45
3) วิธีการหรือกลวิธีท่ีจะทาให้นโยบายบรรลุเป้าหมาย (means or strategies) เป็นวิธีการปฏิบัติ
(means) เพอ่ื นาไปสู่การบรรลุเป้าหมาย (end) ของนโยบายตามที่กาหนดไว้ นโยบายหน่งึ ๆ อาจประกอบด้วย
กลวธิ หี ลายกลวิธีทีผ่ ปู้ ฏิบตั ิต้องเลอื กกลวธิ ีท่ดี ีทีเ่ หมาะสมไปใช้
4) ทรัพยากรหรือปัจจัยที่สนับสนุนการดาเนินนโยบาย (resources) หมายถึงทรัพยากรที่เป็นปัจจัย
สนับสนุนให้การดาเนินนโยบายตามวิธีการที่กาหนดบรรลุผล และยังมีทรัพยากรท่ีเป็นองค์ประกอบของ
นโยบายเชน่ คน เงนิ วัสดุ เคร่ืองมอื เคร่อื งจกั ร ฯลฯ
นอกจากน้ันอาจพิจารณาไดจ้ ากที่ ประชุม รอดประเสรฐิ (2545) ได้กลา่ วว่าปัจจัยท่ีเป็นองค์ประกอบ
ของนโยบาย สามารถจาแนกได้ 2 ประเภท คือ
1) ปัจจัยท่ีเป็นองค์ประกอบพ้ืนฐาน (fundamental factor) หมายถึงส่ิงต่างๆ ที่ผู้กาหนดนโยบาย
ต้องคานึงถึงอยู่ตลอดเวลา หากไม่คานึงถึงอาจทาให้นโยบายขาดความสมบูรณ์และไม่สามารถปฏิบัติได้ เช่น
ปจั จัยท่ีเกีย่ วกบั ผลประโยชน์ ปจั จยั ที่เกีย่ วกบั ผ้กู าหนดนโยบาย วิธกี ารหรือกระบวนการในการดาเนินนโยบาย
ปจั จยั ท่ีเกยี่ วกบั ข้อมลู และเอกสารตา่ งๆ
2) ปัจจัยที่เป็นสิ่งแวดล้อม (environmental factors) หมายถึงส่ิงแวดล้อมในสังคมท่ีผู้กาหนด
นโยบายต้องคานึงถึง อาจเป็นเพราะส่ิงแวดล้อมในสังคมมีผลกระทบต่อการกาหนดนโยบาย เช่น ปัจจัยทาง
การเมืองและวัฒนธรรมการเมือง ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางสังคม ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และ
ประวัติศาสตร์ จากการศึกษาองค์ประกอบของนโยบายอาจกล่าวได้ว่านโยบายและกลยุทธ์ต่างเป็นประเภท
ของแผนงาน (types of plan) อนั เปน็ ผลที่ไดจ้ ากกระบวนการวางแผน (planning)
กิ่งพร ทองใบ (2547) กล่าวว่า การวางแผนเป็นหน้าท่ีทางการบริหาร (managerial functions)
หมายถึงกระบวนการในการกาหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในอนาคตขององค์การเพื่อให้เป็นแนวทางใน
การหาวิธีดาเนนิ งานให้บรรลเุ ป้าหมายหรอื วัตถุประสงคท์ ่ตี ัง้ ไว้ซง่ึ ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 3 ประการคอื
1) จะตอ้ งเป็นเรื่องเกยี่ วกบั อนาคต
2) จะต้องเป็นการกระทา และ
3) จะต้องเป็นการกระทาที่ต่อเน่ืองจนสาเร็จตามเป้าหมาย ดังน้ันการวางแผนจึงเป็นกระบวนการ
วิเคราะห์เพื่อเช่ือมโยงระหว่างปัจจุบันเข้ากับอนาคตด้วยการพิจารณากาหนดวัตถุประสงค์และการเลือกแนว
ทางการดาเนินงานเพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์เรียกว่ากลยุทธ์ ส่วนแนวทางในการตัดสินใจดาเนินงานระหว่าง
ทางเลือกทั้งหลาย เรียกว่านโยบาย ดังน้ันกลยุทธ์และนโยบายจึงเป็นแผนระยะยาวขององค์การที่กาหนดข้ึน
เพื่อใหก้ ารดาเนนิ งานบรรลเุ ปา้ หมายที่กาหนดไว้
4. การจดั การองค์การและการวางแผน
การจัดองคก์ าร (Organizing) คือการจดั ระเบียบกจิ กรรมต่าง ๆ ในองคก์ าร และมอบหมายงาน
ใหค้ นปฏบิ ตั เิ พื่อให้บรรลสุ าเร็จตามวัตถปุ ระสงคห์ รอื เป้าหมาย การจดั องคก์ ารทด่ี จี ะช่วยให้การบริหารการ
จัดการมปี ระสทิ ธิภาพได้เน่ืองจาก
1.ทาให้ทราบขอบเขต ความรบั ผิดชอบ และอานาจหนา้ ท่ีตา่ ง ๆ
2.ชว่ ยปอ้ งกนั การทางานที่ซบั ซ้อน
3.ชว่ ยประสานงานในหนา้ ที่ต่าง ๆ ได้ดี
4.ช่วยลดปญั หาความขดั แยง้ ระหวา่ งพนักงานในองค์การได้
5.สามารถแสดงให้เห็นตัวภาระหนา้ ทค่ี วามรบั ผิดชอบไดช้ ัดเจน
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
46
6.ทาให้มรี ะบบการสื่อสารตามสายการบงั คับบัญชาที่ดี
( อ้างอิงรูปภาพ https://www.google.com/search?biw=1517&bih )
หลกั การจกั การองคก์ าร
หลกั สาคญั ของการจดั องคก์ าร ควรมีวัตถปุ ระสงค์ทีช่ ัดเจน อานาจหนา้ ทแ่ี ละความรับผดิ ชอบความ
รับผิดชอบของผบู้ ังคับบญั ชา สายบังคับบัญชา ชว่ งการบงั คับบญั ชา การประสานงาน หลักของการทางาน
เฉพาะอย่าง
1. โครงสร้างองค์การ การจดั แบง่ งานหรอื จัดสว่ นงานเส้นทางการเดินของงานรปู แบบการ
ประสานงานระหว่างส่วนงาน การตดิ ตอ่ สื่อสาร อานาจบังคับบัญชาเพื่อความคุมกจิ กกรมขององคก์ ารใหบ้ รรลุ
วตั ถุประสงค์
การจัดโครงสร้างองค์การสามารถจดั ไดด้ ังน้ี
- การจัดแบ่งงานตามลักษณะเฉพาะ(work specialization) เปน็ การแบ่งงานตาม
ลักษณะเฉพาะของงานแล้วมอบหมายให้ผ้ทู ี่มีความชานาญในงานนัน้ ตวั อยา่ งทเ่ี ห็นไดช้ ัดในงานอุตสาหกรรม
ขนาดใหญง่ านผลติ จานวนมากท่เี ปน็ Mass production. จะมกี ารแบง่ เป็นขัน้ ตอนย่อยๆ
- การจดั กลุ่มงานเปน็ ส่วนงานหรอื แผนกงาน(departmentalisation) เปน็ การวางงานที่แบง่
ตามลกั ษณะเฉพาะเข้าเป็นกลุ่มงาน และจดั เปน็ ส่วนงาน หรอื แผนกหรือฝ่ายเพื่อให้ประสานงานและควบคมุ
งานเปน็ ไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ. เช่นในโรงเรียนจัดกลุ่มงานสารบรรณ งานอาคารสถานท่ี งานพาหะนะ เป็น
ตน้
2.การแบ่งงานกนั ทา(Division of. command) หมายถงึ การแบง่ แยกงานตามภาระหนา้ ที่ออกเปน็
สว่ นๆเพื่อแบง่ แยกการทางานตามลกั ษณะเฉพาะ(Specialization) และเพม่ิ ทักษะในการทางาน(Skill) ของแต่
ล่ะบคุ คลการแบ่งงานกันทาช่วยให้พนักงานนน้ั มคี วามถนัดและชานาญในด้านนั้นโดยเฉพาะสามารถ
ปรับเปลี่ยนวธิ กี ารทางานได้ง่ายขนึ้ ตามความถนัดของแตล่ ่ะคน
3. สายการบังคบั บัญชา(span of command) เปน็ การกาหนดความสมั พันธ์ของบุคลากรในองค์การเพื่อ
บอกให้รู้ว่าใครเป็นผู้บังคบั บัญชาใครและใครต้องรายงานใคร หลกั การสาคัญในเรือ่ งน้คี ือเอกภาพในการบังคับ
บัญชา
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
47
4.ชว่ งการบังคับบญั ชา(span. do. Control) เปน็ การกาหนดขอบเขตการควบคุมบังคบั บญั ชาคนหน่งึ จะ
ควบคมุ กากบั ดแู ละผปู้ ฏิบตั งิ านอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพมีประสิทธผิ ลไดก้ ี่คน
5. การรวมอานาจและการกระจายอานาจ (Centralization and Decentralization) เปน็ การกาหนด
อานาจการตัดสนิ ใจในการบรหิ ารวา่ จะรวมศูนยก์ ารตัดสินใจอย่ทู ผี่ ูบ้ ริหารระดบั สงู เพียงจุดเดยี ว
6. การจดั ระเบยี บแผนการทางาน (Formalization) เป็นการกาหนดแผนการทางานทเี่ ปน็ มาตรฐานแก่
ผ้ปู ฏิบตั งิ านยดื ถือ เชน่ ข้อบงั คับในการทางาน
5. หลกั การวางแผน (Principles of planning)
การวางแผน (Planning) หมายถงึ กระบวนการท่กี าหนดถึงเปา้ หมายความมงุ่ มนั่ ทรพั ยากรแนวทาง
ปฏบิ ตั ิเพ่ือความสาเร็จ
การวางแผน ถือเป็นหนา้ ทอ่ี ย่างหน่ึงชองการจัดการ เกีย่ วข้องกบั การกาหนดเป้าหมายสาหรับการ
ปฏิบตั ิงานชององคก์ รในอนาคตและการตัดสนิ ใจในงาน รวมทง้ั ทรพั ยากรท่ีใช้ประโยชน์ตามความต้องการเพ่ือ
บรรลุผลทม่ี ุง่ หวงั
1. พจิ ารณาส่ิงแวดลอมเพื่อหาโอกาสและอปุ สรรค์
2. การระบจุ ุดแขง็ และจดุ อ่อนขององค์การ
3. การพฒั นาแผนธรุ กิจท่เี กี่ยวข้องกับภาระหน้าท่ีขององค์การ วัตถปุ ระสงคร์ ะยะสัน้ ระยะยาว
4. การปรับแผนให้ทนั สมัยตามการเวลาให้เหมาะสมกับการเปลยี่ นแปลงตามจดุ แข็ง จุดอ่อน อุป
สรรค์ และโอกาสและผลลัพธ์ทตี่ อ้ งการ เชน่ ลดรายได้สาคัญของรายได้สุทธิ เปน็ ตน้
6. คุณลกั ษณะของการวางแผน
การวางแผนถอื เปน็ บทบาทท่ีค่อนขา้ งสาคัญ เป็นบทบาทแรกของการบริหาร (Managerial
function) เพราะการวางแผนที่ดีและมีประสทิ ธภิ าพ จะถือเป็นกอบการดาเนนิ งานตามหนา้ ทีบ่ ริหารดา้ นอน่ื ๆ
7. ประโยชน์ของการวางแผน
องคก์ ารจะประสบความสาเร็จในการดาเนนิ งานได้ ต้องมกี ารกาหนดวธิ กี ารและแนวทางในการใช้
ทัพยากรตา่ งๆ อย่างสมเหตผุ ล ก่อให้เกิดประสทิ ธภิ าพ และประสิทธิผลสงู สดุ เทา่ ทีทาได้ การวางแผนลว้ นมีผล
ทางบวกต่อองคก์ รและสมาชิกในองค์การในกิจกรรมตา่ งๆ
1. การวางแผนกบั การดาเนินงานทางการเงิน (Planning and Financial Performance)
จากหลกั ฐานและประสบการณ์ในอดีตเปน็ ที่ประจักชดั ว่าองค์การใดก็ตามมีการวางแผนทางการเงิน
เป็นอยา่ งดี มักมีผลงานดีมปี ระสิทธิภาพสงู กวา่ องค์การที่ขาดการวางแผน ดังตวั อย่างของการศกึ ษาในเรื่องน้ี
พบวา่ บริษทั มีการวางแผนที่ดี ประกอบกับคณะบริหารมีวิสัยทัศน์ทีย่ าวไกลโดยเนน้ จุดยืนด้านการตอบสนอง
ความต้องการชองผู้บริโภคเป็นดา้ นหลกั และนามาซง่ึ ผลกาไรและสามารถจ่ายเงินปนั ผลแกผ่ ู้ถือหุ้นได้อย่างนา่
พอใจ
2. สร้างความรู้สึกร่วมในเป้าหมายขององค์การ (A coordinated sense of Direction)
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
48
การวางแผนทั้งฝ่ายบริหาร และบคุ ลากรทกุ สว่ นในองค์การโดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ผู้จัดการมีโอกาสได้
ปรกึ ษาหารือตดั สนิ ใจร่วมกันถึงแนวทางการดาเนนิ งานและเป้าหมาย ทั้งระยะส้ันและระยะยาวที่ต้องการ
ผลสาเร็จร่วมกันซึ่งจะก่อใหเ้ กิดบรรยากาศของการสร้างความรสู้ ึกในทางเดียวกนั เป็นความรูส้ ึกที่สมาชกิ ทุก
คนในองคก์ ารมีเปา้ หมาย
3. ช่วยให้เห็นภาพรวมของการบริหาร (Managerial perspective)
การวางแผนจะช่วยใหฝ้ า่ ยบรหิ าร และบลุ ากรท่ีส่วนในองค์การทุกคนโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ สาหรับ
ผ้จู ดั การหรอื ฝา่ ยบริหารระดับสงู ( Top-level managers) เพื่อให้มองเห็นภาพรวมของโครงสร้างองคก์ าร
ท้ังหมดไมใ่ ช้การมองแบบแยกสว่ น เพื่อให้การวางแผนมปี ระสทิ ธิภาพผูบ้ รหิ ารต้องเขา้ ใจความสัมพนั ธข์ อง
องค์ประกอบตา่ งๆ
4. ประโยชน์ดา้ นการความคุม (Lmproved control)
ธรรมชาตทิ ่ีชดั เจนอย่างหน่ึงของการทางานและหนา้ ท่ีความรบั ผดิ ชอบเชงิ การบรหิ ารจดั การนับจาก
การจดั การระดับลา่ งเร่ือยไปจนจุดสูงสดุ คือประธารบรษิ ัท (President) นั่นคือการไว้ซงึ่ การควบคุมนัน่ เอง
5. ช่วยสรา้ งภาพลกั ษณข์ ององค์การ (Lmproved Lmage)
สาหรบั สภาพแวดล้อมการแขง่ ขนั ทางธุรกิจเชงิ ธุรกิจในปัจจุบัน บางครั้งองค์การที่มลี ักษณท์ ่ดี ีใน
สายตาสาธารณะนบั เปน็ สงิ่ สาคญั ต่อผลสาเรจ็ ในการดาเนินงานได้ จะเห็นวา่ หลายองค์การยนิ ดแี ละพร้อมเพ่ือ
จะใชง้ บประมาณและโฆษณา
การวางแผนและความได้เปรียบทางการแขง่ ขนั
หนว่ ยงานธุรกิจจาเปน็ ต้องพฒั นาความไดเ้ ปรียบเชิงการแข่งขัน ข้ึนมาเพ่ือความสาเรจ็ ในการ
ดาเนนิ งานทัง้ ระยะสัน้ และระยะยาว ความไดเ้ ปรยี บเชิงการแขง่ ขนั จะเกดิ ขึ้นไดก้ ้อต่อเมื่อองค์การสามารถจะ
เลือกตลาดเปา้ หมายที่ตนเองม่ันใจว่ามีประสทิ ธภิ าพ
( อา้ งองิ รปู ภาพ https://www.google.com/search?biw=1517&bih )
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
49
7. ประเภทของการวางแผน (Types of Plans)
ความสาเร็จในการประกอบธรุ กิจจาเปน็ ต้องมีการจดั และบูรณการกิจกรรมตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ียวข้องกบั คน
จานวนมาก ฝา่ ยบรหิ ารจะมีการประยุกต์ใชแ้ ผนประเภทตา่ ง ๆ เพื่อจดั การกบั ปัญหาความท้าทายเหลา่ นี้
1. แผนกลยทุ ธ์ (Strategic plans)
แผนกลยทุ ธ์ หมายถงึ แผนที่สะท้อนใหเ้ ห็นภาพรวมของวตั ถปุ ระสงค์และกจิ กรรมทางธรุ กิจ
ซง่ึ ตอ้ งการบรรลุความสาเรจ็ ขององค์การ เปน็ แผนระยะยาวมีขอบเขตกว้างขวาง
2. แผนยทุ ธวธิ ี (Tactical plans)
แผนยทุ ธวธิ ี หมายถึง แผนที่แสดงรายละเอียดของกิจกรรมสาคัญสาหรับองค์การและ
หนว่ ยงานย่อย ภายในองคก์ ารขนาดใหญ่มีความหลากหลายในกิจกรรมการดาเนินงาน ลักษณะทวั่ ไปจะเป็น
แผนที่ยดึ พื้นฐานจากข้อมลู จริงจาการตลาดทีเ่ ป็นอยซู่ ึ่งเงื่อนไขต่าง ๆ ทางธรุ กจิ และสภาพแวดลอ้ มทางการ
แข่งขันจะมีการเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็ อยู่ตลอดเวลา
3. แผนปฏบิ ตั ิการ ( Operational Plans)
แผนการปฏบิ ัตงิ าน หมายถึง แผนซึ่งจะเป็นแนวทางปฏบิ ตั ิงานประจาวันขององค์การ เพ่ือบอก
ให้ทราบว่างานอะไรที่ต้องปฏิบตั ิ ใครจะเปน็ ผปู้ ฏบิ ัตงิ านน้ัน และกาหนดแล้วเสร็จเมื่อไหร่ ดงั นน่ั จงึ มแ่ี ผนท่ีมี
ขอบเขตแคบ ๆ และมีกรอบเวลาสน่ั ๆ ประมาณหนึง่ ปีหรือน้อยกว่านั้น
องค์การส่วนใหญ่มกั จะพัฒนาแผนปฏิบตั ิการขึ้นมาใชง้ านในสองรูปแบบ ดังน้ี
3.1. แผนหลกั (Standing Plans) หมายถึง แผนซง่ึ ใช้เพื่อเปน็ แนวทางสาหรับงานท่มี ีการ
กระทาซา้ ๆ กันภายในองคก์ าร เป็นแผนเพ่อื แนะแนวการตัดสินใจการจดั การ และกจิ กรรมในสถานการณ์
เกิดข้ึนซ้ากนั ใน 4 กรณี คือ นโยบาย (Policies) กระบวนการ (Procedures) วธิ ีการ (Methods) และกฏ
(Rules)
3.1.1 นโยบาย (Policies) ปกตนิ โยบายจะอยู่ในรปู ของข้อความที่เขยี นข้ึนมา
(Statements) เปรียบเสมอื นกระจกเงาท่สี ะท้อนใหเ้ ห็นถงึ วตั ถปุ ระสงค์ขององคก์ าร และยงั ช้ใี หเ้ หน็ ถึง
ขอบเขตหรือขอ้ จากดั ภายใต้การตดั สนิ ใจของฝา่ ยบริหารตวั อยา่ งเช่น ปัจจุบนั นจี้ ะพบว่าธกุ ิจค้าปลีกมกั จะ
กาหนดนโยบายท่เี น้นไปในด้านการรบั ประกนั ความพอใจสงู สดุ ของลูกคา้ ดังนน้ั การทีจ่ ะบรรลผุ ลตามนโยบาย
ทีว่ างใวข้ องแตล่ ะองค์การ ส่วนใหญจ่ ะเกิดขึ้นในลักษณะของการกระทาใดๆ กต็ ามเพื่อขจัดปญั หาหรือ
อปุ สรรค ซ่ึงไมเ่ ปน็ ท่ีพอใจนนั้ สาหรบั ลกู คา้ ให้หมดไป
3.1.2 กระบวนการ (Procedures) หมายถงึ แผนท่ีกาหนดวิธีการจัดการกจิ กรรมใน
อนาคต ประกอบดว้ ยลาดับข้ันของการปฏิบตั ิ เป็นแนวทางของการปฏบิ ตั มิ ากกว่าความคิด แสดงรายละเอียด
เพ่ือให้กจิ กรรมบรรลผุ ลได้ เช่น การจดั การกบั คาสั่งซ้ึอ การเรยี กเก็บเงนิ และการควบคมุ สนิ ค้าคงเหลือ เป็น
ตน้
3.1.3. วธิ ีการ (Methods) วิธกี าร มีความหมายซงึ่ ใกล้เคียงกับ กระบวนการ แตจ่ ะมี
รายละเอียดมากกวา่ เพราะจะแสดงถึงรายละเอียดในเชิงลึก เชน่ วธิ ีกาปฏบิ ตั งิ านในตาแหนง่ หนา้ ท่ตี า่ งๆ ใน
องค์การว่าจะต้องทาอย่างไร มีก่ขี ั้นตอนต้องใช้เคร่ืองมืออุปกรณ์ อะไรบ้าง เป็นต้น
3.1.4. กฏ (Rules) หมายถึง ขอ้ ความซึง่ อธบิ ายถึงแผนหลกั ทร่ี ะบุการกระทาอยา่ งใด
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
50
อย่างหนง่ึ ที่ควรกระทาหรอื ไม่ควรทาในสถานการณเ์ ฉพาะอยา่ ง. กฏจะแตกต่างจากกระบวนการ เพราะไม่มี
การระบุขน้ั ตอนของเวลาในการปฏิบตั กิ ระบวนการจะมลี ักษณะทคี่ ล้ายคลึงกบั ข้ันตอนของกฏ ดังนนั้ กฏ
อาจจะเปน็ หรือไม่เปน็ สว่ นหนงึ่ ของกระบวนการก็ได้
3.2. แผนทีใ่ ช้คร่งึ เดียว (Single-use plans) หมายถงึ แผนทอี่ อกแบบมาเพื่อใช้กับ
เหตกุ ารณ์หรือสถานการณท์ เ่ี กิดขนึ้ เพยี งครัง้ เดยี ว เพราะสถานะการบางอยา่ งจะไม่เกิดซ้า แผนทใ่ี ช้เพยี งครึ่ง
เดยี วนีป้ ระกอบดว้ ย โปรแกรม (Programs) และโครงการ (Projects)
3.2.1 โปรแกรม (Program) หมายถึง กลุ่มของการปฏิบัติการทซี่ ับซ้อนซ่งึ เกี่ยวข้องกัน
และตอ้ งปฏิบัตเิ พื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกันส่วนใหญโ่ ปรแกรมจะประกอบไปด้วยขอ้ มลู เกย่ี วกับเป้าหมาย
บคุ คลทเ่ี กย่ี วข้องกับโปรแกรม ตน้ ทนุ ทีใ่ ช้สาหรับโปรแกรมและแนวปฏบิ ัตเิ พ่ือใหบ้ รรลุเปา้ หมายน้ี
3.2.2 โครงการ (Project) หมายถึง แผนทใี่ ชเ้ พียงครงั้ เดยี วและมีขอบเขตแคบกวา่
โปรแกรม โครงการเป็นสิ่งทแ่ี สดงให้เหน็ ถงึ รายละเอียดของกิจกรรมสาคัญๆ เพ่ือใหบ้ รรลุเป้าหมายที่ต้ังไว้
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
51
คาถามทา้ ยบทท่ี 3
นโยบายและแผนกับการบรกิ ารจดั การ
คาชี้แจง ให้นิสิตตอบคาถามพรอ้ มอธิบาย
1. นโยบาย มีความหมายว่าอย่างไร และมีความสาคัญอยา่ งไร
ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2. ลกั ษณะของนโยบายทดี่ ี ควรมคี ณุ ลักษณะอย่างไร
ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
3. ทาไมการบรหิ ารจดั การองคก์ รจงึ จาเป็นจะต้องมีการวางแผนเพอื่ รองรบั การบรหิ าร
ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
52
4. จงอธบิ ายประเภทของการวางแผนและการนาไปใช้พอสงั เขป
ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
53
บทท่ี 4
การบริหารธุรกจิ และการบริหารรัฐกจิ
ความหมายของการบรหิ ารธรุ กจิ
ธุรกจิ (Business) หมายถึง การกระทาหรอื กจิ กรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ท่ีดาเนนิ งานเก่ียวกบั สถาบันการ
ผลิต การจาหนา่ ย และการให้บริการ โดยกล่มุ บุคคลมีการกระทารว่ มกนั เพ่ือให้บรรลจุ ดุ มงุ่ หมาย
เดียวกัน คือ กาไร หรอื รายได้ เป็นการตอบแทนการลงทุนดว้ ยทรัพยส์ ินและแรงงานในกิจกรรมน้ัน การกระทา
ดงั กล่าวอาจจะเส่ยี งตอ่ การขาดทนุ ดว้ ย
ความหมายของธุรกิจอาจกลา่ วได้กวา้ ง ๆ ว่า ธรุ กจิ เปน็ กจิ กรรมทางดา้ นเศรษฐกิจและการพาณชิ ยท์ ม่ี ี
เปา้ หมายทางด้านกาไรในการจัดหาสินคา้ และบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค หรือ
ธุรกิจ หมายถงึ กิจกรรมท่เี กีย่ วกับธนาคาร กาขนสง่ การก่อสรา้ ง การทาเหมืองแร่ และการให้บริการ หรอื
ธุรกจิ หมายถงึ ขบวนการท้ังปวงของการนาทรัพยากรธรรมชาตมิ าเปลย่ี นสภาพด้วยขบวนการต่าง ๆ จนเปน็
สนิ ค้าและนาไปจาหน่ายให้แกผ่ บู้ รโิ ภค
ในสังคมล้อมรอบตวั เราสามารถมองเห็นการประกอบธรุ กิจและกิจกรรมทีเ่ ก่ยี วข้องตลาดเวลาในฐานะ
ผูผ้ ลิต และผู้บริโภค ธรุ กจิ การผลิต ได้แก่ โรงงานอตุ สาหกรรมต่าง ๆ ท่ผี ลิตสินคา้ ผผู้ ลิตสินค้าขนาดยอ่ ม ธุรกิจ
ซ้ือขายสินคา้ ไดแ้ ก่ ร้านค้าประเภทต่าง ๆ คนกลางท่เี กยี่ วข้องกบั การซ้ือขาย กิจการธนาคาร การประกันภยั การ
ขนสง่ การเกบ็ รักษาสนิ ค้า การใหบ้ ริการของภาครฐั และเอกชน เปน็ ตน้
สรปุ
ธรุ กจิ เป็นกิจกรรมใด ๆ ท่กี ่อใหเ้ กดิ สินคา้ และบริการ เพ่อื การแลกเปลี่ยนซ้อื ขายโดยมีวตั ถุประสงคจ์ ะ
ไดร้ ับประโยชน์จากการดาเนินกจิ กรรมนน้ั คือ
1. ธุรกิจการผลติ สินค้าและบริการ
มนุษย์มคี วามต้องการสนิ คา้ และบรกิ ารแตกตา่ งกนั เช่น มีความต้องการสนิ คา้ ทจี่ าเปน็ ต่อการดารง
ชพี คอื อาหาร เคร่อื งนงุ่ หม่ ยารกั ษาโรค และที่อยู่อาศยั ส่วนบางคนอาจจะมีความต้องการสนิ ค้า
ฟมุ่ เฟือย เชน่ เครื่องสาอาง เสอื้ ผ้าราคาแพง เครื่องประดับ ฯลฯ เพื่อตอบสนองความต้องการดงั กล่าว องค์กร
ธุรกิจและบุคคลทเ่ี กี่ยวข้องจึงเปน็ ผผู้ ลติ สินค้าและบริการ
2. ธุรกจิ มีการซอื้ ขาย
ในสังคมที่มรี ะบบเศรษฐกจิ แบบงา่ ย ๆ ซึง่ แต่ละคนสามารถจดั หาสง่ิ ของต่างๆ ตอบสนองความต้องการของ
ตนเองและครอบครวั ได้ ดว้ ยการผลิตเคร่อื งนุ่งหม่ จัดหาอาหารและสรา้ งบ้านอยู่อาศัยด้วยตนเอง หากบคุ คลใด
บคุ คลหนึง่ มีสิ่งของเหล่านั้นเหลอื ใช้ จะนาไปแลกเปล่ยี นกับบุคคลอนื่ ก่อให้เกดิ ระบบแลกเปลย่ี น (Barter
System) ระบบการแลกเปลี่ยนได้เปล่ยี นแปลงไป เนอ่ื งจากมีความซบั ซ้อนและยงุ่ ยาก แต่ละคนมคี วามต้องการไม่
ตรงกัน ขาดความยุตธิ รรมในการแลกเปล่ียน จึงเกดิ ระบบตลาด จะเหน็ ได้จากมีผูผ้ ลิตสินคา้ และบริการนาสนิ คา้
มาขายเพ่อื ตอบสนองความต้องการของผูบ้ ริโภค โดยใชเ้ งินเป็นส่ือกลางในการแลกเปลย่ี น ดงั น้นั ผูผ้ ลิตจงึ เป็นทง้ั
ผผู้ ลิต ผู้เก็บรักษา และเปน็ ผจู้ าหนา่ ยตอ่ ให้กับพ่อคา้ คนกลางหรอื เป็นคนกลางทซ่ี อ้ื สินคา้ มาแลว้ จาหน่ายให้กบั
ผบู้ รโิ ภคคนสุดทา้ ย
สว่ นธรุ กจิ บรกิ ารผขู้ ายหรือผู้ใหบ้ รกิ าร ไดแ้ ก่ องคก์ รภาครัฐในรปู ของรฐั วิสาหกจิ เช่น องค์การขนส่งมวลชน
กรุงเทพ การทา่ เรือแหง่ ประเทศไทย และองค์กรภายนอกเอกชน คอื บริษทั ขนส่งของผ้ปู ระกอบการต่างๆ
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
54
นอกจากน้มี ีธนาคารพาณชิ ย์ ผ้ปู ระกอบการคลังสนิ คา้ ฯลฯ ทาหนา้ ท่ีใหบ้ ริการแก่ผู้ผลติ และผบู้ ริโภคได้รับความ
สะดวกสบายและตอบสนองความต้องการได้อยา่ งครบครนั ธุรกิจจึงเปน็ ผู้ผลติ ผู้ขายหรือจาหน่ายและผู้ใหบ้ ริการ
3. ธุรกจิ มีผลกาไร
เปา้ หมายของผู้ประกอบการทด่ี าเนินธรุ กจิ คือ ผลกาไร มคี วามรู้ความสามารถในการผลติ ความสามารถหา
แหลง่ สนิ คา้ รู้จกั วเิ คราะห์ความตอ้ งการของลกู คา้ ตน้ ทุนสินคา้ และค่าใชจ้ ่าย ขณะเดยี วกันก็มคี วามเส่ียงตอ่ การ
ขาดทุน จงึ จาเป็นต้องดาเนินกจิ กรรมดว้ ยความละเอียดรอบคอบ
1.2 วตั ถปุ ระสงคข์ องธรุ กจิ
ผู้ประกอบการมวี ัตถุประสงคใ์ นการดาเนินธุรกิจ ดังน้ี
1.2.1 ผลกาไร(Profit)
วัตถุประสงคส์ าคญั ของการดาเนนิ ธุรกจิ คือ ผลกาไร ซ่งึ เปน็ ผลตอบแทนของการลงทนุ จาก
ทรพั ย์สนิ จากแรงกายและความร้คู วามสามารถ ผลกาไรจงึ เป็นสงิ่ จงู ใจให้ดาเนนิ กจิ กรรมต่อไป หากธุรกจิ ไมม่ ผี ล
กาไร ก็จะไมส่ ามารถดาเนินการต่อไปได้ ดังนน้ั ผู้ผลติ เมือ่ ผลิตสินค้าและบริการแล้วจะต้องขายได้สูงกว่าต้นทนุ และ
คา่ ใชจ้ า่ ย ผลต่างคอื กาไรจากการประกอบการ ซึ่งจะทาให้กิจการมีความเจรญิ เตบิ โต
1.2.2 ความอยรู่ อด (Survival)
เมื่อผ้ปู ระกอบการตัดสินใจดาเนินธุรกิจแลว้ ย่อมต้องการใหธ้ รุ กิจประสบความสาเรจ็ และมีอายุของ
กจิ การยาวนาน เพอื่ ทาหนา้ ที่ผลติ สินค้าและบริการตอบสนองความต้องการของผูบ้ ริโภค และเป็นความต้องการที่
ไมม่ ีที่ส้ินสุด แต่จะทวคี วามต้องการมากข้นึ ทาใหธ้ ุรกิจดาเนนิ การไปได้
1.2.3 ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม(Social Responsibilities)
ผปู้ ระกอบการทดี่ ีจะต้องกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ใหส้ อดคลอ้ งกับความรบั ผิดชอบของธรุ กิจ คือ มีความ
ซอื่ สตั ยก์ บั ลูกค้า สังคมและสงิ่ แวดลอ้ ม ดว้ ยการพฒั นาสังคม ชวี ติ ความเปน็ อยู่ของผู้บริโภคให้ดขี ้ึน มีความ
ยุติธรรมกับทุกคนในสงั คม ประพฤตปิ ฏิบตั ิตนถูกตอ้ งตามกฎหมาย ไมข่ ัดต่อศลี ธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี
ของสังคม เช่น ไม่ผลติ หรอื คา้ ขายสงิ่ เสพติดผิดกฎหมาย ไม่ปลอมปนสนิ ค้า ไมใ่ ช้แรงงานเดก็ ฯลฯ
1.3 ประโยชนข์ องธรุ กจิ
ธรุ กจิ มีประโยชน์ต่อประชาชน สงั คม และประเทศชาติ ดงั นี้
1. ทาให้เกิดกระบวนการผลิตสนิ ค้าและบริการ เพ่ือตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ซงึ่ มีความ
ตอ้ งการไม่มีทีส่ ิ้นสุด เชน่ เม่ือเรามบี ้านแล้วย่อมตอ้ งการเฟอรน์ ิเจอร์ เครือ่ งปรับอากาศ เคร่อื งอานวยความ
สะดวกสบายต่าง ๆ ภายในบ้าน
2. ช่วยกระจายสินค้าจากผูผ้ ลติ ไปสผู่ ้บู ริโภค องค์กรธรุ กิจเมอื่ ผลิตสินค้าแล้วยอ่ มตอ้ งการขายหรือจาหน่าย
สินคา้ ออกสู่ผู้บรโิ ภคซง่ึ อยู่กระจายตามสว่ นต่าง ๆ ของประเทศหรือกระจายอยูท่ ัว่ โลก จงึ จาเป็นตอ้ งมีธรุ กจิ อื่นมา
ทาหน้าทก่ี ระจายสินคา้ ไปสผู่ ู้บริโภคเหล่านนั้ ได้ เช่น มรี ะบบคนกลาง ได้แก่ พ่อค้าสง่ พ่อคา้ ปลีก ตัวแทน
จาหนา่ ยและนายหนา้ มีระบบการขนส่ง การคลงั สินค้าเข้ามาเกีย่ วข้อง ฯลฯ
3. เกดิ การจ้างงาน ธุรกจิ จาเปน็ ตอ้ งจา้ งบคุ คลอนื่ เขา้ มาทางานในกิจการ ทาให้ประชาชนมีรายได้จากการ
ทางานในโรงงานอุตสาหกรรมของผผู้ ลติ หรอื การเปน็ พนักงานขายในรา้ นค้าปลีกต่าง ๆ ทาให้มรี ายได้ เม่อื คนมี
รายได้จะนาไปซื้อหาสินคา้ และบรกิ ารต่าง ๆ ท่ีจาเปน็ ตอ่ การครองชีพได้ ดังนนั้ การจ้างงานจงึ เปน็ การชว่ ยลดปัญหา
การว่างงานและปัญหาทางสังคมดว้ ย
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
55
4. ชว่ ยใหป้ ระชาชนมีมาตรฐานการครองชพี ดีขึ้น การที่ประชาชนซงึ่ อยู่ห่างไกลความเจรญิ มีงานทาและมี
รายได้จากองค์กรธรุ กจิ ทาให้มโี อกาสได้เลือกซ้ือสนิ ค้าและบริการทม่ี ีคุณภาพดีขึ้น เกิดมาตรฐานการครองชพี
สงู ขึน้ ด้วย
5. สรา้ งรายไดใ้ ห้กับรัฐ จากการประกอบการของธรุ กจิ ทาให้มีรายได้ แล้วนาไปเสยี ภาษีและค่าธรรมเนียม
ตา่ ง ๆ ให้กับรัฐบาล เงนิ ภาษที ี่รัฐไดร้ บั จะนาไปพัฒนาประเทศ เชน่ การสร้างถนน การให้บรกิ ารสาธารณปู โภค
ตา่ ง ๆ เปน็ ตน้
6. เกดิ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี กิจกรรมทางธรุ กิจกอ่ ให้เกดิ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เชน่ มี
เคร่อื งจักรทที่ ันสมัยในการผลิตสินค้า มเี คร่ืองมือสอื่ สารทีก่ ้าวหนา้ ทางเทคโนโลยี เช่น จาน
ดาวเทียม โทรศัพทม์ ือถือ ตลอดจนมเี ครื่องมือต่าง ๆ ท่อี านวยความสะดวกในการซื้อขาย เช่น อินเตอร์เน็ต เป็น
ตน้
7. ชว่ ยพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศ เกิดจากการผลิตสนิ คา้ และบริการท่ีมีคุณภาพ และมาตรฐานท่ีดี เป็นท่ี
ยอมรับของผ้บู รโิ ภค สามารถนาออกไปจาหนา่ ยต่างประเทศ ทาให้มรี ายได้เขา้ ประเทศมากข้นึ เศรษฐกจิ ของ
ประเทศกด็ ีขึ้น ดงั น้นั ธรุ กิจจึงมสี ่วนช่วยพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศด้วย
การบรหิ าร
ความหมายของการบริหาร
คาว่า “การบรหิ าร” หรอื “การจดั การ” โดยท่วั ไปเป็นคาทม่ี คี วามหมายเหมือนกนั และใชแ้ ทนกนั ได้เสมอ
คาภาษาอังกฤษที่มักใช้เรยี กในความหมายของ การบริหาร มี 2 คา คือ Management และ Administration
ส่วนมากคาวา่ Management มกั จะใชใ้ นทางธุรกิจ ซงึ่ หมายถงึ การนาเอานโยบายไปปฏิบตั ิ โดยมีการกาหนดแบบ
งาน วิธกี ารทางาน และการใช้ปัจจัย หรือทรพั ยากรตา่ ง ๆ ซ่ึงเรยี กว่า การจัดการ สว่ นคาว่า Administration มักเน้น
การบริหาร เกย่ี วกับนโยบาย มักนิยมใชใ้ นทางราชการ เชน่ Public Administration
สาหรบั คานยิ ามของคาว่า “การบรหิ าร” มคี านิยามอยู่หลายคานิยามแต่ทนี่ ิยมกันแพรห่ ลายกันอยู่ใน
ปัจจุบันมี 2 นยิ าม คือ
การบริหาร คอื ศลิ ปะของการทางานให้สาเรจ็ โดยอาศัยบุคคลอน่ื ในความหมายน้ีช้ีในเห็นว่าผบู้ รหิ าร
ประสบความสาเรจ็ ในเป้าหมายของพวกเขา โดยการเตรียมการให้กบั บุคคลอ่นื ปฏบิ ัตงิ านอะไรก็ได้ที่มีความจาเป็น
ผู้บริหารมไิ ด้ปฏบิ ัตงิ านดังกล่าวด้วยตวั ของพวกเขาเอง
การบริหาร คอื กระบวนการของการวางแผน การจดั องคก์ าร การสั่งการ และการควบคมุ กาลงั ความ
พยายามของสมาชิกขององค์การ และใช้ทรัพยากรอืน่ ๆ เพอ่ื ความสาเร็จในเปา้ หมายขององคก์ ารทก่ี าหนดไว้ ใน
ความหมายน้ีช้ใี ห้เห็นว่า ผู้บริหารใช้ทรัพยากรทั้งหมดขององค์การ ซึ่งมเี งินทนุ อุปกรณ์ ข่าวสาร และคน เพอ่ื
ความสาเรจ็ ในเป้าหมายขององคก์ าร คนเป็นทรพั ยากรท่ีมีความสาคญั ทีส่ ุดขององค์การ
จากคานยิ ามของการบริหารดังกลา่ วแล้ว จะเหน็ วา่ การบริหารจะกนิ ความครอบคลมุ ประเด็นทเ่ี ปน็ สาระสาคัญ ได้
ดังนี้
1. จะต้องมีวัตถุประสงค์ ( Objective ) คือ เป้าหมายในการดาเนนิ งานท่ผี บู้ ริหารต้องดาเนินการให้
ประสบความสาเร็จจะต้องมีประสทิ ธภิ าพ ( Effectiveness ) คือ ความสาเร็จของผลงานตามที่
คาดหมายไว้
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
56
2. จะต้องมีทรัพยากร ( Resource ) คือ ปัจจยั ต่าง ๆ ของการบริหาร ท่ผี ู้บรหิ ารเกีย่ วขอ้ งดว้ ยโดยตรง ซง่ึ
แต่เดิมโดยท่วั ไป ประกอบด้วย คน (Man) เงิน (Money) วัสดุ (Material) และการจดั การ
(Management) หรือท่ีเรียกโดยยอ่ ว่า
3. M’s แต่ในปัจจบุ ัน สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทางสังคมและเทคโนโลยเี ปล่ยี นแปลงไป ทรพั ยากรดงั กลา่ ว
จึงจาเปน็ ตอ้ งเปลี่ยนแปลงไปด้วย กล่าวคือ ทรัพยากรทีเ่ ปน็ สว่ นประกอบในการบรหิ าร ประกอบดว้ ย
ทรัพยากรคน (Human Resource) ทรพั ยากรท่ีเปน็ วัสดุและอปุ กรณ์ (Physical Resource) และ
ทรพั ยากรทางดา้ นเงนิ ทนุ (Financial Resource) และทรัพยากรทางดา้ นขา่ วสารขอ้ มูล (Information
Resource)
4. มกี ารประสมประสานกนั ( Integration and Coordination ) คือ กระบวนการในการดาเนนิ งานด้วย
ประการท้ังปวง ท่ที าใหก้ จิ กรรมตา่ ง ๆ สอดคล้องต่อเนื่องกัน1
เดรค เฟรช และ ฮที เตอร์ สวารด์ (Derak French and Heather Saward) ได้ให้ความหมาย
การจัดการ หมายถึง “กระบวนการ กิจกรรมหรอื การศึกษาเกี่ยวกับการปฏิบตั ิหนา้ ท่ใี นอันทจ่ี ะเชอื่ มน่ั ไดว้ ่า กิจกรรม
ตา่ ง ๆ ดาเนินไปในแนวทางที่จะบรรลผุ ลสาเรจ็ ตามวตั ถุประสงคท์ ี่กาหนดไว้
อองรี ฟาโยล์ (Fayol, 1949) ไดก้ ล่าวถึงการจดั การว่าเปน็ กระบวนการทป่ี ระกอบดว้ ยข้นั ตอนทสี่ าคัญ 5
ขน้ั ตอน คือ การวางแผน การจดั องค์กร การบังคับบัญชา การประสานงาน และการควบคมุ
วาร์เรน บ.ี บราวน์ (Warren B.Brown) ให้ความหมาย การบรหิ าร คือ งานของผนู้ าท่ีใช้ทรพั ยากรบรหิ าร
ทัง้ ปวงทีม่ ีอย่ใู นหนว่ ยงาน เพ่ือให้เปา้ หมายท่ีกาหนดไวบ้ รรลผุ ล
พิมลจรรย์ นามวฒั น์ ให้ความหมาย การบริหารคอื การประสมประสานทรพั ยากรต่าง ๆ เพ่ือให้การ
ดาเนินงานเป็นไปอย่างมปี ระสทิ ธผิ ล และบรรลุผลสาเร็จตามวัตถปุ ระสงค์ท่ีกาหนดไว้
ชุบ กาญจนประการ ให้ความหมาย การบรหิ าร หมายถงึ การทางานของคณะบคุ คลตง้ั แต่ 2 คนข้นึ ไป
รว่ มกนั ปฏิบัตกิ ารใหบ้ รรลุเป้าหมายรว่ มกนั
พยอม วงศส์ ารศรี ไดใ้ ห้คาจากัดความ “การจัดการเปน็ ศิลปะของการใชบ้ ุคคลอนื่ ทางานให้แก่องค์การ
โดยการตอบสนองความต้องการ ความคาดหวงั และจัดโอกาสใหเ้ ขาเหลา่ นั้นมีความเจริญกา้ วหนา้ ในการทางาน”
สรปุ
ความหมายของ “การจดั การ” หมายถงึ กระบวนการ กิจกรรมหรือการศึกษาเก่ยี วกับการปฏิบัติหน้าที่ใน
อันที่จะเชื่อมน่ั ไดว้ า่ กิจกรรมต่าง ๆ ดาเนนิ ไปในแนวทางที่จะบรรลุผลสาเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์ท่ีกาหนดไว้ โดยเฉพาะ
อยา่ งยงิ่ หนา้ ทอ่ี ันทีจ่ ะสร้างและรักษาไว้ซึ่งสภาวะทจ่ี ะเอือ้ อานวยต่อการบรรลวุ ตั ถุประสงค์ ด้วยความพยายาม
รว่ มกันของกลุ่มบุคคล
การจัดการเป็นทง้ั ศาสตร์และศลิ ป์ เนื่องจากการจัดการเป็นความรทู้ ี่สามารถถ่ายทอด มหี ลกั เกณฑ์
สามารถพิสูจนค์ วามจริงได้ ตลอดจนไดร้ ับการศึกษาค้นควา้ กันอยา่ งต่อเน่ือง สว่ นในแงข่ องการเปน็ ศิลป์ ซง่ึ
หมายถึงการประยุกตเ์ อาความรมู้ าใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ เพราะการจดั การในองค์กรแตล่ ะองค์กรมีปัจจัยท่ีแตกตา่ งกนั
1 https://sites.google.com/site/poppypresent1/page1 ,สืบคน้ เม่อื วนั ท่ี 12 กรกฎาคม 2564 ดร.ปรธภร ปุระกนั
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration
57
ดงั น้ันศาสตรห์ รอื ความรใู้ นดา้ นการจัดการเพียงอยา่ งเดียวจึงไมส่ ามารถจะนามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชนก์ บั องค์กรได้
จาเปน็ ตอ้ งประยกุ ต์ความร้ใู ห้เหมาะสมและสอดคล้องกบั องคก์ รแตล่ ะองคก์ ร2
กระบวนการในการจดั การ มีองคป์ ระกอบ คือ
1. การวางแผน (Planning)
2. การจดั องคก์ ร (Organization)
3. การบงั คบั บัญชา (Commanding)
4. การประสานงาน (Co-ordinating)
5. การควบคมุ (Controlling)
หลักการบรหิ าร
แหลง่ ที่มาของรปู ภาพ : https://bit.ly/3e813Le
เน่อื งจากการบริหาร เปน็ กระบวนการจดั การให้มีการทางานของบุคคลตง้ั แต่ 2 คนขน้ึ ไป เพื่อมงุ่ ไปสู่
วตั ถุประสงค์อย่างใดอยา่ งหน่งึ หรอื หลายอยา่ งแบบมหี ลักการ หลกั การบรหิ ารจึงมีองค์ประกอบเกย่ี วเนื่องในหลาย
ประเดน็ คือ
1. การวางแผน ในเร่ืองของโครงสร้าง มแี ผนปฏิบตั ิงานเปน็ ข้ันตอนเพื่อความสาเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงค์
2 https://www.gotoknow.org/posts/345600 ,สบื คน้ เมือ่ วันท่ี 12 กรกฎาคม 2564 ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration
58
2. การจดั หน่วยงาน เพ่ือให้งานตามแผนสาเร็จลลุ ่วงไปได้ ต้องมีการแบ่งงานกันทาโดยจดั แบง่ จากองคก์ ร
ใหญ่ให้เป็นสว่ นย่อยลงไป เพื่อการทางานจะได้มคี วามคล่องตัว
3. การจัดตัวบคุ คล การขับเคล่อื นงานต้องใชค้ วามสามารถ มนั สมองของคนในการปฏบิ ตั ิงาน หลกั การ
บริหารท่ีสาคญั จึงเปน็ การเลอื กใช้คนให้เหมาะกับความสามารถ
4. การอานวยการ อีกหลักการท่สี าคญั ของการบรหิ าร คือการสงั่ การอยา่ งเป็นระบบ ตามลาดบั การ
ควบคมุ งานแตล่ ะหน่วยงานหรือแผนก
5. การประสานงาน เปน็ หลกั การบรหิ ารเพอ่ื เชื่อมงานแต่ละหน่วยเขา้ ด้วยกนั
6. การรายงาน เน่ืองจากในการบริหารมีการแบ่งส่วนงานย่อยๆ แลว้ แยกกนั ทางานตามความถนัดที่ได้
จดั แบง่ ไว้ การบรหิ ารการรายงานเพื่อทราบผล จึงมคี วามสาคญั เพราะใช้เป็นขอ้ มลู ในการจัดการตอ่ ไป
7. งบประมาณ งานใหญ่จะไปสูเ่ ป้าหมายได้ ต้องมีงบประมาณในการขบั เคล่ือน การบรหิ ารงบประมาณท่ี
ดี การใชเ้ งิน จ่ายเงิน บรหิ ารสนิ ทรัพยข์ ององค์การจงึ เป็นหัวใจหลักในการบรหิ ารงาน
8. และหากจะทาตามหลักการบรหิ ารทั้ง 7 ประการดงั กลา่ วให้มปี ระสิทธภิ าพ ยังต้องขึ้นอย่กู บั อีกหลาย
ประการ เชน่ มีมาตรฐานการทางานท่ชี ดั เจนก่อนกระจายอานาจรับผิดชอบ อีกทง้ั การควบคุมดูแลการ
ทางานยังต้องเป็นไปอยา่ งมีมาตรฐานใหค้ นทางานมีความเต็มใจในการทางานอย่างเต็มความสามารถ
ทุกคนต้องรสู้ กึ วา่ ปลอดภยั 3
สรุปไดว้ า่
การบริหารธุรกิจ หมายถึง การท่ีได้นาทรัพยากรมาใช้ ก่อให้เกิดการผลติ สนิ คา้ และบริการ โดยการแลกเปลีย่ น
ระหวา่ งเจ้าของกิจการและผู้บริโภค โดยมจี ดุ ประสงค์ คอื ความสาเร็จของธรุ กจิ
ความสาคัญของการบริหารธุรกจิ
การบรหิ ารธรุ กิจมคี วามสาคัญกับคนในปจั จบุ นั มาก เพราะตอ้ งเกดิ การแลกเปล่ียน ซื้อขายกนั เพอ่ื สนอง
ความตอ้ งการในสังคม ซง่ึ สามารถสรปุ ได้ดังนี้
เพื่อสรา้ งอาชพี ให้แกบ่ ุคคลทัว่ ไป เพื่อสามารถยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ได้
เพอื่ ใหเ้ จา้ ของกิจการเกิดรายได้
เพื่อตอบสนองความต้องการให้แก่ผบู้ รโิ ภค
เพอื่ ให้สามารถใช้ทรัพยากรท่ีอยู่อย่างจากดั ใหเ้ กิดประโยชน์สงู สดุ
ทาใหเ้ กิดความรู้และความคิดใหม่ๆ เกดิ การกา้ วหน้าทางวิชาการ
ปจั จยั ในการบริหารธุรกิจ
การบริหารธุรกจิ ทง้ั ขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ต้องอาศยั ปัจจัยในการบริหาร ซ่ึงเรียกอีกอย่างว่า 4M ซง่ึ
ประกอบไปด้วย
1. คน หรอื Man นบั เปน็ ปจั จยั ทสี่ าคญั ทส่ี ดุ เพราะธรุ กิจจะขาด การวางแผนที่ดี การคิดกลยุทธ์ การจดั การ
แตถ่ า้ ไมม่ ีคนท่ีสามารถบรหิ ารธรุ กจิ ได้ดี กจ็ ะทาใหเ้ กิดความลม้ เหลว ดังนนั้ การจดั สรรคนให้เหมาะสมกับ
หนา้ ทีน่ ้นั จะต้องดูอะไรหลายๆอยา่ ง เช่น ความรบั ผิดชอบ การมมี นุษย์สัมพันธ์ ความซอื่ สตั ย์
3 https://www.im2market.com/2016/05/21/3263 ,สืบค้นเม่อื วนั ที่ 12 กรกฎาคม 2564 ดร.ปรธภร ปุระกนั
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration
59
2. เงิน หรือ Money นบั เปน็ ปัจจยั ทีส่ าคญั รองลงมา การขับเคลื่อนใดๆ เงินนบั เป็นปจั จัยท่สี าคัญ เป็นส่งิ
หลอ่ เลีย้ งใหค้ น งาน และสง่ิ ต่างๆดาเนินไปได้อย่างราบรืน่ ในการมปี ัจจยั สนบั สนนุ แต่ควรดาเนินการดว้ ย
ความโปรง่ ใส ตรวจสอบได้ และไม่ควรเอาเขา้ มาควบคมุ ความคดิ มากเกนิ ไป
3. วัสดุ หรือ Materail วสั ดุนบั เป็นปจั จยั ชค้ี วามสาเร็จของงานได้ วัสดุจึงเปน็ เสมือนแขน ขา ของการ
บรหิ ารงาน ชว่ ยให้งานดาเนนิ ไปอย่างทีต่ ง้ั จุดหมายไว้ การใชว้ สั ดุ อุปกรณ์ ควรคานงึ ถึงความประหยดั
ความค้มุ คา่ และรกั ษาส่งิ แวดล้อม และการใชใ้ ห้เกิดความคุ้มคา่ ทส่ี ุด
4. การจัดการ หรือ Management เป็นกระบวนการทผี่ ู้บรหิ ารควรให้ความสาคญั เพราะถ้าการจัดการดี มี
การวางแผนไวด้ ีต้งั แต่เร่ิมต้น เทา่ กบั ว่างานนน้ั สาเรจ็ ไปแล้วครง่ึ หนึ่งเลยทเี ดยี ว
การบริหารรัฐกิจ
การบริหารรฐั กิจ (Public Administration)
Felix A. Nigro ได้ให้คานิยาม (definition) ของคาว่า “Public Administration” ไว้ว่า หมายถงึ
1. พลังของกลมุ่ ทรี่ ่วมมือรว่ มแรงรว่ มใจกนั ในหน่วยงานของราชการ
2. เป็นการดาเนนิ งานทีค่ รอบคลุมการใช้อานาจอธปิ ไตยท้ัง 3 สาขา คอื อานาจบรหิ าร นติ บิ ัญญัติ
และตลุ าการ ตลอดจนความเกี่ยวขอ้ งสมั พันธร์ ะหวา่ งอานาจทัง้ สามนั้น
3. มบี ทบาทสาคญั ในการกาหนดนโยบายของรัฐ และดังน้ันจึงเป็นส่วนหนง่ึ ของกระบวนการทาง
การเมือง
4. มคี วามแตกตา่ งในลกั ษณะทส่ี าคัญหลายประการจากการบรหิ ารงานธรุ กจิ ของเอกชน
5. มคี วามเกี่ยวข้องอย่างใกลช้ ดิ กบั บรรดากล่มุ ธรุ กจิ เอกชน (private groups) และบคุ คลต่าง ๆ
(individual) ในการจดั ทาบริการในดา้ นต่าง ๆ ใหแ้ ก่ชุมชน (community)
White ได้ใหน้ ิยามความหมายอยา่ งกวา้ งทส่ี ดุ ว่าการบริหารรฐั กจิ นน้ั ประกอบดว้ ยการปฏบิ ัติการทงั้ ปวงซึ่ง
กระทาโดยมจี ุดม่งุ หมายท่ีจะให้นโยบายแหง่ รัฐบรรลผุ ลสาเร็จหรอื นามาบงั คบั ใช้ไดผ้ ล
Simon ไดใ้ ห้หมายความไวว้ า่ การบริหารรัฐกิจในความหมายทใ่ี ชก้ ันอยโู่ ดยท่วั ไปนน้ั หมายถึงกิจกรรมทั้ง
ปวงของฝ่ายบริหารไม่วา่ จะเป็นการปกครองสว่ นกลาง การปกครองมลรัฐ หรอื การปกครองส่วนท้องถ่นิ ท่ีสาคญั ก็คือ
ไมร่ วมเอางานของฝา่ ยนิติบัญญตั แิ ละตุลาการเข้าไว้ดว้ ย
จากความหมายของนักวิชาการดังกลา่ วอาจกล่าวไดว้ า่ การบริหารรัฐกิจ (public administration) นนั้ เป็น
การดาเนินงานของทางราชการเพ่อื ใหเ้ ปน็ ไปตามนโยบายของรฐั ท่เี อาการใช้อานาจนติ บิ ัญญตั แิ ละตุลาการเข้าไว้
ด้วย (แตม่ ีแนวความคิดของนักวชิ าการบางคน เชน่ Nigro เห็นแตกตา่ งออกไปจาจากนักวชิ าการอื่นในเร่ืองน)้ี
Public Administration ในฐานะท่ีเป็นศาสตร์ (Science) และในฐานะทเ่ี ปน็ ศิลป์ (Art)
คาวา่ public administration นัน้ อาจจะมองได้เปน็ 2 ด้าน คือ มองในด้านของการปฏบิ ัติงาน (public
administration as an activity) เรยี กว่าเป็นการบรหิ ารราชการ การบรหิ ารรัฐกจิ การบริหารสาธารณสุข หรือการ
บรหิ ารสาธารณะก็เรยี ก กับมองในด้านของการเป็นสาขาวิชาการ (public administration as a field of study)
ซ่ึงหมายเฉพาะวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ หรอื วชิ าการบริหารรัฐกจิ อนั เป็นวชิ าทว่ี า่ ดว้ ยการบรหิ ารงานของรัฐ
เมื่อมองในดา้ นของการเปน็ วิชาการนนั้ public administration เปน็ สาขาวชิ าแขนงหนึ่งเรยี กวา่ วชิ ารฐั
ประศาสนศาสตร์หรือวชิ าการบริหารรฐั กจิ ซ่งึ เป็นวิชาทว่ี ่าด้วยการบริหารงานของรฐั เป็นศาสตร์หรือวชิ าการ
(science) อันรวบรวมเป็นระบบ (systematic) มีหลักการ มีกฎเกณฑ์ทีส่ ามารถศึกษาไดแ้ ละนาถา่ ยทอดใหค้ วามรู้
กันได้
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
60
เมื่อมองในด้านของการปฏบิ ัติงาน public administration หรอื การบรหิ ารราชการ การบริหารรัฐกิจ การ
บริหารสาธารณกจิ หรอื การบริหารสาธารณะ หมายถงึ การใช้ศิลปะ (art) ในการอานวยงาน จดั ให้มีการร่วมมือ
ประสานงาน และควบคุมคนจานวนมากเพื่อให้ได้ผลงานบรรลจุ ุดมุง่ หมายหรือวัตถุประสงคบ์ างประการท่ตี ้ังไว้ โดย
นกั บรหิ ารจะต้องใชค้ วามสามารถทจี่ ะนาเอาทรัพยากรในการบรหิ ารมาใชใ้ นระบบการบริหารเพื่อให้งานบรรลุผล
สาเร็จตามวัตถปุ ระสงคทื ตี่ ้องการ คือการทาให้นโยบายแห่งรัฐบรรลผุ ลสาเรจ็ เปน็ จดุ หมายปลายทาง ท้ังนจี้ ะต้อง
อาศัยความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ (experience) และทกั ษะ (skills) ของนักบริหารแตล่ ะคนเข้ามาเปน็
เคร่อื งช่วย
public administration แม้จะแยกมองได้ว่าเป็นศาสตร์ (science) และเป็นศิลป์ (art) ก็ตาม แต่ก็มี
ความสมั พันธ์กันอย่างย่ิง เพราะการบริหารรัฐกิจจะมีประสิทธิภาพ ถ้าหากวา่ นกั บริหารมีความรใู้ นวิชาการบรหิ ารรฐั
กิจหรือรัฐประศาสนศาสตร์อันจะชว่ ยใหเ้ กดิ ความฉลาดปราดเปร่ือง (intelligence) ในการบรหิ ารงาน โดยธรรมชาติ
แลว้ ไมว่ า่ จะมีคณุ ลกั ษณะของนักบรหิ ารอยู่อยา่ งเลอเลิศหรือไม่ก็ตาม การศกึ ษาถึงวิธกี ารบริหารงานท่ีถูกตอ้ งจะช่วย
ให้เปน็ นักบรหิ ารทีด่ ีขนึ้ กว่าเดิม โดยนาเอาหลกั วชิ การไปประยุตกห์ รือปรับใชก้ ับการปฏบิ ตั ิงานของตนใหผ้ ลงานมี
คุณค่าย่ิงขนึ้ อันเรียกไดว้ า่ เปน็ ผมู้ ศี ิลป์ในการบรหิ าร
ความสาคัญของการบริหารรฐั กิจ (public administration)
มนษุ ยเ์ ปน็ สตั วส์ ังคม (social animals) ซึ่งต้องการอย่รู วมกนั เปน็ หมเู่ ปน็ พวก ความต้องการพ้นื ฐาน (basic
needs) ของมนุษย์นอกจากต้องการปัจจยั ส่ี คือ อาหาร เสื้อผา่ เครือ่ งนุ่งห่ม ยารกั ษาโรค ทีอ่ ยู่อาศยั ฯลฯ มาสนอง
ความต้องการของรา่ งกาย (physiological needs) แลว้ ยงั ต้องการความมั่นคงปลอดภยั (safety หรอื security
needs) ความต้องการมพี วกพ้องหรือการเปน็ ที่ยอมรบั ของสงั คม (social needs) ซ่งึ ความต้องการพ้นื ฐานเหล่านี้
เปน็ พลังผลกั ดันให้มนษุ ย์อยู่รวมกันเป็นครอบครัว และขยายเปน็ เผ่า (tribe) เปน็ ชาติ เปน็ ชมุ ชนขนาดใหญ่ จนถงึ
เปน็ รัฐหรือประเทศ ซ่งึ องคป์ ระกอบที่สาคัญของรัฐหรอื ประเทศ คอื การมีประชากรจานวนหนง่ึ มาอาศัยอยรู่ ่วมกนั มี
ดนิ แดนอาณาเขตที่แน่นอน มีเอกราชและอธิปไตยในการปกครองตนเอง และมีการปกครองอนั เปน็ ระเบยี บเพื่อ
ประโยชนส์ ขุ ของประชาชนท่ีอย่รู ว่ มกันนน้ั ซ่งึ การอยรู่ ่วมกันของคนจานวนมากในลกั ษณะของรฐั หรือประเทศทาให้
มกี ารนาเอาแนวความคิดทางการเมืองหรอื ปรชั ญาทางการเมอื งทวี่ า่ ควรจะมรี ปู แบบการปกครองอย่างไรเพอ่ื ให้คน
ในแตล่ ะรัฐแต่ละประเทศได้มีชวี ติ อยูอ่ ยา่ งมีความสขุ มากที่สดุ มากาหนดเปน็ ระบบการปกครองในลกั ษณะตา่ ง ๆ กนั
มีการวางระเบยี บกฎเกณฑ์และมาตรการต่าง ๆ เพ่ือความสงบเรียบรอ้ ยและความสะดวกสบายสงบร่วมเยน็ ของ
ประชาชนในประเทศ
ในระบบการปกครองทวั่ ๆ ไป จะมีการกาหนดเอาไว้ว่าอานาจสูงสุดในการปกครองประเทศมาจากท่ใี ดและ
ใครเป็นผูใ้ ช้ โดยบัญญตั ไิ วใ้ นรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายหลักหรอื กฎหมายแม่บทในการปกครองประเทศดังกล่าว
การปกครองในระบบประชาธิปไตยนนั้ นิยมแบ่งแยกการใช้อานาจสูงสดุ ใจการปกครองประเทศหรืออานาจอธปิ ไตย
(sovereignty) ออกเป็น 3 สาขา คอื อานาจในการออกกฎหมายหรอื อานาจนิตบิ ัญญัติ (legislative power) อานาจ
บรหิ าร (executive หรอื administrative power) และอานาจตลุ าการ (judicial power) หรอื อานาจในการ
พจิ ารณาพิพากษาอรรถคดใี ห้เปน็ ไปตามตัวบทกฎหมาย
อานาจนติ ิบญั ญัติ (legislative power) นามาใช้ในการออกกฎหมายในลักษณะตา่ ง ๆ สถาบันทรี่ ับผดิ ชอบ
ในการออกกฎหมายคือ รฐั สภาอนั ประกอบด้วยสมาชิกสภา ซ่งึ ไดร้ บั เลือกเป็นตัวแทนมาจากประชาชนหรือผู้ท่ีไดร้ ับ
แต่งต้งั ให้ทาหนา้ ท่ีเป็นตวั แทนของประชาชน จะทาหนา้ ท่ีพิจารณาวา่ กฎหมายฉบบั ใดเก่ียวกับเรอ่ื งใดสมควรจะนา
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
61
ออกใช้บังคับแกป่ ระชาชนหรอื ไม่และหน้าทอ่ี นื่ ๆ ตามท่ีกาหนดไว้ในรฐั ธรรมนูญ กฎหมายที่นาออกใช้โดยผา่ นการ
พิจารณาให้ความเห็นชอบของฝ่ายนิติบัญญัติแลว้ น้นั ฝา่ ยบรหิ ารจะไดน้ าไปใชใ้ นการบริหารต่อไป
อานาจตลุ าการ (judicial power) น้นั เปน็ อานาจในการพจิ ารณาพิพากษาอรรถคดี ใหเ้ ปน็ ไปตามตัวบท
กฎหมายเมื่อมกี ารกระทาฝ่าฝืนกฎหมายมกี รณีพิพาทระหว่างเอกชนเป็นหน้าท่ขี องผู้พิพากษาท่จี ะใช้อานาจอสิ ระ
ในการพิจารณาพิพากคดีตามพยานหลกั ฐานและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในคดีใหเ้ ป็นไปตามตวั บทกฎหมายทีว่ างไวเ้ ปน็
หลัก ประกอบกบั ดลุ พนิ จิ ของตนเอง
อานาจบราิ าร (executive ารอื administrative power) นั้น หมายถึงการจดั ดาเนินกิจการของรฐั โดยมี
วตั ถุประสงค์ (objectives) มุ่งในการจดั ทาบริการสาธารณะ (public services) ในด้านตา่ ง ๆ สอนงความต้องการ
ส่วนรวมของประชาขนซึง่ แยกออกไดเ้ ป็น 2 ประการ คือความตอ้ งการไดร้ ับความปลอดภัยทั้งภายในและภายนอก
ประเทศ และความตอ้ งการได้รับความสะดวกในการใชช้ วี ิตแตล่ ะวนั
คณะรฐั มนตรหี รอื รฐั บาลทง้ั ชุดไดร้ บั มอบหมายให้เป็นผใู้ ช้อานาจบริหารนี้ ประกอบไปด้วยหวั หนา้ คณะ คือ
นายกรฐั มนตรซี ง่ึ ปกตคิ ือหัวหนา้ พรรคการเมืองซ่งึ ได้รับความไวว้ างใจจากประชาชนเลือกต้งั สมาชิกของพรรคเขา้ มา
เปน็ สมาชกิ รฐั สภามากท่ีสดุ หรือผทู้ ่ีได้รับมอบหมายจากพรรคการเมืองดงั กล่าวใหท้ าหนา้ ท่นี ายกรัฐมนตรี และ
รฐั มนตรรี ว่ มคณะทง้ั ชดุ จะรว่ มกันพจิ ารณากาหนดนโยบาย (policy) หรอื แนวทางกวา้ ง ๆ ในการดาเนินงานให้
เปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงค์ดังกล่าวข้างตน้ วา่ จะจดั ดาเนินงานสาธารณะเพ่ือสนองตอบต่อความต้องการส่วนรวมของ
ประชาชนท้ังประเทศไดอ้ ย่างไร และนาเสนอต่อฝา่ ยนติ บิ ัญญัติคือรัฐสภาซ่งึ ประกอบด้วยตวั แทนของประชาชนเพื่อ
ขอความไว้วางใจ เมือ่ รฐั สภาให้ความไวว้ างใจแล้ว ต่อจากน้ันรัฐมนตรวี ่าการกระทรวงแต่ละคนจงึ รบั เอานโยบายแต่
ละดา้ นจากรัฐบาลไปควบคุมการปฏิบัติดาเนนิ งานของแต่ละกระทรวงใหเ้ ปน็ ไปตามนโยบายที่ตงั้ ไว้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพและทันต่อความตอ้ งการของประชาชน
ในการดาเนนิ งานของฝ่ายบริหารในแต่ละกระทรวง จะมีผปู้ ฏบิ ัตงิ านสองฝา่ ยท่ีจะตอ้ งร่วมมอื กัน คือฝ่าย
การเมืองซง่ึ เข้ามาดารงตาแหนง่ ตามวาระหรือตามวิถีทางการเมืองมรี ะยะเวลาในการดารงตาแหนง่ อนั ไดแ้ ก่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง รัฐมนตรชี ว่ ยว่าการ เลขานุการรัฐมนตรี ฯลฯ ฝา่ ยหนึ่ง และบรรดาฝา่ ยประจาในแตล่ ะ
กระทรวง ต้ังแต่ข้าราชการประจาสูงสดุ คือปลัดกระทรวงลงไปจนถึงอธิบดี ผูอ้ านวยการกอง หัวหน้ากอง หวั หน้า
แผนก ข้าราชการและลูกจ้างทง้ั หลาย ซง่ึ เป็นตัวจกั รกลสาคญั ในการปฏบิ ัติงานให้บรกิ ารถงึ มือประชาชนตาม
นโยบายของรัฐบาล ฝ่ายประจาเข้ามาดารงตาแหนง่ โดยยึดเปน็ อาชพี และโดยผลการสอบแขง่ ขันสอบคดั เลือกหรือ
คดั เลอื กตามตัวบทกฎหมายท่ีกาหนดไว้ และมปี ระสบการณใ์ นการทางาน มคี วามรู้ความสามารถชานาญในงาน
ประจาทีป่ ฏบิ ัติอยู่
การทางานร่วมกันระหวา่ งฝ่ายการเมืองและฝ่ายประจาน้ัน ฝ่ายการเมอื งซึ่งเปน็ ผคู้ วบคุมการดาเนนิ งานให้
เปน็ ไปตามนโยบายที่วางไว้ จะตอ้ งขอความรว่ มมอื ปรึกษาหารือ ขอคาแนะนาลทู่ างในการปฏบิ ัตจิ ากขา้ ราชการ
ประจาระดบั สูงอันได้แก่กระทรวง และอธิบดีและให้ความไว้วางใจในการดาเนนิ งานของข้าราชการประจา สว่ นฝ่าย
ประจานน้ั ทุดคนจะต้องมีธรรมะในการปฏิบตั งิ านในฐานะท่ีเปน็ ข้าราชการวา่ จะต้องไมน่ าเอาความคดิ เห็นส่วนตวั
ทางการเมอื งเข้ามาใชใ้ นการทางาน จะต้องทางานใหเ้ ป็นไปตามระเบยี บแบบแผนและนโยบายของรฐั บาลแต่ละชดุ
ที่ทีผ่ ลดั เปลี่ยนกนั เข้ามาบริหารประเทศ และปฏิบตั ิตามคาส่งั ทช่ี อบดว้ ยกฎหมายของผู้บังคับบญั ชาตามระเบยี บ
วินยั ของข้าราชการท่มี ีอยู่ ทัง้ นเ้ี พื่อให้นโยบายของรัฐบาลแต่ละชดุ ทตี่ ง้ั ไว้เป็นไปตามจดุ มุ่งหมายโดยมีขา้ ราชการ
ประจาทง้ั หลายเปน็ จักรกลท่ีชว่ ยใหน้ โยบายดงั กลา่ วบรรลุผล โดยไมน่ าเอาความคิดเหน็ สว่ นตวั ทางการเมือง
ความชอบหรือไมช่ อบรฐั บาลแต่ละชดุ มาเป็นเคร่ืองขดั แย้งไมใ้ ห้ความร่วมมือในการปฏิบัติราชการแต่ละอาจจะให้
คาแนะนา ขอ้ เสนอแนะ สถิตขิ อ้ มลู ข้อเทจ็ จริงตา่ ง ๆ ในการทางานเสนอให้ผูบ้ ังคบั บัญชาทราบตามลาดบั ชนั้ จนถึง
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
62
ฝา่ ยการเมืองซึ่งคุมนโยบายอยู่จะไดเ้ ปน็ เครือ่ งประกอบการพจิ ารณาแก้ไขปรับปรงุ นโยบายทกี่ าหนดไว้เดมิ ให้
ทนั สมยั และสามารถนามาใชป้ ฏิบตั ิงานให้เกิดผลแต่ประชาชนได้จรงิ ตามความมุ่งหมายที่ต้งั ไว้ โดยอาศัยความ
ร่วมมอื จากฝ่ายประจา
จะเห็นได้วา่ การเมืองซ่ึงเป็นเรื่องของการทรี่ ัฐบาลดาเนินการเพ่อื ความมน่ั คงและความก้าวหน้าของ
ประเทศชาติ รวมทั้งความผาสุกของประชาชน โดยกาหนดแนวนโยบายการปฏิบตั ิตามวตั ถปุ ระสงค์ทีต่ ั้งไว้ กบั การ
บริหารซง่ึ เปน็ เรือ่ งทข่ี า้ ราชการท้ังหลายทีข่ ้าราชการการเมือง และขา้ ราชการประจารว่ มมือกันปฏบิ ัติงานตาม
ตาแหน่งหน้าที่เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนตามแนวนโยบายท่ตี ้งั ไวใ้ ห้ได้ผลดถี ึงมือประชาชนมาก
ทส่ี ุดนนั้ เป็นสงิ่ ทีต่ ้องดาเนินไปดว้ ยกันแยกจากกันไม่ได้ เพราะโดยเนอื้ แท้แลว้ ไม่มีการบรหิ ารใดทจ่ี ะปลอดจาก
การเมืองได้ ท้ังนเี้ พราะว่าการบริหารรฐั กจิ จะเกิดข้นึ ไม่ไดใ้ นสญู กาศทางการเมอื ง (public administration never
exists in political vacuum) หรือตามที่ศาสตราจารย์ Dimock ไดเ้ ขียนไวว้ ่า “การเมอื งและการบริหารเปรยี บดัง
สองด้านของเหรยี ญอนั เดยี วกัน (politics and administration are the two sides of a single coin)
ได้มกี ารคิดค้นวา่ ทาอย่างไรจึงจะนาเอาทรัพยากร (resources) ทม่ี ีอยู่ คอื คน เงนิ และวัสดอุ ุปกรณ์ต่าง ๆ
มาจดั ทาบรกิ ารให้แกป่ ระชาชนได้อยา่ งสมบูรณ์ท่สี ดุ ตามนโยบายของรฐั บาลท่วี างไว้ จดุ เร่มิ ต้นไดเ้ ร่ิมมาจากทางดา้ น
ธรุ กจิ เอกชนที่ต้องการจะให้การดาเนนิ งานของตนได้ผลดีมีประสทิ ธิภาพท่สี ุด เพราะการประกอบธุรกิจในด้านต่าง ๆ
ขยายกวา้ งขวางข้ึนท้งั ในดา้ นกสกิ รรม อตุ สาหกรรม พาณชิ ยกรรม ฯลฯ ดังน้ัน จึงไดม้ ีการคิดหาหลักการจดั
ดาเนินงานโดยนาเอาทรัพยากรทัง้ หลายมาใชใ้ ห้ไดป้ ระโยชนม์ ากที่สุด มีการวางมาตรฐาน กฎเกณฑ์ จดั ออกมาเปน็
แบบระบบ (system) ซึ่งสามารถนาหลกั การไปใชไ้ ด้ในการบรหิ ารท่ัวไปทั้งของรัฐและเอกชน และเป็นสาขาวชิ า
แขนงหน่งึ ทางการบรหิ ารงานเรียกไดว้ า่ เป็นทั้งหลกั วิชา และหลกั การดาเนินงานทางการบรหิ าร (administration
หรอื management) ดังท่ีได้ทาความเข้าใจกันมาแลว้ 4
โดยสว่ นใหญแ่ ล้วบรหิ ารรัฐกจิ หรอื รัฐประศาสนศาสตร์ จะเปน็ การศกึ ษาเกย่ี วกบั การบริหารงานภาครัฐ
หรอื ระบบราชการน่นั เอง รวมทงั้ องค์กรของรัฐ เช่น รฐั วิสาหกิจ และองค์กรมหาชนต่างๆ โดยส่วนใหญม่ ักเนน้ เร่ือง
กรอบแนวความคิดด้านการบรหิ ารองค์การและการจดั การ Organization amp Management การบริหาร
ทรพั ยากรมนุษย์ Human Resources Management การบริหารงานคลังและงบประมาณ Fiscal Administration
amp Budgeting การบัญชรี ัฐบาล Government Accounting การวางแผนบริหาร Administrative Planning
กฎหมายมหาชน Public Laws ระบบสารสนเทศเพื่อการบรหิ ารงานภาครัฐ Public Information System นโยบาย
สาธารณะ Public Policy การบริหารงานตารวจ Police Administration และจติ วิทยาองค์การ Organizational
Psychology5
4 คณาจารยภ์ าควิชาบรหิ ารรฐั กิจ , การบรหิ ารรัฐกิจเบ้อื งต้น พมิ พ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พม์ หาวิทยาลยั รามคาแหง, 2533,หน้า 21-26.
5 https://guru.sanook.com/23906/ ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration
63
กลยทุ ธ์ทางการบริหารธรุ กจิ และการบรหิ ารรัฐกิจ
ความหมายของการบริหารเชงิ กลยุทธ์
ไดใ้ หค้ วามหมายของ การบริหารเชงิ กลยทุ ธ์ไว้ 3 ประการ ดงั นี้
ความหมายท่ี 1
การบริหารเชิงกลยทุ ธ์ (Strategic Management) เปน็ กระบวนการซงึ่ รวมกิจกรรมท่เี กย่ี วข้อง
กัน 3 ประการ คอื
1) การวเิ คราะหเ์ ชงิ กลยุทธ์ (Strategic analysis) เปน็ งานทีจ่ ะต้องทาไว้ลว่ งหนา้ และต้องมีการพัฒนา จึง
จะเป็นการพฒั นากลยุทธท์ ่ีเหมาะสม
2) การกาหนดกลยุทธ์ (Strategy formulation) เป็นกระบวนการเปล่ยี นแปลงทตี่ ้องทาไวล้ ่วงหนา้ ให้
เปน็ แผน ซง่ึ ไดผ้ ลลพั ธ์ คือ กลยทุ ธ์ท่ีกาหนด
3) การปฏบิ ตั ิตามกลยุทธ์และการควบคุม (Strategy implementation and control) เป็นกระบวนการ
กาหนดแผนการปฏบิ ตั ิ การมองเห็นความเป็นไปได้ของกลยุทธ์ท่ีกาหนดไวใ้ ห้เป็นจริง
ความหมายที่ 2
กระบวนการบรหิ ารเชงิ กลยทุ ธ์ (Strategic management process) หมายถึง ขน้ั ตอนการบริหารเพื่อให้
บรรลภุ ารกจิ (Mission) ขององค์การ โดยสรา้ งความสมั พันธร์ ะหว่างองค์การให้เหมาะสมกบั สภาพแวดล้อม
โดยเฉพาะผู้ทีไ่ ด้ผลประโยชน์จากองคก์ าร (Stakeholders) ซงึ่ เปน็ ปจั จัยในสถานการณส์ ภาพแวดล้อมทม่ี ีผลกระทบ
ต่อการตัดสินใจ และกาหนดนโยบายขององค์การ ประกอบดว้ ย ลกู ค้า (Customer) พนักงาน (Employee) ชมุ ชน
ในทอ้ งถิ่น (Community) และผู้ถอื หนุ้ (Stockholder)
ความหมายที่ 3
การบริหารเชิงกลยุทธ์ (Strategic management) เปน็ ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ในการกาหนด (1) กลยทุ ธ์
(Strategy formulation) (2) การปฏิบัตติ ามกลยทุ ธ์ (Strategy implementation) (3) การประเมินผลกล
ยทุ ธ์ (Strategy evaluation)
สาโรจน์ โอพทิ ักษ์ชวี ิน (2548) ไดใ้ ห้ความหมายของการบรหิ ารเชิงกลยุทธ์ (Strategic management) วา่
คือ ชุดของการตดั สนิ ใจ และการกระทาท่ีกอ่ ให้เกดิ ผลลัพธ์ ในการจดั สรา้ งแผนและการปฏิบตั ติ ามแผนที่ได้ออกแบบ
มา เพื่อใหบ้ รรลวุ ัตถุประสงค์ของบริษทั
ดังนนั้ จงึ อาจสรุปได้วา่ การบริหารเชิงกลยทุ ธ์ (Strategic management) คือ กระบวนการในการจดั ทากล
ยทุ ธ์ และการปฏบิ ัติตามกลยุทธ์ที่กาหนดอย่างเหมาะสม เพอ่ื ให้บรรลวุ ัตถุประสงค์ขององค์การ6
สรุป การบรหิ ารรัฐกิจ การบรหิ ารธุรกจิ และการจดั การภาครัฐ
จากการเปรียบเทียบมุมมองในลักษณะต่าง ๆ ของการบริหารรัฐกิจ การบริหารธุรกิจ และการจัดการ
ภาครัฐ โดยใช้ทฤษฎีในสาขาวิชาที่ต่าง ๆ กันในการอธิบายถึงความแตกต่างของความหมายของการบริหารรัฐกิจ
และการจัดการภาครฐั โดยที่มีการผสมผสานการบริหารธุรกจิ เข้ามาในการจัดการภาครฐั มากขึ้น รวมทงั้ การนาหลัก
เศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงมากข้ึน และเพื่อตอบสนองสภาพแวดล้อมท่ีเปลี่ยนแปลง
ตลอดเวลา
6 https://www.kroobannok.com/blog/21391 ดร.ปรธภร ปุระกนั
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration
64
บทที่ ๕
การบริหารรัฐกจิ และการบรหิ ารธุรกจิ
เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการบรหิ ารจัดการรฐั กิจและการบรหิ ารธุรกิจมคี วามสาคัญย่ิงในการพลกิ โฉม
รูปแบบการบรกิ ารข้อมลู ภาครฐั ด้วยการเช่ือมโยงเทคโนโลยีสื่อสาร เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
ฐานขอ้ มลู เพ่ือติดตอ่ สื่อสารกับผู้รับบรกิ ารหรือผมู้ ีสว่ นได้เสียรวมท้ังการตดิ ต่อสอื่ สารทางานรว่ มกันของ ระบบ
สารสนเทศทงั้ ภายในและภายนอกองค์กร ซ่งึ เปน็ เครอ่ื งมือทส่ี าคญั ในการเข้าถงึ บริการของรฐั เพื่อ ให้เกดิ ผลสมั ฤทธิ์
ต่อการบริหารจัดการและการให้บรกิ าร เพ่ิมประสิทธภิ าพการดาเนินงานภาครัฐ ปรบั ปรงุ การบริการดา้ นข้อมูล
สารสนเทศเพื่อสง่ เสรมิ การพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คม จึงเปน็ เคร่ืองมือสาคัญในการ เข้าถึงบรกิ ารของรัฐ โดยไดร้ ับ
ความร่วมมอื อย่างใกลช้ ิดและเตม็ ใจจากภาครฐั ภาคธุรกิจ และภาค ประชาชน ดว้ ยความคาดหวังวา่ ระบบราชการ
ไทยเกิดการเปล่ยี นแปลงไปสู่การบรหิ ารรูปแบบใหม่ กระบวนการทางานใหม่และขีดสมรรถนะใหม่
การใช้ระบบสารสนเทศเพ่อื การบริหาร
ระบบสารสนเทศเพอ่ื การบริหาร (Management Information System: MIS) คือ ระบบท่ีให้
สารสนเทศทผ่ี บู้ รหิ ารต้องการตอบสนองกบั ผบู้ รหิ ารได้ทนั ที เพ่ือให้สามารถทางานไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ โดยจะ
รวมทง้ั ส่งิ ที่คาดว่าจะเป็นอนาคต MIS จะใหส้ ารสนเทศภายในช่วงเวลาที่เป็นประโยชน์ เพื่อใหผ้ ู้บริหารสามารถ
ตัดสินใจในการวางแผนควบคุมและปฏิบัติการขององคก์ รไดอ้ ย่างถูกต้อง
ผบู้ ริหารที่ไดร้ ับประโยชน์จากระบบ MIS คอื ผ้บู รหิ ารระดับกลาง สามารถสนับสนุนข้อมูลให้ผู้บริหารทั้ง
สามระดับท้ังผูบ้ รหิ ารระดับต้น ผบู้ รหิ ารระดบั กลางและผูบ้ ริหารระดับสูง ระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารหรือ
ระบบสารสนเทศเพื่อการจดั การ ( MIS ) หมายถงึ การเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผลและการสรา้ งสารสนเทศ
ขน้ึ มาเพื่อชว่ ยในการตัดสนิ ใจ การประสานงานและการควบคุม นอกจากนั้นยงั ช่วยผบู้ รหิ ารและเจา้ หน้าที่ในการ
วิเคราะห์ปัญหา แก้ปัญหาและสรา้ งผลติ ภณั ฑห์ รอื ผลงานใหมโ่ ดยใช้อุปกรณ์คอมพวิ เตอร์ ( Hardware ) และ
โปรแกรม ( Software ) รวมทงั้ ผูใ้ ช้ (Peopleware) เพอ่ื ก่อให้เกดิ ความสาเร็จในการไดม้ าซ่งึ สารสนเทศท่ีมีประโยชน์
หรือกล่าวอีกนัยหนงึ่ คือ ระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารเป็นระบบซง่ึ รวมความสามารถของผู้ใช้งานและ
คอมพิวเตอรเ์ ข้าดว้ ยกนั โดยมจี ดุ มงุ่ หมายเพ่ือใหไ้ ด้มาซงึ่ สารสนเทศเพ่ือการดาเนินงาน การจดั การและการตดั สนิ ใจ
ในองค์กรมีลักษณะเป็นระบบบริหารทใี่ ห้สารสนเทศทผ่ี ้บู ริหารต้องการ เพอื่ ใหท้ างานได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยจะ
รวมทงั้ สารสนเทศจากภายในและภายนอก สารสนเทศท่เี ก่ียวพนั กับองค์กรในอดีตและปัจจบุ นั รวมทง้ั ที่คาดว่าจะ
เป็นอนาคต นอกจากนรี้ ะบบ MIS จะตอ้ งให้สารสนเทศภายในชว่ งเวลาทเี่ ป็นประโยชน์ เพ่ือใหบ้ รหิ ารสามารถ
ตดั สนิ ใจในการวางแผนการควบคุม และการปฏบิ ัตกิ ารขององค์กรได้อยา่ งถูกต้อง แม้วา่ ผ้บู ริหารที่ได้รับประโยชน์
จากระบบเอม็ ไอเอสสงู สุดคือผบู้ ริหารระดับกลาง แตโ่ ดยพนื้ ฐานของระบบเอม็ ไอเอสแลว้ จะเป็นระบบที่สามารถ
สนบั สนุนข้อมลู ให้ผบู้ ริหารทั้ง 3 ระดบั คือ 1.ผบู้ รหิ ารระดบั ตน้ 2.ผบู้ ริหารระดับกลาง 3.ผูบ้ รหิ ารระดับสงู โดย
ระบบเอ็มไอเอส จะให้รายงานท่ีสรปุ สารสนเทศซง่ึ รวบรวมจากฐานข้อมูลท้ังหมดของบริษทั จดุ ประสงค์ของรายงาน
จะเน้นให้ผูบ้ รหิ ารสามารถมองเหน็ แนวโนม้ และภาพรวมขององค์กรในปัจจบุ นั รวมทั้งสามารถควบคมุ และตรวจสอบ
ผลงานของระดบั ปฏิบัติการด้วย อย่างไรก็ดี ขอบเขตของรายงานจะข้ึนอยูก่ ับลักษณะของสารสนเทศและจุดประสงค์
ในการใช้งาน โดยอาจมีรายงานท่อี อกทุกคาบระยะเวลา รายงายตามต้องการ หรือรายงานตามสภาวการณ์หรือเหตุ
ปกติ ตวั อยา่ งรายงานทอี่ อกโดยระบบ MIS เช่น การวเิ คราะห์การขายแยกตามพื้นท่ี การวิเคราะห์ต้นทนุ
งบประมาณประจาปกี ารวิเคราะหก์ ารลงทุน และตารางการผลติ เป็นต้น
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
65
ปจั จัยทเี่ ก่ียวข้องกบั การบริหาร
ปัจจัยของการบริหารงานน้นั มหี ลายอย่าง แต่ทแ่ี พร่หลายมากทส่ี ดุ คอื 4 M ได้แก่
1. คน (Man)
2. เงนิ (Money)
3. วสั ดุ (Materails)
4. การจัดการ (Management)
คน่(Man) นบั เป็นปัจจยั ที่สาคัญทส่ี ดุ เพราะเป็นผู้ดาเนินการทุกอยา่ ง เป็นผคู้ ิด เป็นผู้กระทา ต่างๆ งานจะ
สาเร็จหรือไม่ คนนับเปน็ ตัวแปรทส่ี าคญั เพราะต่อใหม้ ีเงินมากมาย มีอุปกรณ์พรอ้ ม การจดั การที่ดี แต่ถ้าคน ไม่มี
ประสิทธภิ าพ ไม่มีความรับผิดชอบ ขาดจิตสานึก งานกล็ ม้ เหลว การใชค้ นใหถ้ กู กบั งานจึงเปน็ เรอ่ื งที่ควรคานึงถงึ
มากๆ และบวกกบั ความรบั ผิดชอบ ความรู้ความสามารถมีแต่ขาดความรับผิดชอบ ก็ไมค่ วรใช้คนแบบน้ี
เงิน่(Money) นบั เปน็ ปจั ยั ท่สี าคัญรองลงมา การขบั เคล่ือนใดๆ เงนิ นบั เปน็ ปัจจัยท่สี าคัญ เปน็ ส่ิงหล่อเล้ียง
ใหค้ น งาน บริบทต่างๆ ดาเนนิ ไปได้อยา่ งราบรน่ื ในแง่ของปจั จัยสนับสนุน แต่ควรดาเนนิ การด้วยความโปร่งใส
ตรวจสอบได้ และไม่ควรใหเ้ งินมามอี ิทธิพลต่อความคดิ มากเกนิ ไป
วัสดุ(Materail) วัสดนุ บั เปน็ ปจั จัยช้คี วามสาเรจ็ ของงานได้ วสั ดุจึงเปน็ เสมือนแขน ขา ของการบริหารงาน
ช่วยให้งานดาเนินไปอย่างท่ีตั้งจุดหมายไว้ การใช้วสั ดุ อุปกรณ์ ควรคานึงถึงความประหยดั ความคุ้มคา่ และรกั ษา
สง่ิ แวดล้อม
การจดั การ(Management) เปน็ ปจั จัยในแง่ของนามธรรม แตเ่ ปน็ กระบวนการทผี่ ู้บรหิ ารควรให้
ความสาคญั น่ันคือถ้าการจัดการดี มีการวางแผนไว้ดีต้ังแต่ตน้ เท่ากับวา่ งานน้ันสาเรจ็ ไปแลว้ ครึง่ หนง่ึ เลยทเี ดียว1
ความมีประสิทธิผลทางการจัดการ่ (Managerial Effectiveness) การใชท้ รัพยากรของ ผบู้ รหิ ารตอ้ ง
คานงึ ถึงความ มปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ล ความมปี ระสิทธิผลทางการจดั การ คอื การใชท้ รพั ยากรขององค์การ
เพอ่ื ตอบสนองตอ่ เปา้ หมายขององคก์ ารอย่างมปี ระสิทธผิ ล ระดับของ ความมีประสทิ ธิผลในการจดั การขององค์กร
หมายถงึ ความมปี ระสทิ ธิผล ในการจัดการของผู้บริหาร
ความมีประสิทธิภาพทางการจดั การ่(Managerial Efficiency) หมายถงึ สัดส่วนของ ทรพั ยากรทงั้ หมด
ของ องคก์ ารท่ีสนับสนนุ ผลผลติ ระหว่างกระบวนการผลิต ถ้ามีสดั สว่ นสูง หมายความว่าประสิทธภิ าพของผ้จู ัดการใน
การใช้ ทรัพยากรมีมาก ทรัพยากรขององค์การไม่ไดห้ มายถึง เพียงแตว่ ตั ถุดิบท่ใี ชใ้ นกระบวนการผลิตสินคา้ หรือ
บรกิ ารเท่าน้นั แต่ รวมถึงความพยายามของบุคคล ในองค์การด้วย
ทกั ษะทางการจัดการ่(Management Skills)
คารซ์ กลา่ ววา่ ความสาเร็จของการจัดการขั้นอยู่กบั การปฏิบตั ิงานมากกว่าคณุ ลักษณะ ทางบุคลิกภาพ
ความสามารถของผู้บริหารในการปฏิบตั งิ านคือผลลพั ธท์ ่ีมาจากทกั ษะทางการจดั การ ผู้บริหารมที ักษะทางการ
จดั การที่สาคญั จะปฏบิ ตั ิงานไดเ้ ป็นอย่างดี และมโี อกาสประสบความสาเร็จไดส้ ูง ทกั ษะ 3 ประการท่สี าคัญต่อการ
จดั การทป่ี ระสบความสาเร็จ (คาร์ซ อ้างถงึ ใน ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี, 2551 : 10- 11) ได้แก่
1.ทกั ษะทางดา้ นเทคนิค่ (Technical skills) เกีย่ วขอ้ งกบั ความรูแ้ ละความชานาญเฉพาะทางในการ
ทางานท่ี เกยี่ วข้องกับเทคนิคและกระบวนการ บคุ คลท่ีต้องใช้ทกั ษะในด้านน้ีมาก ก็เชน่ วิศวกร นกั คอมพิวเตอร์ นัก
บญั ชี เปน็ ต้น ทักษะนีม้ ีความสมั พันธ์เปน็ อย่างมากกบั การทางาน ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั กลไก
1 https://www.gotoknow.org/posts/273013 ,สบื คน้ เมือ่ 12 กรกฎาคม 2564 ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration
66
2.ทกั ษะทางด้านมนุษย์่(Human skills) เปน็ ทักษะทสี่ ร้างความรว่ มมือกบั ทมี ทกั ษะนเี้ ก่ยี วข้องกับความ
เข้าใจ บุคคลอ่นื และสามารถรว่ มกบั บคุ คลอ่นื ได้เปน็ อย่างดี
3.ทักษะทางด้านแนวคดิ ่(Conceptual skills) เกีย่ วข้องกับความเข้าใจความสัมพันธ์ของ ส่วนต่างๆ ของ
ธุรกิจใน แตล่ ะดา้ นมคี วามเก้ือกลู กนั อย่างไร และมองเหน็ ภาพรวมขององค์การได้ กิจกรรมทตี่ อ้ งใชท้ กั ษะทางด้านนี้
ไดแ้ ก่ การตดั สินใจ การวางแผน และการจัดองค์กร
นอกเหนือจากทกั ษะทั้ง 3 ด้านนี้ ในปัจจบุ นั ทกั ษะทางด้านการวนิ จิ ฉัย (Diagnostic skills) ได้เขา้ มามี
ความสาคัญ ตอ่ ผบู้ ริหาร เพราะผู้บรหิ ารประสบความสาเรจ็ จานวนมากได้นาเอาทกั ษะ ทางดา้ นนม้ี าใช้ในองคก์ าร
ทักษะทางด้านวินจิ ฉยั ช่วยให้ผ้บู ริหารเข้าใจความสัมพันธ์ของสาเหตุและ ผลกระทบ(cause-and-effect) ไดด้ มี าก
ยิง่ ขึ้นและจดจาได้ถึงแนวทางใน การแกป้ ัญหาที่ดีที่สดุ
ความต้องการทักษะในแต่ละด้านของผ้บู ริหารควรมีมากน้อยเพยี งใดข้ึนอยู่กับระดับของการจัดการหรือ
การบริหารเปน็ สาคญั
ภาพที่่1 ความต้องการทกั ษะทางการจัดการและระดบั ของการจดั การ
กระบวนการบรหิ ารจัดการ
กระบวนการบรหิ ารจัดการประกอบดว้ ย 4 ขั้นตอนดงั ต่อไปนี้
1. การวางแผน่(Planning) การวางแผนเปน็ ขน้ั ตอนในการกาหนดวัตถุประสงค์และพิจารณา ถึงวธิ ีการท่ี
ควรปฏิบตั เิ พือ่ ให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์นน้ั (Schermethorn. 1999 : G-7) ดงั น้นั ผบู้ ริหาร จงึ ตอ้ งตัดสินใจว่าบริษัทมี
วตั ถปุ ระสงค์อะไรในอนาคตและจะต้องดาเนินการ อย่างไรเพ่อื ให้บรรลุ ผลสาเรจ็ ตามวตั ถุประสงค์นั้น การวางแผน
ประกอบด้วย
1.1 การดาเนนิ การตรวจสอบตัวเอง เพ่ือกาหนดสถานภาพในปจั จุบันขององคก์ าร
1.2 การสารวจสภาพแวดลอ้ ม
1.3 การกาหนดวตั ถปุ ระสงค์
1.4 การพยากรณส์ ถานการณ์ในอนาคต
1.5 การกาหนดแนวทางปฏิบัตงิ านและความจาเปน็ ในการใช้ทรพั ยากร
1.6 การประเมินแนวทางปฏิบัตงิ านท่วี างไว้
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
67
1.7 การทบทวนและปรับแผนเมือ่ สถานการณ์เปลยี่ นแปลง และผลลพั ธข์ อง การควบคุมไม่เปน็ ไป
ตามที่ กาหนด
1.8 การติดตอ่ ส่ือสารในกระบวนการของการวางแผนเป็นไปอย่างทวั่ ถึง
2. การจัดองคก์ าร่(Organizing) การจดั องค์การเป็นขน้ั ตอนในการจัดบุคคลและทรัพยากรทีใ่ ช้ในการ
ทางาน เพื่อให้บรรลุจุดมุง่ หมายในการทางาน น้นั (Schermerhorn. 1999 : G-7) หรือเปน็ การจัดแบง่ งาน และ
จดั สรรทรัพยากรสาหรับงาน เพ่ือใหง้ านเหลา่ นั้นสาเร็จ (Schermerhorn, Hunt ;& Osborn. 2000 : G-8) การจัด
องค์การประกอบด้วย
2.1 การระบแุ ละอธบิ ายงานท่ีจะถูกนาไปดาเนินการ
2.2 การกระจายงานออกเปน็ หน้าท่ี (Duties)
2.3 การรวมหนา้ ท่ีตา่ งๆ เขา้ เปน็ ตาแหนง่ งาน
2.4 การอธบิ ายส่ิงจาเปน็ หรือความต้องการของตาแหนง่ งาน
2.5 การรวมตาแหน่งงานต่างๆ เป็นหนว่ ยงานทมี่ ีความสมั พนั ธ์กันอย่างเหมาะสม และสามารถ
บรหิ ารจัดการได้
2.6 การมอบหมายงาน ความรบั ผิดชอบและอานาจหนา้ ที่
2.7 การทบทวนและปรบั โครงสรา้ งขององคก์ ารเม่ือสถานการณเ์ ปล่ยี นแปลง และ 10 ผลลพั ธข์ อง
การควบคมุ ไม่เป็นไปตามทีก่ าหนด
2.8 การตดิ ตอ่ สื่อสารในกระบวนการของการจัดการองค์การเปน็ ไปอยา่ งทวั่ ถงึ
2.9 การกาหนดความจาเป็นของทรัพยากรมนษุ ย์
2.10 การสรรหาผูป้ ฏบิ ัตงิ านทมี่ ศี ักยภาพ
2.11 การคัดเลือกจากบคุ คลท่สี รรหามา
2.12 การฝึกอบรมและพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ยต์ า่ งๆ
2.13 การทบทวนและปรับคุณภาพและปรมิ าณของทรพั ยากรมนุษย์ เม่ือสถานการณ์
เปลี่ยนแปลง และผลลัพธ์ของการควบคมุ ไมเ่ ปน็ ไปตามทก่ี าหนด
2.14 การติดต่อสื่อสารในกระบวนการของการจัดคนเข้าทางานเปน็ ไปอย่างท่วั ถึง
3.การชกั นา่(Leading) การชักนาเปน็ ข้นั ตอนในการกระตนุ้ ใหเ้ กิดความกระตอื รือรน้ และชักนาความ
พยายามของพนักงานใหบ้ รรลุเปา้ หมายของ องคก์ าร (Schermehorn. 1999 : G-5) ซึ่งจะเกยี่ วข้อง กบั การให้
ความพยายามของผจู้ ัดการที่กระตุน้ ให้พนักงานมีศกั ยภาพ ในการทางานสูงดังนนั้ การชักนา (Leading) จะช่วยให้
บรรลผุ ลสาเร็จ เสริมสร้างขวญั และกาลงั ใจ ประกอบด้วย
3.1 การติดตอ่ ส่ือสารและอธิบายวัตถปุ ระสงค์ใหแ้ ก่ผใู้ ตบ้ ังคับบญั ชาได้ทราบ
3.2 การมอบหมายมาตรฐานการปฏบิ ัติงานต่างๆ
3.3 การใหค้ าแนะนาและคาปรกึ ษาแกผ่ ใู้ ต้บังคบั บญั ชาใหส้ อดคล้องกบั มาตรฐาน ของการ
ปฏบิ ตั ิงาน
3.4 การให้รางวัลแกผ่ ้ใู ต้บังคับบญั ชาบนพน้ื ฐานของผลการปฏบิ ัติงาน
3.5 การยกย่องสรรเสรญิ และการตาหนติ ิเตยี นอยา่ งยุตธิ รรมและถูกต้องเหมาะสม
3.6 การจดั หาสภาพแวดลอ้ มมากระต้นุ การจูงใจ โดยการติดตอ่ สือ่ สาร เพอ่ื สารวจ ความตอ้ งการ
และ สถานการณเ์ ปลยี่ นแปลง
3.7 การทบทวนและการปรับวธิ กี ารของภาวะความเปน็ ผนู้ า เม่อื สถานการณ์ เปล่ยี นแปลง และ
ผลลพั ธ์ ของการควบคมุ ไม่เป็นไปตามท่กี าหนด
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
68
3.8 การตดิ ต่อสื่อสารโดยทัว่ ทุกแห่งในกระบวนการของภาวะความเปน็ ผนู้ า
4. การควบคุม่ (Controlling) เปน็ การตดิ ตามผลการทางาน และแก้ไขปรบั ปรุงในสงิ่ ทจ่ี าเป็น
(Schermerhorn, Hunt ;& Osborm. 2000 : G-3) หรือเปน็ ขั้นตอนของการวดั ผลการทางาน และดาเนินการแกไ้ ข
เพอ่ื ให้ บรรลุผลทีต่ อ้ งการ (Schermerhorn. 1999 : G-2) การควบคมุ ประกอบด้วย
4.1 การกาหนดมาตรฐาน
4.2 การเปรียบเทยี บและตดิ ตามผลการปฏบิ ตั งิ านกบั มาตรฐาน
4.3 การแก้ไขความบกพรอ่ ง
4.4 การทบทวนและปรบั วิธกี ารควบคมุ เม่ือสถานการณ์เปล่ียนแปลง และผลลพั ธ์ ของการควบคมุ
ไม่ เปน็ ไปตามท่ีกาหนด
4.5 การตดิ ตอ่ สื่อสารในกระบวนการของการควบคมุ เปน็ ไปอย่างทว่ั ถึง
ภาพประกอบแสดงกระบวนการบริหารการจัดการภายในองค์การ
ทม่ี า : ศิรวิ รรณ เสรีรัตน์ (2544). ความร้เู บอ้ื งต้นเกยี่ วกบั การบริหารจดั การ. หนา้ 20-22.
การเปรียบเทียบระหวางการบรหิ ารรัฐกิจและการบรหิ ารธรุ กิจ
1. รัฐประศาสนศาสตรเ์ ป็น่"สหวิทยาการ"่(Interdisplinary) หมายถงึ รัฐประศาสนศาสตร์คือการสอน
ทมี่ ีความรู้จากหลายสาขาวชิ า เชน่ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวทิ ยา จติ วิทยา เป็นต้น รวมวิชาความรู้ หรือ
วทิ ยาการเหลา่ น้ันประกอบเข้ากันเปน็ สหวิทยาการ จดั เปน็ สังคมศาสตรป์ ระยุกต์ เพ่ือนาความรไู้ ปประยุกต์ใช้
ปรบั ปรุงองค์กร โดยท่รี ัฐประศาสนศาสตรไ์ ม่มฐี านะเป็นศาสตร์ หรือเป็นจดุ เล็กๆ ท่นี ่าสนใจในการศึกษา ถ้าตอ่ กัน
จะเปน็ ศาสตรท์ ่ีสมบูรณเ์ น้ือหากวา้ งขวางซบั ซ้อนจงึ ไมส่ ามารถใช้ศาสตรเ์ ดยี วศึกษาได้
2. การบรหิ ารภาครฐั ่ เรยี กตามรปู ศพั ท์วา่ การบรหิ ารรัฐกจิ ่ (public administration) คือการ
ดาเนินการทัง้ ปวงของฝา่ ยบริหาร (ยกเว้นอานาจของฝา่ ยนติ บิ ัญญตั ิและตลุ าการ) โดยมีจดุ มุ่งหมายให้นโยบายของ
รัฐท่ีวางไว้บรรลผุ ล อาจมองได้ท้งั เป็นการปฏิบตั ิการ และการเปน็ สาขาวชิ าแขนงหนึ่ง การบรหิ ารและจดั การภาครฐั
จะไม่เหมือนการบริหารธุรกจิ ทีเ่ น้นกาไรสงู สดุ แต่เปน็ การเนน้ การให้บรกิ ารทใี่ หล้ กู ค้าพงึ พอใจ โดยลูกคา้ กค็ ือ
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
69
ประชาชนท่มี าใชบ้ ริการและต้องเป็นการให้บริการต่อ(ลูกค้า)ทุกคนอยา่ งเปน็ ธรรม
การบริหารธรุ กจิ ่(business administration) คือกระบวนวางแผน การจดั องค์การ การอานวยการ และ
การควบคมุ การใชท้ รัพยากรของกิจการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของธรุ กจิ
สรุปได้ตามคา รศ.ดร.โกวทิ วงศ์สรุ วัฒน์ ภาคสี มาชกิ สาขารฐั ศาสตร์ ราชบัณฑติ ยสถาน อธิบายเพิ่มเติมถึง
ความแตกต่างของการบรหิ ารรฐั กิจ และการบริหารธรุ กิจ วา่ หลักการเบอ้ื งต้นของการบรหิ ารรัฐกจิ คอื "วิธกี าร
บรหิ ารเพ่ือประโยชน์สุขของประชาชน" ส่วนหลกั การเบ้อื งต้นของการบรหิ ารธุรกิจคือ "วธิ กี ารบริหารเพ่อื แสวงหา
กาไรสูงสดุ "
ความแตกตา่ งของการบริหารรฐั กิจ และการบริหารธรุ กิจแยกเปน็ ข้อๆ ดงั น้ี
1. การบรหิ ารรฐั กิจมีกฎหมายรองรบั ในการทากจิ กรรมต่างๆ สว่ นการบริหารธรุ กิจไม่มกี ฎหมาย
รองรับ
2. การบริหารรัฐกจิ มกี ารควบคุมทางงบประมาณการใช้จ่ายต่างๆ ตามทรี่ ฐั สภากาหนด เพราะรายได้
สว่ นใหญข่ องรัฐมาจากภาษีของราษฎร
3. การบริหารงานสาธารณะมีขอบเขตกว้างขวางมากกวา่
4. เปา้ หมายหรือวตั ถปุ ระสงค์ของการบรหิ ารของรัฐมมี ากมายและมกั คลมุ เครือ ซึ่งยากต่อการวัดผล
โดยวิธีการดาเนินการทางเศรษฐศาสตร์
5. ความพร้อมทีจ่ ะได้มีการตรวจสอบและสอดส่องดูแลทางสาธารณะ การบรหิ ารราชการมีขอ้ เสยี คือ
มคี วามลา่ ช้า ขา้ ราชการยึดระเบยี บจึงไมม่ ีการยดื หยนุ่ และมลี ักษณะเขม้ งวด ซึ่งแตกต่างจากการ
บรหิ ารธุรกจิ ที่มกี ารตรวจสอบเฉพาะในกลุ่มของผบู้ ริโภคหรือผู้ใชบ้ ริการเทา่ นน้ั
6. การบริหารราชการมีความเกี่ยวขอ้ งทางการเมืองโดยตรง การดาเนินการต่างๆ ของรฐั จงึ สง่ ผล
กระทบตอ่ ส่วนได้สว่ นเสยี ของประชาชนโดยสว่ นรวม
7. ทัศนคติของการเปน็ ข้าราชการทจี่ ะมเี พยี งตัวบุคลากรท่ีมีความร้คู วามสามารถในการทางาน
ราชการไม่เป็นการเพียงพอระบบราชการท่รี วมหลายอยา่ งเขา้ ด้วยกนั
8. การบรหิ ารสาธารณกิจเปน็ กิจกรรมทม่ี ลี ักษณะมัน่ คง และต้องดาเนนิ ในลักษณะต่อเนื่องกันไป
ส่วนขอ้ คลา้ ยระหว่างการบริหารรฐั กิจและการบริหารธุรกิจ คือการรว่ มมือดาเนินการหรอื ปฏบิ ตั ขิ องกลุ่ม
บุคคลทมี่ ุ่งเป้าหมายรว่ มกันอย่างใดอย่างหนึง่ ดังน้นั หัวใจทส่ี าคัญจึงเป็นเรื่องการกระทา และความสามารถทจี่ ะ
รวบรวมทรัพยากรการบรหิ ารโดยดาเนินการให้บรรลผุ ล2
2 https://www.unigang.com/Article/1169, สบื คน้ เม่อื 12 กรกฎาคม 2564. ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration
70
คาถามท้ายบท
คาชีแแจง่่ใหน้ ิสิตตอบคาถามและอธิบาย
่
1. รฐั ประศาสนศาสตรเ์ ป็นสหวิทยาการ หมายความวา่ อยา่ งไร
่่่่่่ตอบ่
2. การบรหิ ารภาครัฐ กับ การบริหารธรุ กิจ เหมอื นหรอื แตกต่างกันอยา่ งไร
ตอบ่
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
71
บทที่ ๖
การติดตอ่ ประสานเพ่อื การบรหิ ารจัดการ
การประสานงาน
ความหมายความสาคัญของการติดต่อประสานงาน
นักวิชาการได้ให้คาจากัดความของคาว่า “การประสานงาน” ไว้ดังน้ี
“การประสานงาน” หมายถึง การตดิ ต่อสอ่ื สารใหเ้ กดิ ความคิด ความเข้าใจตรงกนั ในการรว่ มมือ
ปฏิบตั ิงานให้สอดคล้อง ท้งั เวลา และกิจกรรมทจี่ ะตอ้ งกระทาให้บรรลุวตั ถุประสงค์อย่าง สมานฉนั ท์และมี
ประสทิ ธภิ าพเพ่ือให้งานดาเนินไปอย่างราบร่ืน ไมเ่ กดิ การทางานซา้ ซ้อน ขัดแย้งกนั หรือเหลอื่ มล้ากนั การ
ประสานงานจึง เปน็ กระบวนการหน่งึ ของการบรหิ ารและการปฏิบัติงานในหนว่ ยงาน หรอื องค์กร ความสาเร็จ
ของการประสานงานขน้ึ อย่กู ับบทบาทและ ความสามารถของบุคลากร การประสานงานเกดิ จากความต้องการ
ใหง้ านท่ที าประสบ ผลสาเรจ็ โดยผ้ปู ฏิบัติจะต้องมีความรบั ผิดชอบที่จะทางานเหลา่ น้ัน เปน็ ไปตามระยะเวลาท่ี
กาหนด และจะต้องมีความสอดคล้องกนั อย่าง เหมาะสม มีการสอื่ สารท่ตี รงกนั อย่างรวดเรว็ และราบร่นื จะต้อง
สามารถทาให้ทุกฝ่ายเข้าร่วมทางานอย่างมีจดุ หมายเดยี วกันตามวตั ถุประสงคข์ องงานท่ีกาหนดไวแ้ ละต้องมี
คณุ ภาพตามมาตรฐานท่ี เปน็ ไปตามขอ้ กาหนด ประหยัดเวลาและทรัพยากร1
“การประสานงาน” หมายถงึ การจดั ใหค้ นในองค์กรทางาน สัมพนั ธ์สอดคล้องกนั โดยจะต้องตระหนัก
ถึงความรบั ผดิ ชอบ วตั ถปุ ระสงค์เปา้ หมาย และมาตรฐานการปฏบิ ตั ขิ ององค์กรเป็นหลัก ตอ้ งมกี ารจัดระเบียบ
วิธกี ารทางาน อีกท้งั ความรว่ มมอื ในการปฏบิ ัติ งานเปน็ นา้ หนึง่ ใจเดียวกัน เพื่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจตรงกนั ในการ
ร่วมมอื ปฏบิ ตั งิ านให้สอดคล้องทงั้ เวลา และกจิ กรรมที่ต้องกระทาใหบ้ รรลุ วตั ถปุ ระสงคโ์ ดยไมท่ าให้เกดิ ความ
สบั สน ขดั แย้ง หรือเหลอ่ื มลา้ กัน ทัง้ น้ีเพ่ือใหง้ านดาเนินไปอยา่ งราบร่ืน ทาให้ไดม้ าซ่ึงงานอยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพ
และประสทิ ธผิ ล2
ในทางราชการไดม้ นี ักวิชาการใหค้ วามหมายไว้ว่า การประสานงาน หมายถึง “การจดั ระเบียบวธิ กี าร
ทางาน เพื่อให้งานและ เจ้าหน้าที่ฝา่ ยต่างๆ ร่วมมือปฏบิ ัติงานเปน็ น้าหน่งึ ใจเดียว ไม่ทาใหง้ าน ซ้อนกนั ขดั แย้ง
กัน หรอื เหล่ือมล้ากัน ทั้งนี้เพือ่ ใหง้ านดาเนนิ ไปอย่าง ราบรน่ื สอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์และนโยบายของ
องค์การน้ันอย่าง สมานฉนั ท์และมปี ระสทิ ธิภาพ” สว่ นทางธุรกจิ นยิ มทีจ่ ะใหค้ วามหมายว่า การประสานงาน
หมายถงึ “การติดตอ่ สื่อสารให้เกิดความคดิ ความเข้าใจตรงกนั ในการ ร่วมมอื ปฏบิ ตั งิ านให้สอดคล้องท้งั เวลา
และกิจกรรมทีจ่ ะต้องกระทาให้ บรรลุวตั ถปุ ระสงคอ์ ย่างสมานฉนั ท์เพ่ือให้งานดาเนนิ ไปอย่างราบรื่น ไมเ่ กิดการ
ทางานซา้ ซ้อน ขัดแยง้ หรือเหลอ่ี มลา้ กนั ”3
การประสานงาน คอื การจัดระเบียบการทางานใหง้ านและ คนทางานสอดคล้องกนั เป็นนา้ หนึ่งใจ
เดยี วกัน แตก่ ารทางานไม่ซ้า ซ้อนกัน และเปน็ การประสานหลายเรื่องไปพรอ้ มๆ กนั เชน่ เป้าหมาย แรงงาน
ข้อมลู ความคิดเหน็ จติ ใจ ทรัพย์สิน วิธีการ ท่จี ะเข้าสเู่ ป้า หมายของโครงการ4
1 วลั ภา ทับแก้ว, ทักษะการประสานงานอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ. (เอกสารเชิงวิเคราะห์)
2 ปวีณา จนั ทร์ประดษิ ฐ,์ การประสานงาน. http://sosk.pres.tsu.ac.th/research/files/ 250820090325520825-
2.pdfhttp://sosk.pres.tsu.ac.th/research/files/250820090325520825-2.pdf
3 สมิต สัชฌกุ ร, ทกั ษะการประสานงาน. http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_
topic.php?passTo=aed1da5c127a1f81eac9398d9e0c80eb&pageid=3&bookID= 394&read=true&count=true
4 จดหมายขา่ ว ก.พ.ร. เรอื่ ง การประสานงาน วิธกี ารจัดการทถ่ี กู ลมื . (ฉบบั ท่ี 4/2549) http://
www.fda.moph.go.th/governance/Databasehtml_link/
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
72
ลกั ษณะและหลักการตดิ ต่อประสานงาน
การประสานงานเกดิ จากความตอ้ งการท่จี ะให้งานทจ่ี ะทา เกดิ ผลสาเรจ็ โดยปฏิบัติอยา่ งสอดคล้องใน
จงั หวะ เวลาเดียวกนั ไดผ้ ลงานท่ีมคี ุณภาพตามมาตรฐานท่ีเป็นไปตามขอ้ กาหนด ประหยัด เวลาและทรพั ยากร
ในการปฏบิ ตั ิงาน โดยก่อนการประสานงาน ควร กาหนดความตอ้ งการใหแ้ น่ชดั วา่ จะประสานงานให้เกิดอะไร
หรือเปน็ อยา่ งไร หรือจะทาใหไ้ ด้ผลรบั อยา่ งไร เพราะหากไมม่ ีวัตถุประสงค์ท่ี ชัดเจนกอ็ าจจะประสานงานไป
ผิดจากท่คี วรจะเปน็ ซงึ่ โดยท่ัวไปจะ ประสานงานเพื่อให้การดาเนินงานมีความสะดวกราบรื่นไม่เกดิ ปญั หา ขอ้
ขดั แยง้ แต่ในการประสานงานในแต่ละคร้ังหรอื ในแตล่ ะกรณี ประสานงานโดยวัตถุประสงคเ์ ฉพาะ ดังนี้
1. เพอื่ แจ้งใหผ้ ูซ้ ึ่งมสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งทราบ
2. เพอ่ื ขอความช่วยเหลอื และเพ่ือรักษาไว้ซ่งึ ความสมั พันธ์ อนั ดี
3. เพอ่ื ขอคายนิ ยอมหรือความเหน็ ชอบ
4. เพอื่ ขจดั ขอ้ ขัดแยง้ ในการปฏิบตั งิ าน
5. เพอ่ื ใชเ้ พิม่ ประสิทธภิ าพและประสทิ ธิผลขององค์กร
6. เพอื่ ชว่ ยให้การดาเนนิ การเปน็ ไปตามแผน และทาใหม้ ี การวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ
7. เพ่ือตรวจสอบอุปสรรคและสภาพปัญหา
องค์ประกอบของการประสานงาน
การประสานงานอาจพจิ ารณาองค์ประกอบท่สี าคัญ ไดด้ ังนี้
1. ความรว่ มมือ จะต้องสร้างสัมพนั ธภาพในการทางาน รว่ มกันของทุกฝา่ ย โดยอาศยั ความ
เขา้ ใจ หรือการตกลงร่วมกัน มกี ารรวบรวมกาลงั ความคิด วธิ ีการ เทคนิค และระดมทรพั ยากร มา
สนับสนุนงานร่วมกนั เพื่อให้เกิดความเปน็ อนั หนึ่งอนั เดยี วกนั เต็มใจทจี่ ะทางานรว่ มกนั
2. จังหวะเวลา จะต้องปฏบิ ัติงานตามบทบาทหนา้ ท่ี และ ความรับผิดชอบของแต่ละคน ตาม
กาหนดเวลาท่ีตกลงกนั ให้ตรงเวลา
3. ความสอดคล้อง จะต้องพิจารณาความพอเหมาะพอดี ไมท่ างานซ้อนกนั
4. ระบบการสอื่ สาร จะต้องมีการสือ่ สารที่เขา้ ใจตรงกนั อย่างรวดเรว็ และราบรนื่
5. ผูป้ ระสานงาน จะตอ้ งสามารถดงึ ทุกฝา่ ยเขา้ ร่วมทางาน เพ่ือตรงไปสูจ่ ดุ หมายเดียวกัน
ตามทก่ี าหนดเป็นวัตถุประสงคข์ องงาน
ลักษณะของการประสานงาน
จากความหมายของการประสานงานท่ีกลา่ วถึงข้างต้น จะเห็นไดว้ ่าการประสานงานมีลักษณะ ดงั นี้
1. การประสานงาน เป็นเรื่องเก่ยี วกับการจดั ใหง้ านสอดคล้อง กนั โดยปราศจากการขดั แยง้
2. การประสานงาน เป็นเรื่องเกย่ี วกับความรว่ มมอื ของผนู้ า และผูป้ ฏบิ ัติงานทกุ ฝ่าย
3. การประสานงานเป็นเรื่องเกย่ี วกับหนา้ ที่ในทางจัดการ
4. การประสานงานเป็นการติดตอ่ ส่อื สาร โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง การตดิ ต่อสื่อสาร 2 ทาง
(Two-Way Communication) จะช่วยให้มี ความเข้าใจตรงกัน
5. การประสานงานมีอยูท่ ุกระดบั ชัน้ ของสายการบังคับ บญั ชาทัง้ ในรปู ท่เี ปน็ ทางการและไม่
เปน็ ทางการ
6. การประสานงานมีได้ทั้งระหว่างหน่วยงานต่างๆ ระดบั เดยี วกนั และระหว่างหนว่ ยงานที่
อยตู่ ่างระดบั กัน
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
73
วธิ ีท่ีจะให้ได้รบั ความร่วมมือในการประสานงาน
การประสานงานไม่ควรจะกระทาโดยใชอ้ านาจสัง่ การ แต่อย่างเดียว ควรใชค้ วามสัมพันธท์ ี่ดตี ่อ
กนั เป็นหลกั เพราะความ มีน้าใจตอ่ กนั ไว้วางใจกันจะเป็นผลให้เกิดการรว่ มใจมากกวา่ การ ใชอ้ านาจ
หน้าที่พยายามผูกมติ รต้ังแตต่ ้นและปอ้ งกันไมใ่ หเ้ กิด ความรู้สกึ เปน็ ปฏิปกั ษม์ ีความหวาดระแวงหรือกิน
แหนงแคลงใจ กัน ให้การยอมรับซ่ึงกนั และกนั ไม่นินทาวา่ รา้ ยกัน ไม่โยนความผิด ใหแ้ ก่ผอู้ น่ื เมื่อมสี ง่ิ
ใดจะช่วยเหลอื แนะนากันไดก้ ็อยา่ ลงั เล และ พร้อมจะรับฟังคาแนะนาของผเู้ ก่ยี วข้องแม้จะไม่เห็นดว้ ยก็
อย่า แสดงปฏกิ ิรยิ าโต้ตอบ เม่ือมกี ารเปลี่ยนแปลงกต็ ้องแจ้งให้ทราบ
ปญั หาในการตดิ ต่อประสานงาน
โดยส่วนใหญป่ ญั หาทีเ่ กดิ ข้นึ จากการตดิ ต่อประสานงานมัก จะเปน็ เรอ่ื งของการบรหิ ารคน ซึง่ ไม่
สามารถบงั คับใหใ้ ครทาอะไร ตามใจได้คนเปน็ เรื่องที่ควบคุมค่อนขา้ งลาบาก เรอื่ งหนักใจอยู่ทีว่ ่าจะ ตอ้ งไป
ตดิ ต่อประสานงานกับคนท่ีคุยกนั แลว้ จนู กนั ไม่ตดิ พดู กนั ไม่รู้ เรอื่ ง คิดกนั คนละอย่าง และที่ซา้ ร้ายหากตอ้ งไป
ติดตอ่ ประสานงานกบั คนท่ีไม่ถกู ชะตากนั รบั รองว่าใครก็ใคร จะต้องคิดมาก กลมุ้ ใจ หรือมี ปญั หาเกดิ ขนึ้
ตามมาสารพัด
ไม่มีใครที่ไม่เคยเจอปญั หาในการตดิ ต่อประสานงาน แตส่ ิง่ สาคญั คือ จะเอาชนะปัญหาทีเ่ กดิ ขนึ้ น้นั ได้
อยา่ งไร ซึ่งพบวา่ สว่ นใหญ่ ปญั หาที่เกิดขน้ึ จากการติดต่อประสานน้ันหนไี ม่พ้นสาเหตขุ องเรอ่ื งวนุ่ ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้
ใหข้ อ้ มูลล่าชา้ เกินไป – การทีต่ ิดตอ่ ประสานงานกับ อีกหน่วยงานหนึง่ ลา่ ชา้ น่นั อาจจะเป็น
เพราะวา่ มัวแต่รอขอ้ มลู จาก อกี หลายหนว่ ยงาน จึงทาใหส้ ่งข้อมูลให้หนว่ ยงานทเี่ กี่ยวขอ้ ง
ลา่ ช้า ตามไปด้วย ปัญหานเ้ี กิดขึ้นบอ่ ยครง้ั
รบั - สง่ ขอ้ มูลผดิ พลาด – การรบั และสง่ มอบข้อมลู รายงาน เอกสารทีผ่ ดิ พลาด ย่อมนาไปสู่
การตดิ ต่อประสานงานท่ี ไมร่ ู้จบ คนบางคนยังไม่ทันฟัง กลับดว่ นสรปุ ตามอาเภอใจ หรอื คน
บางคนเอาเร็วไว้ก่อน ส่งข้อมลู ให้ดว้ ยความรวดเรว็ แต่ข้อมลู ที่ นาสง่ ให้กลบั พบแต่
ข้อผดิ พลาด
เพกิ เฉย และหลงลืม – การเพกิ เฉย ไม่สนใจวา่ เปน็ หน้าทขี่ องตนเองทีจ่ ะต้องติดตาม ติดต่อ
ประสานงานกับหนว่ ยงาน อื่นๆ คดิ ว่าไม่ใช่เร่ือง ไม่ใช่หน้าท่ี ไม่เหน็ ความจาเป็น หรือไม่เห็น
ความสาคัญของการติดต่อประสานงาน คิดเสียแต่ว่ารอให้อีกฝ่าย ติดตอ่ มาเองไมด่ กี ว่าหรือ
และบางคนยิ่งซา้ รา้ ยใหญ่ นดั แล้ว แต่ กลบั ลืมนดั ทีร่ ับปากไว้
ไมไ่ ดร้ ับความรว่ มมือ – มีสาเหตมุ าจาก มีความคิดที่ แตกต่างกนั มีอคติต่อกัน ไม่ชอบกัน
หรือปดิ บังข้อมูล ทาใหไ้ ม่เกิด ความรว่ มมืออยา่ งจริงจัง
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
74
ปจั จัยในการประสานงาน
ปจั จยั ทีจ่ าเปน็ ต่อการประสานงานไม่ว่าจะเปน็ องค์การ หรือ หนว่ ยงานประเภทใด มีปจั จัยที่สาคัญ
ดงั นี้
1. คน หมายถึง ผซู้ ง่ึ จะทาให้งานเปน็ ผลข้นึ มา การประสาน งานท่ีแทจ้ ริง คอื การประสานคนให้ร่วม
ใจร่วมกาลังงานดว้ ยการนาเอา ความสามารถของคนมาทาให้เกิดผลงานในจดุ มุ่งหมายเดียวกัน ความ สามารถ
ของคนพจิ ารณาไดส้ องด้านคือทางด้านความรแู้ ละด้านความ สมั พันธก์ ับผูอ้ ื่น ผปู้ ระสานงานต้องมีความรู้
ความสามารถและการมอง การณ์ไกล มีมนุษย์-สัมพนั ธด์ มี ีทัศนคติทด่ี ีต่อกนั ผูร้ ่วมงานทุกฝ่ายเข้า กันได้ดมี ีการ
พบปะหารือกนั อย่เู สมอ
2. เงนิ หมายถงึ ตวั เงินและสิ่งอน่ื ซ่งึ สามารถใชเ้ ปน็ สื่อกลาง ในการแลกเปล่ยี นไดใ้ นการประสานงาน
จะตอ้ งมีกาลงั เงนิ สนับสนุน การปฏิบตั ิงาน
3. วัสดุ หมายถึง สงิ่ ของเครื่องมือและเคร่ืองใช้ต่างๆ ในการ ประสานจะต้องมีวสั ดอุ ุปกรณช์ ่วยในการ
ประสานงานอยา่ งพอเพียง
4. วิธีการทางาน หมายถงึ การบริหารงานใหส้ ามารถบรรลุ ผลสาเร็จตามจดุ ประสงค์ทก่ี าหนดเปน็
เปา้ หมายไวม้ ีการกาหนด อานาจหนา้ ที่ และความรบั ผดิ ชอบให้ชดั เจน มีการมอบหมายงาน และ การควบคมุ
งาน การติดต่อส่ือสารทด่ี ี
การประสานงานอาจทาได้หลายวิธซี ึ่งแต่ละวิธีย่อมใหผ้ ล แตกต่างกันไปสดุ แต่เงอื่ นไขของสถานการณ์
ท่ผี ดิ แผกแตกต่างกันอาจ มกี ารประสานงานดว้ ยระบบ หรือประสานงานด้วยคน หรืออาจใช้ทั้ง ระบบและคน
ควบคกู่ นั ไป
การประสานงานอาจ มบี คุ คลคนเดยี วเป็นผู้ประสาน เพอ่ื ความคล่องตวั และการ ตัดสินใจแก้ปัญหาท่ี
รวดเรว็ ฉบั ไว แต่ถ้าเปน็ งานท่มี รี ะบบ ซับซ้อนและมีขอบเขตกว้าง ขวางเกินกว่าที่คนเพยี งคน เดียวจะ
ประสานงานได้ก็ต้องจดั ต้งั เป็นคณะผู้ประสานงาน
การประสานงาน อาจกระทาได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การประสานงานอย่างเป็นทางการ หมายถึง การ ประสานงานแบบมีพธิ ีรีตรองที่ต้องปฏิบัตเิ ช่น มี
หนงั สือติดต่อหรอื แจง้ เป็นลายลกั ษณ์อักษร หรอื เสนอรายงานเป็นลาดบั ชนั้ เป็นต้น
2. การประสานงานอยา่ งไม่เป็นทางการ หมายถงึ การ ประสานงานแบบไม่มีพธิ รี ตี รองเพียงแต่ทา
ความตกลงให้ทราบถึง การท่ีจะปฏิบตั ใิ ห้เป็นไปตามจงั หวะเวลาเดยี วกนั และดว้ ยจดุ ประสงค์ เดียวกัน การ
ดาเนนิ การต้องอาศัยความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นสว่ นตวั ระหวา่ งบุคคล ไม่มีแบบแผน เป็นการตดิ ต่อแบบ
เผชญิ หนา้ ซ่งึ กนั และ กัน ผลดกี ค็ อื สามารถมีความเข้าใจทตี่ รงกนั และชดั เจนทส่ี ุด เช่น การ ประสานงานดว้ ย
วาจาทางโทรศพั ทห์ รอื การเข้าพบผู้ท่ีตดิ ต่อโดยตรง5
5 วัลภา ทับแกว้ , การประสานงานในองค์กร.http://www.kutong.th.gs/web-k/utong/km/ 7pasy.html. ดร.ปรธภร ปุระกนั
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration
75
ผูเ้ กย่ี วข้องในการทางานร่วมกนั ควรมสี ิง่ ทจี่ ะยดึ ถือเปน็ แนว ปฏบิ ัติดงั นี้
1. เต็มใจท่ีจะตดิ ต่อกบั ผ้อู ืน่ กอ่ น
2. แสดงความมีน้าใจตอ่ ผอู้ ่นื กอ่ น สร้างสมั พนั ธท์ ี่ดี มคี วามไว้วางใจกนั
3. ฟงั ผอู้ ื่นพูดใหม้ าก
4. หลกี เลยี่ งการโต้แย้ง
5.ซกั ซ้อมการทางานให้เข้าใจวตั ถปุ ระสงคต์ รงกนั
6. ทาความเขา้ ใจข้นั ตอนการปฏิบตั แิ ละจงั หวะเวลาใหร้ ับกนั
7. เสริมสร้างมติ ร ไมตรีและความเปน็ กันเอง
8. ติดตอ่ ตามสายงาน และช่องทางการส่อื สารที่ถกู ตอ้ ง
9. จะต้องประสานวตั ถุประสงคแ์ ละนโยบายตามแผนงาน โดยพจิ ารณาถึงระเบียบวธิ ปี ฏบิ ตั งิ าน การใช้
เวลา วัสดุอปุ กรณ์ กาลังคน กาลังเงนิ และวิธีการสอื่ สาร
ส่งิ ท่ีต้องประสาน
การประสานงานน้ัน มีความหลากหลายในเรอื่ งทีจ่ ะประสาน กัน ซงึ่ จะต้องพจิ ารณารูปแบบของการ
ประสานงานให้เหมาะสม โดย ท่ัวไปมีสิ่งทต่ี ้องคานึงถงึ ในการประสานงานในแตล่ ะกรณีดงั ต่อไปนี้
1. วัตถุประสงค์ การประสานงานเพ่ือบรรลุวัตถปุ ระสงค์ ต้องอาศัยความร่วมมือและจังหวะเวลาใน
การปฏบิ ตั ิจากผ้เู ก่ียวข้อง หลายฝา่ ย
2. กระบวนการ การประสานงานในเร่อื งท่ีมขี ้ันตอนการ ปฏิบัตอิ ย่างเป็นกระบวนการ จะต้องกระทา
ใหส้ อดคล้องกบั วตั ถุประสงคซ์ ึง่ เป็นสง่ิ ท่จี ะต้องระมดั ระวังอยา่ งยิง่ เพราะงานที่มี วตั ถุประสงคด์ ีแต่มีการ
ปฏิบัตผิ ิดขั้นตอน กจ็ ะทาใหไ้ ม่ได้รบั ผลตาม ตอ้ งการ
3. เจ้าหน้าทีก่ ับเจา้ หน้าที่ การประสานงานระหว่างคนต้อง คานึงถงึ ความเขา้ ใจและความรู้สึกที่ดตี ่อ
กนั ในเบ้ืองต้นจะต้องมกี าร ยอมรับระหวา่ งกนั เพือ่ จะไดม้ ีทศั นคตทิ ่ดี ตี ่อกนั ความร่วมมือก็จะเกิด ตามมา
เจ้าหน้าทซี่ งึ่ รับผิดชอบในงานทต่ี อ้ งร่วมกันทาเปน็ ทีมก็จะต้อง ใหค้ วามรว่ มมือกนั โดยลักษณะของการทางาน
อยูแ่ ลว้ แตเ่ จา้ หน้าทีซ่ ่งึ อยตู่ ่างหน่วยงานกนั มักจะเข้าใจวา่ อยตู่ ่างทีมงานกนั แทท้ จ่ี รงิ ผู้ซึ่งอยู่ ต่างหน่วยงานกัน
แตต่ อ้ งติดต่อประสานงานกันก็คือ เปน็ ทีมงาน เดียวกันไดท้ ั้งนจี้ ะต้องทาความเขา้ ใจวตั ถุประสงค์ให้ตรงกนั และ
รู้ บทบาทหนา้ ที่ของตนในงานท่ีจะประสานกนั มีความรว่ มมือให้แก่กัน
4. หน่วยงานต่อหนว่ ยงาน การประสานงานระหวา่ ง หน่วยงานตอ่ หน่วยงาน
5. นโยบายกบั การปฏบิ ตั ิ นโยบายถกู กาหนดขน้ึ โดย ผบู้ รหิ ารสงู สุด การปฏบิ ตั ิดว้ ยวธิ ีการใดๆ จะต้อง
ไม่ขดั กับนโยบายแม้จะใหผ้ ลตรงตามวัตถปุ ระสงคแ์ ละบรรลุเปา้ หมาย โดยมีการประสาน นโยบายอนั ไดแ้ ก่
หลักการที่กาหนดไวล้ ว่ งหน้าเพื่อใช้เปน็ กรอบหรือ แนวทางปฏิบตั ิซึง่ จะต้องทาใหผ้ ู้เก่ียวข้องทุกฝา่ ยไดร้ บั รู้มี
ความเขา้ ใจ และปฏบิ ตั ไิ ด้ถกู ตอ้ งตรงกนั เปน็ การประสานนโยบายกับการปฏิบัติ
6. การปฏบิ ัตกิ ับการปฏบิ ตั ใิ นการประสานงานใดๆ จะมีการ ปฏบิ ตั ิหลายกิจกรรมซึง่ แตล่ ะกจิ กรรมก็
จะดาเนินไปในแนวทางที่จะให้ เกิดประสิทธผิ ลอยา่ งมีประสทิ ธิภาพและประหยดั แต่ถา้ ไม่มีการ ประสานการ
ปฏิบัติกอ็ าจจะไมส่ อดคล้องกัน ไมถ่ ูกจังหวะเวลา และ เปน็ ผลใหง้ านโดยส่วนรวมเสยี หายได้
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
76
เทคนิควิธใี นการประสานงาน
ผลลัพธ์ที่ดเี กิดจากการประสานงานทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ ดังนี้ การใช้เครื่องมอื สื่อสาร การใชเ้ ครอื่ งมือ
ส่ือสาร เชน่ โทรศัพทโ์ ทรสาร จดหมาย อิเลก็ ทรอนิกส์เปน็ เคร่อื งมือส่ือสารทรี่ วดเรว็ ประหยดั เวลา มีแนวทาง
ปฏิบัตดิ งั นี้
ก่อนเริ่มประสาน คิดก่อนว่า เราต้องการอะไร เมื่อไร ที่ไหน อย่างไร ควรตดิ ต่อใคร หนว่ ยงาน
ใด
ควรมีบัญชีโทรศพั ท์ของบคุ คลและหน่วยงานท่เี กี่ยวข้อง ไว้เป็นส่วนตัว และสว่ นกลาง
เมอ่ื ติดต่อกับผใู้ ด ควรจดชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของผู้นนั้ ไว้ ใช้ติดตอ่ ในโอกาสต่อไป บางครง้ั
ทาเป็นบัญชไี ว้ในปกแฟ้มเรอื่ งนั้นๆ
ควรประสานกับระดับเดยี วกัน หรอื ตา่ กว่าก่อน
ใช้คาพดู สุภาพ ใหเ้ กียรติคู่สนทนาแมร้ ้วู า่ เขามีตาแหน่ง ตา่ กว่า ไม่พูดยกตนข่มท่าน
อาจหาข้อมูลก่อนวา่ ผทู้ ่ีเราจะโทรติดตอ่ เป็นผใู้ ด ตาแหน่งหนา้ ท่ีใด อายเุ ท่าใด เมื่อสนทนา
กัน อาจเรยี ก พ่ี น้อง ท่าน จะทาใหเ้ ขาร้สู ึกดี
การอ่อนน้อมถ่อมตนดว้ ยความจรงิ ใจ มกั เป็นที่พอใจของ ผอู้ ืน่
ในการประสานงานครง้ั ท่ี 2 หลังจากรู้จักกันแล้ว อาจทักทายหรือซกั ถามดว้ ยความห่วงใย
จริงใจ เกีย่ วกบั เรื่อง สุขภาพ การงาน ฯลฯ ก่อนประสานเร่ืองงาน
กลา่ วคาขอบคุณทุกครัง้ ก่อนจบการสนทนา
เมอ่ื รับปากเรอ่ื งใดไวต้ ้องรบี ทา เช่น จะรีบส่งโทรสารไป ให้จะรีบทาหนังสือไป
การประสานด้วยหนงั สือ
การประสานงานด้วยหนังสอื ใช้ในกรณีที่เปน็ งานประจาท่ที ้ัง สองหนว่ ยงาน ทราบระเบียบปฏิบัตอิ ยู่
แล้ว มีแนวทางปฏิบัติดงั น้ี
หากเป็นเรอ่ื งใหม่ ควรประสานทางโทรศัพทก์ ่อนเสมอ
ตัวอยา่ งเรอ่ื งท่ีอาจต้องมหี นงั สือไป หลังจากโทรติดต่อ ดว้ ยวาจาแล้ว เช่น ขอทราบข้อมลู ขอ
หารือ ขอทราบความต้องการ ขอรับการสนบั สนนุ ขอความอนเุ คราะหฯ์ ลฯ
การร่างหนังสือ ควรใหถ้ กู หลักการ ถูกต้อง ถูกใจ(ผ้รู ับ)
การร่างหนงั สือขอรบั การสนับสนุน หรอื ขอความอนุเคราะห์ ควรประกอบด้วย (1) เหตทุ ่มี ี
หนังสือมา (2) ยกยอ่ งหน่วยงานท่ีจะขอรบั การสนบั สนนุ /ขอความอนเุ คราะห์(3) เร่ืองราวที่
ต้องการขอรับ การสนบั สนุน/ขอความอนเุ คราะห์(4) ต้งั ความหวังที่จะได้รับการ สนบั สนนุ /
ขอความอนุเคราะห์และ (5)ขอบคุณ
การรา่ งหนงั สอื ขอความรว่ มมือ ควรประกอบดว้ ย (1) เหตุ ท่ีมีหนงั สือมา (2) ความจาเป็นและ
เรอ่ื งท่ีจะขอความรว่ มมอื (3) เร่ือง ราวที่ตอ้ งการขอความร่วมมือ (4) ตั้งความหวังทจี่ ะไดร้ บั
ความร่วมมือ และ (5)ขอบคุณ l เม่อื ไดร้ ับการสนับสนุน การอนุเคราะห์แลว้ ควรมีหนังสือ ไป
ขอบคุณหน่วยงานนั้นๆ เสมอ เพือ่ สานความสมั พนั ธ์ไวส้ าหรับ โอกาสต่อไป
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
77
การพบปะด้วยตนเอง
การพบปะดว้ ยตนเอง เป็นการประสานงานทดี่ ีทส่ี ุดเพราะได้ พบหนา้ ได้เห็นบุคลิกลักษณะ สีหน้า
ท่าทาง ของผตู้ ิดตอ่ ท้ังสองฝา่ ย มเี วลาในการซักถามทาความเข้าใจกนั ได้อยา่ งพอเพียง เพราะท้ังสอง ฝา่ ยตอ้ ง
วางมือจากงานอ่นื ๆ ทงั้ หมด มีขอ้ เสยี คอื ใชเ้ วลามาก มกั ใช้ การพบปะในกรณีทเ่ี ป็นเร่ืองนโยบาย เป็นเรื่อง
สาคญั หรอื มรี าย ละเอยี ดมาก หรือต้องการใหเ้ กียรตใิ ห้ความสาคญั แก่อีกฝ่ายหนึง่ หรือ ต้องการสรา้ ง
ความรูส้ ึกทด่ี ีแก่อกี ฝา่ ยหนึ่ง ให้เขารสู้ กึ ว่า เราให้ความ สาคญั แกเ่ ขาด้วยการมาพบด้วยตนเอง มแี นวทางปฏบิ ตั ิ
ดงั น้ี
ควรเตรียมหัวขอ้ หารือไปให้พรอ้ ม และจดบันทึกไวห้ าก อกี ฝ่ายไมไ่ ด้บันทกึ เราอาจบันทกึ
สน้ั ๆ ใส่กระดาษโนต้ ไว้ใหเ้ ขา หรือ เตรียมพมิ พร์ ายการไปล่วงหน้า เพอื่ ให้เขามบี ันทึกช่วยจา
และใช้ส่งั การข้นั ตน้ แกบ่ ุคลากรในหน่วยงานของเขาได้
เม่อื รับปากเรือ่ งใดไวต้ ้องรีบทา เชน่ จะรีบสง่ เอกสาร ไปใหห้ รือจะรบี ทาหนังสือไป
สรปุ
การประสานงาน เป็นศิลปะอย่างหน่งึ ซ่งึ ตอ้ งอาศยั ความ สภุ าพ ออ่ นน้อมถ่อมตน ความจริงใจ ความ
อดทนอดกล้ัน ความย้ิม แย้มแจม่ ใส ในการติดต่อกับบุคคลอนื่ เพอ่ื ขอรับการสนับสนนุ ขอความ รว่ มมือเพ่ือให้
เกิดความเขา้ ใจตรงกัน การประสานงานที่ดชี ว่ ยให้การทางานบรรลุเปา้ หมายได้ อย่างราบรนื่ และรวดเร็ว ทกุ
คน ทกุ ฝา่ ยมีความเข้าใจถงึ นโยบายและ วตั ถปุ ระสงคข์ องหน่วยงานไดด้ ียิง่ ช้นึ ชว่ ยประหยดั เวลา เงนิ วสั ดุ และ
ส่งิ ของตา่ งๆ ในการทางาน ทาให้การดาเนนิ งานเปน็ ไปอยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพ เพิ่มผลสมั ฤทธิช์ องงานมากขึ้น
และยังสรา้ งความกลม เกลยี ว ความเขา้ ใจอนั ดีและความสามคั คีอีกทง้ั ชว่ ยขจัดข้อขัดแยง้ ใน การทางาน
ปอ้ งกันการก้าวก่ายหน้าท่ี ขจัดปัญหาการทางานซ้าซ้อน หรือเหล่อื มลา้ กัน ก่อให้เกิดการทางานเป็นทีม สร้าง
ความสานกึ ในการ รบั ผดิ ชอบรว่ มกนั รวมถึงเขา้ ใจข้อเท็จจริงและปัญหาของหนว่ ยงานอืน่ นาไปส่กู ารกระต้นุ
ความคดิ สรา้ งสรรค์และลู่ทางการปรบั ปรุงงานต่อไป
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
78
บทที่ 7
การวนิ จิ ฉัยสัง่ การในการบรหิ ารจดั การ
ในปจั จบุ นั การบริหารจัดการองค์กรทจ่ี ะใหอ้ งคก์ รประสบความสาเร็จและยืนหยดั อยู่ในยุคโลกาภวิ ฒั น์
ที่มแี ต่การแกรง่ แยง่ ชิงดีแข่งขนั กนั อยู่ตลอดเวลาทาให้การบริหารองค์กรต้องมคี วามตืน่ ตัวอยตู่ ลอดเวลาในการ
บริหารงานเพื่อท่ีจะเปน็ ผูน้ าขององค์กรอน่ื ๆ ผนู้ าหรอื ผู้บรหิ ารมบี ทบาทหน้าที่สาคญั ในการผลกั ดนั กาหนด
ทิศทางองคก์ รทีส่ าคัญถ้าขาดผู้บรหิ ารทข่ี าดวิสยั ทศั น์ก็จะทาให้องคก์ รล้าหลังไดแ้ ละขาดตกบกพร่องนามาซ่ึง
ปญั หาต่าง ๆ มากมาย
ความหมายความสาคัญของการวนิ ิจฉยั สั่งการ
การตัดสินใจ (Decision Making)
1. ความหมายของการตัดสนิ ใจ
การตัดสนิ ใจ (Decision Making) หมายถึงกระบวนการเลอื กทางเลอื กใดทางเลือกหนึง่ จากหลาย ๆ
ทางเลอื กที่ได้พจิ ารณา หรอื ประเมนิ อยา่ งดแี ล้ววา่ เป็นทางให้บรรลุวตั ถุประสงค์ และเปา้ หมายขององค์การ
การตดั สนิ ใจเป็นส่งิ สาคัญ และเกี่ยวข้องกับ หน้าทีก่ ารบรหิ าร หรอื การจัดการเกือบทุกขั้นตอน ไม่วา่ จะเป็นการ
วางแผน การจดั องค์การ การจัดคนเข้าทางาน การประสานงาน และการควบคมุ การตัดสินใจไดม้ ีการศึกษามา
นาน
ความหมายของการตดั สนิ ใจ นักวชิ าการได้ให้ความหมายไว้แตกต่างกนั ดังนี้
บาร์นาร์ด (Barnard, 1938) ไดใ้ ห้ความหมายของการตดั สินใจไวว้ ่า คอื "เทคนิคในการทจ่ี ะ
พจิ ารณาทางเลอื กตา่ งๆ ใหเ้ หลือทางเลือกเดียว"
ไซมอน (Simon) ไดใ้ หค้ วามหมายวา่ การตดั สนิ ใจ เปน็ กระบวนการของการหาโอกาสที่จะตัดสินใจ
การหาทางเลือกท่ีพอเป็นไปได้ และทางเลือกจากงานตา่ ง ๆ ท่ีมอี ยู่
มูดี (Moody) ได้ให้ความหมายว่า การตดั สินใจเปน็ การกระทาที่ต้องทาเมื่อไม่มเี วลาท่จี ะหา
ข้อเทจ็ จริงอีกต่อไป ปัญหาทเ่ี กดิ ข้นึ กค็ ือ เมื่อใดถึงจะตัดสนิ ใจวา่ ควรหยุดหาขอ้ เท็จจริง แนวทางแก้ไขจะ
เปล่ยี นแปลงไปตามปัญหาท่ีต้องการแก้ไข ซ่ึงการรวบรวมข้อเทจ็ จริง เกย่ี วพนั กบั การใชจ้ ่ายและการใชเ้ วลา
กิบสันและอิวาน เซวิช (Gibson and Ivancevich) ได้ให้ความหมายของการตัดสินใจไว้ว่า เป็น
กระบวนการสาคัญขององค์การ ทีผ่ ้บู ริหารจะต้อง กระทาอยบู่ นพน้ื ฐานของข้อมลู ขา่ วสาร (information) ซง่ึ
ไดร้ ับมาจากโครงสร้างองค์การ พฤตกิ รรมบคุ คล และกลุ่มในองค์การ
โจนส์ (Jones) ได้ให้ความหมายของการตัดสินใจองค์การวา่ เปน็ กระบวนการ ท่ีจะแก้ไขปัญหาของ
องค์กร โดยการค้นหาทางเลือก และเลือกทางเลือกหรือแนวทางปฏิบัติทีด่ ีท่สี ดุ เพอ่ื บรรลุเปา้ หมายของ
องค์การท่ีได้กาหนดไว้
จากคานยิ ามข้างตน้ อาจกลา่ วได้วา่ มมี มุ มองของนักวชิ าการทแ่ี ตกต่างกันไปบา้ งในรายละเอยี ดแต่
ประเดน็ หลกั ท่ีมองเหมอื นกันคือ
1.การตดั สนิ ใจเปน็ กระบวนการ (process) นัน่ หมายความวา่ การตัดสนิ ใจต้องผ่านกระบวนการคิด
พจิ ารณาไตรต่ รอง วเิ คราะหแ์ ล้ว คอ่ ยตัดสินใจเลอื ก ทางที่ดที ่ีสดุ มหี ลายทา่ นคดิ ว่าการตัดสินใจไมม่ ีขัน้ ตอน
อะไรมากคิดแล้วทาเลย ซึ่งในความเป็นจรงิ แล้วการคิดกต็ ้องมกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูลข่าวสาร (search) การ
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
79
ออกแบบ (design) และการเลอื ก (choice) เพ่ือให้สามารถเลือกทางเลอื กได้ดีทส่ี ดุ
2.การตัดสินใจเกี่ยวข้องกับทางเลอื ก (solution) การตดั สินใจเป็นการพยายามสร้างทางเลือกให้
มากท่ีสุดเทา่ ทจ่ี ะทาได้ ทางเลือกทนี่ ้อยอาจปิดโอกาสให้เกดิ ความคิดสรา้ งสรรค์หรือทางเลอื กที่ดกี วา่ ได้
ผ้บู รหิ ารทด่ี ีจาเปน็ ต้องมกี ารฝึกฝนการสร้างทางเลอื กทีม่ ากขึน้ หลากหลายด้วยวิธกี ารคิดแบบรเิ ริ่ม
(initiative) และคิดแบบสร้างสรรค์ (creative thinking)
3. การตัดสนิ ใจเกี่ยวข้องกับโครงสร้างขององค์การ จะเห็นว่าผบู้ ริหารในแต่ละระดับชั้นก็มีหนา้ ทใ่ี น
การตดั สนิ ใจตา่ งกนั กลา่ วคือ ผู้บริหารระดบั สงู จาเป็นต้องตัดสินใจเชงิ กลยทุ ธ์ (strategic decision) เป็นการ
ตดั สนิ ใจเก่ียวกับแนวทางท่ีถูกต้องเพ่อื ใชท้ รัพยากรที่จาเปน็ ให้เกดิ ประโยชน์สูงสดุ ทาให้บรรลวุ ัตถุประสงค์ของ
องค์การที่กาหนดไว้ ผู้บรหิ ารระดบั กลางจะตัดสินใจเกย่ี วกับการจัดการ (management decision) เปน็ การ
ตัดสนิ ใจเพ่ือใหส้ ามารถใช้ทรัพยากรอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและประสิทธิผล ผบู้ รหิ ารระดบั ต้นจะตดั สินใจ
เก่ยี วกบั การปฏบิ ตั ิการ (Operational decision) เปน็ การตดั สินใจดาเนินการควบคุมงานให้สาเร็จตาม
ระยะเวลาและเปา้ หมายทกี่ าหนดไว้1
Decision Making
Decision = การตัดสินใจ
Making = การทา
Decision Making = การตดั สนิ ใจ
สรุปความหมายการตัดสนิ ใจ
การตัดสนิ ใจ หมายถงึ กระบวนการเลือกทางเลอื กใดทางเลือก หนึ่ง จากหลาย ๆ ทางเลอื กท่ีได้
พจิ ารณา หรือประเมินอย่างดีแลว้ วา่ เป็นทางให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์ และเปา้ หมายขององค์การ การ ตดั สินใจ
เป็นสงิ่ สาคญั และเก่ียวขอ้ งกับ หนา้ ทกี่ ารบริหาร หรือ การจดั การเกือบทุกขน้ั ตอน ไม่วา่ จะเป็นการวางแผน
การจัด องคก์ าร การจัดคนเข้าทางาน การประสานงาน และการควบคมุ
2. รูปแบบของการตดั สนิ ใจ( Models of Decision Making)
รูปแบบการตัดสินใจแบบคลาสสกิ (The classical Decision-Making Model)
รปู แบบการตดั สินใจเชิงพฤติกรรม (The Behavioral Decision-Making Model)
รูปแบบการตัดสินใจของวรูมและเยทตัน ( Vroom-Yetton Normative Model)
2,1 รูปแบบการตัดสนิ ใจแบบคลาสสกิ (The classical Decision-Making Model)
นิยามปัญหา
ขยายตัวเลือก
ประเมนิ ตวั เลอื ก
1 https://pechmint.wixsite.com/nattha01/about2-c4jt, สบื ค้นเมื่อ 10 กรกฎาคม 2564. ดร.ปรธภร ปุระกนั
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration
80
เลอื กจากตัวเลอื ก
- ตัดสินใจ
- ประเมนิ การตัดสินใจ
2.2 รปู แบบการตดั สนิ ใจเชิงพฤตกิ รรม (The Bahavioral Decision-Making Model)
ความพึงพอใจ (Satisfying)
เหตุผลตามบรบิ ทและเหตผุ ลตามวธิ ีดาเนนิ การ (Contextual Rationality and
Procedural Rationality)
การใชห้ ตุผลยอ้ นหลัง ( Retrospective Rationality)
การเพิ่มเหตุผล (Incrementalizing)
รปู แบบถงั ขยะ (The Garbage Can Model)
รูปแบบการตดั สนิ ใจของวรูมและเยทตัน (Vroom-Yetton Normative Model)
3. ผลทเ่ี กดิ จากการแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ และการตดั สินใจ
ผบู้ ริหารตอ้ งปฏบิ ตั ิหนา้ ทที่ ี่น่าต่ืนเตน้ และตันสินใจภายใต้ความกดดันเน่ืองจากการมีเวลาไม่มากนัก
ดงั นนั้ การแลกเปลยี่ นความคิดเห็นจึงมผี ลดกี ว่าการคดั สนิ ใจตามลาพงั หรือแตล่ ะตัวบคุ คล เพ่อื ใหเ้ กิดความคดิ
สร้างสรรค์ การยอมรับ การเขา้ ใจ การพิจารณาและความเท่ียงตรง
ผ้บู ริหารโรงเรยี นต้องปฏิบตั ิหนา้ ทท่ี ่ีนา่ ตนื่ เต้นและตันสนิ ใจภายใต้ความกดดันเนอ่ื งจากการมเี วลาไม่
มากนกั ดังนนั้ การแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ จึงมีผลดีกว่าการคดั สนิ ใจตามลาพงั หรอื แต่ละตวั บุคคล เพื่อใหเ้ กิด
ความคิดสรา้ งสรรค์ การยอมรับ การเข้าใจ การพิจารณาและความเท่ียงตรง
โดยสรปุ การแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ ในการตัดสินใจมีดงั นี้
1. คุณภาพการตัดสินใจ
2. ความคิดสร้างสรรค์จากการตัดสินใจ
3. การยอมรบั การตดั สินใจ
4. ความเข้าใจในการตัดสนิ ใจ
5. การพจิ ารณาการตัดสินใจ
6. ความแม่นยาในการตดั สนิ ใจ
4. ทฤษฎีเกี่ยวกับการตัดสินใจ
ทฤษฎีหมวก 6 ใบ กลยทุ ธ์เพื่อการตัดสินใจภารกจิ หนึง่ ที่สาคญั ของผู้บรหิ ารทไี่ ม่สามารถหลกี เล่ยี งได้
คือ การตดั สินใจ ซงึ่ ต้องกระทบด้วยความรอบคอบ เพราะการตดั สนิ ใจใดๆ อาจส่งผลกระทบท้งั ในด้านบวก
และด้านลบได้ เพือ่ ให้การตดั สินใจเปน็ ไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ สามารถนาทฤษฎหี มวก 6 ใบ ของ ดร. เอด็ วาร์ด
เดอ โบโน มาประยุกตใ์ ช้โดยให้มกี ารพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ในหลายมุมมองตามหมวก 6 ใบท่ีมสี สี ันต่างๆ กัน
เพ่อื แทนความคิดในมุมมองนั้นๆ
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
81
หมวกสขี าว เป็นตัวแทนของข้อเทจ็ จรงิ ซึ่งไดแ้ ก่ ตัวเลขและข้อมูลตา่ งๆ ที่มปี ระโยชน์ในการวเิ คราะห์
เพ่ือหาข้อสรปุ โดยไมค่ านึงถึงทัศนคติหรือความคดิ เห็นใดๆ
หมวกสแี ดง เป็นตัวแทนของอารมณ์และความรู้สึกทีม่ ีต่อเร่ืองราวนัน้ ๆ โดยไม่จาเป็นตอ้ งอธบิ าย
เหตุผลใดๆ
หมวกสฟี า้ เปน็ ตวั แทนของการควบคุมความคดิ ทั้งหมดหรือมมุ มองในทางกวา้ งท่ีครอบคลุมทกุ สรรพ
ส่ิงซึง่ เปรียบเหมือนท้องฟ้าผู้บริหารทใี่ ชห้ มวกน้จี ะต้องอาศยั ประสบการณ์เป็นอย่างมาก
หมวกสเี หลือง การคดิ แบบหมวกเหลืองเป็นการคิดในเชงิ บวก การมองโลกในแง่ดี การมุง่ มองที่
ประโยชน์ การคิดกอ่ ท่ใี หเ้ กิดผล หรือทาในสิ่งตา่ งๆทเี่ กิดขนึ้ ได้ การคดิ แบบหมวกเหลอื งเก่ยี วข้องกับการ
ประเมนิ ค่าทางบวก
หมวกสเี ขียว หมายถงึ ความคิดทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั ความคดิ ใหม่ๆและวิธกี ารใหมๆ่ ในการมองส่งิ ต่างๆดงั้
น้นั หมวกสีเขยี วจึงเกย่ี วข้องกับการเปลีย่ นแปลง การคิดแบบหมวกเขยี วเป็นการเคล่ือนที่ไปข้างหน้า
หมวกสีดา เปน็ หมวกคดิ ท่ีเป็นธรรมชาติ และสอดคลอ้ งกับวิธกี ารคิดของตะวันตกมาก หมวกสีดาชใ้ี ห้เราเหน็
ความผดิ ปกติ สิ่งใดไมส่ อดคล้อง สงิ่ ใดใชไ้ มไ่ ด้ มันชว่ ยปกป้องเราไม่ใหเ้ สียเงนิ และพลงั งาน ป้องกันไมใ่ หเ้ ราทา
อะไรอย่างโงเ่ ขลาเบาปญั ญาและผดิ กฎหมายหมวกดาเป็นหมวกคิดที่มเี หตุผลเสมอ
5. ความสาคญั ข้นั ตอนการตดั สนิ ใจให้มีประสิทธภิ าพ
1.ทาความเขา้ ใจอย่างชดั เจนในเหตผุ ลสาหรับการตดั สนิ ใจ
2.วเิ คราะห์ลกั ษณะของปญั หาทจี่ ะตดั สนิ ใจ
3. ตรวจสอบทางเลอื กตา่ งๆ ในการแก้ปัญหาโดยพจิ ารณาถึงผล ท่ีอาจเกดิ ตามมาดว้ ยเทคนิคการ
แลกเปลี่ยนความคิดเหน็ ในการตัดสินใจ
6. เทคนิคการแลกเปลยี่ นความคดิ เห็นในการตดั สนิ ใจ
1. การระดมสมอง
2. การใช้เกณฑ์ของกลุ่ม
3. เทคนิคเดลฟาย
4. การแสดงบทบาทของผูร้ ้าย
5. การสบื ค้นโดยการสนทนา
6.1 การระดมสมอง (Brain Storming)
เปน็ ความคิดทีห่ ลากหลาย และสร้างสรรคใ์ นการแกป้ ญั หาลักษณะเด่นคือ มีการแยกแยะ
ความคิดต่างๆ กฎเกณฑ์ในการใช้เทคนคิ น้คี ือ
อย่าประเมนิ หรืออภิปรายตวั เลอื ก
กระตุ้นให้มกี ารหมนุ เวียนความคิด
กระตนุ้ และยอมรับความคิดใหม้ าก
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
82
กระต้นุ ให้ทกุ คนเป็นเจ้าของความคดิ
6.2 การใชเ้ กณฑ์ของกลุม่
เปน็ อกี เทคนิคหน่ึงของการแลกเปลีย่ นความคิดซงึ่ เป็นการนาเอาบางสว่ นมาจากวธิ ีการระดมสมอง มี
กระบวนการ 6 ขน้ั ตอน
การนาความคิดมาแสดงอย่างเงยี บๆ
บันทึกแนวคดิ ของสมาชกิ ทุกคน
อภิปรายแนวความคดิ
เรมิ่ ลงคะแนนข้อที่สาคัญ
การอภิปรายเพ่ิมเติม
การลงคะแนนครัง้ สุดท้าย
6.3 เทคนคิ เดลฟาย (Delphi Technique)
ผพู้ ัฒนาเทคนคิ นค้ี ือ บรษิ ัทแรนด์ ลักษณะเด่นคือ ผ้ทู ร่ี ่วมคดิ หรอื ลงความคิดเห็นไม่ต้องมีการ
เผชิญหนา้ กนั ในการอภปิ รายขอ้ มลู เปน็ การลงความเห็นโดยการตอบแบบสอบถามแลว้ ส่งกลบั มา
ประโยชน์ท่ไี ดจ้ ากเทคนิคเดลฟาย
1. ขจดั ปญั หาความสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคล
2. เป็นการชว่ ยผ้เู ช่ยี วชาญใหส้ ามารถจัดสรรเวลาของตนเอง
3. ใช้เวลาในการวิเคราะหไ์ ด้อย่างเหมาะสม
4. แนวคดิ เชงิ ปริมาณท่หี ลากหลาย
5. สะดวกในการนาผลมาพยากรณเ์ หตุการณใ์ นอนาคต
6.4 การแสดงบทบาทของผู้รา้ ย (Devil' Advocacy)
เปน็ เทคนคิ ของการปรับปรงุ คณุ ภาพของการให้กลมุ่ ตดั สนิ ใจ โดยเริ่มต้นจากการเสนอข้อขัดแย้งไป
จนถงึ กระบวนการตัดสนิ ใจ วิธีนี้ชว่ ยใหผ้ ้เู สนอทางเลอื กหลุดพ้นจากอทิ ธพิ ลของกลุ่ม
6.5 การสบื คน้ โดยการสนทนา
เปน็ เทคนคิ ทม่ี วี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือควบคมุ สถานการณก์ ารคดิ ของกลมุ่ โดยจะแยกกล่มุ ออกเป็นกลมุ่
ยอ่ ย ซ่งึ ในแตล่ ะกลุ่มจะประชมุ แยกกนั แลว้ จึงนาผลการจดั อันดับทางเลอื กมาอภิปรายร่วมกนั
7. ประเภทของปัญหา
1. ปญั หาวกิ ฤต (Crisis Problem) เปน็ ปญั หาทจ่ี าเป็นต้องตัดสินใจอยา่ งเรง่ ด่วน มฉิ ะน้ัน
จะสง่ ผลเสยี ต่อองค์กรเป็นอย่างมาก
2. ปัญหาไมว่ ิกฤต(Non-Crisis Problem) เปน็ ปญั หาท่ีจาเป็นต้องแกไ้ ขแต่ไมเ่ รง่ ด่วน มเี วลา
เตรียมการตัดสินใจแก้ไขปัญหาค่อนข้างมาก
3. ปญั หาท่ีเป็นโอกาส(Opportunity Problem) เปน็ ปัญหาท่ไี ม่วิกฤตประเภทหน่งึ ปญั หาประเภทน้ี
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
83
จะแฝงไวด้ ้วยศักยภาพและโอกาสแห่งความสาเรจ็ ขององค์กร
8. สถานการณท์ ่ีตอ้ งตดั สินใจ
1. การตัดสนิ ใจภายใตค้ วามที่แนน่ อนเป็นการตดั สนิ ใจท่ีทราบผลลพั ธ์การตดั สนิ ใจล่วงหนา้
อย่างแน่นอนแลว้ ว่า ถา้ เลือกทางเลอื กอย่างใดอย่างหน่ึง ผลลัพธ์จะเปน็ อยา่ งไร ผ้ตู ัดสนิ ใจมีข้อมูลอยา่ ง
เพยี งพอ และทราบถึงผลลัพธ์ของแตล่ ะทางเลือก ผลลพั ธจ์ ะเกิดขน้ึ แน่นอนคือเกือบไมม่ ีการเส่ียงใด ๆ เลย
และจะเลือกทางเลอื กที่ใหผ้ ลตอบแทนสูงที่สุด
2.การตัดสนิ ใจภายใตค้ วามเส่ียง การตัดสินใจภายใตค้ วามเส่ียง คอื การตดั สนิ ใจทีท่ ราบ
ผลลัพธข์ องการตดั สนิ ใจน้อยกว่าการตัดสินใจภายใตส้ ถานการณท์ ี่แนน่ อน แต่พอจะคาดคะเนความน่าจะเป็น
หรอื โอกาสท่นี ่าจะเกิดขึ้น ซ่ึงผตู้ ัดสินใจมขี อ้ มูลสาหรบั การตดั สนิ ใจไมเ่ พียงพอการตดั สนิ ใจอยู่ภายใต้ความ
เส่ียงคือผูต้ ัดสินใจจะต้องคาดคะเนถึงโอกาสหรือความน่าจะเกดิ ขน้ึ โดยอาศยั ประสบการณ์ร่วมด้วย และจะ
พจิ ารณาเลือกทางเลอื กท่ีผลตอบแทนสูงสุดและโอกาสทีจ่ ะเกดิ ข้นึ ของทางเลือก
3.การตดั สนิ ใจภายใต้ความไม่แน่นอน เป็นการตัดสินใจที่ไม่สามารถคาดการณผ์ ลลพั ธแ์ ละ
โอกาส หรอื ความน่าจะเปน็ ท่ีเกิดขึน้ การตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอนจะมีลักษณะใหญๆ่ ดงั นี้คือ
1. ผตู้ ัดสนิ ใจไมท่ ราบผลลัพธ์ทจ่ี ะเกิดขึ้นของแต่ละทางเลอื ก เพราะไม่มขี ้อมูลท่ีจะ
ใชป้ ระกอบ
2. ผตู้ ัดสนิ ใจไม่ทราบถงึ โอกาสที่จะเป็นไปได้
3. มสี ภาวะนอกบังคบั หรอื ตัวแปรท่ีควบคมุ ไม่ได้ หรือตวั แปรที่ผตู้ ัดสินใจไม่อาจ
คาดเดาได้ ซ่ึงมอิ ิทธพิ ลตอ่ การตดั สินใจอย่างย่ิง2
9. หลักการในการตัดสนิ ใจหรอื วนิ จิ ฉยั สั่งการ หลักการสั่งงานมีดังน้ี
1.ต้องรูแ้ จง้ ในขอ้ เทจ็ จริง
2.ต้องส่ังงานให้ตรงประเดน็
10. องคป์ ระกอบตา่ งๆท่นี ามาใชใ้ นการตัดสนิ ใจหรอื วินิจฉยั ส่งั การ
1.ข่าวสาร
2.การเสีย่ ง
3.นโยบาย
4.ปญั หาตา่ งๆ
5.เวลา
11. กระบวนการตดั สินใจโดยใชเ้ หตุผล
1.กาหนดปญั หา
2.คน้ หาทางเลอื ก
3.การประเมินทางเลือก
4.ทาการตดั สนิ ใจ
2 https://sites.google.com/site/thanathipit10/kar-tadsin-ci , สืบค้นเม่ือ 10 กรกฎาคม 2564 ดร.ปรธภร ปุระกัน
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration
84
5.การปฏิบตั ิตามการตดั สนิ ใจ
6.การประเมนิ ผลลพั ธ์และการจดั หาการป้อนกลับ
12. ประเภทการตัดสินใจ
1.พิจารณาจากตัวบคุ ลากร
2.พิจารณาจากงาน
13. ลกั ษณะของการตดั สินใจ
1.ภายใต้สภาวะการณท์ ่ีแน่นอน
2.สภาพความไม่แนน่ อน
3.สภาพความเสี่ยง
4.สภาพความเคลือบคลุม
14. ประโยชนข์ องการตดั สนิ ใจ
1.ทาให้งานสาเรจ็ ตามวตั ถุประสงค์
2.เกดิ การประสานงานทดี่ ี
3.ช่วยประหยดั ทรพั ยากร
การวินิจฉยั สั่งการ (Decision making)
การวินจิ ฉัยสงั่ การ (Decision making) หมายถึง กระบวนการในการคัดเลอื กเพ่ือการ ปฏิบัตทิ ี่มี
ทางเลือกอยูห่ ลายทาง และผลลัพธ์ท่ีมีความแตกต่างกนั ในการวินิจฉัยสง่ั การนจ้ี ะมี ขนั้ ตอนท่ีเรม่ิ ตน้ จากการท่ี
ได้ตระหนักถึงปัญหา และขัน้ ตอนสุดทา้ ยจะนาไปสู่การตัดสนิ ใจอย่างมี เหตุผล
การวนิ จิ ฉัยส่ังการ มนี ักวชิ าการได้ให้ความหมายไว้ดังน้ี
ศริ ิพร พงศ์ศรโี รจน์ กล่าววา่ การวนิ ิจฉัยสงั่ การ หรือ การตัดสนิ ใจหมายถึง การเลอื ก ปฏิบัติหรืองด
เวน้ การปฏิบตั ิหรอื การเลือกทางดาเนนิ การที่เห็นว่าดที สี่ ุดทางใดทางหน่ึง จาก ทางเลือกหลายๆ ทาง เพอื่ ให้
บรรลุวัตถปุ ระสงคต์ ามทต่ี ้องการ หรอื การวินิจฉยั สงั่ การคอื การช่ังใจ ไตรต่ รองและตัดสินใจเลือกทาง
ดาเนนิ งานทเ่ี ห็นวา่ ดีทส่ี ุดทางใดทางหนึง่ จากหลายๆ ทางเพือ่ ให้ บรรลวุ ตั ถุประสงค์ตามท่ตี อ้ งการ
บรรยงค์ โตจินดา กล่าววา่ การวินิจฉยั สั่งการหรือการตัดสนิ ใจหมายถึง การที่ผู้บริหาร หรอื
ผบู้ ังคบั บญั ชาพิจารณาตัดสนิ ใจและสั่งการในเรื่องใดเรื่องหนึง่ การวนิ จิ ฉยั สัง่ การ หรือการ ตดั สินใจเปน็ เรื่องที่
มีความสาคญั มาก เพราะการวนิ จิ ฉัยส่ังการจะเป็นการเลือกทางเลือก ดาเนนิ การ ท่ดี ีที่สดุ ในบรรดาทางเลือก
หลายๆ ทาง
บทบาทภาวะผนู้ าและการวนิ ิจฉัยสัง่ การ
คาวา่ “บทบาท” ตรงกับคาในภาษาอังกฤษวา่ role เป็นเรือ่ งของพฤติกรรมและหนา้ ที่ ความ
รบั ผิดชอบ (function) เพอื่ เป็นการแสดงใหเ้ ห็นวา่ เมอื่ บุคคลดารงตาแหนง่ ใด ก็ควรแสดง พฤติกรรมให้ตรง
และเหมาะสมกบั หน้าท่ี ความรบั ผดิ ชอบน้ัน
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
85
คาว่า “ภาวะผู้นา” ตรงกับคาในภาษาอังกฤษวา่ Leadership คอื กระบวนการใช้ อานาจและอิทธพิ ล
ทแ่ี สดงถึงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผนู้ าและผตู้ าม เพื่อให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์อยา่ งใด อย่างหนึ่งขององคก์ ารวภิ าดา
คุปตานนท์ (2544: 237) กล่าวว่า ผูน้ า (Leader) หมายถึง บคุ คลทีม่ ี ความสามารถในการท่จี ะทาให้องค์การ
ดาเนนิ ไปอยา่ งก้าวหนา้ และบรรลุเป้าหมาย โดยการใช้ อทิ ธิพลเหนือทัศคติและการกระทาของผู้อืน่ DBrin.
(1998 อ้างถึงใน รังสรรค์ ประเสริฐศรี, 2544: 12) กล่าวถงึ ผู้นา (Leader) ว่า เปน็ บุคคลทที่ าให้องค์การ
เจรญิ ก้าวหนา้ และบรรลผุ ลสาเร็จโดยเป็น ผู้ที่มบี ทบาทแสดงความสมั พันธ์ระหว่างบคุ คลที่เป็นผู้ใต้บงั คบั บญั ชา
หรือเปน็ บคุ คลทก่ี ่อให้เกิด ความม่นั คงและช่วยเหลอื ผ้อู ืน่ เพอื่ ใหบ้ รรลุเปา้ หมายของกลุ่มGibson, Ivancevich
และDonnelly (1997: 272) มองภาวะผู้นา (Leadership)ในเชงิ ปฏสิ ัมพันธร์ ะหว่างกนั ของสมาชิกในกลุ่ม โดย
มี ผู้นาเปน็ ตวั แทนในการเปลี่ยนแปลง เป็นบคุ คลท่ีมอี ิทธิพลตอ่ บุคคลอนื่ ๆ ในกล่มุ
ดังนนั้ บทบาทและภาวะผนู้ า คอื กระบวนการท่บี ุคคลสามารถทาให้ผู้อ่นื ยอมรบั ท้ังใน แงค่ วามรู้
ความสามารถ อันเปน็ ตัวกลางหรอื สื่อท่จี ะมาชว่ ยประสานให้คนทั้งหลายรวมกันหรือ รว่ มกนั ทั้งรวมกันอย่แู ละ
รว่ มกนั ทา เพื่อจะให้อยู่กันด้วยดี และทาการด้วยกนั ได้ผลบรรลจุ ดุ หมาย ประสบความสาเรจ็
รปู แบบการวนิ ิจฉัยส่ังการของผ้บู ริหาร
การวนิ ิจฉยั สง่ั การ เป็นหน้าท่ีทีส่ าคญั ของผู้นาหรือผ้บู ริหาร ทีต่ อ้ งมีศักยภาพในการ ค้นหาความจรงิ
และ ประเมนิ สถานการณ์ก่อนทาการตดั สนิ ใจ วา่ ควรทาหรือไม่ควรทาและเพราะ อะไรเมื่อตัดสินใจแลว้ ก็จะ
ตอ้ งการวางแผนและกาหนดเป้าหมาย และวตั ถุประสงค์ท่ีแน่นอน ชัดเจน สามารถวดั ผลได้ กริฟฟิทส์
(Griffiths, 1959 : 104) ใหค้ วามหมายวา่ การตัดสินใจ เป็นการศึกษาทางเลือกการปฏิบัตโิ ดยคดิ การเลอื ก
ทางเลอื กทแี่ ตกต่างกนั สเุ มธ เดยี วอิศเรศ (2525 : 127) กล่าววา่ การตดั สินใจ เปน็ การเลือกทางปฏบิ ตั ิ ซ่ึงมีอยู่
หลายทางเพื่อไปสเู่ ป้าหมาย ทีก่ าหนดไว้ พีรพงศ์ ดาราไทย (2542 : 23) กลา่ ววา่ การตดั สนิ ใจ หมายถึง
ความคิดและการ กระทาตา่ งๆ ท่นี าไปสู่การตกลงใจเลือกทางใดทางหน่งึ จากทางเลือกทมี่ อี ยู่หลายทางเพื่อใช้
แกป้ ัญหาท่ีเกดิ ข้ึน แคมพ์เบลและคนอื่นๆ (Campbell and others, 1983 : 103) ได้แบ่งประเภท ของการ
ตัดสินใจดงั น้ี
1. การตดั สินใจทวี่ างแผนการไว้ลว่ งหน้าจะเกีย่ วข้องกบั ภารกิจตามรายการตา่ งๆ ที่กาหนดให้
2. การตดั สินใจ ท่ีเปน็ ไปตามสถานการณ์ จะเกย่ี วข้องกับสิง่ ท่ีวางแผนหรือคาดคะเน ไวน้ น้ั ไมเ่ ป็นไปตาม
กิจกรรมหรือรายการท่กี าหนดไว้
ความสามารถในการทางานหรือการบรหิ ารงาน นอกจากจะต้องมีความรู้ความสามารถ ในงานทปี่ ฏบิ ัติ
แลว้ ส่ิงสาคญั ประการหนึ่งของผู้ปฏิบัตงิ าน โดยเฉพาะอย่างย่ิงหวั หนา้ งานหรอื ผบู้ รหิ ารกค็ ือ การตดั สินใจ
(Decision Making) การตัดสินใจเปรยี บเสมือนหวั ใจของการ ปฏิบตั ิงานและบริหารงาน ทง้ั นเ้ี พราะการ
ตัดสนิ ใจจะมีอยใู่ นแทบทุกข้ันตอนและทุกกระบวนการ ของการทางาน แม้แต่บคุ คลท่ัวไปกไ็ มอ่ าจหลกี เลีย่ ง
เรอ่ื งการตัดสินใจได้ นบั ต้ังแต่บุคคลต่นื ข้นึ มาก็ จะมกี ารตัดสนิ ใจในเรอื่ งตา่ งๆอยู่ตลอดเวลา ไมว่ า่ จะเป็นการ
เลือกชดุ ท่จี ะใส่ เสน้ ทางทจี่ ะใช้ เดนิ ทาง เปน็ ตน้ เจษฎา อึง้ เจรญิ (2537 : 35) ไดก้ ล่าวว่า การตัดสินใจของ
ผบู้ รหิ ารนัน้ จะพิจารณา ไดจ้ ากรปู แบบท่แี ตกตา่ งกัน 2 รูปแบบ คอื
1. การตดั สนิ ใจที่กาหนดไวล้ ่วงหนา้ เปน็ การตดั สนิ ใจท่เี ก่ียวข้องกับแนวปฏบิ ตั ิหรือ นโยบาย ซ่ึงเปน็ ไป
ในทางลักษณะของงานประจา การตดั สินใจสงั่ การประเภทน้ที าได้งา่ ยๆ โดยอาศัยระเบียบ กฏเกณฑ์ที่
มีอยู่
2. การตัดสินใจท่ีไม่ไดก้ าหนดไว้ลว่ งหนา้ เป็นการตัดสนิ ใจในปัญหาทเี่ กิดข้ึน นอกเหนือจากงานประจา
หรือไมเ่ ปน็ ไปตามนโยบายทกี่ าหนดไว้เป็นปัญหาในสถานการณ์ใหม่ท่ตี ้อง ใช้ความสามารถในเชิง
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
86
สรา้ งสรรค์ และดุลยพนิ ิจในการแก้ปญั หา การตดั สินใจส่งั การแก้ปญั หาที่ เกิดข้นึ ในลกั ษณะนี้จะแสดง
ให้เหน็ ถงึ ประสิทธิภาพของผู้บริหาร เพราะเป็นการตัดสนิ ใจปัญหา ซึ่งเกิดจากสภาวการณท์ ี่
เปลย่ี นแปลงไป ดงั นน้ั ข้อมูลที่สมบรู ณแ์ ละถกู ตอ้ งจึงมคี วามสาคัญอย่างยิง่
ทฤษฎีการวนิ ิจฉัยส่ังการ
ทฤษฎีการวนิ ิจฉยั ส่งั การตามวิธีวินิจฉัยส่งั การ เป็นการนาแนวความคิดที่มีเหตผุ ลท่ี ผบู้ รหิ ารใชใ้ นการ
เลอื กทางเลอื กทีด่ ีทส่ี ุด ซ่ึงสามารถจาแนกได้ ตามวิธีวนิ จิ ฉยั สง่ั การ 3 วิธดี ังน้ี (สโุ ขทัยธรรมาธริ าช, 2548, : 263-
264)
ทฤษฎีการวินิจฉัยสั่งการโดยการคาดการณ์
มกี ารใชเ้ ทคนคิ การคาดการณ์และการพยากรณ์เขา้ มาประกอบการวนิ จิ ฉัยเชน่ การ พยากรณ์
โดยใช้แนวโนม้ เป็นตน้
ทฤษฎีการวนิ จิ ฉยั สั่งการโดยการพรรณนา
เป็นการใช้กระบวนการวิจัยเป็นเครือ่ งมือในการวนิ ิจฉัย ดังน้ันผู้วิจัยจะต้องมีการพิสจู น์ และ
เห็นจรงิ จึงจะดาเนินการวนิ ิจฉยั ได้ บางครั้งเรยี กการวินจิ ฉัยสั่งการแบบนว้ี ่าการวินจิ ฉัยทาง วทิ ยาศาสตร์
ทฤษฎกี ารวินจิ ฉัยส่ังการโดยการกาหนดความ
เปน็ ทฤษฎที ่ีคานึงถึงวา่ แนวทางวนิ ิจฉยั สงั่ การควรจะเป็นหรือน่าจะเป็นอยา่ งไรจงึ จะ สามารถบรรลเุ ป้าหมายที่
ต้องการวินจิ ฉัยส่งั การได้
สรปุ
การตดั สนิ ใจนับวา่ เป็นสิ่งสาคัญอยา่ งยิ่งยิ่งตอ่ การทางานและถือเป็นบทบาทที่สาคัญของผูน้ าหรอื
ผบู้ ริหารในการจดั การหรือบริหารงาน ซงึ่ จะนาพาเกิดความอยู่รอดของกลุ่ม หน่วยงานหรือองค์กร การ
ตัดสินใจเปน็ ทักษะสาคญั อย่างหนึง่ ในการปฏิบตั ิงานที่จาเป็นต้องเรยี นรูแ้ ละฝกึ ฝน โดยตอ้ งรู้จกั ตัดสินใจอย่าง
เปน็ ขนั้ ตอน อย่บู นฐานข้อมลู ทีเ่ ปน็ จรงิ และชดั เจน ถ้ามีทักษะการตดั สินใจทดี่ ี จะทาให้การตดั สนิ ใจน้นั ถูกต้อง
และไมม่ ปี ญั หา หรือถ้ามีปญั หากม็ ีน้อย การตดั สนิ ใจทด่ี ีตอ้ งมีขอ้ มลู อยา่ งเพยี งพอ มีประสบการณ์และควร
พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยควรกาหนดแนวทางเลือกไว้หลายๆทาง แตล่ ะทางเลือกต้องคดิ ถึงผลในทางบวก
และลบไวเ้ สมอ แล้วเลอื กทางเลอื กทด่ี ีที่สุด จงึ จะเป็นการตัดสินใจทม่ี ีประสิทธิภาพและเกดิ ประโยชนส์ ูงสุด
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
87
บทที่ 8
ภาวะผูน้ าของนักบริหารจัดการ
ภาวะผนู้ า เปน็ ขบวนการสรา้ งส่ิงเร้าขบวนการพฒั นาและการทางานกับคนในองค์การ เป็นขวนการ
มุ่งคน การมงุ่ สรา้ งแรงจงู ใจให้กบั คน การใช้มนษุ ย์สัมพันธห์ รอื การปฏิสัมพันธใ์ นองค์การการสอื่ สารระหว่าง
บคุ คล การสร้างบรรยากาศในองค์การ ความขัดแย้งระหวา่ งบคุ คล ความเจรญิ และการพัฒนา
นอกเหนือจากน้ันก็คือปัจจัยของมนุษย์ท่ีสง่ เสรมิ การผลติ ภาวะผนู้ าจะเกดิ ขนึ้ ในการปฏบิ ัติการของ
องค์การ เพราะฉะนน้ั จึงเป็นสงิ่ ทีเ่ กยี่ วข้องกบั ความเขา้ ใจในจดุ หมาย การตัดสินใจเลือกทางเลือก
ใหม่ การสนบั สนุนส่งเสริมการบรกิ ารการศึกษาใหม้ ีคุณภาพมากขึน้ การนาหลกั การเปลยี่ นแปลงมาใช้
ในองค์การและปัจจยั ตา่ ง ๆ ซึง่ สร้างความพึงพอใจหรือบางครงั้ มผี ลในทางตรงกันข้าม คือสรา้ งความไม่พึง
พอใจของมนุษย์ในองค์การ
ความหมายของผู้นาและภาวะผู้นา (The definition of leadership)
คาว่า ภาวะผู้นา มีนกั วชิ าการหลายทา่ นไดใ้ ห้คานยิ ามไวด้ งั น้ี
วเิ ชียร วทิ ยอุดม (2548 : 3) ให้ความหมายภาวะผูน้ า หมายถึง ลักษณะส่วนตัวของบุคคลท่ีจะแสดง
พฤติกรรมออกมา เม่ือได้มีปฏสิ ัมพนั ธ์กับกลุ่ม เปน็ ความสามารถท่ีเกิดขึ้นระหว่างทมี่ ีการทางานรว่ มกันหรือรว่ ม
อยู่ในเหตุการณ์เดียวกนั ในอนั ที่จะทาให้กิจกรรมของกลุม่ ดาเนินไปส่เู ป้าหมายและประสบผลสาเรจ็
มานิตย์ มัลลวงค์ (2550 : 301) ไดส้ รุปความหมายของภาวะผูน้ าว่าเป็นคุณสมบัตเิ ฉพาะสว่ นบุคคล
ของผูน้ าท่ีแสดงออกซ่ึงพฤติกรรม ความสามารถในการบรหิ ารจัดการและความมีอิทธิพลในการนาผอู้ ่ืนได้ใน
สถานการณต์ ่างๆ เพ่ือม่งุ สู่ความมปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธิผลในการปฏบิ ตั ิงานของหนว่ ยงาน
สาคร สุขศรีวงศ์ (2555 : 156) ไดส้ รุปความหมายของ ภาวะผูน้ า วา่ หมายถึง การชักจูงให้บุคคลอื่น
แสดงพฤตกิ รรมท่ีพึงประสงค์ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ การปฏิบัติหน้าท่ีอย่างเต็มทเ่ี พื่อให้บรรลเุ ป้าหมายขององคก์ ารท่ี
กาหนดไว้
ดงั น้ันจากความหมายข้างตน้ น้ี จงึ สรุปได้วา่ ภาวะผู้นา หมายถึง คุณสมบัติส่วนบคุ คลของผู้นาที่
สามารถในการบริหารจัดการ ความมีอทิ ธิพล การชักจงู ให้บุคคลอื่นแสดงพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ โดยเฉพาะอยา่ ง
ยงิ่ การปฏบิ ัติหน้าท่ีอย่างเต็มท่ีเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายขององค์การท่กี าหนดไว้
2. ทฤษฎภี าวะผนู้ า (Leadership Theory)
นกั คดิ และนกั วชิ าการต้ังแต่อดตี จนถงึ ปจั จบุ นั พยายามศกึ ษาและทาความเข้าใจเก่ียวกับภาวะผนู้ า
ตลอดจนคดิ ค้นแนวทางท่เี ปน็ ไปได้ในการพัฒนาภาวะผู้นาใหม้ มี ากข้นึ ในหมู่ผู้บรหิ าร การศกึ ษาและทาความ
เขา้ ใจเก่ยี วกับภาวะผู้นามวี ิวฒั นาการมาอยา่ งต่อเนอ่ื ง จนในปจั จุบนั สามารถสรุปรวมและจัดแบ่งทฤษฎีว่าด้วย
ภาวะผู้นาออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่
2.1 ทฤษฎวี ่าด้วยคณุ ลกั ษณะเฉพาะของผนู้ า(Trait Theory)
ทฤษฎีว่าด้วยคุณลักษณะเฉพาะของผู้นาเกดิ จากความพยายามของนักคดิ และนักวชิ าการท่ีจะ
ศึกษาลักษณะเฉพาะของผนู้ าท่ปี ระสบความสาเรจ็ ว่ามีคณุ ลกั ษณะอย่างไร ผบู้ รหิ ารท่ีประสงคจ์ ะพฒั นาภาวะ
ผู้นาของตนใหส้ งู ข้ึนอาจทาได้โดยสรา้ งและปรบั ปรุงคุณลกั ษณะของตนในดา้ นต่างๆ ดงั น้ี
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
88
2.1.1 คุณลักษณะทางความคิดและสตปิ ญั ญาหมายถึง ความฉลาดหลกั แหลมของผนู้ า
สามารถคิดวเิ คราะห์และคาดการณ์อย่างเป็นระบบ แม้ปญั หาท่ีมีความซับซ้อนก็สามารถเลง็ เหน็ ถึงการ
เปล่ยี นแปลงท่ีจะเกิดขน้ึ ในอนาคตและกาหนดแนวทางตอบสนองต่อการเปลย่ี นแปลงดังกล่าวได้ อย่างแนน่ อน
2.1.2 คณุ ลกั ษณะทางความสมั พันธก์ บั บคุ คลอน่ื หมายถึง การมีทักษะในการติดตอ่ สื่อสาร
และสร้างความสมั พนั ธอ์ ันดีงามกับบคุ คลอ่นื มีทศั นคตทิ ด่ี เี ปน็ ทยี่ อมรับและเปน็ ตวั อย่างทด่ี กี ับสังคมโดยทั่วไป
2.1.3 คุณลักษณะทางดา้ นการทางาน หมายถึง การเป็นผมู้ ีความรู้ ความเข้าใจและ
ความสามารถปฏิบัติงาน สามารถแก้ไขปัญหาในงานท่ีเกดิ ขึ้นได้ รู้จักวธิ ีในการถ่ายทอดและสอนงาน เป็นตน้
2.1.4 คณุ ลักษณะส่วนตวั หมายถงึ คณุ ลักษณะสว่ นตัวโดยทว่ั ไป อาทิ ม่ันใจในตัวเอง มั่นคง
ทางอารมณ์ สามารถเกบ็ ความร้สู ึกในโอกาสอนั ควร รกั ษาความลบั มีความรบั ผดิ ชอบสูง มคี วามทะเยอทะยาน
มีความรอบคอบ มีความกระตือรือร้น มีความมุ่งมัน่ ตงั้ ใจไมย่ ่อท้อและมคี วามเสมอต้นเสมอปลาย เปน็ ตน้
2.1.5 คณุ ลักษณะทางกายภาพ อาทิ อายุ สว่ นสงู พละกาลงั น้าหนกั และโหวงเฮ้ง เปน็ ต้น ซง่ึ
คุณลกั ษณะทางกายภาพเหลา่ น้ี แมจ้ ะขาดขอ้ มูลจากการวจิ ยั เชงิ ประจักษใ์ นการสนบั สนนุ แตใ่ นบางสงั คมก็ยงั ไดร้ บั
การยอมรบั เป็นแนวปฏบิ ัติ เช่น ในประเทศจนี ผู้ที่จะได้รบั ความเชอ่ื ถือในการแตง่ ต้ังให้ดารงตาแหน่งผูน้ าท่ี
สาคญั ของประเทศมกั เป็นผู้ท่ีมีวยั วุฒสิ งู เปน็ ตน้ ทง้ั นีฝ้ ่ายทส่ี นบั สนุนแนวคดิ น้ีไดใ้ หเ้ หตผุ ลประกอบว่า ผทู้ ี่มี
วยั วฒุ สิ ูงย่อมมปี ระสบการณ์สูงด้วยเช่นกนั ซ่งึ เปน็ คุณสมบัติทีส่ าคัญทีส่ ดุ ประการหนง่ึ ของผ้นู าประเทศ
นอกจากน้ี ในประเทศไทยยังปรากฏว่ามีองค์การบางแหง่ ซ่ึงคดั เลือกผ้บู รหิ ารจากคณุ ลักษณะทาง
กายภาพ 5 ประการ ไดแ้ ก่ คิ้ว ตา หู จมูกและปาก โดยพจิ ารณาวา่ มีลกั ษณะตรงตามตาราหรอื ไม่
2.1.6 คณุ ลักษณะทางพน้ื ฐานสงั คม เชน่ ฐานะทางครอบครวั ชอ่ื เสียงของวงศ์ตระกูลและ
ประวัตกิ ารศึกษา เป็นต้น ผทู้ ่ีมีพื้นฐานทางสังคมดีไม่จาเป็นต้องเป็นผนู้ าท่ีดีเสมอไป แตผ่ ทู้ ีม่ ีพ้ืนฐานทางสังคมที่
ดีไดร้ ับการยอมรับจากสงั คม จึงมโี อกาสได้รับความไวว้ างใจให้เป็นผู้นา ความเช่ือดงั กล่าวอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ เช่น
สงั คมอาจเคยเชื่อวา่ หากไดผ้ นู้ าทางการเมืองท่มี ฐี านะดีจะเป็นประโยชน์กบั บ้านเมืองในการแกป้ ญั หาคอรปั ชั่น
เน่อื งจากรวยแล้วคงไม่คดโกง แต่ปจั จุบนั ความเชื่อดงั กล่าวปรากฏข้อพสิ ูจน์แก่สงั คมเพิ่มขึ้นเรอ่ื ยๆ วา่ ไมเ่ ปน็
ความจรงิ เสมอไป เปน็ ต้น
คุณลกั ษณะเฉพาะของผูน้ าท่ีกลา่ วมาข้างต้น แม้ไม่ครบทุกประเด็นของคุณลกั ษณะผู้นาทด่ี ี
เนอื่ งจากยังคงมีคณุ ลักษณะและปจั จยั อื่นอีกในการเสริมสร้างภาวะผู้นาใหแ้ กบ่ ุคคลหนง่ึ ๆ แตก่ ารศึกษา
คุณลกั ษณะทงั้ 6 ดา้ นดงั กล่าว เปน็ พ้นื ฐานท่ดี ีท่ีทาให้เข้าใจถึงโอกาสและแนวโนม้ ของบคุ คลทีม่ ีคุณลกั ษณะ
ดังกลา่ วกบั ศักยภาพในการเป็นผ้นู าทด่ี ีได้ ผ้ทู ี่ตอ้ งการพัฒนาภาวะผูน้ าของตนจึงควรศึกษาและเปรียบเทยี บ
คุณลกั ษณะของตนกับคุณลกั ษณะตามทฤษฎที ่ีระบไุ วเ้ พอื่ ใหเ้ ห็นถงึ ชอ่ งวา่ งและโอกาสในการพฒั นา
คณุ ลักษณะของตนให้เพิ่มขนึ้ ซึง่ ย่อมจะทาให้ตนเองมศี ักยภาพในการเปน็ ผ้นู าทด่ี ีได้มากยิ่งข้นึ ด้วยนน่ั เอง
2.2 ทฤษฎีว่าด้วยพฤติกรรม(Behavioral Theories)
นอกจากคุณลักษณะเฉพาะซ่งึ ส่งผลต่อภาวะผนู้ าของบคุ คลแลว้ จากการวิจัยพบว่า ผู้นาทดี่ ี หรือ
ผนู้ าทีป่ ระสบความสาเร็จมักมีพฤติกรรมไปในแนวทางใดทางหนึง่ ซ่ึงแตกตา่ งจากผนู้ าท่ีล้มเหลว ทั้งพฤติกรรมที่
เกย่ี วกบั การแสดงออก การตัดสินใจ การส่ือสารกบั สมาชกิ ขององค์การการให้ความสนใจกับความรสู้ ึกของคน การ
ใส่ใจในงานทร่ี ับผิดชอบ และการมอบหมายงาน เป็นตน้ การวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมจงึ มีอย่างต่อเนื่องจนสรุปเป็น
ทฤษฎซี ่ึงนามาเรยี นรู้และวิเคราะห์แยกแยะได้อยา่ งลึกซึง้ ผู้บรหิ ารท่ปี ระสงค์จะพฒั นาภาวะผ้นู าของตนเอง จึง
ควรศึกษาทฤษฎีเหลา่ นี้ เพ่ือใหเ้ ห็นถึงพฤติกรรมทพ่ี ึงประสงคแ์ ละฝึกฝนตนเองให้มีพฤตกิ รรมในการเป็นผู้นาตาม
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
89
แบบทป่ี ระสบความสาเร็จแลว้ นนั้ ดว้ ย ซ่ึงกระบวนการในการนาทฤษฎีวา่ ดว้ ยพฤติกรรมไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ ดงั
ภาพที่ 5.1
ภาพที่ 5.1 กระบวนการในการนาทฤษฎีว่าด้วยพฤติกรรมไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์
ทมี่ า : สาคร สุขศรวี งค์ (2555 : 160)
การศึกษาทฤษฎีวา่ ดว้ ยพฤตกิ รรม ไดม้ ีการศกึ ษาดังนี้
2.2.1 ภาวะผ้นู า 3 ประเภทตามการศึกษาของมหาวทิ ยาลัยไอโอวา่ (University of Iowa’s Types of
Leadership)
นักวจิ ัยจากมหาวิทยาลยั ไอโอวาศึกษาและพบว่าสามารถจดั แบง่ ภาวะผูน้ าออกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ ผ้นู า
แบบอตั นิยม ผูน้ าแบบประชานยิ ม และผู้นาแบบเสรนี ยิ ม ซึง่ ผู้นาในแตล่ ะประเภทมีพฤตกิ รรมในด้านต่าง ๆ
แตกตา่ งกัน พอสรปุ ได้ ดังตารางที่ 5.1
ตารางท่ี 5.1 การเปรียบเทยี บพฤติกรรมของผูน้ าตามภาวะผู้นาประเภทต่างๆ
ทม่ี า : สาคร สขุ ศรวี งศ์ (2555 : 160)
นกั วิจัยศึกษาพฤติกรรมและผลงานของผู้นาทั้ง 3 แบบเพ่ือหาวา่ ผนู้ าแบบใดเป็นผู้นาที่ประสบ
ความสาเร็จ หรือมผี ลการดาเนนิ งานดที ่ีสดุ และผ้นู าแบบใดสร้างความพึงพอใจให้กบั สมาชกิ กลุ่มสงู สดุ จากการ
วิจัยพบวา่ ผ้นู าแบบอตั นิยมและผู้นาแบบประชานิยมสามารถสร้างผลงานให้แก่องค์การไดส้ งู ในระดับเดียวกนั
ขณะท่ผี ู้นาแบบเสรนี ิยมสร้างผลงานได้ต่าท่ีสุด
สว่ นสมาชิกในองค์การมีความพึงพอใจกับผู้นาแบบประชานิยมสูงท่สี ุด ในขณะทผี่ ู้นาอีก 2 แบบ ไมค่ ่อย
ไดร้ ับความพงึ พอใจจากสมาชิก ผลการวจิ ยั พบว่า ผูน้ าแบบอัตนยิ มสามารถทางานใหบ้ รรลวุ ตั ถุประสงค์ไดด้ ี
ภายใต้เวลาท่ีจากดั ซง่ึ แตกต่างจากผู้นาประเภทอื่นที่ทาได้ดีกต็ ่อเมื่อมีเวลามากเพียงพอแล้วเทา่ น้ัน
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
90
2.2.2 ทฤษฎคี วามต่อเน่ืองของพฤติกรรมในการใช้อานาจ (Robert Tannenbaum
and Warren H. Schmidt)
ผบู้ ริหารแต่ละคนอาจมีพฤติกรรมการใช้อานาจหนา้ ท่ี มากน้อยแตกต่างกันไป ย่ิง
ผบู้ รหิ ารมีพฤติกรรมการใช้อานาจหน้าทส่ี ูง จะทาใหผ้ ูบ้ รหิ ารมีลกั ษณะใกลเ้ คียงกับผู้นาแบบอตั นิยมมากขึ้น อาจ
กลา่ วได้อีกอย่างว่าเปน็ ลักษณะของภาวะผู้นาแบบเน้นผู้นา หรือหัวหน้าเป็นศูนย์กลาง ซ่ึงจะสง่ ผลให้
ผใู้ ตบ้ งั คบั บัญชามีอสิ ระในการคิดและการแสดงออกน้อย แต่ถ้าผูบ้ รหิ ารมีพฤติกรรมการใช้อานาจหน้าทลี่ ดลง จะ
ทาใหผ้ ู้ใตบ้ งั คับบัญชามอี ิสระในการคิดและการแสดงออกเพ่ิมขึน้ ตามลาดับและนามาซึ่งความพอใจของ
ผ้ใู ตบ้ ังคับบัญชาท่ีสูงขน้ึ อย่างต่อเน่ือง พฤติกรรม การใช้อานาจหน้าทขี่ องผูน้ าเปน็ ดังภาพที่ 5.2
ภาพท่ี 5.2 รปู แบบแสดงพฤติกรรมการใช้อานาจหนา้ ทีข่ องผู้นา
ทม่ี า :สาคร สขุ ศรีวงศ์ (2555 : 161)
2.2.3 พฤตกิ รรม 2 ดา้ นของผูน้ าตามการศกึ ษาของมหาวทิ ยาลยั โอไอโอ (University of
Ohio’s Two Dimensional Model of Leader Bahavior)
นกั วิจัยจากมหาวทิ ยาลัยโอไฮโอศึกษาและพบว่าพฤติกรรมตา่ งๆ ของผนู้ านน้ั สามารถ
จดั แบ่งโดยรวมออกเปน็ 2 ด้าน ได้แก่
1)พฤตกิ รรมทีค่ านึงถงึ ผู้อ่นื หรือเน้นคน หมายถงึ พฤติกรรมทมี่ งุ่ การสรา้ ง
ความสัมพันธ์กับบคุ คลอน่ื ให้ความสาคญั กบั ความคดิ และความต้องการของบคุ คลอนื่ เป็นอันดบั แรก
2) พฤติกรรมในการริเรมิ่ โครงสร้างการทางาน หรอื มงุ่ งาน หมายถงึ พฤติกรรมของ
ผนู้ าที่ให้ความสาคัญกบั การทางานและรายละเอียดตา่ งๆ ท่ีเกีย่ วข้อง เพ่ือประสิทธภิ าพและความสาเรจ็ ของ
งาน เช่น การกาหนดวธิ ีการทางาน กาหนดเวลาในการทางาน กาหนดบุคคลผู้มีส่วนเก่ยี วขอ้ งในการทางาน เป็น
ตน้
ผู้นาแต่ละคนมีระดบั การเนน้ คนและเน้นงานมากน้อยแตกต่างกนั ไป ซ่งึ สามารถกาหนดเป็นตารางท่ี
5.2
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
91
ผู้บรหิ ารสามารถนาผลการวจิ ัยข้างต้นมาเตอื นใจได้อยา่ งดี ในการทางานใหป้ ระสบ
ความสาเร็จได้นัน้ ผบู้ รหิ ารจาเป็นตอ้ งให้ความสนใจทั้งเรือ่ งคนและเรอ่ื งงาน ซง่ึ บ่อยครั้งทีผ่ ้บู ริหารแตล่ ะคน
ละเลยเรอื่ งใดเร่อื งหน่งึ และบางครัง้ อาจละเลยทั้ง 2 เรอื่ ง ซ่ึงยอ่ มสง่ ผลให้โอกาสแหง่ ความสาเร็จในการทางาน
ลดลงไป
2.3 ทฤษฎีวา่ ด้วยผ้นู าตามสถานการณ์ (Contingency Theory)
ทฤษฎีว่าด้วยผูน้ าตามสถานการณต์ ง้ั อยู่บนพน้ื ฐานของแนวคิดที่วา่ ผ้นู าทีป่ ระสบความสาเรจ็ ได้
นน้ั ไม่จาเป็นต้องมีคุณลักษณะที่ตายตวั และไมจ่ าเปน็ ต้องมีการแสดงออกเชิงพฤตกิ รรมในรูปแบบใดรปู แบบหนึง่
เทา่ น้ัน หากแต่ผ้นู าจะประสบความสาเรจ็ ในการทางานได้กต็ ่อเม่ือผูน้ าสามารถเลือกใชว้ ิธกี าร หรือแสดงออกซง่ึ
พฤติกรรมการเปน็ ผนู้ าทีเ่ หมาะสมสอดคล้องกับแต่ละสถานการณ์
ผ้บู รหิ ารที่ประสงค์จะประยุกตใ์ ช้ทฤษฎีว่าด้วยผู้นาตามสถานการณใ์ ห้เกิดประโยชนก์ ับตนเอง จึง
ตอ้ งศึกษาว่าสถานการณ์ หรือปัจจยั ตา่ งๆ ทม่ี ีผลต่อวิธีการและพฤติกรรมของผนู้ าเหล่าน้ันมอี ะไรบ้าง และแตล่ ะ
สถานการณผ์ ู้นาควรจะใชว้ ิธกี ารใดในการบรหิ ารงานใหป้ ระสบความสาเร็จได้สูงสดุ
นักวิจยั หลายคน อาทิ Fiedler, House, Vroom-Yetto-Jago, Steven Kerr, John Jermier,
Hersey-Blanchaedฯลฯ ได้ค้นคว้าถึงสถานการณต์ ่าง ๆ ท่ีสง่ ผลต่อภาวะผนู้ าและวธิ ีการท่ผี นู้ าเลือกใช้ในหลาย
รปู แบบ ซึ่งสามารถสรปุ สถานการณ์หรือปจั จัยต่าง ๆ ที่มีความสาคัญได้ 7 ประการ ดงั ภาพที่ 5.3
ภาพที่ 5.3 ปัจจยั ทั้ง 7 ประการ ทมี่ ีผลต่อรปู แบบภาวะผูน้ า
ท่มี า : สาคร สขุ ศรวี งศ์ (2555 : 163)
2.3.1 ความตอ้ งการของพนกั งาน ความต้องการของพนักงานเป็นปจั จัยทีม่ สี ว่ นกาหนดวธิ ีการท่ี
ผนู้ าไปใช้ในการบริหารงาน กลา่ วคอื เมื่อความต้องการของพนกั งานแตกต่างกันออกไปย่อมส่งผลใหผ้ ู้นาเลือกใช้
วธิ กี ารบรหิ ารงานที่แตกตา่ งกันเพ่ือใหส้ อดคล้องกับความต้องการของพนักงานแตล่ ะคนหากพนักงานต้องการ
ชื่อเสียงเกยี รติยศ ผู้นาจาเปน็ ตอ้ งเน้นการให้เกยี รติและยกย่องในความสาเรจ็ ของพนักงานมากทสี่ ดุ แตห่ าก
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
92
พนักงานต้องการความรักและความผูกพนั กับสมาชกิ ในองค์การ ผนู้ าต้องเนน้ ท่ีความรู้สึกของพนักงานและสรา้ ง
ความสมั พันธ์ระหว่างสมาชิกองค์การ เปน็ ต้น
2.3.2 ลักษณะการตัดสนิ ใจของกล่มุ การทางานแตล่ ะกล่มุ ยอ่ มมีลักษณะการตัดสินใจท่แี ตกต่าง
กัน บางกล่มุ อาจเปิดเปน็ สมาชกิ อภปิ รายประเด็นที่ต้องการตัดสนิ ใจอย่างเสรี แลว้ ลงคะแนนเสียงเพ่ือหาข้อสรปุ โดย
เสยี งข้างมาก ผูน้ าท่บี ริหารจัดการในกลุ่มทมี่ ีการตัดสนิ ใจลักษณะดงั กลา่ วอาจเข้าร่วมอภิปราย ออกความเห็นและ
เมื่อประชุมเปน็ เวลาสมควรแล้ว ผ้นู าอาจสรุปขอให้ทปี่ ระชุมลงคะแนนเสยี งได้ทันที แต่บางกลุ่มอาจไมต่ ้องการให้
มกี ารลงคะแนนเสียง เน่ืองจากเกรงว่าจะเกดิ การแตกแยก จึงเน้นใหส้ มาชิกพยายามโนม้ น้าวความเห็นของกนั และ
กันจนทุกคนเห็นชอบรว่ มกนั แลว้ จึงตดั สนิ ใจ ผนู้ าที่อยใู่ นกลุ่มที่มีการตัดสินใจลักษณะน้ีอาจต้องระมดั ระวังดา้ น
ความรสู้ ึกของสมาชกิ กลุ่มและผ้นู าย่อมไมส่ ามารถตดั บทการอภิปรายเพื่อให้ลงมตหิ ากเห็นว่าสมาชิกกลุม่ ยังไมม่ ี
ความเห็นเป็นเอกฉนั ท์ ผู้นาที่ดีจงึ จาเป็นต้องศึกษาลกั ษณะการตัดสนิ ใจของสมาชิกกลมุ่ ให้ชัดเจนแลว้ จงึ เลอื ก
วธิ กี ารที่เหมาะสมในการบริหารงานกลุ่ม
2.3.3 ความสัมพนั ธ์ระหว่างผู้นาและสมาชิก ผนู้ าทเ่ี ป็นเพอื่ น หรือสนิทสนมคุ้นเคยกับสมาชิก
ย่อมต้องใชว้ ธิ ีการบริหารจัดการทีแ่ ตกตา่ งจากผู้นาที่ไม่รู้จักสมาชิกเป็นการสว่ นตัว เชน่ ในการทารายงานกลุ่มของ
นกั ศึกษาในวิทยาลยั ฯ แมจ้ ะกาหนดใหส้ มาชิกคนหนงึ่ เปน็ ผูน้ ากลุ่ม แต่ผนู้ าคนดงั กลา่ วย่อมไมส่ ามารถใชเ้ พียง
การออกคาส่ังเพื่อให้สมาชิกปฏบิ ัตติ ามได้แต่ต้องขอร้องเพื่อนให้ทางานตามแนวทางท่ีประสงค์ เป็น
ตน้ ความสัมพันธร์ ะหว่างผ้นู ากับสมาชิกจึงเป็นอีกปจั จยั ท่ีมีผลต่อการชี้นา อยา่ งไรกต็ ามในองค์การท่ัวไป ผูน้ า
ยอ่ มสามารถออกคาส่ังใหผ้ ใู้ ต้บงั คับบัญชาปฏบิ ัตงิ านในหน้าท่ไี ด้
2.3.4 แหล่งที่มาของอานาจ ผ้นู าทมี่ ีอานาจจากความช่ืนชม มักพบว่าตนเองแทบไมต่ ้องใช้
วิธีการบังคับ หรือขู่จะลงโทษพนักงานเพื่อให้พนักงานทางานตามเป้าประสงค์ เนื่องจากพนกั งานมีความรักชื่นชม
และยนิ ยอมพร้อมใจในการทางานอยู่แลว้ ซึง่ แตกต่างจากผู้นาทม่ี ีเพยี งอานาจในการใหโ้ ทษ ย่อมต้องอาศัยการ
บงั คับและขู่เข็ญในการลงโทษจงึ จะทาให้พนักงานทางานตามที่ต้องการได้
2.3.5 ลักษณะงาน งานท่ีจาเป็นต้องอาศัยความคดิ สร้างสรรค์ เช่น งานโฆษณา ผ้นู าจาเปน็ ต้อง
สรา้ งบรรยากาศการทางานแบบหลวมๆ เป็นกันเอง เนน้ ความรสู้ กึ ของคนมากกว่างานในโรงงานซง่ึ เปน็ งานท่มี ี
ลักษณะชัดเจนตายตัวซง่ึ ผนู้ าจาเปน็ ต้องบรหิ ารงานโดยอาศัยกฎระเบียบและคาส่ังในการทางาน
2.3.6 คณุ ลกั ษณะเฉพาะ การทแ่ี ตล่ ะคนมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่าง ผู้นาจึงควรเลือกวิธใี นการ
บริหารงานใหส้ อดคลอ้ งกับคุณลักษณะเฉพาะของตนเองด้วย เชน่ หากตนเองเป็นคนท่อี ่อนไหว ไม่สามารถรับเรื่อง
กระทบกระเทือนใจ หรอื ความขัดแย้งท่เี กิดข้ึนได้ก็ไม่ควรใช้ภาวะผู้นาแบบอัตนิยมในการบรหิ าร เนื่องจากอาจ
ก่อให้เกิดความขัดแยง้ ระหว่างตนเองกับสมาชิกกลุ่มได้งา่ ย เปน็ ตน้
2.3.7 วุฒภิ าวะของผู้ตาม วุฒภิ าวะของผตู้ ามเปน็ อีกปจั จยั หนง่ึ ซ่ึงมีความสาคญั ในการกาหนด
วิธีการบรหิ ารงานของผนู้ า หากผู้ตามมีวฒุ ิภาวะสงู ผู้นาอาจมอบหมายความรับผิดชอบในการตดั สินใจและการ
ทางานใหผ้ ู้ตามไดท้ ้ังหมด ซึ่งตรงกันข้ามกบั ผู้ตามที่มีวุฒภิ าวะต่า ผู้นาย่อมไม่ควรมุ่งเนน้ ที่ผ้ตู าม แต่ต้องเน้นท่ีตวั
ผ้นู าเอง เพ่ือให้การทางานสามารถสาเรจ็ ตามวัตถุประสงค์ได้ โดยผูน้ าจะต้องกาหนดวิธกี ารทางานแล้วออกคาสั่ง
ใหผ้ ู้ตามปฏบิ ตั ิ แลว้ ตรวจติดตามผลอย่างใกลช้ ิด
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
93
คณุ ลกั ษณะของผนู้ า (Characteristics of Leader)
ผนู้ าเปน็ สว่ นหน่ึงของการบริหารหรือการจัดการ ผ้จู ดั การหรือผบู้ ริหารมีหน้าทว่ี างแผนและจดั ระเบียบ
ให้งานดาเนินไปไดด้ ว้ ยความเรียบร้อย แต่ผนู้ ามีหน้าทที่ าให้ผู้อ่ืนตามและการท่ีคนอน่ื ตามผู้นาก็ไมม่ ีใครรับรองว่า
ผูน้ าจะนาไปในทศิ ทางท่ีถูกต้องเสมอ ผู้นาที่เข้มแข็ง ก็อาจจะไม่ใชผ่ จู้ ัดการ หรือผู้บรหิ ารที่ดีได้ หรือผูบ้ รหิ าร
ผู้จัดการที่ดี ก็อาจไม่ใช่ผนู้ าที่ดกี ไ็ ด้ ดงั นั้นเป็นไปได้ องค์การใดท่ีต้องการประสบความสาเรจ็ ย่อมต้องการผบู้ ริหาร
หรอื ผู้จดั การท่ีมลี กั ษณะเป็นผู้นาดังน้ี
4.1 มีความฉลาด ผนู้ าต้องมรี ะดับความรูแ้ ละสติปญั ญาโดยเฉล่ียสงู กวา่ บุคคลท่ีใหเ้ ขาเป็นผู้นา เพราะ
ผนู้ าต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาตา่ ง ๆ บุคคลทีม่ ีความฉลาดเท่านั้นจงึ สามารถจดั การกับปัญหาต่าง
ๆ หรือเร่ืองราวต่าง ๆ ได้
4.2 มวี ฒุ ภิ าวะทางสังคมและใจกว้าง ผู้นาต้องมีความสนใจสงิ่ ตา่ ง ๆ รอบตวั
อยา่ งกวา้ งขวาง มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ตอ้ งยอมรับสภาพตา่ ง ๆ ไมว่ า่ แพห้ รอื ชนะ ไม่ว่าผดิ หวงั หรือสาเร็จ ผู้นา
ต้องมีความอดทนต่อความคบั ขอ้ งใจต่าง ๆ พยายามขจัดความรสู้ ึกต่อต้านสังคม หรือต่อต้านคนอน่ื ใหเ้ หลือน้อย
ทส่ี ุด เป็นคนมเี หตุผล มีความเชอื่ ม่นั ในตนเอง และนบั ถอื ตนเอง
4.3 มีแรงจูงใจภายใน ผูน้ าต้องมีแรงขับที่ทาอะไรให้เดน่ ใหส้ าเรจ็ อยู่เสมอ เม่ือทาสิ่งหนง่ึ สาเร็จก็
ตอ้ งการทาสิ่งอื่นต่อไป เมื่อทาสงิ่ ใดสาเรจ็ กลายเปน็ แรงจูงใจท้าทายให้ทาสง่ิ อน่ื ใหส้ าเร็จต่อไป ผู้นาต้องมีความ
รับผิดชอบอย่างสงู เพราะความรบั ผิดชอบเป็นบันไดทท่ี าให้เขามีโอกาสประสบความสาเรจ็
4.4 มีเจตคตทิ ่ีดีเก่ยี วกบั มนุษยสัมพนั ธ์ผนู้ าที่ประสบความสาเร็จน้นั เขายอมรับอยู่เสมอว่า งานท่สี าเร็จ
น้นั มีคนอ่ืนช่วยทา ไม่ใชท่ าด้วยตนเอง ดังน้ัน ผู้นาต้องพฒั นาความเข้าใจและทักษะทางสังคมในการทางาน
รว่ มกับผู้อน่ื ผู้นาต้องใหค้ วามนบั ถอื ผู้อ่ืนและจาตอ้ งระลึกอยเู่ สมอวา่ ความสาเร็จในการเป็นผูน้ าน้ัน ขึน้ อยู่กับ
ความรว่ มมือกับผู้อนื่ และการติดต่อกับบุคคลอน่ื ในฐานะที่เขาเปน็ บุคคล ไมใ่ ช่ในฐานะทเี่ ขาเปน็ ส่วนหน่ึงของการ
ทางานเท่าน้ัน ผู้นาต้องยอมรับศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ของคนอน่ื และมีความสนใจร่วมกับผู้อ่นื
4.5 มีความสามารถในการชักจูงใจผู้อื่น บุคคลจานวนมากเช่ือวา่ ความสามารถในการชักจงู ใจผู้อ่ืนซงึ่ เปน็
คณุ สมบตั ทิ จ่ี าเปน็ ทีส่ ุดในการเปน็ ผูน้ า
4.6 อุทศิ ตนให้แกเ่ ป้าหมายขององค์การ ในองค์การทุกประเภทมีงานยากลาบากซ่ึงต้องปฏบิ ัติใหส้ าเร็จ
เช่น การเพ่ิมยอดขาย การลดต้นทุน การได้ลูกค้ารายใหม่ หรือการขายหนุ้ เป็นตน้ การมปี ระสิทธภิ าพของผู้นา
ข้นึ อยู่กับว่าเขาผูกมัดต่อเป้าหมายทต่ี ้องการบรรลุอย่างไรเป็นสว่ นใหญ่ การอุทิศตนถกู แสดงใหเ้ หน็ โดยการทางาน
หนักด้วยตัวเอง
4.7 มคี วามสามารถในการปฏิบตั ติ นเปน็ ตัวอย่าง ผู้บรหิ ารต้องการให้บุคคลอ่นื ทางานอยา่ งเต็ม
ความสามารถ จึงต้องปฏิบัตติ นเป็นตวั อยา่ งโดยการทางานหนัก หรือผบู้ รหิ ารวางแผนรณรงค์ทางเศรษฐกิจ
ต้องการใชจ้ ่ายเงนิ อย่างประหยดั ผูบ้ ริหารท่ีมปี ระสิทธภิ าพทราบว่าบุคคลสังเกตพฤติกรรมของเขาและมักจะ
ประพฤติในลักษณะทคี่ ล้ายคลึงกนั
4.8 มีความเตม็ ใจรับความเสย่ี ง ผูส้ งั เกตการณค์ นหนง่ึ ให้ขอ้ คิดเหน็ ท่ีสมั พนั ธก์ ับความเส่ยี งและความ
เป็นผูน้ าว่า “ความแนว่ แน่ (ในการเปน็ ผนู้ า) คือความเตม็ ใจรับความเสยี่ ง” ความเสีย่ งคือโอกาสท่ีสูญเสีย ไดร้ ับ
บาดเจบ็ เสยี ผลประโยชน์หรือพา่ ยแพ้
4.9 มีความเต็มใจรับความรับผิดชอบอยา่ งเต็มท่ี ตามท่ีได้กลา่ วมาแล้วนนั้ ผู้บริหารไม่สามารถ
มอบหมายความรับผิดชอบทีม่ ีตอ่ กิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย อย่างไรก็ตามในทางปฏบิ ัติผบู้ ริหารท่ีไม่มี
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
94
ประสทิ ธภิ าพ มกั จะพยายามหลีกเลย่ี งความรับผดิ ชอบ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เม่ือเกิดความผดิ พลาด เชน่ ผูจ้ ดั การ
แผนกขายตาหนิพนักงานขายทีไ่ มส่ ามารถขายไดต้ ามโควตา เป็นตน้ ไม่ไดป้ ฏิบัติตวั เปน็ ผนู้ าทดี่ ี
4.10 มคี วามเต็มใจสนบั สนุนพนักงาน พนักงานนับถือผู้บรหิ ารท่ีมีความรับผิดชอบอยา่ งสงู เม่ือเกิด
ความผิดพลาดและนับถือผู้บริหารท่ีให้การยกย่องเมื่อความพยายามประสบความสาเรจ็ ในทางตรงกันข้าม
พนักงานไมน่ ับถือผูบ้ ริหารท่รี ับเอาการยกย่องและการสรรเสรญิ เป็นของตนเอง
ดังน้ันผ้นู า ซึ่งหมายความถึงบุคคลที่ไดร้ ับการแต่งต้ังขน้ึ มาหรือไดร้ ับการยกย่องข้นึ ให้เปน็ หัวหนา้ ผู้
ตัดสินใจ เพราะมีความสามารถปกครองบังคับบัญชาและพาผตู้ ามหรือผ้ใู ตบ้ ังคับบัญชา ไปในทางดหี รือช่ัวได้ โดย
ใช้ระบบกระบวนการติดต่อซ่ึงกันและกนั ในอันที่จะให้บรรลเุ ปา้ หมาย และความสามารถชักจูงผู้อ่นื ให้ความร่วมมือ
รว่ มใจกบั ตน ดาเนินการไปสู่จดุ มุ่งหมายของตนได้ ดังนน้ั การเป็นผูน้ าจึงเป็นศิลปะของการมอี ิทธิพลเหนือคนและ
นาคนแตล่ ะคนไปโดยที่คนเหลา่ นั้นมี ความเช่ืออยา่ งเต็มใจ มีความมั่นใจในตัวผ้นู า มีความเคารพนับถือและให้
ความรว่ มมือกับผนู้ าดว้ ยความจริงใจ เพ่ือได้ปฏบิ ัติภารกิจให้ลุลว่ งไปดว้ ยดี ภาวะผนู้ านั้น ย่อมเป็นปัจจัยสาคญั ย่ิง
ในการบริหารงาน และเปน็ จุดรวมพลังของทุกคนในองค์การ ฉะน้ัน ผูน้ าย่อมเป็นหลักทม่ี ีความสาคัญยงิ่ ในการ
บรหิ ารงาน ต่อผู้ใตบ้ ังคับบัญชา และต่อผลงานอันเป็นสว่ นรวม คุณภาพและคุณลักษณะของผู้นาย่อมมผี ลสะท้อน
ต่อวธิ ปี ฏิบตั งิ านและผลงานขององค์การเป็นอย่างมาก
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั