ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดย ใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อนงค์ สันสมบัติ รายงานวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตร ครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาพลศึกษาและสุขศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2566
ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดย ใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อนงค์ สันสมบัติ รหัสนักศึกษา 62100189108 รายงานวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตร ครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาพลศึกษาและสุขศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2566
สารบัญ บทที่ 1 บทนำ…………………………………………………………………………………………………………………………1 ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัย………………………………………………………………….......1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย……………………………………………………………………………………………...7 สมมติฐานของการวิจัย………………………………………………………………………………………………....7 ขอบเขตการวิจัย…………………………………………………………………………………………………………..7 นิยามศัพท์เฉพาะ…………………………………………………………………………………………………………8 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ…………………………………………………………………………………………..10 บทที่ 2 เอกสารและอ่านวิจัยที่เกี่ยวข้อง………………………………………………………………………………….11 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551……………………………………………………………...12 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา…………………………………………………………………..13 กระบวนการจัดการเรียนการสอนสุขศึกษาและพลศึกษา………………………………………………..16 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้……………………………………………………………………....19 หลักการจัดการเรียนรู้……………………………………….…………………………………………...19 กระบวนการเรียนรู้………………………………………………………………………………………..19 การออกแบบการจัดการเรียนรู้………………………………………………………………………..20 บทบาทครูผู้สอน…………………………………………………………………………………………...20 บทบาทของผู้เรียน…………………………………………………………………………………………20 สื่อการเรียนรู้…………………………………………………………………………………………………20 ทฤษฎีของซิมพ์ซัน……………………………………………………………………………………………………..21 ทักษะพื้นฐานการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล……………………………………………..…………………………22 ทักษะการเล่นลูกสองมือล่าง (Underarm or Dig Pass)…………………………………….22 ทักษะการเล่นลูกสองมือบน (การเซต) (Overhead Pass) (Set)…………………………23 ทักษะการเสิร์ฟลูกวอลเลย์บอล (Service)………………………………………………………..24 ทักษะการตบลูกวอลเลย์บอล (Spiking)…………………………………………………………...24 ทักษะการสกัดกั้น (Block)……………………………………………………………………………..25 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………………………………………….25 กรอบแนวคิด…………………………………………………………………………………………………………….28 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย……………………………………………………………………………………………………...29
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง…………………………………………………………………………………………29 แบบแผนการทดลอง………………………………………………………………………………………….……..29 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………………………………………………………............30 การเก็บรวบรวมข้อมูล………………………………………………………………………………………….…..31 การวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………………………….….32 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………….….32 รายการอ้างอิง……………………………………………………………………………………………………………..........33 ภาคผนวก ก……………………………………………………………………………………………………………………….34 ภาคผนวก ข……………………………………………………………………………………………………………………….62
บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การศึกษาในประเทศไทย เป็นการศึกษาที่จัดโดยกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทย โดย ภาครัฐจะเข้ามาดูแลโดยตรงและเปิดโอกาสให้เอกชนมีส่วนร่วมในการศึกษาตั้งแต่ระดับการศึกษา ปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษา สำหรับการศึกษาภาคบังคับในประเทศไทยนั้นได้กำหนดให้พลเมืองไทย ต้องจบการศึกษาอย่างน้อยที่สุดในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและต้องเข้ารับการศึกษาอย่างช้าสุด เมื่ออายุ 7 ปีซึ่งการศึกษาภาคบังคับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งแบ่งออกเป็นระดับชั้น ประถมศึกษา 6 ปีและมัธยมศึกษา 6 ปี นอกจากนี้แล้วการศึกษาขั้นพื้นฐานยังรวมถึงการศึกษาปฐมวัย อีกด้วยทั้งนี้รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายตามความในรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550ส่วนการบริหารและการควบคุมการศึกษาในระดับอุดมศึกษาจะ ดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของกระทรวงศึกษาธิการ ใน ปัจจุบันการศึกษาในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยอย่างไรก็ตามการจัดการศึกษาของประเทศไทยนั้นถูกมองว่าล้าหลังและล้มเหลว เสมอมากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 ว่า เด็กไทยมี ระดับเชาวน์ปัญญา 98.59 ซึ่งต่ำกว่าค่ามัธยฐานของเชาวน์ปัญญาทั้งโลกที่ระดับ 100 โดยเด็กไทยภาค ตะวันออกเฉียงเหนือมีสติปัญญาน้อยที่สุด สูงขึ้นมาจึงเป็นภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคกลางตามลำดับ การศึกษาเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ ระบบการศึกษาไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันจะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านปรัชญาการศึกษาและทฤษฎีการเรียนการ สอนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีระบบการศึกษาของประเทศใดหยุดนิ่งอยู่กับที่โดยไม่เปลี่ยนแปลงหรือ ปราศจากการศึกษา สังเกตการณ์ ประเมินหรือการวิเคราะห์สภาพการเรียนการสอนและหลักสูตร พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แนวการศึกษาให้ยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมี ความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด โดยฝึกให้ผู้เรียนได้ทั้ง ความรู้ ฝึกทักษะและกระบวนการคิดกระบวนการเรียนการสอนเปรียบเสมือนหัวใจของการศึกษา เป็น กลไกที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ เป็นคนดี มีความรู้ ความคิด ความสามารถ ทั้งในการ พัฒนาคนและอาชีพการงานในสังคมอย่างมีความสุข ซึ่งกระบวนการเรียนการสอนต้องมีการพัฒนาและ นำมาใช้ในการพัฒนาคนให้ทันต่อความเจริญก้าวหน้าของสังคมประเทศชาติและโลก การจัดการเรียน การสอนควรยึดหลักผู้เรียนมีบทบาทด้วยตนเองให้มาที่สุด การเรียนควรเป็นเรื่องของการการทำ (Doing) มากกว่ารู้ (Knowing) เด็กจะต้องกระตือรือร้นในการเรียนมากกว่าคอยแต่จะรับหรืออยู่เฉยๆ
2 ครูจะเป็นผู้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียนให้ผู้เรียนรู้จักที่จะแก้ไขปัญหาของตนเองและสังคม (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) พลศึกษาเป็น “ศาสตร์’’ แขนงหนึ่งที่อยู่บนรากฐานทางวิทยาศาสตร์ และมีความเกี่ยวข้องกับ ศาสตร์แขนงอื่นๆอีกหลายแขนง พลศึกษา มาจากคำว่า “พละ” และ “ศึกษา” พละ แปลว่า กำลัง ส่วนคำว่า ศึกษา แปลว่า การเล่าเรียน เมื่อนำคำทั้งสองคำนี้มารวมกันเป็นคำสมาสสระอะลดรูป รวม เป็น “พลศึกษา” แปลตามรูปศัพท์ว่า การศึกษาเล่าเรียนในการบำรุง ร่างกายโดยการออกกำลังกาย และจากความหมายดังกล่าว ได้มีนักพลศึกษาทั้งของไทยและต่างประเทศได้ให้ความหมายของคำว่า พลศึกษาไว้อย่างกว้างขวาง ดังต่อไปนี้คือ เจย์ บี แนช (Jay B. Nash) พลศึกษาเป็นการศึกษาแขนง หนึ่งในกระบวนการศึกษาทั้งหมด เป็นการศึกษาที่ใช้กิจกรรมเป็นสื่อ เพื่อให้เกิดพัฒนาการทางกาย ทางประสาท ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ ผลเหล่านี้จะประจักษ์ก็ต่อเมื่อได้มีการจัดกิจกรรมพลศึกษาขึ้น ตามสถานที่ต่างๆเช่น สนามกีฬา โรงฝึกพลศึกษา และสระว่ายน้ำ เป็นต้น เอชเธอริงตัน (Hetherington) พลศึกษาหมายถึง สิ่งสำคัญสองประการ คือ เป็นกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ให้ เป็นประโยชน์ต่อร่างกายประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งเป็นกระบวนการศึกษาที่ช่วยให้เด็กเจริญเติบโต มีสุขภาพดี ซึ่งจะช่วยให้เขาสามารถเรียนได้โดยไม่มีอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตแต่อย่างใด กอง วิสุท ธารมณ์ พลศึกษา คือ การฝึกฝนร่างกายให้มีสมรรถภาพดีขึ้นโดยใช้กิจกรรมบางอย่างเป็นเครื่องมือ ประกอบการศึกษา ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีร่างกายเจริญงอกงาม เติบโต แข็งแรง และว่องไว อบรมให้เป็นผู้ ที่มีระเบียบ วินัย หนักแน่น อดทน รู้แพ้ รู้ชนะ สร้างสรรค์สามัคคีวรศักดิ์ เพียรชอบ พลศึกษา คือ การศึกษาแขนงหนึ่ง ซึ่งมีวัตถุประสงค์และความมุ่งหมายเช่นเดียวกับการศึกษาแขนงอื่นๆ คือ ส่งเสริม ให้ผู้เรียนได้มีการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม จะต่างจากวิชาอื่นตรงที่วิธีการ และสิ่งที่นำมาใช้ คือ พลศึกษาใช้กิจกรรมการออกกำลัง หรือการเล่นกีฬาเป็นสื่อในการเรียนโดยใช้ นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมพลศึกษาให้มากที่สุด จรินทร์ ธานีรัตน์ กล่าวว่า การพลศึกษาคือ การศึกษาแขนงหนึ่งที่ใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหวทางกาย (ที่ใช้กล้ามเนื้อใหญ่) เป็นสื่อกลาง (Medium) เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกาย (รูปร่าง) ทางจิตใจ ทางอารมณ์ ทางสังคม และพัฒนาการทางด้าน คุณธรรม ตลอดจนการเป็นพลเมืองดีด้วย สุวิมล ตั้งสัจพจน์ ได้กล่าวถึง พลศึกษาเริ่มขึ้นสมัยกรีก โบราณ ชาวเอเธน และสปาตาร์เป็นกลุ่มคนที่สนใจต่อการออกกำลังกายมาก เขาเรียกกิจกรรมการ เรียนการสอนและการปฏิบัติในสถานกายบริหาร ซึ่งเป็นจุถดเริ่มต้นของพลศึกษาที่ขณะนั้นเรียกว่า “ยิมนาสติก” (Gymnastics) ต่อมาในศตวรรษที่ 17 ความสนใจการออกกำลังกายมาเน้นที่การพัฒนา ร่างกายมากขึ้นทำให้คำว่า “Gymnastics” เปลี่ยนมาเป็น “Physical Activity” ซึ่งหมายรวมถึง กิจกรรมทางร่างกาย(หลวงแคว็ด ณ.นคร,2555) “การเรียนทักษะต่าง ๆ ครูควรกำหนดระยะเวลาและกระจายเวลาในการฝึกให้เหมาะสมใน กิจกรรมการเรียนแต่ละครั้ง โดยทั่วไปการเรียนบ่อยครั้งในระยะเวลาสั้นจะได้ผลที่ดีกว่าการเรียนน้อย
3 ครั้งและครั้งหนึ่งเป็นเวลานาน ๆ” ครูผู้สอนหรือผู้ฝึกกีฬาจำเป็นต้องศึกษา ให้เกิดความรู้และมี ประสบการณ์เกี่ยวกับการสอนที่มีผลต่อการเรียนรู้ทักษะกีฬาของผู้เรียนว่ามีจำนวนครั้งมากน้อย เพียงใด จึงจะเกิดการเรียนรู้ได้ดีและเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน โรงเรียน เนื้อหาวิชา และจุดมุ่งหมายตาม โครงสร้างของหลักสูตร วิชาพลศึกษา (Physical Education) เป็นวิชาที่ส่งเสริมสมรรถภาพทางกาย ของนักเรียน โดยสมรรถภาพทางกาย หมายถึง สภาวะของร่างกายที่อยู่ในสภาพที่ดี เพื่อที่จะช่วยให้เรา เรียน ทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เหนื่อยเร็ว และสามารถฟื้นตัวกลับสู่สภาพ ปกติได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นทางโรงเรียนในประเทศไทยจึงได้จัดให้มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับกีฬา เพื่อผลักดันให้นักเรียนเกิดความสนใจในการออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น ทางโรงเรียนต่างๆในประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการมีร่างกายที่แข็งแรง จิตใจที่แจ่มใส ดังนั้นโรงเรียนจึงมีกีฬาหลากหลาย ชนิดให้นักเรียนได้เรียนเพื่อพัฒนาจิตใจ ร่างกาย และทักษะการออกกำลังกาย ทางโรงเรียนจึงเผยแพร่ ข้อมูลกีฬาที่โรงเรียนได้บรรจุลงในวิชาพลศึกษา นอกจากนี้ทางโรงเรียนยังจัดกิจกรรมกีฬานอกเวลา เรียนสำหรับนักเรียนที่สนใจเล่นกีฬามากขึ้น การเล่นกีฬาวอลเลย์บอลมีทักษะส่วนบุคคลพื้นฐานที่ จำเป็นต้องใช้สำหรับการเล่นหลายประเภทซึ่งผู้เริ่มเล่นวอลเลย์บอลจำเป็นต้องเริ่มฝึกในพื้นฐานเหล่านี้ สำหรับในตอนนี้จะได้นำเสนอทักษะต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการเล่นวอลเลย์บอลในภาพรวมทุกทักษะ เพื่อที่จะได้ทราบว่าแต่ละทักษะมีวิธีการและความสำคัญอย่างไร รูปแบบทักษะพื้นฐาน ซึ่งทักษะ ทั้งหมดจำเป็นต้องใช้ในการแข่งขัน ในการฝึกนอกจากผู้เล่นจะสามารถปฏิบัติทักษะพื้นฐานทั้งหมดได้ แล้วยังต้องสามารถเชื่อมโยงการเล่นในแต่ละทักษะได้ด้วยสำหรับการเล่นเป็นทีมนั้นหากผู้เล่นไม่มีความ ชำนาญในแต่ละทักษะพื้นฐานที่เกี่ยวกับการเล่นวอลเลย์บอลก็จะทำให้การเล่นเป็นทีมทำได้ยาก (คู่มือ การจัดการเรียนรู้สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน,2551) ประวัติกีฬาวอลเลย์บอล กีฬาวอลเลย์บอลกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1895 โดยนายวิลเลียม จี. มอร์ แกน และนายเจมส์ ไนท์สมิธ ผู้อำนวยการฝ่ายพลศึกษาของสมาคม Y.M.C.A. เมืองฮอลโยค รัฐ แมสซาชูเซตส์ ประเทศอเมริกา ซึ่งได้เกิดขึ้นเพียง 1 ปี ก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ ครั้งที่ 1 ณ กรุงเอเธนส์ โดยเขามีความคิดที่ต้องการให้มีกีฬาสำหรับเล่นในช่วงฤดูหนาวแทนกีฬากลางแจ้งเพื่อ ออกกำลังกายพักผ่อนหย่อนใจยามหิมะตก เขาได้เกิดแนวความคิดที่จะนำลักษณะ และวิธีการ เล่นของ กีฬาเทนนิสมาดัดแปลงใช้เล่น จึงใช้ตาข่ายเทนนิสซึ่งระหว่างเสาโรงยิมเนเซียม สูงจากพื้นประมาณ 6 ฟุต 6 นิ้ว และใช้ยางในของลูกบาสเกตบอลสูบลมให้แน่น แล้วใช้มือและแขนตีโต้ข้ามตาข่ายกันไปมา แต่เนื่องจากยางในของลูกบาสเกตบอลเบาเกินไป ทำให้ลูกบอลเคลื่อนที่ช้า และทิศทางที่เคลื่อนไปไม่ แน่นอน จึงเปลี่ยนมาใช้ลูกบาสเกตบอล แต่ลูกบาสเกตบอลก็ใหญ่ หนักและแข็งเกินไป ทำให้มือของผู้ เล่นได้รับบาดเจ็บ จนในที่สุดเขาจึงให้บริษัท Ant G. Spalding and Brother Company ผลิตลูกบอล ที่หุ้มด้วยหนัง และบุด้วยยางมีเส้นรอบวง 25-27 นิ้ว มีน้ำหนัก 8-12 ออนซ์
4 หลังจากทดลองเล่นแล้ว เขาจึงชื่อเกมการเล่นนี้ว่า “มินโทเนตต์”(Mintonette) ค.ศ.1896 ได้มีการ ประชุมสัมมนาผู้นำทางพลศึกษาที่วิทยาลัยสปริงฟิลด์ (Spring-fieldCollege) นายวิลเลียม จี มอร์แกน ได้สาธิตวิธีการเล่นต่อหน้าที่ประชุมหลังจากที่ประชุมได้ชมการสาธิตศาสตราจารย์ อัลเฟรด ที เฮลสเตด (Alfred T. Helstead) ได้เสนอแนะให้มอร์แกนเปลี่ยนจากมินโทเนตต์ (Mintonette) เป็น “วอลเลย์บอล” (Volleyball) โดยให้ความเห็นว่าเป็นวิธีการเล่นโต้ลูกบอลให้ลอยข้ามตาข่ายไปมาใน อากาศ โดยผู้เล่นพยายามไม่ให้ลูกบอลตกพื้นค.ศ. 1928 ดร.จอร์จ เจ ฟิเชอร์ (Dr. George J. Fisher) ได้ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงกติกาการเล่นวอลเลย์บอล เพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลใน ระดับชาติ และได้เผยแพร่กีฬาวอลเลย์บอลจนได้รับสมญานามว่า บิดาแห่งกีฬาวอลเลย์บอล(การกีฬา แห่งประเทศไทย,2562) กีฬาวอลเลย์บอลในประเทศไทย กีฬาวอลเลย์บอลในประเทศไทยนั้นไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด ว่า ได้แพร่หลายเข้ามาในปีใดหรือสมัยใด แต่พอจะอนุมานได้ว่าการเล่นกีฬาวอลเลย์บอลได้มีขึ้นใน ประเทศไทยมากกว่า 60 ปีโดยมากเล่นเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ เมื่อตั้งกรมพลศึกษาขึ้น เมื่อปีพ.ศ. 2476 กรมพลศึกษา เห็นว่าวอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่นักเรียนทั้งหญิง และชายสามารถเล่นได้จึงได้จัดให้ สอนวิชานี้ขึ้นในสถาบันพลศึกษา ในปีพ.ศ. 2477 กรมพลศึกษาได้จัดพิมพ์กติกาวอลเลย์บอลขึ้น โดย อาจารย์นพคุณ พงษ์สุวรรณ เป็นผู้แปล ท่านเป็นผู้ที่มีความชำนาญมากจึงได้รับการเชิญให้เป็น ผู้บรรยายเกี่ยวกับเทคนิควิธีการเล่นตลอดจนกติกาการแข่งขันให้ครูพลศึกษาทั่วประเทศประมาณ 100 คน ในโอกาสที่กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้จัดการอบรมขึ้น และในปีนี้เองกรมพลศึกษาได้จัดให้มีการ แข่งขันกีฬาประจำปีและบรรจุกีฬาวอลเลย์บอลหญิงไว้ในรายการแข่งขันเป็นครั้งแรก ซึ่งในสมัยของ น.อ.หลวงศุภชลาศัย ร.น. ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษาแต่การแข่งขันไม่ใคร่เป็นที่นิยมนัก ทั้งนี้ เพราะเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของแต่ละบุคคล เล่นกันไปตามเรื่องตามราวมิให้ผิดกติกา ส่วนที่จะให้มี ฝีมือนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เพราะไม่มีผู้ชำนาญการโดยเฉพาะมาฝึกสอนให้จึงทำให้การเล่นกีฬา วอลเลย์บอลเสื่อมความนิยมไป แต่ยังคงมีการแข่งขันอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่ปริมาณไม่เพิ่มขึ้น และคุณภาพก็ยัง ไม่ดีพอ ต่อมาได้ทราบกันว่า วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ประเทศใกล้เคียงเช่น ประเทศสาธารณรัฐ ประชาชนจีน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์นิยมเล่นกันมาก และมีฝีมืออยู่ในขั้นมาตรฐาน มีเทคนิคต่างๆ ที่ก่อให้เกิด ความตื่นเต้นไม่เป็นที่น่าเบื่อหน่าย บรรดาผู้ฝึกสอนซึ่งความจริงหาใช่ผู้ชำนาญการโดยเฉพาะไม่ หากแต่ สนใจและพยายามเรียนรู้การเคลื่อนไหวจากต่างประเทศ นำมาถ่ายทอดไปยังผู้ เล่นทำให้เกิดความสนใจในการเล่นกีฬาวอลเลย์บอลกันขึ้นอีกระยะหนึ่งและเจริญมาจนกระทั่งทุวันนี้ (กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา,2556) องค์ประกอบของทักษะกีฬาวอลเลย์บอล 1. การยืนเตรียมพร้อมจะเล่นลูกบอล หรือการทรง ตัวที่ดีนอกจากจะเป็นการเรียกสมาธิแล้ว ยังช่วยให้เคลื่อนตัวที่จะเล่นบอลได้อย่างสะดวก คล่องแคล่ว ว่องไว ไม่ว่าลูกบอลจะมาในลักษณะใด 2. การเคลื่อนที่พื้นฐาน (Basic Movement)การเคลื่อนที่
5 ในกีฬาวอลเลย์บอลจะทำในระยะสั้นแต่ต้องทำด้วยความรวดเร็ว 3. การเล่นลูกมือบน (Set) หรือการ แตะชูลูกบอลหรือการเซตเป็นวิธีการเล่นลูกที่ดีและ มีความแน่นอนที่สุด 4. การเล่นลูกมือล่าง (Underhand) หรือลูกอันเดอร์แฮนด์เป็นวิธีการเล่นลูกโดยใช้แขน ท่อนล่างของทั้งสองมือบังคับหรือส่ง ลูกไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเล่นทีมที่ดีสามารถรับลูกเสิร์ฟหรือลูกตบที่มาใน ลักษณะลูกค่อนข้างแรงของฝ่ายตรงข้ามได้5. การเสิร์ฟ (Service) เป็นการรุกวิธีหนึ่ง การเสิร์ฟที่มี ประสิทธิ์ภาพจะสามารถข่มขู่คู่ แข่งขันได้ทำลายยุทธวิธีการรุกของฝ่ายตรงข้าม ลดภาระการรับของ ฝ่ายตนเอง สร้างโอกาสให้ได้เปรียบในในการโต้ตอบ 6. การตบ (Spiking) เป็นวิธีการที่รุนแรงของฝ่าย ครอบครองลูกบอล ลูกตบที่ประสบความสำเร็จต้องมาจากจังหวะแรกและจังหวะสองที่สัมพันธ์กัน อนุ ภาพของลูกตบยังขึ้นอยู่กับความแรงความเร็วความคล่องตัวและท่าทางที่ใช้ในการตบลูกบอลของผู้เล่น 7. การสกัดกั้น (Blocking) เป็นการที่ฝ่ายรับสกัดกั้นทักษะการตบที่รุนแรงของฝ่ายรุก ขณะเดียว กัน ฝ่ายรับอาจจะเปลี่ยนเป็นการรุกได้ทันที(อุทัย สงวนพงศ์, 2553) การเสิร์ฟลูกบอล เป็นทักษะที่มีความสำคัญต่อการเล่นทีม การเสิร์ฟเป็นการนำลูกบอลเข้าเริ่ม เล่นโดยที่ผู้เล่นแถวหลังขวามือต้องยืนอยู่ในเขตเสิร์ฟและตีลูกบอลด้วยมือข้างเดียวจะแบมือหรือกำมือ ก็ได้เพื่อให้ลูกบอลข้ามตาข่ายไปยังฝั่งตรงข้าม เป้าหมายเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดเกมรุก เพื่อทำ คะแนนให้กับทีม ทีมใดมีความสามารถในการเสิร์ฟลูกบอล เช่น ลูกบอลเคลื่อนที่มาด้วยความเร็วแรงมี ความแม่นยาหรือสามารถบังคับลูกบอลให้ไปตกในทิศใดหรือจุดใดก็ได้ในทีมนั้นก็ย่อมได้เปรียบกว่าฝ่าย ตรงข้ามเสมอ การเสิร์ฟลูกมือล่าง เป็นการเสิร์ฟที่ผู้เล่นทั่วไปควรเสิร์ฟให้ได้ก่อนการเสิร์ฟลูกบอลด้วย วิธีอื่นๆเพราะเป็นการเสิร์ฟที่ฝึกง่ายใช้ทักษะไม่สูงนัก และโอกาสผิดพลาดในการเสิร์ฟมีน้อย การเสิร์ฟ ลูกมือล่างเป็นการเสิร์ฟลูกในขณะที่ลูกบอลลอยต่ำกว่าระดับหัวไหล่ของผู้เสิร์ฟโดยทำได้ ทั้งด้านหน้า และด้านข้างของผู้เสิร์ฟตามความถนัดที่ได้ฝึกฝนมา หลักการเสิร์ฟลูกมือล่าง มีหลักการเสิร์ฟดังต่อไปนี้ 1. ผู้เสิร์ฟยืนในเขตเสิร์ฟหันหน้าเข้าตาข่าย 2. เท้าทั้งสองยืนแยกห่างกัน พอสมควร ส้นเท้าหลังพ้นพื้น 3. ถ้าผู้เสิร์ฟถนัดมือขวา ให้ถือบอลด้วยมือซ้าย หงายฝ่ามือขึ้นรองรับลูกบอล แขนเหยียดตึงอยู่ห่าง ลำตัวประมาณ 1 ฟุต เท้าซ้ายอยู่ข้างหน้าสำหรับผู้เสิร์ฟถนัดมือซ้ายให้ทำตรงกันข้ามกับผู้ถนัดขวา 4. การใช้มืออาจทำได้หลายแบบ เช่น แบมือเก็บปลายนิ้วใช้หลังมือหรือกำมือหลวม ๆ ตีลูกบอล 5. ลักษณะลำตัว ขณะเสิร์ฟให้โน้มตัวไปข้างหน้าน้ำหนักตัวอยู่เท้าหน้าสายตามองอยู่ที่ลูกบอลตลอดเวลา 6. การเหวี่ยงแขน ให้เหวี่ยงแขนขวามาข้างหลังจนสุด พร้อมกับโยนลูกบอลด้วยมือซ้ายขึ้นตรง ๆ สูง ประมาณเหนือศีรษะเล็กน้อย (น้ำหนักอยู่ที่เท้าเล็กน้อย ส้นเท้าเปิดเล็กน้อย) 7. ในจังหวะที่ลูกบอลเริ่มต้นให้เหวี่ยงแขนขวากลับมาที่เดิมกระทบกับลูกบอลในจุดที่มือถือลูกบอลครั้ง แรก 8. แขนที่สัมผัสลูกบอล แขนที่เหวี่ยงไปกระทบลูกบอลต้องเหยียดตึงเสมอ และเมื่อกระทบกับลูก บอลแล้วให้เหวี่ยงแขนตามลูกบอลไปในลักษณะสูงไม่เกินศีรษะของผู้เสิร์ฟ เพื่อบังคับลูกให้ไปตาม ทิศทางที่ต้องการ แขนซ้ายเหวี่ยงไปข้างหลังเพื่อรักษาการทรงตัวก็ได้(อภิศักดิ์ ขำสุข, 2548)
6 รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน (Instructional Model Based on Simpson’s Processes for psycho-Motor Skill Development) ซิ ม พ์ ซั น (Simpson, 1972) กล่าวว่า ทักษะเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการ ทางกายของผู้เรียน เป็น ความสามารถในการประสานการทำงานของกล้ามเนื้อหรือร่างกาย ในการทำงานที่มีความซับซ้อน และ ต้องอาศัยความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน การทำงานดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการสั่งงาน ของสมอง ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทักษะปฏิบัตินี้สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน ซึ่งหากได้รับการฝึกฝนที่ดีแล้ว จะเกิดความถูกต้อง ความคล่องแคล่ว ความเชี่ยวชาญชำนาญการ และ ความคงทน ผลของพฤติกรรมหรือการกระทำสามารถ สังเกตได้จากความรวดเร็ว ความแม่นยำ ความเร็วหรือความราบรื่นในการจัดการ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือทำงานที่ต้องอาศัยการ เคลื่อนไหวหรือการ ประสานงานของกล้ามเนื้อทั้งหลายได้อย่างดี มีความถูกต้องและมีความชำนาญ กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขั้นที่ 1 ขั้นการรับรู้ เป็นขั้นการให้ผู้เรียนรับรู้ในสิ่งที่จะทำโดย การให้ผู้เรียนสังเกตการทำงานนั้นอย่างตั้งใจ ขั้นที่ 2 ขั้นการเตรียมความพร้อม เป็นขั้นการปรับตัวให้ พร้อมเพื่อการทำงานหรือแสดงพฤติกรรมนั้นทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ โดยการปรับตัวให้ พร้อมที่จะเคลื่อนไหวหรือแสดงทักษะนั้น ๆ และมีจิตใจและสภาวะอารมณ์ที่ดีต่อการที่จะทำหรือแสดง ทักษะนั้น ๆ ขั้นที่ 3 ขั้นการสนองตอบภายใต้การควบคุม เป็นขั้นที่ให้โอกาสแก่ผู้เรียนในการ ตอบสนองต่อสิ่งที่รับรู้ ซึ่งอาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนเลียนแบบการกระทำหรือการแสดงทักษะนั้น หรือ อาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนลองผิดลองถูก จนกระทั่งสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง ขั้นที่ 4 ขั้นการให้ลง มือกระทำจนกลายเป็นกลไกที่สามารถกระทำได้เอง เป็นขั้นที่ช่วยให้ ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการ ปฏิบัติ และเกิดความเชื่อมั่นในการทำสิ่งนั้น ๆ ขั้นที่ 5 ขั้นการกระทำอย่างชำนาญ เป็นขั้นที่ช่วยให้ ผู้เรียนได้ฝึกฝนการกระทำนั้น ๆ จนผู้เรียนสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ เป็นไปโดยอัตโนมัติ และด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง ขั้นที่ 6 ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนปรับปรุง ทักษะหรือการปฏิบัติของตนให้ดียิ่งขึ้น และประยุกต์ใช้ทักษะที่ตนได้รับการพัฒนาในสถานการณ์ต่าง ๆ ขั้นที่ 7 ขั้นการคิดริเริ่ม เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างชำนาญ และสามารถ ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเริ่มเกิดความคิดใหม่ ๆ ในการกระทำหรือปรับ การกระทำนั้นให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ ผู้เรียนจะ สามารถกระทำหรือแสดงออกอย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ ในสิ่งที่ต้องการให้ ผู้เรียนทำได้ นอกจากนั้นยัง ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และความอดทนให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนด้วย(รูปแบบการเรียนการสอน ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน,2561) กีฬาวอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ต้องใช้ทักษะต่าง ๆ ในการเล่นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่น การ อันเดอร์ การเซต การตบ และการเสิร์ฟถือเป็นทักษะที่มีความสำคัญต่อการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล โดย รูปแบบการฝึกทักษะต่าง ๆ ที่เหมาะสมควรแยกฝึกทีละส่วนที่ละทักษะย่อย ๆ การเสิร์ฟวอลเลย์บอล
7 ด้วยมือล่าง จึงเป็นทักษะพื้นฐานแรกในการเสิร์ฟวอลเลย์บอล ซึ่งปัญหาที่พบส่วนมากคือนักเรียนขาด ทักษะในการเสิร์ฟวอลเลย์บอลด้วยมือล่าง ผู้วิจัยจึงเห็นว่าทฤษฎีของซิมพ์ซันที่จัดลำดับขั้นของการฝึก ปฏิบัติและเรียนรู้ออกเป็น 7 ขั้น โดยเริ่มจากขั้นที่ง่ายไปหาขั้นที่ยากขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนเกิดประสิทธิภาพ การฝึกทีละทักษะย่อย ๆ ถือเป็นกระบวนการเรียนที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สมมติฐานของการวิจัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) โดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ ซันหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. กลุ่มประชากร ประชากร ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 3 ห้องเรียน จำนวน 72 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านนาดีค่ายสว่างวิทยา ตำบลนาดี อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวน 22 คน ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านนาดีค่ายสว่างวิทยา ตำบลนาดี อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู เนื้อหาสาระ ทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือ วิชาพลศึกษา เรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3
8 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 วิชาวิชาพลศึกษา เรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ตามแผนการจัดการเรียนรู้ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จำนวน 3 แผน ใช้เวลา 6 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน (Instructional Model Based on Simpson’s Processes for psycho-Motor Skill Development) หมายถึง ทักษะมีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการ ทางกายของผู้เรียน เป็นความสามารถในการประสานกา รท างานของกล้ามเนื้อหรือร่างกาย ในการ ทำงานที่มีความซับซ้อน และต้องอาศัยความสามารถในการ ใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน การทำงาน ดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการสั่งงานของสมอง ซึ่งต้องมี ความสัมพันธ์กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทักษะปฏิบัติ นี้สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน ซึ่งหากได้รับการ ฝึกฝนที่ดีแล้ว จะเกิดความถูกต้อง ความคล่องแคล่ว ความเชี่ยวชาญชำนาญการ และความคงทน ผล ของพฤติกรรมหรือการกระทำสามารถ สังเกตได้จากความรวดเร็ว ความแม่นยำ ความเร็วหรือความ ราบรื่นในการจัดการ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือทำงานที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวหรือการ ประสานงานของกล้ามเนื้อทั้งหลายได้อย่างดี มีความถูกต้องและมีความชำนาญ กระบวนการเรียนการ สอนของรูปแบบ ขั้นที่ 1 ขั้นการรับรู้ เป็นขั้นการให้ผู้เรียนรับรู้ในสิ่งที่จะทำ โดยการให้ผู้เรียนสังเกต การ ทำงานนั้นอย่างตั้งใจ ขั้นที่ 2 ขั้นการเตรียมความพร้อม เป็นขั้นการปรับตัวให้พร้อมเพื่อการ ทำงานหรือแสดง พฤติกรรมนั้น ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ โดยการปรับตัวให้พร้อมที่จะ เคลื่อนไหวหรือแสดง ทักษะนั้น ๆ และมีจิตใจและสภาวะอารมณ์ที่ดีต่อการที่จะทำหรือแสดงทักษะนั้น ๆ ขั้นที่ 3 ขั้นการสนองตอบภายใต้การควบคุม เป็นขั้นที่ให้โอกาสแก่ผู้เรียนในการ ตอบสนองต่อสิ่งที่ รับรู้ ซึ่งอาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนเลียนแบบการกระทำหรือการแสดงทักษะนั้น หรือ อาจใช้วิธีการให้ ผู้เรียนลองผิดลองถูก จนกระทั่งสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง ขั้นที่ 4 ขั้นการให้ลงมือกระทำจน กลายเป็นกลไกที่สามารถกระทำได้เอง เป็นขั้นที่ช่วยให้ ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติ และเกิด ความเชื่อมั่นในการทำสิ่งนั้น ๆ ขั้นที่ 5 ขั้นการกระทำอย่างชำนาญ เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการ กระทำนั้น ๆ จนผู้เรียนสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ เป็นไปโดยอัตโนมัติ และด้วยความ เชื่อมั่นในตนเอง ขั้นที่ 6 ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนปรับปรุงทักษะหรือการ ปฏิบัติของตนให้ดียิ่งขึ้น และประยุกต์ใช้ทักษะที่ตนได้รับการพัฒนาในสถานการณ์ต่าง ๆ ขั้นที่ 7 ขั้น การคิดริเริ่ม เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างชำนาญ และสามารถประยุกต์ใช้ใน สถานการณ์ที่หลากหลายแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเริ่มเกิดความคิดใหม่ ๆ ในการกระทำหรือปรับการกระทำนั้น ให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ ผู้เรียนจะสามารถกระทำหรือ
9 แสดงออกอย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ ในสิ่งที่ต้องการให้ ผู้เรียนทำได้ นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ และความอดทนให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนด้วย การจัดการเรียนรู้หมายถึง การออกแบบกระบวนการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามที่ คาดหวัง โดยนำเอาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้ วิธีสอน กิจกรรม เทคนิคการสอน และสื่อ เทคโนโลยี ต่างๆ มาเป็นส่วนประกอบ เพื่อให้เกิดกระบวนการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ การจัดการเรียนพลศึกษา หมายถึง การศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งทางกาย ทางใจ ทางการส่งเสริมสุขภาพและสมรรถภาพ ทั้งยังเป็นการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมออกก าลังกาย ที่ถูกต้อง การสร้างคน ให้รู้จักวิธีการ ส่งเสริมสุขภาพเพื่อให้มีชีวิตที่ยืนยาวและกระทำตนให้เป็น ประโยชน์ต่อสังคมพลศึกษาต้องพัฒนาทั้ง หลักสูตร บทบาทและการเรียนการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียน สามารถเป็นบุคคลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมใน ฐานะนักสุขภาพที่ดี การเสิร์ฟลูกมือล่าง เป็นการเสิร์ฟที่ผู้เล่นทั่วไปควรเสิร์ฟให้ได้ก่อนการเสิร์ฟลูกบอลด้วยวิธี อื่นๆเพราะเป็นการเสิร์ฟที่ฝึกง่ายใช้ทักษะไม่สูงนัก และโอกาสผิดพลาดในการเสิร์ฟมีน้อย การเสิร์ฟ ลูกมือล่างเป็นการเสิร์ฟลูกในขณะที่ลูกบอลลอยต่ำกว่าระดับหัวไหล่ของผู้เสิร์ฟโดยทำได้ ทั้งด้านหน้า และด้านข้างของผู้เสิร์ฟตามความถนัดที่ได้ฝึกฝนมา หลักการเสิร์ฟลูกมือล่าง มีหลักการเสิร์ฟดังต่อไปนี้ 1. ผู้เสิร์ฟยืนในเขตเสิร์ฟหันหน้าเข้าตาข่าย 2. เท้าทั้งสองยืนแยกห่างกัน พอสมควร ส้นเท้าหลังพ้นพื้น 3. ถ้าผู้เสิร์ฟถนัดมือขวา ให้ถือบอลด้วยมือซ้าย หงายฝ่ามือขึ้นรองรับลูกบอล แขนเหยียดตึงอยู่ห่าง ลำตัวประมาณ 1 ฟุต เท้าซ้ายอยู่ข้างหน้าสำหรับผู้เสิร์ฟถนัดมือซ้ายให้ทำตรงกันข้ามกับผู้ถนัดขวา 4. การใช้มืออาจทำได้หลายแบบ เช่น แบมือเก็บปลายนิ้วใช้หลังมือหรือกำมือหลวม ๆ ตีลูกบอล 5. ลักษณะลำตัว ขณะเสิร์ฟให้โน้มตัวไปข้างหน้าน้ำหนักตัวอยู่เท้าหน้าสายตามองอยู่ที่ลูกบอลตลอดเวลา 6. การเหวี่ยงแขน ให้เหวี่ยงแขนขวามาข้างหลังจนสุด พร้อมกับโยนลูกบอลด้วยมือซ้ายขึ้นตรง ๆ สูง ประมาณเหนือศีรษะเล็กน้อย (น้ำหนักอยู่ที่เท้าเล็กน้อย ส้นเท้าเปิดเล็กน้อย) 7. ในจังหวะที่ลูกบอลเริ่มต้นให้เหวี่ยงแขนขวากลับมาที่เดิมกระทบกับลูกบอลในจุดที่มือถือลูกบอลครั้ง แรก 8. แขนที่สัมผัสลูกบอล แขนที่เหวี่ยงไปกระทบลูกบอลต้องเหยียดตึงเสมอ และเมื่อกระทบกับลูก บอลแล้วให้เหวี่ยงแขนตามลูกบอลไปในลักษณะสูงไม่เกินศีรษะของผู้เสิร์ฟ เพื่อบังคับลูกให้ไปตาม ทิศทางที่ต้องการ แขนซ้ายเหวี่ยงไปข้างหลังเพื่อรักษาการทรงตัวก็ได้ นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/7 จำนวน 45 คน โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
10 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนมีทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) 2. นักเรียนมีทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) 4. นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อกีฬาวอลเลย์บอล
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน วิชาพลศึกษา ที่ใช้ แนวความคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนา ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารตำรา งานวิจัยและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย มีรายละเอียดดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 1.1 จุดมุ่งหมาย 1.2 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 2. กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา 2.1 จุดมุ่งหมายของการสอนพลศึกษา 2.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 2.3 คุณภาพของการสอนพลศึกษา 3. กระบวนการจัดการเรียนการสอนสุขศึกษาและพลศึกษา 4. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ 4.1 หลักการจัดการเรียนรู้ 4.2 กระบวนการเรียนรู้ 4.3 การออกแบบการจัดการเรียนรู้ 4.4 บทบาทครูผู้สอน 4.5 บทบาทของผู้เรียน 4.6 สื่อการเรียนรู้ 5. ทฤษฎีของซิมพ์ซัน 5.1 ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ 5.2 วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 5.3 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ 6. ทักษะพื้นฐานการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล 6.1 ทักษะการเล่นลูกสองมือล่าง (Underarm or Dig Pass) 6.2 ทักษะการเล่นลูกสองมือบน (การเซต) (Overhead Pass) (Set)
12 6.3 ทักษะการตบลูกวอลเลย์บอล (Spiking) 6.4 ทักษะการสกัดกั้น (Block) 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 8. กรอบแนวคิด 1.หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 1.1 จุดมุ่งหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมาย เพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้1.2.1 มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของ ตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 1.2.2 มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหาการใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 1.2.3 มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 1.2.4 มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่น ในวิถีชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 1.2.5 มี จิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิต สาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) 1.2 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการ เรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะ สำคัญ 5 ประการ ดังนี้1.2.1 ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มี วัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิดความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูล ข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดย คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 1.2.2 ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิด วิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่าง เหมาะสม 1.2.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
13 ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาและมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อ ตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 1.2.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำ กระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการ ปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสมการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อมและการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 1.2.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมี ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้การสื่อสาร การ ทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) 1.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพล โลก ดังนี้1.4.1 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์1.4.2 ซื่อสัตย์สุจริต 1.4.3 มีวินัย 1.4.4 ใฝ่เรียนรู้1.4.5 อยู่ อย่างพอเพียง 1.4.6 มุ่งมั่นในการทำงาน 1.4.7 รักความเป็นไทย 1.4.8 มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษา สามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) 2. กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา 2.1 จุดมุ่งหมายของการสอนพลศึกษา พลศึกษามุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกมและ กีฬา เป็นเครื่องมือในการพัฒนาโดยรวมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา รวมทั้ง สมรรถภาพเพื่อสุขภาพและกีฬา (คู่มือการจัดการเรียนรู้สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาตาม หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน,2551) 2.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่เป็นกรอบเนื้อหาหรือขอบข่ายองค์ความรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ พลศึกษาประกอบด้วย การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เรื่องธรรมชาติ ของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโต ความสัมพันธ์ เชื่อมโยงในการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงวิธีปฏิบัติตนเพื่อให้เจริญเติบโตและมี พัฒนาการที่สมวัย ชีวิตและครอบครัว ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เรื่องคุณค่าของตนเองและครอบครัว การ ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ความรู้สึกทางเพศ การสร้างและรักษา
14 สัมพันธภาพกับผู้อื่น สุขปฏิบัติทางเพศ และทักษะในการดำเนินชีวิตการเคลื่อนไหว การออกกำลัง กาย การเล่นเกม กีฬาไทย และกีฬาสากล ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ การ เข้าร่วมกิจกรรมทางกายและกีฬา ทั้งประเภทบุคคล และประเภททีมอย่างหลากหลายทั้งไทยและ สากล การปฏิบัติตามกฎ กติกา ระเบียบ และข้อตกลงในการเข้าร่วมกิจกรรมทางกาย และกีฬาและ ความมีน้ำใจนักกีฬา การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพ และการป้องกันโรค ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ เกี่ยวกับหลักและวิธีการเลือกบริโภคอาหาร ผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ การสร้างเสริม สมรรถภาพเพื่อสุขภาพ และการป้องกันโรคทั้งโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อความปลอดภัยในชีวิต ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เรื่องการป้องกันตนเองจากพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ทั้งความเสี่ยงต่อสุขภาพ อุบัติเหตุ ความรุนแรง อันตรายจากการใช้ยาและสารเสพติดรวมถึงแนวทางในการสร้างเสริมความปลอดภัยใน ชีวิต (คู่มือการจัดการเรียนรู้สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน,2551) 2.3 คุณภาพของการสอนพลศึกษา คุณภาพผู้เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีความรู้ และเข้าใจในเรื่องการเจริญเติบโตและ พัฒนาการของมนุษย์ ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการ วิธีการสร้างสัมพันธภาพใน ครอบครัวและกลุ่มเพื่อนมีสุขนิสัยที่ดีในเรื่องการกิน การพักผ่อนนอนหลับ การรักษาความสะอาด อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย การเล่นและการออกกำลังกาย ป้องกันตนเองจากพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่ การใช้สารเสพติด การล่วงละเมิดทางเพศและรู้จักปฏิเสธในเรื่องที่ไม่เหมาะสมควบคุมการเคลื่อนไหว ของตนเองได้ตามพัฒนาการในแต่ละช่วงอายุ มีทักษะ การเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานและมีส่วนร่วมใน กิจกรรมทางกาย กิจกรรมสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ และเกมได้อย่างสนุกสนาน และ ปลอดภัย มีทักษะในการเลือกบริโภคอาหาร ของเล่น ของใช้ ที่มีผลดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงและ ป้องกันตนเองจากอุบัติเหตุได้ปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสมเมื่อมีปัญหาทางอารมณ์ และปัญหา สุขภาพปฏิบัติตนตามกฎ ระเบียบข้อตกลง คำแนะนำ และขั้นตอนต่างๆ และให้ความร่วมมือกับผู้อื่น ด้วยความเต็มใจจนงานประสบความสำเร็จ ปฏิบัติตามสิทธิของตนเองและเคารพสิทธิของผู้อื่นในการ เล่นเป็นกลุ่ม จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้าใจความสัมพันธ์เชื่อมโยงในการทำงานของระบบต่างๆ ของ ร่างกาย และรู้จักดูแลอวัยวะที่สำคัญของระบบนั้นๆ เข้าใจธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม แรงขับทางเพศของชายหญิง เมื่อย่างเข้าสู่วัยแรกรุ่นและวัยรุ่นสามารถ ปรับตัวและจัดการได้อย่างเหมาะสม เข้าใจและเห็นคุณค่าของการมีชีวิต และครอบครัวที่อบอุ่นและ เป็นสุขภูมิใจและเห็นคุณค่าในเพศของตน ปฏิบัติสุขอนามัยทางเพศได้ถูกต้องเหมาะสมป้องกันและ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพและการเกิดโรค อุบัติเหตุ ความรุนแรง สารเสพติด และการล่วงละเมิดทางเพศ มีทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานและการควบคุมตนเองในการเคลื่อนไหว
15 แบบผสมผสาน รู้หลักการเคลื่อนไหวและสามารถเลือกเข้าร่วมกิจกรรมทางกาย เกม การละเล่น พื้นเมือง กีฬาไทย กีฬาสากลได้อย่างปลอดภัยและสนุกสนาน มีน้ำใจนักกีฬา โดยปฏิบัติตามกฎ กติกา สิทธิ และหน้าที่ของตนเอง จนงานสำเร็จลุล่วง วางแผนและปฏิบัติกิจกรรมทางกาย กิจกรรม สร้างเสริมสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพได้ตามความเหมาะสมและความต้องการเป็นประจำจัดการ กับอารมณ์ ความเครียด และปัญหาสุขภาพได้อย่างเหมาะสม มีทักษะในการแสวงหาความรู้ ข้อมูล ข่าวสารเพื่อใช้สร้างเสริมสุขภาพ จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้าใจและเห็นความสำคัญของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการ เจริญเติบโตและพัฒนาการที่มีต่อสุขภาพและชีวิตในช่วงวัยต่าง ๆ เข้าใจ ยอมรับ และสามารถปรับตัว ต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกทางเพศ ความเสมอภาคทางเพศ สร้างและ รักษาสัมพันธภาพกับผู้อื่น และตัดสินใจแก้ปัญหาชีวิตด้วยวิธีการที่เหมาะสม เลือกกินอาหารที่ เหมาะสม ได้สัดส่วน ส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวัย มีทักษะในการประเมินอิทธิพล ของเพศ เพื่อน ครอบครัว ชุมชนและวัฒนธรรมที่มีต่อเจตคติ ค่านิยมเกี่ยวกับสุขภาพและชีวิตและ สามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม ป้องกันและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพและการ เกิดโรค อุบัติเหตุ การใช้ยา สารเสพติด และความรุนแรง รู้จักสร้างเสริมความปลอดภัยให้แก่ตนเอง ครอบครัว และชุมชน เข้าร่วมกิจกรรมทางกาย กิจกรรมกีฬา กิจกรรมนันทนาการ กิจกรรมสร้าง เสริมสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ โดยนำหลักการของทักษะกลไกมาใช้ได้อย่างปลอดภัย สนุกสนาน และปฏิบัติเป็นประจำสม่ำเสมอตามความถนัดและความสนใจ แสดงความตระหนักใน ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมสุขภาพ การป้องกันโรค การดำรงสุขภาพ การจัดการกับอารมณ์และ ความเครียด การออกกำลังกายและการเล่นกีฬากับการมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีสำนึกในคุณค่า ศักยภาพและความเป็นตัวของตัวเอง ปฏิบัติตามกฎ กติกา หน้าที่ความรับผิดชอบ เคารพสิทธิของ ตนเองและผู้อื่น ให้ความร่วมมือในการแข่งขันกีฬาและการทำงานเป็นทีมอย่างเป็นระบบ ด้วยความ มุ่งมั่นและมีน้ำใจนักกีฬา จนประสบความสำเร็จตามเป้าหมายด้วยความชื่นชม และสนุกสนาน จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถดูแลสุขภาพ สร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค หลีกเลี่ยง ปัจจัยเสี่ยง และพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ อุบัติเหตุ การใช้ยา สารเสพติด และความรุนแรงได้อย่างมี ประสิทธิภาพด้วยการวางแผนอย่างเป็นระบบ แสดงออกถึงความรัก ความเอื้ออาทร ความเข้าใจใน อิทธิพลของครอบครัว เพื่อน สังคม และวัฒนธรรมที่มีต่อพฤติกรรมทางเพศ การดำเนินชีวิต และวิถี ชีวิตที่มีสุขภาพดีออกกำลังกาย เล่นกีฬา เข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ กิจกรรมสร้างเสริมสมรรถภาพ เพื่อสุขภาพโดยนำหลักการของทักษะกลไกมาใช้ได้อย่างถูกต้อง สม่ำเสมอด้วยความชื่นชมและ สนุกสนาน แสดงความรับผิดชอบ ให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามกฎ กติกา สิทธิ หลักความปลอดภัย ในการเข้าร่วมกิจกรรมทางกาย และเล่นกีฬาจนประสบความสำเร็จตามเป้าหมายของตนเองและทีม แสดงออกถึงการมีมารยาทในการดู การเล่น และการแข่งขัน ด้วยความมีน้ำใจนักกีฬาและนำไป
16 ปฏิบัติในทุกโอกาสจนเป็นบุคลิกภาพที่ดีวิเคราะห์และประเมินสุขภาพส่วนบุคคลเพื่อกำหนดกลวิธี ลดความเสี่ยง สร้างเสริมสุขภาพ ดำรงสุขภาพ การป้องกันโรค และการจัดการกับอารมณ์และ ความเครียดได้ถูกต้องและเหมาะสม ใช้กระบวนการทางประชาสังคม สร้างเสริมให้ชุมชนเข้มแข็ง ปลอดภัยและมีวิถีชีวิตที่ดี(คู่มือการจัดการเรียนรู้สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาตามหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน,2551) 3. กระบวนการจัดการเรียนการสอนสุขศึกษาและพลศึกษา กระบวนการจัดการเรียนรู้ ในกลุ่มสุขศึกษาและพลศึกษา ต้องจัดเป็นกระบวนการที่ หลากหลาย ต่อเนื่องเหมาะสมกับระดับความสามารถ ความต้องการและความสนใจของผู้เรียน เน้นกิจกรรมที่พัฒนาความสามารถในการตัดสินใจ ตั้งแต่การวางแผน การฝึกปฏิบัติ การตรวจสอบ และการประเมินผลให้ครอบคลุมทางกิจกรรม สุขภาพทางด้านป้องกัน ส่งเสริม และดำรงสุขภาพ โดยการใช้วิธีการเรียนอย่างมีชีวิตชีวา ให้ผู้เรียนฝึกความรับผิดชอบ ฝึกทักษะการคิด ทักษะการ จัดการ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการเผชิญสถานการณ์ การเรียนรู้จากปัญหา และประยุกต์ความรู้มา ใช้ป้องกันและแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง หมั่นฝึกฝนและเอาใจใส่ดูแลสุขภาพตนเองและความแข็งแรง ของร่างกายเข้าร่วมในกิจกรรม พลศึกษาและกีฬาทั้งประเภทบุคคล และประเภททีมได้เรียนรู้ถึง ความสำคัญของการฝึกฝนตนเองตามกฎ กติกา ระเบียบและหลักการวิทยาศาสตร์ ได้แข่งขันและได้ ร่วมกันทำงานเป็นทีม และยอมรับว่าตนเองมีส่วนร่วมหรือเป็นส่วนหนึ่งของสภาวะสุขภาพและความ ปลอดภัยของผู้อื่นด้วย สาระที่ 1 การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ มาตรฐาน พ 1.1 เข้าใจธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ชั้นม.3 ตัวชี้วัด 1. เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลง ทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์สังคม และ สติปัญญา แต่ละช่วง ของชีวิต 2. วิเคราะห์อิทธิพลและความ คาดหวังของสังคมต่อการ เปลี่ยนแปลง ของวัยรุ่น 3. วิเคราะห์สื่อ โฆษณา ที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตและ พัฒนาการของวัยรุ่น สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1.ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและ พัฒนาการด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์สังคม และสติปัญญา 2.การเปลี่ยนแปลง ด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์สังคม และสติปัญญาในแต่ละวัย 3. สื่อ โฆษณา ที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการของวัยรุ่น สาระที่ 2 ชีวิตและครอบครัว มาตรฐาน พ 2.1 เข้าใจและเห็นคุณค่าตนเอง ครอบครัว เพศศึกษา และมีทักษะในการ ดำเนินชีวิต ชั้นม.3
17 ตัวชี้วัด 1. อธิบายอนามัยแม่และเด็ก การวางแผนครอบครัว และวิธีการ ปฏิบัติตนที่ เหมาะสม 2. วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ การตั้งครรภ์3. วิเคราะห์สาเหตุ และเสนอ แนวทาง ป้องกัน แก้ไขความขัดแย้งใน ครอบครัว สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. องค์ประกอบของอนามัยเจริญพันธุ์2. ปัจจัยที่มีผลกระทบ ต่อการ ตั้งครรภ์3. สาเหตุความขัดแย้งในครอบครัว แนวทางป้องกัน แก้ไขความขัดแย้งใน ครอบครัวสาระที่ 3 การเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทย และกีฬาสากล มาตรฐาน พ 3.1 เข้าใจ มีทักษะในการเคลื่อนไหว กิจกรรมทางกาย การเล่นเกม และกีฬา ชั้นม.3 ตัวชี้วัด 1. เล่นกีฬาไทยและกีฬาสากล ได้อย่างละ 1 ชนิดโดยใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับตนเอง และทีม 2. นําหลักการความรู้และทักษะในการเคลื่อนไหว กิจกรรมทางกาย การเล่นกม และการ เล่นกีฬาไปใช่สร้างเสริมสุขภาพอย่างต่อเนื่อง เป็นระบบ 3. ร่วมกิจกรรมนันทนาการอย่างน้อย 1 กิจกรรมและนําหลักความรู้วิธีการไปขยายผลการเรียนรู้ให้กับผู้อื่น สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. เทคนิคและวิธีการเล่นกีฬาไทยและกีฬา สากลที่เลือก เช่น กรีฑาประเภทลู่และลาน วอลเลย์บอล บาสเกตบอล ดาบสองมือ เทนนิส ตะกร้อข้ามตาข่าย ฟุตบอล 2. การนําหลักการ ความรู้ทักษะในการ เคลื่อนไหว กิจกรรมทางกาย การเล่นเกม การ เล่นกีฬาไปใช้ เป็นระบบสร้างเสริมสุขภาพอย่างต่อเนื่อง 3. การจัดกิจกรรมนันทนาการแก่ผู้อื่น สาระที่ 3 การเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทย และกีฬาสากล มาตรฐาน พ 3.2 รักการออกกำลังกาย การเล่นเกม และการเล่นกีฬา ปฏิบัติเป็นประจำอย่าง สม่ำเสมอ มีวินัย เคารพสิทธิ กฎ กติกา มีน้ำใจนักกีฬา มีจิตวิญญาณในการแข่งขัน และชื่นชมใน สุนทรียภาพของการกีฬา ชั้นม.3 ตัวชี้วัด 1. มีมารยาทในการเล่นและดูกีฬา ด้วยความมีน้ำใจนักกีฬา2. ออกกําลังกายและเล่น กีฬาอย่าง สม่ำเสมอและนําแนวคิดหลักการจาก การเล่นไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของตน ด้วยความ ภาคภูมิใจ 3. ปฏิบัติตนตามกฎ กติกา และ ข้อตกลงในการเล่นตามชนิดกีฬาที่ เลือกและนําแนวคิดที่ ได้ไปพัฒนา คุณภาพชีวิต ของตนในสังคม 4. จําแนกกลวิธีการรุก การป้องกัน และใช้ในการเล่นกีฬา ที่เลือกและ ตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสมกับทีมไป ใช้ได้ตามสถานการณ์ของการเล่น สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. มารยาทในการเล่นและการดูกีฬาด้วย ความมีน้ำใจนักกีฬา 2. การออกําลังกายและการเล่นกีฬาประเภท บุคคล และประเภททีม 3. กฎ กติกาและข้อตกลงใน การเล่นกีฬาที่เลือกเล่น การประยุกต์ประสบการณ์การปฏิบัติตาม กฎ กติกา ข้อตกลงในการเล่นกีฬา ไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตของตนในสังคม 4. วิธีการประยุกต์ใช้กลวิธีการรุกและการ ป้องกันในการ เล่นกีฬาได้ตามสถานการณ์ของการเล่น
18 สาระที่ 4 การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค มาตรฐาน พ 4.1 เห็นคุณค่าและมีทักษะในการสร้างเสริมสุขภาพ การดำรงสุขภาพ การ ป้องกันโรค และการสร้างเสริมสมรรถภาพเพื่อสุขภาพ ชั้นม.3 ตัวชี้วัด 1. กำหนดรายการอาหารที่ เหมาะสมกับวัยต่าง ๆ โดยคํานึงถึง ความประหยัดและ คุณค่าทาง โภชนาการ 2. เสนอแนวทางป้องกันโรคที่เป็น สาเหตุสําคัญของการเจ็บป่วยและการ ตาย ของคนไทย 3. รวบรวมข้อมูลและเสนอ แนวทาง แก้ไขปัญหาสุขภาพใน ชุมชน 4. วางแผนและจัด เวลาในการออก กําลังกาย การพักผ่อนและการสร้าง เสริมสมรรถภาพทางกาย 5. ทดสอบ สมรรถภาพทางกาย และพัฒนาได้ตามความแตกต่างระหว่างบุคคล สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. การกําหนดรายการอาหารที่เหมาะสมกับวัย ต่าง ๆ วัยทารก วัยเด็ก (วัยก่อนเรียน วัยเรียน) วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ วัยสูงอายุ โดยคํานึงถึงความ ประหยัดและคุณคำทาง โภชนาการ2. โรคที่เป็นสาเหตุสําคัญของการเจ็บป่วยและ การตายของคนไทย 3. ปัญหาสุขภาพใน ชุมชน แนวทางแก้ไขปัญหาสุขภาพในชุมชน 4. การวางแผนและจัดเวลาในการ ออกกําลังกาย การ พักผ่อน และการสร้างเสริม สมรรถภาพทางกาย 5. การทดสอบสมรรถภาพทางกายแบบต่าง ๆ และ การพัฒนาสมรรถภาพเพื่อสุขภาพ สาระที่ 5 ความปลอดภัยในชีวิต มาตรฐาน พ 5.1 ป้องกันและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ อุบัติเหตุ การ ใช้ยา สารเสพติด และความรุนแรง ชั้นม.3 ตัวชี้วัด 1. วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยง และ พฤติกรรมเสี่ยงที่มีผลต่อสุขภาพและ แนวทางป้องกัน 2. หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและ ชักชวนเพื่อนให้หลีกเลี่ยงการใช้ความ รุนแรงในการแก่ปัญหา 3. วิเคราะห์อิทธิพลของสื่อต่อ พฤติกรรมสุขภาพและความรุนแรง 4.วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของการ ดื่ม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่อ สุขภาพและการเกิดอุบัติเหตุ 5. แสดงวิธีการช่วยฟื้นคืนชีพอย่าง ถูกวิธี สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. ปัจจัยเสี่ยง และพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ แนวทางการป้องกัน ความเสี่ยงต่อสุขภาพ 2. ปัญหาและผลกระทบจากการใช้ความ รุนแรง วิธีหลีกเลี่ยงการใช้ความ รุนแรง 3. อิทธิพลของสื่อต่อพฤติกรรมสุขภาพและ ความรุนแรง (คลิปวิดีโอ การทะเลาะวิวาท อินเทอร์เน็ต เกม ฯลฯ) 4.ความสัมพันธ์ของการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพและการเกิด อุบัติเหต 5. วิธีการช่วยฟื้นคืนชีพ(คู่มือการจัดการเรียนรู้สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาตาม หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน,2551) 4. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้
19 การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญในการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ของผู้เรียน เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติ ตามเป้าหมายหลักสูตร ผู้สอนพยายามคัดสรรกระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียน เรียนรู้ผ่านสาระที่กำหนดไว้ในหลักสูตร 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมทั้งปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ พัฒนาทักษะต่างๆ อันเป็นสมรรถนะสำคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามเป้าหมาย การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญในการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ของผู้เรียน เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติ ตามเป้าหมายหลักสูตร ผู้สอนพยายามคัดสรรกระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียน เรียนรู้ผ่านสาระที่กำหนดไว้ในหลักสูตร 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมทั้งปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ พัฒนาทักษะต่างๆ อันเป็นสมรรถนะสำคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามเป้าหมาย 4.1 หลักการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะ สำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยยึดหลักว่า ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด เชื่อว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตาม ธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมอง เน้นให้ความสำคัญทั้งความรู้ และคุณธรรม (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) 4.2 กระบวนการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่ หลากหลาย เป็นเครื่องมือที่จะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็น สำหรับผู้เรียน อาทิ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้ จาก ประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือทำจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย กระบวนการเหล่านี้เป็น แนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝน พัฒนา เพราะจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ได้ดี บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ดังนั้น ผู้สอน จึงจำเป็นต้องศึกษาทำความเข้าใจใน กระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) 4.3 การออกแบบการจัดการเรียนรู้
20 ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะ สำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน แล้วจึง พิจารณาออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัด และประเมินผล เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพและบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) 4.4 บทบาทครูผู้สอน 1.ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล แล้วนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ท้าทายความสามารถของผู้เรียน 2. กำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ด้านความรู้และ ทักษะกระบวนการ ที่เป็นความคิดรวบยอด หลักการ และความสัมพันธ์ รวมทั้งคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ 3.ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลและ พัฒนาการทางสมอง เพื่อนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย 4. จัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และดูแล ช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ 5. จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรม นำภูมิปัญญา ท้องถิ่น เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน 6. ประเมินความก้าวหน้า ของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสมกับธรรมชาติของวิชาและระดับพัฒนาการของผู้เรียน 7. วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งปรับปรุงการจัดการเรียน การสอนของตนเอง (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) 4.5 บทบาทของผู้เรียน 1.กำหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง 2.เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อความรู้ ตั้งคำถาม คิดหาคำตอบหรือหาแนวทาง แก้ปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ ลงมือปฏิบัติจริง สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในสถานการณ์ต่างๆ มีปฏิสัมพันธ์ ทำงาน ทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มและครู ประเมินและพัฒนา กระบวนการเรียนรู้ของตนเองอย่างต่อเนื่อง (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) 4.6 สื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึง ความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อ การเรียนรู้มีหลากหลายประเภท ทั้งสื่อธรรมชาติ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี และเครือข่าย การเรียนรู้ ต่างๆ ที่มีในท้องถิ่น การเลือกใช้สื่อควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการ และลีลาการ เรียนรู้ที่หลากหลายของผู้เรียน การจัดหาสื่อการเรียนรู้ ผู้เรียนและผู้สอนสามารถจัดทำและพัฒนาขึ้น เอง หรือปรับปรุงเลือกใช้อย่างมีคุณภาพจากสื่อต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัวเพื่อนำมาใช้ประกอบในการ จัดการเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมและสื่อสารให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่าง พอเพียง เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง สถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงาน
21 ที่เกี่ยวข้องและผู้มีหน้าที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรดำเนินการดังนี้ 1. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์ สื่อการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่าย การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพทั้งใน สถานศึกษาและในชุมชน เพื่อการศึกษาค้นคว้าและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ ระหว่าง สถานศึกษา ท้องถิ่น ชุมชน สังคมโลก 2. จัดทำและจัดหาสื่อการเรียนรู้สำหรับการศึกษาค้นคว้าของ ผู้เรียน เสริมความรู้ให้ผู้สอน รวมทั้งจัดหาสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ 3. เลือกและใช้สื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้องกับวิธีการ เรียนรู้ ธรรมชาติของสาระการเรียนรู้ และความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน 4. ประเมิน คุณภาพของสื่อการเรียนรู้ที่เลือกใช้อย่างเป็นระบบ 5. ศึกษาค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้ให้ สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน 6. จัดให้มีการกำกับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและ ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ เกี่ ย ว กั บ สื่ อ แ ล ะ ก า ร ใช้ สื่ อ ก า ร เรี ย น รู้ เป็ น ร ะ ย ะ ๆ แ ล ะ ส ม่ ำ เส ม อ (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) ในการจัดทำ การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ในสถานศึกษา ควรคำนึงถึงหลักการสำคัญของสื่อการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตร วัตถุประสงค์การ เรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เนื้อหามีความถูกต้องและ ทันสมัย ไม่กระทบความมั่นคงของชาติ ไม่ขัดต่อศีลธรรม มีการใช้ภาษาที่ถูกต้อง รูปแบบการนำเสนอ ที่เข้าใจง่าย และน่าสนใจ 5. ทฤษฎีของซิมพ์ซัน รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน (Instructional Model Based on Simpson’s Processes for psycho-Motor Skill Development) 5.1 ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ ซิมพ์ซัน กล่าวว่า ทักษะเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการ ทางกายของผู้เรียน เป็น ความสามารถในการประสานการท างานของกล้ามเนื้อหรือร่างกาย ในการ ทำงานที่มีความซับซ้อน และต้องอาศัยความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน การทำงาน ดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการ สั่งงานของสมอง ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทักษะปฏิบัติ นี้สามารถพัฒนาได้ด้วย การฝึกฝน ซึ่งหากได้รับการฝึกฝนที่ดีแล้ว จะเกิดความถูกต้อง ความคล่องแคล่ว ความเชี่ยวชาญ ชำนาญการ และความคงทน ผลของพฤติกรรมหรือการกระทำสามารถ สังเกตได้จากความรวดเร็ว ความแม่นยำ ความเร็วหรือความราบรื่นในการจัดการ(รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของ ซิมพ์ซัน,2561)
22 5.2 วัตถุประสงค์ของรูปแบบ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือทำงานที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวหรือการ ประสานงาน ของกล้ามเนื้อทั้งหลายได้อย่างดี มีความถูกต้องและมีความชำนาญ (รูปแบบการเรียนการสอนทักษะ ปฏิบัติของซิมพ์ซัน,2561) 5.3 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขั้นที่ 1 ขั้นการรับรู้ เป็นขั้นการให้ผู้เรียนรับรู้ในสิ่งที่จะทำ โดยการให้ผู้เรียนสังเกตการ ทำงานนั้นอย่างตั้งใจ ขั้นที่ 2 ขั้นการเตรียมความพร้อม เป็นขั้นการปรับตัวให้พร้อมเพื่อการทำงานหรือแสดง พฤติกรรมนั้น ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ โดยการปรับตัวให้พร้อมที่จะเคลื่อนไหวหรือแสดง ทักษะนั้น ๆ และมีจิตใจและสภาวะอารมณ์ที่ดีต่อการที่จะทำหรือแสดงทักษะนั้น ๆ ขั้นที่ 3 ขั้นการสนองตอบภายใต้การควบคุม เป็นขั้นที่ให้โอกาสแก่ผู้เรียนในการ ตอบสนอง ต่อสิ่งที่รับรู้ ซึ่งอาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนเลียนแบบการกระทำหรือการแสดงทักษะนั้น หรือ อาจใช้ วิธีการให้ผู้เรียนลองผิดลองถูก จนกระทั่งสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง ขั้นที่ 4 ขั้นการให้ลงมือกระทำจนกลายเป็นกลไกที่สามารถกระทำได้เอง เป็นขั้นที่ช่วยให้ ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติ และเกิดความเชื่อมั่นในการทำสิ่งนั้น ๆ ขั้นที่ 5 ขั้นการกระทำอย่างชำนาญ เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการกระทำนั้น ๆ จน ผู้เรียนสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ เป็นไปโดยอัตโนมัติ และด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง ขั้นที่ 6 ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนปรับปรุงทักษะหรือการ ปฏิบัติของตนให้ดียิ่งขึ้น และประยุกต์ใช้ทักษะที่ตนได้รับการพัฒนาในสถานการณ์ต่าง ๆ ขั้นที่ 7 ขั้นการคิดริเริ่ม เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างชำนาญ และสามารถประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเริ่มเกิดความคิดใหม่ ๆ ในการ กระทำหรือปรับการกระทำนั้นให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ(รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของ ซิมพ์ซัน,2561) 6. ทักษะพื้นฐานการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล 6.1 ทักษะการเล่นลูกสองมือล่าง (Underarm or Dig Pass) (ทรงศักดิ์ เจริญพงศ์) กล่าวว่าการเล่นลูกสองมือล่างหรือลูกอันเดอร์ว่า เป็นวิธีการเล่น ลูกโดยใช้แขนท่อนล่างของทั้งสองมือบังคับหรือส่งลูกบอลให้ไปยังทิศทางหรือตำแหน่งที่ต้องการการ เล่นแบบนี้เป็นปัจจัยสำคัญของการเล่นวอลเลย์บอลอีกอย่างหนึ่ง เพราะพื้นฐานการเล่นทีมที่ดีนั้น ผู้ เล่นจะต้องเล่นลูกสองมือล่างได้ดีก่อน เนื่องจากเป็นเทคนิคหรือวิธีการรับลูกที่มาจากฝ่ายตรงข้ามใน ลักษณะที่ค่อนข้างแรง เช่น ลูกเสิร์ฟหรือลูกตบ หรือลูกที่มาลักษณะต่ำ แต่ในบางโอกาสการเล่นลูก สองมือล่างนี้อาจจะต้องใช้มือเดียวก็ได้ตามแต่โอกาสที่จะเกิดขึ้น
23 วิธีการเล่นลูกสองมือล่าง 1.การย่อเข่าลงท่าเตรียมพร้อม แยกเท้าออก ให้มากกว่าช่วงไหล่เล็กน้อย เท้าขวาอยู่หน้า ยกส้นเท้า เล็กน้อย 2.ตามองที่เป้าหมาย พยายามให้ลูกบอล อยู่หน้าลำตัวระหว่างเท้าทั้งสอง ตามอง ที่เป้าหมาย ที่จะส่งไป ถ้าเป้าหมายอยู่ทางขวาของสนาม ผู้รับต้อง พยายามก้าวเท้าซ้ายก่อน เพื่อเป็น การถ่ายน้ำหนักตัวไปสู่ เท้าขวาในทิศทางเดียวกับเป้าหมาย 3.การแยกเท้าออกให้กว้างขณะเตรียมจะ ส่งลูก เท้าทั้งสองต้องแยกออกให้กว้างและมีความมั่นคง ยกส้นเท้าซ้ายขึ้นเล็กน้อยและพร้อมจะ เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ตามทิศทางของลูกบอล 4.การก้าวเท้าไปหน้าลูก ถ้าจำเป็นต้องใช้การส่งลูกจาก ด้านข้าง จะต้องพยายามรับลูกบอลก่อนที่ ลูกจะเคลื่อนที่เลยไปทางด้านข้างหรือด้านหลัง เท้าจะต้อง ก้าวไปอยู่ในตำแหน่งหน้าลูกบอลเพื่อให้แขนสามารถรับ และควบคุมลูกให้ไปยังเป้าหมายได้5.การอยู่ ด้านหลังลูกบอล ผู้รับจะต้องเคลื่อนที่ ไปรับลูกบอลก่อน ก้มตัวย่อเข่า เท้าทั้งสองพร้อมที่จะเหยียด ขึ้นตามลูกบอล แขนอยู่ห่างจากลำตัวประมาณ 45 องศา กับพื้น และยกแขนขึ้นทำมุม 60 องศาขณะ ถูกลูก 6.แขนทั้งสองชิดกัน ขณะที่ถูกลูกบอลแขน ต้องชิดติดกัน โดยจับมือทั้งสองเข้าด้วยกันบีบ บริเวณข้อศอก เข้าหากัน ห่อไหล่เข้าหากันเล็กน้อย ใช้บริเวณแขนด้านใน ถูกลูกบอลเพื่อการ กระดอนที่ดี7.การยกไหล่ ขึ้น ขณะส่งลูกไหล่ต้องยกขึ้น เหยียดเท้าหลังขึ้น ถ่ายน้ำหนักตัวไปตาม ทิศทางที่ลูกบอล กระดอนออกไป (คู่มือการเล่นวอลเลย์บอล,2542) 6.2 ทักษะการเล่นลูกสองมือบน (การเซต) (Overhead Pass) (Set) การเซตเป็นการเล่นบอลด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมกันหรือมือข้างเดียว โดยมีเป้าหมายสำคัญ ในการเล่นเพื่อส่งบอลไปให้คนตบ การเซตมักจะใช้การเล่นครั้งที่ 2 ในจำนวน 3 ครั้งผู้เล่นฝ่ายหนึ่งมี สิทธิ์เล่นได้ก่อนลูกนั้นจะถูกส่งไปฝ่ายตรงข้าม การเซตนับเป็นทักษะที่ยากที่สุดในการเล่นกีฬา วอลเลย์บอล การเซตก็นับเป็นอาวุธสำคัญในการทำคะแนนของทีมด้วย การที่ทีมจะประสบผลสำเร็จ หรือไม่ในการแข่งขันอาศัยความสามารถในการเซตเป็นเครื่องบ่งชี้ได้60-70% เนื่องจากการเซตเป็น ทักษะที่ฝึกหัดยากและอาจเกิดการผิดกติกาได้ง่าย ถ้าหากยังฝึกหัดได้ไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น จึงไม่ค่อย มีผู้สนใจฝึกหัดเซต ทำให้การเล่นวอลเลย์บอลของนักวอลเลย์บอลชาวไทยโดยทั่วไปยังไม่สมบูรณ์ เท่าที่ควร มาตรฐานการเล่นจึงไม่สามารถทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ ส่วนประกอบของการเซต 1. การทรงตัวให้ยืนเท้านำเท้าตาม โดยจะใช้เท้าใดนำ ก็ได้ช่วงห่างระหว่างเท้าทั้งสอง ประมาณ1ช่วงไหล่หย่อนเข่าลง เล็กน้อย หน้าเงยมองลูก มือทั้งสองยกขึ้นระดับอก อยู่ด้านหน้า 2. การวางมือ เมื่อลูกเคลื่อนมาได้ระยะ ให้ยกมือ ทั้งสองขึ้นมาวางไว้เหนือหน้าผากโดยให้ห่างจาก หน้าผาก ประมาณ 20 เซนติเมตร ศอกทั้งสองข้างวางออกด้านข้าง เป็นมุม 45องศายกขึ้นในระดับ หัวไหล่ตามองลอดช่องระหว่าง มือทั้งสอง มือทั้งสองกางนิ้วออกพอประมาณ ทำมือทั้งสอง ให้คล้าย ลักษณะมีลูกบอลอยู่ในมือไม่เกร็งนิ้วหรือฝ่ามือ 3.การส่งแรง เมื่อลูกบอลเคลื่อนมาเกือบถึงมือให้ผ่อน
24 มือตามลูกลงมาเล็กน้อย ให้บอลสัมผัสมือและนิ้วให้มาก ที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อโอกาสในการบังคับลูก เมื่อมือเริ่มสัมผัส กับลูกบอลให้เกร็งมือและนิ้วต้านน้ำหนักของลูกไว้ถึงตอนนี้มือทั้งสองจะมีระยะห่าง จากหน้าผากประมาณ 10 เซนติเมตร ให้ใช้แรงส่งจากนิ้ว-ข้อมือ-ศอก-หัวไหล่-เข่าและข้อเท้ารวมเป็น แนวเดียว ส่งลูกออกไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (คู่มือการเล่นวอลเลย์บอล,2542) 6.3 ทักษะการเสิร์ฟลูกวอลเลย์บอล (Service) ทรงศักดิ์ เจริญพงศ์ (2542) ได้กล่าวถึงการเสิร์ฟว่า การเสิร์ฟเป็นการนำลูกเข้าสู่การ เล่นโดยผู้เล่นตำแหน่งหลังขวา ด้วยการตีลูกบอลด้วยมือข้างใดข้างหนึ่งหลังจากผู้เสิร์ฟได้โยนหรือ ปล่อยลูกแล้ว การเสิร์ฟโดยทั่วๆ ไปไม่ว่าจะเป็นการยืนเสิร์ฟหรือการกระโดดเสิร์ฟ ผู้เสิร์ฟจะต้อง เสิร์ฟลูกให้แม่นยำและรุนแรง ทั้งนี้เพราะการเสิร์ฟจะสามารถทำคะแนนให้กับทีมได้อีกวิธีหนึ่ง อุทัย สงวนพงศ์ และ สมบัติ คุณามาศปกรณ์ (2543) ได้กล่าวว่า การเสิร์ฟเป็นการรุก วิธีหนึ่งการแข่งขันจะเริ่มจากการเสิร์ฟเสมอลูกเสิร์ฟที่มีพลังและมีประสิทธิภาพ สามารถข่มคู่ต่อสู้และ ชิงความเป็นผู้คุมเกมการเล่นได้ด้วยจุดประสงค์ของการเสิร์ฟอยู่ที่การทำคะแนนโดยตรงทำลาย ยุทธวิธีการรุกของฝ่ายตรงข้าม ลดภาระการตั้งรับของฝ่ายตน สร้างโอกาสที่ได้เปรียบในการตอบโต้ลูก เสิร์ฟที่ดีสามารถทำความหนักใจให้ฝ่ายตรงข้าม อันเป็นการทำลายขวัญและจิตใจของคู่แข่งขัน ทำให้ เกิดความรวนเร ขาดความสัมพันธ์ในการรุกได้ทางหนึ่งด้วย ผู้เล่นจึงควรหาความชำนาญโดยการ ฝึกหัดเสิร์ฟด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งที่เหมาะสมและดีที่สุดหรือตามความถนัดของผู้เล่นแต่ละคน (คู่มือการ เล่นวอลเลย์บอล,2542) 6.4 ทักษะการตบลูกวอลเลย์บอล (Spiking) (ทรงศักดิ์ เจริญพงศ์) กล่าวว่า การตบเป็นทักษะที่ใช้ในการรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สุดทั้งนี้ผู้ตบจะต้องมีความสามารถในการกระโดดได้สูงทรงตัวได้ดีใช้แขนและข้อมือในการตบลูกได้ อย่างรุนแรง ในปัจจุบันถ้าทีมใดมีการรุกจากการตบที่ไม่รุนแรงเมื่อใด ฝ่ายตรงข้ามจะสามารถรุกกลับ ได้โดยง่าย การตบจะต้องมีความสัมพันธ์อย่างดีระหว่างตัวเซตกับ ตัวตบ ดังนั้นการตบจะมี ประสิทธิภาพดีหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับตัวเซตเช่นกัน การตบลูกบอลโดยทั่วไป จะมีหลักการ ที่สำคัญ อยู่ 5 ประการคือ 1. ท่าเตรียม ท่าทางการเตรียมพร้อมที่จะตบลูกบอล โดยยืนแยกเท้าทั้งสองออก ตามธรรมชาติงอเข่าทั้งสองเล็กน้อยโล้ตัวไปข้างหน้าพอสมควรตามองที่ลูกบอลตลอดเวลา เตรียมพร้อมที่จะวิ่ง ไปยังทิศทางต่างๆ 2. การวิ่ง การวิ่งเป็นการเพิ่มแรงให้กระโดดได้สูงขึ้น และเป็น การเลือกจุดและจังหวะของการกระโดด ที่เหมาะสม ก่อนที่จะออกวิ่งผู้ตบต้องคิดคาดคะเนตั้งแต่เมื่อ เห็นเพื่อนร่วมทีมรับลูกบอลจังหวะแรก ที่ส่งไปยังคนเซต โดยคำนวณระยะทาง ทิศทาง ความเร็ว ความโค้งและจุดตกของลูกบอลจาก การเซตลูกจังหวะสอง เมื่อคาดคะเนสิ่งต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ก็ พร้อมที่จะออกวิ่ง 3. การกระโดด จุดมุ่งหมายของการกระโดดเพื่อสร้างความสูงสิ่งที่จะช่วยให้เกิดแรง ส่งให้ลอยตัวสูงขึ้นอีก ก็คือ การเหวี่ยงแขน สปริงข้อเท้า การยืดลำตัว มุมของเข่า คือ ก่อนการ
25 กระโดดเข่าต้องงอเล็กน้อย โน้มตัวไปข้างหน้าเหวี่ยงแขนทั้งสองไปข้างหน้าเหยียดตัวขึ้นพร้อมกับใช้ แรงสปริงจากข้อเท้ากระโดดขึ้น 4. การเหวี่ยงแขน การเหวี่ยงแขนนอกจากจะช่วยให้มีแรงส่งตัวลอย ขึ้นแล้วยังช่วยให้การทรงตัวดีโดยบังคับ ไม่ให้ตัวพุ่งไปข้างหน้าและช่วยให้ลอยตัวอยู่กลางอากาศได้ นาน 5. การลงสู่พื้น เนื่องจากขณะตบลูกบอลจะยกไหล่ขวาขึ้นสูงกว่าไหล่ซ้าย (ผู้ตบลูกบอลด้วยมือ ขวา) ดังนั้น ขณะลงสู่พื้นเท้าซ้ายมักจะลงสู่พื้นก่อน ทำให้เท้าซ้ายต้องรับน้ำหนักมากเกินไปจึงทำให้ ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บ จึงควรฝึกหัดลงสู่พื้นด้วยเท้าคู่ และลงสู่พื้นด้วยปลายเท้าในลักษณะทิ้งย่อ คือ เอนปลายเท้าลงสู่พื้นพร้อมกับงอเข่าพับตัวลงเล็กน้อยเมื่อลงสู่พื้นแล้วให้อยู่ในท่าเตรียมพร้อม ที่จะ เล่นลูกบอลได้ต่อไป การเหวี่ยงแขนและการลงสู่พื้นด้วยเท้าเดียวอย่างนี้ไม่ถูกต้องอาจได้รับ บาดเจ็บ ที่หัวไหล่และหัวเข่าได้ (คู่มือการเล่นวอลเลย์บอล,2542) 6.5 ทักษะการสกัดกั้น (Block) กรมพลศึกษาให้ความหมายการสกัดกั้นไว้ว่าการสกัดกั้น คือวิธีการป้องกันการรุกของ คู่ต่อสู้ที่ถือว่าดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยอาจทำเพียงคนเดียวหรือเป็นกลุ่มก็ได้ การเคลื่อนที่ในการสกัดกั้น 1. แบบสไลด์เท้า การเคลื่อนที่แบบสไลด์เท้าใช้เคลื่อนที่ระยะสั้นๆ โดยการก้าวเท้าไป ข้างๆ แล้วลากอีกเท้าหนึ่งตาม เช่น เคลื่อนที่ไปทางขวา ให้ก้าวเท้าขวาไปข้างๆ 1 ก้าว แล้วลากเท้า ซ้าย ตามเท้าขวา พร้อมกับถีบตัวขึ้นบล็อก 2. แบบก้าวไขว้เท้า การเคลื่อนที่แบบก้าวไขว้เท้านี้ใช้ บล็อกเมื่อลูกบอลอยู่ไม่ไกลตัว สมมุติว่าจะบล็อกทางขวามือให้บิดลำตัวไปทางขวามือเล็กน้อย พร้อม กับถ่ายน้ำหนักตัวไปยังเท้า ขวาแล้วก้าวเท้าซ้ายไขว้หน้าเท้าขวา 1 ก้าว แล้วก้าวเท้าขวาตามไป ขณะที่ก้าวเท้าซ้ายลงสู่พื้นให้บิดปลายเท้าเข้าหาตาข่าย พร้อมกับก้าวเท้าขวาตามในลักษณะเท้า ขนานกันเพื่อหันหน้าเข้าหา ตาข่าย 3. แบบวิ่ง การเคลื่อนที่แบบวิ่งใช้สำหรับการเคลื่อนที่ไปบล็อก ไกลจากตัวผู้บล็อก ถ้าวิ่งเฉียงขนานกับตาข่าย เมื่อถึงตำแหน่งที่จะบล็อกก็ปิดปลายเท้าของก้าว สุดท้ายให้ปลายเท้าชี้เข้าหาตาข่ายแล้วกระโดดขึ้นบล็อกแต่ถ้าวิ่งเร็วมากจนไม่สามารถบิดปลายเท้า เข้าหาตาข่ายได้ทัน ลำตัวก็จะเฉียงเข้าหาตาข่ายในช่วงจังหวะที่กระโดดขึ้นไปแล้วจึงบิดตัวกลาอากาศ เพื่อให้เป็นท่าทาง ในการบล็อกที่ถูกต้อง (คู่มือการเล่นวอลเลย์บอล,2542) 7. วิจัยที่เกี่ยวข้อง ยศวัฒน์ เชื้อจันอัด (2558) การเรียนการสอนพลศึกษาเป็นการเรียนการสอนที่มุ่งให้ นักเรียนมีการเรียนรู้และมีพัฒนาการตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่แตกต่างกันในหลายๆ ด้าน พร้อมๆ กันด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนารูปแบบการเรียนรู้พลศึกษา ด้านทักษะปฏิบัติสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อ พัฒนารูปแบบการเรียนรู้พลศึกษาด้านทักษะปฏิบัติสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มี
26 ประสิทธิภาพ(E1/E2) ตาเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนรู้พล ศึกษาด้านทักษะปฏิบัติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 3) เพื่อศึกษาทักษะปฏิบัติของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้เรียนตามรูปแบบการเรียนรู้พลศึกษาด้านทักษะปฏิบัติ 4) เพื่อศึกษา เจตคติต่อการเรียนวิชาพลศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 26 คน ภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนหนองบัวพิทยาคม จังหวัดนครราชสีมา ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (ClusterRandom Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการเรียนรู้พลศึกษาด้านทักษะปฏิบัติที่มี ค่าความเหมาะสมระดับมากที่สุด (X= 4.57 S.D. = 0.47) 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนมีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ตั้งแต่ 0.22 ถึง 0.64 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.90 3) แบบประเมินทักษะปฏิบัติมีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ตั้งแต่ 0.77 ถึง 0.85 ค่าความเชื่อมั่นทั้ง ฉบับเท่ากับ 0.86 4) แบบวัดเจตคติต่อการวิชาพลศึกษามีค่าอำนาจจำแนกรายข้อตั้งแต่ 0.32 ถึง 0.87มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.75 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1. ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้พลศึกษาด้าน ทักษะปฏิบัติสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 3 ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบคือ 1) แนวคิดและทฤษฎีพื้นฐาน 2) วัตถุประสงค์ 3) ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้มี 6 ขั้นตอนได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นการเตรียมความพร้อม ขั้นที่ 2 ขั้นการลงมือกระทำตามคำสั่ง ขั้นที่ 3 ขั้นการกระทำอย่าง ถูกต้องสมบูรณ์ ขั้นที่ 4 ขั้นการแสดงออก ขั้นที่ 5 ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ ขั้นที่ 6 ขั้น สรุปผล 4) ระบบสังคม 5) หลักการตอบสนอง 6) ระบบสนับสนุน 2. รูปแบบการเรียนรู้พล ศึกษาด้านทักษะปฏิบัติมีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ76.47/76.79 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 3. ค่าดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนรู้พลศึกษาด้านทักษะปฏิบัติ มีค่าเท่ากับ0.7633 แสดงว่า นักเรียนมีความก้าวหน้า 0.7633 หรือคิดเป็นร้อยละ 76.33 4. ทักษะปฏิบัติของ นักเรียนที่ได้เรียนตามรูปแบบการเรียนรู้พลศึกษาด้านทักษะปฏิบัติอยู่ในระดับเกณฑ์คุณภาพดี (X = 13.80 S.D. = 0.51) 5. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีเจตคติต่อการเรียนวิชาพลศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก (X =2.52 S.D. = 0.58) ธชาทัช ไชยมุทา (2561) ผลของโปรแกรมการฝึกวอลเลย์บอลร่วมกับพิลาทิสที่มีต่อ ความสามารถในการเสิร์ฟของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลของโปรแกรมการฝึกวอลเลย์บอลร่วมกับ พิลาทิสที่มีต่อ ความสามารถในการเสิร์ฟของ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน กรุงเทพมหานครฯ จำนวน 30 คน โดยเลือกแบบเจาะจง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มทดลอง จำนวน 15 คน ที่ได้รับการฝึกโปรแกรมการฝึกวอลเลย์บอลร่วมกับพิลาทิส และกลุ่มควบคุม จำนวน 15 คน ที่ได้รับการฝึกโปรแกรมการฝึกวอลเลย์บอลแบบปกติเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
27 ได้แก่ โปรแกรมการฝึกวอลเลย์บอล ร่วมกับพิลาทิสที่มีต่อความสามารถในการเสิร์ฟ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 80 นาที แบบประเมินความสามารถในการเสิร์ฟวอลเลย์บอล ประกอบด้วย 1) แบบประเมินท่าทางการเสิร์ฟ 2) แบบวัดความ แม่นยำการเสิร์ฟวอลเลย์บอล โดยใช้แบบทดสอบของสมาคมสุขศึกษา พลศึกษา และนันทนาการแห่ง สหรัฐอเมริกา (AAHPER Serving Accuracy Test) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความ แตกต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนด้วยค่า“ที”ผลการวิจัยพบว่า 1) ค่าเฉลี่ยผลการทดสอบคะแนน ความสามารถในการเสิร์ฟวอลเลย์บอลนักเรียน กลุ่มทดลอง หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการ ทดลองอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค่าเฉลี่ยผลการทดสอบ คะแนนความสามารถใน การเสิร์ฟวอลเลย์บอล นักเรียนกลุ่มควบคุมหลังการทดลองทดลองสูงกว่าก่อนการ ทดลองอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ค่าเฉลี่ยผลการทดสอบคะแนนความสามารถในการเสิร์ฟ วอลเลย์บอลหลังการทดลองนักเรียนกลุ่มทดลองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 อานุภาพ โม้พิมพ์ (2564) การวิจัยในครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ (1) พัฒนาการ จัดการ เรียนรู้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน เรื่องกีฬาฟุตบอล สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์70/70 (2)ศึกษาทักษะปฏิบัติกีฬาฟุตบอลของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน กลุ่มเป้าหมายได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดท่าเยี่ยม ตำบลพุทไธสง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 17 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน กีฬาฟุตบอล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 6 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง (2) แบบประเมินทักษะ ปฏิบัติกีฬาฟุตบอล จำนวน 7 ฉบับ เป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) (3) แบบทดสอบ วัดความรู้ทักษะปฏิบัติกีฬาฟุตบอล จำนวน 6 ฉบับ เป็นแบบปรนัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล ใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยปรากฏดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน เรื่อง กีฬาฟุตบอล สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 78.50/79.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2. ทักษะ ปฏิบัติกีฬาฟุตบอลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ทักษะ ปฏิบัติของซิมพ์ซัน มีคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนเท่ากับ 46.10 คิดเป็นร้อยละ 76.67 และคะแนน เฉลี่ยจากการทดสอบหลังเรียน เรื่อง กีฬาฟุตบอล เท่ากับ 38.29 คิดเป็นร้อยละ 79.78 หมายความว่า การจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ส่งผลให้ทักษะปฏิบัติกีฬาฟุตบอลของ นักเรียนสูงขึ้นและเป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 70
28 ดร.สมบัติ เกตุสม (2561) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรม การเรียนรู้พลศึกษาตามแนวคิดของ ซิมพ์ซันและแฮร์โรว์ที่มีผลต่อการพัฒนาทักษะปฏิบัติของ นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล รัตนโกสินทร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาภาษาญี่ปุ่น ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 25 คน ซึ่ง ได้มาจากการเลือกสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบวัดความสามารถในทักษะปฏิบัติ และ 2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พลศึกษาตามแนวคิดของซิมพ์ซัน และแฮร์โรว์ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบวัด ความสามารถทักษะปฏิบัติก่อนเรียนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยสถิติค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และวิเคราะห์ความแตกต่าง ของค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถใน ทักษะปฏิบัติ โดยทดสอบค่า t แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (Paired –Samples t-test) วิเคราะห์ คะแนนเฉลี่ยผลต่างของคะแนนหลังเรียนของผู้เรียนแต่ละกลุ่มแยกตาม เพศ เกรดเฉลี่ยสะสม ระบบการศึกษา และที่ตั้งสถานศึกษาที่จบมา โดยใช้ค่าสถิติแบบ (Independent–Samples ttest) และ (One-way-Anova) ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาที่ได รับจัดกิจกรรมการเรียนรูพล ศึกษาตามแนวคิดของซิมพ์ซัน และแฮร์โรว์ มีความสามารถในทักษะปฏิบัติกีฬาแบดมินตันหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความแตกต่างระหว่างเพศ เกรด เฉลี่ยสะสม และที่ตั้งสถานศึกษาที่ จบมา ไม่ส่งผลต่อความสามารถในทักษะปฏิบัติ ซึ่งแตกต่าง กับระบบการศึกษา (การศึกษานอกระบบ) ที่ส่งผลต่อทักษะปฏิบัติ 8. กรอบแนวคิด ทฤษฎีของซิมพ์ซัน 7 ข้นั ข้นัที่1 ข้นัการรับรู้ ข้นัที่2 ข้นัการเตรียมความพร้อม ข้นัที่3 ข้นัการสนองตอบภายใตก้าร ควบคุม ข้นัที่4 ข้นัการใหล้งมือกระทา จน กลายเป็ นกลไกที่สามารถกระท าได้เอง ข้นัที่5 ข้นัการกระทา อยา่งชา นาญ ข้นัที่6 ข้นัการปรับปรุงและ ประยุกต์ใช้ ข้นัที่7 ข้นัการคิดริเริ่ม การจัดการเรียนรู้ วิชาพลศึกษา โดยใช้ ทฤษฎีของเดวีส์ ทักษะ การเสิร์ฟ วอลเลย์บอล ( มือล่าง )
29 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬา วอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ซิมพ์ซัน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ ประชากรและกลุ่ม ตัวอย่าง แบบแผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่1ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านนาดีค่ายสว่างวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 22 คน รูปแบบในการทดลอง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบในการทดลองแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest – Posttest Design) โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60) T1 X T2 T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ซิมพ์ซัน T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest)
30 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาที่ใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีของ ซิมพ์ซัน 1.2 แบบทดสอบทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) 2. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวคิดที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน 2.1.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรสถานศึกษา คู่มือครู แบบเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของกระทรวงศึกษาธิการและเอกสารที่ เกี่ยวข้อง 2.1.3 วิเคราะห์ 2.1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ซิมพ์ซัน เรื่อง ทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ละ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จำนวน 3 .แผน ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ซึ่งมีสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 2.1.4.1 ท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) จำนวน 2 ชั่วโมง 2.1.4.2 ขั้นตอนการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) จำนวน 2 ชั่วโมง 2.1.4.3 การเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) จำนวน 2 ชั่วโมง ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย สาระสำคัญ จุดประสงค์การ เรียนรู้(รายชั่วโมง) สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล 2.1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาที่สร้างขึ้นเสนอต่อหัวหน้ากลุ่ม สาระที่ปรึกษาแล้วนำเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาพลศึกษาเพื่อตรวจสอบความสอดคล้อง ระหว่างผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล โดย ใช้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านพิจารณาลงความคิดเห็นแล้วให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 หมายถึง แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล
31 ให้คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล ให้คะแนน -1 หมายถึง แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องขององค์ประกอบ ของแผนการจัดการเรียนรู้ (Index of Item-objective Congruence : IOC) โดยมีค่าดัชนีความ สอดคล้องตั้งแต่ 0.67 2.1.6 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาตามข้อเสนอแนะ 2.1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิชาพลศึกษาที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ซิมพ์ซัน ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีการดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลใน แต่ละขั้น มีดังนี้ 1. เตรียมนักเรียนก่อนดำเนินการสอน โดยแนะนำวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน ให้นักเรียนมีความรู้การสร้างข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียน ขั้นตอนการ เรียนและบทบาทวิธีการปฏิบัติตนในการเรียนวิชาพลศึกษา ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนทำ การทดลอง 2. ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) วิชาพลศึกษา ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 3. ดำเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาโดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ซิมพ์ซัน เรื่อง ทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) กับ นักเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 3 แผน ใช้เวลา 6 ชั่วโมง 4. ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้ แบบทดสอบทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) วิชาพลศึกษา ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อน การทดลอง โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง 5. นำคะแนนจากแบบทดสอบทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) วิชาพลศึกษา โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ซิมพ์ซัน วิเคราะห์ทาง สถิติโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows)
32 การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎี ของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ดังนี้ 1. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพลศึกษา กีฬาวอลเลย์บอล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดย การหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. เปรียบเทียบทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยเลือกใช้สถิติดังนี้ 1. สถิติพื้นฐานใช้ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ ซัน ประกอบเพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) 2. สถิติที่ใช้วิเคราะห์คุณภาพของเครื่องมือโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป 2.1 หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) R IOC N = เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้อง ∑R แทน ผลรวมของความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนของผู้เชี่ยวชาญ 2.2 ร้อยละ มีสูตรในการคำนวณ f N p = x 100 เมื่อ p แทน ร้อยละ f แทน ความถี่หรือจำนวนข้อมูลที่ต้องการหาร้อยละ n แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด 2.3 ค่าเฉลี่ย ( X ) มีสูตรในการคำนวณ X X = n
33 เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง X แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 2.4 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) มีสูตรในการคำนวณ n X - X ( ) S = n(n - ) 2 2 1 เมื่อ S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน ข้อมูลแต่ละค่าของกลุ่มตัวอย่าง X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง
34 บทที่4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยขอเสนอผลการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนา ทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลัง เรียน ตารางที่ 1 ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อ พัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและ หลังเรียน ลำดับ ก่อนเรียน(30คะแนน) หลังเรียน(30คะแนน) คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 1 15 50 20 67 2 13 43 22 73 3 13 43 24 80 4 12 40 19 63 5 17 57 20 67 6 12 40 20 67 7 15 50 25 83 8 18 60 26 87 9 10 33 19 63 10 15 50 25 83 11 9 30 24 80 12 15 50 22 73 13 12 40 22 73 14 12 40 22 73 15 12 40 23 77 16 16 53 23 77 17 14 47 21 70 18 19 63 21 70 19 12 40 22 73
35 20 12 40 22 73 21 14 47 26 87 22 15 50 27 90 X 22.19 44.82 22.98 76.6 S.D. 2.30 - 2.35 - จากตารางที่ 1 พบว่า ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎี ของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน คะแนนเต็ม 30 คะแนน นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 22.19 คิดเป็นร้อยละ 44.82 และคะแนนหลังเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 22.98 คิดเป็นร้อยละ 76.6 และ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนเท่ากับ 2.30 ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียน เท่ากับ 2.35 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ตารางที่ 2 ตารางผลการเปรียบเทียบของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอล โดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ผลการทดลอง X S.D. ร้อยละ ก่อนเรียน 22.19 2.30 44.82 หลังเรียน 22.98 2.35 76.6 จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนเต็ม 30 คะแนน นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 22.19 คิดเป็นร้อยละ 44.82 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 22.98 คิดเป็นร้อยละ 76.6 หลังเรียน เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
36 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยนำเสนอการสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สมมติฐานของการวิจัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) โดยใช้ทฤษฎีของ ซิมพ์ซัน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน สรุปผลการวิจัย นักเรียนมีทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) โดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะ การเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 13.44 คิดเป็นร้อยละ 44.82 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 22.98 คิดเป็นร้อยละ 76.6 หลังเรียนเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อภิปรายผลการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีประเด็นที่จะอภิปรายผลการวิจัย ดังนี้ จากการศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอุดร พิทยานุกูลนำมาอภิปรายได้ ดังนี้ ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนา ทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล เป็นเวลา 3 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน ได้ทำการวัดทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ด้วย การใช้เครื่องมือ แบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรียน และแผนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้ ทฤษฎีของซิมพ์ซัน ก่อนการฝึกและหลังจากการฝึก พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีทักษะการเสิร์ฟ วอลเลย์บอล (มือล่าง) ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากแบบทดสอบและแผนการจัดการเรียนรู้มีกระบวนการ ฝึกปฏิบัติที่เป็นขั้นเป็นตอน โดยแบบฝึกที่สร้างขึ้นนั้นมีความเหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียน จึง ทำให้นักเรียนอยากที่จะเรียนรู้ ส่งผลทำให้มีพัฒนาการทางด้านร่างกาย และจิตใจที่ดีขึ้น จึงทำ ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้นหลังจากที่ได้ฝึกปฏิบัติตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎี ของซิมพ์ซัน ซึ่งทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) นี้เป็นทักษะที่สำคัญของการเล่นกีฬา
37 วอลเลย์บอล เพราะเป็นทักษะพื้นฐานแรกของการเล่นเป็นทีมที่ดีนั้น ผู้เล่นจะต้องมีทักษะการ เสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ที่ชำนาญก่อนเนื่องจากในการเล่นกีฬาวอลเลย์บอลทุกคะแนนการ เล่นต้องเริ่มจากการเสิร์ฟก่อน และทุกคนในทีมต้องสามารถเสิร์ฟให้ได้ซึ่งสอดคล้องกับ การศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 13.44 คิดเป็นร้อยละ 44.82 และคะแนนเฉลี่ยหลัง เรียนเท่ากับ 22.98 คิดเป็นร้อยละ 76.6 หลังเรียนเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเรียน หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐาน ที่ว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีทักษะการเสิร์ฟ วอลเลย์บอล (มือล่าง) โดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ทั้งนี้อาจเป็น เพราะว่านักเรียนเรียนรู้ได้ดีจากการลงมือปฏิบัติ การสังเกต การใช้รูปแบบการสอนการฝึกที่ เหมาะสมกับวัย ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของธชาทัช ไชยมุทา (2561) ได้ศึกษาผลของโปรแกรม การฝึกวอลเลย์บอลร่วมกับพิลาทิสที่มีต่อความสามารถในการเสิร์ฟของนักเรียนมัธยมศึกษา ตอนต้น ผลการศึกษาพบว่า 1) ค่าเฉลี่ยผลการทดสอบคะแนนความสามารถในการเสิร์ฟ วอลเลย์บอลนักเรียน กลุ่มทดลอง หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่าง มีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ค่าเฉลี่ยผลการทดสอบ คะแนนความสามารถในการเสิร์ฟวอลเลย์บอล นักเรียน กลุ่มควบคุมหลังการทดลองทดลองสูงกว่าก่อนการ ทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ค่าเฉลี่ยผลการทดสอบคะแนนความสามารถในการเสิร์ฟวอลเลย์บอลหลังการทดลองนักเรียน กลุ่มทดลองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 งนี้อาจเป็นเพราะ แผนการจัดการเรียนรู้ที่เอื้อต่อผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการฝึกปฏิบัติภายในกลุ่ม ซึ่งจะ ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยคนที่ปฏิบัติทักษะได้ช่วยสอนนักเรียนคนที่ปฏิบัติ ทักษะไม่ได้ และนักเรียนมีความสนุก ตั้งใจในการทำกิจกรรม จึงทำให้ผลการเรียนหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน และสอดคล้องกับงานวิจัยของ อานุภาพ โม้พิมพ์(2564) ได้ศึกษาทักษะปฏิบัติ กีฬาฟุตบอลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของ ซิมพ์ซัน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดท่าเยี่ยม ตำบลพุทไธสง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์จากการศึกษาผลการวิจัยปรากฏดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของ ซิมพ์ซัน เรื่อง กีฬาฟุตบอล สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 78.50/79.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2. ทักษะปฏิบัติกีฬาฟุตบอลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ชั้นปีที่ 2 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน มีคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียน เท่ากับ 46.10 คิดเป็นร้อยละ 76.67 และคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบหลังเรียน เรื่อง กีฬา ฟุตบอล เท่ากับ 38.29 คิดเป็นร้อยละ 79.78 หมายความว่า การจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของ ซิมพ์ซัน ส่งผลให้ทักษะปฏิบัติกีฬาฟุตบอลของนักเรียนสูงขึ้นและเป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 70
38 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมามีประสิทธิภาพ มีการวางแผนการเรียนที่ดี มีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการเรียนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน การทำกิจกรรม ซึ่งผู้เรียนมีความชอบ จึงทำให้ครูผู้สอน ได้ทำการสอนตามตามแบบแผนและผล ที่ได้คือผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีความเข้าใจ สุดท้ายทำให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น และ สอดคล้องกับงานวิจัยของ ดร.สมบัติ เกตุสม (2561) การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรม การเรียนรู้พลศึกษาตามแนวคิดของ ซิมพ์ซันและแฮร์โรว์ที่มีผลต่อการพัฒนาทักษะปฏิบัติของ นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล รัตนโกสินทร์จากการศึกษาผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาที่ได รับจัดกิจกรรมการเรียนรูพลศึกษาตามแนวคิดของซิมพ์ซัน และแฮร์โรว์ มี ความสามารถในทักษะปฏิบัติกีฬาแบดมินตันหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการจัดกิจกรรมที่อาศัยทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันและแฮร์โรว์จึง ทำให้ได้ผลการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ยศวัฒน์ เชื้อจัน อัด (2558) ได้ศึกษาค้นคว้า พัฒนารูปแบบการเรียนรู้พลศึกษาด้านทักษะปฏิบัติสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากการศึกษาผลการวิจัย พบว่า 1. ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้พล ศึกษาด้านทักษะปฏิบัติสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 3 ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ 1) แนวคิดและทฤษฎีพื้นฐาน 2) วัตถุประสงค์ 3) ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้มี 6 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นการเตรียมความพร้อม ขั้นที่ 2 ขั้นการลงมือกระทำตามคำสั่ง ขั้นที่ 3 ขั้นการ กระทำอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ขั้นที่ 4 ขั้นการแสดงออก ขั้นที่ 5 ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ ขั้นที่ 6 ขั้นสรุปผล 4) ระบบสังคม 5) หลักการตอบสนอง 6) ระบบสนับสนุน 2. รูปแบบการ เรียนรู้พลศึกษาด้านทักษะปฏิบัติมีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ76.47/76.79 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ กำหนด 3. ค่าดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนรู้พลศึกษาด้านทักษะปฏิบัติ มีค่าเท่ากับ 0.7633 แสดงว่า นักเรียนมีความก้าวหน้า 0.7633 หรือคิดเป็นร้อยละ 76.33 4. ทักษะปฏิบัติ ของนักเรียนที่ได้เรียนตามรูปแบบการเรียนรู้พลศึกษาด้านทักษะปฏิบัติอยู่ในระดับเกณฑ์ คุณภาพดี (X = 13.80 S.D. = 0.51) 5. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีเจตคติต่อการเรียนวิชา พลศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก (X =2.52 S.D. = 0.58) จึงสรุปได้ว่า ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ ซัน เพื่อพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอุดร พิทยานุกูล ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง โดยใช้แผนการ จัดการเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน 7 ขั้นตอน เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะกระตุ้นให้เกิดการ พัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) และพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้ผู้ฝึกมีทักษะ พื้นฐานในการเล่นกีฬาวอลเลย์บอลได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการฝึกบ่อยๆ จะทำให้เกิดการพัฒนาทักษะไปใน
39 ทิศทางที่ดีขึ้นจนเกิดความชำนาญ และสามารถพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ รวมถึงพัฒนาทักษะการเล่นกีฬาวอลเลย์บอลให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะเพื่อประโยชน์ต่อการเรียนการสอนและผู้สนใจเพื่อการวิจัยใน ครั้งต่อไป 1. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 1.1 ผู้ที่สนใจควรศึกษาวิธีการสอน ขั้นตอนการสอน โดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซันให้เข้าใจ ก่อนนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ 1.2 ผู้ที่สนใจสามารถนำไปบูรณาการในการสอนทักษะวิชาพลศึกษาในกีฬาอื่นๆได้ 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการศึกษากระบวนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาวอลเลย์บอลโดยใช้ ทฤษฎีของซิมพ์ซัน ในหลายระดับชั้น หรือในกีฬาอื่นๆ 2.2 ควรมีการเปรียบเทียบแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นไปสอนแล้วเปรียบเทียบกับ วิธีการสอนอื่นๆ ในเนื้อหาเดียวกัน และรับชั้นเดียวกัน
40 รายการอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ,กรมวิชาการ.2544. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพมหานคร: พัฒนาคุณภาพวิชาการ: กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 กรุงเทพมหานคร: คุรุสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551).คู่มือการจัดการเรียนรู้สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ตามหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร: องค์การ รับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) อุทัย สงวนพงศ์. (2553). องค์ประกอบของทักษะกีฬาวอลเลย์บอล กรุงเทพฯ : ฝ่ายวิชาการ ทรงศักดิ์ เจริญพงศ์.(2542). คู่มือการเล่นวอลเลย์บอล. กรุงเทพฯ : ฝ่ายวิชาการ กองกีฬา กรมพลศึกษา, 2535. ห้องสมุดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ธชาทัช ไชยมุทา.(2561). ผลของโปรแกรมการฝึกวอลเลย์บอลร่วมกับพิลาทิสที่มีต่อความสามารถ ในการเสิร์ฟของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น. (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตร์มหาบัญฑิต). กรุงเทพฯ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วรศักดิ์ เพียรชอบ. 2527. หลักและวิธีสอนพลศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ไทย วัฒนาพานชิ. อุทัย สงวนพงศ์ และสมบัติ คุณามาศปกรณ์.(2543). คู่มือการฝึกสอนกีฬาวอลเลย์บอลขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : กองวิชาการและฝึกอบรม. การกีฬาแห่งประเทศไทย, 2542 ห้องสมุดมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน . สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2565 . จาก http://parnzyis.blogspot.com/2018/02/31.html อานุภาพ โม้พิมพ์.(2564). การจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดท่าเยี่ยม ตำบลพุทไธสง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์
41 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาพลศึกษา กีฬาวอลเลย์บอล โดยใช้ทฤษฎีของซิมพ์ซัน
42 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ สุขศึกษาและพลศึกษา (พลศึกษา) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ที่1 กีฬาสากล (วอลเลย์บอล) เรื่อง ท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) วัน.......เดือน......................พ.ศ.......... เวลา 1 ชั่วโมง มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน พ 3.1 มีความรู้ความเข้าใจทักษะการเคลื่อนไหว กิจกรรมทางกาย การเล่นเกม ตัวชี้วัด พ 3.1 ม.3/1 เล่นกีฬาไทยและกีฬาสากล อย่างละ 1 ชนิด โดยใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับ ตนเองและทีม จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนอธิบายท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ได้ (K) 2. นักเรียนสามารถทำท่าเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ได้(P) 3. นักเรียนเห็นความสำคัญของท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) (A) สาระสำคัญ กีฬาวอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ต้องใช้ทักษะต่างๆในการเล่น การเสิร์ฟถือเป็นทักษะหนึ่งที่มี ความสำคัญ การเสิร์ฟที่มีประสิทธิภาพ และแม่นยำช่วยทำให้ทีมสามารถเพิ่มโอกาสทำให้ทีมได้ คะแนน สาระการเรียนรู้ ท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) สมรรถนะของผู้เรียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแก้ไขปัญหา 3. ความสามารถในการสื่อสา คุณลักษณะอันพึงประสงค์
43 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน ชิ้นงานหรือภาระงาน - คำถามสำคัญ ถ้านักเรียนเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเกิดอะไรขึ้น กระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูเช็คชื่อ ตรวจสุขภาพ และเครื่องแต่งกาย 2. ครูถามนักเรียนว่านักเรียนรู้จักท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ไหม 3. ให้นักเรียนอบอุ่นร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อม ขั้นอธิบายและสาธิต ขั้นการรับรู้ 1. ครูแจกใบความรู้ เรื่องท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ขั้นการเตรียมความพร้อม 2. ครูอธิบายและสาธิตท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ให้นักเรียนดู ขั้นฝึกปฏิบัติ ขั้นการสนองตอบภายใต้การควบคุม 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 5 กลุ่ม เท่า ๆ กัน 2. ครูให้นักเรียนปฏิบัติท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) โดยครูจะให้ สัญญาณเป็นจังหวะปิด-เปิดในการทำท่า ขั้นการให้ลงมือกระทำจนกลายเป็นกลไกที่สามารถกระทำได้เอง ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ตามกลุ่มของตัวเอง โดยครูจะคอยชี้แนะและให้คำแนะนำในจุดที่นักเรียนทำไม่ถูกต้อง ขั้นการกระทำอย่างชำนาญ
44 1. เมื่อนักเรียนปฏิบัติท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ได้ในระดับหนึ่งแล้ว ครูจะให้ลูกวอลเลย์บอลกับนักเรียนคู่ละ 1 ลูก 2. นักเรียนจะทำท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) โดยครูจะให้เทคนิคการ วิธีการเพิ่มเติม ขั้นนำไปใช้ ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ ครูให้นักเรียนปฏิบัติท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ตั้งแต่ต้นจนจบโดยให้ ทำกับลูกวอลเลย์บอล ขั้นการคิดริเริ่ม ให้นักเรียนปฏิบัติจริงโดยครูจะกำหนดฐานการทรงตัว เพื่อให้นักเรียนเข้าฐานแล้ว ทำท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) ให้ถูกต้อง ขั้นสรุป 1. ครูเรียกรวมนักเรียน 2. ครูให้นักเรียนเข้าแถวเป็นวงกลมแล้วให้ตัวแทนหนึ่งคนออกมานำยืด 3. ครูให้นักเรียนร่วมกันสรุปกิจกรรมที่ได้ปฏิบัติในชั่วโมงเรียน 4. ครูปล่อยนักเรียนให้ทำภารกิจส่วนตัวก่อนไปเรียนคาบต่อไป สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 1. ใบความรู้ เรื่องท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) 2. ลูกวอลเลย์บอล 3. สนามวอลเลย์บอล กระบวนการวัดและการประเมินผล 1. วิธีการวัดและประเมินผล 1.1 ท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) 1.2 สังเกตพฤติกรรมระหว่างเรียน 2. เครื่องมือ 2.1 แบบสังเกตท่าเตรียมการเสิร์ฟวอลเลย์บอล (มือล่าง) 2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียน
45 3. เกณฑ์การประเมิน 3.1 เกณฑ์ผ่านร้อยละ 75% 3.2 ได้รับระดับคุณภาพ 2 ขึ้นไป
46 บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ ผลการจัดการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................... ............. ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ แนวทางการแก้ไขปัญหา .............................................................................................................................................................. .. ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... .........……………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ……..................................................... (นางสาวอนงค์ สันสมบัติ) ผู้สอน ........./................./...........