The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จิตวิทยาในพระไตรปิฎก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

จิตวิทยาในพระไตรปิฎก

จิตวิทยาในพระไตรปิฎก

Keywords: พระไตรปิฎก,จิตวิทยากับพระพุทธศาสนา

เห็นความสาคญั ของใคร เปน็ คนมีใจนา่ ชงั มกั รษิ ยาในคุณสมบตั ขิ องผ้อู ื่นท่ีดีกว่าตนหรือเสมอตน
เป็นคนตระหน่ถี ี่เหนยี ว มักเอารัดเอาเปรียบผู้อ่ืนอย่างน่าเกลียด

๓.โมหจรติ จะมีพฤติกรรมเปน็ คนมีจิตใจง่วงเหงาหาวนอน หดหู่ ท้อถอย ปราศจากความ
เขม้ แข็งซึ่งเป็นเหตใุ หก้ จิ การตา่ งๆ ที่ต้ังใจทาสาเร็จได้โดยยาก และสาเร็จไดช้ ้ากวา่ เวลาอนั ควร
หรือไม่สาเรจ็ เป็นคนท่ีมกั มีความราคาญเกิดขนึ้ ในใจบอ่ ยๆ เชน่ เม่ือมีการประชมุ เพอ่ื ปรกึ ษาหารอื
ในกจิ การ ซึ่งจาตอ้ งใชป้ ญั ญาพจิ ารณาหาเหตุผล คนโมหจรติ ผ้มู จี ิตใจท่ไี ม่คอ่ ยจะสนใจในสิง่ ทง้ั ปวง
มักเกิดความราคาญ รสู้ ึกวา่ เปน็ การทรมานในการท่ีจะแสดงหรือฟงั ความคดิ เหน็ น้ันๆ ท้งั น้ี ก็
เพราะวา่ มีโมหะเขา้ มาบดบังปญั ญา วิจกิ จิ ฺฉา เปน็ คนมีความลังเลสงสยั ตดั สินใจอะไรไม่ไดใ้ นทุกๆ
กรณี มีความร้สู ึกสนเท่หใ์ จไปเสียทกุ สิ่งทุกอย่าง ไมป่ รารถนาทจ่ี ะเป็นผนู้ า แตป่ รารถนาที่จะเป็นผู้
ตามในกิจการทั้งหมด เป็นคนยึดมน่ั ถือมั่นโดยปราศจากเหตุผล หมายความว่า เปน็ คนโง่เขลา เบา
ปญั ญา หากเกิดความเชอ่ื มั่นในสิ่งใดแล้ว กเ็ ช่อื อย่างเตม็ หวั ใจ ไม่ยอมคลายทิฏฐิ เชน่ ถูกยยุ งให้
เกลียดใคร แมม้ ารู้ภายหลังว่าผูท้ ี่ตนเกลียดนัน้ เปน็ คนดี เปน็ ผู้บรสิ ุทธ์ิ กย็ ังคงมคี วามเกลียดชังอยู่
อยา่ งเดมิ ทุปฺปฏินสิ สฺ คฺคิตา เป็นคนเปลอื้ งความเหน็ อนั ชวั่ รา้ ยไดโ้ ดยยาก หมายความว่าเป็นคนด้ือ
รั้นมาก ถ้าเกดิ มจิ ฉาทฏิ ฐิขึน้ มาในใจให้เหน็ ผิดคิดไปว่า บญุ ทานไมม่ ี นรกสวรรค์ไม่มี นพิ พานไมม่ ี
เป็นต้น ตอ่ ใหม้ ีนกั ปราชญผ์ ู้มปี ัญญา ผ่องแผว้ สักหม่ืนคนแสนคน มาเฝ้าตักเตือนส่งั สอนให้
คลายทิฏฐนิ ้ันเสยี ก็เป็นการยากอย่างยงิ่ ทจ่ี ะอบรมสัง่ สอนให้คนโมหจริตปลดเปลอื้ งความเหน็ อนั
ช่วั ร้ายออกไปจากใจ

๔.วติ กจรติ พฤตกิ รรมเป็นคนมักพูดพรา่ ชอบราพนั ถึงเรอ่ื งไมเ่ ป็นเรอื่ งในสิ่งท่ีผ่าน เปน็ คน
ชอบคลุกคลีกับหมูค่ ณะ เห็นคนท้งั หลายเขารวมกลุ่มกนั อยู่ทไ่ี หน ก็มกั จะพลอยเข้าไปรวมกล่มุ กบั
เขาด้วยแม้จะถูกเขาพูดจาลอ้ เลียนสบประมาทอยา่ งไร ก็มิใส่ใจไมถ่ ือสาหาความ เป็นคนมคี วามคดิ
เฉอ่ื ยชาในการประกอบกศุ ลกรรม ความคิดริเริม่ อย่างแรงกล้า ในการท่จี ะทาบุญบรจิ าคทาน รักษา
ศลี และเจริญภาวนา ย่อมไมเ่ กดิ มีในบคุ คลประเภทวิตกจรติ เป็นคนจบั จด ทาอะไรไมเ่ ปน็ ช้ินเปน็
อนั ชอบพลกุ พล่านไปทางโน้น ทางนี้เปลี่ยนงานเร่อื ยไปไมม่ ีท่ีสนิ้ สดุ เป็นคนเข้าลักษณะทเี่ รยี กว่า
กลางคืนเปน็ ควนั คอื ชอบคดิ วา่ ตนจะทาอย่างนน้ั อย่างน้ี คดิ หาวิธีการคดิ วางโครงการแบบสรา้ ง
วิมานในอากาศอย่างใหญโ่ ตมโหฬาร คลา้ ยกับวา่ ตนจะเป็นเจ้าโลกในความคิดฝัน เปน็ คนเข้า
ลกั ษณะท่เี รียกว่า กลางวันเปน็ โพลง คอื กลางคืนคดิ พลา่ นว่าจะทาโนน่ ทาน่ี พอตกมาถึงกลางวันก็
เร่มิ ทากิจท่ีตนคดิ ไวน้ ้ันอย่างอตุ ลุด ซงึ่ สง่ิ ท่ที านัน้ อาจจะประหลาดพิสดาร ไม่เหมอื นกบั ที่มนุษย์
ธรรมดาเขาทากันเรียกว่า“กลางวันเป็นโพลง”มุง่ หนา้ กระทาไปโดยมิไดค้ านงึ ถึงผลไดผ้ ลเสีย หรือ
ความผิดความถกู แตอ่ ย่างใด เปน็ คนเจา้ ความคดิ มักคดิ พลุ่งพลา่ นไปในเรอ่ื งอะไรตอ่ มิอะไรต่างๆ

มากมาย จติ ใจไมค่ อ่ ยมีโอกาสทีจ่ ะสงบนิ่งลงได้เลย บคุ คลผู้เปน็ สัทธาจริตยอ่ มเป็นผปู้ ระกอบไป
ดว้ ยกศุ ลธรรม ธรรมอันดซี ่ึงซอ่ นอยใู่ นดวงใจของเขา ดงั ต่อไปน้ี เปน็ คนยอมเสยี สละ ไมม่ ีความ
กังวลหว่ งใยในสง่ิ ท้ังปวง เปน็ คนมศี รัทธาอันแรงกล้า ปรารถนาท่จี ะได้พบเห็นพระอรยิ เจา้ ทั้งหลาย
อย่างยงิ่ ยวด เป็นคนมคี วามปรารถนาท่ีจะได้สดับตรบั ฟังพระธรรมเทศนาอนั มีเนือ้ ความเก่ียวเน่อื ง
กบั พระนพิ พาน ซงึ่ เป็นเรือ่ งท่โี นม้ นา้ วใจตนใหห้ ลุดพ้นจากกองทุกขใ์ นหว้ งวัฏฏสงสารเปน็ คนท่ี
มากไปดว้ ยความปรดี าปราโมทยเ์ ป็นอย่างยิ่ง ในเมอ่ื ไดม้ โี อกาสพบเห็นพระอริยเจ้าและไดส้ ดบั
ตรับฟงั พระสัทธรรม- เทศนาแล้ว เป็นคนไม่โออ้ วด ไมม่ นี ิสยั พูดพลอ่ ย พร่าแต่อวดคุณงามความดี
ของตวั เปน็ คนไมม่ ีเลห่ ์ ไม่มมี ายาเปน็ คนมีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย หรือในทา่ นผู้มีพระคุณ
เช่น มารดา บดิ า ครูบาอาจารยอ์ ย่างแทจ้ รงิ

๕.พทุ ธจิ รติ พฤติกรรมเป็นผู้มีพุทธจิ รติ ย่อมมคี วามเป็นไปตามความดคี วามเลวซ่งึ ซ่อนอยู่
ในส่วนลึกแห่งดวงใจของเขา เปน็ คนว่านอนสอนง่ายยอมรับฟังคาแนะนาสั่งสอนทมี่ ีประโยชน์
ดว้ ยดี เปน็ คนมีปญั ญา เลือกคบเอาแตค่ นดีเป็นเพ่ือน ไม่ปรารถนาท่จี ะคบคนพาลคนเลว หากวา่
เปน็ คนดีแล้วก็ยอมรบั เอาเปน็ มิตรของตนได้ในทนั ทโี ดยไม่มกี ารเลือกชน้ั วรรณะ เป็นคนมีปญั ญา
รู้จักประมาณในการบรโิ ภคไมม่ คี วามประมาท ไม่อยากเปน็ ใหญจ่ นเกิดทุกข์ภัยแก่ตวั เป็นคนระวัง
ตวั ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะในทุกสถานและทุกเวลา เป็นคนไม่มีความเกียจครา้ น หม่นั ประกอบ
ความเพยี ร มีจิตใจตน่ื อยเู่ ปน็ นิตยใ์ นกิจทด่ี งี าม มกั เกิดความสงั เวชใจ เกิดความเบือ่ หน่ายในกิริยาท่ี
ตนจะตอ้ งท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร เห็นทุกขโ์ ทษภัยในการทีต่ นจะตอ้ งประสบกบั ความเกดิ แก่
เจ็บ ตาย ไปโดยไมม่ ีวนั สน้ิ สุด ปรารถนาท่ีจะพ้นจากกองทุกขจ์ ึงหมั่นประกอบความเพียรโดย
เหมาะโดยควร คอื หมนั่ สร้างสมอบรมคณุ งามความดใี หเ้ กดิ มขี ึ้นกบั ตนโดยการให้ทาน รักษาศลี
และเจรญิ ภาวนา เพอื่ ให้ได้ประสบคติทีด่ ีงามในภพชาติเบือ้ งหน้าตอ่ ไปจนกวา่ จะเข้าถึงพระ
นพิ พานปราศจากทุกข์โดยประการทั้งปวง
๔.๖ ความเสมอกันในพฤติกรรมของมนุษย์ตามบคุ ลกิ คือ ราคจริต กบั สทั ธาจรติ

โทสจรติ กบั พุทธจิ ริต
โมหจริต กับ วติ กจรติ
ราคจรติ กบั สัทธาจริต ท่ีจัดว่ามคี วามเสมอภาคกันนัน้ คือ ราคะเป็นหวั หน้าในฝา่ ยอกุศลสทั ธาก็
เป็นหวั หนา้ เหมอื นกัน แต่เป็นหวั หน้าทางฝ่ายกศุ ล
ราคะย่อมแสวงหาในทางกามคณุ สัทธาก็แสวงหาเหมอื นกัน แตแ่ สวงหาบุญ คือ กุศลกรรม มที าน
ศลี ภาวนา เป็นต้น

ราคะตดิ ใจในส่งิ ที่ไร้สาระไร้ประโยชน์ฉันใด สัทธาก็เลอื่ มใสในส่ิงที่เป็นสาระเป็นประโยชนฉ์ ันนน้ั

โทสจริต กับ พทุ ธิจริต (หรือปญั ญาจรติ ) ที่จัดว่ามคี วามเสมอภาคกนั น้นั คอื โทสะมีการเบ่ือหนา่ ย
แต่เป็นการเบ่ือหน่ายในสงิ่ ทไ่ี ม่ชอบ ถ้าสิ่งใดยงั ชอบอยูก่ ็ไม่เบอื่ หนา่ ย สว่ นปัญญา มกี ารเบ่อื หน่าย
เหมอื นกัน คอื เบ่ือหน่ายในสังขารธรรมทง้ั ปวง ไมใ่ ช่วา่ เลือกเบื่อหน่ายบา้ ง ไมเ่ บือ่ หน่ายบ้าง
เหมือนอยา่ งโทสะ หรอื กล่าวอกี นยั หนงึ่ ว่า โทสจรติ เบอ่ื หน่ายด้วยอานาจแหง่ โมหะ ซ่งึ เป็นทางให้
ถงึ อบาย ส่วนพทุ ธิจริตนน้ั กเ็ บ่อื หนา่ ยเหมอื นกัน แต่ว่าเบื่อหน่ายดว้ ยอานาจแหง่ ปัญญาซง่ึ เปน็ ทาง
ให้ถงึ สวรรค์ ตลอดจนถงึ พระนิพพานก็ได้ นเี่ ป็นประการหนง่ึ
อีกประการหน่ึง โทสะเป็นธรรมที่เกิดเร็ว ดจุ ไฟไหม้ฟางลกุ โพลงขึน้ ในทันใด ฝ่ายปญั ญาก็เป็นธรรม
ท่ีเกิดเร็วเหมอื นโทสะ คือ เกิดสว่างจา้ รู้แจ้งข้นึ มาในทนั ใดน้ันเหมือนกัน

โมหจริต กบั วิตกจรติ ที่จัดว่ามีความเสมอภาคกนั นั้น คอื โมหะมอี าการสงสัย ลังเลใจอยู่ สว่ นวติ ก
กค็ ิดแล้วคิดอกี อันเป็นอาการท่ีคล้ายกับลงั เลไมแ่ นใ่ จเช่นเดยี วกัน
อีกประการหนง่ึ โมหะมีอาการฟ้งุ ซา่ นไปในอารมณ์ต่างๆ ส่วนวติ กก็คิดอยา่ งน้ี อยา่ งนัน้ หรอื อยา่ ง
โน้น อนั เป็นอาการคดิ พล่านไปเชน่ เดยี วกัน ดงั น้จี งึ ว่ามคี วามเสมอภาคกัน

บรรณานกุ รม

๑. จิราภา เต็งไตรรัตนแ์ ละคณะ. จติ วิทยาทวั่ ไป สานักพิมพม์ หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์
ครั้งที่ ๗ กรุงเทพมหานคร

๒.พจนนุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔

๓.สุชีพ ปุญญานุภาพ. พระไตรปิฎกฉบบั ประชาชน โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลยั ในพระ
บรมราชปู ถัมภ์ พมิ พค์ รงั้ ที่ ๑๗ กรุงเทพมหานคร : ๘๒๐ หน้า.

บทที่๕.การพัฒนาจริตให้เหมาะกบั กรรมฐาน

แนวคดิ สาคัญ

มนษุ ย์ทุกคนมีจริต แนวโนม้ ของพฤติกรรมทแ่ี สดงออกมาไม่เหมอื นตามบุคลกิ ของความ
อยากของมนุษย์แตล่ ะคนไมเ่ หมอื นกนั เพราะวตั ถกุ เิ ลสเป็นสิง่ เร้าทาใหเ้ กดิ ความอยากไมม่ ีวัน

ส้นิ สุด การพัฒนาจรติ ด้วยกรรมฐานทีเ่ หมาะสมกบั ตน ให้รูจ้ ักพอมนุษย์จะไมเ่ กิดความทกุ ข์ และมี
ความสขุ ได้

จดุ ประสงค์การเรียนรู้

จุดปลายทางการเรยี นรู้

มีความรู้มคี วามเข้าใจถึงพัฒนาการจริตด้วยกรรมฐานได้

จุดประสงคน์ าทาง

๑. อธิบายความหมายของการพฒั นาจรติ ๖ ในพระไตรปิฎกได้

๒. อธิบายความหมายของกรรมฐานในพระไตรปฎิ กได้

๓. อธิบายความหมายของการพัฒนาจริตดว้ ยกรรมฐานในพระไตรปิฎกได้

๔.สรปุ

๕.คาถามท้ายบท

๖. บรรณานกุ รม

บทนา

มนุษยเ์ ป็นสตั วท์ ่ีชอบรวมกนั เปน็ กลุ่มเปน็ ชมรมด้วยมีวตั ถปุ ระสงค์อยา่ งเดียวกัน ชอบแลก
เปลยื่ นความรซู้ ่ึงกนั และกนั เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันย่อมกาหนดหนา้ ท่ีของตนมีตอ่ สงั คมทาให้เกิด
ความแตกต่างของวิถีชีวิตของแต่ละคนในสังคมทกุ คนต้องการความสขุ ความสะดวกสบายในการ
ใชช้ ีวิต มหี น้าทกี่ ารงานทาที่ดี มีเงินเดือนสงู เป็นทยี่ อมรับของคนในสังคม แต่ความ
ทะเยอทะยานของมนษุ ยไ์ มม่ ีวันส้ินสดุ มีบ้านหลงั เดียวไม่พอ ตอ้ งมหี ลายหลัง มรี ถยนตค์ นั เดยี วไม่
พอ ต้องมหี ลายคัน เพ่ือแสดงฐานะทางสังคมของตนว่าดกี ว่าคนอ่นื อย่างไร นอกจากนห้ี นา้ ตาไมด่ ี
มิใช่ความบกพร่องของรา่ งกายแตอ่ ยา่ งใดก็ศลั ยกรรมใหต้ นเองดดู ีกวา่ หลายคร้ังเหมือนคนเสพตดิ
ศัลยกรรมจนกว่าตนจะพอใจในชวี ิต สง่ิ เหลา่ น้ีล้วนแตเ่ กิดความทะยานอยากไม่สิน้ สดุ ของมนุษย์
ท้งั ส้ิน การไมพ่ อใจในส่ิงตนมอี ย่เู ปน็ ความทุกขอ์ ยา่ งหน่ึงของชวี ิต มนุษย์จึงแสวงหาสิ่งทีด่ ีกว่า
ทง้ั สน้ิ การเหน็ สงิ่ เรา้ แต่ไมส่ นองความอยากของตนได้ ไมว่ า่ จิตของตนอยากครอบครองเปน็
เจา้ ของ, อยากเป็นบคุ คลฐานะตาแหน่งต่างๆ อยากมคี วามร่ารวยมีเงินทองมากเป็นเศรษฐี แตก่ ็

อยากมีมากกว่าคนอื่น ๆ เข้าอีก นอกจากนจี้ ริตของคนกแ็ สดงอัตตาตวั ท่ีเข้าถงึ ยากเพราะไม่รู้
อารมณ์มคี วามรู้สึกอย่างไร มคี วามเย่อยิ่งถอื ตัว เป็นคนทเ่ี ข้าถึงยากเกินไปจนขาดความเปน็
มนุษย์สมบรณู แ์ บบเพ่ือทีจ่ ะรบั มอื สงิ่ ตา่ งๆ ท่ถี าโถมเข้าโดยเฉพาะคาวพิ ากษ์วิจารณข์ องมนษุ ย์ด้วย
เองที่มโนภาพอารมณ์ทีต่ นผสั สะไปตา่ ง ๆ ไดจ้ งึ เป็นความทุกข์อยา่ งหนึ่งของชวี ติ มนุษย์ทุกคน
เพราะถูกปฏิเสขไมใ่ หอ้ ยู่ร่วมในสังคมนนั้

เพราะฉะนั้นการพัฒนาคนใหม้ ีศักยภาพที่ปรบั ตวั เองใหเ้ ขา้ กับสังคม เขา้ ใจความแตกต่าง
ระหวา่ งมนุษย์ดว้ ยเอง วธิ ีการพฒั นากเ็ ป็นเรื่องทสี่ าคญั ไมม่ ีสงิ่ ใดสมบรณู แ์ บบ วธิ ีพฒั นาศกั ยภาพ
คนเช่นเดียวกนั บางวธิ อี าจเหมาะสาหรับอกี คนหนง่ึ แต่กไ็ ม่เหมาะกับอกี คนหนงึ่ เช่นเดยี วกนั การ
พฒั นาจริตคนต้องใหเ้ หมาะกับกรรมฐานจงึ เป็นเรอ่ื งท่ีสาคัญเช่นกนั ซึง่ เราจะได้ศกึ ษาใน
รายละเอียดต่อไป

๑.อธบิ ายความหมายของการพฒั นาจริต ๖ ในพระไตรปฎิ กได้

มนุษยโ์ ลกจานวนหลายพันล้านคน แต่ละคนมีบุคลกิ อุปนสิ ัยไมเ่ หมอื นกันมคี วามแตกตา่ ง
กันในความสนใจและความอยากของแตล่ ะคน มนษุ ย์จงึ มีกจิ กรรมต่าง ๆ เกิดขน้ึ มากมายสนอง
ความตอ้ งการของตนและดาเนนิ การอยู่ตลอดเวลา มนษุ ยม์ คี ุณสมบตั พิ ิเศษเพราะมสี ว่ นประกอบ
ของรา่ งกายทเี่ รียกวา่ อนิ ทรีย์๖ เป็นประสาทรับรู้อารมณ์เร่อื งราวของปรากฏการณข์ องโลกและ
พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ แตล่ ะคนมีพฤติกรรมทส่ี ังเกตเหน็ ไดแ้ ละเหน็ ไมไ่ ด้หลายอย่างพร้อมกันใน
เวลาเดียวกนั เป็นขบวนการทางสรีระของมนษุ ยท์ ่ีมคี วามซบั ซ้อนและเข้าใจยากเพราะเจตนาของ
มนษุ ย์เป็นความรสู้ ึกทีอ่ ยู่ภายในจิตของมนษุ ย์ท่แี ท้จรงิ ไม่ได้แสดงออกมา บางคร้งั ไมไ่ ด้แสดง
ความรูส้ ึกทแี่ ทจ้ รงิ ออกมาวา่ คิดอะไร ตนต้องการอะไรให้คนอ่นื รับทราบ เราจงึ รู้ไม่ได้ว่าเขา
ตอ้ งการอะไร แตก่ ไ็ ม่ใชป่ ัญหาท่ีเราจะไมเ่ ข้าใจคน บางครง้ั ก็ยึดเอาผลของการกระทาทเี่ ด่นชัด
เปน็ เครือ่ งชเี้ จตนาของผ้กู ระทากไ็ ด้ ตวั อย่าง นาย ก. เดนิ ไปตามท้องถนนมีจุดประสงค์ความ
ต้องการทางจติ ของตนไปไหน ไปทาอะไรไม่มใี ครร้ไู ด้ แตเ่ ราเอาผลของจดุ หมายปลายมาเป็นแสดง
เจตนากไ็ ด้ เป็นต้น

๒. อธิบายความหมายของกรรมฐานในพระไตรปฎิ กได้

ตามพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้คานิยามว่า กรรมฐานหมายถึง
ทต่ี ั้งแห่งการงานหมายเอาอบุ ายทางใจ มี ๒ ประการคอื สมถกรรมฐาน เป็นอุบายให้ใจสงบ และ
วิปัสสนากรรมฐาน เป็นอุบายเรอื งปัญญา.25

คาว่ากรรมฐาน มาจากคาสองคาคือ กรรมและฐาน ประกอบไปดว้ ยคาวา่ "กรรม" บวกกับ
คาว่า "ฐาน" ซึง่ แปลได้ว่า "ฐานท่ตี ้งั แหง่ การงานทางจติ " กล่าวคอื เมอ่ื จติ อาศัยร่างกายส่วนที่
เรียกว่า “อินทรีย์ ๖ รับรูเ้ ร่ืองราวของชีวิตมนุษย์ แล้วจิตนอ้ มรบั เรอื่ งราวเหล่าน้ันมาไวใ้ นจติ แต่
อารมณ์ของเร่อื งราวเหล่านน้ั มใิ ชจ่ ติ รา่ งกายจงึ เป็นฐานทตี่ งั้ แหง่ การงานทางจิต เพราะกาย วาจา
ของเรานนั้ มกี ารเคลอื่ นไหวออไปกระทาการใดๆ ในเรอื่ งราวทดี่ ที ช่ี ั่ว ตามคิดของการบังคบั บัญชา
ของจติ ทมี่ ีความอยากตลอดเวลา หรอื ตกอยใู่ นอานาจของจติ ใจทค่ี รอบครองกายกรรม วจกี รรม
นี้อยู่ กรรมฐานจงึ เป็นเรือ่ งของจติ ใจลว้ นๆ ที่ทาให้เป็นไปทาให้เกดิ ขน้ึ มขี ้ึน นนั่ เองเมอื่ มนษุ ยม์ ี
แนวโน้มความชอบของจริตไมเ่ หมอื นกนั เพราะความคิดไม่เหมอื นกนั จงึ อยากทากจิ กรรม อยาก
กนิ อยากนอน มีความเป็นส่วนตวั สงู ไม่เหมอื นกนั รวม ๆ เรียกว่ามนุษยท์ กุ คนมวี ถิ ีชีวิตท่ีแตกตา่ ง
กัน ไม่เหมอื นกนั แต่เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคมจึงจาเป็นพัฒนาศักยภาพของจิตและกายของ
มนษุ ย์ใหม้ ีความเขม็ แข็งพรอ้ มทจี่ ะอดทนต่อผัสสะของอารมณ์ในเรื่องราวตา่ งๆ ทต่ี ้องเผชญิ หนา้
ตลอดเวลา.....แต่มนุษยม์ ีความเข้มแขง็ อดทนไม่เทา่ กัน เพราะส่งั สมความรูข้ องการพฒั นา
ศักยภาพไมเ่ ทา่ กัน จึงมวี ธิ ีพัฒนาศักยภาพในรูปแบบและวธิ กี ารที่ไม่เหมือนกัน ดงั นี้

๓. อธบิ ายความหมายของการพฒั นาจรติ ด้วยกรรมฐานในพระไตรปฎิ กได้

กรรมฐานทง้ั ๔๐ แบบ ท่านแสดงไว้ใหเ้ หมาะสมกบั จรติ อธั ยาศัยของมนษุ ย์แต่ละคน เมือ่ ใด
อารมณ์จิตข้องอยใู่ นอารมณใ์ ดอารมณ์หน่งึ ใหเ้ ลอื กสรรกมั มัฏฐานท่เี หมาะสมมาหักล้างอารมณ์น้นั
ๆ เพอ่ื ใจจะได้หยดุ นง่ิ ไดง้ า่ ย กมั มัฏฐานทงั้ ๔๐ แบบ ทีท่ า่ นแยกไวเ้ ป็นหมวดหมู่ มีดงั น้ี อสภุ
กัมมัฏฐาน ๑๐ อนุสติ๑๐ กสณิ ๑๐ อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา๑ จตุธาตุววัตถาน๑ พรหมวหิ าร๔ อรูป
๔ รวมเป็น๔๐ แบบ กมั มัฏฐานทัง้ ๔๐ แบบ ท่านจาแนกแยกเป็นหมวดไว้ เพ่ือใหเ้ หมาะสมกับจรติ
น้นั ๆ มดี งั นี้

๑.ราคจรติ กล่าวคือบุคคลทีร่ าคะจรติ จะมวั เมาในรปู ร่างของหน้าตาของตนเองทค่ี ิดวา่ สวยงาม ไม่
สนใจคนอน่ื เอาตนเอง ไม่สนใจความเปล่ยื นแปลงเกดิ ข้ึนตามหลกั ของกฎไตรลักษณท์ าใหเ้ ป็นมี

25 พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน http://www.royin.go.th/dictionary/กรรมฐาน

อตั ตา เย่อย่ิงและเข้าถงึ ยากไมร่ อู้ ารมณ์ นกึ จะดกี ด็ นี ึกจะรา้ ยก็ร้ายทาใหต้ ามอารมณ์ไม่ทนั ท่านจัด
กัมมัฏฐานท่ีเหมาะสมไว้ ๑๑ อย่างคือ อสภุ กมั มัฏฐาน๑๐ กบั กายคตาสตกิ ัมมัฏฐาน ๑

ก. อสุภกัมมฏั ฐาน๑๐คอื การพิจารณาซากศพในลกั ษณะต่างๆ กัน รวม๑๐ ลกั ษณะ เรม่ิ
ตั้งแต่ ศพท่ีขนึ้ อืด ศพทม่ี สี ีเขยี วคลา้ ศพทมี่ นี ้าเหลืองไหล ศพทีฉ่ กี ขาดจากกนั เปน็ สองท่อน ศพท่ี
ถูกสัตวท์ งึ้ ศพที่อวยั วะกระจดั กระจาย ศพทถี่ ูกสับฟนั ด้วยอาวธุ ศพทมี่ ีเลือดไหล ศพที่มีหนอน
คลาคล่า ศพท่ีเหลือแต่กระดกู

ข. กายคตาสติกมั มัฏฐาน คือ การกาหนดพิจารณากายน้ี ใหเ้ หน็ ว่าประกอบดว้ ยส่วนต่างๆ
คือ อาการ ๓๒ มี ผม ขน เลบ็ ฟัน หนงั เนอื้ เอน็ กระดูก เยอื่ ในกระดกู มา้ ม หัวใจ ตบั พังผืด ไต
ปอด ไสใ้ หญ่ ไสน้ อ้ ย อาหารใหม่ อาหารเก่า มันสมอง นา้ ดี เสลด นา้ เหลือง เลือด เหงอ่ื น้ามนั ข้น
นา้ ตา นา้ มันเหลว น้าลาย น้ามกู นา้ มันไขขอ้ น้าปัสสาวะ วา่ ไมส่ ะอาด ไม่งาม นา่ เกลียด อนั ทาให้
รเู้ ท่าทันสภาพของกายน้ี ไมใ่ หห้ ลงใหลมัวเมา

๒.โทสจรติ คนใจร้อน ชอบให้คนอ่นื ทาตามใจตน เมือ่ คนไหนสนองอารมณ์ตนเองไมไ่ ด้ มักแสดง
อารมณ์โกรธออกมาทางสีหนา้ สีตาของตน หรอื ในขณะน้นั มอี ารมณโ์ กรธขัดเคืองเกิดข้นึ อนั เป็น
อุปสรรคตอ่ การเจรญิ ภาวนา ทา่ นใหใ้ ช้กมั มฏั ฐาน ๘ อย่าง คอื พรหมวิหาร ๔ และวรรณกสิณ๔
เพ่อื ระงบั ดบั อารมณ์โทสะจรติ จะเลอื กอยา่ งใดอย่างหนงึ่ ขน้ึ อยกู่ ับความพึงพอใจของแตล่ ะคน
อารมณ์โทสะกจ็ ะคอ่ ยๆ คลายตัวระงับไปจนกระท่ังใจหยดุ นิ่งในท่สี ดุ

ก. พรหมวิหาร๔ คอื ธรรมทแี่ ผ่ออกไปในมนษุ ย์และสรรพสัตวท์ ง้ั หลายอย่างเสมอกนั ไมม่ ี
ประมาณ ไมจ่ ากดั ขอบเขต ประกอบด้วย ๑.เมตตา ความรกั ใคร่ปรารถนาให้เป็นสุข ๒.กรณุ า ความ
ปรารถนาใหส้ ตั ว์ทีต่ กยากมีทุกขใ์ ห้พน้ ทุกข์ ๓.มุทิตา ความยินดีในเมอ่ื ผู้อืน่ ได้ดมี สี ุข ๔.อุเบกขา
ความเปน็ กลางตอ่ สขุ ทกุ ข์ของมนษุ ยแ์ ละสัตว์ทั้งหลาย

ข. วรรณกสิน๔ อนั ประกอบด้วย นลี กสิณ (สีเขยี ว) ปติ กสิณ (สเี หลือง) โลหติ กสณิ (สแี ดง)
โอทากสิณ (สีขาว)
๓.โมหจริตและวิตกจรติ

เปน็ ลักษณะของผู้ทีม่ อี ารมณต์ กอยู่ในอานาจความหลงและครุ่นคิดตัดสนิ ใจอะไรไม่
เดด็ ขาด ทา่ นให้เจรญิ อานาปานสตอิ ย่างเดียว อานาปานสติ คอื การเอาสตกิ าหนดลมหายใจเข้า
ออกเป็นอารมณเ์ พราะอาการโทสะจริตและวิตกจรติ ทาใหจ้ ติ และกายเกิดเครียด วธิ ีผอ่ นคลายดี
ท่ีสุดคือ การเจริญอาณาปานสติ

๔.สทั ธาจรติ ผู้ทมี่ คี วามประพฤตติ ้งั อย่บู นความเช่ือท่านให้เจรญิ กัมมฏั ฐาน ๖ อย่าง ทีเ่ รยี กวา่
อนสุ ติ (อารมณด์ งี ามทคี่ วรระลกึ ถึงเนืองๆ ) มีพุทธานสุ ติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สลี านสุ ติ จาคานุ
สติ เทวตานุสติ

ก. พุทธานุสติระลึกถึงพระพุทธเจ้าและพิจารณาคุณของพระองค์เป็นอารมณ์
ข. ธัมมานุสติ ระลกึ ถึงพระธรรมและพจิ ารณาคุณของพระธรรมเปน็ อารมณ์
ค. สังฆานุสติ ระลึกถึงพระสงฆแ์ ละพจิ ารณาคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์
ง. สลี านุสติ ระลึกพจิ ารณาศลี ของตนทไี่ ดป้ ระพฤติไม่ดา่ งพร้อย
จ. จาคานุสติ ระลกึ ถงึ ทานที่ตนไดบ้ ริจาค พจิ ารณาคุณธรรมคอื ความเผื่อแผเ่ สียสละทม่ี ีใน
ตนเปน็ อารมณ์
ฉ.เทวตานุสติ ระลึกถึงเทวดา คือพิจารณาถึงคุณธรรมของตนเปรียบเทียบกับคุณธรรมของ
เทวดาทัง้ หลายเปน็ ตวั อยา่ ง
๕.พุทธิจรติ
คนมีปญั ญาเฉลยี วฉลาด คิดอะไรเปน็ เหตุเปน็ ผล และมปี ฏภิ านไหวพริบดี ทา่ นให้เจริญ
กัมมฏั ฐาน ๔ อย่าง คือ มรณานุสติ อุปสมานสุ ติ อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา จตธุ าตุววัตถาน
ก.มรณานุสติ คือ การระลึกถึงความตาย ความแตกดบั ของสงั ขารเปน็ อารมณ์
ข.อุปสมานุสติ คอื การระลกึ ถึงธรรมเปน็ ทสี่ งบคอื พระนพิ พาน พิจารณาคุณของพระ
นิพพานอันเป็นทห่ี ายรอ้ น ดบั กิเลส ปราศจากทกุ ข์ เป็นอารมณ์
ค.อาหาเรปฏิกลู สัญญา การพิจารณาความเป็นปฏกิ ลู ของอาหาร
ง.จตธุ าตุววตั ถาน การพจิ ารณาธาตทุ ั้ง ๔ ทป่ี รากฏในร่างกาย จนกระท่งั เห็นเปน็ แต่เพยี ง
กองธาตุ โดยปราศจากความจาว่าเปน็ ชาย หญิง สัตว์ บคุ คล เรา เขา กมั มัฏฐานท่ีเหมาะกบั จรติ
ทงั้ ๖ จัดเปน็ หมวดไว๕้ หมวด รวมกมั มัฏฐานที่เหมาะสมกบั จริต โดยเฉพาะจรติ นนั้ ๆ รวมได้๓๐
อย่าง หรือ๓๐ กอง กัมมัฏฐานท้ังหมดมี๔๐ กอง ที่เหลอื อีก๑๐ กอง เป็นกัมมัฏฐานกลาง คอื
กัมมัฏฐานท่เี หมาะสมกบั ทุกจริต
กัมมฏั ฐานที่เหมาะสมกับทกุ จรติ เปน็ กัมมัฏฐานที่เป็นกลางๆ ไม่ว่าบุคคลน้นั จะหนกั ไป
ทางจริตประเภทไหนก็สามารถเลอื กสรรมาปฏิบัติไดอ้ ยา่ งเหมาะสมประกอบดว้ ย อรูปกัมมฏั ฐาน
๔ ภตู กสณิ ๔ อาโลกสิณ ๑ อากาสกสิณ ๑ รวมเป็น๑๐ อย่าง

ก.อรปู กัมมัฏฐาน ๔ คือ การเอาอารมณท์ ่ไี ม่มรี ปู มาเปน็ ทต่ี ง้ั แห่งการทางานของใจ
ประกอบด้วย

๑.อากาสานญั จายตนะ กาหนดช่องวา่ งอนั หาท่สี ดุ มิได้ซง่ึ เกดิ จากการเพกิ ถอน กสินออกไป
เป็นอารมณ์

๔. สรปุ

การพัฒนาจริตของมนุษย์ เปน็ เร่อื งท่สี าคัญมนษุ ยจ์ ะสนใจเพยี งแตเ่ รือ่ งของตนเอง ทาให้
กลายเปน็ คนมโี ลกสว่ นตวั สูงเกนิ ไป จนไม่สนใจคนท่ีอืน่ ทีอ่ ย่ใู นสงั คมดว้ ยกัน ทาให้ขาดเพอ่ื นไม่
อาจอยู่รว่ มกับคนอืน่ ได้ ไม่อาจจะประสบความสาเร็จในชีวติ ได้ ศกึ ษามนษุ ย์เป็นเร่อื งท่ีสาคญั ใน
การทจ่ี ะใชค้ นทางานให้มีประสิทธภิ าพและเหมาะสมกบั งาน ต้องอาศัยการศึกษาของคน ๆ นนั้
เปน็ เรอ่ื งสาคัญมาก

คาถาม

๑. จงอธิบายกรรมฐานท่ีเหมาะสมใชพ้ ฒั นาคนท่ีมีราคะจริตลดความเครง่ เครยี ดอันเป็นความ
ทกุ ขข์ องชวี ิตได้ ?

๒. ราคจรติ คืออะไร ? มหี ลกั วเิ คราะหอ์ ย่างไร ? จงอธิบายให้เขา้ ใจ ?
บรรณนานุกรม

๑. จิราภา เต็งไตรรัตนแ์ ละคณะ. จติ วทิ ยาทว่ั ไป สานักพิมพม์ หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์
ครงั้ ท่ี ๗ กรุงเทพมหานคร

๒. พจนนุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔

๓.สชุ ีพ ปญุ ญานุภาพ. พระไตรปฎิ กฉบบั ประชาชน โรงพิมพ์มหามกฎุ ราชวิทยาลัยในพระ
บรมราชูปถมั ภ์ พมิ พค์ ร้ังที่ ๑๗ กรุงเทพมหานคร : ๘๒๐ หน้า.


Click to View FlipBook Version