The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จิตวิทยาในพระไตรปิฎก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

จิตวิทยาในพระไตรปิฎก

จิตวิทยาในพระไตรปิฎก

Keywords: พระไตรปิฎก,จิตวิทยากับพระพุทธศาสนา

หนังสือเล่มนี้น้ี จัดทำขึ้นเพ่ือเป็นเอกสำรประกอบสอนวิชำจิตวิทยำในพระพุทธศำสนำใน
หลักสูตรปริญญำพุทธศำสตรบัณฑิต สำขำวิชำพระพุทธศำสนำ เป็นกำรศึกษำในเนื้อหำของ
จิตวิทยำกับพระไตรปิฎก เป็นกำรบูรณำกำรพุทธศำสนำกับศำสตร์สมัยใหม่ เน้ือเป็นหลักกำร
ทั่วไปยังมีข้อแก้ไขอีกแต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของศึกษำแบบบูรณำกำร ให้ทันยุคและทันมัย และเป็น
ประโยชน์ในทำงำน เพรำะไม่จะอย่ำงไรในควำมเปล่ืยนแปลงของโลกหลักธรรมทำง
พระพุทธศำสนำยังจำเป็นต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ ในกำรพัฒนำศักยภำพของมนุษย์ในกำรทำงำน
ประกอบอำชีพต่ำง ๆ ยังต้องใช้หลักธรรมทำงพระพุทธศำสนำ เพรำะศำสนำเป็นเร่ืองของชีวิต
กำรทำงำนเป็นส่วนหน่ึงของชีวิต และทำได้ช่วงหน่ึงของชีวิตแต่ควำมรู้ในหลักธรรมทำง
พระพุทธศำสนำ ใช้ท้ังชีวิต ขอขอบคุณทุกท่ำนเป็นผู้มีส่วนให้เอกสำรประกอบกำรสอนวิชำ
กรรมฐำนนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และได้รับควำมช่วยเหลือสนับสนุนจำกบุคคลหลำย ๆ ฝ่ำย ท่ีให้
คำแนะนำ แสดงควำมคดิ เหน็ ตรวจสอบ แก้ไขปรับปรุงดว้ ยดีตลอดมำ

พระยุทธนำ อธิจิตโฺ ต และคณะ
๒ มถิ ุนำยน ๒๕๖๐

สารบาญ
บทที่๑.บทนา

๑.อธบิ ายความหมายของพระไตรปฎิ กได้
๒.อธบิ ายความหมายของจิตวิทยาได้
๓.อธิบายแนวคิดจติ วิทยาในพระไตรปิฎกได้
๔ สรุป
๕ คาถามทา้ ยบท
๘. บรรณานุกรมบทที่
บทท่ี๒.จติ และเจตสิกในพระไตรปิฎก
๑.บทนา
๒ อธบิ ายความหมายของจติ ในพระไตรปิฎกได้
๓ อธิบายความหมายของเจตสิกในพระไตรปิฎกได้
๔ อธบิ ายความแตกตา่ งของจิตและเจตสิกในพระไตรปิฎกได้
๕ อธิบายความสัมพนั ธร์ ะหว่างจติ กบั เจตสิกในพระไตรปิฎกได้
๖ สรุป
๗ คาถามท้ายบท
๘. บรรณานกุ รม
บทท่ี๓.การเปรยี บเทียบจติ และเจตสกิ ในจิตวทิ ยากับพระไตรปฎิ ก
๑. บอกจติ ของมนุษย์ในจิตวิทยาได้
๒. บอกเจตสกิ ของมนุษยใ์ นจติ วิทยาได้
๓. บอกความสัมพนั ธข์ องจิตและเจตสิกของมนษุ ย์ในจติ วิทยาได้

๔.สรปุ
๕. คาถามทา้ ยบท
๖. บรรณานุกรมบทที่
บทที่ ๔. พฤตกิ รรมตามแนวจริต ๖
๑. อธิบายความหมายของจรติ ๖ ในพระไตรปิฎกได้
๒. อธิบายความหมายของพฤติกรรมในจิตวทิ ยาได้
๓. อธิบายความหมายของพฤตกิ รรมตามแนวจริต ๖ ในจติ วิทยาได้
๔.สรปุ
๕.คาถามท้ายบท
๖. บรรณานุกรม
บทที่๕.การพฒั นาจรติ ให้เหมาะกับกรรมฐาน
๑. อธิบายความหมายของการพฒั นาจริต๖ ในพระไตรปิฎกได้
๒. อธิบายความหมายของกรรมฐานในพระไตรปิฎกได้
๓. อธิบายความหมายของการพฒั นาจรติ ดว้ ยกรรมฐานในพระไตรปิฎกได้
๔.สรุป
๕.คาถามท้ายบท
๖. บรรณานกุ รม

บทท่ี ๑. บทนา
แนวคิดสาคญั

พระไตรปฎิ กเปน็ คมั ภรี ข์ องพระพทุ ธศาสนาได้รวบรวมคาสอนของโคตมะพระพุทธเจ้าไว้
เปน็ หมวดหมู่มที ้ังหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เกยี่ วกับพฤตกิ รรมของวิถีความเปน็ ไปชวี ติ
มนุษยใ์ นวัฏฏะสงสาร กระบวนการของจติ ไปจุตจิ ติ ในภพภูมิตา่ งๆ และการหลุดพน้ จากความ
ทุกข์ ส่วนจิตวิทยากส็ นใจศกึ ษาถึงพฤตกิ รรม กระบวนการของจิตเชน่ เดียวกนั
จุดประสงค์การเรียนรู้
จดุ ประสงค์ปลายทาง

มคี วามรู้เขา้ ใจถงึ คาสอนเร่ืองชีวิตของพระพุทธเจ้าในพระไตรปฎิ กไปบูรณาการกบั วชิ า
จิตวิทยาซงึ่ เป็นศาสตร์สมัยใหมไ่ ด้
จดุ ประสงคน์ าทาง
๑.อธบิ ายความหมายของพระไตรปิฎกได้
๒.อธิบายความหมายของจิตวทิ ยาได้
๓.อธบิ ายแนวคิดจติ วิทยาในพระไตรปิฎกได้
๔ สรปุ
๕ คาถามท้ายบท
๘. บรรณานกุ รม

บทนา
ประเทศไทยเปน็ ประเทศท่ีนับถอื พระพุทธศาสนาร้อยละ๙๐ ของพลเมืองจานวนประมาณ

๖๘ ล้านคน คาสอนทางพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยมาจากคัมภรี พ์ ระไตรปิฎกทไ่ี ดร้ วบรวมคา
สอนของพระพุทธเจ้าไวเ้ ป็นหมวดหมู่ท่ีสมบรูณท์ ีส่ ดุ จึงเปน็ เอกสารสาคญั ในการสืบคน้ หาคาสอน

ของพระพทุ ธเจา้ ท่ที รงรู้แจ้งในวิถคี วามเปน็ ไปของมนุษย์อย่างแทจ้ ริงตัง้ แต่เกิดจนกระท่ังตาย และ

ชีวติ หลงั ความตายวญิ ญาณออกจากร่างไปสภู่ พภมู ิใหมต่ ามกรรมของตนทีไ่ ด้กระทาไปในชาติน้ี

และชาตกิ อ่ น ๆ โนน้ รวมท้งั วิธีการใช้ชีวติ ใหห้ ลุดพน้ จากขอ้ จากดั ของชวี ิตของตนเพราะวบิ าก

กรรมของตนท่ไี ด้กระทาไปแล้วในอดตี ของตนเอง ในพระไตรปิฎกทร่ี วบรวมคาสอนของ

พระพทุ ธเจ้าทแ่ี สดงพระธรรมเทศนาไว้ในสถานที่ตา่ งๆ และตา่ งกาลเวลาตลอด ๔๕ ปนี ั้น

นอกจากน้ยี ังมีวชิ าความรู้ซึ่งเปน็ ศาสตร์สมัยใหม่ผสมผสานอยูใ่ นหลักธรรมของพระพทุ ธเจ้าไวด้ ้วย

ทาให้เรานกึ คิดมองไปยอ้ นถงึ สภาพของเหตกุ ารณ์ในสมัยพทุ ธกาลไดอ้ ยา่ งชดั เจน และในปัจจบุ นั นี้

ผแู้ สวงบญุ ชาวพุทธทั่วโลกได้มีการเจริญตามรอยบาทของพระพทุ ธเจ้าในแดนพุทธภมู ิโดยเฉพาะ

สงั เวชนียสถานท้งั ๔ เพือ่ ไปปฏิบัตธิ รรมเปน็ การทาความดีเพ่ือถวายเป็นพุทธบชู าแดอ่ งคพ์ ระ

สมั มาสมั พุทธเจา้ ดว้ ยเจริญวิปสั สนากรรมฐานตามคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ด้วย ในระหว่างการ

เดนิ ทางไปในสังเวชนยี สถานกม็ ีการบรรยายเร่อื งราวในแดนพทุ ธภมู ิที่เป็นประโยชนต์ อ่ ศกึ ษาวชิ า

ประวัตพิ ระพุทธศาสนาด้วยการวิเคราะหข์ ้อมลู ทางดา้ ยกายภาพภูมิศาสตร์จากสถานที่จริง และ

ข้อมลู ทางด้านวถิ ีชวี ิตศลิ ปะและวัฒนธรรมท่ีไว้ในพระไตรปิฎกทาใหเ้ ราเข้าใจหลักคาสอนของ

พระพุทธเจ้ามากย่งิ ๆ ขึน้ ไป

ทุกศาสนาที่เกิดขนึ้ มาในที่ต่างๆ ของโลกตา่ งก็มคี ัมภรี ์เป็นท่ีรวบรวมคาสอนของศาสดาของ
ตนเองทแ่ี สดงคาสอนไวใ้ นสถานท่ตี า่ งๆ ท้ังสิน้ เพ่ือหลกั คาสอนให้สาวกท่ีเกิดมาในรุ่นหลัง ๆ มี
โอกาสไดศ้ ึกษาหาความรเู้ ก่ียวกบั ศาสตร์ รวมทั้งเร่ืองราวต่างๆ ท่ีเป็นประวัตคิ วามเปน็ มาของ
ศาสดาของไว้เรยี นรู้ พระไตรปฎิ กกเ็ ช่นเดียวกนั เป็นที่ทราบกนั โดยทัว่ ไปเปน็ คมั ภีร์รวบรวมคา
สอนที่เป็นความรู้ทเ่ี ปน็ ความจรงิ ของวิถีชีวติ ของมนษุ ย์น้นั ที่ทรงคน้ พบดว้ ยการตรสั รู้แจ้งและทรง
แสดงไว้ในสถานทีต่ ่าง ๆ หลายแว่นแคว้น หลายเวลาท่ีแตกต่างกนั ของชมพทู วีปอันกว้างใหญ่
ไพศาล ทรงเดนิ ทางดว้ ยเท้าเปล่าหลายพันกิโลเมตร เพื่อไปแสดงพระธรรมเทศนาเร่อื งราวที่เปน็ ไป
เพอ่ื การหลดุ พ้นจากความทกุ ข์ของมนุษย์ เปน็ ความรทู้ เ่ี กิดจากปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปดซึ่งเป็น
ทางสายประเสรฐิ ของพระองค์ทรงตรัสร้แู จ้งดว้ ยพระองคเ์ อง คาสัง่ สอนเหล่าน้ีไดม้ ีการจดจาด้วย
ทอ่ งจาท่เี รียกวา่ วิธมี ุขปาฐะ ของพระพทุ ธสาวกช้ันอริยบุคคลที่บรรลุธรรมอรหันตผลทงั้ ส้นิ และ
หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้วกต็ าม พุทธสาวกน้อมนาคาสอนของพระพุทธองคป์ ฏิบัติ
ธรรมจนบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลเช่นเดยี วกนั

๑.ความหมายของพระไตรปฎิ ก
ปญั หาจงึ คาถามขึน้ มาว่า พระไตรปฎิ กคอื อะไร มผี ใู้ ห้คานยิ ามไว้ในต่างๆ มากมายหลาย

แหลง่ ด้วยกัน และให้ความหมายคล้ายคลงึ กนั เร่มิ จากตาม
-พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของคาวา่ “ไตร

ปิฎก” ว่า เป็นคานามหมายถงึ พระธรรมคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้ามี ๓ ปิฎก คอื พระวินัย
เรียกว่าวนิ ยั ปิฎก, พระสูตรเรียกว่าสุตตนั ตปิฎก, พระอภิธรรมเรียกว่าพระอภิธรรมปฎิ ก, ใช้วา่
ตรีปฎิ กก็ได้ เขยี นเปน็ ภาษาองั กฤษว่า Tripitaka

-ในพระไตรปิฎกฉบับประชาชนให้คานยิ ามว่า หมายถงึ คัมภรี ท์ ่รี วบพระธรรมคาสอนของ
สทิ ธตั ถะสัมมาสมั พุทธเจา้ ทีไ่ ดแ้ สดงไว้ในแคว้นต่าง ๆ ทเี่ สดจ็ ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา และ
ประชุมคณะสงฆ์ในการกาหนดขอ้ ปฏบิ ัติของสงฆ์ทเ่ี รียกวา่ วินัย ให้เปน็ ไปในแนวเดียวกนั แตโ่ ดย
ทวั่ เรยี ก โคตมะพุทธเจ้ากม็ ี หรือเรยี กวา่ สมณโคดมก็มี พระธรรมคาสอนของพระพทุ ธเจ้ามี ๓
ปิฎก คือพระวนิ ัยปฎิ ก, พระสุตตันตปิฎก,และพระอภธิ รรมปฎิ ก เป็นตน้ .

คาวา่ ปิฎกตามพจนานุกรมไทย-ไทย ฉบบั ราชบัณฑติ แปลวา่ ตะกรา้ หมายถึงหมวดแห่ง
คาสอน ในพระพุทธศาสนา ดงั นัน้ เนื้อหาในพระไตรปฎิ กแบง่ ออกเปน็ ๓ หมวดด้วยกนั คอื

๑. พระวินัยปิฎก ว่าด้วยสิกขาบทตา่ ง ๆ ของภกิ ษุและภกิ ษุณี.
๒. พระสตุ นั ตปฎิ ก ว่าดว้ ยพระสูตรซึง่ เปน็ พระธรรมเทศนา ของพระโคตมพุทธเจา้ และ
พระอรหันตสาวก ท่ีแสดงแกบ่ คุ คลต่างวรรณะ ตา่ งฐานะในสงั คม ไปเกือบทัว่ ชมพทู วปี มีทง้ั ร้อย
แกว้ และรอ้ ยกรอง.
๓. พระอภิธรรมปฎิ ก ว่าด้วยอภธิ รรมหรอื ปรมตั ถธรรม เป็นข้อธรรมอันสูงสุดวา่ ด้วย รูป
จิต เจตสิก และนิพพาน.
อธิบายตามหลักวชิ าล้วน ๆ โดยไม่อ้างอิงเหตุการณ์และบคุ คลมาชว่ ยสนบั สนุนความรู้ท่ี
เปน็ ความจริงจาการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ คาสงั่ สอนของพระพทุ ธเจ้าเรียกว่าพระธรรมวินยั จะ
ปรากฏถ้อยคาเหล่าน้ใี นพระไตรปฎิ กฉบบั เถรวาทหลายฉบับดว้ ยกนั จนกระทั่งเกดิ การสงั คายนา
คร้ังที่ ๓ เมอื่ พ.ศ. ๒๓๕ ทีเ่ มืองปัฏตาลบี ุตรหรือเมืองปัตนะ(Patna) ในปัจจบุ ัน เหตทุ ่ีมีการ
สงั คายนาเพราะมนี กั บวชในศาสนาอน่ื ปลอมบวชในพระพุทธศาสนาเพราะเห็นแกล่ าภสักการะ.

ความสาคัญของพระไตรปิฎก ในคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กนอกจากรวบรวมคาสอนของ
พระพุทธเจ้าแล้ว กล่าวถงึ บรบิ ทเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดข้ึนสมัยกอ่ นหรอื หลงั พทุ ธกาล ทาให้เป็น
หลกั ฐานสาคัญท่ีจะวเิ คราะห์สภาพปรากฏการณ์ของวิถีชีวติ ของคาสอนนกั พรตรวมทง้ั แนวคดิ ของ

ผูค้ นในยคุ ก่อนพทุ ธกาล และหลงั พทุ ธกาลได้เป็นอย่างดี แม้คาสอนของพระพุทธเจ้าจะมถี งึ
๔๘,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็ตามแตเ่ มือ่ ยอ่ ลงแลว้ สอนเรอื่ งชีวิตของมนุษย์เพยี งเรือ่ งเดยี ว พระพุ
ทะเจ้าทรงแสดงเร่ืองชีวิตในรปู แบบ ของคาสอนเรอื่ งขันธ์ ๕ เมื่อเราวเิ คราะห์คาสอนเรื่องขันธ์ ๕
และแยกองค์ประกอบของขันธ์ ๕ ให้เห็นเด่นชัดแลว้ ประกอบดว้ ยรูป เวทนา สญั ญา สงั ขารและ
วิญญาณ และเราก็นาองค์ประกอบมาสังเคราะห์ให้เป็นองค์ความรู้ใหมใ่ ห้บรู ณาการให้สอดคล้อง
กับศาสตร์สมัยใหม่เช่นวิชาจติ วทิ ยา เปน็ ต้น

๑.รูปหมายถงึ สว่ นทีเ่ ปน็ กายของชีวติ
๒.สว่ นเวทนา เป็นความรู้สึกสุขหรอื ทกุ ขข์ องจิตมนษุ ย์,
๓.สญั ญาหมายว่า จิตอาศัยกายของมนุษย์ในส่วนทีเ่ รียกวา่ อนิ ทรีย์ ๖ น้อมออกไปรับร้โู ลก
ในสว่ นท่ีเป็นของภาพของธรรมชาตขิ องสิ่งต่างๆทปี่ รากฏในโลกใบนี้ แลว้ จติ เก็บอารมณ์เรอ่ื งราว
ของสิ่งเหล่าน้ีเป็นสภาวธรรมใหน้ อนเนื่องเป็นอนุสัยในจิตของตน.
๔.สงั ขาร เปน็ อาการของจิตคิดปรุงแต่งอารมณท์ ม่ี าผัสสะอนิ ทรยี ์ ๖ ใหเ้ ปน็ ความจริง
ตา่ งๆ นา ๆ
๕.วญิ ญาณ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ มีความหมายของ ๒ อย่างคอื

๕.๑.หมายถึงส่ิงที่เช่ือว่ามีอยใู่ นกายเมอื่ มชี ีวติ เมื่อจะตายออกจากกายล่องลอยไป
หาทเี่ กดิ ใหม่.

๕.๒.ความรบั รู้ เช่นจักษวุ ิญญาณ คือความรบั รู้ทางตา, โสตวญิ ญาณคือความรบั รู้
ทางหู เป็นขนั ธ์ ๑ ในขนั ธ์ ๕ คอื รูป เวทนา สญั ญา สังขาร และวิญญาณ. เมื่อสงั เคราะห์เข้า
รวมกนั เข้าเป็นองค์ความรู้ใหม่เหลอื เพียงแค่ “จติ ” เพยี งอย่างเดยี ว. คาว่า “ชีวติ ” มนษุ ย์
ประกอบดว้ ยกายและจติ

เพราะฉะนนั้ คาสอนของพระพุทธเจ้าคอื คาสอนเรอ่ื งกายและจิตนัน่ เอง. สมัยพุทธกาลและ
สมัยปจั จบุ นั มนษุ ย์ทีอ่ ยอู่ าศยั ทัว่ ทกุ มุมโลกมปี ญั หาแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสงั คม ทาให้เกิด
ความเครียดในการใช้ชีวติ มากขนึ้ เพราะทุกคนต้องทางานหาเงินมาเลย้ี งชพี ของตนและครอบครัว
ทาให้มีรายได้ไมพ่ อกบั รายจ่ายของตน เมือ่ มีความทุกขเ์ กิดขึน้ ในจิต ทุกคนย่อมคดิ หาวิธกี ารท่จี ะ
หลดุ พน้ จากความทกุ ข์ ในโลกสมยั ใหมค่ นวยั ทางานหลายคนจะหนั หน้าระบายความทกุ ขจ์ าก
ความเครียดจาการทางานด้วยไปสทู่ างแห่งความเสอ่ื มของมนุษยด์ ว้ ยการเทยี่ ว ด่มื กิน เพลิดเพลิน
ในสถานเริงรมย์ตา่ งๆ ทาใหเ้ สยี ค่าใช้จ่ายในชีวิตในส่ิงทีไ่ มจ่ าเป็นเกดิ หน้สี ินเพิ่มขนึ้ อกี นอกจาก
เมือ่ ใชช้ ีวติ ดม่ื กนิ ตลอดทั้งคนื กข็ ับรถเรว็ ทาให้เกดิ อุบัติเหตุเสียชีวติ และทพุ ลภาพกนั เปน็ จานวน

มาก นอกจากถูกดาเนินคดีทัง้ ทางแพง่ และอาญาแล้ว ตอ้ งเสียค่าเสียหายกันเป็นจานวนมาก ทงั้
รักษาตนเองและจา่ ยคา่ เสียหายให้กับผอู้ น่ื ระหว่างว่ิงเต้นดาเนินคดนี ัน้ ต้องเสียเวลาในการ
ประกอบอาชพี และโอกาสในเรอื่ งของรายไดน้ ามาจุนเจือเล้ียงครอบครัว การกระทาความผิดตาม
กฎหมายนอกจากถูกลงโทษตดิ คกุ แล้ว หากศาลพจิ ารณาเหน็ ผู้มีโรคซ่ึมเศร้าจากความเครยี ดใน
ชีวติ อาจตอ้ งการพบจิตแพทย์ เพอ่ื รักษาทางยาเพ่ือแกค้ วามเครยี ดนา่ จะเปน็ ทางออกของผู้มีจติ
ควบคุมตวั เองไมไ่ ด้ แตอ่ ยา่ งไรกใ็ ช่จะไดผ้ ล ๑๐๐ % เพราะ การรักษาด้วยยาน้นั เหมาะแก่การ
รกั ษาสขุ ภาพทางกายเทา่ นน้ั สว่ นปญั หาทางจติ เพราะความเครียดหรอื ซมึ เศร้าน้ัน เปน็ อาการทาง
จติ ต้องใชธ้ รรมะโอสถน่าดกี วา่ การรักษาทางยา เพราะโรคทางจิตน้นั มีลักษณะเป็นนามธรรมเกิด
ขน้ึ กบั จิต อาการของทางจิตมีผลตอ่ ชีวิตรา่ งกายของมนุษยข์ องมนษุ ย์ โดยเฉพาะเมอ่ื จิตมกี เิ ลสมี
อาการซึมเศร้ายอ่ มมีผลต่อร่างกายของมนษุ ย์ ซึ่งเป็นคาสงั่ สอนเรือ่ งกรรมฐาน ปญั หาเกดิ จากชีวิต
ของมนษุ ย์เกิดจากจติ เป็นพ้นื ฐาน. อกี เป็นจานวนมาก เช่นกัน การฝกึ กรรมฐานตามคาสอนของ
พระพุทธเจ้าท่ีกล่าวไว้ในพระไตรปฎิ กนา่ จะเปน็ ทางไปสู่ความสงบระงับของความทุกขท์ ี่เกิดจาก
ความเครียดหลายทา่ นคิดแตเ่ พยี งวา่ การฝึกกรรมฐานเป็นเรอ่ื งของการนาจติ ตนไปสู่ความหลดุ พ้น
จากความทุกข์ของชวี ิตตอ้ งออกบวชเปน็ พระซ่งึ เป็นเร่ืองการเขา้ ใจผดิ อย่างมากเพราะใน
ประวตั ิศาสตร์ทางพระพทุ ธศาสนานั้นมคี ฤหสั ถห์ ลายคนบรรลุธรรมเม่ือฟังคาพระธรรมเทศนาของ
พระพุทธเจ้าเช่น ยสกุลบุตร, อนาฑบิณฑกิ เศรษฐี, รวมท้งั นางวสิ าขาต่างก็ลว้ นบรรลุธรรมขณะ
เปน็ ฆราวาสทั้งสิน้ ....มิใช่ว่าเราใช้วิธชี ีวติ ทางโลกไม่อาจจะบรรลธุ รรมไดเ้ พยี งแต่เราพยายามฝกึ
สมาธเิ พือ่ ให้จติ ของเรามีความเขม็ แขง้ เมอ่ื มีผสั สะเกดิ ขนึ้ ในสิ่งทเี่ ราชอบหรือไม่ชอบที่ผ่านอนิ ทรีย์
ทัง้ ๖ เขา้ มาจิตของเราหากเรามสี ติสัมปชญั ญะใครค่ รวญส่ิงท่ีมาผสั สะนนั้ ทาให้จติ ของเราเทา่ ทนั
อารมณ์เรือ่ งราวที่มาผัสสะนนั้ ไมแ่ สดงอาการโต้ตอบเป็นไปในทางทุจรติ ทาให้เกิดไม่แสดงออก
ทางกายกรรมไปในประทุษรา้ ยกาย ดว้ ยการชกต่อย ตบตี ใชอ้ าวุธประทษุ ร้ายบุคคลเหล่านน้ั จน
ไดร้ ับบาดเจบ็ สาหัส หรือถึงแกค่ วามตาย , วจีกรรม แสดงวจที จุ รติ ดว้ ยการแสดงคาพูดท่เี ป็นการ
เยาะเย้ย ถางถาก เสียดสี ดูถูก ดหู มิ่น เหยียดหยามเขาเหล่านั้น ให้บุคคลเหล่านนั้ โกรธและแสดง
อาการโต้ตอบ, และมโนกรรม จติ ของมนษุ ยม์ ีธรรมชาติเป็นผูค้ ดิ จากสิ่งท่ีได้ผัสสะไดเ้ หน็ บคุ คลอ่ืน
นัน้ มหี น้าทกี่ ารงานดี มีชวี ิตท่สี ะดวกสบาย มีเงินทองเหลือใช้ เมอ่ื ไดผ้ ัสสะวถิ ชี ีวติ ของคนเหลา่ ก็
เกิดความอยากเป็นเช่นคนอื่นบ้าง เป็นต้น เมื่อมหี น้าที่การงานดีแลว้ เปน็ ข้าราชการมีหนา้ ทีก่ าร
งานดีตามตนต้องการแลว้ มเี งนิ เดอื นไมก่ น็ ้อย แตม่ ีโอกาสเข้าสังคมของบุคคลท่มี ฐี านะร่ารวยแล้ว
เพ่ือใหค้ นอื่นยอมรบั ตนในการใชว้ ิถี กต็ อ้ งหาเงนิ มาใชจ้ ่ายให้เท่าเทียมกบั คนอื่น เม่ือเงนิ ทีไ่ ด้ไม่
เพยี งพอในการใชจ้ ่ายกจ็ าเปน็ ตอ้ งแสวงหาวธิ ีการหาเงินโดยมชิ อบเช่นการฉอ้ โกงทรพั ย์เปน็ ต้น สิ่ง

เหลา่ นก้ี ล็ ้วนเปน็ มโนกรรมที่เกดิ ข้นึ ในจิตของตนทง้ั ส้ิน ในสมยั พุทธกาลนั้น ยังไมม่ พี ระไตรปฎิ ก
เพราะยงั ไมม่ ีการรวบรวมคาสอนของพระพุทธเจ้าใหเ้ ป็นคัมภีร์มจี ัดการระบบคาสอนของพระพุทธ
เจา้ ให้เปน็ หมวดหมูแ่ ต่อย่างใด หลังจากพระพทุ ธเจ้าปรินพิ านแลว้ มีการกล่าววาจาจาบจ้วง
พระพุทธเจ้า คณะสงฆ์เกรงวา่ ในกาลต่อไปในวันขา้ งหน้าอาจปญั หาของการเข้าใจคาสอนของ
พระพุทธเจ้า อาจมกี ารตีความคาดเคล่ือนไปจากถ้อยคาองพระธรรมวินัยของพระพทุ ธเจ้า ซ่ึงใน
เวลาตอ่ มาก็เปน็ จรงิ ต่อตามท่พี ระมหากสั สปะและคณะสงฆ์คาดการณไ์ ว้ เกดิ พทุ ธปรัชญาสานกั
ตา่ งๆ เกดิ ขึน้ มากมายถงึ ๑๘ สานักด้วยกนั แต่ละนกิ ายกม็ ีคัมภีรพ์ ระไตรปิฎกเปน็ ของตนเอง
บางนกิ ายมี ๕ ปิฎก บางนิกายมี ๗ ปฎิ ก แตพ่ ระไตรปฎิ กฉบับสมบรณู ท์ ่ตี กทอดมาถึงยคุ สมัยใน
ปจั จุบันนน้ั มีเพียงแตพ่ ระไตรปฎิ กภาษาบาลขี องฝ่ายเถรวาทเท่านน้ั ในปจั จุบนั คาว่า
พระไตรปิฎกจึงมคี วามหมายถึงคัมภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนา คาวา่ พระพุทธศาสนา หมายถึง
พระพทุ ธศาสนาเถรวาทท่ใี ช้ภาษาบาลี, พระพทุ ธศาสนามหายานท่ีใช้ภาษาจีน และ
พระพทุ ธศาสนาทิเบตใช้ภาษาทเิ บต เปน็ ต้น.

๒. บอกความหมายของวชิ าจติ วทิ ยาได้

ความหมายในยุคแรก ๆ อาริสโตเตลิ ใช้คาว่า Psych แปลความหมายวา่ The Essence
of Life หมายถึงจติ 1 ต่อมาความหมายของจติ วทิ ยาไดเ้ ปล่ยื นแปลงไปเพราะระบบความคิด
ทางวิทยาศาสตร์ได้เขา้ มาอทิ ธพิ ลต่อวงการวชิ าการเนน้ สง่ิ ไหนรบั ร้ไู ดด้ ้วยประสาทสัมผัสไดส้ ิ่งน้นั
จงึ เป็นสิง่ ทม่ี อี ยจู่ ริง ความหมายของจิตวิทยาถูกเปล่ยื นนามาใชพ้ ฤติกรรมของการกระทาว่า วชิ า
จติ วิทยาคือการศกึ ษาพฤตกิ รมทง้ั มนุษย์และสัตว์ ท่ีช้ีกระบวนการทางานของจิต
ในศตวรรษท่ี ๒๐ แนวคดิ จิตวทิ ยามนษุ ย์นิยม และจติ วิทยาการรู้คิด และปัญญาไดร้ บั ความนยิ ม
เผยแพร่ ทาให้วชิ าจติ มคี วามหมายว่า เป็นวิชาที่ว่าดว้ ยการศกึ ษาพฤติกรรมและกระบวนการ
ทางานของจิตดว้ ยระเบียบทางวิทยาศาสตร์

ในความเปน็ ของวิชาจติ วิทยานนั้ เร่ิมแรกในสมัยกอ่ นยคุ ประวัติศาสตรม์ นษุ ยย์ งั ไมร่ ู้จักคดิ
จากสง่ิ ทต่ี นได้ผสั สะอินทรีย์ ๖ มนษุ ย์ใช้ชีวติ ไปตามความเชอื่ ทีว่ า่ เป็นความจริงของตน แตเ่ มอื่
มนษุ ยม์ ีความเจริญรงุ่ เรืองมากขึน้ เพราะมนุษยร์ วมตัวเปน็ กลมุ่ เป็นกอ้ น เป็นหม่คู ณะมากขึน้ ทาให้
มนษุ ยร์ สู้ กึ ปลอดภยั จากสัตว์โลกประเภทอน่ื ๆ และภยั จากธรรมชาติที่เกดิ ข้ึนโดยไมไ่ ดค้ ดิ คาดฝนั

1 ดร.อบุ ลวรรณา ภวกานนั ท์และคณะ . จิตวทิ ยาทวั่ ไป สานกั พิมพ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร พิมพ์ครงั้ ท่ี ๗ หน้าท่ี ๕

มนุษย์จกั คดิ จากสิง่ ที่รู้ และรู้จกั เกบ็ ข้อมูลจากจดจาของตนเอง เมอ่ื มีขอ้ มูลมากขน้ึ รู้จกั เก็บข้อมูล
ไวภ้ าพตามหนา้ ผา ตามถา้ ไวเ้ ป็นความรู้ให้แก่ผู้เดนิ ทางผ่านมาจะไดร้ ู้วา่ บริเวณแถบนี้เต็มไปสตั ว์
รา้ ยหรอื ภัยธรรมชาตอิ ย่างไรบา้ ง ? ให้แก่มนุษยผ์ ูเ้ ดนิ ทางผ่านไปในดนิ แดนแถบนน้ั ได้ศกึ ษาหา
ความรูจ้ ากส่ิงทตี่ นคดิ

ในประวัตศิ าสตร์ท่ผี ่านมานัน้ แนวความคิดความรู้ของมนษุ ยม์ หี ลง่ั ไหลถา่ ยทอดความรู้
จากโลกตะวันออกไปสโู่ ลกตะวัน เพราะการทาสงครามเพ่ือแสวงหาเมอื งขน้ึ และทรัพยากรทม่ี ีอยู่
ตามธรรมชาติ ทองคา และสิ่งมีค่าอน่ื ๆ กลับไปสู่บ้านเมอื งของตนหรือประเทศชาติของตน และ
ในขณะเดยี วกันกน็ านักปราชญ์ราชบัณฑติ จากบ้านเมอื งทีต่ กเปน็ เมืองขึ้นของตน กลับส่บู า้ นเมือง
ที่ปกครองดว้ ย ตวั อย่างเช่น พระเจ้าอเลก็ ซานเดอร์มหาราช กษตั ริยแ์ ห่งเอเธนส์ แควน้ มาซิโดเนีย
ได้เดินทางมาทาสงครามในชมพทู วปี จนสามารถยึดเมอื งตักสิลาได้ และนานักปราชญ์โยคจี าก
เมืองตักสิลาในชมพูทวปี กลับไปสกู่ รุงเอเธนสด์ ้วย โยคีเหล่านี้เปน็ นาความรเู้ ร่อื งวญิ ญาณ(จิต) ไป
เผยแผแ่ กน่ ักปราชญ์ชาวเอเธนส์ เพราะฉะนนั้ ชาวตะวนั ตกนา่ จะรู้เรอ่ื งราวของวญิ ญาณจากโลก
ตะวันออกจากนกั ปราชญ์โยคีเหลา่ นี้ โดยเฉพาะพุทธปรชั ญาเร่ือง จิตนยิ ม นักปรัชญาตะวันตก
นา่ จะได้รบั ความรจู้ ากพุทธปรชั ญาแล้วกน็ ามาพัฒนาต่อยอดความรู้เปน็ วชิ าจิตวิทยาขน้ึ มา
โดยเฉพาะอารสิ โตเตลิ เป็นอาจารยข์ องพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชไดเ้ ขียนตาราทางจติ วิทยา
ในงานเขยี นเรือ่ งธรรมชาติของชีวิต อารสิ โตเตลิ ไดส้ นใจศึกษาการคงอยู่ และการสร้างชีวติ ใหม่ใน
ร่นุ ต่างๆ ทางธรรมของพชื และสตั ว์ รวมท้ังการกระทาในแต่ละวนั ของมนษุ ย์ ตามความคดิ ของ
เหตุผล การจา การพดู การเรียนรู้ อาริสโตเติลแต่งตาราจิตวิทยาเล่มแรกของโลกเกี่ยวกับ
วญิ ญาณช่ือ De Anima (Life) เขาเสนอประเดน็ ว่า วญิ ญาณคือเหตุแหง่ การศึกษาวิชาจติ วทิ ยา
ชาวกรีกโบราณเชอ่ื ว่าวญิ ญาณเปน็ วตั ถุทลี่ ะเอยี ด มีพลังแห่งจิต เป็นลมร้อนทาใหม้ ีชีวิตขน้ึ มาได้
มนษุ ย์มีสงิ่ ลกึ ลบั แฝงอยู่ในกายเปน็ ตัวคอยกระตนุ้ และควบคุมการกระทาต่างๆ ของมนุษย์ ส่ิงที่
ลกึ ลับและทรงอานาจนี้เรียกว่า วญิ ญาณ แต่คาสอนของนักปรัชญาชาวกรีกเป็นไปในรปู ปรัชญา
มากกว่าวิทยาศาสตร์ โดยใชค้ วามรู้และความคิดของตนเองเพียงอยา่ งเดียวมากกว่า ไมม่ ีการ
พสิ จู น์ทดลองซึง่ เรียกวา่ “ Arm Chair Method” แต่อย่างไร 2

ในประมาณปี พ.ศ. ๒๒๔๓ ตรงกับศตวรรษท่ี ๑๗ เป็นสมัยฟ้นื ฟศู ิลปวิทยา มี
นกั วทิ ยาศาสตร์เกดิ ขึ้นมากมาย และประสบความสาเรจ็ ในการค้นคว้าและวิจยั ทาใหค้ นมาสนใจ
วิธีการของงานทางวทิ ยาศาสตรม์ ากย่ิงขนึ้ และสรา้ งความขัดแย้งทางศาสนามากข้ึน

2 ดร.อบุ ลวรรณา ภวกานนั ท์และคณะ . จิตวทิ ยาทว่ั ไป สานกั พิมพ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร พิมพ์ครงั้ ที่ ๗ หน้าท่ี ๒

นักวิทยาศาสตร์สมยั ใหม่ คดั ค้านการศึกษาหาความรูแ้ บบอนุมานของอาริสโตเติล เรอเน เดการต์
เสนอว่าวิญญาณและรา่ งกาย เป็นสิ่งแยกกันอยา่ งเด็ดขาด และตา่ งกค็ วบคมุ และมีอิทธิพลตอ่ กนั
ทาให้ตอ้ งการมีการพิสูจน์ ทดลองหาประจกั ษพ์ ยานมาสนับสนุนความคดิ ดว้ ยวิธแี บบอนุมาน ทา
ให้วิชาจิตวิทยาเร่ิมมเี หตุผลมากขึน้ แทนการศึกษาสิง่ ลกึ ลบั

จอหน์ ลอ็ ค ได้เสนอว่า จิต คอื การที่เรารสู้ กึ ตัว ว่ากาลงั ทาอะไร คดิ อะไร อยู่ จติ จะสรา้ ง
ขน้ึ ตามวยั เป็นการสะสมประสบการณจ์ ากการเรียนรู้ โดยความคดิ และการเรียนที่ผ่านมา แล้วจะ
สัมพันธเ์ ชอ่ื มโยงเข้าดว้ ยกัน เขาจึงเป็นวางรากฐานทฤษฎีสัมพันธเ์ ชอ่ื มโยงเข้าด้วยกัน. เปน็ ต้น
ปี ค.ศ. ๑๗๓๘ วอน โวลท์ ได้เขยี นหนังสอื ชอ่ื Empirical Psychology อธบิ ายเรื่องจิตของ
มนุษย์ โดยอาศยั การสงั เกตว่าวญิ ญาณอยนู่ อกเหนอื การสัมผัสใด ๆ มองไมเ่ หน็ พิสูจน์ไม่ได.้
นกั จติ วิทยาจงึ ไมไ่ ดใ้ หค้ วามสาคญั ทอี่ ธิบายเร่อื งวญิ ญาณ หันมาสนใจพฤตกิ รรมซ่ึงสามารถเหน็ ได้
มาจนถึงปจั จุบนั

ในต้นศตวรรษท่ี ๑๘-๑๙ มีทฤษฎีทางวิทยาศาสตรเ์ กดิ ข้นึ มากมาย แต่ไมม่ ใี ครบอกได้ว่า
วิญญาณคืออะไร?. อยู่ทไี่ หน?. มีลักษณะอยา่ งไร ?. ทาใหค้ วามสนใจเร่ืองวญิ ญาณค่อย ๆ
หายไป เร่ืองจิตเข้ามาแทนท่ี เพราะจติ ดเู ข้าใจง่าย ว่าอยูต่ รงหวั ใจ แตเ่ พราะสามารถรู้สึกหรอื
สมั ผัสได้ เมื่อเกดิ อารมณ์ความคิดตา่ ง ๆ จติ กร็ ูต้ วั ว่าทาอะไร คดิ อะไร รู้สึกอย่างไร ซงึ่ เปน็
เร่อื งของจิตสานกึ คอื สตสิ ัมปชัญญะน่ันเอง ความนี้ทาให้เกดิ ความเชอื่ วา่ ชีวิตของมนษุ ย์
ประกอบด้วยกายและจิต จิตวิทยาจึงเริ่มเปล่ยื นตนเองจาก Psychology is a Science of soul
มาเป็น Psychology is a Science of Mind.

ในศตวรรษท่ี ๑๙-๒๐ เป็นยคุ ทองของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ มีผ้ศู กึ ษาประเด็นทาง
จิตวิทยา เพ่ิมประเดน็ ข้ึนมากมายเช่น เออเนสท์ ฮนิ ริช เวเบอร์ คน้ พบพืน้ ฐานรว่ มกันระหว่าง
ความรู้สกึ ทางสรีระ กับจติ วิทยาฟิสิกส์ เขาคดิ เกยี่ วกับความสมั พันธร์ ะหว่างส่ิงเร้ากบั การ
ตอบสนอง วลิ เฮล์ม แมกซ์ วนุ้ ท์ ผู้ทาให้จติ วิทยา แยกออกมาจากปรชั ญา เปน็ วิทยาศาสตร์
สมบรูณ์ โดยสร้างห้องจติ วิทยาท่มี หาวิทยาลัย Leipzing ทาการทดลองเกี่ยวกับความรูส้ ึกของ
ประสาทสัมผัส ด้วยการใช้จิตพินจิ ภายใน การแยกตัวออกมาจาก เทววิทยา ปรัชญา และ
สรรี วิทยาแลว้ จิตวิทยาไดพ้ ฒั นากา้ วไกลเกนิ กวา่ จะศกึ ษาแคเ่ รอื่ งจิตวิญญาณเทา่ นน้ั มกี ารคน้ หา
ความจรงิ ต่าง ๆ เกี่ยวกบั จิตของมนษุ ยด์ ว้ ยวิธีการต่าง ๆ จนสรปุ เป็นทฤษฎี แนวคดิ และ
ประยกุ ตใ์ ช้กันในภาคปฏิบัติในชีวิตสว่ นตัว การทางาน และสงั คมได้

ในศตวรรษท่ี ๑๙ จอหน์ บี วตั สนั ไดเ้ ผยแผแ่ นวคิดการศึกษาจติ วิทยาจากพฤตกิ รรมนิยม
ทสี่ ามารถทดสอบให้เหน็ ด้วยประสาทสมั ผสั ทั้ง ๕ แนวคดิ นม้ี ีอิทธพิ ลต่องานวิจัย และประยกุ ตใ์ ช้
ในรปู แบบต่างๆ ถึง ๕๐ ปจี นลดความสาคญั ลง เพราะความเจรญิ ของเทคโนโลยแี่ ละประสาท
วทิ ยา

ในศตวรรษท่ี ๒๐ มกี ารค้นพบการทางานของสมอง ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ จิตน้นั เกดิ จากการทางาน
ของสมอง เรียกวา่ การรคู้ ดิ และปญั ญาน่ันเอง พฤติกรรมเป็นผลผลิตของการทางานสมองหรอื จิต
เทา่ นัน้ นอกจากนี้ยังมกี ารใชค้ วามรู้เหล่าน้ี มาสร้างเครอื่ งมอื วิทยาศาสตร์ ต่าง ๆ มาใชค้ น้ คว้า
ความรทู้ างจิตวทิ ยา หรอื การบาบดั รกั ษาอาการ ทางจิตได้ถูกตอ้ ง แมน่ ยาทาให้ เกดิ ความสนใจ
ศึกษาคน้ ควา้ 3กระบวนการทางจติ มากข้นึ ท่ีส่งพฤตกิ รรมของมนษุ ยใ์ นรูปแบบต่างๆและนยิ ม
แพรห่ ลายมากข้นึ และนาความร้นู ้ีไปใช้กบั ศาสตรต์ า่ งๆ มากขึ้น อย่างทเี่ ห็นในปัจจบุ นั ,4

๓.อธิบายแนวคิดจติ วทิ ยาในพระไตรปฎิ กได้

๓.๑ เม่ือวชิ าจิตวิทยาสนใจศึกษาเร่ืองราวของชีวิตมนุษยโ์ ดยเฉพาะเรอื่ งจติ ท่ีสามารถรสู้ ึก
สมั ผสั ได้ เมอ่ื เกิดอารมณ์ความคดิ ต่างๆ เม่อื รู้ตวั ว่าทาอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร เปน็ เรือ่ งของ
จิตสานกึ คอื สตสิ ัมปชัญญะนั่นเอง และความคิดนีท้ าให้เชื่อว่า ชีวติ ของมนษุ ยป์ ระกอบด้วยกาย
และจิตน่ันเอง ซึง่ แนวคดิ น้มี าสอดคลอ้ งกบั คาสอนของพระพทุ ธเจ้าในพระไตรปฎิ กทรงสอนเรอ่ื ง
ชีวิตในรปู แบบของขนั ธ์ ๕ ประกอบดว้ ยรปู เวทนา สัญญา สังขาร และวญิ ญาณ และความนา
เรื่องขนั ธ์ ๕ มาสังเคราะห์ให้เกดิ องค์ความรู้ใหม่ใหร้ ูปหมายถึงกาย สว่ น เวทนาหมายถึง
ความรู้สกึ ทกุ ข์สขุ สญั ญาหมายถึงการจดจาส่ิงตา่ งๆ ของจิต สว่ นสังขารหมายถึงการคดิ ของจิต
ส่วนวิญญาณหมายถงึ การรบั รู้ของของจติ รวมแลว้ หมายถงึ จิตนั้นเอง ขันธ์ ๕ หมายถงึ ชีวิตท่ี
ประกอบดว้ ยกายและจิต คาสอนเรอื่ งขันธ์ห้า มกี ารกล่าวไวใ้ นพระไตรปิฎกหลายแห่งด้วยกันนั้น
จติ วิทยาในพระไตรปฎิ ก จึงเป็นการศึกษาพระพุทธศาสนาบูรณการกบั วิชาจติ วิทยาซึ่งเป็นศาสตร์
สมยั ใหม่ สามารถเดินทางไปในแนวทางเดยี วกันได้

๓.๒ ในวชิ าจิตวทิ ยา มนี ักจติ วทิ ยาสนใจศึกษาปญั หาของความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงเรา้ กับ
ตอบสนองของจติ ซ่ึงสอดคลอ้ งในคาสอนทางพระพทุ ธศาสนาพระพุทธองค์ทรงสอนเร่ือง

3 Ibidp.2
4 Ibid p. 3

อายตนะภายในและภายนอก กล่าวคอื อายตนะภายในคืออนิ ทรีย์ ๖ ซง่ึ เป็นสว่ นหน่ึงของร่างกาย
มนษุ ย์ สมั พนั ธอ์ ายตนะภายนอกไดแ้ ก่รูป เสยี งกลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เรียกว่า “สงิ่ เร้า
กระต้นุ ” กไ็ ด้ โดยอนิ ทรีย์ ๖ เปน็ ทวารเช่ือมใหจ้ ติ ของมนษุ ยร์ ับร้เู ร่ืองราวของสิง่ เร้าภายนอกท่ี
เรยี กว่าอายตนะภายนอก เมอื่ รับรู้แล้วก็จดจาสง่ิ นั้นไว้ในจติ ทาใหเ้ กดิ การแสดงออกทางกายที่
พอใจบา้ งไม่พอใจบ้างเปน็ ต้น.

๓.๓ จติ ตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ จิตวทิ ยาเปน็ เริ่มมีการสร้างหอ้ งทดลองเกี่ยวกับ
ความรสู้ กึ ประสาทสัมผัส ดว้ ยวธิ ีใชจ้ ิตพิจารณาภายในจติ นน้ั โดยใช้ตวั อย่างแหง่ การทดลองด้วย
วธิ ีการซา้ ๆ หลายครง้ั จากกลุ่มตวั อย่างทดลองหลายคนดว้ ยกัน ในพระพุทธศาสนาเปน็ คาสอน
ตามหลกั วิทยาศาสตร์เช่นเดียว เมือ่ พระพทุ ธเจ้าตรัสร้แู จ้งแหง่ กฎธรรมชาตขิ องชวี ิตมนุษย์ ที่
เป็นไปในวฏั ฏะสงสาร ทรงค้นพบวา่ ชีวติ ของมนษุ ยป์ ระกอบด้วยกายและจติ เมื่อชีวติ มนษุ ย์ตาย
ไปแลว้ ไมใ่ ชต่ ายสญู แตย่ ังมีจติ ท่ีออกจากร่างกายไปจุจติ ไปสู่ภพภมู ิใหม่ จากทฤษฎคี วามร้เู รื่องการ
เวยี นว่ายตายเกดิ ของมนุษย์ของพระพทุ ธเจ้า ความรเู้ รื่องการเวียนวา่ ยเกดิ นี้ พระอริยสงฆ์ของ
พระองคป์ ฏบิ ตั ดิ ว้ ยวิธกี ารของมรรคมอี งค์ ๘ เชน่ เดยี วกนั ทรงคน้ การเวยี นว่ายตายไดเ้ ช่นเดยี วกัน
เช่นพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร นางประชาบดีโคตรมี และนางพมิ พายโสรา เป็นต้น

๔.สรุป

วชิ าจิตวิทยาและวิชาพระไตรปิฎกนั้นตา่ งสนใจศึกษาคน้ ควา้ เร่ืองชีวิตของมนุษย์ ท่ี
ประกอบดว้ ยการกายและจิต แม้แตเ่ ดมิ นั้นจิตวิทยาใหค้ วามสนใจเรื่องจติ ของมนษุ ยแ์ ตเ่ มื่อยงั ไม่
มเี ครื่องมอื วิทยาศาสตรจ์ ะพสิ จู นใ์ ห้เห็นว่าจติ คอื อะไร อยู่ทสี่ ่วนไหนของร่างกาย และมีลกั ษณะ
อยา่ งไรก็ตาม เหมือนคาสอนของพระพุทธเจ้าก็ตาม แตจ่ ุดหมายปลายทางของวชิ าจิตวทิ ยาและ
พระไตรปฎิ กกน็ าชวี ติ ผู้คนหลดุ พ้นจากความทกุ ขใ์ นชีวติ ทงั้ ส้ิน โดยเฉพาะจิตวิทยาม่งุ แกไ้ ข
พฤติกรรมไมด่ ี ซ่งึ เปน็ ข้อบกพร่องของชีวิตผคู้ นในสงั คม อนั เปน็ ความทุกข์ของชวี ิต เชน่ เดยี วกับ
พระพุทธศาสนาท่ีจะชว่ ยเหลอื ผู้คนหลดุ พ้นจากความทุกขใ์ นสงั คมปัจจุบนั มโี อกาสของชีวิต และ
หลดุ พ้นจากการเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารเชน่ เดียวกัน

๕.คาถามท้ายบท
๑.จงบอกประโยชนข์ องพระไตรปฎิ ก?
๒.อธบิ ายแนวคิดจติ วิทยาในพระไตรปิฎกใหเ้ ขา้ ใจไม่นอ้ ยกว่า ๑ หนา้ กระดาษ?

๕. บรรณานุกรม
๑. จิราภา เตง็ ไตรรตั น์และคณะ. จิตวิทยาทว่ั ไป สานกั พมิ พ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์

ครงั้ ท่ี ๗ กรุงเทพมหานคร
๒.พจนนกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
๓.สุชพี ปุญญานุภาพ. พระไตรปิฎกฉบับประชาชน โรงพมิ พม์ หามกฎุ ราชวิทยาลยั ในพระ

บรมราชูปถมั ภ์ พมิ พ์ครั้งที่ ๑๗ กรุงเทพมหานคร : ๘๒๐ หน้า.

บทที่๒.จติ และเจตสกิ ในพระไตรปิฎก
แนวคิดสาคัญ

จติ อาศยั กายรบั รูเ้ รื่องราวเกี่ยวกับโลก จติ มธี รรมชาตเิ ป็นผูร้ ู้ ผู้คิด ผ้สู ่งั สมความรู้และนกึ
คิด สว่ นเจตสกิ เป็นอารมณ์ทขี่ ึน้ กบั จติ และเปน็ ไปในจติ อนั เปน็ ธรรมชาติของมนุษยท์ ุกคน
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
จุดปลายทางการเรยี นรู้

มคี วามรูม้ ีความเข้าใจถึงพัฒนาการของพระไตรปฎิ กและความหมายของจิตและเจตสิกได้
พร้อมท้ังสามารถสามารถใช้ เหตุและผลในการแสวงหาความรู้เร่ืองจติ และเจตสกิ ได้
จดุ ประสงคน์ าทาง
๑.บทนา
๒ อธบิ ายความหมายของจิตในพระไตรปฎิ กได้
๓ อธบิ ายความหมายของเจตสิกในพระไตรปฎิ กได้
๔ อธบิ ายความแตกตา่ งของจิตและเจตสกิ ในพระไตรปฎิ กได้
๕ อธิบายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งจิตกับเจตสิกในพระไตรปิฎกได้
๖ สรุป
๗ คาถามทา้ ยบท
๘. บรรณานุกรม

๑ บทนา
ในพระไตรปฎิ กสอนอยเู่ รื่องเดียวคอื ชวี ติ ทป่ี ระกอบด้วยกายและจิต กายและจิตตา่ งอิสระ

จากกนั แต่เป็นปัจจัยให้เกิดชวี ิตมนษุ ยด์ ารงอยู่ชวั่ ขณะหน่งึ และถูกสมมติชอื่ ขึ้นมาเพ่อื สะดวกใน

การจดจาบคุ ลิกของมนุษย์แต่ละคน จิตมนษุ ยอ์ าศยั รา่ งกายแสดงสัญชาตคิ วามตอ้ งการของจิต
และมเี จตสกิ เป็นอารมณ์ เกดิ ข้นึ จากจติ เมอ่ื ผัสสะสิง่ ใดสง่ิ หน่งึ เกิดความนึกคิดตอ้ งการออกมา

๒.ความหมายของจิตในพระไตรปิฎก

พระไตรปิฎกเปน็ คัมภีร์ในทางพระพทุ ธศาสนารวบรวมของพระพทุ ธเจ้าเก่ยี วกับวถิ คี วาม
เป็นไปของชวี ติ มนษุ ยใ์ นวัฏฏะสงสาร พระพุทธองค์ทรงแสดงเร่ืองราวชีวติ ในรูปแบบคาสอนเรื่อง
ขันธ์ ๕ เมอ่ื สังเคราะห์ความรเู้ ร่อื งขนั ธ์ ๕ แจกแจงให้ทันสมยั สอดคล้องกับศาสตร์สมัยใหม่ เหลอื
เพยี งเรื่องกายและจติ เป็นองค์ประกอบของชีวติ ที่สาคญั และเป็นปัจจัยซง่ึ กันและกันจะขาดส่ิงใด
สงิ่ หนง่ึ ไม่ได้ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน ๒๕๔๒ คาว่า “จติ ”เปน็ คานามหมายถงึ
“ใจ, ส่ิงท่หี นา้ ที่รู้, คิด, และนึก ลกั ษณะนามว่า “ดวง” ตามพจนานกุ รมพุทธศาสตร์ใหน้ ิยามว่า
“จติ คอื ธรรมชาติทีร่ อู้ ารมณ์, สภาพท่นี กึ คดิ , ความคิด, ใจ

๑.๑.ปัญหาต้องวิเคราะห์ว่า “จติ ” คืออะไร, มีลกั ษณะธรรมชาตอิ ย่างไร,
ปญั หาว่าจติ คืออะไรในพระไตรปฎิ กเล่มที่ ๒๕ ธรรมบทจิตวรรคที่ ๓ กลา่ วว่า “นักปราชญ์
ย่อมทาจิตที่ดน้ิ รน กลับกลอกรกั ษาไดโ้ ดยยาก หา้ มได้โดยยาก ให้ตรง ดังช่างศรดัดลูกศรใหต้ รง
ฉะน้นั จิตนี้อนั พระโยคาวจรยกขึ้นแล้วจากอาลยั คือเบญจกาม คุณเพียงดงั นา้ ซัดไปในวปิ สั สนา
กรรมฐานเพยี งดงั บก เพื่อจะละบ่วงมาร ย่อมด้ินรน ดุจปลาอนั ชาวประมง ยกขนึ้ แลว้ จากทอ่ี ยู่คือ
น้าโยนไปแลว้ บนบก ดิ้นรนอยู่ ฉะน้ัน การฝึกฝนจติ ทข่ี ่มไดย้ าก อันเรว็ มปี รกติตกไปในอารมณ์
อนั บคุ คลพึงใครอ่ ย่างไร เปน็ ความดี เพราะว่าจติ ทีบ่ ุคคล ฝึกดแี ล้วนาสุขมาให้ นกั ปราชญพ์ งึ รักษา
จิตท่ีเหน็ ได้แสนยาก ละเอียดอ่อนมีปกตติ กไปตามความใคร่ เพราะว่าจติ ทีบ่ คุ คล คุม้ ครองแล้วนา
สุขมาให้ “ชนเหล่าใดจกั สารวมจติ อนั ไปในทไ่ี กล ดวงเดยี วเท่ยี วไป “หาสรีระมิได้ มถี ้าเปน็ ทอ่ี ยู่
อาศัย” ชนเหล่านน้ั จะพน้ จากเคร่ืองผูกแหง่ มาร ปญั ญาย่อมไมบ่ ริบูรณแ์ กบ่ คุ คลผมู้ จี ิตไม่ต้ังมั่น ไม่
รูแ้ จม่ แจ้งซ่งึ พระสทั ธรรมมคี วามเลื่อมใสอนั เลือ่ นลอย ภยั ย่อมไมม่ แี ก่พระขณี าสพ ผ้มู ีจิตอนั ราคะ
ไมร่ วั่ รด ผ้มู ใี จอนั โทสะไมต่ ามกระทบแลว้ ผู้มีบญุ และบาปอันละได้แลว้ ผูต้ ่นื อยู่ กลุ บตุ รทราบกาย
น้วี ่า เปรียญด้วยหมอ้ แล้ว พึงกน้ั จิตนีใ้ หเ้ ปรียบเหมือนนคร พึงรบมารดว้ ยอาวุธคือ ปัญญา อนงึ่
พึงรกั ษาตรุณวปิ สั สนา ทต่ี นชนะแลว้ และไม่พงึ ห่วงใย กายนอ้ี ันบุคคลทงิ้ แลว้ มีวิญญาณปราศแล้ว
ไมน่ านหนอจักนอนทบั แผ่นดิน ประดจุ ทอ่ นไมไ้ ม่มปี ระโยชน์โจรหัวโจกเหน็ โจรหัวโจก ก็หรือคน มี
เวรเห็นคนผ้คู ู่เวรกนั พึงทาความฉิบหาย และความทุกขใ์ ดให้ จติ ทบี่ คุ คลตั้งไวผ้ ิดพงึ ทาบุคคลนนั้ ให้
เลวยง่ิ กว่าความฉิบหายและความทกุ ขน์ ัน้ มารดาบิดาไม่พงึ ทาเหตนุ ั้นไดห้ รอื แมญ้ าติ เหล่าอื่นกไ็ ม่

พงึ ทาเหตุน้นั ได้ จิตท่บี ุคคลตง้ั ไวช้ อบแล้วพงึ ทาเขาให้ประเสรฐิ กวา่ เหตนุ ้นั ฯ5” มีขอ้ ความใน
พระไตรปฎิ กตอ้ งพจิ ารณาวา่ “ชนเหล่าใดจักสารวมจิตอนั ไปในท่ไี กล ดวงเดียวเท่ยี วไป “หาสรีระ
มไิ ด้ มถี า้ เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศัย” จากข้อความนี้เราสามารถวิเคราะห์ความหมายของจิตไดด้ งั น้ี ๑. หา
สรีระมิได้ ดวงเดยี ว เท่ียวไปไกล มีถา้ เป็นท่อี ยู่อาศัย

จากธรรมบทจิตตวรรคท่ี ๓ เราวิเคราะหค์ วามหมายของคาว่า “จติ ” ไดด้ ังน้ี
๑.๑.๑จติ คือหาสรีระมิได้ หมายความวา่ จิตเป็นสง่ิ ไม่มีสรีระหรือไม่รูปร่างเหมือนรปู เรียก
อีกอย่างหนง่ึ “นามธรรม” เปน็ องคป์ ระกอบของชีวิตที่อาศัยอยใู่ นร่างกายของมนษุ ย์ จิตเรา
สัมผสั ไม่ไดเ้ ว้นแต่ดจู ากกิรยิ าท่าทาง, คาพดู , ความคิดที่เรยี กว่าเจตนา เมอื่ ไม่มีรปู ร่างจงึ ไมก่ นิ ที่
เหมอื นร่างกาย จติ มีลักษณะเกิดดบั ตลอดเวลา จิตอาศยั ร่างกายเป็นสะพานรับร้เู ร่อื งราวของ
โลกเชน่ ปรากฏการณต์ ามธรรมชาติ เท่าท่มี ภี ูเขาไฟระเบิด, น้าท่วม พายุ ฟ้าคะนอง ไฟป่า เปน็
ต้น

๑.๑.๒. จติ อันไปในท่ไี กล เมอื่ จติ เปน็ องค์ประกอบชีวิตทที่ าให้มนุษยด์ ารงชีวิตตนอยไู่ ด้ชวั่
ระยะเวลาหนึ่งเท่านนั้ ส่วนมากไมเ่ กิน ๑๐๐ ปี มนุษยก์ ส็ ิ้นชวี ิตลงไปรา่ งกายเสื่อมสลายลงไปคนื สู่
ธรรมชาตไิ ป ส่วนจิตมนษุ ย์แม้จะมกี ารเกดิ ดบั ตลอดเวลากต็ าม แตห่ าไดเ้ ส่อื มสายสญู ไป
เช่นเดยี วกบั ร่างกายไม่ จติ และอาสวะกเิ ลส ตอ้ งไปจตุ ิจิตในภพภูมติ า่ ง ๆ ตามกาลังกิเลสทส่ี ะสม
ในจิตของตน.

๑.๑.๓.ดวงเดยี วเท่ยี วไป จิตมลี กั ษณะเปน็ ดวง ๆ ท่ีความเกิด-ดบั ตลอดเวลา เดินทางไปสู่
ภพภูมติ า่ งๆ อาศัยอยูด่ ้วยเหตุปจั จยั เมื่อหมดเหตปุ ัจจยั แลว้ ก็เดนิ ทางไปสภู่ พภูมิใหม่ เร่อื ยไป
ตามกรรมที่ส่งั สมไว้ในจติ ของตน.

๑.๑.๔. มถี ้าเปน็ ท่อี ย่อู าศัย เมอ่ื จติ กบั กายเป็นส่วนประกอบรวมตวั กนั เป็นชีวิตมนุษย์
เมื่อจิตเปน็ ส่งิ ท่ไี ม่มรี ูปรา่ ง อาศยั อยู่ในร่างกายมนุษย์ ภายในร่างกายของท่มี ีลกั ษณะเป็นถ้าอยทู่ ่ี
กะโหลกศรี ษะท่ีมลี กั ษณะกลวงเป็นถ้าใช้บรรจุส่วนสมองซงึ่ เปน็ สว่ นรวมของเส้นประสาททัว่
รา่ งกาย จติ จงึ อาศยั อยใู่ นบริเวณส่วนกะโหลกน้ี เมื่อจติ เป็นนายกายเปน็ บ่าว จติ มคี วามรกั โลภ

5 พระไตรปิฎก เลม่ ท่ี ๒๕ พระสตุ ตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อติ ิวุตตกะ-สุตตนิบาต คาถาธรรมบท จิตตวรรคท่จี าก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=366&Z=394วันท่ี ๑ ธนั วาคม ๒๕๕๘ เวลา ๒๐.๑๐ น.

โกรธหลงอันเปน็ สมบตั ขิ องจติ ทีผ่ ัสสะอารมณโ์ ลกยอ่ มเกดิ ความอยาก...จิตก็ใช้กายไปแสวงหา
ความร้ใู ชต้ าแสวงหาส่งิ ทีต่ นอยากได้.

๑.๒ธรรมชาติของจติ ปญั หาทตี่ ้องวเิ คราะหต์ อ่ ไปวา่ ธรรมชาติของจติ ของปัจเจกบคุ คล มี
ลกั ษณะอยา่ งไร ในพจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศัพท์ ของพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)6
ให้ความหมายของธรรมชาติของจิตมลี กั ษณะ คอื ธรรมชาติที่รอู้ ารมณ์ , สภาพนกึ คิด, ความคิด,ใจ
ซ่ึงเราสามารถวิเคราะหไ์ ด้ดังนี้

๑.๒.๑. ธรรมชาตทิ ่ีรับรอู้ ารมณ์ ที่เรียกว่า วญิ ญาณ คาน้ตี ามพจนานุกรมฉบับ
ราชบณั ฑิตยสถานแบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภทคือ

๑.สิ่งท่ีมีอยู่ในรา่ งกายเมอ่ื ยังมชี วี ิตอยู่ และเมือ่ ตายไปวิญญาณจะออกจากร่างไปหาทอี่ ยู่
ใหมก่ ล่าวโดยสรปุ วญิ ญาณคือจติ มลี กั ษณะไม่มีรปู รา่ งต้องอาศัยกายท่ีลกั ษณะเป็นถ้าเป็นท่ีอยู่
อาศยั เมือ่ ตายไปจิตจะไปจตุ ิจติ ส่ภู พภูมใิ หม่

๒.ส่วนวญิ ญาณหมายถงึ การรับรู้และอาศัยกายออกไปรู้อารมณซ์ ่ึงอยภู่ ายนอกตวั มนษุ ย์
สว่ นของรา่ งกายทีจ่ ติ ใช้เป็นสะพานหรอื ทวารออกไปรับรู้อารมณ์เหล่านี้ น้ันคืออายตนะภายใน
หรอื อนิ ทรีย์ ๖ ของร่างกายมนษุ ย์อันไดแ้ ก่ หู ตา จมูก ลน้ิ กาย และใจของมนุษย์ สภาวะรอู้ ารมณ์
ของมนษุ ย์เกดิ ข้ึน

-เม่ือจติ นอ้ มออกไปผสั สะอารมณข์ องรูปทางประสาทตา เรียกว่าจกั ษุวิญญาณ เกดิ ความรู้
อารมณ์ขนึ้ แตเ่ ม่อื จิตเป็นสิง่ ไม่มีรปู ร่าง ส่ิงทจี่ ิตน้อมรบั เขา้ มาสจู่ ติ ผา่ นตาของมนุษยน์ น้ั ได้แต่
สภาวะของอารมณ์ทีเ่ ปน็ เรอื่ งราวของภาพที่มนุษยเ์ ห็นเท่านั้น ไมส่ ามารถน้อมรับวตั ถุตา่ งๆ ผ่าน
ตาเขา้ มาสจู่ ิตได้

-จิตน้อมออกไปผสั สะอารมณ์ของเสยี งทางประสาทหูเรียกว่า“โฆษวิญญาณ”เกดิ ความรู้
ของอารมณ์เสยี งเกดิ ขึน้ แตเ่ มือ่ จติ เปน็ ส่ิงไม่มีรูปร่าง สิง่ ทจี่ ติ นอ้ มรับเข้ามาสู่จติ ผ่านหูของมนุษยน์ ัน้
ได้แก่สภาวะอารมณ์ท่เี ปน็ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั เสียงทีม่ นุษย์ไดท้ างประสาทหูเท่าน้ันไมส่ ามารถนอ้ ม
รบั วตั ถุตา่ งๆ ทาให้เกิดเสียงเข้ามาสู่จิตได้ ฯลฯ เป็นตน้

๑.๒.๒.ธรรมชาติทมี่ สี ภาพคดิ จิตเมอื่ รู้อารมณ์ใดแล้ว (ปรุงแต่งหรือเรียกอีกอยา่ งหนง่ึ ว่า
จินตนาการ) แล้วยอ่ มนาอารมณ์ทีร่ ้มู านึกคดิ จากส่ิงท่ีรู้ ว่าเปน็ อะไรก็ได้ หรือให้หมายถึงอะไรก็ได้
กลา่ วโดยสรุป เมอ่ื จติ ของมนษุ ย์รู้ส่ิงใดกน็ าสงิ่ น้ันมาคิด ใหเ้ กิดความร้คู วามเขา้ ใจในความรู้น้ัน

6 http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/buddict/dish43.html

แล้วความอยากแล้วนามาสู่การประพฤติทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมของมนษุ ย์ เช่นเมอื่
มนษุ ย์ผสั สะสิ่งใดทีเ่ ปน็ อามิสสุข มนษุ ย์เกดิ ความอยาก กย็ ่อมแสวงหาด้วยการนาความร้นู ั้นไปใช้
ให้เกดิ ประโยชนใ์ นชวี ติ ของตน ประโยชน์นน้ั มีท้ังประโยชน์ภายในและภายนอกชีวติ ของมนษุ ยเ์ อง

๓. ธรรมชาติของจิตเก็บส่ังสมความรู้ ท่เี รียกว่า “สัญญา”ธรรมชาติของจิตเมอื่ รับรสู้ งิ่
ตา่ งๆ แลว้ สง่ิ ทจี่ ติ รบั รู้แล้วยงั คงอยู่ในจติ ของมนุษย์ การยังอยู่ในจิตของอารมณส์ งิ่ ถกู รับรู้ เรยี กว่า
“อนสุ ยั ” คาว่าอนสุ ยั ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตหมายถึง กิเลสที่ฝังเปน็ สนั ดานเรียนว่า
โลภะ โทสะและโมหะเปน็ ตน้ นักวิชาการบางท่านบอกว่าอยู่ในจติ ใตส้ านึกของมนษุ ย์ เปน็ ที่สะสม
พฤตกิ รรมของจติ หลายอย่างเชน่ แรงจงู ใจทาให้แสดงพฤติกรรมบางอย่างของมนษุ ย์, ชอบเกบ็
ผัสสะตา่ งๆ ที่ผ่านเขา้ มาทางอายตนะภายใน ชอบเกบ็ กายกรรมท่ีแสดงออกทางกายมาไว้ วจี
กรรมการแสดงออกทางวาจาของไว้และเก็บมโนกรรมส่งั สมไว้ในจิตในบางครง้ั เกบ็ ประสบการณ์
ทางผสั สะทดี่ ีเรยี กว่า “กศุ ลกรรม” หากเกบ็ ประสบการณ์ทไ่ี มด่ ี เรียกว่า อกุศลกรรม”เปน็ ตน้

๔. ธรรมชาติของจติ มีความนึกคดิ จิตมนุษยข์ องมนุษย์มีกิจกรรมทางจติ หรอื ทางปัญญา
รวมถงึ กระบวนการคิด ในแง่กรอบการคิดหมายถงึ กระบวนการรับรู้, การรับความรู้สึก, ความมี
จติ สานกึ และจนิ ตนาการ7 เม่อื มนษุ ยม์ ีความรู้เกบ็ ไว้ในจิตแลว้ ความเหล่านั้นจะมีประโยชนต์ ่อ
ชวี ติ เม่อื มนษุ ย์เจา้ ของความรู้ นามาคดิ จนิ ตนาการ ทาใหต้ นเข้าใจสภาวะโลกตามความเปน็ จริง
แตกต่างกันตามความคดิ หาเหตุผลของตนและแปลความหมายของผัสสะตามความเขา้ ใจของตน
เพือ่ เช่อื มกับความเป้าหมายของชีวิตที่ตนปรารถนา และนาไปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ในการดาเนนิ ชีวติ

กล่าวโดยสรปุ จติ มลี ักษณะเปน็ ส่งิ มลี กั ษณะเปน็ สิง่ ไม่มีรปู ร่าง อาศัยอย่ใู นบรเิ วณกะโหลก
ศรี ษะ ท่เี ปน็ ส่วนรวมประสาท ทอ่ งเทยี่ วไปในสังสารวฏั มลี กั ษณะ เปน็ ผู้รู้ ผู้คิด ผูเ้ ก็บอารมณต์ ่างๆ
และนาสง่ิ ท่ีรู้เก็บไวใ้ นจิตนี้ มานึกจนิ ตนาการตอ่ ยอดใหเ้ กดิ ประโยชน์แกช่ วี ิตของตน

๓. ความหมายของเจตสิกในพระไตรปฎิ ก

ชวี ิตของมนุษยป์ ระกอบดว้ ยกายและจิต ชวี ติ ของมนุษยส์ ัมพนั ธ์กับวัตถุภายนอกไมว่ ่าจะ
เป็นรูป รส กลนิ่ เสียง โผฏฐพั พะ และธรรมมารมย์อยู่เสมอ กล่าวคือ เมื่อจิตมนษุ ย์ได้น้อมผา่ น
ทวารทัง้ ๖ หรืออนิ ทรยี ท์ ้งั ๖ ออกไปรับรเู้ รอื่ งราวของสิ่งต่าง ๆ ภายนอกชวี ิตของตนแล้ว เกดิ

7 https://th.wikipedia.org/wiki/ความคดิ จาก Webster's II New College Dictionary, Webster Staff, Webster,
Houghton Mifflin Company, Edition: 2, illustrated, revised Published by Houghton Mifflin Harcourt, 1999, ISBN
0-395-96214-5, 9780395962145, pg. 1147 เมอ่ื วนั ท่ี ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เวลา ๑๗.๐๑ น.

อาการต่าง ๆ ของจิต ที่เรียกว่าเจตสิก ตวั อย่างเช่น เมื่อเราถกู คนอ่ืนกล่าวด้วยคาพูดของอ่ืน
เยาะเย้ยถากถางในสง่ิ ทีไ่ ม่จริง เม่ือจิตของเรารับรู้คาพดู น้นั ผ่านหแู ลว้ ก็จะเกิดอาการของจิต
เปน็ ไปต่างๆ จติ คิดไมพ่ อใจในอารมณข์ องคาพูดที่เยาะเย้ยถากถางนั้น จติ ของผู้น้ันจะมีความ
โกรธเพราะบันดาลโทสะ เมื่อระงับความโกรธไม่ไดก้ ็เขา้ ไปทาร้ายให้ผอู้ น่ื ท่กี ล่าวถ้อยคาเยาะเย้ย
ถากถางน้นั ความโกรธเป็นอาการอย่างหนึ่ง เกิดขนึ้ พร้อมกบั จติ ทไ่ี ด้ผัสสะสิง่ ใดสง่ิ หนง่ึ

-เมื่อเราเห็นภาพของรถยนต์กระบะร่นุ ใหมเ่ ป็น เมื่อจติ กน็ ้อมรบั อารมณ์ของภาพของ
รถยนตน์ น้ั มาไวใ้ นจิตของตน เมือ่ รบั ร้นู ัน้ แล้วจิตของตนกเ็ กิดอาการด้วยความพอใจ การท่จี ติ
พอใจน้นั เปน็ เจตสกิ ท่ีเกิดขนึ้ พรอ้ มกับจิตนัน้ แต่ก็คดิ ตอ่ ไปว่า จะทาอย่างไรจะไดซ้ ้ือรถกระบะนน้ั
มาครอบครองเป็นเจ้าของรถยนตค์ ันนน้ั อารมณอ์ ยากไดเ้ ป็นนามธรรมประกอบขน้ึ กบั จติ ของ
ตนเอง อารมณ์อยากไดน้ ี้เปน็ เจตสกิ ท่เี กิดขึ้นกบั จติ ของมนุษย์

ปญั หาว่าเจตสิกคืออะไร
-ตามพจนานุกรม ฉบับประมวลธรรมของพรหมคุณาภรณ์ (ปอ. ปยตุ โต) ใหค้ วามหมายว่า
เจตสิกคือธรรมทปี่ ระกอบกบั จติ , สภาวธรรมท่ีเกิดดับพร้อมกับจติ มอี ารมณแ์ ละวัตถทุ ่อี าศยั
เดยี วกับจิต, อาการและคุณสมบัตติ า่ ง ๆ ของจติ
-ตามพจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ใหค้ านิยามว่า เจตสิกคืออารมณ์
เกดิ ขน้ึ กบั ใจ ความเปน็ ไปในจิตเชน่ สขุ หรอื ทกุ ขเ์ กิดขึ้นในจติ
-สว่ นคาว่าอารมณ์ ให้คานยิ ามว่า ส่ิงทีย่ ดึ หนว่ งจิตโดยผา่ นตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ
เชน่ รูปเป็นอารมณข์ องตา เสียงเปน็ อารมณ์ของหู รสเปน็ อารมณ์ของลิ้น เคร่ืองยดึ ถอื เปน็ จริง
เปน็ จังเช่น เรื่องนี้อยา่ เอามาเป็นอารมณ์เสียเลย. ความรทู้ างใจท่ีเปลื่ยนแปลงไปตามส่งิ เร้า เชน่
อารมณ์รกั , อารมณ์โกรธ, อารมณ์ด,ี อารมณ์ร้าย เป็นตน้ ,แปลว่า อัธยาศยั ปรกตินสิ ัย เชน่
อารมณข์ ัน, อารมณ์เหยอื กเย็น, อารมณ์ รอ้ นเป็นต้น, ความรู้สึก เช่น อารมณค์ ้าง, ใส่อารมณ์,
ความรซู้ ึ่งมักใชใ้ นทางกามารมณ์เชน่ อารมณเ์ ปลี่ยว, เกิดอารมณ์เปน็ ตน้

ตัวอย่างเช่น นายก. จับได้แฟนทีอ่ ยู่ด้วยกันมา ๒๐ ปี นอกใจ เมอ่ื มาง้อขอคนื ดกี ลับถกู
นาง ข. ปฏิเสขไม่คนื ดีดว้ ย เมอ่ื จติ ของนาย ก. ผสั สะกบั ความรกู้ ารไมย่ อมคนื ดดี ว้ ยทาให้จติ ของ
นายก.เปลยี่ นไปตามส่งิ เร้าคือการถกู ปฏิเสขไมค่ นื ดดี ว้ ย ทาให้เกิดจติ เกิดบันดาลโทสะ อาการที่
จิตบนั ดาลโทสะเป็นสิง่ ที่เกิดกับนาย ก. อารมณ์โทสะเปน็ เจตสกิ เปน็ อารมณ์เกดิ กับจิตของนายก.

๔ อธบิ ายความแตกต่างของจิตและเจตสิกในพระไตรปฎิ กได้

ชวี ติ ของมนุษยป์ ระกอบดว้ ยและจิต จติ และกายเปน็ ปจั จยั ซึ่งกนั และกัน จิตเป็นสิ่งไม่มี
รปู รา่ ง อาศยั อยูใ่ นร่างกายนี้ เมอื่ จติ รับรู้สิง่ ใดยอ่ มเกิดความรสู้ กึ ขึ้น ความร้สู ึกเปน็ อารมณ์เกิด
ขนึ้ กับจิต ทีเ่ รยี กว่า “เจตสกิ ” จติ จงึ เปน็ นามธรรมที่ไม่มรี ปู รา่ ง ความรสู้ กึ ของยอ่ มเป็นสิง่ ไมร่ ูปร่าง
ไปด้วย กล่าวโดยสรปุ จิตและเจตสิกเป็นส่งิ ไมม่ รี ูปร่าง ด้วยกันท้ังสองฝ่าย แต่เจตสกิ เปน็
อาการของจติ ทแ่ี สดงออกมาเมอื่ ผสั สะส่ิงใดส่ิงหนึ่ง เปรยี บเหมือนสุนัขและเงาสนุ ัขท่ีอยูใ่ นนา้ แม้
จะเหมอื นกนั แต่ไมใ่ ช่สิง่ เดยี ว เมื่อสนุ ัขไม่ได้ไปใกล้นา้ เงาย่อมหายไปเชน่ เดยี วกับจติ ไม่ผสั สะส่งิ ใด
คามรสู้ ึกสขุ หรอื ยอ่ มไม่เกิดขึน้

๕ อธบิ ายความสมั พันธ์ระหว่างจิตกับเจตสกิ ในพระไตรปฎิ กได้

ชีวิตของมนษุ ย์ประกอบด้วยกายและจติ ชวี ติ ของมนษุ ย์สัมพนั ธ์กับปัจจัยภายนอกชีวิต
คือ วัตถสุ ่ิงของตา่ งๆ บ้านเรอื น รถยนต์ คนรกั งานของตลอดเวลา ในชีวติ ของมนษุ ย์ มจี ติ อาศัย
รา่ งกายทีเ่ รียกวา่ อินทรีย์ ๖ นัน้ เป็นสะพานเช่ือมสิง่ ต่าง ๆ ท่ีเปน็ วตั ถเุ หล่าน้นั เม่ือจิตผสั สะกับสิ่ง
เหลา่ นัน้ ก็เกิดความรู้กับสิ่งเหล่าน้นั ขนึ้ มา ก็เกดิ อารมณข์ ึ้นกับจติ ที่เรียกว่าเจตสกิ ตวั อยา่ งเช่น

นาย ก.พ่อของนาย ข. กินเหลา้ ย้อมใจประชดชวี ติ เพราะ นอ้ ยใจลูกชายวัย ๑๕ ปี ชอบข่ี
รถจกั รยานยนตท์ ่อเสยี งดัง ทาให้ตนไมพ่ อใจ บอกบ่อยคร้งั แตไ่ มเ่ คยฟงั ลกู ชายกช็ อบออกไป
เท่ยี วแวน้ รถจักรยานยนต์ ท่ตี นตัง้ ใจซ้ือให้ นาไปแต่งจนท่อนั้นเสียง จนเจา้ หน้าท่ตี ารวจยดึ ไว้ ใน
วันนั้นตนก็บอกอกี แตล่ ูกชายไม่สนใจ ตนนอ้ ยใจ จนลกู ชายนาทอ่ รถมาทบุ ตอ่ หน้าจงึ ลงจากเสา
ไฟฟ้าโดยดี อาการนอ้ ยใจเปน็ อาการของจิตของนาย ก. จงึ เป็นเจตสิกทเ่ี กิดขึ้นกบั จิตของนาย ก.
เกิดข้นึ เมื่อจติ ของนาย ก. ไดผ้ ัสสะผ่านตาในรถจักรยานยนต์ทต่ี นซื้อใหล้ ูกชาย ทล่ี ูกชายนาไปแต่ง
ท่อเสยี งดงั ขณะขบั ขีแ่ ละหา้ มก็ไมฟ่ ัง.

-นาย ค.ดันสามล้อมาชนรถเก๋งของนาย ง. แลว้ เขยี นสารภาพผดิ ยอมรับวา่ ตนประมาท
พร้อมแสดงความรับผดิ ชอบ ดว้ ยให้เบอรต์ ิดต่อกลับไป แสดงใหเ้ ห็นว่านาย ค. เปน็ มีจติ สานึกดี
มากเพราะรับผดิ ชอบในส่ิงที่ตนทา ท้งั ท่ที าเฉยกไ็ ด้เพราะมีใครเห็น นาย ง. เจ้าของรถเกง่ มาเจอ
ถึงยนตข์ องตนจะเปน็ รอย แต่เห็นโน้ตแลว้ ไม่โกรธ ไมค่ ดิ เอาเร่อื ง ไม่คดิ เงิน. การเขยี นสารภาพผิด
เพราะตนประมาทแสดงความรับผิดชอบ การยอมรับผิดเปน็ อาการของจติ จึงเป็นเจตสิกอย่าง
หนง่ึ

-นาย จ. ฆา่ แมข่ องตนเองเพราะความเครยี ดสะสมจากการทจ่ี ติ ของตนผสั สะของตนทีจ่ ติ
รับรูจ้ ากพ่อแม่ปฏิเสขไมย่ อมรับแฟนสาวชาวเวียดนามของตนเองจากมารดาและพี่น้องของตน
ประกอบกับด่มื สุราและตดิ ยาบ้า ความเครยี ดเปน็ อาการของจติ เพราะจิตไดส้ ะสมการไม่ยอมรบั
การตอบสนองจากสิง่ เร้าคือพ่อแม่ยอมรับในตวั แฟนของตน. เม่ือความเครียดเป็นอาการของจิต
จงึ เป็นเจตสกิ อย่างหนง่ึ ที่กลา่ วไวใ้ นพระไตรปิฎก

ความสมั พนั ธร์ ะหว่างจติ กบั เจตสิกในพระไตรปฎิ ก เกดิ ขน้ึ เมอื่ จิตของมนษุ ย์ไดผ้ ัสสะสงิ่
เร้าภายนอกชวี ิตของตน ผ่านอนิ ทรีย์ ๖ ซ่ึงเปน็ ส่วนประกอบของชีวิตตน เมอื่ จติ กระทบกับส่ิงเร้า
เชน่ วัตถุหรือรูป ได้แก่ รถยนต์ พระพทุ ธรูป ภูเขา แมน่ ้า สถานทีส่ าคญั ทางพระพทุ ธศาสนา
รปู ภาพตา่ ง ๆ โทรศัพท์มอื ถอื มนุษย์ เปน็ ตน้ เสียงได้แก่ เสียงรถยนตม์ อเตอร์ไซด์,
เสยี งเพลงของนักรอ้ งเพลงไทย, เพลงสากล, เพลงลกู ทุง่ เป็นต้น กลิ่นทีจ่ ิตผัสสะร้จู มูกของมนุษย์
ไดแ้ กน่ ้าหอมย่ีห้อต่างๆ กลน่ิ ตวั กลิน่ น้าเนา่ เสยี จากโรงงาน, กลิน่ สารเคมี เปน็ ตน้ เมอื่ จิตนอ้ ม
ออกไปรับรู้แล้วน้อมรับผ่านอินทรีย์ ๖ เขา้ ส่จู ติ เกบ็ สั่งสมไว้ในจิตของตน เกิดการคิดเชอ่ื วา่ เป็น
จริงยอ่ มเกดิ ไมพ่ อใจจากส่ิงเรา้ จากภายนอกกไ็ ด้ หรือพอใจจากสงิ่ เร้านั้นกไ็ ด้ ความพอใจ
หรอื ไม่พอใจเปน็ อาการของจติ ท่เี รยี กว่าเจตสกิ นน้ั เปน็ ต้น .

๔. สรปุ จติ เป็นปัจจัยหนึ่งทที่ าให้เกดิ ชีวิต หากไม่มจี ิตชวี ิตก็ไมอ่ าจดารงตอ่ ไป จิตอาศัยรา่ งกาย
ของมนุษย์รับรู้เรื่องราวเก่ียวกบั สง่ิ เรา้ เมอ่ื รับรแู้ ล้วทาให้จิตมีอาการตา่ งๆ ตามส่งิ เรา้ นนั้

๕. คาถามทา้ ยบท

๑. จติ คอื อะไร มธี รรมชาติอยา่ งไร?

๒.เจตสกิ คอื อะไร มธี รรมชาติอย่างไร?

๓. จิตและเจตสิกมคี วามสัมพนั ธ์กนั อย่างไร?

๖.บรรณานุกรม

๑. จิราภา เตง็ ไตรรัตน์และคณะ. จติ วิทยาทั่วไป สานักพมิ พ์มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์
คร้ังที่ ๗ กรุงเทพมหานคร

๒.พจนนกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔

๓.สุชีพ ปญุ ญานุภาพ. พระไตรปฎิ กฉบับประชาชน โรงพิมพม์ หามกุฎราชวิทยาลยั ในพระ
บรมราชูปถมั ภ์ พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๑๗ กรุงเทพมหานคร : ๘๒๐ หน้า.

บทที่๓.การเปรยี บเทยี บจติ และเจตสิกในจิตวิทยากับพระไตรปิฎก

แนวคิดสาคญั
วชิ าจิตวิทยาและพระไตรปิฎกตา่ งสนใจศึกษาพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ และกระบวนการของ

จิต การศกึ ษาเปรยี บเทยี บเป็นการบูรณาการพระพุทธศาสนากบั ศาสตรส์ มัยใหม่ทาให้เราเขา้ ใจ
แนวคดิ ท้ังสองศาสตรย์ ิ่งขึ้นไป.
จุดประสงค์การเรียนรู้
จุดประสงค์ปลายทาง มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจถึงจติ และเจตสิกในการแสวงหาความรแู้ ละคุณธรรม

๑. บอกจิตของมนษุ ย์ในจิตวิทยาได้
๒. บอกเจตสกิ ของมนุษยใ์ นจิตวทิ ยาได้
๓. บอกความสมั พนั ธข์ องจิตและเจตสกิ ของมนษุ ย์ในจติ วทิ ยาได้
๔.สรุป
๕. คาถามท้ายบท
๖. บรรณานุกรม

๑.บทนา

วชิ าจติ วิทยาเปน็ สาขาวิชาหนึ่งท่ีแยกออกมาจากวิชาปรชั ญา เพราะเปน็ ส่วนหนง่ึ ของวิชา
ปรัชญา และเทววิทยา เมื่อมนุษยเ์ จริญขึ้น รจู้ ักคดิ จดจาประสบการณ์ของชีวติ ดว้ ยภาพเขียนไวใ้ น
ท่ีต่างๆ ตามถ้าตามหน้าผา และพัฒนาเปน็ ตัวอกั ษรขึ้นมาเพือ่ บนั ทกึ เร่อื งราวต่างๆ จดุ เรม่ิ ต้นของ
วิชาจติ วทิ ยาอยู่ทีง่ านเขยี นของอาริสโตเตลิ ได้เขยี นงานเรื่องธรรมชาตขิ องชีวติ เกีย่ วกับการคงอยู่
และการสรา้ งชีวิตใหมใ่ นรุ่นต่างๆ ทางธรรมชาตขิ องพืชและสัตว์ และการกระทาในแตล่ ะวันของ
มนุษย์ตามเหตผุ ล (การคดิ ) การจา (สญั ญา) การพูด (การสอ่ื สารมาจากความนกึ คดิ ) การเรียนรู้
(วิญญาณ) หนงั สอื เลม่ นี้เปน็ หนงั จิตวิทยาเล่มแรกของโลก เขาเสนอว่าวญิ ญาณคือเหตุแห่ง
การศกึ ษา 8 จากถอ้ ยคาของหนังสือของอารสิ โตเติลนั้น ทาใหเ้ ราวิเคราะห์ได้ ในโลกตะวนั ตก
สนใจเร่อื งชีวิตเชน่ เดียวกัน องคป์ ระกอบชีวิตนอกจากร่างกายแลว้ ยงั มวี ญิ ญาณอกี ด้วย และนัก
ปรชั ญาตะวันตกกย็ อมรับว่า มนษุ ยน์ ้นั มวี ญิ ญาณเป็นสง่ิ ลึกลบั แฝงอยู่ในร่างกาย เปน็ ตัวคอย
กระต้นุ และควบคุมการกระทาตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์9 อย่เู สมอ ในยคุ ตอ่ มาวิทยาศาสตร์เจรญิ กา้ วหน้า
มากย่งิ ขึ้น ความรูแ้ ละความจริงทางวิทยาศาสตร์ตอ้ งผา่ นการทดลองหลายคร้ังจนแน่ใจว่าเปน็
ความจรงิ ได.้ แต่กไ็ ม่มีใครอธบิ ายไดว้ ่าวิญญาณคอื อะไร อยู่ท่ีไหนและมลี กั ษณะอย่างไร 10 คาวา่
วญิ ญาณจึงไม่มีนักวิทยาศาสตรค์ นใดให้สนใจ คาวา่ จิตจงึ เขามาแทนที่เพราะสามารถรสู้ กึ และ
สัมผสั ได้เมอ่ื เกดิ อารมณค์ วามนึกคดิ ต่างๆ ซึ่งเราจะตอ้ งศึกษารายะเอียดต่อไป

๒.ปญั หาว่าจิตคืออะไร และมีธรรมชาติ

ตามแนวคดิ ของอารสิ โตเตลิ ว่ามนษุ ยม์ สี ิ่งลกึ ลบั แฝงอยใู่ นร่างกาย เปน็ ตัวคอยกระต้นุ และ
ควบคมุ การกระทาตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์ เรียกว่า วิญญาณ เม่ือวิเคราะหค์ าว่าวิญญาณแล้วใน
พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถานให้ความหมายว่า

(๑). วิญญาณเป็นคานามเปน็ สงิ่ ทีเ่ ชือ่ กนั ว่า มอี ยู่ในกายเมือ่ มชี ีวิตอยู่ในกายเมอื่ มีชีวิต เม่ือ
ตายจะออกจากร่างล่องลอยไปหาท่ีเกิดใหม่

8 ๑. อบุ ลวรรณา ภวกานนั ทแ์ ละคณะ. จติ วทิ ยาท่ัวไป สานักพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ครั้งท่ี ๗ กรงุ เทพมหานคร : หนา้ ที่ ๒

9 Ibid ๒
10 Ibid๓

(๒).เป็นคานาม ความรับรเู้ ชน่ จกั ษุวิญญาณ คือความรับรู้ทางตา โสตวญิ ญาณคือความรู้
ทางหู เปน็ ขันธ์ ๕ คอื รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ

(๓) คานามโดยปรยิ ายหมายถงึ จิตใจ เชน่ วิญญาณนักสู้ มีวิญญาณศิลปิน

ตามคานิยามของพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ น้นั คาวา่ “วิญญาณ”
ในทศั นะของอาริสโตเติลโดยปริยายหมายถงึ “จติ ” น้นั เอง เมอ่ื วิญญาณตามทศั นะของอารสิ โต
เติลกลา่ วว่ามสี ่ิงลกึ ลบั แฝงอยใู่ นร่างกายเป็นตวั คอยกระตนุ้ และควบคุมการกระทาต่างๆ ของ
มนุษย์ เราจึงกล่าวได้วา่ จิตหรือวิญญาณ ตามทัศนะจติ วทิ ยาคอื สงิ่ ทไ่ี ม่มีรูปร่าง จึงแฝงอยู่ใน
รา่ งกายของมนุษย์ได้ สว่ นจะแฝงในส่วนไหนของรา่ งกาย จะมลี ักษณะเป็นดวง, ทอ่ งเทยี่ วไปใน
สังสารวัฏยงั ไมอ่ าจอนุมานความรใู้ ห้เปน็ ความจริงได้

ธรรมชาติของจติ ตามทศั นะของอารสิ โตเติลซง่ึ เปน็ ผู้แตง่ หนังสือจติ วทิ ยาเลม่ แรกของโลก
เมือ่ จติ วิญญาณไมใ่ ช่สิง่ ทม่ี ีรปู ร่างแลว้ จงึ แฝงอย่รู ่างกายได้ แตไ่ มไ่ ดก้ ล่าววา่ ธรรมชาติของจิตเป็น
อยา่ งไร เมื่อพจิ ารณาจากการกระทาของมนษุ ยใ์ นแตล่ ะวนั โดยเทยี บเคียงกับธรรมชาตขิ องจติ ใน
พระพทุ ธศาสนาเถรวาทได้ดังนี้

๑.ธรรมชาตขิ องจิตเปน็ ผูค้ ิด ตามทัศนะจิตวิทยาตามแนวคดิ ของอารสิ โตเติล ไม่ได้กลา่ ว
โดยตรงว่าธรรมชาตขิ องวิญญาณเป็นอย่างไร เพยี งแต่เขากล่าวว่าธรรมชาติของชีวติ ของมนษุ ยม์ ี
การกระทาในแต่ละวนั ของมนษุ ย์ดว้ ยเหตผุ ล ซ่ึงวิเคราะห์หมายความทัศนะดงั กล่าวไดว้ ่าการ
กระทาของมนุษยก์ ่อนจะทาสิ่งใดยอ่ มใชค้ วามคิดหาเหตผุ ลก่อนลงมอื ทา โดยคิดจากสิง่ ที่รู้ เปน็
ต้น

๒.ธรรมชาติของจิตเป็นผสู้ ัญญา ในพุทธปรัชญาเถรวาทน้นั ธรรมชาติของจติ เป็นผ้จู าคอื มี
สัญญาไวใ้ นจติ ของตน เมื่อจิตของมนษุ ย์มธี รรมชาติเป็นผรู้ ู้ย่อมน้อมจิตออกไปผา่ นอนิ ทรยี ์๖
ได้แกต่ า หู จมกู เป็นตน้ ไปผสั สะปัจจัยภายนอกท่ีเรียกว่า วตั ถตุ า่ งๆ เสียงตา่ ง ๆ เปน็ ย่อมนอ้ ม
สิ่งนน้ั เขา้ มาไว้ในจิตของตนในลกั ษณะหอ่ หุม้ จิตไวอ้ ย่างหนาแนน่ เม่ือเจอผัสสะใหม่ในสง่ิ เดียวกัน
ย่อมเกดิ การระลึกไดห้ มายรูท้ ่ีผ่านมาน้นั . เพราะฉะนน้ั ธรรมชาตจิ ติ ของมนุษยย์ ่อมกระทาในแต่ละ
วันด้วยการจา ธรรมชาติของจิตในพระไตรปิฎกและจิตวิทยาจงึ สอดคล้องตอ้ งกนั .

๓.ธรรมชาติของจติ เปน็ ผู้นกึ คิดหรอื จิตนาการ แมใ้ นวชิ าจิตวิทยาจะไม่ได้กลา่ วไวโ้ ดยตรง
วา่ ธรรมชาติของจติ เปน็ ผนู้ ึกคดิ หรอื จินตนาการโดยตรง เพียงกล่าวไวว้ ่าเพราะฉะน้ันธรรมชาตจิ ิต

ของมนุษยย์ ่อมกระทาในแตล่ ะวันดว้ ยการพูด เราวเิ คราะหไ์ ด้ว่า การกระทาในแตล่ ะวันของมนุษย์
ด้วยการพูด โดยปกติมนษุ ยจ์ ะมีการสื่อสารดว้ ยการพดู การสื่อสารย่อมนึกคิดจากจินตนาการของ
ตนเอง จากความรูท้ ่ีส่ังสมอยู่ในจติ ของตนเอง จงึ อนุมานได้ว่า การพูดเป็นการส่อื สารจากนกึ คิด
จากจินตนาการจากความร้มู ีอย่ใู นตน ดงั น้นั ธรรมชาติของจติ ในทัศนะของจิตวิทยาตามแนวคดิ อา
รสิ โตเติลนัน้ อนมุ านไดว้ า่ ธรรมชาตจิ ิตเป็นผู้นกึ คิดจินตนาการเชน่ เดียวกบั พทุ ธปรัชญาเถรวาท

๔.ธรรมชาตขิ องจิตเปน็ ผ้รู ู้ ตามแนวความคิดของอาริสโตเติลกลา่ วการกระทาในแตล่ ะวนั
ของมนุษย์ตามการเรียนรู้ เมอื่ วิเคราะห์ข้อความตามแนวความคิดของอารสิ โตเติลดังกลา่ ว นน้ั
จิตของมนุษย์รบั ร้เู รือ่ งราวเก่ยี วกบั ผ่านอินทรียท์ ้งั ๖ และนอ้ มรับความรไู้ วใ้ นจิตของตน เม่ือ
ชีวติ มนุษยต์ ้องกระทาการเรียนรู้ในแตล่ ะวัน ปญั หาตอ้ งวเิ คราะห์วา่ มนุษย์ใช้อะไรเรยี นรู้ เรา
วิเคราะหไ์ ดต้ อ้ งใชจ้ ติ เรียนร้ผู ่านอินทรยี ์ ๖ ซึง่ เปน็ สว่ นหนึ่งของรา่ งกาย เพราะจิตสามารถรสู้ ึกหรอื
สมั ผัสได้โดยการร้ตู ัววา่ ทาอะไร คดิ อะไร รู้สึกอย่างไร เม่อื เห็นสง่ิ ใดย่อมคดิ จากสิ่งน้ันก็ร้สู ึกจากสง่ิ
นัน้ เป็นต้น.

๒.ความหมายเจตสกิ ในจติ วทิ ยา

บทนา มนษุ ยท์ กุ คนมักหลงตนเองเสมอว่าตนเองเป็นฉลาด มีเหตุผลในการกระทาสง่ิ ใดส่ิง
หนงึ่ อยเู่ สมอ แตก่ ็ทาได้ในระดบั หน่ึงอนั เรียกว่า ระดบั ปุถชุ น หรอื คนสามญั ธรรมทั่วไป แม้มนษุ ย์
จะชื่อวา่ ฉลาดกว่าสัตวท์ ัว่ ไป แต่มนุษย์ก็เป็นสตั วร์ ู้สึกร้อนรสู้ ึกหนาว เมือ่ กายของตนไดผ้ สั สะ
อุณหภมู ิของฤดูกาลต่าง ๆ รรู้ ักชอบมนษุ ย์ดว้ ยเมอ่ื รสู้ กึ พึงพอใจในการคบคา้ สมาคมกับบคุ คลใด
ในสงั คม ชอบแสดงออกในรปู แบบต่างๆ เรามกั พบวา่ มนษุ ยม์ กั ใช้อารมณก์ อ่ นที่ร้สู ึกตัว เช่น
เม่อื มนุษยร์ บั รสู้ ่ิงใดผา่ นผัสสะสิง่ เรา้ ทอ่ี ยู่ภายนอกตัวของตนเอง เกิดความคิดไม่พอใจ กจ็ ะแสดง
อารมณอ์ อกมาที่เรยี กว่าอาการต่าง ๆ ของจิตตนเพ่ือใหผ้ ูอ้ ืน่ ไดร้ บั รูป้ ญั หาทเ่ี กิดขน้ึ . ใน
ชีวติ ประจาวนั มนษุ ยเ์ กี่ยวข้องกับสิ่งเร้าภายนอกทกุ สง่ิ จิตของมนษุ ยจ์ งึ มีความรสู้ กึ และอารมณ์
ตลอดเวลา ตวั อย่างเชน่ ความรน่ื เริง ความเสียใจ ความต่ืนเต้น ความผิดหวัง ความรัก ความ
โกรธ ความกลวั ความผดิ หวงั ความซมึ เศร้า และอารมณ์อ่ืน ๆ อีกมากมาย เปน็ ความรู้สกึ ทีช่ วี ิต
ของมนษุ ยท์ กุ คนต้องประสบพบเหน็ กันอยู่ทุกวัน

หากมนุษยไ์ มม่ ีประสบการณ์จากส่ิงเร้าเป็นปัจจยั ภายนอกชีวติ ของมนุษย์แล้ว ชีวติ
มนษุ ยม์ ีอารมณ์ของความจาเจซา้ ซากอยู่อย่างนั้น ความรูส้ ึกจะเพม่ิ สสี นั ของชีวิต

คาว่าเจตสกิ คืออะไร ตามพจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ใหค้ านยิ าม
ว่า เจตสกิ คอื อารมณท์ เี่ กิดกับจติ , ความเป็นไปในจติ เช่นสุขหรือทกุ ขเ์ กดิ ในจิต

จากคานิยามดังกล่าวเราวิเคราะหค์ าวา่ เจตสิกและอารมณเ์ ป็นคาทีม่ คี วามหมายอยา่ ง
เดยี วกัน จงึ แทนกันได้ ในที่น้ีขอใชค้ าว่าอารมณแ์ ทนคาวา่ เจตสกิ คาว่า “อารมณ์”คืออะไร ตาม
พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้คานยิ ามว่าอารมณ์ ใหค้ านยิ ามว่า สง่ิ ที่ยึด
หนว่ งจติ โดยผ่านตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ เช่นรูปเปน็ อารมณข์ องตา เสียงเป็นอารมณข์ องหู
รสเป็นอารมณข์ องลนิ้ เคร่อื งยึดถือเปน็ จริงเป็นจงั เช่น เรื่องนีอ้ ยา่ เอามาเปน็ อารมณ์เสียเลย.
ความร้ทู างใจที่เปล่ยื นแปลงไปตามสิ่งเร้า เช่นอารมณร์ กั , อารมณ์โกรธ, อารมณด์ ,ี อารมณ์รา้ ย
เป็นตน้ ,แปลวา่ อธั ยาศัย ปรกตนิ สิ ยั เช่น อารมณ์ขัน, อารมณ์เหยือกเย็น, อารมณ์ ร้อนเป็น
ตน้ , ความรู้สึก เชน่ อารมณค์ ้าง, ใสอ่ ารมณ์, ความรู้ซึ่งมักใชใ้ นทางกามารมณเ์ ช่นอารมณ์เปล่ียว,
เกิดอารมณ์เป็นตน้

จากคานยิ ามดงั กล่าวข้างต้นเราวิเคราะหไ์ ด้วา่ อารมณค์ ือ
๑.สิ่งที่ยึดหน่วงจิตผ่านตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ คาว่า ยดึ หนว่ ง มาจาก ๒ คาคอื ยึด
และหน่วง ตามพจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถานให้คานยิ ามว่า “ยึด” หมายถงึ เป็นคากิรยิ า
(๑.๑) จับไวใ้ ห้แนน่ เช่นยดึ ราวบันไดไว้ให้ดี, ถอื เอาไว้ เชน่ ยึดธรรมะเปน็ ทพี่ ึ่ง, เหนีย่ ว, รัง้
เชน่ เพื่อนยดึ ไว้เปน็ ประกันเลยมาไม่ทนั
(๑.๒) เปน็ คากิรยิ าเข้าครอบครอง เชน่ ยดึ พ้ืนที,่ ใช้อานาจกฎหมายริบเอาส่ิงใดสิ่งหนึง่ มา
เชน่ ยดึ ใบขับข่,ี ยดึ ทรพั ย์ สว่ นคาว่า “หนว่ ง” มีความหมายว่าเปน็ คากิริยาแปลวา่ ดึงไวแ้ ต่นอ้ ย
ๆ, เหนย่ี วไว้, ทาให้ช้า, เช่นหน่วงเรือ่ งไว้ หนว่ งเวลาไว,้ หน่วงตัวไว้ คาวา่ “ยดึ หน่วง”จึงหมายถึง
ถอื เอาไว้ทาใหช้ า้ ลง หมายความว่าเม่อื จิตของมนุษยผ์ สั สะกบั สิง่ ใดสงิ่ หนึง่ ผ่านตา หู จมกู ลิน้
กาย และใจ เชน่ รูปรถยนตผ์ ่านตา เสยี งรถยนต์กาลงั ว่ิงผ่านหู, ไดก้ ล่นิ ทอ่ ไอเสียรถยนตผ์ า่ นจมูก,
กลน่ิ ทอ่ ไอเสียผ่านล้ินเขา้ ไปในปาก, กลิน่ นา้ ทอ่ ไอเสียผา่ นกายทาใหเ้ หนียวเนอะนะ, กล่นิ นา้ มัน
ท่อไอเสยี ผ่านอนิ ทรีย์ ๖ เข้าส่จู ิต จิตเกิดอาการไม่พอใจเปน็ ต้น. การยึดหน่วงของรถยนต์ทาใหถ้ ือ
เอาไว้ทาใหค้ วามสนใจสิง่ อื่น ๆ ลดลง เปน็ ตน้
๒. เคร่อื งยดึ วา่ เปน็ จริงเป็นจัง กล่าวคือเม่ือจิตของตนไดผ้ สั สะสงิ่ ใดสิง่ หนึง่ (เคร่ือง) เช่น
รถยนต์ ยึดรถยนต์นเ้ี ปน็ ของตนอย่างจรงิ จงั จนคนอ่ืนไปแตะหรือสมั ผสั ไม่ได้เปน็ ต้น.
๓. ความรสู้ ึกทางใจทเ่ี ปลื่ยนแปลงไปตามส่งิ เร้า เช่น อารมณ์รกั , อารมณ์โกรธ, อารมณ์ด,ี
อารมณ์รา้ ย เปน็ ต้น คาว่าสิง่ เร้าตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน ใหค้ านิยามไว้วา่ เร้า

หมายถงึ เป็นคากริ ยิ าหมายถึงกระตุน้ เตือนเช่นเร้าอารมณ์, ปลกุ ใจเช้าพดู เร้าใจ, ทก่ี ระต้นุ เตอื น
เชน่ ส่งิ เร้า เป็นตน้ โดยปกติชวี ติ ของมนุษยส์ ัมพนั ธ์กบั ส่ิงภายนอกตลอดเวลา สง่ิ เหลา่ นีจ้ งึ เปน็
สิง่ ทกี่ ระตุ้นเตอื นให้เราแสวงหาสิ่งภายนอกมาครอบครองทีเ่ ป็นรปู ธรรมและนามธรรม จึงถอื เป็น
สง่ิ เร้าเพราะคอยกระตุ้นจิตของเราตลอดเวลา ตวั อย่างเชน่ ไดข้ องวันเกิดอารมณจ์ ากเงียบเหงา
ซึมเศร้า กเ็ ปลืย่ นไปตามส่ิงเรา้ คือของขวัญนั้น อารมณ์กต็ ่ืนก็ขน้ึ มาสดช่ืนแจม่ ใส

๔. อัธยาศัย ปรกตนิ ิสัย เชน่ อารมณข์ นั , อารมณ์เหยอื กเย็น, อารมณ์รอ้ นเป็นต้น,
กลา่ วคอื เม่อื จิตสัมผสั เสยี งคาพดู ตลกขบขันผา่ นหเู ข้ามาสู่จิตเกดิ อารมณ์ขันธ์, หรอื เมอื่ จิตสัมผสั
อารมณ์รา้ ย ๆ ผา่ นตา ผ่านหู เขา้ สจู่ ติ จิตก็มสี ตสิ ัมปชญั ญะไม่กลัว อารมณจ์ ึงสงบเหยอื กเยน็
เปน็ ต้น

๕. ความร้สู กึ เช่น อารมณ์ค้าง, ใสอ่ ารมณ์, กลา่ วคือ เม่ือมีคนพูดเยาะเยย้ ถากถางผ่านคน
อ่นื จิตรู้ผา่ นหูกย็ ดึ ในอารมณแ์ ต่ไม่แสดงโกรธ ออกมา เรยี กว่าอารมณ์ค้าง สว่ นคาว่าใส่อารมณ์
กลา่ วคอื เมอ่ื มคี นใชค้ าพดู เยาะเยย้ ถากถางแต่แสดงอาการโตต้ อบอยา่ งรนุ แรงดว้ ยคาพูด และ
แสดงอาการโกรธออกมาทางท่าทางพรอ้ มจะเข้าตอ่ สู้ดว้ ย อยา่ งนี้เรียกว่า ใสอ่ ารมณ์ เป็นตน้

๖. ความรู้ซึง่ มักใช้ในทางกามารมณเ์ ชน่ อารมณเ์ ปลี่ยว, เกิดอารมณ์เป็นต้น กลา่ วคอื อยู่
คนเดยี วไม่มใี ครอยดู่ ้วย ต้องการสัมผสั บุคคลทางกาย ทางวาจาเรยี กวา่ อารมณ์เปล่ียว, เมอื่ ผัสสะ
ส่งิ สวยงามไมว่ ่าบคุ คลหรอื สง่ิ ของผ่านตา หู เกิดอารมณต์ ้องการเปน็ เจา้ ของ เป็นต้น.

กลา่ วให้เข้าใจไดโ้ ดยงา่ ย ชีวติ ของมนุษยป์ ระกอบด้วยกายและจติ จติ ของมนุษย์ใช้
รา่ งกายสว่ นท่ีเรยี กว่าอินทรยี ์ ๖ เปน็ ทวารน้อมจิตออกไปรับส่งิ เร้าภายนอกตวั มนษุ ย์ เมื่อกระทบ
แลว้ น้อมรับเครอ่ื งเหล่าน้ันมาสงั่ สมห่อหุ้มไว้ในจติ ของตน จติ คดิ พอใจหรือไมพ่ อใจในอารมณน์ ั้น
อารมณพ์ อใจไม่พอใจ เป็นอาการตา่ ง ๆ จติ ตามคานยิ ามของพจนานุกรมราชบณั ฑติ ยสถาน
เจตสิกหมายถึงอารมณท์ ี่เกิดขึ้นกับจติ , อาการของจิต เพราะฉะนั้นอารมณใ์ นจิตวิทยาคอื เจตสกิ
ในพระไตรปิฎกนัน่ เอง

๓.การเปรียบเทียบจติ และเจตสิกในจติ วทิ ยากบั พระไตรปฎิ ก

๑. วิชาจติ วิทยาและวิชาพระไตรปฎิ กเป็นวชิ าความรู้ของมนุษย์หรือมบี ่อเกดิ มาจาก
ประสบการณข์ องมนษุ ย์ทั้งสน้ิ ดว้ ยกันท้งั สองวิชา วชิ าจติ วทิ ยาเขียนขึน้ โดยอาริสโตเตลิ เปน็ เขยี น
วิชาจิตวิทยาเรือ่ งธรรมชาตขิ องชีวิตในพชื และสัตว์ เป็นวชิ าจิตวิทยาเล่มแรกของโลก โดยอาริสโต
เตลิ เชอื่ วา่ ชวี ติ ของสตั ว์ประกอบกายและวญิ ญาณ อาริสโตเตลิ ให้ความสาคัญกบั พฤตกิ รรมของ

การกระทามนุษย์ทไ่ี ด้ทาในแต่ละวนั ของมนุษย์ด้วยเหตผุ ล การจา การคดิ และการเรียนรู้ เปน็ ต้น
หนงั สือเล่มน้เี ขียนตามแนวปรัชญาตามคามนกึ คดิ ของผู้เขียนเอง ส่วนวชิ าพระไตรปฎิ กเปน็ ตารา
หรอื คมั ภรี ์ท่ีรวบรวมคาสอนของพระพทุ ธเจ้า เปน็ เร่ืองของชีวิตมนุษย์ทัง้ หมด ๘๔,๐๐๐ พระ
ธรรมขันธ์ ทรงตรัสรู้แจ้งในกฎธรรมชาตขิ องชีวิตมนษุ ยว์ า่ ดว้ ยความเปน็ ไปของมนุษย์ ต้องเวียน
วา่ ยตายเกดิ ในสังสารวฏั มนษุ ยม์ กี รรมเปน็ ของตนเองทห่ี อ่ หุ้มจติ ของตนไว้ ทาให้จิตของมนุษย์
เมือ่ สนิ้ ชีวติ ลงไปเพราะเหตปุ ัจจัยต่างๆ กายตายไปแล้วสูญสิน้ แตจ่ ิตมไิ ดส้ ูญสนิ้ ไปตามร่างกาย แต่
ไปจุจติ ในภพภูมิใหม่ ชวี ิตประกอบด้วยกายและจิตทง้ั สองศาสตร์ยอมรับว่าเป็นสิ่งท่มี อี ยู่จริงและ
ให้ความสาคัญกายและจติ เป็นสาคญั .

๒. แนวปรชั ญา วิชาจติ วิทยาเรมิ่ แรกมตี น้ กาเนดิ จากการแตง่ ตาราวิชาการของอารสิ โต
เตลิ ซ่งึ เป็นการเขียนแนวคดิ เชงิ ปรัชญาใชค้ วามรคู้ วามคดิ ของตนเองเพยี งอย่าง มากกวา่ การ
พิสจู นท์ ดลองตามวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ วธิ กี ารน้ีทเ่ี รียกวา่ Arm Chair Method เป็นต้น ส่วน
คาสอนของพระพทุ ธเจ้ามใิ ชป่ รัชญาแต่วทิ ยาศาสตร์ เพราะมีกระบวนการทางวิทยาศาสตรเ์ ขา้ มา
เก่ยี วขอ้ งได้แก่ ทรงทดสอบธรรมะทีพ่ ระพุทธองค์ทรงตรสั รเู้ ป็น ๔๙ วนั ก่อนท่ีจะแสดงธรรม
ใหป้ ัญจวัคคยี ์ทง้ั ห้าท่ีป่าอิสปิ ตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี เปน็ ต้น.

๓. จติ คอื อะไร? เมื่อจิตวทิ ยาและพระไตรปิฎกตา่ งยอมรับว่าชีวิตของมนุษย์ประกอบดว้ ย
กายและจิต จิตจึงเป็นส่งิ ทีม่ อี ย่จู ริงตามทัศนะของทั้งสองศาสตร์ ปญั หาวา่ จิตของวชิ าจิตวทิ ยา
และพระไตรปิฎกเป็นอยา่ งไร ? ในจติ วิทยายอมรบั ในชวี ติ ของมนษุ ยม์ ีวิญญาณเป็นส่ิงลกึ ลบั แฝง
อยู่ ในกายและเปน็ ตวั คอยกระตนุ้ และควบคมุ การกระทาสิ่งต่างๆ ของมนุษย์ สงิ่ ลกึ ลบั ตอ่ มา
นักจิตวิทยาเรยี กว่า จิต จากแนวความคดิ อารสิ โตเติลดงั กล่าวแสดงให้เห็นจติ มีอยจู่ ริง ยอมรับว่า
จติ เป็นสิ่งไมม่ รี ูปร่างเพราะเปน็ ส่ิงท่ีแฝงอยู่ในร่างกายหากมรี ปู ร่างสิง่ นั้นกม็ ใิ ช่วญิ ญาณ สอดคล้อง
กบั หลกั ธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าวา่ ในพระไตรปฎิ กว่าจติ เป็นอรปู คอื สิ่งทไี่ มม่ รี ูปรา่ ง
เชน่ เดียวกนั สว่ นจิตอยู่ส่วนไหนของรา่ งกายมนษุ ย์ ในพระไตรปฎิ กกลา่ ววา่ จิตมีถ้าเปน็ คูหาเป็น
ทีอ่ ยู่อาศัยสว่ นจิตวทิ ยาของอารสิ โตเตลิ ไม่ได้กลา่ วไว้แตอ่ ย่างใดว่าอยสู่ ว่ นไหนของรา่ งกายมนุษย์
ส่วนชีวิตหลกั ความตายไปแล้ว วชิ าพระไตรปฎิ กไดก้ ล่าวา่ จิตทอ่ งเที่ยวไปไกลในสงั สารวฏั ใน
ตาราจติ วทิ ยาของอารสิ โตเตลิ ไม่ได้กลา่ วถึงเรื่องวิญญาณหรือจิตไปเวียนว่ายตายเกิดในสงั สารวัฏ
เชน่ เดียวกับพระไตรปฎิ ก

สว่ นธรรมชาตขิ องจติ น้นั เมื่อวเิ คราะห์จากอาการของจติ ทกี่ ลา่ วไวใ้ นขนั ธ์ ๕ น้ัน

๑. เวทนา เปน็ ขันธ์ ๑ ในขนั ธ์ ตามที่กลา่ วไว้ในพระไตรปฎิ ก ตอ่ มานักวิชาการทาง
พระพทุ ธศาสนาไดม้ กี ารขยายเน้ือให้เขา้ ใจมากยิง่ ข้ึน ปรากฏตามหลักฐานท่ีกล่าวไว้ในพจนานกุ รม
พุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศัพทข์ องพระธรรมปิฎกว่าเวทนา แปลว่าความร้สู ึก 11 และใน
พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้คานิยามว่า ความรู้สกึ ความรู้สึกทกุ ข์ รสู้ ึกสขุ
เป็นหน่ึงในขันธ์ ๕ เช่นเดียวกนั สว่ นจติ วทิ ยาของอาริสโตเติลกล่าวว่า การกระทาในแต่ละวนั
ของมนุษย์มาจากการเรียนรู้ หมายความการกระทาของมนษุ ยใ์ นแตล่ ะวนั มาจากการเรียนรู้ใน
ความร้สู ึกทุกข์หรือสุข เช่นกัน....จากเหตุผลทไี่ ด้กล่าวมาข้างตน้ ดังนนั้ ธรรมชาตขิ องจิตใน
พระไตรปิฎกและ จิตวิทยาคือจติ มธี รรมชาติเปน็ เวทนาเหมือนกัน มีความร้สู ึก ท่เี ป็นทกุ ข์บ้าง
เป็นสุขบ้าง เปน็ ต้น.

๒. สญั ญา เป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕ ในพระไตรปิฎก และมีการอธบิ ายขยายความตามทกี่ ล่าว
ไว้ในพจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศัพทข์ องพระธรรมปฎิ ก แปลว่าแปลวา่ การกาหนด
หมาย, ความจาได้ หมายรู้ไวซ้ ึง่ รปู เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ, และอารมณเ์ กดิ ข้นึ กบั ใจว่า เขยี ว
ดา แดง ดังเบา เสยี งคน เสยี งแมว เสียงละม่ัง กลน่ิ ทุเรียน รสมะปราง เป็นตน้ ส่วนคาว่าจา
ได้ คือรจู้ ักอารมณ์นนั้ ว่า เป็นอยา่ งนั้น ๆ ในเมือไปพบอีก 12 แตใ่ นตาราจิตวิทยาของอาริสโตเตลิ
กล่าวไว้เพียงส้นั วา่ การจา

ดงั นัน้ ธรรมของจิตในวชิ าจิตและพระไตรปฎิ กมีความเห็นสอดคล้องต้องกันวา่ ธรรมชาติ
ของจติ เปน็ ผจู้ าส่ิงตา่ งๆ ที่จติ ได้ผัสสะและนอ้ มรบั เร่ืองราวทีผ่ ัสสะนน้ั มาเก็บไวใ้ นจิตของตน.
ตัวอย่างเช่น

-เม่อื เราจติ ของเรานอ้ มออกไปรบั ภาพของรถยนตร์ นุ่ ใหมย่ ่ีหอ้ ทตี่ นชอบรนุ่ ล่าสุด ก็น้อมรบั
ภาพรถยนตน์ ้ันมาไว้ในจิตของตน ห่อหมุ้ จติ ของตนอยอู่ ยา่ งนน้ั ตดิ ตามชวี ติ ไปทุกคนหนทกุ แหง่ ไม่
วา่ จะเดนิ ทางไปมาก็ตาม เม่ือมองรถยนต์รุน่ เดยี วกันอีกครง้ั หนงึ่ กจ็ าได้ว่าใช่หรอื ไม่ใช่รุ่นท่ีตน

-นาย ก. เจอคนรักเก่าที่เคยชืน่ ชอบมาหลายปีแลว้ เลิกรากันไป วนั เวลาผ่านไปถงึ ๒๐ ปี
มาเจอกันอีก แมส้ ภาพร่างกายอว้ นถ้วนไมส่ วยเหมอื นเดมิ แคเ่ คา้ โครงของใบหนา้ ยงั เหมือนแม้
กาลเวลาผ่านไปหลายปีก็ยังจดจาได้

11 พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ฉบบั ประมวลศพั ท์
12 พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ฉบบั ประมวลศพั ท์ พิมพ์ครงั้ ท่ี ๑๗ กรุงเทพมหานคร : หน้าท่ี ๒๖๙

๓. สังขาร เปน็ ขนั ธ์ ๑ ในขนั ธ์ ๕ ท่กี ลา่ วไวใ้ นพระไตรปฎิ ก และนักวิชาการดา้ น
พระพุทธศาสนานัน้ ไดใ้ ห้คานยิ ามตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้
ความหมายวา่ เปน็ คานาม แปลว่าการคดิ ขนั ธ์ ๑ ในขันธห์ ้า. ในวชิ าจิตวทิ ยาเรือ่ งธรรมชาติชีวิต
ของอารสิ โตเติล ว่าการกระทาในแต่วันของมนษุ ยน์ ัน้ ดว้ ยเหตผุ ลจากการคิดนนั้ กลา่ วคอื เม่ือจติ
ของมนุษย์น้อมออกไปผา่ นอนิ ทรีย์ ๖ ผัสสะกบั เร่ืองราวใด จิตก็นอ้ มเร่ืองราวเหล่าน้นั มาส่งั สมไว้
ในจติ ห่อหุม้ จติ ไว้ และนาเร่ืองราวเหลา่ นน้ั มาคดิ พิจารณา มาวิเคราะห์ เชน่ นาย ก ใหเ้ งิน
ขอทาน คิดพิจารณาว่าเป็นขอทานจริง จึงให้ไปด้วยความพอใจของตน. การคิดจงึ เปน็ อาการของ
จติ หรอื ธรรมชาติของจิตอย่างหนง่ึ . กลา่ วโดยสรุปธรรมชาติของจิตในวชิ าจิตวิทยาและ
พระไตรปิฎกเป็นผู้คดิ

๔. วญิ ญาณ คานยิ ามตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้
ความหมายว่าเปน็ คานามเปน็ สิ่งท่ีเชอ่ื กนั วา่ มีอยู่ในกายเมื่อมีชีวติ เมอ่ื ตายจะออกจากร่างลอ่ งลอย
ไปหาท่เี กิดใหม่ (๒) เป็นคานามแปลวา่ ความรบั รู้ เช่นจักษุวิญญาณ คอื ความรับรู้ทางตา โสต
วญิ ญาณ คือความรบั รทู้ างหู เปน็ ขนั ธ์ ๑ ในขนั ธ์ ๕ คอื รปู เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ (๓)
โดยปรยิ ายหมายถึงจิตใจเช่น มวี ญิ ญาณนักสู้ มีวิญญาณศิลปนิ .

จากคานิยามดงั กล่าววิเคราะห์ไดว้ า่ วญิ ญาณมี ๒ ความหมายคือ ๑. ในความรับรใู้ นเม่ือ
กายยังชวี ติ อยู่ เชน่ การรับร้ทู างตา, การรับรู้ทางหู การรับรทู้ างจมกู ๒. วิญญาณหมายถึงจิต
ออกจากรา่ งเม่ือตายไปหาที่เกิดใหม่ เปน็ ต้น ส่วนในจติ วิทยาอารสิ โตเตลิ ไม่ไดก้ ล่าวไว้ในเรือ่ งนี้
โดยตรงแต่เขากลา่ วไวใ้ นหนังสอื ธรรมชาติของชีวติ ว่า การกระทาในแตล่ ะวันของมนษุ ยก์ ระทา
ตามการรับรู้ (การเรยี นรู้) จากแนวคดิ ของมนุษยเ์ รียนรสู้ ง่ิ ใดตอ้ งรบั รสู้ ิง่ น้นั ดงั น้นั ธรรมชาติของ
จติ มนุษย์นัน้ ในพระไตรปิฎกและจติ วทิ ยาจึงสอดคลอ้ งต้องกันวา่ เปน็ ผู้รู้ สว่ นท่ีแตกต่างกันคอื จติ
หรือวญิ ญาณในพระไตรปิฎกมคี วามหมายถึงจิตออกจากร่างกาย ไปการเวียนว่ายตายเกดิ ใน
สังสารวฏั ด้วย. ส่วนในวิชาจิตวทิ ยาของอาริสโตเตลิ ไม่ไดก้ ลา่ วถงึ เรอื่ งน้แี ตอ่ ย่างใด.

๓. การเปรยี บเทยี บเจตสิกในพระไตรปฎิ กและจิตวทิ ยา

ในพุทธปรชั ญาเถรวาทยอมรับว่าเจตสิกเปน็ ความจริงอยา่ งหน่งึ ในอภิปรชั ญา
นอกเหนอื จาก รูป จิต เจตสกิ และนพิ พาน ปัญหาว่า “เจตสกิ ” คืออะไร คาว่า เจตสกิ กล่าวไว้
ในพระไตรปฎิ กหลายแห่งด้วยกนั เชน่ ในพระไตรปิฎกเลม่ ท่ี ๙ พระสตุ ตันตปฎิ กเลม่ ที่ ๑ [ฉบับ
มหาจฬุ าฯ] ทฆี นกิ าย สีลขนั ธวรรค ขอ้ . [๔๘๕] เกวฏั ฏะ ก็อาเทสนาปาฏิหาริย์เปน็ อย่างไร คอื

ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยนี้ ทายจิต ทายเจตสิก ทายความวิตกวจิ ารของสัตวอ์ ่นื ของบุคคลอื่นได้วา่ จิตของ
ท่าน เปน็ อย่างนี้ เปน็ ไปโดยอาการอย่างนี้ เป็นดงั น้ี เพราะเหตนุ ั้น ผใู้ ดผู้หนงึ่ ที่มศี รัทธาเลอ่ื มใส
เห็นภกิ ษนุ ้ันทายจติ ทายเจตสกิ ทายความวิตกวิจารของสตั ว์อื่นของบุคคลอน่ื ได้ว่า จิตของท่าน
เปน็ อยา่ งน้ี เป็นไป โดยอาการอยา่ งนี้ เปน็ ดังน้ี ผนู้ ้ันจะบอกแก่บคุ คลผทู้ ยี่ ังไมม่ ศี รัทธายังไม่
เล่อื มใสว่า ‘นา่ อศั จรรยจ์ ริง ไมเ่ คยปรากฏ สมณะมฤี ทธ์ิมากมีอานุภาพมากเหลือเกนิ ขา้ พเจ้า

เพง่ิ เคยเหน็ ท่านน้ที ่ีทายจิต ทายเจตสิก ทายความวิตกวจิ ารของสตั ว์อ่นื ของบุคคลอืน่ ได้วา่ จติ ของ
ท่านเปน็ อยา่ งนี้ เป็นไปโดยอาการอยา่ งนี้ เปน็ ดังนี้’ เมอื่ เปน็ เช่นน้ัน ผู้ทยี่ ังไม่มีศรทั ธายงั ไม่เล่อื มใส
จะพูดกบั ผมู้ ีศรัทธาเลื่อมใสว่า ‘ทา่ น มีวิชาประเภทหนง่ึ เรียกว่า มณิกา๑- ภิกษรุ ปู นั้นทายจิต ทาย
เจตสิก ทายความวติ กวจิ ารของสัตวอ์ ่ืนของบคุ คลอ่นื ไดว้ า่ จิตของท่านเปน็ อยา่ งน้ี เปน็ ไปโดย
อาการอย่างนี้ เปน็ ดงั นี้ เพราะมีวิชาน้ัน’

ปญั หาวา่ เจตสิกคืออะไร ในพจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ของพระธรรม
ปฎิ กให้คานยิ ามว่า ธรรมท่ีประกอบกบั จิต, อาการหรือคุณสมบัตติ ่าง ๆ ของจิต เชน่ ความโลภ
ความโกรธ ความหลง, ศรัทธา เมตตา สติ ปญั ญา เป็นต้น........ส่วนเจตสิกไม่มใี นจิตวทิ ยา แต่คา
วา่ เจตสิกคืออะไร ตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ใหค้ านิยามว่า เจตสิก
คืออารมณ์ทเ่ี กิดกบั จิต, ความเปน็ ไปในจติ เชน่ สุขหรอื ทุกขเ์ กดิ ในจติ ดังนัน้ เจตสกิ หมายถงึ คาว่า
อารมณน์ ่ันเอง คาวา่ อารมณม์ ีใชใ้ นจติ วิทยาดงั นั้น อารมณห์ มายถึงอะไร มธี รรมชาติอยา่ งไร เมอื่
ศกึ ษาจากพระไตรปิฎก คาวา่ “อารมณ์”คืออะไร ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
๒๕๕๔ ใหค้ านิยามว่าอารมณ์ ใหค้ านิยามว่า สิ่งที่ยึดหนว่ งจิตโดยผา่ นตา หู จมูก ลิน้ กาย และใจ
เช่นรูปเป็นอารมณ์ของตา เสยี งเปน็ อารมณ์ของหู รสเปน็ อารมณ์ของลิน้ เคร่ืองยดึ ถือเปน็ จริง
เป็นจงั เชน่ เร่ืองน้ีอยา่ เอามาเป็นอารมณ์เสยี เลย. ความรทู้ างใจท่ีเปลืย่ นแปลงไปตามสงิ่ เร้า เชน่
อารมณ์รัก, อารมณ์โกรธ, อารมณด์ ี, อารมณ์ร้าย เป็นต้น ,แปลว่า อธั ยาศยั ปรกตินสิ ัย เชน่
อารมณข์ ัน, อารมณเ์ หยือกเย็น, อารมณ์ รอ้ นเป็นต้น, ความรสู้ ึก เชน่ อารมณค์ ้าง, ใส่อารมณ์,
ความรู้ซง่ึ มกั ใช้ในทางกามารมณ์เช่นอารมณเ์ ปลี่ยว, เกดิ อารมณ์เปน็ ต้น

จากคานยิ ามดังกล่าวขา้ งต้นเราวิเคราะห์ไดว้ า่ อารมณ์คือ
๑.สิ่งท่ียึดหน่วงจิตผ่านตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ คาว่า ยดึ หน่วง มาจาก ๒ คาคือยดึ
และหนว่ ง ตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถานให้คานยิ ามวา่ “ยดึ ” หมายถึงเป็นคากิริยา
(๑.๑) จับไวใ้ หแ้ น่นเชน่ ยดึ ราวบันไดไวใ้ หด้ ,ี ถอื เอาไว้ เชน่ ยึดธรรมะเป็นท่ีพ่ึง, เหนยี่ ว, รง้ั
เชน่ เพ่ือนยดึ ไว้เปน็ ประกนั เลยมาไม่ทนั

(๑.๒) เปน็ คากิริยาเขา้ ครอบครอง เชน่ ยึดพนื้ ท่ี, ใช้อานาจกฎหมายริบเอาส่ิงใดสิ่งหนึ่งมา
เช่นยดึ ใบขับข่,ี ยึดทรพั ย์ ส่วนคาวา่ “หนว่ ง” มคี วามหมายว่าเป็นคากิริยาแปลวา่ ดึงไวแ้ ต่นอ้ ย
ๆ, เหนย่ี วไว้, ทาให้ช้า, เช่นหนว่ งเร่อื งไว้ หนว่ งเวลาไว,้ หนว่ งตัวไว้ คาว่า “ยดึ หน่วง”จงึ หมายถงึ
ถือเอาไวท้ าให้ชา้ ลง หมายความว่าเมอ่ื จิตของมนุษยผ์ สั สะกบั ส่ิงใดสง่ิ หนงึ่ ผ่านตา หู จมูก ลิน้
กาย และใจ เช่นรูปรถยนต์ผา่ นตา เสยี งรถยนต์กาลงั วงิ่ ผ่านหู, ไดก้ ล่ินท่อไอเสยี รถยนต์ผ่านจมกู ,
กลนิ่ ทอ่ ไอเสียผ่านลิ้นเข้าไปในปาก, กลนิ่ น้าท่อไอเสียผา่ นกายทาให้เหนียวเนอะนะ, กลิ่นน้ามัน
ท่อไอเสยี ผ่านอนิ ทรีย์ ๖ เขา้ สจู่ ิต จิตเกดิ อาการไม่พอใจเป็นต้น. การยึดหน่วงของรถยนตท์ าให้
ถอื เอาไว้ทาใหค้ วามสนใจส่งิ อนื่ ๆ ลดลง เป็นตน้

๒. เคร่ืองยึดว่าเปน็ จริงเป็นจัง กล่าวคือเมื่อจติ ของตนได้ผัสสะส่งิ ใดสิง่ หนงึ่ (เคร่ือง) เช่น
รถยนต์ ยดึ รถยนต์น้ีเป็นของตนอย่างจริงจังจนคนอื่นไปแตะหรอื สมั ผัสไม่ได้เปน็ ต้น.

๓. ความรู้สกึ ทางใจทเ่ี ปล่ืยนแปลงไปตามสิง่ เร้า เชน่ อารมณ์รัก, อารมณ์โกรธ, อารมณด์ ,ี
อารมณ์รา้ ย เป็นต้น คาว่าส่งิ เร้าตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน ให้คานยิ ามไว้ว่า เร้า
หมายถงึ เปน็ คากริ ยิ าหมายถงึ กระตุ้นเตือนเชน่ เรา้ อารมณ,์ ปลกุ ใจเช้าพูดเร้าใจ, ท่กี ระตนุ้ เตอื น
เช่นสิง่ เร้า เปน็ ตน้ โดยปกติชีวติ ของมนุษยส์ มั พนั ธก์ ับส่ิงภายนอกตลอดเวลา สิง่ เหล่าน้จี ึงเป็น
สงิ่ ที่กระต้นุ เตือนใหเ้ ราแสวงหาสง่ิ ภายนอกมาครอบครองที่เปน็ รูปธรรมและนามธรรม จึงถอื เป็น
สงิ่ เร้าเพราะคอยกระตนุ้ จิตของเราตลอดเวลา ตวั อย่างเชน่ ไดข้ องวนั เกิดอารมณจ์ ากเงียบเหงา
ซึมเศรา้ ก็เปลย่ื นไปตามส่ิงเร้าคอื ของขวญั นั้น อารมณก์ ต็ ืน่ กข็ ้นึ มาสดช่ืนแจ่มใส

๔. อธั ยาศัย ปรกตนิ สิ ัย เช่น อารมณ์ขนั , อารมณ์เหยือกเยน็ , อารมณร์ ้อนเปน็ ต้น,
กลา่ วคือเม่ือจติ สัมผัสเสยี งคาพดู ตลกขบขันผา่ นหูเขา้ มาสูจ่ ติ เกดิ อารมณ์ขันธ์, หรอื เมื่อจติ สมั ผสั
อารมณ์ร้าย ๆ ผ่านตา ผ่านหู เข้าสู่จติ จติ ก็มีสตสิ มั ปชัญญะไม่กลัว อารมณจ์ ึงสงบเหยือกเยน็
เปน็ ต้น

๕. ความรสู้ กึ เชน่ อารมณ์ค้าง, ใส่อารมณ์, กล่าวคอื เมือ่ มคี นพดู เยาะเยย้ ถากถางผา่ นคน
อื่น จติ รู้ผ่านหกู ็ยึดในอารมณ์แตไ่ มแ่ สดงโกรธ ออกมา เรยี กวา่ อารมณ์ค้าง สว่ นคาวา่ ใส่อารมณ์
กลา่ วคือ เมื่อมีคนใช้คาพดู เยาะเยย้ ถากถางแต่แสดงอาการโตต้ อบอย่างรนุ แรงดว้ ยคาพดู และ
แสดงอาการโกรธออกมาทางทา่ ทางพร้อมจะเข้าตอ่ สู้ด้วย อยา่ งนี้เรียกว่า ใส่อารมณ์ เป็นตน้

๖. ความรู้ซงึ่ มักใชใ้ นทางกามารมณเ์ ช่น อารมณเ์ ปล่ียว, เกดิ อารมณเ์ ป็นตน้ กลา่ วคืออยู่
คนเดยี วไม่มใี ครอยดู่ ว้ ย ต้องการสัมผัสบุคคลทางกาย ทางวาจาเรยี กว่า อารมณเ์ ปล่ียว, เม่ือผสั สะ
ส่ิงสวยงามไม่ว่าบคุ คลหรอื สงิ่ ของผ่านตา หู เกิดอารมณ์ต้องการเป็นเจ้าของ เป็นต้น.

เมื่อเราเปรียบเทียบเจตสกิ ในพระไตรปฎิ กและอารมณห์ รือเจตสิกในพระไตรปฎิ กแล้ว
เราพบทั้งสองศาสตร์มแี นวความคิดไม่แตกตา่ งกันแต่อย่างใด เพราะในพระพุทธศาสนาศึกษาใน
แนววทิ ยาศาสตรเ์ ช่นเดยี วกนั

๔.สรปุ เจตสกิ ในพระไตรปฎิ กคอื อารมณ์ในวิชาจิตวิทยาน้ันเอง ซึ่งเปน็ อาการต่าง ๆ
ของจติ หรอื เปน็ ธรรมประกอบกับจิตนัน้ อารมณ์เราน้ีเมื่อขึน้ แลว้ นาไปสู่พฤติกรรมการ
แสดงออกทางกาย ทางวาจาและทางใจนน้ั เอง ของการกระทาของมนุษยน์ ัน่ เอง

๕. คาถามท้ายบท

๕.๑ จติ ในพระไตรปฎิ กคืออะไร?

๕.๒ ความหมายของคาว่า “อารมณใ์ นจติ วิทยามคี วามหมายกับคาว่าเจตสกิ ใน
พระไตรปิฎกหรอื ไม่เพียงใด จงอธิบาย ?

๖. บรรณานกุ รม

๖.๑. จริ าภา เตง็ ไตรรัตนแ์ ละคณะ. จติ วทิ ยาท่ัวไป สานกั พิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ครั้งท่ี ๗ กรงุ เทพมหานคร

๖.๒.พจนนุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔

๖.๓.สชุ ีพ ปุญญานุภาพ. พระไตรปฎิ กฉบบั ประชาชน โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัยใน
พระบรมราชูปถัมภ์ พิมพ์ครั้งท่ี ๑๗ กรงุ เทพมหานคร : ๘๒๐ หนา้ .

บทที่ ๔. พฤตกิ รรมตามแนวจรติ ๖
แนวคิดสาคัญ

พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ เป็นการกระทา หรือการกระทาที่แสดงออกทางกล้ามเน้ือทางกาย
ความคิด และความรสู้ ึก เพื่อตอบสนองสิ่งเร้า ส่วนจริต เปน็ พฤตกิ รรม กิริยาหรืออาการ อนั ปรกติ
อยู่ในสันดาน แนวโนม้ ของจิต ทป่ี ระพฤติไปด้านใดดา้ นหนึง่ .
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
จุดปลายทางการเรียนรู้

มคี วามรูม้ คี วามเขา้ ใจถึงพัฒนาการของพฤติกรรมตามแนวคิดของจิตวิทยาในพระไตรปิฎก
ได้
จดุ ประสงคน์ าทาง
๑. อธิบายความหมายของจริต๖ ในพระไตรปิฎกได้
๒. อธิบายความหมายของพฤตกิ รรมในจิตวิทยาได้
๓. อธิบายความหมายของพฤติกรรมของจติ วทิ ยาตามแนวจรติ ๖ ในพระไตรปฎิ กได้
๔.สรุป
๕.คาถามท้ายบท
๖. บรรณานกุ รม
บทนา

มนุษยท์ ุกคนที่เกดิ ข้นึ มาในโลก ชีวติ ประกอบดว้ ยกายและจติ จิตอาศยั กายสว่ นที่เรียกว่า
อินทรีย์ ๖ ออกไปรับรเู้ รอื่ งราวเก่ียวกบั โลกของมนษุ ย์เพ่อื นาคดิ พิจารณาใครค่ รวญวา่ เราควรจะ
อยู่อยา่ งไรในโลกนอี้ ย่างมีความสขุ แลว้ จิตน้อมเกบ็ อารมณ์เรอ่ื งราวทรี่ ับรนู้ ั้นมา ทุกคนเกิดขน้ึ มา

ในโลกหากรับรู้แลว้ คิดชอบเหมอื นกนั ยง่ิ จะมีปัญหา เพราะแนวโนม้ ของแต่ละคนความชอบใน
ชีวติ ไมเ่ หมอื นกัน

๑. ความหมายของจริตในพระไตรปฎิ ก คาว่า “จริต” มกี ล่าวไว้หลายแห่งดว้ ยกันในพระไตรปิฎก
เล่มท่ี ๑ พระวินยั ปฎิ กเล่มท่ี ๑ ฉบบั มหาจฬุ า ฯ มหาวิภงั ค์ภาค ๑ เรื่องเวรัญชพราหมณ์ 13 ขอ้
๑๓. เม่อื จิตเป็นสมาธิ บริสทุ ธผิ์ ดุ ผอ่ ง ไม่มกี เิ ลสเพียงดังเนนิ ปราศจากความเสร้าหมอง อ่อน
เหมาะแกก่ ารงาน ตั้งมน่ั ไม่หวั่นไหวอย่างน้ี เรานน้ั ได้นอ้ มจติ ไปเพอื่ จุตูปาตญาณ เห็นหมู่สัตว์
กาลงั ไปจตุ ิ กาลังอุบตั ทิ ้งั ชน้ั ตา่ และช้ันสงู งามและไม่งาม เกดิ ดแี ละไมด่ ดี ว้ ยตาทิพย์อันบริสุทธิ์
เหนอื มนษุ ย์ เราร้ชู ัดถึงหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรมวา่ สตั ว์ท่ีประกอบดว้ ยกายทุจรติ วจีทุจริต มโน
ทจุ ริต กล่าวร้ายพระอรยิ ะมีความเห็นผดิ และชักชวนผ้อู ื่นใหท้ ากรรมตามความเหน็ ผิด พวกเขา
หลังจากตายแลว้ จะไปบงั เกิดในอบาย ทุคติ วนิ ิบาต นรก แตห่ ม่สู ัตว์ทป่ี ระกอบด้วยจรติ วจี
ทจุ ริต มโนทุจริต ไม่กลา่ วร้ายพระอริยะ มคี วามเห็นชอบ ชักชวนผู้อนื่ ให้ทากรรมตามคามเห็นชอบ
พวกเขาหลงั จากตายแล้วจะไปบงั เกิดในโลกสวรรค์.

เม่อื ศกึ ษาจากพทุ ธพจนแ์ ล้ว ปัญหาเป็นคาถามว่า “จริต” คืออะไร

๑.๑. พระธรรมปิฎก ให้คานิยามวา่ จรติ หมายถงึ ความประพฤต,ิ พน้ื นิสยั ,หรอื พนื้ เพของ
จิตของคนท้งั หลายที่หนักไปด้านใดดา้ นหนึ่ง แตกต่างกันไปคือ

๑. ราคะจรติ ผู้มีราคะเปน็ ความประพฤติปกติ (หนกั ไปทางรักสวยรักงาม, มกั ติดใจ)

๒. โทสะจรติ ผมู้ โี ทสะเปน็ ความประพฤติปกติ (หนกั ไปทางใจร้อนข้หึ งุดหงิด)

๓. โมหจริต ผู้มโี มหะเปน็ ความประพฤตปิ กติ (หนักไปทางเหงาซมึ งมงาย)

๔.สทั ธาจริต ผ้มู ศี รทั ธาเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางน้อมใจเชอื่ )

๕. พุทธจรติ ผมู้ คี วามรู้เป็นความประพฤตปิ กติ (หนักไปทางคิดพจิ ารณา)

๖.วติ กจริต ผูม้ ีวิตกเป็นความประพฤตปิ กติ (หนกั ไปทางคดิ จับจดฟ้งุ ซา่ นสวยรักงาม)14

13 โปรแกรมพระไตรปิ ฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั เล่ม : ๑ หนา้ : ๖
14 พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ฉบบั ประมวลศพั ท์ พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๑๗ กรุงเทพมหานคร : หน้าท่ี ๓๒.

๒.ตามพจนานุกรมแปล ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ใหค้ วามหมายว่า ความ
ประพฤติ กิรยิ าหรืออาการ เช่น พุทธจริต เสยี จริต วิกลจรติ บางทีใชใ้ นทางไม่ดี เชน่ ดัดจริต มี
จรติ จรติ จะกา้ นกว็ ่า ความประพฤตปิ รกติ, ความประพฤติหนกั ไปทางใดทาง อันเปน็ ปรกติหน่ึงอยู่
ในสนั ดาน, แนวโน้มของจิตใจมี ๖ อย่างคอื ราคจริต, โทสจริต, โมหจริต, สทั ธาจรติ , โมหจรติ ,
พุทธจรติ ,15

๑.๒ พจนานกุ รมแปล ไทย-ไทย อ.เปลอื ง ณ นครใหค้ ้านยิ ามคา้ วา่ “จรติ ”หมายถงึ การ
ไป, ทางเดิน, การดาเนนิ , การทา, การประพฤติ, กริ ยิ า หมายถงึ พืน้ เพของจิตซ่งึ เกดิ จากจติ ไดร้ ับ
การอบรมเสพคนุ้ มาเป็นเวลาชา้ นานกับอารมณ์อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ผู้ใดมจี ริตอย่างใดเมื่อใช้
ความคดิ กจ็ ะโนม้ เอยี งไปตามจรติ ของเขา มอี ยู่ ๖ ประเภท

จากคานิยามดังกล่าววิเคราะห์ได้ว่า จรติ หมายถึง พ้ืนเพของจิตท่ีได้อบรมของคน ที่ได้
อบรมมา, เสพคุน้ มาเป็นเวลายาวนานกบั อารมณ์อยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง เมอื่ ใชค้ วามคดิ บคุ คลของเขา
จะโน้มไปทางใดทางหนึง่ . เราแยกเป็นประเดน็ วิเคราะหไ์ ดด้ งั น้ี

๑.จิตของมนุษย์ ตามคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้าชีวิตของมนษุ ยป์ ระกอบดว้ ยกายและจิต
กายและจติ เปน็ ปัจจยั ซึ่งกนั และกนั ทาใหช้ ีวติ ของมนุษย์ดารงอย่ไู ด้ หากขาดปัจจยั ใดปจั จยั หนง่ึ
ไปชีวิตของมนุษย์ตอ้ งถงึ แกค่ วามตาย จิตอาศยั ร่างกายของมนุษยส์ ่วนที่เป็นอนิ ทรีย์ ๖ เปน็
ทวารน้อมตวั ออกไปรบั สิ่งร้สู งิ่ ทหี่ น่วงจิตของตนใหส้ นใจ ทาซ้าซากอยอู่ ยา่ งน้ันเปน็ ประจา เช่น
โทรศัพท์มือถอื ยห่ี ้อต่างๆ เมื่อรับรแู้ ลว้ น้อมเอาเร่อื งราวเกยี่ วกบั โทรศัพท์มือถือร่นุ นั้นมาไว้ในจติ
ของตน แมจ้ ะมโี ทรศัพทม์ อื ถอื รุ่นอื่นก็ไม่สนใจให้ความสาคญั เพราะไมค่ ุ้นเคยในใช้โปรแกรมตา่ งๆ
เป็นตน้ . อาหารการกนิ ท่ีคุน้ เคยเช่นผัดกะเพราไก่ไขด่ าวเป็นอาหารที่รบั เปน็ ประจาจนคุ้นเคย เป็น
ประจา รับประทานอาหารรสชาตไิ ม่คุ้นเคย ไมอ่ รอ่ ยเปน็ ตน้

เปน็ เพราะจิตของมนุษย์ มีธรรมชาตเิ ป็นผรู้ ู้ เรอ่ื งราวต่างๆ เมื่อจติ รับรู้เร่อื งราวต่างๆ
เก็บสัง่ สมเร่ืองราวไว้ในจิตของตนห่อหุม้ ไวใ้ นจติ ของตน.

15พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ http://www.royin.go.th/dictionary/ จริต เม่อื วนั ท่ี ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔
เวลา ๑๔.๐๘น.

๒. เสพคุ้นเคยมายาวนานในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เม่ือมนุษยร์ บั รู้อารมณใ์ ดอารมณ์หนึง่
แล้วความชอบในอารมณน์ ้ัน ยอ่ มใชส้ ิ่งนนั้ เปน็ ประจา เชน่ ชอบอาหารไทยยอ่ มรบั ประทานอาหาร
น้ันเป็นประจา เมอ่ื ชอบด่ืมน้าเปล่ายี่ห้อใดยอ่ มด่มื น้าเปล่ายหี่ อ้ นัน้ เป็นประจา ชอบไปเท่ียว
สถานทใ่ี ดยอ่ มเทย่ี วสถานเรงิ รมยท์ ี่ตนชอบอย่เู ป็นประจาทุกวัน ชอบใสซ่ ้ือเสื้อผา้ ยหี่ ้อใด ใส่แล้ว
ม่ันใจ กย็ อ่ มซอ้ื เสื้อผ้ายีห่ อ้ น้ันเป็นประจา ชอบทาส่งิ ใดซา้ ๆ ย่อมจิตยอ่ มมแี นวโนม้ หนกั ไป
ในทางใหเ้ หน็ จริต อปุ นสิ ัย หรือบุคลิกของคนๆ น้นั .

๓. แนวโนม้ บ่งบอกจริต เมอื่ มนุษย์ทาสง่ิ ใดซา้ ซากเปน็ ประจาเพราะจิตช่ืนชอบในสง่ิ น้นั
ทาให้เรารคู้ นนั้นมีแนวโนม้ ของจิตไปในทางใด ตวั อย่างเชน่

๓.๑ คนมรี าคะจริต หมายถึงบุคคลมคี วามกาหนดั ยนิ ดใี นกาม ความตดิ ใจ หรอื ความย้อม
ใจติดอยู่ในอารมณ์ คาว่า กาหนดั ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
แปลวา่ (๑) ความใครใ่ นกามคุณ, คาว่ากามคณุ แปลว่า ส่ิงน่าปรารถนามี ๕ ประการคอื รูป เสยี ง
กลนิ่ รส สมั ผสั , ความปรารถนาในเมถนุ คาว่าเมถนุ หมายถึงการว่ มสังวาส เปน็ ตน้ คาว่า
“ใคร่” หมายถงึ อยาก, ต้องการ, ปรารถนา, ใฝ่ สว่ นคาวา่ “ความ” หมายถึงอาการ เพราะฉะนั้น
ความใคร่หมายถึงอาการอยาก ดังนน้ั คนมีราคะจรติ หมายถงึ บุคคลมจี ิตที่มแี นวโนม้ แสดงอาการ
อยากในส่งิ ปรารถนา ๕ ประการคอื รปู เสียง กลน่ิ รส สัมผัส ความปรารถนาในเมถนุ (การรว่ ม
สงั วาสหรือประเวณ)ี

ตามคานยิ ามดงั กล่าวราคะจริต เปน็ อาการของของจิตมนุษย์ทย่ี ินดแี นวโนม้ หนกั ไปในสงิ่
ปรารถนา ๕ ประการ ตัวอย่าง เช่น มีจิตยนิ ดโี นม้ หนกั ไปทางรักสวยงาม พบขอ้ บกพรอ่ งตนเอง
จมูกไมโ่ ดง่ หาเงนิ มาศรัยกรรมจมูกใหโ้ ด่งข้นึ รูปร่างอว้ นเกนิ ไปใสเ่ ส้ือผ้า พยายามลดน้าหนกั ตวั ให้
ผอมให้บุคคลดกี ว่าเดมิ . แนวโนม้ ของจติ ของบุคคลมรี าคะจรติ จะใหค้ วามสนใจตนเองมากกว่าคน
อน่ื

๒. โทสะจริต คาวา่ โทสะ คืออะไร ตาม พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.
๒๕๕๔ ใหค้ านยิ มว่า ความโกรธ, ความฉนุ เฉียว ส่วนคานยิ มของพระธรรมปฎิ ก ใหค้ านิยามว่า
โทสจรติ หมายถึงคนมีพน้ื นิสยั โทสะ หงุดหงิด โกรธงา่ ย ผูม้ ีโทสะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไป
ทางใจร้อนขหึ้ งดุ หงดิ ) กล่าวคอื เมอ่ื จติ บุคคลของบุคคลใดรบั รสู้ ่ิงใดไมน่ า่ พอใจในจติ ของตนอยู่
แลว้ ยอ่ มเกดิ โทสจรติ ตวั อยา่ ง เช่น

-นายหนมุ่ วินมอเตอรไ์ ซค์จ่อยิงขมับนางดาวภรรยาเสียชวี ติ ตอ่ หน้าลกู 2 คน สาเหตุเพราะ
หงุดหงดิ โมโหงา่ ย ถูกนางดาวภริยาโพสตเ์ ฟซบกุ๊ ดา่ เร่ืองเจา้ ชู้จึงมีปากเสียงกับภริยาอย่างรนุ แรง
เปน็ บ่อยคร้ัง มาหลายปีจึงบนั ดาลโทสะยงิ นางดาวภรรยาเสยี ชีวิตลง

จากอุทาหรณ์ เม่ือนายหนุ่มผสั สะสิ่งใดท่ตี นชอบคือถกู ต่อวา่ เจา้ ชู้ ทาใหม้ โี ทสะ หงุดหงิด
โกรธง่าย และทะเลาะกับภรยิ าในเร่ือยบ่อยคร้ังถอื ว่านายหนุ่มเป็นบุคคลมแี นวโนม้ ของจรติ เป็น
โทสะจรติ .

- นายก.โฟสข้อความว่าตนไดท้ าร้ายเด็กลูกเลีย้ งชีวิตเสยี ชีวติ เหตุที่โมโห ปสั สาวะรดที่นอน
โดยแมข่ องเดก็ รว่ มกระทืบทาร้ายดว้ ย และไม่กลวั นรกด้วย ตามอุทาหรณ์น้ี แสดงนาย ก. เป็น
แนวโนม้ ของอารมณ์เปน็ โทสจรติ เพราะเม่อื จิตผัสสะสง่ิ ใดทีต่ นไมช่ อบ เป็นคนหงุดหงดิ ง่าย จงึ
เปน็ คนมีจิตแนวโน้มจรติ ไปทางโทสจรติ ,

๓. โมหจรติ ตามพจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ใหค้ านิยามโมหะจรติ
ว่า ความหลง, ความเขลา, ความโง่. 16 ส่วนคานิยมของพระธรรมปิฎก ให้คานยิ ามวา่ โทสจริต
หมายถึงคนมพี ืน้ นิสยั โมหะ โง่เขลา งมงาย ผู้มโี มหะเป็นความหลง ความไม่รู้ตามเป็นจริง
อวิชชา. 17 ผู้มโี มหะเป็นความประพฤติปกติ (หนกั ไปทางเหงาซึมงมงาย) ตวั อย่างเชน่

-นายจ. และนางน.พากนั มาเชา่ บ้านอาศัยในชุมชนแหง่ หนง่ึ ช่วงระหว่างอาศยั ทง้ั 2 อ้างตัว
เปน็ ร่างทรง และรบั ทาบายศรสี ู่ขวญั และพยายามพูดจาหว่านลอ้ มชาวบา้ น นาง ฆ. นาง ง. นาง
จ. ให้มาเปน็ ลูกศษิ ยพ์ วกตนทง้ั 3 หลงเช่ือถูกคนทงั้ 2 พดู จาหว่านล้อมชกั ชวนวา่ หากมีทรัพย์สิน
ให้นามาใหจ้ ะทาพธิ ีเพื่อให้มีโชคลาภเพม่ิ ขน้ึ ทั้ง 3 หลงเชอ่ื นาเงนิ และทรัพยส์ นิ มามอบให้ท้งั 2 ไป
ทาพธิ ี ปรากฏวา่ ทัง้ 2 เมือ่ ไดท้ รพั ยส์ ินไปแล้ว ก็นาไปไว้ใตพ้ ระพุทธรปู โดยอ้างว่าจะทาพิธีปลกุ
เสกและนัดให้พวกตนทง้ั 3 มารับทรพั ยส์ นิ คืนในวนั หลังจนถึงวนั มารบั ทรัพย์สิน พวกตนมาหาทั้ง
2 ท่ีบา้ นเช่าพบว่า บ้านปดิ ประตูเงยี บสอบถามพบวา่ ทง้ั 2 เกบ็ ทรัพย์สินหนีออกบ้านไปแลว้

16 พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ http://www.royin.go.th/dictionary/สทั ธาจริต เม่ือวนั ที่ ๑๖ พฤษภาคม
๒๕๕๔
17พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ฉบบั ประมวลศพั ท์ พิมพ์ครงั้ ท่ี ๑๗ กรุงเทพมหานคร : หน้าที่ ๒๐๒

ตามอทุ าหรณ์การทน่ี าง ฆ. นาง จ. และนาง ง. มอบทรพั ย์สินให้ผอู้ น่ื ทาพิธีเพอ่ื มโี ชคลาภ
เพิม่ ขนึ้ เป็นคนมจี ติ ในลกั ษณะโมหจรติ มแี นวโน้มของความโงเ่ ขลาเช่อื คาพดู ของคนอื่นได้ง่ายขาด
การพจิ ารณา ทงั้ สามคน จึงจิตลกั ษณะโมหะจรติ

นาย ด. เจา้ ของสานักปฏิบตั ิธรรมในจังหวดั แห่งแอบอา้ งว่าเปน็ เจ้าหญิงเมืองแก้ว หลอก
เอาเงนิ คนอืน่ มาเปดิ สานักปฏบิ ัตธิ รรมอา้ งว่าสามารถแก้กรรมได้ ทาใหน้ าง ว. หลงเชอื่ ส่งเงนิ มาให้
สญู เงนิ ไป ๒๐ ล้านบาท

ตามอทุ าหรณ์ นาง ว. ส่งเงนิ บรจิ าคมาแก้กรรมของตนได้ เปน็ คนมลี ักษณะโมหจริต มี
แนวโน้มเช่อื คาพดู ของคนอ่นื ง่าย จติ จงึ เปน็ โมหจรติ เป็นตน้ .

๔. สทั ธาจริต ตามพจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ใหค้ านิยามวา่ เปน็
คานาม ความประพฤติทพ่ี ้ืนนสิ ัยหนกั ไปในทางมจี ติ ซากซึง ชืน่ บาน นอ้ มเสอื่ มใสงา่ ย เปน็ จรติ ๑ใน
จรติ ๖ 18 ส่วนคานิยมของพระธรรมปฎิ ก ให้คานิยามวา่ พืน้ นสิ ัยในศรัทธา เช่ืองา่ ย เป็นความ
ประพฤติปกติ (หนักไปทางน้อมใจเชือ่ )

-นายจ. และนางน.พากันมาเชา่ บ้านอาศัยในชมุ ชนแห่งหนง่ึ ในช่วงระหว่างอาศยั อยทู่ ัง้ ๒
อา้ งตัวเป็นร่างทรง และรับทาบายศรสี ขู่ วัญ และพยายามพูดจาหวา่ นลอ้ มชาวบา้ น นาง ฆ. นาง ง.
นาง จ. ให้มาเป็นลกู ศิษย์พวกตนท้ัง ๓ หลงเช่อื ถกู คนท้งั ๒ พดู จาหวา่ นล้อมชักชวนว่าหากมี
ทรพั ย์สนิ ใหน้ ามาให้จะทาพธิ เี พอื่ ใหม้ โี ชคลาภเพ่มิ ขึน้ ทงั้ ๓ หลงเชื่อนาเงนิ และทรัพยส์ นิ มามอบให้
ท้งั ๒ ไปทาพิธี ปรากฏวา่ ทั้ง ๒ เมือ่ ไดท้ รัพย์สินไปแล้ว กน็ าไปไวใ้ ต้พระพุทธรูป โดยอ้างว่าจะทา
พิธีปลุกเสกและนดั ให้พวกตนท้ัง ๓ มารับทรัพย์สินคืนในวันหลงั จนถงึ วนั มารบั ทรัพย์สิน พวกตน
มาหาทงั้ ๒ ทบี่ ้านเชา่ พบวา่ บ้านปิดประตเู งียบสอบถามพบวา่ ทง้ั ๒ เกบ็ ทรพั ย์สินหนีออกบ้าน
ไปแล้ว

ตามอุทาหรณก์ ารที่นาง ฆ. นาง จ. และนาง ง. มอบทรพั ยส์ ินให้ผอู้ นื่ ทาพธิ ีเพอ่ื มีโชคลาภ
เพม่ิ ข้ึนเปน็ คนมีจติ ในลักษณะสัทธาจริต มแี นวโนม้ ของจิตเชอื่ คาพูดของคนอน่ื ได้ง่ายขาดการ
พิจารณา ทง้ั สามคน จึงจติ ลักษณะสทั ธาจริต เป็นตน้

18 พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ http://www.royin.go.th/dictionary/สทั ธาจริต เม่อื วนั ท่ี ๑๖ พฤษภาคม
๒๕๕๔

๕. พทุ ธจริต ตามพจนานุกรมของอ.เปลื้อง ณ.นคร ให้คานิยามว่า เป็นคานาม ช่อื
ประเภทของจรติ แบบหน่ึง คนมีพุทธจิ รติ ชอบคดิ อา่ น ชอบใหค้ วามรู้ ชอบวิจารณด์ ้วยเหตผุ ล.
เป็นจริต๑ใน จรติ ๖ 19 สว่ นคานยิ มของพระธรรมปฎิ ก ให้คานิยามคาว่า พื้นทีห่ นกั ในความรู้ มกั
ใช้ความคิด ผู้มีความรูเ้ ป็นความประพฤตปิ กติ (หนักไปทางคิดพิจารณา) ตวั อย่างเชน่ นาย ก.มี
ฐานะยากจน จึงตอ่ สู้ชวี ติ ดว้ ยทางานไปดว้ ยเรียนไปดว้ ย พิจารณาว่า ยามลาบากมองเหน็ คนอน่ื
ลาบากกว่าโดยเฉพาะยายทมี่ อี าชีพเขี่ยหาขยะไปขาย

ตามอุทาหรณ์ นาย ก. เป็นคนใชจ้ ิตพิจารณาชีวิตตลอดเวลาและหาทางแก้ไขตลอดเวลา
ถอื วา่ เปน็ คนรู้จักคิดพิจารณา เป็นคนมพี ทุ ธิจรติ เป็นต้น

-นางสาว ก. เกิดมามีฐานะยากจน ดิ้นรนหาเงินมาเล้ียงครอบครัว จึงคิดพิจารณาตัดสินใจ
ออกจากโรงเรียน มาขายผักเปน็ เดก็ เสิร์ฟในร้านอาหารเดอื นละ ๕๐๐ บาท เก็บเงนิ เก็บทองหา
เลีย้ งครอบครัว..

เมอื่ มเี งนิ ย่อมมองเหน็ ทาง จงึ คดิ พิจารณาซ้ือรถกระบะเกา่ ราคา ๔-๕ หมื่น เข้าวินสองจา้ ง
คนขบั แต่คนขบั เบกิ เงินไมย่ อมมาขบั บางวันแกลง้ ป่วย จึงพจิ ารณาแก้ปญั ญาขบั รถสองแถวเอง
เพื่อแบ่งเบาภาระสามี จนกระทง่ั อุม้ ท้องเลี้ยงลกู อยู่บ้าน เร่ขายมะพร้าว ออ้ ย-ซ้อื ขา้ ว-มันส่ง
โรงสี ทาอยู่ ๒-๓ ปีเหนอ่ื ยจึงเลกิ มเี งนิ เกบ็ อยูบ่ ้าง ตัดสินใจขายรถยนต์กอ่ นมาซ้ือ ๖ ลอ้ รับจ้าง
ซ้อื มันสาปะหลัง –ข้าวเปลือกส่งโรงสี ๓ แหง่ ไดเ้ งนิ เปน็ เท่ยี วไม่คุม้ ค่าเหน่ือยจึงเลกิ

ย่างเข้าปี ๒๕๔๒ ไม่รจู้ ะทาอะไรพิจารณาเปิดร้านขายลาบ นกึ ไดว้ ่าสมัยเปน็ ลูกจา้ ง แอบ
เหน็ นายจ้างขายลาบ ก้อย ตม้ จงึ หยบิ ยืมญาติพ่นี ้องผอ่ นตึก ๒ ชนั้ คร่ึงในตวั เมือง ขายดบิ ขายดีติ
ใจทุกระดบั ชน้ั จนผอ่ นตึกหมด พิจารณากแู้ บงก์ซื้อที่ขยายกิจการ เมอื่ คา้ ขาย ๑๑ กิจการดี จึง
ฝากเงนิ เดินบัญชีกบั ธนาคาร ๓ แหง่ ขอก้เู งินมาซอ้ื ที่ ๒ ไรต่ รงข้ามร้านลาบเดิมเพื่อสร้างตึก ลกู ค้า
เยอะ คบั แคบจงึ ชวนคนมาลงทุน ตกึ ๓ ชัน้ ๘ คหู าจนประสบความสาเรจ็ มาจนถงึ ทุกวันน้ี “เคย
ทกุ ข์ยากมาก่อน ไม่เคยเห็นเงินล้านก็ได้เห็น เหนือ่ ยแค่ไหนกเ็ พอ่ื ลกู คดิ ดที าดไี มฉ่ อ้ โกงใคร บวก
ความขยนั และอดออม ไมท่ อ้ ไมม่ คี วามรูแ้ ละประสบการณม์ ากอ่ น ก็ชว่ ยใหล้ กู หลายมงี านทา.

19 พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ http://www.royin.go.th/dictionary/สทั ธาจริต เม่อื วนั ที่ ๑๖ พฤษภาคม
๒๕๕๔

ตามอทุ าหรณน์ างสาว ก. เป็นคนมพี ุทธจรติ เพราะรู้จักคดิ ชอบวพิ ากษว์ จิ ารณ์ พิจารณา
โอกาสของชีวิตท่จี ะก้าวไปขา้ งหนา้ อยา่ งไร พิจารณาหาเหตุและผลอย่เู สมอ. ทาให้ประสบ
ความสาเรจ็ ในการใชช้ วี ติ .

๖.วิตกจริต ตามพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ของพระธรรมปฎิ ก หน้า ๒๒๙ ให้คานยิ ามว่า
พน้ื นิสัยหนักในทางตรกึ , มวี ติ กเปน็ ปรกต,ิ มีปรกตินกึ พลา่ น หรอื คิดจบั จดฟงุ้ ซ่าน 20 ผูม้ ีวติ กเป็น
ความประพฤติปกติ (หนักไปทางคิดจับจดฟุ้งซ่านสวยรกั งาม)21 ตามพจนานุกรมฉบบั
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ใหค้ านิยามว่า ความเปน็ ความทกุ ข์กงั วล เช่น เขาเกดิ วติ กจริตวา่
จะตน่ื ไม่ทันสอบ, ความประพฤตทม่ี ีพืน้ นสิ ยั หนักไปในทางคิดฟงุ้ ซ่าน เปน็ ตน้ คาว่าฟุ้งซา่ น
หมายถึงไมส่ งบ ส่ายไป, พล่านไป เป็นต้น. เมอ่ื จติ นอ้ มออกไปรับรูส้ งิ่ ใดสิ่งหนง่ึ เช่น ไปฆ่าคนอ่ืน,
ขโมยของคนอน่ื , คิดวา่ แฟนนอกใจ ทาใหเ้ กิดความฟุ้งซา่ นในจติ จิตมอี าการส่ายไปมา หรอื พล่าน
ไปมา ไม่สงบระงับเพราะกลัวตารวจจับ เปน็ ตน้ .

๒. อธิบายความหมายของพฤติกรรมในจติ วิทยาได้

ชีวติ ของมนษุ ย์มเี ร่อื งราวเกิดขึน้ มากมาย หลายอยา่ ง ตัวอย่างของการ การระลกึ ชาตขิ อง
บคุ ลตา่ งๆ ทว่ั โลกเด็กชาวอเมริกนั จาอดีตชาตไิ ด้ว่าเคยเปน็ นกั รบในสงครามและเสยี ชีวติ เพราะถกู
เครอ่ื งบนิ รบญปี่ นุ่ ยิงตก เด็กชายเจมส์มักเล่าเรอื่ งตวั เองและเคร่อื งบินรบ เขามักสนใจเร่ืองบนิ รบ
มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเครื่องบินรบสมัยสงครามโลกครงั้ ท่ี ๒. นอกจากนยี้ ังมเี รื่องราวอีก
มากมายเก่ียวกบั มนุษย์ เพลโตกล่าววา่ จติ วิญญาณเป็นของพระเจ้า กายเป็นของปีศาจ อารสิ โต
เตลิ เชือ่ ว่าจติ อยู่ทีห่ ัวใจมิใช่อยู่ทส่ี มอง นกั ปรัชญาสมัยนนั้ จงึ ศึกษาเรื่องราวของจิตแยกออกจาก
กายสิ้นเชิง แต่ไม่ประสบความสาเรจ็ มปี ัญหาใหเ้ กิดความสงสัยมากมาย นายแพทย์ฮิปโปเครติส
ของกรีกประมาณปี พ.ศ. ๑๕๓ ให้ความเห็นว่าจติ และกายและจิตไม่สามารถแยกออกจากกนั ได้ไม่
ว่าอะไรจะเกิดขน้ึ จติ กม็ ีอทิ ธพิ ลต่อกายและไมว่ า่ อะไรจะเกดิ ขน้ึ กบั กายกม็ ีผลต่อจิตเช่นเดียวกนั 22

นกั จิตวิทยาเรมิ่ ศกึ ษาเรอ่ื งราวของจติ แบบเหมารวมความจรงิ และขอ้ มลู นกั วิทยาศาสตร์
สงั เกตเกย่ี วกบั จติ แตว่ ิธกี ารดังกล่าวไมช่ ว่ ยให้เราเขา้ ใจสภาวะจิตไดด้ เี พยี งพอ จงึ มีการเอา

20 พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ฉบบั ประมวลศพั ท์ พมิ พ์ครงั้ ที่ ๑๗ กรุงเทพมหานคร : หน้าที่ ๒๒๘.
21 พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ฉบบั ประมวลศพั ท์ พิมพ์ครงั้ ที่ ๑๗ กรุงเทพมหานคร : หน้าที่ ๓๒.

22 ศันสนยี ์ ตนั ติวทิ และคณะ. จติ วทิ ยาทวั่ ไป สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ครั้งท่ี ๗ กรุงเทพมหานคร : หน้าที่ ๓๓.

วิธกี ารทางวิทยาศาสตรม์ าใชท้ ดลองดูเพื่อศกึ ษาเร่อื งราวของจิต สนใจว่าจิตมีผลตอ่ รา่ งกาย
อยา่ งไร ไมม่ ีใครพบเหน็ จิตตลอดเวลาทคี่ น้ คว้า แต่สิ่งท่ีพบคือพฤตกิ รรมของมนุษย์และสตั ว์
เทา่ น้นั

ปญั หาจงึ เกดิ ขนึ้ เป็นคาถามว่าพฤตกิ รรมของมนุษยค์ อื อะไร ตามพจนานุกรม ฉบบั ราช
บณั ฑติ ให้คานิยามว่า พฤตกิ รรมคอื การกระทาหรืออาการที่แสดงอาการทแ่ี สดงออกทางกลา้ มเน้ือ
ความคดิ และความรู้สึกเพื่อตอบสนองสิ่งเร้า23 คาว่าพฤตกิ รรม แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า
behavior เมอื่ นาไปแปลเป็นภาษาไทยได้ความหมายว่า [n.] (เคร่อื ง) เดนิ , ความประพฤติ,
คุณสมบตั ิ, ทาตัวใหด้ ี, ปฏบิ ัติตัว, พฤตกิ ารณ์, แสดงคณุ สมบัติ, แสดงอาการ, อาการ24

ตามความหมายดังกล่าวมุ่งวเิ คราะหอ์ ธิบายความหมายอะไรว่า ไมว่ ่าอะไรจะเกดิ ข้นึ จิตก็มี
อิทธิพลต่อกายและไมว่ า่ อะไรจะเกิดขน้ึ กับกายก็มีผลต่อจติ เชน่ เดยี วกัน เม่ือความหมายของ
พฤตกิ รรมมีผู้ตคี วามไว้หลากหลายความหมาย.แต่ในทีน่ ้ีขอวเิ คราะหใ์ นความหมายถึงพฤติการณ์
หรอื การปฏิบตั ขิ องมนษุ ย,์ อาการของมนุษย์ เปน็ ตน้ กลา่ วคือ เมื่อมนษุ ย์มกั แสดงพฤติกรรมให้
คนอื่นรบั รดู้ ว้ ยอนิ ทรยี ์ ๖ ตลอดเวลา ไดแ้ ก่การยนื การเดนิ การนัง่ การนอน ทางวาจาได้แก่
การสนทนา การรอ้ งเพลง การสวดมนต์ ทางใจแสดงออกมาทางกายไดแ้ ก่ ดีใจแสดงออกมาทาง
ใบหน้าของตน เสยี ใจกจ็ ะรอ้ งไห้ด้วยเสียงอันดัง แต่พฤติกรรมบางอย่างทเ่ี ปน็ คดิ อยใู่ นใจของ
มนุษย์ไม่อาจทราบไดเ้ พราะพฤติกรรมท่แี สดงออกมาภายนอกไมไ่ ด้แสดงออกมาจากใจของตน.

พฤตกิ รรมของมนุษยแ์ บง่ ออกเปน็ ๒ อย่างคอื

๑. มนุษยแ์ สดงพฤตกิ รรมออกมาตามสญั ชาตญาณ คาว่า “สัญชาติญาณ”ตาม
พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ มีความหมายวา่ ความรู้ท่ีมมี าแต่กาเนิดของคน
และสตั ว์ทาใหม้ ีความรสู้ กึ และกระทาเองได้โดยไม่ตอ้ งมใี ครสัง่ สอนเชน่ สญั ชาตญาณในการป้องกนั
ตัว สญั ชาตญาณในการรวมหมู่

23 พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ http://www.royin.go.th/dictionary/พฤตกิ รรม เมอื่ วนั ท่ี ๑๖ พฤษภาคม
๒๕๖๐
24 อ.สอ เสถบตุ ร. พจนานกุ รมแปลองั กฤษ-ไทย http://dictionary.sanook.com/search/behaviourวนั ท่ี ๑๖ พฤษภาคม
๒๕๖๐

๒. มนุษย์แสดงออกมาตามสงิ่ เรา้ คาว่า “ส่ิงเรา้ ” ตามพจนานกุ รมแปลไทย-
อังกฤษ NECTEC’s Lexitron Dictionary ให้ความหมายวา่ สง่ิ ลอ่ ใจ, สิ่งจูงใจกลา่ วคือ เมอื่ จิต
ของมนุษยร์ บั รสู้ ิง่ เร้าอันใดอันหนง่ึ กจ็ ะแสดงพฤติกรรมท่ีเรยี กวา่ “ความอยาก” ออกมา เพราะ
ความขาดแคลนทง้ั กายและจิตใจ ความขาดแคลนทางกาย เพราะรา่ งกายของมนุษย์ทางาน
ตลอดเวลายอ่ มใชพ้ ลงั งานไปมากย่อมต้องอยากอาหารมาชดเชยพลังงานทขี่ าดหายไป สว่ นสิ่งขาด
แคลนทางใจ เป็นส่งิ เร้าให้มนษุ ย์เกิดความทะยานอยาก เพราะ ส่งิ สมมติในสังคมเปน็ แรงผลกั ดัน
มนุษย์มคี วามอยากทะเยอทะยานในการแสวงหาการยอมรบั จากสังคม เป็นความตอ้ งการทาง
จิตใจ เป็นความอยากใคร่ดี เชน่ นกั ศึกษาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเพ่ือรับปริญญาบตั รเป็นเกณฑ์
มาตรฐานความรขู้ องตนเพื่อหางานในหน้าท่ีการงานท่ดี ี ยศสูง เงนิ เดือนสงู มีรถยนตร์ าคาแพง
อยใู่ นสงั คมทีด่ ีทม่ี ีเกียรติเป็นทีย่ อมรับของคนท่ัวไป ความตอ้ งการทางใจไม่มีทสี่ ิน้ สุดขนึ้ อยู่กบั
ความต้องการของแต่ละคนไมเ่ ทา่ กัน ถา้ หากไมม่ กี ารตอบสนองยอ่ มเกิดความทุกข์เพราะไมพ่ อใจมี
ปมด้อย บคุ คลรู้จักพอทางดา้ นจิตใจ ไมเ่ ปน็ ทุกข์เลย สามารถปรับตวั เองแล้ว เบนเปา้ หมายไปสู่
ทิศทางอนื่ ได้เปน็ ตน้ . ตวั อยา่ งเชน่

๕ การวิเคราะห์ลักษณะพฤติกรรมของมนุษย์ ลักษณะทเ่ี ปน็ เครอื่ งสังเกตจริตของคนทั้งหลาย
ในโลก มอี ยู่ ๕ ประการ คือ

๕.๑.พฤตกิ รรมการเคลอ่ื นไหวร่างกาย ไดแ้ ก่อิรยิ าบถตา่ งๆ ใน การเดนิ การยนื การนั่ง และ
การนอน และอาการเคลื่อนไหวของร่างกายในทากิจกรรมตา่ งๆ

๕.๒.พฤตกิ รรมการทางาน ในกจิ กรรมต่าง ๆ กจิ จะ ได้แก่ ลกั ษณะการทางาน

๕.๓.พฤติกรรมของการบริโภคอาหาร และอาหารท่บี ุคคลคนบรโิ ภคอาหาร

๕.๔.พฤตกิ รรมของแนวคดิ ของการใช้ชวี ิต ไดแ้ ก่ การดู การฟัง การดม การกิน การใช้
เครือ่ งสาอาง เสอื้ ผ้าทีส่ วมใส่ในการแตง่ ตัว

๕.๕.พฤตกิ รรมทางศีลธรรม สงบเรียบรอ้ ยอนั ดงี ามของสงั คมได้ ความประพฤตดิ ี ความ
ประพฤติชวั่ อันเกิดจากกิเลสทม่ี ีอยใู่ นตัวของแต่ละคน

๕.๑.อริ ยิ าบถ การเคล่ือนไหวไปมาของรา่ งกาย อิรยิ าบถหลกั มอี ยู่ ๔ อยา่ งคือ ยนื เดิน นั่ง
นอน สว่ นอาการท่ีเคลือ่ นไหวทากจิ การงานตา่ งๆ นอกจากนี้เป็นอริ ิยาบถย่อย การสงั เกตอริ ยิ าบถ

ตอ้ ง ดูอิริยาบถตามปกติ เช่น การยนื ตอ้ งดูขณะยนื ปกติ ไมใ่ ช่ตอนยืนร้องเพลงหรือยนื สอนหนงั สือ
การเดนิ ตอ้ งดตู อนเดินปกตไิ มใ่ ชใ่ นขณะเดนิ ออกกาลงั กายเป็น การนอนกด็ ูตอนนอนปกติ ไม่ใช่
ตอนนอนคดุ คู้เพราะอากาศหนาว ดว้ ยการสงั เกตอย่างนเี้ ราจงึ จะเหน็ เป็นไปตามความเปน็ จริง

๑.การเดนิ การเดนิ คอื การเคลือ่ นไหวรา่ งกาย ไปตามอารมณ์ที่เกดิ ขน้ึ จติ ของคนน้นั

๑.๑ราคะจริต การเคลอื่ นไหวของรา่ งกายคนมีราคะจิต มอี าการนุม่ นวลละมนุ ละไม พอดี
พองาม การเคลื่อนไหวรา่ งกายจะไม่เดินเรว็ ไมช่ ้าเกิน เมื่อวางเท้าลงเคลอื่ นไหวกว็ างอยา่ ง
สมา่ เสมอ เมอ่ื ยกเทา้ ขนึ้ เคลือ่ นไหวก็จะยกข้นึ อย่างรวดเรว็ ถ้าสังเกตรอยเท้าตอ้ งสงั เกตตอน ท่ีเดนิ
เทา้ เปล่าบนพ้นื ทรายละเอียดทชี่ มุ่ ๆ จะเห็นว่ามีรอยเท้ากระโหย่ง รอยเท้าเว้าแหวง่ เปน็ แหง่ เพราะ
วางเท้าเบา ไม่คอ่ ยจะมมี ลู ดนิ กระจายรอบๆ รอยเท้า

๒.๒โทสจริต การเคล่ือนไหวรา่ งกายด้วยอาการฉบั ไว การวางเท้าเหมือนจิกปลายเท้า เดนิ
เร็วลงเท้าหนักวางเท้าเร็วและยกเท้าเร็วเพราะเปน็ คนรบี เรง่ อย่เู สมอ รอยเท้าปรากฏว่าปลายเท้า
จกิ ลงดนิ หรอื ทรายจะถกู ขดุ ลงทางปลายเทา้ ลกึ มาก มมี ูลดนิ กระจายมาทางปลายเท้ามาก

๒.๓ โมหจริต การเคลอ่ื นไหวร่างกายเฉไฉไม่แน่นอน ลกั ษณะการเดินอาการสะเปะสะปะ
เดนิ เร็วบ้างชา้ บ้างสลบั กันไปทอดเทา้ ลงเหมือนคนขยม่ ตัว และเมื่อยกเท้าข้นึ เหมือนคนขยม่ ตวั
เช่นกัน รอยเท้าจะปรากฏวา่ จกิ ลงทั้งปลายเท้าและสน้ เท้า เสน้ รอยเท้าทต่ี ิดกบั พ้ืนดินเลอะเลอื น
เพราะคนโมหจริตเวลาวางเท้า เท้าจะส่นั รวั เมื่อดอู าการที่เดนิ ไปนนั้ จะเหน็ ว่า คดไม่ตรงทาง คอื เซ
ซา้ ยเซขวา สลับกนั ไป

(๒) การยืนการนงั่
๒.๑ คนมจี ริตแนวโน้มไปทางราคจรติ เลอื กที่ยนื เลือกที่นงั่ ถา้ ไปกนั เป็นกลมุ่ และ

สถานท่นี ้นั เลอื กยนื เลือกนงั่ ได้ตามสะดวก มกั เลอื กยนื เลอื กนงั่ ในทเี่ หนอื ลม ทางท่มี แี สงสว่าง และ
ทางที่สามารถทอดสายตาได้ไกลพอสมควร อาการที่ยนื และนงั่ ละมนุ ละไมน่าดนู ่าชม แขนท้งั สอง
มักปลอ่ ยลงข้างลาตวั

๒.๒ โทสจริต ยามยืนหรือน่งั มีกริ ิยาอาการกระดา้ งไมน่ ่าดู ชอบใชม้ อื ไพล่หลัง คา้ สะเอวหรอื
รดั คอ ที่ยนื ท่นี ่งั ไม่ค่อยเลือก กา้ วเท้าไปตกจังหวะยืนทต่ี รงไหนกย็ นื ได้ จะขรุขระเปรอะเปอ้ื นบ้างก็
ไม่ถอื สา

๒.๓ โมหจริต เม่อื ยืนหรอื นง่ั ก็มอี าการบง่ เซ่อ มีลกั ษณะเหมอ่ ลอย ง่วงๆ ซึมๆ

(๒) การนอน การเคลือ่ นไหวของการนอน
๓.๑ ราคจรติ การเคล่อื นไหวการเข้านอนไม่เปน็ คนรีบ คอ่ ยปูท่นี อนใหเ้ รียบร้อยก่อน แล้ว

จึงคอ่ ยเอนตัวลงนอน มีการวางอวยั วะตา่ งๆ น้อยใหญใ่ หเ้ รยี บรอ้ ย นอนดว้ ยอาการน่าดู เม่ือถกู
ปลุกใหล้ กุ ขึ้นกไ็ มร่ ีบผลนุ ผลันลกุ ข้ึน แต่จะค่อยๆ ลุกดว้ ยอาการปกติ

๓.๒โทสจริต มอี าการรบี ร้อนเขา้ นอน เหมอื นกบั หนีใครมานอน การจดั ท่นี อนก็จัดแบบ
สง่ ๆ ไป ตามแต่จะได้ ไมค่ านงึ ถึงความสวยงาม หรือความเป็นระเบยี บเรียบร้อยแตอ่ ย่างใด สกั แต่
วา่ ตนเอง ซกุ หวั นอนเป็นอนั ใชไ้ ด้ แล้วก็ล้มตัวลงนอนแผห่ ลาตามสบาย ไมส่ นใจว่าจะเกะกะ
ขวางทาง หรอื ใครจะมาว่าอยา่ งไรไมค่ านึงถึง เมื่อถูกปลุกให้ลุก ก็รีบลกุ ขึ้นอย่างผลนุ ผลนั มีอาการ
ดุนดิ ๆ หนา้ ตาบูดบึง้ ตาแดงขมงึ คล้ายกบั โกรธใครมาเป็นเวลาแรมปี ในขณะนัน้ ถา้ มใี ครมาถาม
อะไร จะให้คาตอบดว้ ยเสียงกระโชก โฮกฮาก เหมอื นกับมีความเดือดดาลอยู่ในใจ

๓.๓ โมหจริต ลกั ษณะการนอนไม่นา่ ดู มีอาการค่อนข้างนา่ เกลียด นอนวางมือเกะกะโดย
ไมร่ ตู้ ัว การจัดปูท่นี อนไม่คอ่ ยเรยี บร้อย ไม่เป็นระเบียบ สักแตว่ า่ นอนได้ก็นอนไปทง้ั อยา่ งนั้น
ส่วนมากมักชอบนอน คว่าหนา้ เมือ่ ถูกปลุกให้ลกุ จะลกุ ขึน้ อย่างเชอื่ งช้า มีอาการเซื่องซึมงัวเงีย งว่ ง
เหงาหาวนอน แสดงอาการ บิดไปบดิ มาน่าราคาญ บางครง้ั ก็พาลล้มตวั ลงนอนกลบั ไปอกี โดยไม่
สนใจใยดกี บั สิง่ ใดใดในโลกทั้งสิน้

๓. กิจจะการท้างาน
๓.๑ ราคะจรติ ตามปกตทิ ัว่ ไปจะมคี วามตงั้ อกตัง้ ใจในการทางาน ทางานไดอ้ ยา่ งเรยี บรอ้ ย

ประณตี มี ความละเอยี ดรอบคอบ ละเอียดออ่ น เช่น การกวาดวดั คนราคะจรติ จบั ไม้กวาดอยา่ ง
เรยี บร้อย ไมร่ บี ร้อน ไม่กวาดคุ้ยดินคยุ้ ทรายให้กระจดั กระจาย กวาดไดส้ ะอาดเรียบรอ้ ยงามตา
เหมอื นเอาเสอื่ ปหู รอื เอาดอกไม้มาปูลาดฉะนน้ั

๓.๒ โทสจริต โดยธรรมชาติเปน็ ผู้มีหลกั การ เคารพกฎเกณฑ์ มีระเบียบวนิ ัยสูง ไม่ว่าเรื่อง
งานหรือ เรื่องอ่นื ๆ ตามธรรมดา เมอื่ จะทาการงานส่ิงใด มักทาไปดว้ ยความรีบรอ้ น ฉบั ไว ได้
ผลสาเร็จ แต่ค่อนขา้ งไม่เรียบรอ้ ยสวยงาม เชน่ เมื่อปดั กวาดทีอ่ ยอู่ าศัยกต็ ัง้ ใจปัดกวาดอยา่ ง
เขม้ แขง็ กวาดอยา่ งรวดเร็ว หากเห็นขา้ วของสง่ิ ใดขวางหน้า หากควา้ ด้วยมือไมท่ ันใจใช้เท้าเขี่ยกม็ ี
มือกาไม้กวาดแนน่ ทา่ ทางขงึ ขัง เหมือนกาลังกาอาวุธจะทาการสูร้ บ กวาดไปอยา่ งรบี ร้อน สะอาด
เปน็ หยอ่ มๆ บางครัง้ ทาให้ฝุ่นละออง ฟุง้ อยู่ท่ัวไป

๓.๓ โมหจริต ปกติจะไมค่ ่อยชอบทาอะไร ถ้าไม่ถกู ใครหรือส่งิ ใดมาบงั คับ ก็สามารถน่ัง
เฉยๆ ได้ เปน็ วันๆ เม่ือจาเป็นจะต้องคดิ หรือทาอะไร รู้สกึ วา่ ยากไปหมด รสู้ ึกเกนิ ความสามารถ
พลงั กายพลงั ใจ ไมค่ ่อยมี ทาอะไรกจ็ ะรสู้ กึ เบอ่ื กอ่ นที่งานน้นั จะสาเร็จ ตามธรรมดาเมือ่ จะทากิจสิ่ง
ใด มกั ทาด้วยอาการหยาบเหมอื นกับไมเ่ ตม็ ใจทา ไมม่ คี วามถ่ีถว้ น หมักหมมคงั่ ค้าง เอาดีอะไรไม่
คอ่ ยได้ เชน่ เมอ่ื ปดั กวาดทอ่ี ยู่อาศัย มือที่จบั ไม้กวาดจะกาอย่างหลวมๆ กวาดไปตามแต่จะได้
กวาดๆ หยดุ ๆ ไม่สะอาดเรียบรอ้ ย ทาใหม้ ูลฝอยกระจยุ กระจาย ไม่ถ่ีถว้ นในการปดั กวาด ตาม
ธรรมดาคนทั่วไปเวลากวาด เขาจะเรมิ่ กวาดจากมมุ ทไ่ี กลประตกู ่อน แลว้ ค่อยกวาดเรื่อยมาจนถึง
ประตู จงึ ตักผงไปท้ิง หรือกวาดจากทางเหนือลมไปหาใตล้ ม แต่คนโมหจริต กลับเร่ิมกวาดจาก
บรเิ วณ ใกลป้ ระตกู อ่ น แล้วจึงไปกวาดที่ไกลๆ และค่อยกวาดยอ้ นกลับเร่อื ยมาทบ่ี ริเวณใกลป้ ระตู
อีก หรอื อาจกวาดทวนลมจนฝนุ่ ผงฟุง้ ตลบ พูดง่ายๆ คือ ทางานไม่เป็น ไมม่ ปี ฏภิ าณ
๔.โภชนะ ลกั ษณะการบรโิ ภคอาหาร

๔.๑.ราคะจริต ตามธรรมดายอ่ มชอบใจอาหารอนั ละมนุ ละไม มีรสอร่อยหวานมนั เม่อื ทา
การบรโิ ภค ก็ทาคาขา้ วให้กลมกลอ่ มพอดคี า ไม่เลก็ เกินไปหรอื ใหญเ่ กนิ ไป เป็นนักชิมรส ชอบลิ้มรส
แปลกๆ บรโิ ภคไปดว้ ยอาการไมร่ บี รอ้ น ได้อาหารที่ถูกปากแมเ้ พียงอย่างเดยี วเทา่ น้นั ก็รู้สกึ มีความ
พงึ พอใจเป็นอยา่ งมาก

๔.๒.โทสจริต ตามธรรมดาย่อมชอบใจอาหารอนั หยาบ ซง่ึ มรี สจดั เชน่ เปรี้ยวจัด เคม็ จดั
ขมจัด ฝาดจัด เม่ือทาการบรโิ ภคกท็ าคาข้าวโตจนคับปาก ไมใ่ ช่เป็นนกั ชิมรส บรโิ ภคไปด้วยอาการ
อนั รีบรอ้ น รวดเร็ว ประสบอาหารที่ไมถ่ กู ปากถงึ ใจแมเ้ พยี งอยา่ งเดียวเท่าน้ัน ก็มีอาการหงุดหงดิ
ขัดเคอื งใจ อาจจะพาลโกรธใครตอ่ ใครในขณะน้ันขน้ึ มาก็ได้

๔.๓.โมหจริต ตามธรรมดายอ่ มมีความชอบใจในรสอาหารไมแ่ นน่ อน เพราะเปน็ คนเซอ่
เซอะ ไมเ่ ปน็ ตวั ของตัวเอง เม่อื ทาการบรโิ ภคก็ทาคาขา้ วเล็กๆ ไมก่ ลมกลอ่ ม บรโิ ภคด้วยอาการ
มมู มาม เมล็ดข้าวตกเรีย่ ราดเกลอ่ื นกลาดกระจายไป ปากคอเลอะเทอะไมน่ ่าดู จิตใจฟ้งุ ซ่าน คอื
บริโภคไปอย่างคนใจลอย คนทงั้ หลายเห็นเข้าแลว้ มักนกึ ตาหนใิ นใจ
๖.พฤตกิ รรมการสังเกตดู

๖.๑พฤตกิ รรมของคนมีราคจรติ จะใหค้ วามสาคญั กบั สงิ่ สวยงามจะหยดุ สนใจ หรือไดฟ้ งั
เสียงไพเราะ ดมกลนิ่ น้าหอม ลมิ้ รสอาหารทต่ี นถกู ใจ ได้สมั ผสั ละสิ่งของเครือ่ งใชล้ ะเอียดออ่ น
สวยงามตรงกับรสนิยมของตวั แมจ้ ะเปน็ สง่ิ เพยี งเล็กน้อย เขามีความสนใจอย่างลกึ ซงึ้ เกดิ
ความรูส้ กึ พอใจ ประหลาดใจอยา่ งเหลอื เกิน มีอาการราวกบั ไม่เคยพบเห็นสง่ิ เหลา่ น้ีมาก่อน เมือ่ ส่ิง
เหล่าน้นั ผ่านไปแลว้ กย็ งั ไมย่ อมปล่อยวางยงั ตามดูภาพ ตามฟังเสียง หรือเม่ือจาเปน็ ตอ้ งจากกไ็ ป

ด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างลึกซง้ึ บางทีถึงกับต้องหันหลังกลับมามองแลว้ มองอกี ดว้ ยความ
เสียดายก็มี

๖.๒ โทสจริต ตามธรรมดาเมื่อได้เหน็ รปู ทไี่ ม่สวยงาม ไมเ่ ป็นทีต่ ้องตาต้องใจแห่งตน หรือได้
ฟงั เสยี ง ที่ไมค่ อ่ ยไพเราะ ได้กล่นิ ทไ่ี มห่ อม ไดร้ สทีไ่ ม่ถกู ใจ ไดส้ ัมผัสท่ีหยาบ ซง่ึ ไม่ตอ้ งกบั รสนิยม
ของตวั แมจ้ ะเป็นเพียงเล็กนอ้ ยธรรมดา ผูม้ ีโทสจริตแล้วกลบั ร้สู ึกหงดุ หงดิ ใจและมีอาการเหมอื น
คนบ้าดีเดอื ดซ่งึ ปราศจากเหตผุ ล ไม่อยากดู ไม่อยากฟัง ไม่อยากแตะตอ้ ง ถ้ามีข้อบกพรอ่ งประกอบ
อยู่บา้ งแม้เพียงนดิ หน่อยในสง่ิ เหล่าน้นั ก็จะยกเอามาเป็นสาเหตุให้เกดิ ความขัดเคอื งใจ ไมน่ กึ ถึง
ความดแี มม้ ีอย่มู ากมาย เมื่อส่ิงเหล่านั้นผ่านเลยไปก็ไมร่ สู้ กึ เสยี ดาย เมือ่ ตนจาเป็นตอ้ งจากหรอื หลีก
ไปกใ็ คร่ทีจ่ ะพ้นออกไปอย่างเดยี ว ไม่มกี ารแลเหลยี ว คดิ หว่ งหนา้ พะวงหลงั หรืออาลัยอาวรณ์ในส่ิง
เหลา่ นน้ั แม้สักนดิ ก็ไมม่ ี

๖.๓ โมหจริต เมอื่ ไดเ้ หน็ รูปภาพอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ไม่ว่ารปู น้ันจะสวยงามหรอื ไม่สวยงาม ก็
ตามมกั จะไมม่ ีความรูส้ ึก คดิ เหน็ ตอ่ รปู นั้นแต่อย่างใดท่เี ปน็ อยา่ งน้นั เพราะวา่ โดยเนอ้ื แท้แล้ว
ตนเองก็เป็นคนเฉยๆ ซมึ ๆ ไมค่ อ่ ยรู้ ไมค่ ่อยสนใจอะไรกับใครเขา ต่อเมอื่ มีผูอ้ ืน่ ใหค้ วามเหน็ หรอื
ออกเสียงหนนุ ขา้ งใดข้นึ มา จงึ จะมคี วามเห็นคล้อยตามเขาไป เปน็ บุคคลท่ีตกอยู่ในลกั ษณะท่ี
เรียกว่า มีบคุ คลอน่ื เป็นปัจจัย คนอ่นื ใครเขาว่าดีก็พลอยว่าดีไปกบั เขาด้วย คนอ่นื เขาออกปากชมก็
พลอยชมกับเขาดว้ ย ถ้าคนอ่นื เขาออกปากติก็พลอยตกิ บั เขาด้วย แม้ในอารมณอ์ ่นื ๆ คือ การได้ยิน
ไดก้ ลิน่ ไดล้ ้มิ รส และไดส้ ัมผสั ผู้เปน็ โมหจรติ ก็เป็นไปในทานองเดียวกันน้ี กล่าวคอื มผี ้อู ืน่ เป็น
ปัจจยั ท้ังส้ิน ต้องอาศัยผู้อ่ืนทุกอย่าง
๗.พฤตกิ รรมตามหลกั ธรรม คาว่าธรรมหมายถึงความประพฤติธรรมทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลทีเ่ ป็น
ฝา่ ยกิเลสด้วยรวมความว่า วิถีพฤติกรรมความเปน็ ไปตามกิเลสและคณุ ธรรมท่ีมีอยู่ในขนั ธสนั ดาน
ของจติ บุคคลนนั้ ๆ

๑.ราคจริต พฤติกรรมประกอบด้วยอกศุ ลธรรม เป็นคนเจา้ เล่ห์ เปน็ คนโออ้ วด เปน็ คนถือ
ตัว เป็นคนมีความปรารถนาลามก ความใหญ่ ตอ้ งการให้คนทั้งหลายสรรเสริญในคณุ งามความดี
ของตนจนเกินประมาณ เปน็ คนไมม่ คี วามสันโดษ ไมม่ ีความพอใจในเครือ่ งอุปโภคบรโิ ภคเป็นคนมี
แง่งอน เป็นคนโลเล ชอบประดษิ ฐป์ ระดอยเครอื่ งนงุ่ ห่มและเคร่อื งประดบั กับทงั้ มีความพถิ ีพถิ นั
เปน็ พเิ ศษในเร่ืองความสวยความงาม

๒.โทสจริต มพี ฤตกิ รรมเป็นผ้มู จี ิตใจต่า เป็นคนโกรธงา่ ย มักโกรธ เปน็ คนผูกโกรธผกู
อาฆาต เปน็ คนมักลบหลู่คณุ ทา่ น คอื เป็นคนเนรคุณ เปน็ คนอวดดี มกั ตตี นเสมอทา่ นอยู่เสมอ ไม่


Click to View FlipBook Version