95
บทที่ 9
ภาวะผนู้ าของนักบริหารจัดการ
บทบาทและหน้าทีข่ องผนู้ า (Role of leader)
ผนู้ า่ มีบทบาทและหนา้ ท่ตี ่าง ๆ อย่างมากมาย ต้ังแต่งานบริหารจัดการในระดับต่าไปจนถึงขน้ั สูงสดุ ใน
องค์การ ผนู้ ่าในแตล่ ะแบบก็จะมบี ทบาทและหน้าท่ีแตกตา่ งกนั ไป อย่างไรก็ตามบทบาทและหน้าทข่ี องผู้นา่ ทกุ
แบบ จะมีบางประการทสี่ อดคล้องกนั ดังนี้
3.1 ผนู้ าในฐานะผู้บรหิ าร บทบาทท่เี หน็ ได้ชดั เจนทส่ี ุดของผนู้ ่า คือ บทบาทในฐานะเปน็ ผ้บู รหิ าร
ซึง่ ประสานงานระหว่างกล่มุ ต่างๆ ในองค์การ หรือฐานะผู้ประสานงานภายในกล่มุ ท่ีตนเป็นผู้บรหิ าร ผู้นา่
ประเภทนีช้ ่วยใหง้ านของผรู้ ว่ มงานดา่ เนินไปดว้ ยดี ผูน้ า่ อยู่ในฐานะเป็นผูค้ วบคุมนโยบายและกา่ หนด
วตั ถุประสงค์ของกล่มุ และรบั ผดิ ชอบคอยติดตามให้มีการปฏบิ ัตติ ามนโยบายและวตั ถุประสงคข์ องกลุม่ โดย
ครบถว้ นถกู ต้อง
3.2 ผ้นู าในฐานะผู้วางแผน โดยปกติผนู้ า่ มักท่าหนา้ ท่วี างแผนการปฏบิ ตั ิงานทุกชนิด เปน็ ผ้ตู ัดสนิ ใจ
ให้กบั ผรู้ ว่ มงานวา่ ควรนา่ วธิ กี ารอะไรมาใชแ้ ละท่าอย่างไรงานจึงจะบรรลุผลตามท่ตี ้องการ ผนู้ า่ มกั ทา่ หนา้ ท่ี
เป็นผูด้ ูแลด้วยว่ามีการปฏบิ ตั ิตามแผนที่วางไว้หรือไม่ ในลกั ษณะเชน่ นผ้ี นู้ า่ จะเป็นผเู้ ดยี วทีท่ ราบแผนการ
ดา่ เนินงานท้งั หมด บุคคลอื่นในองค์การจะทราบเฉพาะเรอื่ งท่ตี นไดร้ ับมอบหมายเท่านน้ั
3.3 ผู้นาในฐานะผูก้ าหนดนโยบาย บทบาททส่ี า่ คญั อย่างหนง่ึ ของผนู้ า่ คอื การกา่ หนดเปา้ หมาย
หรือวัตถปุ ระสงคข์ องกลุ่มและการวางแผนนโยบายเพือ่ ให้บรรลุตามเปา้ หมาย แหล่งท่ีมาของนโยบายอาจมา
จากสามแหลง่ คือ มาจากเบือ้ งบน หรอื เจา้ นายท่ีมีตา่ แหนง่ สูงกวา่ ผู้น่า มาจากเบื้องล่างโดยการแนะน่า หรอื มติ
ของผใู้ ต้บังคับบัญชาและมาจากผู้นา่ กลุ่มเอง
3.4 ผูน้ าในฐานะผู้ชานาญการ ผู้ใต้บังคบั บัญชาสว่ นมากหวังพงึ่ ผนู้ ่า เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกบั ความรู้
ความชา่ นาญในการปฏิบัตงิ าน ผูน้ ่าจะทา่ หนา้ ท่ีคล้ายกับผชู้ ่านาญการในงานด้านนั้นๆ แตค่ วามจรงิ แลว้ ผู้นา่
ไมไ่ ดม้ ีความรอบรู้อยา่ งละเอยี ดในทุกเร่ือง ผ้นู า่ จงึ ต้องอาศยั ผู้ช่วยและท่ีปรึกษาคอยท่าหนา้ ทใ่ี ห้ค่าแนะน่า
ทางดา้ นเทคนิคในองค์การนอกแบบ หรอื องคก์ ารอุปนัย บุคลากรที่มีความรูค้ วามชา่ นาญในสายวชิ าชีพมักจะมี
ผูอ้ ่นื มาหาเพื่อปรึกษา หรือขอคา่ แนะน่าชว่ ยเหลอื อยู่เสมอ โดยเปน็ การขอความช่วยเหลอื สว่ นตวั บคุ ลากรผู้
น้ันจงึ กลายเปน็ ผู้นา่ อยา่ งไม่เป็นทางการขององค์การนัน้
3.5 ผนู้ าในฐานะตัวแทนของกลุ่มเพ่ือติดต่อกบั ภายนอก เนือ่ งจากสมาชิกของกลุม่ หรือองคก์ าร
ใดไมส่ ามารถ จะทา่ การตดิ ต่อกับองค์การภายนอกโดยตรงได้ทกุ คน ผนู้ ่าท่ีมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ของกลุ่ม
จึงไดร้ ับเลือกให้คอยท่าหน้าท่ีตดิ ต่อองค์การภายนอกแทน ทา่ ใหก้ ลายเปน็ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของกล่มุ ไม่
เพยี งแตจ่ ะมหี น้าที่เปน็ ตัวแทนกลุ่มติดต่อกบั บุคคลภายนอกเทา่ นั้น เมอื่ บุคคลภายนอกมาติดตอ่ กับกลุ่มก็ต้อง
ผ่านผ้นู า่ ดงั กล่าวเสยี กอ่ น ผนู้ า่ ประเภทน้กี ลายเป็นตวั แทนของกลุ่ม หรอื องค์การมีหนา้ ที่เจรจากับ
บุคคลภายนอกทม่ี าติดต่อกับองค์การโดยปรยิ าย
3.6 ผูน้ าในฐานะผู้ควบคมุ ความสัมพนั ธภ์ ายในกลมุ่ ผู้นา่ มกั ทา่ หนา้ ทคี่ วบคุมดแู ลเรอ่ื งตา่ ง ๆ
ภายในกลมุ่ โดยเฉพาะเร่ืองสา่ คัญก็คือ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างบุคลากรที่เป็นสมาชกิ ของกล่มุ ในบางกลุม่ ไมว่ า่
จะเกิดเร่ืองอะไรขึ้นกต็ าม สมาชกิ ในกลุ่มก็ต้องเจรจาผา่ นผูน้ า่ ของตน ซึ่งผนู้ ่าจะด่าเนินการตอ่ ให้หรอื ไมน่ ัน้ ก็
แลว้ แตผ่ ูน้ ่า ผู้น่ากลุ่มบางคนอาจไมค่ ่อยสนใจเอาใจใส่สมาชกิ หรอื เอาใจใสเ่ ฉพาะบางคน ทงั้ น้แี ลว้ แต่
คณุ ลักษณะของผ้นู ่าแตล่ ะคน
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
96
3.7 ผ้นู าในฐานะผู้ใหค้ ุณและโทษ บุคลากรท่ีมสี ว่ นเก่ยี วขอ้ งกับการเสนอให้คุณและโทษแก่บุคลากร
อน่ื หรอื มอี ่านาจให้คุณใหโ้ ทษจะกลายเป็นผู้มีอา่ นาจสา่ คัญและกลายเป็นผู้นา่ ในท่สี ุด คุณและโทษที่ว่าน้ีอาจ
เปน็ การข้นึ เงนิ เดือน หรอื การมอบหมายงานใหม้ ากบา้ งน้อยบ้าง หรือใหง้ านที่ยาก ๆ หรืองา่ ย ๆ ท่ากไ็ ด้ท้งั นัน้
3.8 ผ้นู าในฐานะผ้ไู กล่เกล่ีย เมื่อมีความขัดแย้งใด ๆ เกิดข้ึน บุคลากรคนใดมีความสามารถในการท่าให้
ความขัดแย้งหายไป หรือสามารถทา่ ใหฝ้ า่ ยที่ขดั แย้งเขา้ ใจกันได้ บคุ ลากรผู้นั้นจะกลายเป็นผนู้ ่าในเวลาต่อมา
3.9 ผูน้ าในฐานะทเี่ ปน็ บคุ คลตวั อย่าง บคุ ลากรที่มคี วามประพฤตดิ ี หรือปฏิบตั ิงานดจี นไดร้ ับยกย่องอยู่
เสมอวา่ เปน็ ตวั อยา่ งท่ดี ีขององคก์ ารมักจะกลายเป็นผู้นา่ ของบุคลากรอ่นื ๆ ไดโ้ ดยงา่ ย เพราะเป็นบุคคลที่ไดร้ ับการ
นบั ถือจากบุคลากรคนสา่ คญั ขององค์การ
3.10 ผู้นาในฐานะสัญลักษณ์ของกลุ่ม ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดยี วกัน มคี วามสา่ คัญอยา่ งยิ่งใน
การอยู่รว่ มกนั แต่การอยู่รวมกันเปน็ จา่ นวนมากจะให้ทกุ คนมคี วามสามัคคีกนั เปน็ เร่ืองท่ีทา่ ได้ยาก ดงั นั้นใน
กลุ่มจึงมักมีบุคคลท่ีสมาชกิ ในกลมุ่ ยกย่องว่าเป็นคนดีหาทตี่ ิไม่ได้ สมาชิกในกลุ่มมีความรู้สึกท่ดี ตี ่อเขาเสมอไม่ว่า
ในโอกาสใดและเขาจะดีดว้ ยกับทุก ๆ คน ขณะเดียวกันบุคคลนี้รกั และยึดกลมุ่ เปน็ สรณะของตนอย่างทีส่ ุด ดว้ ยทุก
คนแนใ่ จวา่ เขาไม่มีทางกระท่าการอนั ใด อันเป็นภัยต่อกลมุ่ โดยเด็ดขาด บุคคลนี้จึงกลายเปน็ สญั ลกั ษณ์ของกลุ่ม
เปน็ ผูน้ ่าท่านองเดียวกับประมุขของประเทศ คือ พระมหากษัตรยิ ์ ซ่งึ กลายเป็นผนู้ า่ ของประเทศ อ่านาจที่ผู้นา่
เหล่าน้มี ีจึงสงู สุดเหนอื จติ ใจคนภายในกลุม่
3.11 ผ้นู าในฐานะตัวแทนรบั ผิดชอบ กลุ่มคนบางกล่มุ องค์การ หรือหน่วยงานบางแห่งมีผูน้ ่าคนหนึ่ง
หรอื หลายคนอาสาเข้ารบั ผิดชอบต่อการตัดสนิ ใจและต่อการกระท่าบางอย่างของบุคคลบางกล่มุ หรือรบั ผดิ ชอบ
ตอ่ กจิ การท้งั หมดท่ีคนกลมุ่ น้ันกระท่าลงไป ด้วยเหตุนี้บางทีในโอกาสต่อมาบคุ ลากรในกลุม่ จะมอบหมายใหผ้ ู้น่ามี
อ่านาจตัดสินใจกระท่าการใด ๆ แทนตนได้ เพื่อป้องกันความผดิ พลาดซึง่ อาจเป็นผลท่าใหผ้ นู้ า่ ของตนต้องอยใู่ น
ฐานะตัวแทนผ้รู บั ผดิ ชอบด้วย
3.12 ผนู้ าในฐานะผู้มอี ุดมคติ ผ้นู ่าบางคนมีความสามารถในการสร้างอุดมคติความเชื่อถือและความ
ศรัทธาตา่ งๆ แกบ่ ุคคลอ่ืน ตลอดจนการสรา้ งคุณธรรมประจ่าใจและขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ของกลุ่ม อุดม
คตดิ ังกล่าวในตอนแรกอาจเป็นคา่ พูดของเขาที่ทุกคนพากันนิยมและปฏิบัตติ าม ต่อมาจงึ กลายเปน็ อุดมคติอย่าง
เป็นทางการของกลุ่ม ผนู้ า่ ประเภทนม้ี ักจะเป็นนักพดู และนักคิดทสี่ มาชิกในกลมุ่ ใหค้ วามเชื่อถือ
3.13 ผูน้ าในฐานะบิดามารดาผ้มู คี วามกรณุ า ผ้นู า่ ประเภทนีว้ างตัวเป็นผู้ใหญม่ ีอาวุโสทีส่ ดุ ในกลุ่ม
และมีบคุ ลิกลักษณะน่านบั ถือในฐานะเปน็ บดิ า มารดาของกลมุ่ ซ่งึ จะว่ากล่าวใครกต็ ามผู้ท่ี วา่ กลา่ วนน้ั ไม่รู้สึก
โกรธ เพราะทกุ คนทราบกนั ดวี ่าเปน็ การวา่ กลา่ วดว้ ยความหวงั ดีเสมอและผู้น่าประเภทนีจ้ ะเปน็ ที่พงึ่ ทางใจแก่
สมาชกิ ทุกคนเมื่อมคี วามทกุ ข์ไดเ้ สมอ
3.14 ผนู้ าในฐานะเป็นผ้รู ับผิดแทน ผู้น่าท่ีรับผดิ ชอบและเป็นบิดาของกล่มุ ทุกคนย่อมมีความหวัง
เมื่อใดมคี วามเสยี หายเกิดขน้ึ ตนเองจะต้องรบั เป็นผ้ถู ูกลงโทษแทนสมาชิกในกลมุ่ บุคลากรในกลุ่มทกุ คนทุก
ประเภทตา่ งกไ็ ม่ชอบรบั ผดิ เมือ่ มีความผดิ เกิดข้ึนโยนความรบั ผดิ ชอบไปให้สมาชกิ คนอืน่ ผู้ที่ถกู ปดั ความ
รับผดิ ชอบให้ก็อาจกลายเป็นผูน้ ่าข้ึนมาในภายหลังไดเ้ หมอื นกนั เพราะเม่อื เหตุการณ์รา้ ย ๆ นน้ั ผา่ นไป สมาชิก
ในกลุ่มเกิดเหน็ อกเห็นใจทีเ่ ขาเคยได้รับเคราะห์กรรมแทนพวกตนแต่เพียงผเู้ ดยี ว
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
97
อานาจของผู้นา(The power of the leader)
อ่านาจเปน็ เคร่ืองมือทส่ี ่าคญั ประการหน่ึงท่ีผ้บู รหิ ารสามารถใชเ้ พื่อน่าองค์การไปสู่ทศิ ทางที่ตนต้องการ
อย่างไรกต็ ามผบู้ ริหารแต่ละคนมอี ่านาจแตกตา่ งกันไป ผู้บริหารบางคนอาจมอี ่านาจครบทุกประเภท ขณะท่ี
ผ้บู ริหารบางคนอาจมีอ่านาจเพยี งบางประเภทเท่านน้ั
การใช้อ่านาจแตล่ ะประเภทก็ยังสง่ ผลแตกต่างกันไป อ่านาจบางประเภทท่าให้สมาชิกยนิ ยอมพร้อมใจ
ปฏิบตั ติ าม ขณะท่ีอา่ นาจบางประเภทอาจท่าให้สมาชกิ ต่อต้าน ผบู้ รหิ ารจา่ เป็นต้องตระหนักว่าตนเองมีอ่านาจ
ประเภทใดอยู่ในตนเองบ้างและตนเองควรใชอ้ ่านาจประเภทใดในการบริหารจัดการองค์การ การแบง่ ประเภทของ
อา่ นาจ สามารถแบง่ ตามแหล่งที่มาได้ดงั น้ี
2.1 อานาจโดยธรรม เป็นอา่ นาจซ่ึงผู้บรหิ ารได้รับมาพร้อมกบั ต่าแหน่งและหนา้ ที่ขององคก์ าร
อา่ นาจประเภทนี้โดยปกติแลว้ มลี กั ษณะเปน็ ทางการ หรือถือปฏิบัตติ ่อเนื่องในองค์การจนเป็นธรรมเนียมปฏบิ ัติ แม้
จะมีการระบเุ ปน็ ลายลักษณอ์ ักษรหรอื ไม่กต็ าม ตัวอย่างเช่น ผูบ้ รหิ ารยอ่ มมอี ่านาจในการสั่งการหรือมอบหมายงาน
ให้ลกู น้องน่าไปปฏิบตั ิ เป็นตน้
2.2 อานาจในการใหร้ างวลั เปน็ อ่านาจซึ่งผ้บู รหิ ารมอบสง่ิ ท่ีมีคณุ คา่ ให้กบั บคุ คลในองค์การ
โดยทวั่ ไปรางวัลหรือส่ิงที่มคี ุณคา่ ซ่ึงให้กันมักเป็นการเพิ่มเงนิ เดือน การให้เงินโบนสั การเล่ือนต่าแหนง่ เป็นตน้ จะ
เห็นไดว้ า่ ผูม้ ีอา่ นาจโดยธรรม มักมีอ่านาจในการให้รางวัลโดยปริยาย เนื่องจากสามารถใช้อ่านาจโดยธรรมของตน
ให้รางวัลผู้อ่นื อย่างไรก็ตามผู้ที่สามารถมอบส่งิ ท่ีมีคุณค่าให้กบั ผอู้ ื่นก็อาจกลายเปน็ ผมู้ ีอ่านาจเชน่ น้ีได้ อาทิ เศรษฐี
ทบี่ ริจาคทานชว่ ยเหลือสงั คมโดยทวั่ ไป หรือใชเ้ งนิ ชว่ ยเหลือผูท้ ตี่ กทุกข์ได้ยาก ย่อมเป็นการสร้างอ่านาจชนดิ ท่ีเกิด
ขนึ้ กับตัวเอง เป็นตน้
2.3 อานาจในการให้โทษเป็นอานาจในการลงโทษบุคคลในองคก์ าร อ่านาจในการให้โทษน้ีคอื การวา่
กล่าวตักเตือน การพักงาน การไล่ออก การย้ายออกจากต่าแหน่งหน้าทท่ี ี่พึงประสงค์ การลด หรอื งดเงินโบนัส เป็น
ต้น โดยปกตแิ ล้วผู้ที่มีอ่านาจโดยธรรมขององค์การกจ็ ะมีอ่านาจในการใหโ้ ทษเชน่ กัน
2.4 อานาจจากการชื่นชมเป็นอานาจซ่ึงบุคคลไดร้ บั จากการเป็นท่ชี ่นื ชม หรือเป็นท่ีรัก ผู้มีอา่ นาจ
ประเภทน้ีหากพดู หรอื ท่าอะไรต่อบุคคลอ่ืนมักจะได้รบั การยอมรบั นับถือ หรือปฏิบตั ติ ามอย่าง อาทิ ดารานักร้อง
มกั มีอ่านาจประเภทน้ตี ่อวัยรุ่น หรือบุคคลในสังคมซง่ึ เพียรปฏบิ ตั คิ วามดีจนเป็นทป่ี ระจักษ์ก็จะมีอ่านาจประเภทน้ี
ตอ่ ประชาชนโดยทว่ั ไป
2.5 อานาจจากความเช่ียวชาญ เป็นอ่านาจซ่ึงบุคคลได้รับจากความเชี่ยวชาญหรือความรู้
ความสามารถเฉพาะด้านของตน จึงทา่ ใหเ้ ปน็ ท่ียอมรบั อาทิ คุณบณั ฑิต อึง้ รังสี ผชู้ นะเลิศการประกวดวาทยกรระดบั
โลกจากสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากสังคมไทยอย่างสูง อันเนื่องมาจากความสามารถทางดนตรีของ
ตนเองและยอ่ มจะเปน็ ตวั อยา่ งแก่คนไทยในการเรยี นรูท้ างดนตรีต่อไป
2.6 อานาจจากข้อมูลข่าวสาร เป็นอ่านาจซ่ึงบุคคลได้รับจากการเข้าถึงแหล่งข้อมูล หรือจากการ
ควบคุมการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสาร บุคคลซ่ึงสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลท่ีบุคคลอื่นพึงประสงค์จะได้ข้อมูล
นัน้ ๆ หรือสามารถควบคุมการแพร่กระจายข้อมลู ข่าวสารซ่ึงเป็นท่ีสนใจของบุคคลอื่น กย็ อ่ มจะเปน็ ผู้มีอา่ นาจหรือมี
อิทธิพลเหนือบุคคลอื่นๆ อาทิ บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ ซึ่งท่าหน้าท่ีเป็นผู้เลือกข่าวจากผู้สื่อข่าวเพ่ือน่าเสนอ
ลงในหนังสือพิมพ์ มักจะได้ความเกรงใจจากข้าราชการการเมืองเป็นอย่างสูง เน่ืองจากข้าราชการการเมือง
จา่ เป็นตอ้ งน่าเสนอข้อมูลและผลงานของตนเองออกสู่ประชาชน เป็นต้น
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
98
ผู้บรหิ ารแต่ละคนอาจพบว่า ตนเองมีอา่ นาจตามท่ีกล่าวมาข้างต้นหลายประเภท แต่ผู้บริหารที่ดีควร
เลือกใช้อา่ นาจแต่ละประเภทให้ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ เน่ืองจากอ่านาจแตล่ ะประเภทจะท่าให้
ผู้ใตบ้ ังคบั บัญชามีพฤติกรรมและการแสดงออกต่ออ่านาจแต่ละประเภททใี่ ชแ้ ตกต่างกัน ดงั ตารางที่ 5.31
ภาวะผู้นาของนกั บริหารจดั การเชิงพุทธ
ภาวะผู้น่าเป็นส่ิงส่าคัญย่ิงสาหรับผู้น่าในการที่จะบริหารองค์การต่างๆ เพราะผู้น่าต้อง อาศัยภาวะ
ผู้น่าเป็นปัจจัยขับเคล่ือนในการพัฒนาองค์การน้ันๆ และในขณะเดียวกันผู้น่าควรเป็นผู้ท่ีมี หลักธรรมในการ
บริหารชมุ ชนหรือองค์การให้มีความสขุ ไม่ใหเ้ กิดความขัดแย้ง และเปน็ ผู้ท่สี ามารถ ไกลเกลี่ยข้อพพิ าทที่เกิดข้ึน
ได้คุณลักษณะของบุคคลที่มีภาวะผู้น่าจะต้องมีคือ คุณลักษณะภายนอก คุณลักษณะภายใน และมีความ
แตกต่างจากบุคคลอ่ืน มีความสามารถท่าให้ผู้อื่นคล้อยตาม เคารพเชื่อ ฟัง และพร้อมท่ีจะให้ความร่วมมือใน
การปฏิบตั ิงานมีรปู แบบ โดยใช้วิธีการบริหารท่สี อดคล้องกบั หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาท่ีถือวา่ หลักธรรมที่
สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบเป็นหลัก ปฏิบัติที่สามารถนา่ มาใช้พฒั นาภาวะผู้น่าได้เป็นอย่างดีดังน้ัน
ผู้น่าทางพระพุทธศาสนาควรเป็นผู้รู้จัก และควรประยุกต์ใช้หลักธรรมต่างๆ ท่ีเก่ียวกับผู้ปกครองหรือผู้น่าท่ี
ปรากฏในพระไตรปิฎก รวมท้ัง ควรมีความอดทนอดกล้ันมีจิตใจหนักแน่นม่ันคง เป็นผู้น่าท่ีเน้นคุณธรรม
จริยธรรม ศีลธรรม ความ ซ่ือสัตย์ มีความละอายแก่ใจตนเอง โดยไม่ท่าความช่ัวและเกรงกลัวผลของความชั่ว
1 https://sites.google.com/site/aunripreya456/3-xanac-khxng-phuna ดร.ปรธภร ปุระกัน
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration
99
ยอมรับฟังความ คิดเห็นของคนอื่น โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์สุขแก่ปวงชนหรือหมู่คณะ เป็นผู้เสียสละเพ่ือ
ประโยชน์ ส่วนรวม
ผู้นา่ เปน็ บุคคลทสี่ า่ คัญขององคก์ รทุกองคก์ ร ไม่วา่ จะเปน็ องคก์ รภาครฐั หรือองคก์ ร ภาคเอกชน เป็น
บุคคลทจ่ี ะนา่ พาองคก์ รไปส่เู ปา้ หมายท่ตี ง้ั ไว้ หรือเป็นผู้ที่จะน่าพาองคก์ รให้ผ่านพน้ วิกฤตกิ ารณ์ต่าง ๆ ที่สง่ ผล
กระทบต่อองค์กร ทผี่ ่านมามีผศู้ ึกษาภาวะผู้นา่ ไวใ้ นหลาย ๆ ด้าน ไมว่ า่ จะ เป็น ประเภทของผู้น่า ภาวะผนู้ ่า
คุณลักษณะของผู้น่า ในบทความวชิ าการนม้ี งุ่ ศึกษาเฉพาะด้าน คณุ ลักษณะภาวะผู้น่าเชิงพุทธ ในดา้ น
คุณลักษณะภาวะผู้นา่ ในองค์กร ความหมาย องค์ประกอบ บทบาท และคณุ ลกั ษณะภาวะผ้นู ่าเชงิ พทุ ธ
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ได้กล่าวถงึ ภาวะผนู้ า่ ไวใ้ นหนังสอื เรื่อง ภาวะผนู้ ่า :ความสา่ คัญต่อการ
พฒั นาคน พัฒนาประเทศสรุปว่า ภาวะผูน้ ่า กค็ อื คุณสมบัติ เช่น สตปิ ญั ญาความดงี าม ความรู้ ความสามารถ
ของบุคคล ที่ชักน่าให้คนทั้งหลายมาประสานกันและพากนั ไปสูจ่ ุดหมายท่ดี ีงามและกล่าวถึงลกั ษณะผ้นู า่ ไว้ ๓
ข้อ คือ มองกวา้ ง คิดไกล และใฝ่สงู
คณุ ลักษณะภาวะผนู้ าเชิงพุทธ
ลกั ษณะของผนู้ า่ ตามหลักพระพุทธศาสนา หรอื หลักพุทธธรรมไดอ้ าศัยธรรมเปน็ หลกั การสา่ คัญใน
การปกครองดูแล และบริหารจดั การกิจการงานทุกอย่างใหบ้ รรลผุ ลส่าเรจ็ ตาม เปา้ หมาย โดยมงุ่ ใหเ้ กิด
ประโยชนส์ ุขแกห่ มู่คณะ มวลชน สังคมและประเทศชาติอยา่ งม่ันคง ยง่ั ยนื ตลอดไป ผ้นู ่านน้ั มคี วามสา่ คัญตอ่
ความเปน็ อยู่ของสมาชกิ ในกลมุ่ หากผู้น่าเปน็ ผ้รู ู้เหตุ รผู้ ล หรือรู้ จดุ มุง่ หมาย จะท่าอะไรตอ้ งมีแผนการ หรือ
เปา้ หมาย ยอ่ มจะท่าใหห้ มคู่ ณะดา่ เนนิ ไปไดโ้ ดยสวสั ดิภาพ การวางแผนงานได้กอ่ นแลว้ เดินตามล่าดับของงาน
ผลก็คอื จะไมม่ ีข้อผิดพลาดไมต่ ดิ ขัดในการ ท่างาน หรอื ในการท่างานเป็นคณะ ทุกคนร่วมมอื กันอยา่ งพร้อม
เพรยี ง งานกจ็ ะประสบกบั ความส่าเรจ็ ได้ผลดีมีประสทิ ธภิ าพ ผู้น่าเกดิ ความสบายใจที่มสี ่วนชว่ ยใหง้ าน
สว่ นรวมประสบ ผลส่าเรจ็ พระพทุ ธศาสนา ใหค้ วามส่าคัญเก่ยี วกับลักษณะของผู้นา่ ไม่น้อย โดยมีค่าสอนที่พูด
ถึง ลักษณะคอื เคร่ืองหมาย หรอื สง่ิ ทชี่ ใี้ ห้เหน็ ถงึ ลักษณะความเปน็ ผนู้ า่ ในทางพระพุทธศาสนา ตามที่ ปรากฏใน
สงั ฆโสภณสูตร จตกุ นบิ าต พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงถงึ ลกั ษณะของผนู้ า่ ไว้ดังมีข้อความ วา่
“ในธรรมวนิ ยั นี้ 1. ภกิ ษผุ เู้ ฉยี บแหลม ได้รับคา่ แนะน่าดแี กลว้ กล้า เป็นพหูสตู ทรงธรรม ปฏิบตั ธิ รรม
สมควรแก่ธรรม ย่อมทา่ หมูใ่ ห้งาม 2.ภกิ ษุณฯี ลฯ 3.อบุ าสก ฯลฯ 4. อบุ าสกิ าผเู้ ฉียบ แหลม ไดร้ บั ค่าแนะน่าดี
แกลว้ กลา้ เปน็ พหูสูต ทรงธรรม ปฏิบตั ธิ รรมสมควรแก่ธรรม ย่อมทา่ หมใู่ ห้ งาม ภิกษทุ ้งั หลาย บคุ คล 4 จา่ พวก
น้ีแลผเู้ ฉยี บแหลม ไดร้ บั ค่าแนะนา่ ดีแกลว้ กลา้ เป็นพหูสตู ทรง ธรรม ปฏิบตั ิธรรมสมควรแก่ธรรม ยอ่ มท่าหมู่ให้
งาม”
ในพระสูตรน้ีพระพทุ ธองค์ทรงแสดง ลักษณะของผู้นา่ ในทางพระพทุ ธศาสนาว่า ผู้นา่ ต้องเป็นผทู้ ี่ มี
ลกั ษณะ 5 ประการ คือ
1) เปน็ ผูม้ ีปญั ญาเฉียบแหลม
2) เป็นผู้ท่ไี ดร้ บั คา่ แนะน่าดี รวมถงึ เป็นผูม้ ีระเบียบวนิ ัยดีดว้ ย
3) เป็นผแู้ กลว้ กลา้
4) เปน็ พหสู ตู ร
5) ทรงธรรม ปฏิบตั ธิ รรมสมควรแกธ่ รรม รกั ษาความถูกตอ้ งในสงิ่ ทถี่ ูกท่คี วรอย่างเหมาะสม
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
100
หลกั พุทธธรรมท่ีเก่ียวข้องกับคณุ ลักษณะภาวะผ้นู า
หลักธรรมของผู้น่าเป็นแนวทางหน่งึ ทส่ี ามารถน่ามาแก้ปญั หาจรยิ าธรรมของผนู้ ่า เนือ่ งจากเปน็ หลกั ท่ี
ท่าใหเ้ กดิ การพฒั นาท่ีดีแก่ผ้นู ่าผปู้ กครองและผ้บู ริหารบา้ นเมอื งระดบั ต่าง ๆ ซ่งึ ผนู้ า่ ท่ีจะประสบความสา่ เร็จได้
น้นั ต้องมีหลกั ธรรมในการเป็นผู้นา่ และคณุ สมบัตขิ องผนู้ า่ ท่ีดีนนั้ หมายถึง ความเป็นผมู้ ีศกั ยภาพในตัวเองท้งั
ทางร่างกาย จิตใจ ความรู้และความสามารถ พร้อมท่ีจะ ปฏิบตั ิหน้าท่ีของตนอย่างชาญฉลาดและประสบ
ความสา่ เร็จตามวัตถุประสงค์ตามทีไ่ ด้วางเปา้ หมาย เอาไว้อย่างมปี ระสิทธิภาพและประสิทธิผล
พระพทุ ธศาสนาได้กลา่ วถึงหลกั ธรรมส่าคัญในการเปน็ ผ้นู า่ ไวห้ ลายหลักธรรมด้วยกัน เช่น
ทศพธิ ราชธรรม พรหมวิหาร 4 ธรรมาธปิ ไตย ราชสังคหวตั ถุ4 และสปั ปรุ สิ ธรรม 7 เป็นตน้ ซง่ึ หลักธรรม
ดงั กลา่ วถอื เป็นการสรา้ งเสริมภาวะผู้นา่ ใหเ้ ปน็ ผ้นู ่าทม่ี ีคุณธรรมจริยธรรมในการบรหิ าร จัดการทงั้ สน้ิ
ภาวะผนู้ ่าตามหลกั พุทธธรรมไดอ้ าศัย ธรรม เป็นปจั จยั ส่าคัญในการบรหิ ารจดั การ กจิ การงานทกุ อยา่ ง
ให้บรรลุผลสา่ เร็จตามเปา้ หมายที่ตั้งไวเ้ พอื่ ประโยชนส์ ขุ แห่งหมู่คณะองค์กร สงั คมอยา่ งมั่นคง และย่ังยืน
ตลอดไป การทพ่ี ระพุทธศาสนาเน้นคุณธรรมเป็นสา่ คัญเพราะถือว่าเมอ่ื ผู้มีคณุ ธรรมแลว้ ประชาชนยอ่ มอยู่เป็น
สขุ คุณธรรมของการเป็นผู้น่านน้ั เป็นหลกั ของการบริการที่ดีเรยี กวา่ ธรรมาธปิ ไตย หมายถึง การบริหารโดยถงึ
ธรรมเปน็ ใหญ่ กล่าวคือ ยดึ หลักบรรทัดฐาน หลักการและ คณุ ธรรม เป็นแนวทางในการบริหาร และการบรหิ าร
นั้นต้องใช้ทัง้ พระเดชและพระคณุ หรือใช้อ่านาจ และคณุ ธรรมซ่งึ จะทา่ ให้ไดท้ ั้งน้่าใจและผลของงาน
ในหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ได้กล่าวถึง ภาวะผู้นา่ มีลกั ษณะใชท้ ง้ั พระเดชและ พระคุณ ติเตียน
หรือชผ้ี ดิ ถกู ท่ีควรติหรือชีข้ ้อผดิ ขอ้ ถูกซึง่ หลักธรรมตา่ ง ๆ ทางพระพุทธศาสนา ที่ ปรากฏในพระพุทธศาสนา
ผนู้ า่ สามารถน่าไปประยกุ ต์ใช้ใหเ้ หมาะสมกบั ยุคปจั จบุ ันไดเ้ ป็นอย่างดี โดยใชค้ วบคู่กับกฎหมายรัฐธรรมนญู
และระเบยี บขอ้ บงั คับของแต่ละสังคมองค์กรหรอื หน่วยงานน้ัน ๆ เพอ่ื ใหง้ านบริหารลุล่วงไปด้วยดีและมี
ประสทิ ธิภาพ มีดังน้ี
1) หลกั ทุติยปาปณกิ สูตร จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่เก่ยี วกบั หลกั ทตุ ิยปาปณิกสูตรที่ปรากฏใน
พระไตรปิฎกซง่ึ เป็นคมั ภีรท์ างพทุ ธศาสนานน้ั ซง่ึ ในหลักธรรมดงั กลา่ วท่ีได้กล่าวถึง หลักธรรมของการบริหาร
จัดการ ไว้ อย่างน่าสนใจ ซ่ึงได้มนี ักวิชาการท้งั ทางพทุ ธหรอื กระท้งั นักวิชาการทีไ่ ด้ศึกษาเก่ยี วกบั การบริหาร
จดั การทว่ั ไปไดน้ ่าหลักดังกลา่ วไปใชห้ รือมีส่วนรว่ มของหลักธรรมดงั กล่าวน้ไี ปใช้ในการบริหาร จัดการดังกล่าว
หลกั การบริหารน้ีได้ปรากฏในพระสตุ ตนั ตปิฎก อังคตุ ตรนิกาย ติกนบิ าตร ปฐม ปัณณาสก์ ซึง่ พระพุทธองค์ได้
ตรสั ไวว้ ่า ผ้ทู ีจ่ ะเป็นนักบริหารจดั การทีด่ นี ั้นจะตอ้ งเป็นผทู้ ี่มวี สิ ยั ทัศน์ มีการบริหาร จัดการทดี่ ี และมมี นษุ ย
สัมพันธ์ดี ซ่งึ ในประเดน็ ดังกล่าวนี้ได้มีนักวิชาการทางพทุ ธศาสนาได้อธิบาย ขยายความไว้เปน็ จ่านวนมาก จาก
เนอ้ื หาในพระไตรปฎิ กดงั กล่าว ท่าใหเ้ ราเขา้ ใจไดร้ ะดับหน่ึงของพระสตู รนีแ้ ต่ เพ่ือท่ีจะเขา้ ในแนวคิดของทุติย
ปาปณิกสตู รมากยง่ิ ข้ึน ได้มพี ระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ทา่ นได้ กลา่ วถึง ทุติยปาปณิกสตู ร หรอื ปาปณิกธรรม
3 ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ว่า (ปาปณกิ ังคะ หลักพ่อค้า, องค์คุณของพ่อค้า -qualities
of a successful shopkeeper or businessman) ประกอบด้วย
1) จกั ขุมา ตาดี (รู้จักสนิ คา้ ดูของเป็น สามารถค่านวณราคา กะทุนเกง็ ก่าไร แม่นย่า- shrewd)
2) วธิ ูโร จดั เจนธรุ กิจ (รู้แหล่งซ้อื แหล่งขาย รู้ความเคล่อื นไหวความต้องการของตลาด สามารถในการ
จดั ซื้อจดั จ่าหนา่ ย ร้ใู จและร้จู ักเอาใจลูกค้า - capable of administering business)
3) นสิ สยสมั ปนั โน พร้อมดว้ ยแหลง่ ทุนเปน็ ท่ีอาศัย (เป็นท่ีเชือ่ ถือไวว้ างใจในหมู่แหลง่ ทุนใหญ่ ๆ หาเงิน
มาลงทนุ หรอื ด่าเนินกจิ การโดยงา่ ย - having good credit rating) (Phra Brahmagunabhorn (P. A.
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
101
Payutto), 2011: 96-98) จากหลกั การของพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ดังกลา่ วกส็ อดคล้องกับสิ่งท่พี ระธรรม
โกศาจารย์ (ประยรู ธมมจิตโต) ได้กลา่ วถึงคา่ ตรัสองคส์ มเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจา้ ได้ตรสั ไวใ้ นทุตยิ ปาปณิก
สูตรวา่ เกย่ี วกบั คุณลักษณะ 3 ประการของนักบรหิ ารท่ีจะชว่ ยให้นกั บริหารทา่ สา่ เรจ็ ลลุ ่วง ไปไดด้ ว้ ยดี
1) จกั ขุมา หมายถึง ปญั ญามองการณ์ไกล เชน่ ถ้าเป็นพ่อค้าหรือนักบรหิ ารธุรกจิ ต้องรู้ ว่าอนาคต
เศรษฐกจิ หรือตลาดจะมแี นวโน้มเป็นแบบไหนหรือสามารถคาดการณท์ ศิ ทางหรืออนาคต ใน การด่าเนนิ ธุรกจิ
ได้แม่นย่าจากการอาศัยกระบวนการคดิ ทรี่ อบคอบและมีเหตุผล โดยอาจใช้ ประสบการณใ์ นอดีตร่วมในการ
ตดั สินใจและวางแผนดว้ ย ซง่ึ คณุ ลกั ษณะข้อแรกน้ตี รงกับ ภาษาองั กฤษค่าวา่ Conceptual Skill คือการช่า
นาญในการใชค้ วามคิด หรือ ทักษะทางดา้ น ความคดิ
2) วิธโู ร หมายถึง จัดการธุระได้มคี วามเชย่ี วชาญเฉพาะด้าน เชน่ นกั การเงนิ ตอ้ งมี ความรู้และความ
เชี่ยวชาญทางการเงนิ สามารถค่านวณอตั ราผลตอบแทนตา่ ง ๆ ได้หรอื เขา้ ใจใน งบ การเงิน ท่ีใช้ในการ
ประกอบการตัดสนิ ใจได้ ในกรณแี พทยผ์ ่าตดั สมองก็ตอ้ งมคี วามเช่ยี วชาญในการ ผา่ ตดั สมอง เปน็ ต้น
คุณลกั ษณะท่ีสองนี้ตรงกบั ค่าภาษาอังกฤษค่าว่า Technical Skill คอื ความ ช านาญการด้านเทคนิค หรือ
ทกั ษะทางดา้ นการปฏิบตั ิงาน
3) นิสสยสัมปันโน หมายถงึ พึง่ พาอาศยั คนอื่นไดเ้ พราะเป็นคนมมี นษุ ยส์ ัมพนั ธด์ ี มี ความสามารถใน
การตดิ ต่อประสานงานใหง้ านสา่ เร็จลลุ ว่ งไปไดต้ ามกรอบระยะเวลาทีก่ า่ หนด มี ความสามารถในการสื่อสาร
และประสานงานใหแ้ ตล่ ะฝา่ ยในองค์กรดา่ เนนิ แนวทางตามกรอบทิศทาง ที่องคก์ รตอ้ งการบรรลุได้หรอื มี
ความสามารถในการผกู ใจคนให้เป็นท่รี ักของคนโดยสามารถทา่ ใหใ้ ห้ พนกั งานแตล่ ะคนปฏิบัติงานตามคา่ สงั่
ดว้ ยความเตม็ ใจได้ เป็นตน้ คุณลักษณะทสี่ ามน้ีตรงกบั คา่ ภาษาองั กฤษคา่ วา่ Human Relation Skill คือ
ความชา่ นาญด้านมนุษยสมั พันธ์ หรือทักษะ ทางดา้ น มนษุ ย์สมั พันธ์ โดยคุณลักษณะท้งั สามประการมี
ความสา่ คัญมากน้อยแตกตา่ งกนั นัน้ ข้นึ อยู่กับระดับ ของนักบรหิ ารถ้าเปน็ นักบริหารระดบั สงู ท่ตี อ้ งรับผิดชอบ
ในการวางแผนและควบคุมคนจา่ นวนมาก คณุ ลกั ษณะขอ้ ที่ 1 และ 3 มีความสา่ คัญมาก ส่วนขอ้ ท่ี 2 มีน้อย
เพราะเขาสามารถใช้ ผ้ใู ต้บังคับบัญชาทม่ี คี วามสามารถเฉพาะด้านไดส้ า่ หรับนักบรหิ ารระดบั กลาง คณุ ลักษณะ
ทั้ง 3 ขอ้ มี ความสา่ คัญพอ ๆ กนั นัน่ คอื เขาต้องมคี วามช่านาญเฉพาะด้านและมนุษยส์ มั พันธ์ทีด่ ตี ่อเพ่อื น
ร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา ในขณะเดียวกนั ต้องมีปัญญาท่ีมองภาพกว้างและไกล เพื่อเตรียมตวั ส่าหรับเป็น
นักบรหิ ารระดับสงู นอกจากนัน้ ตอ้ งมีความสามารถในการสื่อสาร ประสานงานในการ ถา่ ยทอด นโยบายและ
ยุทธศาสตร์จากผบู้ รหิ ารระดับสูงมาสูก่ ารปฏิบัติในผบู้ รหิ ารและพนักงาน ระดับล่าง และน่าผลการดา่ เนนิ งานท่ี
ได้จากการปฏบิ ตั งิ านมาสรปุ และนา่ เสนอต่อผบู้ ริหารระดบั สงู (Phra Dharmakosajarn (Prayoon
Dhammacitto), 2006: 15)
ดว้ ยหลักการดังกล่าวของทา่ น นน้ั กไ็ ด้มีคุณกอ่ ศักดิ์ ไชยรศั มศี กั ดิ์ ไดใ้ หท้ ัศนะตอ่ วา่ ในหลักการของ
ทุตปิ าปณิกสตู รน้นั สา่ หรบั หัวข้อหลกั ธรรมท่ีเป็นคุณสมบัตทิ ี่ส่าคัญสดุ ของนักบรหิ ารท่ีดนี ้นั จะต้องมี Human
Relation Skill หรอื หลกั นิสยสมั ปันโน เพราะมนุษยสัมพันธท์ ด่ี ีจะทา่ ให้คนอยากเข้ามาร่วมงาน และทา่ งานให้
หาก ไม่มีมนษุ ยสัมพันธ์การบริหารคนกไ็ ปไม่รอด “หลักนิสสยสัมปนั โน เป็นหลกั การส่าคัญ ทจ่ี ่าเปน็ และ
สา่ คญั มาก สา่ หรับนักบริหารคน เพราะถ้ามนษุ ย์สมั พันธ์ไม่ดกี ไ็ ม่มใี ครอยากมารว่ มงาน หรอื ท่างาน ให้ เพราะ
การบรหิ ารงาน บรหิ ารคน คอื การดา่ เนินกิจกรรมให้สา่ เรจ็ โดยรว่ มกับคนอน่ื หลกั ทตุ ยิ ปาปณิกสตู รที่
ประกอบดว้ ย 3 หลกั การ น้นั เปน็ สิ่งส่าคัญ โดยเฉพาะการมี วสิ ยั ทศั นห์ รือจกั ขุมา ถอื ว่าเป็นหลักการของนกั
บริหารท่ี ทันยคุ ทันสมยั ทส่ี ุด เพราะการมองการณ์ ไกล มสี ายตาปญั ญาในการวิเคราะหอ์ นาคตทา่ ใหน้ ักบริหาร
นัน้ มโี อกาสประสบความสา่ เร็จ สามารถ แข่งขันอยูร่ อดในธุรกิจได้ ขณะที่ วธิ โู ร หรอื การจดั การธุระ โดยมคี วาม
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
102
เช่ยี วชาญเฉพาะด้าน เปรยี บเทยี บได้กับหลกั Competency ความสามารถทีจ่ ะเขา้ มาสร้างสมดุลใหก้ บั นัก
บรหิ ารทีเ่ ป็น ผนู้ ่าและหลกั นสิ สยสมั ปนั โน เป็นความสามารถด้านมนษุ ยสัมพนั ธ์ โดยหลกั 3 ข้อควรมีอย่ภู ายใน
ของนักบริหาร และหากหลอมรวมกันก็จะเป็นภมู คิ ุ้มกันท่ีมีประสิทธิภาพในการบรหิ ารธรุ กิจ กจิ การ ให้ประสบ
ความส่าเรจ็ หรือผ่านพน้ วิกฤติตา่ ง ๆ ไปได้
บทสรุป
จากการศึกษาเอกสารทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ทุติปาปณิกสตู รทั้งจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา รว่ มท้งั
นักวิชาการและนักธุรกจิ ดงั กล่าวท่าให้ สรปุ ไดว้ า่ หลกั ทุตยิ ปาปณิกสูตร ดังกล่าวท่ี ประกอบด้วย จกั ขมุ า คือ
การมีวิสัยทศั น์ วธิ โู ร การจดั การดี และนิสสยสมปฺ นฺโนการมมี นุษยส์ มั พนั ธ์ มคี วามส่าคญั ต่อองค์กรทุกระดับ
และถือวา่ เปน็ หนา้ ทข่ี องผบู้ ริหารและบคุ ลากรในทุกระดบั จะต้อง ตระหนักและให้ความส่าคัญต่อหลกั ธรรมใน
ทตุ ยิ ปาปณิกสตู รดังกล่าว คุณลกั ษณะภาวะผู้น่าเชิง พทุ ธ จึงไดแ้ ก่ การนา่ มาซง่ึ ปัจจัยในการสรา้ งภาวะผูน้ ่า
ตามหลักพุทธธรรมก็สามารถทา่ ให้เกิดภาวะ ผนู้ ่าในองค์ได้เชน่ กัน ซงึ่ ประกอบดว้ ย การมีวิสยั ทัศน์การมีความ
เช่ียวชาญ การมมี นุษยสมั พันธ์ ยอ่ มนา่ มาซ่งึ การสร้างภาวะผนู้ า่ ตามหลกั พทุ ธธรรม จกั ขุมา หมายถึง ปัญญา
มองการณ์ไกล ซึง่ กค็ ือ การมวี ิสยั ทศั นข์ องผู้น่า วิธูโร หมายถงึ จัดการธุระได้มีความเชย่ี วชาญเฉพาะด้าน
นิสสยสมั ปนั โน หมายถึง พ่งึ พาอาศัยคนอ่ืนได้เพราะเป็นคนมมี นษุ ยส์ ัมพนั ธด์ ี มีความสามารถในการติดต่อ
ประสานงานใหง้ านสา่ เรจ็ ลุลว่ งไปได้ตามกรอบระยะเวลาท่ีกา่ หนด มคี วามสามารถในการสื่อสาร และ
ประสานงานให้แต่ละฝา่ ยในองคก์ รดา่ เนนิ แนวทางตามกรอบทิศทางที่ องค์กรต้องการบรรลไุ ด้ หรอื มี
ความสามารถในการผกู ใจคนใหเ้ ป็นทร่ี ักของคน
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
103
คาถามท้ายบท
คาชแี้ จง : ให้นสิ ิตตอบคาถามและอธิบาย
1. จงบอกความหมายของภาวะผนู้ า่ ให้ถกู ต้อง
ตอบ
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................ ................................................................
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................................................ ....
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................ ................................................................
2. จงบอกประเภททฤษฏีของภาวะผ้นู า่ ให้ถูกต้อง
ตอบ
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................................... .................
.................................................................................................................. ..............................................
3. จงบอกทฤษฎีวา่ ดว้ ยผู้น่าตามสถานการณ์ใหถ้ ูกต้อง
ตอบ
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................... .................................................................
............................................................................................................................. ...................................
........................................................................................................................................................... .....
............................................................................................................................. ...................................
4. จงอธบิ ายบทบาทของผนู้ ่ามาให้ถกู ต้อง
ตอบ
............................................................................................................................. ...................................
.................................................................................................................................................... ............
...................................................................................................................... ..........................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
104
บทที่ 10
การบริหารจดั การตามแนวธรรมาภบิ าล
แนวคดิ ของ “การปกครอง” “การบรหิ ารจดั การ” หรอื governance ไมใ่ ช่เรือ่ งใหม่ แตเ่ ปน็ ส่งิ ทม่ี มี า
พรอ้ มกับการมีอารยธรรมของมนษุ ย์ ดังน้นั เราอาจให้ความหมายของ “การปกครอง” หรอื “การบรหิ าร
จดั การ” วา่ เป็นกระบวนการของการตัดสินใจและกระบวนการทมี่ ีการนาผลของการตัดสนิ ใจไปปฏิบัติ คาวา่
การปกครองหรือการบริหารจัดการอาจถูกใช้ไปในหลายสถานะ เช่น ในเรอื่ งของการปกครองหรือการ
บรหิ ารงานเอกชน การปกครองหรอื การบรหิ ารงานในระดับนานาชาติ ระดบั ชาติ หรอื ระดับท้องถิน่
อยา่ งไรกด็ ี มีคนจานวนมากที่ไม่เขา้ ใจเร่ืองของธรรมาภบิ าลแมก้ ระทัง่ คาจากดั ความของธรรมาภิบาล
ซ่ึงไม่ใช่เร่ืองแปลกแต่อยา่ งใด คาวา่ governance เป็นเรอ่ื งของ การอภบิ าล เป็นวิธกี ารใชอ้ านาจ ขณะที่ good
governance เป็นการรวมคาของ ธรรม และ อภบิ าล เปน็ ธรรมาภิบาล เป็นวธิ กี ารทด่ี ีในการอานาจ เพ่ือ
บรหิ ารจัดการทรัพยากรขององค์กร โดยหลกั ธรรมาภิบาลสามารถนาไปประยุกตใ์ ชไ้ ด้ในภาคต่างๆ อาทิ ภาครัฐ
ธุรกิจ ประชาสงั คม ปจั เจกชน และองค์กรระหวา่ งประเทศ โดยมเี ปา้ หมายของการใชห้ ลักธรรมาภิบาล คือเพ่ือ
การมคี วามเปน็ ธรรม ความสจุ ริต ความมปี ระสทิ ธิภาพ และประสทิ ธผิ ล ซึ่งวธิ ีการทจี่ ะสรา้ งให้เกดิ มีธรรมาภิ
บาลข้นึ มาได้กค็ ือ การมีความโปรง่ ใส มีความรบั ผดิ ชอบ ถกู ตรวจสอบได้ และการมสี ว่ นร่วมเปน็ สาคญั แต่ อาจ
ประกอบไปด้วยหลกั การอืน่ ๆอีกไดด้ ว้ ยแลว้ แตผ่ ูน้ าไปใช้ โดยสภาพแวดลอ้ มของธรรมาภบิ าลอาจประกอบ ไป
ด้วยกฎหมาย ระเบยี บตา่ งๆ ประมวลจริยธรรม ประมวลการปฏิบัติท่ีเปน็ เลศิ และวฒั นธรรม (บวรศักดิ์ อุวรรณ
โณ, 2545) ซ่ึงลว้ นเอื้อหรือไม่เออื้ ต่อการบริหารจัดการที่ดี
ความหมายของธรรมาภิบาล
ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสร้างระบบบรหิ ารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542
ให้ความหมาย “ธรรมาภิบาล” ไว้ว่า หมายถึง การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี เป็นแนวทาง สาคัญ
ในการจัดระเบียบให้สังคมรัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ซ่ึงครอบคลุมถึง ฝ่ายวิชาการ ฝ่าย
ปฏิบัติการ ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจ สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มี ความรู้รักสามัคคีและร่วมกันเป็น
พลัง ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างย่ังยืน และเป็นส่วนเสริม ความเข้มแข็งหรือสร้างภูมิคุ้มกันแก่ประเทศ เพ่ือ
บรรเทาป้องกันหรือแก้ไขเยียวยาภาวะ วิกฤติ ภยันตรายท่ีหากจะมีมาในอนาคต เพราะสังคมจะรู้สึกถึงความ
ยุติธรรม ความโปร่งใส และความมีส่วนร่วม อันเป็นคุณลักษณะสาคัญของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการ
ปกครอง แบบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ พระประมุข สอดคลอ้ งกับความเป็นไทย รฐั ธรรมนญู
และกระแสโลกยคุ ปจั จุบนั
สานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ให้นิยามความหมายของคาว่า “ธรรมรัฐ” หรือ “ธรร
มาภบิ าล” ไว้หลายประการ ดังนี้
1. ประชารฐั หมายถงึ กระบวนความสมั พันธร์ ะหวา่ งภาครฐั ภาคสังคมภาคเอกชนและประชาชน
โดยทั่วไปในการที่จะทาให้การบริหารราชการแผ่นดินดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณภาพโปร่งใสและ
ตรวจสอบได้
2. ประชารัฐ หมายถึง การท่กี ลไกของรฐั ทงั้ ทางการเมอื งและการบริหาร มคี วามแข็งแกร่งมี
ประสิทธิภาพ สะอาด โปร่งใส รับผิดชอบ
3. ประชารฐั หมายถึง การบริหารหรือการปกครองท่ดี หี รือการปกครอง หรือการบริหารท่เี ป็น
ธรรม โดยมีองคป์ ระกอบ 3 ประการ ความโปรง่ ใส การตรวจสอบได้ และความมปี ระสิทธภิ าพ
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
105
นพ.ประเวศ วะสี ให้คานยิ ามของคาว่า “ธรรมรฐั ” ไว้วา่ หมายถงึ รัฐทีม่ ีความถูกต้องเป็นธรรม
ซงึ่ หมายถงึ ความถูกตอ้ งเปน็ ธรรมใน 3 เร่อื งใหญ่ๆ คือ
1. การเมอื งและระบบราชการทีโ่ ปรง่ ใสรับผดิ ชอบตอ่ สงั คมถูกตรวจสอบได้
2. ภาคธรุ กิจท่โี ปรง่ ใสรับผดิ ชอบตอ่ สังคมสามารถตรวจสอบได้
3. สังคมที่เข้มแข็งความเป็นประชาสังคม สามารถตรวจสอบภาครัฐและภาคธุรกิจให้ต้ังอยู่ในความ
ถกู ต้องได้
ความสาคญั ของธรรมาภบิ าล
ธรรมาภิบาล เป็นหลักเกณฑ์การปกครองบ้านเมือง การบริหาร การจัดการการควบคุมดูแล กิจการ
ตา่ ง ๆ ให้เป็นไปในครรลองธรรม นอกจากนีย้ ังหมายถงึ การบรหิ ารจัดการทีด่ ี สามารถนาไปใชไ้ ด้ทั้งภาครัฐและ
เอกชน ธรรมท่ีใช้ในการบริหารงานธรรมาภิบาล เป็นหลักการท่ีนามาใช้บริหารงานในปัจจุบันอย่างแพร่หลาย
เพราะ ช่วยสร้างสรรค์และส่งเสริมองค์กรให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพ อาทิ พนักงานต่างทางานอย่าง
ซ่ือสัตย์สุจริตและขยันหมั่นเพียร ทาให้ผลประกอบการขององค์กรธุรกิจนั้นขยายตัว นอกจากน้ีแล้วยังทาให้
บุคคลภายนอกท่ีเกี่ยวข้อง ศรัทธาและเช่ือม่ันในองค์กรน้ัน ๆ อันจะทาให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น
องค์กรท่ีโปร่งใส ย่อมได้รับความไว้วางใจในการร่วมทาธุรกิจ รัฐบาลท่ีโปร่งใสตรวจสอบได้ ย่อมสร้างความ
เช่ือมั่นให้แก่นักลงทุนและประชาชน ตลอดจนส่งผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและความเจริญก้าวหน้าของ
ประเทศ
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรแี ละรฐั บรุ ุษกลา่ วปาฐกถาพเิ ศษเรื่อง จริยธรรมของการ
บริหารภาครัฐเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2548 ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ในการจัดงานครบรอบ 50 ปี
คณะรฐั ประศาสนศาสตร์ วา่ การบรหิ ารตอ้ งพดู ถงึ ผบู้ รหิ ารเพราะเปน็ เร่ืองท่ีความสัมพนั ธ์เกีย่ วโยงกัน บางกรณี
เป็นเรื่องเดยี วกัน จริยธรรมของการบรหิ ารภาครัฐจะไม่มที างเกิดผลสาเรจ็ ได้ ถา้ ผ้บู ริหารไม่มีจรยิ ธรรม การใช้
จริยธรรมและคุณธรรมในการบรหิ ารงานภาครัฐ ภาคเอกชนผู้บริหารจะต้องมีจิตสานึกท่ีจะนาสิ่งที่ดีไปใช้และ
ขจดั สิง่ ทไ่ี ม่ดใี ห้หมดไป สง่ิ เหล่าน้ี คือ
1. ความซื่อสตั ย์
2. กฎหมาย
3. ความเปน็ ธรรม
4. ประสทิ ธภิ าพ
5. ความโปร่งใส
6. ความม่นั คงของรฐั
7. ค่านยิ มของคนไทย
ลกั ษณะของธรรมาภบิ าล
ลกั ษณะเงอ่ื นไขของหลกั ธรรมาภบิ าล มีหลกั สาคัญ 6 ประการ ดังน้ี
1. หลักการมีส่วนร่วมของสาธารณชน (Public Participation) คือ กระบวนการที่ประชาชนมี
โอกาสและมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจอย่างเท่าเทียมกัน (Equity) ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการเข้าร่วม
ทางตรงหรือทางอ้อม โดยผ่านกลมุ่ ผู้แทนราษฎรที่ไดร้ ับการเลือกตง้ั จากประชานโดยชอบธรรม
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
106
2. หลักความสุจริตและโปร่งใส (Honesty and Transparency) คือ กลไกการบริหารท่ีมีความ
สุจริตและโปร่งใส ซึ่งรวมถึงการมีระบบ กติกา และการดาเนินงานที่เปดิ เผย ตรงไปตรงมา ประชาชนสามารถ
เข้าถึงและรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างเสรี เป็นธรรม ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ซึ่งหมายถึง การที่ผู้เก่ียวข้อง
ทง้ั หมด ไม่วา่ จะเป็นหนว่ ยงานกากบั ดแู ลและประชาชนสามารถตรวจสอบและติดตามผลได้
3. หลักพันธะความรับผิดชอบต่อสังคม (Accountability) คือ ความรับผิดชอบในบทบาท
ภาระหน้าท่ีที่มีต่อสาธารณชน โดยมีการจัดองค์กรหรือการกาหนดกฎเกณฑ์ท่ีเป็นการดาเนินงานเพ่ือ
สนองตอบความต้องการของกลุม่ ต่างๆ ในสังคมอย่างเป็นธรรม ในความหมายน้ี มีความหมายที่มากกว่าความ
รบั ผดิ ชอบเฉพาะต่อผู้บงั คับบญั ชาหรือกลุ่มผู้เปน็ ฐานเสียงทใี่ ห้การสนบั สนนุ ทางการเมือง
4. หลักกลไกการเมืองท่ีชอบธรรม (Political Legitimacy) คือ เป็นกลไกที่มีองค์ประกอบของ
รัฐบาลหรือผู้ที่เข้าร่วมบริหารประเทศท่ีมีความชอบธรรม เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมโดยส่วนรวมไม่ว่าจะ
โดยแตง่ ต้ังหรือเลือกตงั้
5. หลักเกณฑ์ที่ยุติธรรมและชัดเจน (Fair Legal Framework and Predictability) คือ กรอบ
ของกฎหมายที่ยุติธรรมและเป็นธรรมสาหรับกลุ่มคนต่างๆ ในสังคม ซ่ึงกฎเกณฑ์มีการบังคับใช้และสามารถ
ใชไ้ ดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ เปน็ กฎเกณฑท์ ี่ชัด ซง่ึ คนในสงั คมทกุ ส่วนเข้าใจ
6. หลักประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efciency and Effectiveness) คือ เป็นกลไกท่ีมี
ประสทิ ธภิ าพในการดาเนนิ งาน ไม่ว่าจะเปน็ ดา้ นการจดั กระบวนการทางาน การจดั องค์กร การจัดสรรบคุ ลากร
และมีการใช้ทรพั ยากรสาธารณะตา่ งๆ อยา่ งคุ้มค่าและเหมาะสม มกี ารดาเนินการใหส้ าธารณะทใ่ี ห้ผลลัพธ์เป็น
ทีน่ ่าพอใจ และกระต้นุ การพฒั นาของสงั คมทกุ ด้าน (ด้านการเมืองสงั คมวฒั นธรรมและเศรษฐกจิ )
เปา้ หมายของธรรมาภิบาล1
รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทยฉบับ พ.ศ. 2550 ได้สรา้ งระบบบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอนั เรียก
เปน็ ศพั ทภ์ าษาอังกฤษว่า “ good governance” โดยมีเป้าหมายร่วมกันอยู่ 3ประการ ประกอบด้วย
ประการแรก การบริหารมุ่งผลสัมฤทธ์ิเพื่อให้การบริหารงานภาครัฐ มีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่
ประชาชนต้องการ มีความโปร่งใสในการตัดสินใจและในกระบวนการทางาน ให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสาร
รว่ มแสดงความคิดเห็นและมีสว่ นรว่ มในการทางาน รวมท้ังการประหยดั มีประสทิ ธิภาพต่อผลงานนั้นแทนการ
เนน้ ทาใหถ้ ูกตอ้ งตามกฎระเบียบและวิธีการเพียงอยา่ งเดียว
ประการทส่ี อง การปรับเปลย่ี นบทบาทการทางานของภาครัฐ โดยเนน้ งานในหน้าที่หลักของภาครัฐซ่ึง
ได้แก่ การกาหนดนโยบายที่มองการณ์ไกลการมีบังคับใช้กฎหมายท่ีให้ความเสมอภาคเป็นธรรมและองค์การ
บรหิ ารอยา่ งเป็นอิสระ มีส่วนรว่ มของภาคประชาชนในการดาเนนิ การ
ประการท่ีสาม การบริหารแบบพหุภาคีได้แก่ การบริหารท่ีให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้ามามีส่วนร่วมในการ
กาหนดเป้าหมายตดั สินใจ หรือร่วมปฏิบัติงานโดยไมผ่ ูกขาดหรอื รวมศูนย์อานาจ
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ได้กาหนดขอบเขต
เปา้ หมายของคาวา่ การบรหิ ารกิจการบา้ นเมืองที่ดีวา่ ได้แก่ การบริหารราชการเพอ่ื บรรลเุ ป้าหมาย ดังตอ่ ไปนี้
1. เกดิ ประโยชนส์ ขุ ของประชาชน
2. เกดิ ผลสัมฤทธิต์ อ่ ภารกิจของรฐั
1 https://sites.google.com/site/aujutaratsisungnone/neuxha/bth-thi-5-hlak-thr-rmaphi-bal-ni-xngkhkr, สืบคน้
เม่อื 14 กรกฎาคม 2564.
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
107
3. มีประสิทธภิ าพและเกดิ ความค้มุ ค่าในเชงิ ภารกิจรัฐ
4. ไม่มขี ัน้ ตอนการปฏบิ ตั ิงานเกนิ ความจาเป็น
5. มีการปรับปรุงภารกิจของสว่ นราชการให้ทนั ตอ่ สถานการณ์
6. ประชาชนได้รับการอานวยความสะดวกและไดร้ ับการตอบสนองความต้องการ
7. มีการประเมินผลการปฏิบัตริ าชการอยา่ งสมา่ เสมอ
ธรรมาภิบาลจงึ เปน็ เรอ่ื งของหลกั การบริหารแนวใหม่ ที่มุง่ เน้นหลักการ โดยมใิ ช่หลักการท่ีเป็น
รปู แบบทฤษฎกี ารบรหิ ารงาน แต่เป็นหลกั การการทางาน ซ่ึงหากมีการนามาใช้เพ่ือการบรหิ ารงานแล้ว จะเกิด
ความเช่อื มนั่ วา่ จะนามาซึ่งผลลพั ธท์ ่ีดีทีส่ ดุ คือ ความเป็นธรรม , ความสจุ ริต, ความมีประสทิ ธิภาพ ประสิทธิผล
(ถวิลวดี บรุ กี ลุ และคณะ, 2545)
ธรรมาภิบาล ประกอบไปด้วยหลักการสาคัญหลายประการ แล้วแต่วตั ถปุ ระสงค์ขององค์กรท่นี ามาใช้
หลักการทีม่ ีผูน้ าไปใช้เสมอคือ การมีส่วนร่วมของประชาชน การมุ่งฉนั ทามติ การมสี านึกรับผิดชอบ ความ
โปรง่ ใส การตอบสนอง ประสิทธิผลและประสิทธิภาพ ความเท่าเทยี มกันและการคานงึ ถึงคนทุกกลมุ่ หรือพหุ
ภาคแี ละการปฏบิ ัติตามหลกั นิตธิ รรม แตร่ ะเบียบสานักนายกรฐั มนตรีวา่ ดว้ ยการบริหารกจิ การบ้านเมอื งและ
สังคมทด่ี ีน้ันไดร้ ะบุไว้ 6 หลักการดังกล่าวมาแลว้ และกลายเปน็ หลกั การสาคัญทม่ี ีการนามาใชใ้ นประเทศไทย
อย่างกว้างขวางอยู่ในปจั จบุ ันนี้ แตก่ ็มีคาถามว่าหลกั การต่างๆน้หี มายถงึ อะไร แลว้ จะทราบได้อย่างไรวา่ มี ธรร
มาภบิ าลแลว้ หรือยัง มีมากหรือน้อย ตอ้ งปรับปรงุ อะไรอีกบ้าง คาตอบท่ีอาจเปน็ ไปได้ก็คอื การจัดทา ตวั ชี้วัด
เพอื่ ผูใ้ ชจ้ ะได้เข้าใจและนาไปใช้ตรวจสอบตนเองและผู้อ่นื หรือหนว่ ยงานอ่นื ได้
หลักการตา่ งๆท่ีอธิบายการมีธรรมาภบิ าลและการนาไปประยุกตใ์ ช้ ธรรมาภบิ าลอาจประกอบไปดว้ ย
หลักการต่างๆมากมายแล้วแต่ผู้ท่ีจะนาเร่อื งของธรรมาภบิ าลไปใช้ และจะให้ความสาคญั กับเร่อื งใดมากกวา่ กนั
และในบรบิ ทของประเทศ บริบทของหนว่ ยงาน หลักการใดจึงจะเหมาะสมทสี่ ดุ สาหรับประเทศไทยแลว้
เนอ่ื งจากได้มรี ะเบียบสานักนายกรัฐมนตรวี า่ ดว้ ยการบรหิ ารกิจการบา้ นเมืองและสังคมที่ดี และพระราช
กฤษฎกี าว่าดว้ ยหลกั เกณฑ์และวิธกี ารบริหารกิจการบ้านเมืองทด่ี ี พ.ศ. 2546 ทใ่ี หค้ วามสาคัญกับหลกั การ
สาคัญ 6 หลักการดังกลา่ วแล้วในทน่ี ้จี ึงขอน าเสนอรายละเอียดของการพฒั นาดัชนวี ัดธรรมาภิบาลบนพนื้ ฐาน
ของหลกั การท้งั 6 หลกั การของสถาบนั พระปกเกลา้ (ถวลิ วดี บรุ กี ลุ และคณะ, 2545) ดังต่อไปนี้
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
108
รูปที่ 1 หลกั การสาคัญของธรรมาภิบาล
หลักธรรมาภบิ าล
1. ดา้ นหลักนิติธรรม Rule of Laws
หลกั การสาคัญอนั เป็นสาระสาคญั ของ “หลักนติ ธิ รรม ” ประกอบด้วย 7 หลักการคือ
หลกั การ แบง่ แยกอานาจ หลักการคุ้มครองสทิ ธิและเสรีภาพ หลักความชอบดว้ ยกฎหมายของฝา่ ยตลุ าการและ
ฝ่าย ปกครอง ความชอบด้วยกฎหมายในทางเนอ้ื หา หลักความเป็นอิสระของผู้พพิ ากษา หลัก “ไม่มีความผดิ
และ ไม่มโี ทษโดยไมม่ ีกฎหมาย” และ หลกั ความเปน็ กฎหมายสงู สดุ ของรัฐธรรมนูญ
1.หลักการแบง่ แยกอานาจเป็นพ้ืนฐานทสี่ าคัญของหลักนติ ิธรรม เพราะ หลกั การแบ่งแยก
อานาจเปน็ หลักท่แี สดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกนั ของการแบ่งแยกอานาจการตรวจสอบอานาจ และการถว่ งดลุ
อานาจ
2.หลักการคุ้มครองสทิ ธิและเสรีภาพ หลกั นติ ิธรรมมคี วามเกี่ยวพันกันกบั สิทธใิ นเสรีภาพของ
บคุ คล และสิทธิในความเสมอภาค สทิ ธิทง้ั สองประการดังกลา่ วขา้ งตน้ ถอื ว่าเปน็ พ้ืนฐานของ “ศักดิศ์ รีความเปน็
มนุษย”์ อันเป็นหลักการสาคัญตามเจตนารมณข์ องรฐั ธรรมนญู
3.หลกั ความชอบดว้ ยกฎหมายของฝ่ายตลุ าการและฝา่ ยปกครอง การใชก้ ฎหมายของฝ่าย
ตุลาการ หรือฝา่ ยปกครองที่เปน็ การจากัดสทิ ธิของประชาชนมผี ลมาจากกฎหมายทไี่ ด้รับความเห็นชอบ จาก
ตวั แทน ของประชาชน โดย ฝา่ ยตุลาการจะต้องไม่พิจารณาพิพากษาเร่ืองใดเร่ืองหน่งึ ให้แตกต่างไปจาก
บทบญั ญตั ขิ อง กฎหมาย ฝา่ ยตลุ าการมคี วามผูกพันที่จะต้องใชก้ ฎหมายอย่างเทา่ เทียมกัน ฝา่ ยตุลาการมีความ
ผูกพันทจ่ี ะต้อง ใช้ดลุ พินจิ โดยปราศจากข้อบกพร่อง
4. หลกั ความชอบด้วยกฎหมายในทางเนื้อหา เป็นหลักทีเ่ รยี กร้องใหฝ้ ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่าย
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
109
ปกครอง ทีออกกฎหมายลาดบั รอง กาหนดหลกั เกณฑใ์ นทางกฎหมายใหเ้ ปน็ ตามหลกั ความแน่นอนของ
กฎหมาย หลัก ห้ามมใิ ห้กฎหมายมผี ลย้อนหลัง และหลักความพอสมควรแกเ่ หตุ
5. หลกั ความอิสระของผู้พิพากษา ผู้พิพากษาสามารถทาภาระหนา้ ทใี่ นทางตุลาการไดโ้ ดย
ปราศจาก การแทรกแซงใดๆ โดยผพู้ พิ ากษามีความผูกพันเฉพาะตอ่ กฎหมายและ ทาการพจิ ารณาพิพากษา
ภายใต้มโนธรรมของตนเท่าน้ัน โดยวางอยู่บนพืน้ ฐานของความอสิ ระจาก 3 ประการ กลา่ วคอื ความอสิ ระจาก
คคู่ วาม ความอสิ ระจากรัฐ และความอิสระจากสังคม
6. หลกั “ไมม่ ีความผดิ และไมม่ ีโทษโดยไม่มกี ฎหมาย ” เมื่อไมม่ ีข้อบัญญตั ิทางกฎหมายให้
เป็น ความผิด แลว้ จะเอาผิดกับบคุ คลน้นั ๆมิได้
7. หลักความเปน็ กฎหมายสงู สุดของรัฐธรรมนูญ หมายความวา่ รฐั ธรรมนญู ไดร้ ับการยอมรับ
ให้เป็น กฎหมายท่อี ย่ใู นลาดับทีส่ ูงสุดในระบบกฎหมายของรัฐน้นั และหากกฎหมายท่ีอย่ใู นลาดับที่ตา่ กว่าขดั
หรือแย้ง กับรฐั ธรรมนูญกฎหมายดงั กล่าวยอ่ มไม่มผี ลบังคับ
2. หลักดา้ นหลักคณุ ธรรม Ethics
ประกอบดว้ ยหลักการสาคัญ 3 หลกั การคือหนว่ ยงานปลอดการทุจริต หน่วยงานปลอดจากการ
ทาผดิ วินยั และหน่วยงานปลอดจากการทาผิดมาตรฐานวิชาชพี นิยมและจรรยาบรรณ องค์ประกอบของ
คุณธรรม หรือพฤติกรรมที่พงึ ประสงค์ที่ปลอดจากคอรปั ชน่ั หรอื มีคอรปั ชนั่ น้อยลง คอรัปช่ัน การฉอ้ ราษฎร์บัง
หลวง หรือ corruption โดยรวมหมายถงึ การทาใหเ้ สยี หาย การทาลาย หรือการละเมิดจริยธรรม ธรรมปฏบิ ัติ
และ กฎหมาย สาหรับพิษภัยของคอรัปชนั่ ได้สร้างความเสียหายและความเดอื ดร้อน และเปน็ พฤติกรรมท่ีส่งผล
ในทางลบต่อคุณธรรมของการบรหิ ารจัดการอยา่ งรา้ ยแรง เมอ่ื พจิ ารณาเร่ืองของคุณธรรมจงึ ควรพิจารณาเร่ือง
ตอ่ ไปนี้
2.1 องค์ประกอบคุณธรรมหรือพฤติกรรมที่พงึ ประสงค์ท่ีปลอดจากการไม่ปฏบิ ตั ิตามกฎหมาย อยา่ ง
โจ่งแจ้งหรอื ไม่ปฏบิ ตั ิตามกฎหมายนอ้ ยลง
2.2 องค์ประกอบคุณธรรมหรือพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ที่ปลอดจากการปฏิบัติท่ีน้อยกว่า หรือไม่ดี
เทา่ ทกี่ ฎหมายกาหนดหรอื ปฏบิ ัติเชน่ นน้ี อ้ ยลง
2.3 องค์ประกอบคุณธรรมหรือพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ที่ปลอดจากการปฏิบัติที่มากกว่าที่ กฎหมาย
กาหนด หรอื ปฏิบตั เิ ชน่ น้ีนอ้ ยลง
2.4 องค์ประกอบคุณธรรมหรือพฤติกรรมที่พึงประสงค์ท่ีปลอดจากการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ ของ
กฎหมาย แต่ใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายหรือปฏิบัติเช่นน้ีน้อยลง สาหรับการท่ีหน่วยงานปลอดจากการท าผิด
มาตรฐานวิชาชีพนิยมและจรรยาบรรณน้ันเป็น การ กระทาผิดวิชาชีพนิยมได้แก่ พฤติกรรมที่สวนทางหรือ
ขัดแยง้ กับองคป์ ระกอบของวิชาชีพนิยมโดย เฉพาะอยา่ ง ยงิ่ ในประเดน็ ของการมจี รรยาบรรณวิชาชีพ และการ
ประพฤตติ ามจรรยาบรรณวิชาชพี
3. ด้านความโปรง่ ใส Transparency
ประกอบไปด้วยหลักการย่อย 4 หลักการคือ หนว่ ยงานมคี วามโปร่งใสดา้ นโครงสร้าง หนว่ ยงานมี
ความโปร่งใสดา้ นการให้คุณ หนว่ ยงานมีความโปร่งใสดา้ นการให้โทษ หน่วยงานมคี วามโปร่งใสดา้ นการ
เปดิ เผยข้อมูล
3.1 ความโปร่งใสดา้ นโครงสร้าง ประกอบดว้ ยพฤติการณต์ ่อไปนี้
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
110
1) มีการตรวจสอบภายในท่ีเข้มแข็ง เชน่ มคี ณะกรรมการตรวจสอบ คณะกรรมการ
สอบสวน เป็นต้น
2) โปร่งใส เหน็ ระบบงานท้ังหมดได้อยา่ งชัดเจน
3) ประชาชนเข้ามามีส่วนรว่ ม รบั รู้การท างาน
4) มเี จา้ หน้าท่ีมาด้วยระบบคุณธรรมมคี วามสามารถสงู มาอยใู่ หมม่ ากขึ้น
5) มีการตั้งกรรมการหรือหนว่ ยงานตรวจสอบขึ้นมาใหม่
6) มีฝา่ ยบัญชีทเี่ ข้มแข็ง
3.2 ความโปรง่ ใสดา้ นใหค้ ุณ ประกอบด้วยพฤติการณต์ อ่ ไปน้ี
1) มคี า่ ตอบแทนพิเศษในการปฏิบตั ิงานเปน็ ผลสาเรจ็
2) มีคา่ ตอบแทนเพ่ิมสาหรับการปฏิบตั ิงานที่มีประสิทธภิ าพ
3) มีคา่ ตอบแทนพิเศษให้กบั เจ้าหน้าทีท่ ่ซี ่ือสตั ย์
4) มีมาตรฐานเงินเดอื นสูงพอเพยี งกับคา่ ใช้จ่าย
3.3 ความโปรง่ ใสดา้ นการให้โทษ ประกอบดว้ ยพฤติการณ์ต่อไปน้ี
1) มีระบบการตรวจสอบท่ีมีประสิทธภิ าพ
2) มีวิธกี ารพิจารณาลงโทษผู้ทาผดิ อยา่ งยุตธิ รรม
3) มีการลงโทษจริงจัง หนกั เบาตามเหตแุ ห่งการกระทาผดิ
4) มีระบบการฟอ้ งร้องผู้กระทาผิดที่มปี ระสทิ ธภิ าพ
5) หัวหน้างานลงโทษผู้ทุจริตอยา่ งจรงิ จงั
6) มกี ารปรามผสู้ อ่ ทุจริตใหเ้ ลกิ ความพยายามทุจริต
7) มกี ระบวนการยุตธิ รรมทรี่ วดเรว็
3.4 ความโปร่งใสด้านการเปดิ เผย ประกอบดว้ ยพฤติการณ์ตอ่ ไปนี้
1) ประชาชนไดเ้ ขา้ มารบั รู้ การทางานของคณะกรรมการตรวจสอบ
2) ประชาชนและส่ือมวลชนมสี ่วนรว่ มในการจัดซ้อื จัดหา การใหส้ ัมปทานการออก
กฎระเบียบ และ ข้อบงั คบั ตา่ งๆ
3) ประชาชน สอ่ื มวลชน และองค์กรพฒั นาเอกชน ได้มโี อกาสควบคมุ ฝา่ ยบรหิ ารโดย
วธิ กี ารตา่ งๆ มากขนึ้
4) มกี ารใชก้ ล่มุ วชิ าชีพภายนอก เข้ามาร่วมตรวจสอบ
4. หลักการมสี ่วนร่วม Participation
การมสี ่วนร่วมของประชาชนเปน็ กระบวนการซ่ึงประชาชน หรือผูม้ ีส่วนไดส้ ว่ นเสยี ได้มโี อกาสแสดง
ทัศนะ และเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ท่ีมีผลต่อชวี ิตความเป็นอยขู่ องประชาชน รวมทัง้ มกี ารนาความคิดเห็น
ดังกลา่ วไปประกอบการพจิ ารณากาหนดนโยบาย และการตัดสนิ ใจของรฐั การมสี ว่ นร่วมของประชาชนเปน็
กระบวนการส่ือสารในระบบเปดิ กลา่ วคอื เปน็ การสอ่ื สารสองทาง ท้ังอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซ่งึ
ประกอบไปด้วยการแบ่งสรรข้อมลู รว่ มกนั ระหวา่ งผ้มู ีส่วนได้ส่วนเสีย และเป็นการเสรมิ สร้างความสามัคคีใน
สังคม ระดับการใหข้ ้อมูล เป็นระดบั ตา่ สุดและเป็นวิธีการท่งี า่ ยท่ีสุดของการติดต่อส่ือสารระหว่างผู้วางแผน
โครงการกบั ประชาชน เพื่อใหข้ ้อมูลแก่ประชาชนเก่ียวกับการตัดสนิ ใจของผ้วู างแผนโครงการ และยงั เปดิ
โอกาสใหแ้ สดงความคดิ เห็นหรอื เข้ามาเกี่ยวข้องใดๆ เชน่ การแถลงขา่ ว การแจกข่าว การแสดงนิทรรศการ
และการทาหนังสอื พิมพ์ให้ข้อมลู เก่ียวกับกิจกรรมตา่ งๆ
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
111
หลักการมสี ่วนร่วมประกอบไปดว้ ยหลกั การสาคัญ 4 หลักการคือ
1.ระดบั การให้ข้อมูล เปน็ ระดับตา่ สดุ และเปน็ วธิ ีการท่ีงา่ ยทีส่ ุดของการตดิ ต่อสือ่ สารระหว่างผู้
วางแผนโครงการกับประชาชน เพอื่ ให้ข้อมูลแกป่ ระชาชนเกยี่ วกับการตดั สินใจของผวู้ างแผนโครงการ และยัง
เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นหรือเขา้ มาเก่ยี วข้องใดๆ เชน่ การแถลงขา่ ว การแจกขา่ ว การแสดงนิทรรศการ
และการทาหนังสอื พมิ พ์ให้ข้อมลู เกี่ยวกบั กจิ กรรมตา่ งๆ
2.ระดบั การเปิดรบั ความคดิ เหน็ จากประชาชน เป็นระดบั ขนั้ ทส่ี ูงกวา่ ระดับแรก กล่าวคือ ผูว้ างแผน
โครงการเชิญชวนให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเพื่อให้ได้ข้อมูลมากขึ้น และประเด็นในการประเมินข้อดี
ข้อเสียชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น การสารวจความคิดเห็นของประชาชนเก่ียวกับการริเร่ิมโครงการต่างๆ และการ
บรรยายให้ประชาชนฟังเก่ียวกับโครงการต่างๆ แล้วขอความคิดเห็นจากผู้ฟัง รวมไปถึงการร่วมปรึกษาหารือ
เป็นตน้
3.ระดับการวางแผนร่วมกัน และการตัดสินใจ เป็นระดับขั้นท่ีสูงกว่าการปรึกษาหารือ กล่าวคือ
เป็น เรื่องการมสี ่วนรว่ มที่มีขอบเขตกว้างมากข้ึน มคี วามรับผิดชอบรว่ มกนั ในการตัดสินใจ และวางแผนเตรียม
โครงการ และเตรียมรับผลที่จะเกิดขึ้นจากการดาเนินโครงการ ระดับนี้มักใช้ในกรณีท่ีเป็นเรื่องซับซ้อนและมี
ข้อโต้แย้งมาก เช่น การใช้กลุ่มท่ีปรึกษาซ่ึงเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้อง การใช้อนุญาโตตุลาการ
เพอ่ื ปญั หาข้อขดั แย้ง และการเจรจาเพื่อหาทางประนปี ระนอมกนั เป็นตน้
4.ระดับการพัฒนาศักยภาพในการมีส่วนร่วม สร้างความเข้าใจให้กับสาธารณชน เป็นระดับขั้นท่ี
สูงสุด ของการมีส่วนร่วม คือเป็นระดับที่ผู้รับผิดชอบโครงการได้ตระหนักถึงความสาคัญและประโยชน์ท่ีจะ
ได้รับจาก การมีส่วนร่วมของประชาชนและได้มีการพัฒนาสมรรถนะหรือขีดความสามารถในการมีส่วนร่วม
ของประชาชน ให้มากขน้ึ จนอยใู่ นระดับท่สี ามารถมีสว่ นร่วมไดอ้ ยา่ งเต็มท่ี และเกดิ ประโยชน์สูงสุด
5. หลกั สานึกรบั ผดิ ชอบ Accountability
มีความหมายกว้างกวา่ ความสามารถในการตอบคาถามหรืออธิบายเกย่ี วกับพฤติกรรมได้เทา่ นัน้ ยงั
รวมถึงความรับผิดชอบในผลงาน หรือปฏบิ ตั หิ น้าท่ใี ห้บรรลุผลตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ รวมทั้งการตอบสนอง
ตอ่ ความคาดหวังของสาธารณะ เป็นเร่อื งของความพร้อมท่ีจะรับผิดชอบ ความพรอ้ มท่ีจะถกู ตรวจสอบได้ โดย
ในแง่มมุ ของการปฏบิ ตั ิถือว่า สานึกรบั ผิดชอบเปน็ คุณสมบัตหิ รอื ทกั ษะที่บคุ คลพงึ แสดงออกเพ่ือเปน็ เคร่ืองช้ีว่า
ไดย้ อมรับในภาระกจิ ที่ไดร้ ับมอบหมายและนาไปปฏิบตั ดิ ว้ ยความรับผิดชอบ ประกอบด้วยหลกั การยอ่ ยดังนี้
1. การมีเป้าหมายที่ชดั เจน การมเี ปา้ หมายชดั เจนเปน็ สงิ่ สาคญั สง่ิ แรกของระบบสานกึ รบั ผิดชอบ
กล่าวคือ องคก์ ารจะต้องทาการ กาหนดเปา้ หมาย วัตถุประสงค์ของการปฏิบัติการสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้
ชดั เจนวา่ ต้องการบรรลุอะไรและ เมอ่ื ไรทตี่ ้องการเห็นผลลพั ธน์ นั้
2. ทกุ คนเปน็ เจ้าของร่วมกนั จากเป้าหมายท่ีได้กาหนดเอาไว้ ตอ้ งประกาศให้ทุกคนได้รับรแู้ ละเกิด
ความเขา้ ใจ ถึงสง่ิ ที่ต้องการ บรรลุ และเงอื่ นไขเวลาทต่ี ้องการใหเ้ หน็ ผลงาน เปดิ โอกาสให้ทุกคนได้เปน็ เจา้ ของ
โครงการสรา้ งวัฒนธรรมนี้ ร่วมกนั เพื่อใหเ้ กิดการประสานกาลังคนร่วมใจกนั ทางาน เพ่ือผลติ ภาพโดยรวมของ
องค์การ
3. การปฏิบตั ิการอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ความสาเรจ็ ของการสรา้ งวฒั นธรรมสานึกรบั ผิดชอบ อย่ทู ่ี
ความสามารถของหนว่ ยงานในการส่ือสาร สร้างความเขา้ ใจใหเ้ กดิ ข้นึ ในองคก์ าร ผู้บริหารให้ความสนบั สนุน
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
112
แนะนา ทาการตัดสินใจอยา่ งมีประสิทธิภาพ และมีการประสานงานรว่ มมือกันทางานระหวา่ งหนว่ ยงานต่างๆ
ในองค์การ
4. การจัดการพฤติกรรมท่ีไม่เอ้อื การทางานอย่างไมห่ ยุดยั้ง ปจั จบุ นั การเปล่ยี นแปลงนับว่าเป็นเรือ่ ง
ปกติ และทุกครั้งทม่ี ีการเปล่ียนแปลงมักจะมีการ ตอ่ ตา้ นการ เปล่ียนแปลงเสมอ หนว่ ยงานตอ้ งมมี าตรการใน
การจดั การกับพฤติกรรมการ ตอ่ ตา้ นการเปล่ยี นแปลงดงั กล่าว เพื่อให้ทุกคนเกิดการยอมรบั แนวความคิดและ
เทคโนโลยีใหม่ๆ
5. การมีแผนการสารอง ส่วนประกอบสาคญั ขององค์การท่ีมีลักษณะวัฒนธรรมสานึกรบั ผิดชอบ ต้องมี
การวางแผนฟืน้ ฟู ท่ีสามารถสอ่ื สารใหท้ ุกคนในองค์การได้ทราบและเขา้ ใจถึงแผน และนโยบายของ องค์การ
และท่สี าคัญคือ ต้อง มกี ารกระจายข้อมลู ข่าวสารท่ีถกู ต้องสมบรู ณ์ อยา่ งเปิดเผย
6. การติดตามและประเมินผลการทางาน องค์การจาเปน็ ต้องมีการติดตามและประเมนิ ผลการทางาน
เป็นระยะๆ อยา่ งสม่าเสมอ เพื่อตรวจสอบ ดูวา่ ผลงานน้นั เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพงานทก่ี าหนดไวห้ รือไม่
ผลงานที่พบว่ายังไมเ่ ป็นไปตามมาตรฐานที่ กาหนดตอ้ งมีการดาเนินการแกไ้ ขในทนั ที ขณะท่ีผลงานทีไ่ ด้
มาตรฐานต้องได้รบั การยอมรบั ยกย่องในองคก์ าร
6. หลกั ความคมุ้ คา่ Value for Money หลักการน้ีคานงึ ถึงประโยชน์สงู สดุ แกส่ ว่ นรวมในการบรหิ าร
การจัดการและการใชท้ รัพยากรทีม่ ีอยู่ อย่างจากดั สิง่ เหล่านเี้ ป็นผลในการปฏิบตั ิอนั เกิดจากการใช้
หลกั ธรรมาภบิ าลนั่นเอง ประกอบดว้ ย
1. การประหยดั หมายถึง
1.1 การทางานและผลตอบแทนบุคลากรเป็นไปอย่างเหมาะสม
1.2 การไม่มคี วามขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์
1.3 การมผี ลผลิตหรอื บรกิ ารได้มาตรฐาน
1.4 การมกี ารตรวจสอบภายในและการจัดทารายงานการเงิน
1.5 การมกี ารใช้เงินอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
2. การใชท้ รพั ยากรให้เกิดประโยชนส์ งู สดุ หมายถึง
2.1 มกี ารใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธภิ าพ
2.2 มกี ารพฒั นาทรพั ยากรบคุ คล
2.3 มีการใช้ผลตอบแทนตามผลงาน
3. ความสามารถในการแข่งขัน หมายถึง
3.1 การมนี โยบาย แผน วิสัยทัศน์ พนั ธกิจ และเป้าหมาย
3.2 การมกี ารเน้นผลงานด้านบรกิ าร
3.3 การมีการประเมนิ ผลการทางาน
3.4 ผูบ้ รหิ ารระดับสูงมสี ภาวะผนู้ า
เม่ือมีหลักการทีเ่ ปน็ แนวทางในการสร้างธรรมาภิบาลแลว้ หนว่ ยงานทีต่ ้องการใช้หลักการบริหารแนว
ใหมท่ ่มี ุ่งสรา้ งธรรมาภิบาลสามารถประยุกตใ์ ชไ้ ด้และวดั ระดบั การมธี รรมาภิบาลของหน่วยงานตนได้ โดยการ
เกบ็ รวบรวมข้อมลู ทงั้ จากผู้ใหบ้ รกิ ารและผู้รบั บริการ ตลอดจนรวบรวมข้อมูลท่ีมีอยแู่ ล้วในหนว่ ยงาน ภาพ
ขา้ งลา่ งน้เี ป็นตัวอย่างของการน าหลักการข้างตน้ ไปสรา้ งตวั ชว้ี ัดและนาไปทดสอบจรงิ ในหน่วยงาน และ
สามารถแสดงผลใหเ้ ข้าใจได้ง่าย ทาให้ผู้บรหิ ารสามารถนาไปปรับปรงุ แก้ไขการทางานของหน่วยงานใหม้ ี
ธรรมาภบิ าลมากข้ึนได้
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
113
รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างของผลการวดั ระดบั การมธี รรมาภิบาล
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
114
รูปที่ 3 การแสดงผลการวดั ระดับการมธี รรมาภบิ าล
แนวทางปฏบิ ตั ติ ามหลัก “ธรรมาภบิ าล”
ธรรมาภิบาลมีความเก่ียวข้องกับธุรกิจอย่างชัดเจน เพราะหลักทั้ง 6 ประการ สามารถนามาแปรเป็น
วิธีปฏิบัติสาหรับองค์กร เพราะเมื่อองค์กรมีการปฏิบัติท่ีดีต่อพนักงาน พนักงานก็มีความสุขมีขวัญและกาลังใจ
ในการทางาน ส่งผลให้พนักงานทุกคนรักและทุ่มเทในการทางาน และพร้อมมีส่วนร่วมในความก้าวหน้าของ
บริษัท ดังนั้น การนาธรรมภิบาลมาใช้เป็นแนวทางในการบริหารงาน จึงมีความสาคัญและจาเป็นต่อ
ความสาเร็จขององคก์ รทกุ ประเภททกุ ระดับ
1. การสร้างธรรมาภิบาลให้เกดิ ขน้ึ ทกุ ระดบั จะทาใหเ้ กิดการพฒั นาทย่ี ั่งยนื โดยมีคนเป็นศูนย์กลาง
อย่างแท้จริง ทาให้สังคมไทยเป็นสังคมเสถียรภาพ พัฒนา และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สร้างความเข้มแข็งให้
ประชาคมและเพิ่มการมีสว่ นรว่ ม
2. เป็นหลกั การพ้นื ฐานในการสร้างความเป็นธรรมในสังคมเอผลประโยชนใ์ ห้กบั คนทกุ ระดบั ไม่
วา่ คนรวยหรือคนจนในเร่อื งการมงี านทา การมรี ายได้ การพฒั นาทเี่ ทา่ เทยี มกนั และการมคี ณุ ภาพชีวิตที่ดขี น้ึ
3. ธรรมาภบิ าลชว่ ยลดบรรเทาหรอื แก้ปัญหาถึงแมป้ ัญหาท่เี กิดข้ึนจะมคี วามรนุ แรงกย็ ังช่วยลด
หรือบรรเทาความรนุ แรงลงไป และปัญหาทีไ่ มร่ ุนแรงก็อาจจะไมเ่ กิดขึ้นอีก อกี ทงั้ ทาให้สงั คมมีความเขม้ แข็งทุก
ดา้ น ท้ังทางคุณคา่ และจติ สานึกทางสงั คม การเมือง
4. ธรรมาภิบาลจะชว่ ยลดปญั หาการฉ้อราษฎรบ์ งั หลวงและสง่ เสริมให้คนมีความซ่ือสตั ย์สจุ ิต
5. ธรรมาภิบาลเป็นแนวคิดทเ่ี กอ้ื หนนุ สังคมประชาธิปไตยจะทาให้ประชาชนมสี ่วนรว่ มในการตัดสินใจ
และมีการตรวจสอบการทางานของรัฐโดยประชาชนและองค์กรทเี่ ก่ียวข้อง
6. ธรรมาภบิ าลจะชว่ ยให้ระบบบรหิ ารของรัฐมคี วามยุตธิ รรม เป็นทีน่ า่ เช่อื ถือทัง้ ในและต่างประเทศ
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
115
7. ธรรมาภิบาลเป็นแนวทางสาคัญในการจัดระเบียบให้สังคมท้ังภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชนและภาค
ประชาชน สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมีความรู้รักสามัคคีและร่วมกันเป็นพลัง ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่าง
ย่งั ยนื และเป็นส่วนเสรมิ สรา้ งความเข้มแข็งหรอื สร้างภมู คิ ุ้มกันแกป่ ระเทศ
ความสาเร็จในการสร้างระบบธรรมาภิบาล
ในการนาหลักธรรมาภิบาลไปใช้ในการบริหารจัดการทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพ่ือให้เกิดผลสาเร็จ
หน่วยงานตอ้ งดาเนนิ การ ดงั นี้
1. ต้องร่วมมือกันบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมไทยให้ดีย่ิงข้ึน หมายถึง ทุกภาคในสังคม ได้แก่
ภาครฐั ภาคธรุ กิจเอกชน และภาคประชาชน ตอ้ งร่วมมือกันบริหารกจิ การบ้านเมืองและสังคมไทยใหด้ ีย่ิงขึ้นๆ
ไป
2. ต้องดาเนินการอย่างต่อเนื่อง หมายถึง การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมท่ีดีต้องดาเนินการ
อย่างต่อเน่ือง โดยมีปัจจัยสาคัญ คือ ผู้นาและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ต้องเข้าใจมีจิตสานึก เห็นความจาเป็นและ
ความสาคญั ของการดาเนินการในเรื่องน้ี
3. หลกั การและวิธีการใชอ้ านาจ หมายถึง กระบวนการสร้าง การบริหารกิจการบา้ นเมอื ง และสงั คมท่ี
ดีในสังคมใดๆ ข้ึนอยู่กับวิธีการใช้อานาจ ซ่ึงแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ผู้ใช้อานาจและผู้ถูกใช้อานาจหากท้ัง
สองผ่ายพอใจในวิธีการบริหารกินการบ้านเมืองและสังคม ย่อมหมายความว่า สังคมน้ันมีการบริหารจัดการ
บ้านเมืองและสังคมทดี่ ี
4. ดาเนินการให้เป็นไปตามองค์ประกอบ องค์ประกอบการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมือง และ
สังคมท่ดี มี ี 4 ประการ คือ
ความเชอ่ื ของผู้มีอานาจวา่ อานาจสามารถแบ่งปนั ได้
กลไกการแบง่ ปนั อานาจ
กลไกการคานอานาจ
ระบบการตรวจสอบการใช้อานาจและการคานอานาจ
ประโยชน์ของธรรมาภบิ าล
ประโยชนข์ องธรรมาภิบาล แยกออกตามลักษณะองค์กรได้ 2 ประเภท คือ
1. ประโยชน์ของธรรมาภบิ าลต่อภาครัฐ
หลกั ธรรมาภิบาลจงึ ถอื เปน็ หลักพ้ืนฐานในการปกครองผู้ใต้บงั คบั บัญชาในการบรหิ ารจัดการ
เพราะจะช่วยให้สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกท้ังยังทาให้พนักงานทุกคนมีความสุขในการ
ทางาน และยังช่วยสร้างขวัญและกาลังใจที่ดี พร้อมปฏิบัติหน้าที่ตามท่ีตนได้รับมอบหมายอย่างเต็มกาลั ง
ความสามารถ ซึง่ จะสง่ ผลดีโดยรวมกับการดาเนนิ งานให้เจรญิ กา้ วหน้าต่อไปได้อกี ในอนาคต หลักธรรมาภบิ าล
มปี ระโยชน์ต่อภาครฐั
2. ประโยชนข์ องธรรมาภบิ าลตอ่ ภาคธุรกิจ
หลกั ธรรมาภบิ าลจงึ ถอื เป็นหลักพน้ื ฐานในการปกครองผใู้ ตบ้ งั คับบญั ชาที่ผปู้ ระกอบการ
SMEs ไทยจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนาใช้ในการบริหารจัดการ เพราะจะช่วยให้สามารถบริหารงานได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทาให้พนักงานทุกคนมีความสุขในการทางาน และยังช่วยสร้างขวัญและกาลังใจท่ีดี
พร้อมปฏิบัติหน้าที่ตามท่ีตนได้รับมอบหมายอย่างเต็มกาบังความสามารถ ซึ่งจะส่งผลดีโดยรวมกับการ
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
116
ดาเนินงานให้เจริญก้าวหน้าต่อไปได้อีกในอนาคต โดยสิ่งที่ส่งผลต่อกิจการธุรกิจ SMEs ไทยจากการนาหลัก
ธรรมาภิบาลไปใชใ้ นกิจการ
จริยธรรมในการบริหารจัดการ
ความหมายของจริยธรรมในการจดั การ
จริยธรรมในการจัดการ หมายถึง การบริหาร จัดการองค์การ อย่างมีคุณธรรมให้ก้าวไปข้างหน้า
อย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยการสร้างกลไก การควบคุม การดาเนินงานขององค์การเป็นไปอย่างโปร่งใส เกิด
ความเปน็ ธรรมต่อผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสีย
จริยธรรม (ethics) หมายถึง หลักการหรือความสาคัญในการตัดสินใจว่าส่ิงใดถูกหรือผิดบนฐาน
ของคุณธรรมบางประการ (morality) อันเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของคนในสังคม หรือกล่าวได้ว่า
ความสัมพันธ์ทางสังคมจะกาหนดรูปแบบของคุณธรรมท่ีเป็นมาตรฐานคอยช้ีวัดว่าสิ่งใดถูกหรือผิด เม่ือคาว่า
จริยธรรมมาอยู่กับคาวา่ “ธุรกิจ” ทาให้การประกอบธุรกิจในการแสวงหากาไรต้องคานึงถึงคุณธรรมบางอยา่ ง
ที่บอกว่าส่ิงใดถูกและส่ิงใดผิด จริยธรรมทางธุรกิจจึงเป็นอีกมาตรฐานหนึ่งที่ภาคเอกชนต้องคานึงถึง โดยนาย
เดวิด แพคการ์ด (David Packard) ผู้ก่อต้ัง ฮิวเวตต์ แพคการ์ด (Hewlett-Packard) บริษัทคอมพิวเตอร์และ
เทคโนโลยีชอื่ ดงั ได้กลา่ วไว้วา่
“…ใช่ การแสวงหากาไรเป็นสิ่งสาคัญพ้ืนฐานที่เราต้องทา กาไรเป็นตัวชี้วัดความสาเร็จและการ
เจริญเติบโตขององค์กร แต่มันไม่ใช่ส่ิงที่สาคัญมากท่ีสุดในความเป็นจริงแล้วการเป็นผู้ชนะทางธุรกิจจะถูก
ตัดสินใจจากสายตาของลูกค้าและสิ่งที่ทาให้คุณภูมิใจ มันเป็นตรรกะที่สมเหตุสมผล ถ้าเราสามารถจัดหาสิ่งท่ี
ลูกคา้ พอใจมาได้ เราก็จะสามารถได้กาไร...” (U.S. Department of Commerce, 2004: 4)
นอกจากน้ี นกั เขยี นทางเศรษฐศาสตรเ์ สรีนิยมชื่อดังอย่างมลิ ตนั ฟรายดแ์ มน (Milton Friedman) ได้
กล่าวไว้ว่า
“…บริษัทต้องรับผิดชอบต่อลูกจ้างโดยตรง และความรับผิดชอบ (ของผู้บริหาร) โดยท่ัวไปแล้วจะเป็นการทา
เงินให้ได้มากท่ีสุดเท่าท่ีจะสามารถกระทาได้ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องทาให้สอดคล้องกับกติกาทางสัง คม
ดว้ ย ทงั้ ในด้านของกฎหมายและธรรมเนียมปฏิบัตเิ ชิงจรยิ ธรรม …” (Friedman, 1970)
ในโลกตะวันตก จรยิ ธรรมทางธุรกิจถูกให้ความสาคัญมากย่ิงขึน้ พร้อมกับแนวคิดเร่ืองความรับผิดชอบ
ท า ง สั ง ค ม ข อ ง บ ร ร ษั ท (corporatesocial responsibility) ตั ว อ ย่ า ง เ ช่ น มี ก า ร จั ด ท า นิ ต ย ส า ร
ออนไลน์ Business Ethics เพื่อติดตามการทางานของภาคธุรกิจในเร่ือง ของจริยธรรม ธรรมาภิบาล ความ
รับผดิ ชอบของบรษิ ัท และความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คมอนั เนื่องมาจากการลงทุน โดยนติ ยสารดงั กล่าวมี เปา้ หมาย
สาคัญคือการส่งเสริมจริยธรรมในการปฏิบัติงานทางธุรกิจ และสนับสนุนการเติบโตของชุมชนผู้ปฏิบัติงาน
อย่างมืออาชีพและการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบจริยธรรมทางธุรกิจ เป็นแนวคิดที่สาคัญมากในสังคม
ปัจจุบันในการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับองค์กรธุรกิจ เพื่อให้ต้องหาสมดุลระหว่างผลกาไรและความ
รับผิดชอบต่อสังคม จรยิ ธรรมทางธรุ กิจเปน็ มาตรการคอยกากับการดาเนินธรุ กจิ ของภาคเอกชนทจ่ี ะบอกว่าสิ่ง
ใดถูกหรือส่ิงใดผิด ความเหมาะสม ของการแสวงหาผลประโยชน์อยู่ท่ีใด นอกจากน้ี จริยธรรมทางธุรกิจทาให้
การแสวงหากาไรจากการประกอบกิจการสามารถเป็นสงิ่ ที่ยอมรับได้จากสังคมและกลุ่มทางสังคมอ่ืนๆ เพราะ
ประเมินแล้วว่าเป็นการแสวงหากาไรที่สมเหตุสมผล เกินพอดี หรือสร้างปัญหาให้แก่สภาพแวดล้อมและชุมชน
ในระยะยาว
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
117
ภาพท่ี 4.1 จรยิ ธรรมในการจดั การขององคก์ าร
ทมี่ า : บางจากปิโตรเลยี ม จากัด (มหาชน) , บรษิ ทั
“การกากับดูแลกจิ การทดี่ ี” (ออนไลน์) เข้าถึงไดจ้ าก http://bcp-company.com/
corporate_governance.html. สืบคน้ 14 กรกฎาคม 2564.
หลักสาคัญของจริยธรรมในการจดั การ
2.1 หลักนิติธรรม คือ การมีกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบท่ีทันสมัยและเป็นธรรมเป็นท่ียอมรับและ
ยินยอมพร้อมใจของผู้ปฏิบัติงาน หน่วยงาน สังคม องค์การมีการปรับปรุงกฎระเบียบและการบังคับใช้ให้มี
ความรัดกมุ รวดเรว็ และเปน็ ธรรม
2.2 หลักคณุ ธรรม คอื การยึดมนั่ ในความถูกตอ้ งดีงามของศีลธรรม จริยธรรม และวฒั นธรรมท่ีสังคม
ยอมรับว่าพึงปฏิบัติ รณรงค์ให้พนักงานปฏิบัติหน้าท่ีให้เป็นตัวอย่างท่ีดีแก่สังคม ส่งเสริมสนับสนุนให้
ผ้ปู ฏิบัติงานมีความซ่อื สตั ย์ จรงิ ใจ ขยันอดทน มรี ะเบียบวนิ ัย ประกอบอาชีพสุจรติ
2.3 หลักความโปร่งใส คือ การสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในองค์การ โดยปรับปรงุ กลไก
การทางานของทุกหน่วยงานให้มีความโปร่งใส พนักงาน ประชาชน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
ได้ โดยสะดวกและเข้าใจงา่ ย และตรวจสอบความถูกต้องชัดเจนได้
2.4 หลักการมสี ่วนรว่ ม คือ เปิดโอกาสให้ผู้ปฏบิ ตั งิ าน ประชาชน หรือผูม้ ีสว่ นได้สว่ นเสีย มสี ว่ นร่วม
รับรู้ เสนอความคิดเห็นในการตัดสินใจปัญหาสาคัญของหน่วยงาน ไม่ว่าด้วยการแจ้งความเห็น การแสดง
ประชามติหรืออื่น ๆ
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
118
2.5 หลักความรับผิดชอบ คือ ตระหนักในสิทธิหน้าที่ หรือสานึกในความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ
ส่ิงแวดล้อม ใส่ใจปัญหาสาธารณะของหน่วยงาน กระตือรือร้นในการแก้ปัญหา เคารพในความคิดเห็นที่
แตกต่าง กลา้ ยอมรับผลดแี ละผลเสียจากการกระทาของตนเอง
2.6 หลักความคุ้มค่า คือ การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีจากัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่
ส่วนรวม รณรงค์ให้พนักงานประหยัดใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่มีคุณภาพ รักษา
และพฒั นาทรพั ยากรธรรมชาติให้สมบรู ณ์ยัง่ ยนื
ภาพท่ี 4.2 หลกั สาคญั ของการกากับดูแลองคก์ ารทดี่ ี
จรยิ ธรรมในการจัดการท่ีปฏบิ ตั ิตอ่ ผู้มีสว่ นได้ส่วนเสยี ในองค์การ
ผู้บริหารจะต้อง ดูแลองค์การที่รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มขององค์การ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียพึง
ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคือ เจ้าของกิจการสาหรับกิจการขนาดเล็ก เจ้าของเงิน
ลงทุนกับผู้บริหารมักเป็นบคุ คลเดียวกัน แต่กิจการขนาดใหญ่ทาให้ต้องระดมทุนจากนักลงทุนหรือบุคคลอ่นื ท่ี
มีความสนใจ ส่งผลให้กิจการต้องเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในจานวนมากข้ึน นอกจากผู้ลงทุน
แล้ว องคก์ ารยังมผี ู้มีสว่ นได้ส่วนเสียคือผู้ซื้อสนิ ค้า ผู้ขายสินคา้ พนกั งานลกู จา้ ง เจ้าหนา้ ท่ี รฐั บาล และสงั คม
โดยรวม ที่องค์การจะต้องกากับดูแลอย่างยุติธรรมและเสมอภาค โดยยึดหลักธรรมเป็นที่ตั้ง หมายถึง คุณ
ความดี คาสั่งสอนในศาสนา หลักประพฤติปฏิบัติในศาสนา ความจริง ความยุติธรรม ความถูกต้อง กฎ
กฎเกณฑ์ กฎหมาย เพ่ือก่อให้เกิดความยุติธรรมและความถูกต้องชอบธรรมท้ังปวงแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุก
กลมุ่ ขององค์การ
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
119
1.ตอ่ ผู้ถือหุ้น
บริษัทฯ มุ่งมั่นเป็นตัวแทนของผู้ถือหุ้นในการดาเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีระบบบัญชีและ
การเงนิ ที่มีความเชือ่ ถือได้ สรา้ งความพงึ
พอใจสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นโดยคานึงถึงการเจริญเติบโตของบริษัทฯ ในระยะยาว และผลตอบแทนในระดั บท่ี
เหมาะสมอยา่ งต่อเน่ืองโดย คณะกรรมการ ผบู้ ริหาร และพนกั งานทุกคน ปฏิบตั หิ น้าทด่ี ้วยความซ่ือสตั ย์สุจริต
ตลอดจนตัดสินใจดาเนินการใดๆ ด้วยความบริสุทธ์ิใจ และเป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้นทั้งรายใหญ่และรายย่อย และ
เพื่อผลประโยชนข์ องกลุม่ ผู้ที่เก่ียวขอ้ งอยา่ งเต็มความสามารถ ไม่ดาเนนิ การใดๆ ในลกั ษณะที่
อาจกอ่ ให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชนต์ ่อบรษิ ัทฯ ไม่แสวงหาประโยชน์ให้ตนเอง และไมเ่ ปดิ เผยข้อมูลลับ
ต่อบคุ คลภายนอก
2.ตอ่ ลกู ค้า
สร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าโดยการส่งมอบผลิตภัณฑ์ท่ีมีคุณภาพตามความต้องการของ
ลูกค้า เปิดเผยข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับการบริการอย่างครบถ้วนถูกต้อง ทันต่อเหตุการณ์ และไม่บิดเบือน
ข้อเท็จจริง จัดให้มีช่องทางการส่ือสารเพ่ือให้ลูกค้าร้องเรียนเก่ียวกับคุณภาพผลิตภัณฑ์ ไม่กาหนดเงื่อนไข
การค้าท่ีไม่เป็นธรรมต่อลูกค้าปฏิบัติตามสัญญา ข้อตกลง หรือเง่ือนไขต่างๆ ที่มีต่อลูกค้าอย่างโปร่งใสและเท่า
เทียมกัน และให้ความสาคัญในการรักษาข้อมูลท่ีเป็นความลับของลูกค้าอย่างสม่าเสมอ และไม่นาข้อมูล
ดงั กล่าวมาใชเ้ พ่อื ผลประโยชน์ของตนเอง และ/หรือ ผูท้ เี่ กี่ยวขอ้ งอื่นๆ
3.ต่อคคู่ า้ คู่แขง่ ทางการคา้ และเจ้าหน้ี
คานึงถึงความเสมอภาคและความซื่อสัตย์ในการดาเนินธุรกิจ และผลประโยชน์ร่วมกันกับคู่
ค้า โดยปฏิบตั ิตามกฎหมายและกตกิ าต่างๆ
อย่างเคร่งครัดและมีจรรยาบรรณท่ีดีทางธุรกิจในการแข่งขันทางธุรกิจ บริษัทฯ ยึดถือกติกาการแข่งขันท่ีเป็น
ธรรม
จริยธรรมในการจัดการท่ปี ฏบิ ตั ติ อ่ คแู่ ข่ง
ปัจจุบันองค์การมีคู่แข่งขันมากมายท่ีจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์การโดยเฉพาะองค์การ
ทางธุรกิจ ดังน้ันองค์การต้องปฏบิ ตั ิต่อคู่แข็งคือ การสนบั สนนุ ตลาดการค้าเสรี การส่งเสรมิ ใหเ้ กิดการแข่งขัน
ที่ดีการเคารพในทรัพย์สินทางปัญญา การงดเว้นซึ่งการโจรกรรมข้อมูลทางการค้า การให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ระหวา่ งคูแ่ ข่งขนั เปน็ ตน้
จริยธรรมในการจัดการที่ปฏิบัติต่อลูกค้า
เน่ืองจากลูกค้าเป็นบุคคลสาคญั ที่มีคากล่าววา่ ลูกคา้ คอื พระเจ้าหรอื ลูกคา้ คือนายของเรา
หรือลูกค้าต้องการมาก่อน เป็นต้น ดังน้ันองค์การจึงต้องนาหลักการกากับดูแลท่ีดีมาใช้ปฏิบัติกับลูกค้า เช่น
การยอมรบั ในศักดิ์ศรีของความเปน็ มนุษย์ คอื การให้บรกิ ารอยา่ งเสมอต้นเสมอปลายเท่าเทยี มกัน การจาหน่าย
สินค้าหรือให้บริการที่มีคุณภาพตามความต้องการของลูกค้าและการเคารพในวัฒนธรรมสังคมของลูกค้า เป็น
ตน้
จริยธรรมในการจัดการที่มีต่อสังคม ดร.ปรธภร ปุระกัน
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration
120
องค์การที่ดาเนินงานด้วยหลักคุณธรรมและจริยธรรมจะเป็นองค์การที่มีความรับผิดชอบ
ต่อสังคม ไม่ว่าเป็นความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ เมื่อองค์การดาเนินงานหรือกระทาบางอย่างอาจ
ผิดพลาดผู้บริหารต้องออกมายอมรับต่อสังคม ผู้บริหารต้องรับผิดชอบด้านกฎหมายคือ การปฏิบัติตาม
กฎหมาย ไม่ทาผิดกฎหมายการรับผิดชอบด้านจริยธรรม เช่น ไม่ผลิตสินค้าหรือบริการที่ไม่ถูกต้องหรือ
ทาลายสิ่งแวดล้อม ไม่ใช้สารพิษเป็นส่วนผสมในสินค้า เป็นต้น และควรเปิดเผยวิธีการดาเนินงาน และ
ผลการกระทาขององค์การให้สังคมได้รับทราบเพื่อให้เห็นว่าองค์การดาเนินงานท่โี ปร่งใส
การบรหิ ารการจัดการท่ีดกี ับจรยิ ธรรมองคก์ ร
จริยธรรมและคณุ ธรรมของผู้บริหาร เจา้ หน้าทแี่ ละบุคลากรขององค์กร
จรยิ ธรรม (Ethics) ในความหมายแคบ หมายถงึ ความประพฤติเพ่ือใหเ้ กดิ ความงดงามแกผ่ ู้ปฏบิ ัติ
และหมคู่ ณะของผ้ปู ฏบิ ตั ิ
จรยิ ธรรม (Ethics) ในความหมายกว้าง หมายถงึ การดาเนินชีวติ ความเป็นอยู่ การยังชวี ิต การครอง
ชพี การใชช้ วี ติ การเคลือ่ นไหวของทุกชีวิต ทุกแง่ ทุกด้าน ทุกระดับ ทงั้ ทางการกระทา การพดู และการสื่อสาร
ทางความคดิ ทีค่ รอบคลุมถึงตนเอง องคก์ รและสงั คมโดยรวม
คุณธรรม หมายถึง สภาพคณุ งามความดี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งกค็ ือ สภาพทีก่ ่อให้เกิดทั้งที่เปน็ คณุ ที่
งดงามและทม่ี ีความดี ดงั นนั้ คุณธรรมจึงเปน็ องค์รวมของจริยธรรม
คุณธรรมน้ันตอ้ งพิจารณาท้งั 2 สว่ นคอื
– ส่วนท่ีเปน็ ขอ้ พึงละเว้น หรอื ห้ามไม่ให้ปฏิบตั ิ (ด้านลบ)
– ส่วนทส่ี ง่ เสรมิ หรอื กระตนุ้ ให้เกิดการปฏิบตั ิ (ด้านบวก)
ความซ่ือสัตย์ หมายถึง ความสุจริต จริงใจ และเปดิ เผยอย่างแทจ้ รงิ ในการสือ่ สารทเ่ี กย่ี วข้องกับ
องค์กร และทุกระดบั ของการบรหิ ารและการปฏิบตั งิ าน
ประมวลจริยธรรมขององค์กร
ยึดถอื กลุ่มผมู้ ีผลประโยชน์รว่ มใหไ้ ดร้ ับการปฏบิ ัติทีเ่ ท่าเทียมกนั โดยยึดถือ “ประโยชนส์ ุขของ
ประชาชน” เปน็ วตั ถุประสงค์สูงสุด
จรรยาบรรณของคณะผู้บรหิ าร กรรมการ อนุกรรมการ และคณะทางาน
ผบู้ ริหารขององค์กร เป็นผทู้ ี่มีความรู้ ความสามารถในการบรหิ ารงาน จงึ ควรตอ้ งดารงไว้ซ่งึ
จรรยาบรรณของคณะผู้บรหิ ารองค์กร ท่ตี ้องถือปฏบิ ตั ิตามหลักการกากับและบรหิ ารงานทีด่ ีดงั น้ี
- ตอ้ งบรหิ ารความเสี่ยงอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพเพือ่ ใหอ้ งค์กรบรรลวุ ตั ถุประสงคต์ ามที่กาหนด
- ต้องปฏิบัตหิ นา้ ที่ให้เปน็ ไปตามกฎหมาย วตั ถปุ ระสงค์ และข้อบงั คับขององคก์ ร
- ตอ้ งบริหารเพื่อผลประโยชนข์ ององค์กรและพนักงาน ท้ังในปัจจบุ ันและอนาคต ตลอดจนรกั ษา
ภาพลกั ษณข์ ององค์กรโดยรวม
- ต้องบริหารงานดว้ ยความซ่ือสัตยส์ จุ ริต ไมฝ่ กั ใฝก่ ารเมือง โดยวางตวั เปน็ กลางอย่างเครง่ ครดั เพ่ือ
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
121
ผลประโยชนข์ ององคก์ รและพนกั งานทงั้ ในปัจจบุ ันและอนาคต
- ตอ้ งพร้อมท่จี ะแสดงความเห็นของตนอยา่ งเป็นอสิ ระ
- ตอ้ งไม่มีส่วนได้สว่ นเสยี ในกิจการที่ตนเปน็ ผบู้ ริหาร รวมทั้งในกจิ การท่มี ีลักษณะเป็นการแขง่ ขันกบั
องค์กรที่ตนเปน็ ผูบ้ รหิ ารอยู่ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
- ตอ้ งบรหิ ารงานดว้ ยความระมัดระวัง ไม่สร้างและไม่ก่อให้เกิดข้อผกู พนั ท่อี าจขดั แย้งกับหนา้ ท่ีของ
ตนภายหลงั
- พึงบรหิ ารงานทง้ั มวล โดยหลีกเล่ยี งความขดั แยง้ ทางผลประโยชนส์ ว่ นตนตอ่ ผลประโยชนข์ ององค์กร
เพอ่ื ให้การบรหิ ารงานเป็นไปอย่างมีประสทิ ธผิ ลและประสิทธภิ าพ
- ต้องปฏิบัติหนา้ ที่อยา่ งเต็มความสามารถเพื่อให้เกดิ ประโยชน์สงู สดุ ต่อองคก์ ร
- ต้องไม่กระทาการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการเขา้ ไปบริหารหรือจดั การใด ๆ หรือเอ้ือประโยชนใ์ ห้นิติ
บคุ คลหรอื ใหบ้ คุ คลใด ๆ ไม่วา่ จะทาเพื่อประโยชน์ของตนเองหรอื ของผู้อนื่
- ตอ้ งอุทิศเวลาและทมุ่ เทความสนใจทีเ่ ป็นประโยชน์และจาเป็นใหก้ บั องค์กรอย่างเตม็ ท่ี
- ตอ้ งมีความสามารถในศักยภาพแหง่ ตน มีความรู้ ความเขา้ ใจอย่างถ่องแท้ถงึ การดาเนินงานของ
องค์กร
- ตอ้ งร่วมมอื กบั กลุ่มตรวจสอบใน ซึ่งทาหน้าท่ีใหค้ าปรึกษาในดา้ นการควบคุมภายใน การบริหาร
ความเส่ียง และการกากับดูแลกิจการขององค์กร
- ตอ้ งพร้อมท่ีจะแสดงความเหน็ ของตนอยา่ งเป็นอิสระ
จรรยาบรรณของผู้บริหาร พนักงาน และลูกจา้ ง
- ตอ้ งปฏิบัตหิ นา้ ที่ใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมาย วัตถปุ ระสงค์ และระเบยี บข้อบังคับขององคก์ ร และมตทิ ี่
ประชุมของคณะผบู้ รหิ าร
- ควรมีมนษุ ยส์ มั พนั ธ์ท่ดี ี มีกริ ิยามารยาทที่สุภาพเรยี บร้อยต่อผ้รู ่วมงานและผ้ทู ี่เกี่ยวขอ้ ง
- ต้องประพฤติตนใหเ้ หมาะสมกับทีเ่ ป็นพนักงานขององคก์ รและตอ้ งรกั ษาและเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดี
ขององค์กรใหเ้ ป็นทย่ี อมรับโดยท่ัวไป
- ตอ้ งไมแ่ สวงหาผลประโยชน์อันมชิ อบจากหน้าท่ีความรบั ผดิ ชอบไม่วา่ ทางตรงหรือทางอ้อม
- ตอ้ งไม่ฝกั ใฝใ่ นกลุ่มการเมือง และต้องวางตวั เปน็ กลางอยา่ งเคร่งครัด2
2 https://itgthailand.wordpress.com/, ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration
122
สรุป
ธรรมาภิบาล เป็นหลักการท่ีนามาใช้บริหารงานในปัจจุบันอย่างแพร่หลาย ด้วยเหตุเพราะ ช่วย
สร้างสรรค์และส่งเสริมองค์กรใหม่ศักยภาพและประสิทธิภาพ อาทิ พนักงานต่างทางาน อย่างซ่ือสัตย์สุจริต
และขยันหมั่นเพยี ร ทาให้ผลประกอบการขององค์กรธุรกจิ น้ันขยายตัว นอกจากนแี้ ล้วยังทาใหบ้ ุคคลภายนอก
ที่เกี่ยวข้อง ศรัทธาและเชื่อม่ันในองค์กรนั้น ๆ อัน จะทาให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง เช่น องค์กรท่ี
โปร่งใส ย่อมได้รับความไว้วางใจใน การร่วมทาธุรกิจ รัฐบาลที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ย่อมสร้างความเช่ือม่ัน
ให้แก่นกั ลงทนและ ประชาชน ตลอดจนส่งผลดีตอ่ เสถียรภาพของรัฐบาลและความเจริญกา้ วหน้าของ ประเทศ
หลักธรรมาภบาลน้ันประกอบด้วย 6 หลักการคือ 1) หลักคุณธรรม 2)หลักนิติธรรม 3)หลักความ
โปร่งใส 4)หลักความมีส่วนร่วม 5)หลักความรับผิดชอบ 6)ความคมุ้ คา่ แตจ่ ะเปน็ หลักการใดก็ตาม ก็จะเห็น
ว่าหลักการทงั้ หลายล้วนมีจุดมุ่งหมายที่จะรักษา “ความสมดลุ ” ในมติ ติ ่างๆไว้ เช่น หลักคุณธรรมกค็ ือการ
รักษาสมดุลระหว่างตนเองกับผู้อ่ืน คือไม่เบียดเบียน ผู้อ่ืนหรือ ตัวเองจนเดือดร้อน ซึ่งการที่มีความโปร่งใส
เปิดโอกาสให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องมีส่วนร่วม ตรวจสอบ ก็เพื่อมุ่งให้ ทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้องได้เห็นถึงความสมดุลดังกล่าว
ว่าอยู่ในวิสัยที่ยอมรับได้ ส่วนหลักความรับผิดชอบ ก็ต้องสมดุลกับเสรีภาพท่ีเป็นสิ่งที่สาคัญของทุกคน และ
หลักความคุ้มค่า ก็ต้องสมดุลกับหลักอื่นๆ เช่น บางคร้ังองค์การอาจมุ่งความคุ้มค่าจนละเลยเร่ืองความเป็น
ธรรมหรือโปร่งใส หรือบางคร้ังท่ีหน่วยงาน โปร่งใสมากจนคู่แข่งขันล่วงรู้ความลับที่สาคัญในการประกอบ
กิจการ ความสมดลุ หรอื ธรรม จึงเปน็ ส่วนประกอบที่สาคัญของธรรมาภิบาล
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
123
คาถามท้ายบท
คาช้แี จง ใหน้ ิสิตตอบคาถามตอ่ ไปน้พี รอ้ มอธิบาย
1. จงอธบิ ายความหมายของ จรยิ ธรรม ในการจดั การให้ถกู ต้อง
ตอบ
2. จริยธรรมในการจดั การที่ปฏบิ ตั ติ อ่ ผมู้ สี ่วนได้ส่วนเสีย อยา่ งไร
ตอบ
3. จากทห่ี นว่ ยงานราชการต่างๆ มบี รกิ ารข้อมลู สารสนเทศให้บริการต่อประชาชนท่วั ไปได้ทราบถงึ การ
ดาเนนิ งาน หรือสามารถตรวจสอบการบรหิ ารจัดการหนว่ ยงานได้ ดวั งนน้ั หนว่ ยงานราชการเหล่าน้นั
ได้ใชห้ ลกั จริยธรรมในการจัดการใด
ตอบ
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
124
บทท่ี 11
การบรหิ ารจัดการแนวพทุ ธ
การบรหิ ารจัดการแนวพุทธเปน็ ความพยายามในการนาํ เอาหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาประยุกต์
กับวิชาสมัยใหม่ ทั้งนี้ เพราะพุทธธรรมเป็นนามธรรมสูงกว่าความรู้สมัยใหม่ใดๆ พุทธธรรมจึงสามารถ
ครอบคลุมทงั้ วิทยาศาสตรแ์ ละ สังคมศาสตร์ได้ทง้ั หมด
การทาํ งานใหส้ ําเร็จและมีความสขุ
คนทุกคนย่อมต้องการทํางานให้สําเร็จ หากทํางานให้สําเร็จไม่ได้ การทํางานจะเต็มไปด้วยความทุกข์
ทรมานท้ังกายและใจ คนที่จะสามารถทํางานให้ประสบความสําเร็จ และมีความสุขในการทํางานน้ัน ควรยึด
หลกั ธรรมะ 5 ข้อ ดงั นี้
1. ศรัทธา คือ การเช่ือม่ันท่ีประกอบด้วยเหตุผลหรือปัญญา เราต้องศรัทธาในองค์การ ผู้นํา เพื่อน
ร่วมงาน และตัว เราเอง เม่ือเรามีศรัทธาต่อส่ิงใดแล้ว จะทําให้เรามีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งน้ัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการ
ทาํ งานเป็นทมี เกดิ พลงั ในการทํางาน ร่วมแรงร่วมใจกนั การทํางานจึงมคี วามสขุ
2. ฉันทะ คือ ความพอใจ ความตอ้ งการในการทํางาน และทําให้ดียงิ่ ขึ้น ฉันทะจึงเปน็ สิ่งสําคัญในการ
ทํางานให้ ประสบความสําเรจ็ และมีความสขุ
3. วริ ยิ ะ คือ ความเพียรพยายาม ความมุ่งมัน่ ทํางานสิ่งใดใหส้ าํ เร็จ ไม่ยอ่ ท้อตอ่ อุปสรรคใดๆ งานต่างๆ
ไม่อาจ สําเร็จลงได้หากปราศจากความเพียร พระพุทธเจ้ายังเคยตรัสไว้ว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความ
เพยี ร หมายความวา่ ความสําเรจ็ ในธรรมของพทุ ธนน้ั ต้องอาศยั ความเพยี รอยา่ งมาก
4. สมาธิ คือ การตั้งจิตม่ันอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างเดียว สมาธิเกิดจากศีลหรือวินัยในตน สามารถ
ควบคุมจิตให้นิ่ง จดจ่อกับการทํางาน สมาธิจึงก่อให้เกิดสติปัญญา รู้แจ้งตามความเป็นจริง สามารถทํางานได้
อยา่ งเฉลยี วฉลาดได้
5. สันโดษ คือ ความพอใจในส่ิงที่ตนมีอยู่ พอใจในส่ิงท่ีได้มาด้วยนํ้าพักนํ้าแรงและความบริสุทธ์ิ
ยุตธิ รรม เมอื่ มคี วาม พอใจ จติ จึงสงบ เยอื กเยน็ และเป็นสุข
ผูบ้ รหิ ารจดั การแนวพุทธ
ผู้บริหารจัดการแนวพุทธ ผู้บริหารจัดการท่ีดี ควรจะมีธรรมะที่เอ้ือต่อการทําหน้าท่ีนั้นๆ ดังน้ี ธรรมะ
สาํ หรบั การนาํ ธรรมะสาํ หรับการนาํ
1. ปัญญา ผู้นําจะต้องมีปัญญาท่ีเฉลียวฉลาด ไม่ว่าจะเป็นปัญญาจากการฟัง การคิด และการปฏิบัติ
2. การมพี ลงั ผ้นู ําจะตอ้ งมีพลังในด้านตา่ งๆ เช่น พลงั กาย พลังปญั ญา
3. ทศพิธราชธรรม คอื หลักธรรม 10 ประการสําหรับนกั ปกครอง ดังน้ี ทาน ศลี ปรจิ าคะ ความ
ซ่ือตรง ความอ่อนโยน สามารถสละกิเลส ความไม่โกรธ ความไม่เบียดเบียน ความอดทน และความมั่นคงใน
ธรรม
4. ราชสงั คหวัตถุ คือ ความสามารถประเภทตา่ งๆ ของผูน้ ําทดี่ ี เชน่ ความฉลาดในการบํารุง
ผใู้ ตบ้ งั คับบัญชา ความมี วาจานา้ํ ใจ ธรรมะสําหรบั การบริหารจัดการ ธรรมะสาํ หรบั การบรหิ ารจดั การ
1. หลกั ธรรมาธปิ ไตย คอื การมีหลกั ยดึ เป็นมาตรฐาน และดําเนนิ การตามหลักการอย่าง
ม่ันคง
2. หลกั พรหมวิหาร คอื การใชค้ วามเมตตา กรุณา มทุ ิตา อเุ บกขา
3. การเล่ียงความลําเอยี งหรืออคติ
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
125
4. การเลยี่ งการทํางานทม่ี โี ทษ เชน่ เวน้ จากการคบคนช่วั เป็นมติ ร
องค์การสงั คมแนวพุทธ
องค์การสังคมแนวพุทธ องค์การแนวพุทธจะอาศัยทั้งวัฒนธรรมพุทธและพุทธธรรม และจะเน้นหนัก
ในด้านจิตใจมากกว่าวัตถุ อย่างไรก็ดี องค์กร ท้ังสองแบบ คือ ทางโลกและทางธรรม ต้องอาศัยกันและกัน
องค์การท่ีใช้ทั้งสองแนวทางจะเกิดผลดีมากกว่า การที่ องค์การใดๆ จะมีความม่ันคงได้นั้น มีปัจจัย 7 ด้าน
ดงั น้ี
1. คุณภาพของสมาชกิ
2. คุณธรรมของสมาชกิ
3. ความสงบสุขของสมาชิก
4. คุณภาพของผู้บรหิ าร
5. คุณธรรมของผ้บู รหิ าร
6. ความสงบสขุ ของผบู้ รหิ าร
7. หลักการบริหารการนําองค์การ ปัจจัยเหล่าน้ีจะส่งผลใหอ้ งค์การดํารงคงอยู่เป็นเวลานาน สามารถ
ปฏบิ ัติงานได้อยา่ งมี ประสิทธภิ าพประสิทธิผล คมุ้ ค่ากับทนุ ทรัพย์และแรงกายแรงใจท่ีลงทุน
การพฒั นาองค์การ
การพัฒนาองค์การ เมื่อองค์การม่ันคงแล้ว เราจะหยุดแค่นั้นไม่ได้ จําเป็นต้องมีการปรับปรุง
เปล่ียนแปลงตลอดเวลา เรียกว่า การพัฒนา องค์การ สามารถทําได้ท้ังทางโลกและทางธรรม สําหรับการ
พัฒนาทางโ ลกน้ัน มีวิธีการทําได้หลากหลายรูปแบบ เช่น Reengineering, Human Resource
Development หรือ Knowledge Management แต่สําหรับการพัฒนาองค์การ ทางธรรม (Buddhist
organization development) คือ การใช้หลักธรรมเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาองค์การ ตัวแปรที่ จะพัฒนา
นัน้ กค็ ือ องคป์ ระกอบหลักขององคก์ ารนัน่ เอง ได้แก่
1. สมาชกิ องคก์ าร สมาชิกองค์การ ตอ้ งส่งเสริมในด้านคุณภาพ คุณธรรม และความสขุ ของสมาชิก
2. ผู้นํา ต้องพฒั นาเช่นเดยี วกนั กับสมาชกิ นัน่ กค็ อื ดา้ นคุณภาพ คณุ ธรรม และความสุข
3. หลักการบริหาร หลักการบริหาร ต้องส่งเสริมหลักการบริหารจัดการที่ดี เมื่อการพัฒนาทางโลก
ผสมผสานกับการพัฒนาทางธรรม ย่อมทําให้องค์การนั้น เป็นองค์การที่มีสันติภาพ เป็นองค์การ แห่งการ
เรยี นรู้ มีความสามารถในการบริหารจดั การตนเองได้ รักษาความสมดุลของสง่ิ แวดลอ้ ม และเปน็ องคก์ ารท่ีมีจิต
วิญญาณหรือมจี ติ สาํ นกึ ชุมชนนนั่ เอง
การจดั การทรัพยากรมนษุ ย์แนวพุทธ
การจัดการทรัพยากรมนุษย์แนวพุทธ การจัดการทรัพยากรมนุษย์ในทางโลกน้ัน เป็นเร่ืองการจัดการ
คนในองค์การ ซึ่งมงุ่ กจิ กรรมหลัก ดงั นี้ การวางแผนดา้ น กาํ ลังคน การคดั เลือกบุคคลเข้าสู่องค์การ การพฒั นา
ทรัพยากรบุคคล และการรักษาคนดีมีฝีมือไว้ในองค์การ ในทางโลก มีทฤษฎีมากมายสําหรับการจัดการ
ทรัพยากรมนุษย์ ถ้าองคก์ ารใดนาํ หลกั ธรรมไปใชค้ วบคู่กันด้วยแลว้ องค์การนนั้ จะเกิด ประโยชน์สงู สุด
1. แนวทางการคัดเลือก แนวทางการคัดเลือก สําหรับการคัดเลือกทางโลก กรรมการจะต้องยึดหลัก
คุณธรรม (Merit System) แต่ในทางศาสนาน้ัน จะต้องใช้หลักความไม่มีอคติควบคู่กันไปด้วย นั่นคือ ไม่
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
126
ลําเอียงเพราะชอบ ชัง หลง และกลัว พร้อมกันน้ัน ผู้ที่เข้ามาเป็นกรรมการคัดเลือก ควร เป็นคนรู้จักเหตุ รู้จัก
ผล รู้จักตน รจู้ ักความพอดี ร้จู ักเวลา รจู้ ักชุมชน และรู้จกั ความแตกต่าง ของบุคคล
2. แนวทางการพัฒนา แนวทางการพัฒนา การพัฒนาแนวพุทธจะเน้นย้ําในเร่ือง การเรียนรู้
ตลอดเวลา หรอื (Life is education) ซ่ึงจะกล่าวถงึ ในบทถัดไป
3. การเก็บรักษาคนดีไว้กับองค์การ การเก็บรักษาคนดีไว้กับองค์การ นอกจากหลักทางโลก เช่น
สวัสดิการ ความสามัคคีใน องค์การ ฯลฯ ท่ีมุ่งให้บุคลากรอยู่กับองค์การแล้ว ทางพระพุทธศาสนาน้ัน มีหลัก
อปรหานียธรรม 7 ประการ ที่ส่งเสรมิ การรักษาคนดีไว้กับองค์การ ดงั นี้ หมน่ั ประชมุ กันเนืองนติ ย์, มาประชุม
กันพร้อมเพรียง, ไม่บัญญัติหลักใหม่ที่ขัดกับหลักเดิม, เคารพนับถือผู้ใหญ่, คุ้มครองสตรี, เคารพส่ิงสําคัญของ
ชาติ และคมุ้ ครองผู้ทรงธรรม
การประยุกต์หลกั พทุ ธธรรมเพ่ือใชใ้ นการบรหิ ารจดั การ
พุทธธรรมมีแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยความเชื่อท่ีว่า ชีวิตคือการศึกษา (Life is
education) มีชีวิตอยู่ ก็ต้องมีการศึกษาตลอดเวลา คนทุกคนท่ีเกิดมาต้องได้รับการพัฒนา เม่ือพัฒนาแล้วจึง
จะถือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐอย่าง แท้จริง การพัฒนาแนวพุทธน้ันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาทั้งคนและองค์การ
บุคลากรพัฒนาเป็นคนดี มีคุณภาพ มี ความสุข องค์การเข้มแข็ง การพัฒนาแนวพุทธน้ันจะมุ่งพัฒนาคนแบบ
องค์รวม คือ วิธีไตรสิกขา หรอื บทเรยี น 3 เรื่องที่ มนุษย์ตอ้ งเรียนรู้และฝกึ ฝนใหเ้ กิดความชาํ นาญ ดังนี้
1. ศีลสิกขา ศีลสิกขา หรือ การพัฒนากาย (ศีล) เป็นการเรียนรู้และฝึกทักษะเร่ืองระเบียบวินัยของ
สงั คม ทําใหก้ ายและ พฤติกรรมพฒั นา
2. สมาธสิ กิ ขา สมาธสิ ิกขา หรอื การพัฒนาจิต (สมาธ)ิ เป็นการเรยี นรู้และฝึกทักษะทางด้านจิตใจ ทํา
ใหจ้ ิตใจพฒั นา จิตอยูก่ บั งาน ไมป่ ระมาท
3. ปัญญาสิกขา หรือการพัฒนาปัญญา สามารถทําได้โดย การคบหากับบัณฑิต การศึกษาหาความรู้
การคดิ พจิ ารณา และการปฏิบตั ติ ามความร้ทู ฤษฎี
การจดั การความรเู้ ชงิ พุทธ
การจดั การความร้เู ชงิ พุทธ การจดั การความรู้ คือ การคัดเลือกหรือสร้าง แล้วแพรก่ ระจายความรเู้ ข้า
ไปในองค์การ เพื่อให้องค์การมปี ระสทิ ธภิ าพ ในทางพุทธนั้น ความรทู้ เ่ี หมาะสาํ หรับการจดั การความร้บู ่งได้ 3
ประเภท คือ
1. ความรูท้ ่ัวไป ความรูท้ ัว่ ไป คลอบคลมุ ความรใู้ นด้านต่างๆ เชน่ ชีวติ ธรรมชาติ
2. ความรสู้ าํ หรบั สมาชิกองค์การ ความรู้สําหรบั สมาชิกองคก์ าร เชน่ แนวทางสรา้ งปญั ญา แนวทาง
สร้างความสขุ และแนวทางการทํางานใหป้ ระสบความสาํ เร็จ
3. ความรู้สําหรบั องค์การ ความรสู้ าํ หรับองค์การ เชน่ สงั คหวตั ถุ สารานยิ ธรรม พรหมวหิ าร
จักรวรรดิวัตร พละ ขั้นต่อไปคือการถา่ ยทอดความรู้ ซง่ึ ควรประกอบไปด้วยกัลยาณมิตร และโยนิโส มนสกิ าร
(การคดิ เปน็ ) ทงั้ สองสิ่งน้ี จะช่วยเสรมิ กันและกันใหก้ ารถ่ายทอด ความรสู้ าํ เรจ็ ลลุ ่วงไปได้
การบรหิ ารจดั การสมยั ใหม่1
1 พระครสู มหุ ไ์ พฑูรย์ พนมสวย,วารสาร มจร.หรภิ ญุ ชยั ปรทิ รรศน์ : ปีท่ี 3 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2562.
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
127
การบริหารงานองค์กร มีองค์ประกอบสําคัญท่ีนักบริหารงานควรคํานึงเพ่ือให้การบริหารงานประสบ
ความสําเร็จประกอบไปด้วย เงิน (money) วัตถุดิบ (materials) เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ (machine or
equipment) และแรงงานหรือคน (man) องค์ความรู้ในการบริหารงาน ในยุคต้น ๆ ของการพัฒนาการ
บริหารงาน สมัยใหม่ จะคิดถึงองค์ประกอบสําคัญดังกล่าว เพ่ือพิจารณากําหนดเป้าหมายขององค์กรว่าจะมี
ทิศทางหรือแนวทาง ในการบริหารองค์กรอย่างไร แต่ต่อมามีการพัฒนาระบบการบริหารงาน เพ่ือรองรับการ
เปลี่ยนแปลงขององค์กรตาม โลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง จึงมีการสร้างระบบการบริหารงานที่เน้นคนมาก
ย่ิงขึ้น รวมท้ังปรับปรุงและพัฒนาระบบ การบริหารงานสมัยใหม่ เพื่อรองรับการเปลย่ี นแปลงท่ีหลากหลายขึ้น
จึงได้มีแนวความคิดในการบริหารคนหรือ ทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรของตน เพื่อความสําเร็จและบรรลุผล
สําเร็จ โดยให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือ นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เข้ามาสนับสนุนการบริหารงานของ
องค์กร เพราะเนื่องจากประเทศไทยต้องยอมรับการ เปลี่ยนแปลง ซ่ึงถือว่าเป็นประเด็นท่ีสําคัญของสังคมไทย
หรือองค์กร ต้องให้ความสนใจ สนใจ เพราะว่าการบริหาร จัดการจะตอ้ งมปี ฏิสัมพนั ธ์กับสง่ิ แวดล้อม เน่ืองจาก
โลกในอนาคตเป็นโลกท่ีทํางานในส่งิ แวดล้อมท่ีเป็นพลวตั รมาก ขึ้น การแข่งขันจะมีอัตราท่ีสูงข้ึน และเป็นการ
เปลี่ยนแปลงในเรื่องของความคาดหวังทางสังคมเพิ่มข้ึนและจะกดดัน เรียกร้องในองค์กร การปรับตัวเพื่อ
แสวงหาแนวทางในการบริหารจัดการองค์กรให้สอดคล้องกับการเปลีย่ นแปลงทาง สังคม หลักการบริหารงาน
สมัยใหม่กับหลักการบริหารงานเชิงพุทธศาสตร์โดยเฉพาะการพยายามให้เกิด “ การมี ส่วนร่วม
(Participation)” มากขึ้น “ การให้อํานาจ (Empowerment)““การเข้าไปเกี่ยวข้อง (Involvement)” “กา
รท างานเป็นทีม (Teamwork)” ทั้งหมดจะต้องพัฒนา ไปพร้อม ๆ กันโดยผ่านกระบวนการจัดการอย่างมี
ประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความม่ันใจจากองค์ประกอบสําคัญข้างต้น คือบุคคล(man) เงิน (money) วัสดุ
อุปกรณ์ (materials) และ การจัดการ (management) หรือกระบวนการทางการบริหาร(Administration)
นักวิชาการ ชื่อ Lather Gulicks และ คณะ ได้เสนอแนวคิดเก่ียวกับกระบวนการบริหาร1 ท่ีเรียกว่า
“POSDCORB” ไว ้7ประการ คอื
Planning การวางแผน คือ การกําหนดเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ขององค์กรว่าจะดําเนินการไปได้
อย่างไร และวธิ กี ารปฏิบัติทีจ่ ะทาํ ให้บรรลเุ ป้าหมายน้ันตอ้ งดาํ เนินการอยา่ งไรบ้าง
Organizing การจัดองค์การ คือ การจัดตั้งโครงสร้างอํานาจอย่างเป็นทางการภายในองค์กร เพ่ือให้
ปฏิบัติงาน และการประสานงานต่างๆ ระหว่างภายในหน่วยงานองคก์ รสามารถดําเนินไปได้อย่างเปน็ ระบบท่ีมี
ระเบยี บ
Staffing การบริหารงานบุคคล คือ การดําเนินการเก่ียวกับการสรรหา บรรจุ พัฒนา รักษาบุคลากร
องค์กร รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศทดี่ ีตอ่ การท างานให้เกดิ ขนึ้ ภายในองคก์ ารดว้ ย
Directing การอํานวยการ คือ การตัดสินใจดําเนินการเร่ืองต่างๆ และแปลงการตัดสินใจนั้นออกมา
เป็น คําสั่งการและคําแนะนําให้แก่บุคลากรในองค์กร นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการสร้างภาวะผู้นําของผู้บริหาร
หรือ ผู้บงั คับบัญชาอกี ดว้ ย
Coordinating การประสานงาน คือ การเชื่อมโยงการท างานของหน่วยงานต่างภายในองค์กรเข้า
ด้วยกัน เพ่ือให้เกิดการท างานที่มีความสอดคล้อง สัมพันธ์และไปในทิศทางเดียวกันกับเป้าหมายขององค์กร
Reporting การรายงาน คือ การแจ้งข้อมูล รายละเอียด ความเคล่ือนไหวขององค์กรให้บังคับบัญชาหรือ
บุคลากรทีม่ ีหนา้ ที่เกี่ยวกับขอ้ งได้รับทราบ
Budgeting การงบประมาณ คือ การวางแผนรายรับ-รายจ่าย รวมทั้งการจัดทําบัญชีขององค์กร
หลักการ POSDCoRB น้ีถือได้ว่าเป็นหลักการพ้นื ฐานทางการบรหิ ารองค์กรโดยท่ัวไปใช้ในการ
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
128
ดาํ เนินงานของ องค์กรจนกระท่งั ถึงปัจจบุ นั และถงึ แม้ว่าจะมกี ารปรับปรุงเพิ่มเตมิ ในประเด็นอืน่ เพ่ิมขน้ึ มาบ้าง
แต่ก็ถือว่าเป็นหัวข้อ ย่อยท่ีแยกจากแนวทางหลักท้ัง 7 ประการ แนวคิดนี้จึงเป็นแนวคิดท่ีทรงอิทธิพลอย่างยงิ่
ในการบรหิ ารงาน
ท ฤ ษ ฎี ก า ร บ ริ ห า ร ส มั ย ใ ห ม่ ( Modern Management Theory or Behavioral Approach to
Management)
แนวคิดใหม่ของนักวิชาการและนักบริหารคือ ความพยายามเพิ่มประสิทธิภาพองค์การ โดยการเพ่ิม
ประสทิ ธภิ าพการบริหารจดั การทรัพยากรมนุษย์ กลมุ่ นมี้ ีแนวคดิ ว่า การบรหิ ารจะประสบความสาํ เร็จได้ คนใน
องค์การต้องร่วมมือ รว่ มใจ สามัคคี มจี ดุ มุ่งหมายเดียวกัน การทาํ งานต้องเป็นทีม(Team) และการบรหิ ารต้อง
จดั เป็นระบบ (System) ข้ันตอนการทํางานตอ้ งสมั พันธก์ ัน กลุ่มนกั วิชาแนวคดิ นี้จึงได้เสนอ
1) Chester I. Barnard ( 1938) Barnard
ได้รบั การยกยอ่ งวา่ เปน็ บดิ าแห่งพฤติกรรมศาสตร์ (Behavior science) เขาเป็นประธานของ
บริษัท New Jersey Bell ในปี ค.ศ. 1927 เขาใช้ประสบการณ์ในการบริหารงานและการทํางาน ความรู้
ทางดา้ นสงั คมวทิ ยา ปรชั ญา สรา้ งทฤษฎีชวี ติ ทางดา้ นองคก์ ารขึน้ แนวคิดของ Barnard คือ
- องค์การ เป็นโครงสร้างทางสงั คม (Social structure) เป็นท่ีรวมของกายภาพ (เก่ียวกับสิ่งไม่มชี วี ติ )
ชวี ภาพ บคุ คล และสงั คม ซึ่งมีความสลบั ซบั ซอ้ น และมพี ลวตั (แรงและผลของแรง)
- การบริหารจัดการต้องเป็นไปท้ังระบบ (wholes) มากกว่าเป็นส่วนๆ (piece by piece) ดังเช่นนัก
ทฤษฎี สมัยก่อน เขาได้เน้นเร่ืองราวทางด้านจิตวิทยาองค์การ ซึ่งนับได้ว่าเป็นทฤษฎีการบริหารจัดการ
สมยั ใหม่
- พฤติกรรมศาสตร์ (Behavior science) เห็นว่า คนคือหัวใจของการผลิต เทคโนโลยี กฎท่ีทํางาน
หรอื มาตรฐาน ไม่ไดเ้ ปน็ หลกั ประกนั ผลงานที่ดเี สมอไป แตผ่ ลงานทีด่ ีจะมาจากการจูงใจคน
- ระบบ (Sytem) หมายถึงสิ่งต่างๆ ท่ีต้องพึ่งพากัน และรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เช่นร่างกาย -ระบบ
บริหารจัดการ (Management system) หมายถึงส่วนต่างๆ จํานวนหน่ึงที่สัมพันธ์และขึ้นอยู่ต่อกัน เป็น
อนั หน่ึงอันเดียวกนั เพ่ือกระทําการอย่างใดอยา่ งหนึ่ง หรือหลายอยา่ ง ใหส้ ําเรจ็ ตามความตอ้ งการ เพ่ือให้บรรลุ
เป้าหมายขององค์การ ความสามารถ และความอ่อนไหว ในความรู้สึกของผู้บริหาร จะช่วยให้พนักงานมีความ
ร่วมมือ นาํ ไปสผู่ ลผลิตท่สี ูง และจะตอ้ งบริหารทงั้ ระบบไม่เพียงแต่มนุษยสัมพันธ์เท่านั้น
- การส่ือสาร (Communication) เป็นส่วนสําคัญขององค์การ เพราะจะเชื่อมโยงช่องว่างระหว่าง
ความยินดี ท่ีจะรบั ใช้กับเป้าหมายขององคก์ าร ความยนิ ดที ่จี ะรบั ใช้ของบุคคล การสื่อสารขอ้ มลู เปา้ หมายของ
องค์การ รปู แสดง
ระบบความรว่ มมอื ของ Barnard
แนวคิดเร่ืองระบบทั่วไป Bertalanffy บิดาแห่งทฤษฎีระบบทั่วไป (General systems Theory)
อธบิ ายว่า ถา้ ต้องการสงิ่ ท่ีรวมกันเป็นสว่ นใหญ่ ตอ้ งทราบส่วนยอ่ ยต่างๆ และความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสว่ นย่อยน้ัน
นักทฤษฎีแนวนี้ เห็นว่าโลกประกอบด้วยระบบต่างๆ มีลําดับช้ัน จากระบบเฉพาะเจาะจง ไปสู่ระบบท่ีมี
ลักษณะท่ัวไป นอกจากจะ มองเป็นระดับแล้ว องค์การยังแบ่งเป็นระบบปิด (Closed system) คือระบบที่
พ่งึ ตนเองได้ และระบบเปิด (Open system) คือระบบทีต่ อ้ งพ่งึ พาสิ่งแวดล้อมเพอื่ ความอยรู่ อด
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกัน
129
2) การบรหิ ารจัดการแบบญป่ี ุน่ (Japanese Practice in Management)
หลงั สงครามโลกครง้ั ท่ี 2 ญ่ปี ่นุ ประสบความสําเร็จทางด้านเศรษฐกิจอย่างมาก มบี ริษทั ตา่ งหันมา
สนใจรูปแบบการบริหารแบบญี่ปุ่น แต่การบริหาร จัดการแบบน้ัน ไม่สามารถนําไปใช้ได้หมดกับทุกชาติ ท้ังน้ี
พบว่าพืน้ ฐาน ประเพณี วัฒนธรรมของญปี่ ุ่น ไม่เหมอื นกบั ชาตอิ ่นื ดงั น้ี
1. ปัจจยั พ้ืนฐานของการบริหาร
1.1 ลทั ธิกลุ่มนยิ ม เป็นลกั ษณะเด่น นิยมทาํ งานเป็นทีม กล่มุ ลงมติ สมาชกิ มี
ความสุขเมือ่ ไดม้ ีสว่ น ร่วมในงาน ชว่ ยเหลอื ประสานงาน ทกุ อย่างมคี วามชดั เจนไมค่ ลุมเครือ
1.2 สงั คมญีป่ ุ่นมีลกั ษณะเด่น เป็นเกาะ เกิดความเขา้ ใจกัน เชอ่ื ถือกนั ลักษณะ
องคก์ ารมีการ ตดิ ตอ่ สอ่ื สารทด่ี ี ง่าย ไม่เป็นทางการ
1.3 มกี ารฝึกอบรมและพฒั นาอยา่ งต่อเนื่อง
1.4 เน้นทาํ งานกลุ่ม
1.5 การตดั สนิ ใจโดยการลงมติ 2 สว่ นคอื ส่วนท่ี 1 ใหผ้ ้บู ริหารพิจารณา สว่ นท่ี 2
ตดั สนิ ใจ
1.6 การประเมนิ ผลการปฏิบัตงิ านท่ีมีความซบั ซอ้ น
1.7 ให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่ดีแกพ่ นกั งาน
1.8 เปน็ องค์การแบบงา่ ย และมีความยดึ หยุน่
1.9 การวางแผนยทุ ธศาสตร์ระยะยาว
1.10 บรษิ ัทเปน็ ฐานลทั ธิ สหภาพแรงงาน
1.11 มีความจงรกั ภักดตี ่อบรษิ ทั
2. ระดบั ชาติ
2.1 ศาสนาชินโต ไม่มีศาสดา ทําให้ทุกคนรู้สึกเป็นพี่น้องกัน และไม่มีใครอยากเด่น
2.2 การยึดถอื ดอกไมป้ ระจําชาติ คอื ดอกซากุระ เปน็ ลกั ษณะดอกไม้ทเี่ ผชิญกับดนิ
ฟ้าอากาศ อดทน ออกดอกพร้อมกัน และรว่ งพรอ้ มกนั
3. ระดับคณะกรรมการทัง้ รัฐ/เอกชน
3.1 ถอื ว่าทกุ คนในองคก์ ารเป็นสมาชิกในครอบครวั เดียวกัน
3.2 มุง่ สร้างสมั พันธข์ องคนในองค์การใหก้ ระชับ แน่นแฟน้ สามคั คี
3.3 มคี วามไว้วางใจกันและกนั สมาชิกมงุ่ สร้างความเจรญิ ทํากําไรให้องค์การ
3.4 ผู้บรหิ ารและสมาชกิ ทกุ คนยอมสละความสขุ ส่วนตัว เพ่ือม่งุ สร้างความเจรญิ แก่
องคก์ าร
4. ระดับผู้นาํ
4.1 ผู้บรหิ ารเห็นวา่ สมาชิก/ลูกน้อง เป็นลูกหลานต้องดแู ล
4.2 ผู้บริหารอยูก่ ับลกู น้องดว้ ยความเขา้ ใจ ไมใ่ ช้อํานาจ
4.3 ผู้บรหิ ารมองคน และความคดิ ของคน สําคัญกว่าเทคโนโลยี
4.4 ผบู้ ริหารเช่อื วา่ การใชอ้ ํานาจในการปกครองนัน้ ไมด่ ี เปน็ การทําลายความคดิ
ของลูกนอ้ ง
4.5 การตดั สินใจในการทาํ งานใชก้ ารตดั สนิ ใจเปน็ กลุม่
4.6 ผบู้ ริหารมกั แตง่ ตงั้ จากระดบั ล่างขน้ึ มา
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลกั การจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั
130
4.7 ผนู้ ําขอบคุณลูกนอ้ งทีท่ ําให้งานสําเร็จ ดว้ ยความเหน่ือยยาก
4.8 ความสําเร็จและความล้มเหลวขึ้นอยู่กับผู้นําว่าเห็นคุณค่าของลูกน้องเพียงไหน
5. ระดับสมาชกิ /พนักงาน
5.1 ทํางานหนัก และมีมานะอดทน
5.2 คนญ่ีปุ่นถือว่าการทํางานเป็นทีมเป็นเรื่องปกติ ไม่คอยปัดแข็งปัดขา กลั่นแกล้ง
อยากเด่นคน เดยี ว
3) ทฤษฎกี ารบรหิ ารตามสถานการณ์ (Situation or Contingency Approach)
ทฤษฎีน้ี เร่ิมนํามาใช้ใน ค.ศ. 1870 ด้วยนักวิชาการ ไม่เห็นด้วยกับการมีกฎเกณฑ์ หรือมีหนทาง
เดียวในการปฏิบัติงาน ทฤษฎีน้ีเห็นว่า การ บริหารจัดการย่อมข้ึนกับสถานการณ์ เป็นลักษณะทฤษฎีท่ี
ประนีประนอม ระหวา่ งทฤษฎรี ะบบเปดิ กวา้ ง และเปน็ นามธรรม กบั ความเชอ่ื ทว่ี า่ การปฏิบตั งิ านขนึ้ อยู่กับแต่
ละสถานการณ์โดยเฉพาะ และไม่มองกว้างเหมือนทฤษฎี ระบบ ทฤษฎีการบริหารตามสถานการณ์ เป็นวิธี
วิเคราะห์ท่ีกระทําในระดับท่ีเหมาะสม สามารถพิจารณาปัญหาได้ดี ไม่กว้าง หรือเฉพาะจุดเกินไป มีความ
สมดุลระหว่างหลายๆด้าน คือสามารถพิจารณาปัญหาได้กระจ่างและง่าย สามารถใช้หลักวิชาอย่างถูกต้อง
เหมาะสม และยังสามารถพิจารณาส่ิงท่ียุ่งยาก สับสนไม่ชัดเจน ไปพร้อมกันทฤษฎีนี้สามารถรับรู้ปัญหาที่
ยุ่งยากสับสน ช่วยในการเช่ือมโยงทฤษฎีการบริหารท่ีเป็นศาสตร์ วิชาการสามารถนําไป สถานการณ์ต่างๆได้
โดยตรง ชว่ ยให้ผ้บู รหิ ารเขา้ ใจวา่ จะใชเ้ ทคนคิ อะไร อย่างไรจึงจะให้องคก์ ารบรรลผุ ลสาํ เร็จ
การบริหารจัดการสมัยใหม่มีองค์ประกอบที่สําคัญ 3 ประการ ได้แก่ ประการแรก การมุ่งเน้น
ประสิทธิผล หรือผลสัมฤทธิ์ (Effectiveness) ประการท่ีสอง การมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพ (Quality) หรือความพึง
พอใจของ ผู้รับบริการ (Customer Satisfaction) และประการสุดท้าย การมุ่งเน้นหลักความรับผิดชอบ
(Accountability) ซึ่ง องค์ประกอบนี้สอดประสานกับสภาพแวดล้อมทางการบริหารที่เปล่ียนแปลงอยู่
ตลอดเวลา ทําให้องค์การต้องปรับตัว ตามเพ่ือความความเข้มแข็งในการอยู่รอดและมีความสามารถเชิงการ
แข่งขัน หลักการบริหารจัดการสมัยใหม่ท่ี องค์การภาครัฐส่วนใหญ่นําแนวคิดไปใช้หรือประยุกต์ใช้อย่าง
เหมาะสม ได้แก่ Re-Engineering, Downsizing, Benchmarking, Reinventing, Change Management,
Total Quality Management, Good Governances, Balanced Scorecard, Swot Analysis, Strategic
Management, Knowledge Management, Results Base Management, และ Competencies
สรปุ ใหเ้ หน็ สาระสําคญั การบริหารจัดการสมยั ใหม่
1. มองวา่ การบรหิ ารงานมีลกั ษณะทีเ่ ปน็ สากล หรอื กล่าวอีกนยั หนงึ่ คอื ไมม่ คี วามแตกต่าง
อย่างเป็น นยั สาํ คญั ระหวา่ งการบริหารงานของภาคธรุ กจิ เอกชนและการบริหารงานของภาครัฐ
2. ปรับเปลี่ยนจากการให้นํา้ หนักความสาํ คัญทเี่ ดิมมงุ่ เนน้ ใหค้ วามสาํ คัญตอ่ การควบคุม
ปัจจยั นําเขา้ หรือ ทรัพยากรและกฎระเบียบตา่ ง ๆ มาเปน็ การควบคุมในเรื่องของการผลผลติ และผลลัพธ์ หรือ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ปรับเปล่ียนจากการให้ความสําคัญในภาระรับผิดชอบต่อกระบวนการของการทํางาน
(process accountability) มา เนน้ ภาระรับผิดชอบตอ่ ผลสมั ฤทธิ์ (accountability for results) แทน
3. ใหค้ วามสาํ คัญต่อเรื่องของการใช้ความสามารถหรอื ทักษะการบริหารมากกว่าการทีใ่ ห้
ความสําคญั ตอ่ การกําหนดนโยบายแต่เพียงอยา่ งเดียว
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกัน
131
4. ใหค้ วามสําคัญตอ่ การมอบอาํ นาจการควบคุมของหนว่ ยงานกลาง (devolution of
centralized power) ไปให้หนว่ ยงานผปู้ ฏบิ ตั ิ เพ่ือให้ผบู้ ริหารของแตล่ ะหน่วยงานมีอสิ ระและมีความคล่องตัว
ในการบริหารและ การดําเนนิ งาน
5. เน้นปรบั เปลี่ยนโครงสรา้ งหนว่ ยงานราชการใหม่ใหม้ ขี นาดเลก็ ลงในรปู แบบของ
หน่วยงานอิสระในกํากับ โดยเฉพาะการแยกส่วนระหว่างการกํากับดูแลควบคุมที่เป็นภารกิจงานเชิงพาณิชย์
และไม่ใช่เชิงพาณิชย์ออกจากกัน รวมถึงแยกภารกิจงานเชิงนโยบายและการให้บริการออกจากกันอย่าง
เดด็ ขาด
บทสรปุ
วัฒนธรรมองค์การแนวพุทธ วัฒนธรรมองค์การแนวพุทธ วัฒนธรรมองค์การแนวพุทธ วัฒนธรรม
องค์การในกระแสหลัก ก็คือ วิถีของคนในองค์การนั้นๆ หากนําทั้งกระแสหลักและธรรมะมารวมกันแล้ว จะมี
สาระสงั เขปดังนี้
1. คา่ นิยม ค่านยิ ม ในกระแสหลัก คอื ส่ิงท่ีองคก์ ารให้ความสําคัญ เชน่ นโยบายขององค์การ เมื่อรวม
กบั คา่ นิยมแนวพุทธ จะต้องใหค้ วามสาํ คญั กับหลกั ธรรมคําสอนดว้ ย เช่น สนั ติธรรม สมาธิ ปัญญา ฯลฯ
2. ประเพณี ประเพณี ในกระแสหลัก คือ วัฒนธรรมทางปฏิบัติที่องค์การยึดถือเป็นแนวทาง ในทาง
พุทธนั้น องค์การควร สนับสนุนส่งเสริมประเพณีทางศาสนาด้วย เช่น การทําบุญสํานักงาน การอนุญาตให้
พนักงานบวชเรียน
3. บุคลากร บุคลากร ในกระแสหลัก คือ สมาชิกองค์การโดยท่ัวไป สําหรับในทางพุทธน้ัน บุคลากร
ควรมีความรู้ทง้ั ทางโลกและ ทางธรรม และนาํ ธรรมะมาเปน็ แนวทางในการปฏิบัติงาน เชน่ คดิ ดี พูดดี ทาํ ดี
4. เทคโนโลยี เทคโนโลยี ในกระแสหลักน้ัน แบ่งได้ 4 ประเภทคือ เทคโนโลยีทางวัตถุ เช่น
คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีทางสังคม เช่น การวางนโยบาย เทคโนโลยีทางจิตวิทยา เช่น ภาวะผู้นํา และ
เทคโนโลยที างจติ วิญญาณ ซงึ่ เทคโนโลยีข้อนี้น้ัน ในทาง พุทธน้ัน จะเรยี กวา่ พุทโธโลยี ไดแ้ ก่ ธรรมะด้านตา่ งๆ
ทจี่ ะชว่ ยใหก้ ารทาํ งานบรรลเุ ปา้ หมาย
5. สภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อม แบ่งเป็นสภาพแวดล้อมภายใน เช่น การให้อภัยกัน และ
สภาพแวดลอ้ มภายนอก เชน่ การไม่ทาํ รา้ ยผ้อู น่ื
เอกสารประกอบการสอน วิชา หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปุระกนั
132
คําถามทา้ ยบท
คาํ ชี้แจง ใหน้ สิ ติ อบคาํ ถามพร้อมอธิบายให้ชัดเจน
1. ผู้บรหิ ารจดั การทด่ี ี ควรจะมธี รรมะที่เอื้อตอ่ การทาํ หนา้ ท่นี ั้นๆอย่างไรบ้าง จงอธบิ าย
ตอบ
2. ธรรมะสาํ หรบั การบริหารจัดการมีอะไรบา้ ง
ตอบ
3. การจดั การความรู้เชิงพุทธ คืออะไร และประกอบไปดว้ ยอะไรบา้ ง จงอธบิ าย
ตอบ
4. หลักที่พระพุทธเจา้ ได้ทรงตรัสเกี่ยวกับการบริหารงานทกุ ระดบั ผูบ้ ริหารที่จะใหก้ ารบรหิ ารงาน สําเร็จ
ลุล่วงได้ตอ้ งมีคุณลักษณะกป่ี ระการ อะไรบ้าง
ตอบ
เอกสารประกอบการสอน วชิ า หลักการจดั การ Introduction to Public Administration ดร.ปรธภร ปรุ ะกนั