกิจกรรม
4. แบ่งงานให้สมาชิกของทีม
5. ปฏิบัติจริงจามแผน
6. ติดตามผล และนิเทศงาน
7. ประเมินขั้นสุดท้าย
จัดทำโดย
นางสาวพรปรีณัน พสุนธราธรรม
รหัสนักศึกษา 6419050047
นักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัยหาดใหญ่