The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัย ชุดเเบบฝึกทักษะ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Arnas Thingphom, 2023-01-25 01:41:08

วิจัย ชุดเเบบฝึกทักษะ

วิจัย ชุดเเบบฝึกทักษะ

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริม ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 4 (ธนวิถี) โดย นายอานัส ทิ้งผอม รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565


ชื่อวิจัย การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ โดยใช้ชุดแบบฝึกหัดเสริม ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 4 (ธนวิถี) ผู้วิจัย นายอานัส ทิ้งผอม สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะกรรมการที่ปรึกษา …………………………………………………………….กรรมการ (อาจารย์ดร.ปัทมา พิศภักดิ์) (อาจารย์นิเทศก์ประจ าหลักสูตร) …………………………………………………………….กรรมการ (นายจักรพงศ์ กูรพิศไตรย์) (ครูพี่เลี้ยง) รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565


ก ชื่อวิจัย การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ โดยใช้ชุดแบบฝึกหัดเสริมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 4 (ธนวิถี) ผู้วิจัย นายอานัส ทิ้งผอม สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของชุดแบบฝึกเสริมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานที่ระดับ 80/80 2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียน โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดล้อม ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเทศบาล 4 (ธนวิถี) จังหวัดยะลา จ านวน 1 ห้องเรียน นักเรียนทั้งหมด 34 คน ซึ่งได้มาวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม และแบบประเมินความพึงพอใจต่อชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยได้ใช้การทดลองแบบ one group pretest-posttest design สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล คือ t-test for dependent simples ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดแบบฝึกเสริมทักษะสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดล้อม ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์คือ มีค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 84.47/81.47 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 หลังจากที่เรียนด้วยชุดแบบฝึกเสริมทักษกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดแบบฝึกเสริม ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.37, S.D. = 0.74) ค าส าคัญ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์, ชุดแบบฝึกเสริมทักษะ


ข Title science achievement study by using an additional set of exercisesScience process skills on living things and the environment of grade 5, Municipality 4 School (Thonwithi) Author Mr.Arnas Thingphom Degree General science education. Academic Year 2022 Abstract The objectives of this study were 1) to study the efficacy of a set of exercises to enhance skills in science processes on living organisms and the environment. According to the standard at level 80/80 2) To compare the achievement of science learning about living things and the environment. Between before and after school 3 ) To study the satisfaction of learning management by using the science process skillenhancing exercises on the subject of living organisms and the environment. In the development of science learning achievement, the sample group used in the research were Prathomsuksa 5/ 1 students in the first semester of the academic year 2022 at Municipal 4School (Thonwithi), Yala Province, totaling 34students. Purposive Sampling The tools used in the study were a set of exercises to enhance skills in the scientific process on living organisms and the environment. Science achievement test on living things and the environment and the satisfaction assessment form for the science process skill training set. The researcher used a one group pretest-posttest design. The statistic used to analyze the data was t-test for dependent simples. The results of the research were as follows: 1 ) A set of exercises to enhance science learning skills on living things and the environment. Grade 5 / 1 effective according to the criteria are The efficiency value was 84 . 47/81 . 47 . 2) The learning achievement of science subject matter on life and environment. Grade 5/ 1 after studying with a set of exercises to enhance the skillsof science 3) The students' overall satisfaction with the science process skills training set was at a high level (mean = 4.37, S.D. = 0.74). Keywords: achievement, scientific process skills, A set of exercises to enhance skills


ค กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้ส าเร็จลุล่วงได้ด้วยดีเนื่องจากได้รับความกรุณาอย่างสูงจาก อาจารย์ดร.ปัทมา พิศภักดิ์อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ที่กรุณาให้ค าแนะน า ค าปรึกษา ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่องต่างๆ ด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง ผู้วิจัยตระหนักถึงความตั้งใจจริงและความทุ่มเทของ อาจารย์และขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบคุณ โรงเรียนเทศบาล ๔ (ธนวิถี) จังหวัดยะลา ที่ได้ให้ความร่วมมือในการวิจัยในครั้งนี้ และขอขอบคุณคณะครูและนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๔ ที่ให้ความร่วมมือ อนึ่งผู้วิจัยหวังว่างานวิจัย ฉบับนี้จะมีประโยชน์อยู่ไม่น้อยจึงขอมอบส่วนดีทั้งหมดที่มีให้แก่อาจารย์ทุกท่านที่ได้ให้ความรู้ท า ให้ผลงานวิจัยเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ขอขอบคุณ นายจักรพงศ์ กูรพิศไตรย์ครูประจ ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ผู้ทรงคุณวุฒิที่กรุณาให้ค าแนะน า และความอนุเคราะห์ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการท าวิจัย อนี่ง ผู้วิจัยหวังว่า งานวิจัยฉบับนี้จะมีประโยชน์และคุณค่า และขอขอบคุณทุกท่านที่ เกี่ยวข้อง ส่งเสริมให้ผู้วิจัยได้มีโอกาสได้ศึกษา ท าให้ผู้วิจัยได้มีโอกาสท างานวิจัยฉบับนี้ส าเร็จลุล่วงไป ด้วยดี ส าหรับขอบกพร่องต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น ผู้วิจัยขอน้อมรับ และยินดีที่จะรับฟังค าแนะน า จากทุกท่านที่เข้ามาศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนางานวิจัยต่อไป ชื่อผู้ท าวิจัย นายอานัส ทิ้งผอม กันยายน 2565


ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ข กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง สารบัญตาราง ฉ สารบัญรูปภาพ ช บทที่ 1 บทน า 1 1. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา 1 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 3. ขอบเขตของการวิจัย 2 4. ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 3 5. นิยามศัพท์เฉพาะ 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5 1. แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 5 2. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 24 3. กรอบแนวคิดการวิจัย 30 4. สมมติฐานการวิจัย 30 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย 31 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 31 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 31 3. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 32 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 33 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 35 6. สถิติทีใช้ในการวิจัย 35 บทที่ 4 ผลการวิจัย 39


จ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 5 สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ 45 1. สรุปผลการวิจัย 45 2. อภิปรายผลการวิจัย 46 3. ข้อเสนอแนะ 47 บรรณานุกรม 49 ภาคผนวก 53 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 54 ภาคผนวก ข รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ 72 ภาคผนวก ค คุณภาพของเครื่องมือวิจัย 74 ภาคผนวก ง ภาพแสดงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 85 ประวัติผู้วิจัย 89


ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 4.1 แสดงจ านวนและร้อยละของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 จ าแนกตามเพศ 40 4.2 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละของคะแนนการท าชุดแบบฝึก เสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม 40 4.3 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม 41 4.4 ประสิทธิภาพของชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม 41 4.5 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระ วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ชุด แบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 42 4.6 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดล้อมก่อนและหลังเรียน โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ 42 4.7 การวิเคราะห์หาค่าระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดแบบฝึกเสริม ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม 43


ช สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 3.1 กรอบแนวคิดการวิจัย 30


1 บทที่ 1 บทน า 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง มีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยนสังคม เข้ามามีอิทธิผลต่อ ระบบการศึกษาไทย มีการพัฒนาระบบการเรียนการสอนให้เท่าทันเทคโนโลยี และน าเทคโนโลยีมา ประยุกต์พัฒนาระบบการเรียนการสอนในสาขาวิชาต่างๆ ซึ่งมีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเรียนรู้ของ นักเรียนที่มีผลการเรียนรู้ตามสภาพจริงจากเนื้อหาสาระรายวิชานั้นๆ โดยมีธรรมชาติรายวิชาที่ แตกต่างกันออกไปครูจ าเป็นต้องหากระบวนการ และวิธีการต่างๆที่หลากหลาย ในการจัดการเรียน การสอนที่เน้นให้นักเรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ครูต้องค านึงถึงพัฒนาการทางด้าน ร่างกายและสติปัญญา วิธีการเรียนรู้ความสนใจ และความสามารถของนักเรียนเป็นระยะอย่าง ต่อเนื่อง การจัดการเรียนรู้ในแต่ละชั้นควรใช้รูปแบบ วิธีการที่หลากหลาย เน้นการจัดการเรียนการ สอนตามสภาพจริง การเรียนรู้ด้วยตนเองการเรียนร่วมกัน การเรียนรู้จากธรรมชาติ การเรียนรู้จาก การปฏิบัติจริงและการเรียนรู้แบบบูรณาการ (ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2552) การพัฒนาการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้เกิดทักษะกระบวนการและเจตคติ ทาง วิทยาศาสตร์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นสามารถท าได้โดยจัดให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมใน กิจกรรมมากที่สุด และได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองครูจึงเป็นที่ผู้ที่มีบทบาทส าคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริม การเรียนรู้ และจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนานักเรียนให้เกิดการเรียนรู้มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และมีความสุขในการเรียนวิทยาศาสตร์ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่หลักสูตรก าหนด ชุดแบบฝึกทักษะการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นวิธีหนึ่งที่เหมาะสมที่จะช่วยให้นักเรียนได้ฝึกฝน ทักษะการคิด เป็นสื่อช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองมีการจัดการเรียนรู้ไว้อย่างเป็นระบบ มีข้อชวนคิดและค าถามท้ายกิจกรรมให้นักเรียนฝึกคิดแล้วตอบ โดยมีการตรวจค าตอบให้ทราบผล ทันทีเป็นการช่วยส่งเสริมให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อตนเอง เรียนรู้อย่างอิสระ เร้าความสนใจไม่ ก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย ส่งเสริมให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดกระบวนการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน (อรทัย น้อยญาโณ, 2561) จากความส าคัญที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะใช้ชุดแบบฝึกหัดเสริมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ทันสมัยสามารถพัฒนาทักษะกระบวนการทาง


2 วิทยาศาสตร์รวมทั้ง เพื่อให้นักเรียนสนใจเนื้อหาที่เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจและมีทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ดีขึ้น มีความตื่นตัวในการเรียน อีกทั้งยังเป็นสื่อการสอนที่ช่วยพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตลอดจนเพิ่มความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ต่อผู้เรียน 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานที่ระดับ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1.3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 4 (ธนวิถี) จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 5 ห้อง รวม 165 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 4 (ธนวิถี) จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 1 ห้อง รวม 34 คนใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) 1.3.2 เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยนี้ เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. การปรับโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต 2. ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม 3. ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิตในสิ่งแวดล้อม 4. โซ่อาหาร 5. ความส าคัญของสิ่งแวดล้อม


3 1.3.3 ตัวแปรที่ศึกษา 1) ตัวแปรต้น คือ ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและประสิทธิภาพทางการเรียนและ ความพึงพอใจต่อชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1.3.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 19 ชั่วโมง 1.4 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. นักเรียนสามารถน าความรู้ที่ได้รับจากการใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะไปใช้ในการเรียนและ ใช้ชีวิตประจ าวันได้ 2. เป็นแนวทางส าหรับครูในการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเรียนการ สอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 3. ได้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะที่มีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ให้มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. วิทยาศาสตร์หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ และกระบวนการการค้นคว้า ความรู้ อย่างเป็นระบบ และมีขั้นตอน 2. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์หมายถึง วิธีการและขั้นตอนที่ใช้ด าเนินการค้นคว้าหา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ วิธีการทาง วิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์ 3. ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ชุดแบบฝึกเสริมทักษะ กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนในการพัฒนา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยการน าเอาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาฝึกควบคู่ กับไปกับการเรียนใน เนื้อหา เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม


4 4. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทักษะทางสติปัญญา หรือทักษะที่ นักวิทยาศาสตร์ และผู้ที่น าวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา ใช้ในการศึกษาค้นคว้า สืบเสาะแสวงหา ความรู้และ แก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย ทักษะการสังเกต และทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล 5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่นักเรียนได้จากการท าแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นแบบทตสอบที่ผู้ศึกษาคันคว้าได้สร้างขึ้นมา เพื่อใช้วัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยครอบคลุมเนื้อหาด้านความรู้ ความจ า ด้านความเข้าใจ และ ด้านการน าไปใช้


5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ โดยใช้ชุดแบบฝึกหัด เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดล้อม ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 4 (ธนวิถี) ผู้วิจัยได้ศึกษา ค้นคว้า เอกสารที่งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและแนวทางในการด าเนินการวิจัย ดังนี้ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3. กรอบแนวคิดการวิจัย 4. สมมติฐานการวิจัย 1) เอกสารที่เกี่ยวข้อง 1.1 ความหมายของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ มาจากค าศัพท์ภาษาอังกฤษ “science” ซึ่งมาจากภาษาลาติน “sientia” แปลว่า “ความรู้ทั่วไป” (knowledge) ซึ่งมีความหมายกว้างขวางมากส าหรับค าว่า “วิทยาศาสตร์” ได้ มีผู้ให้ค าจ ากัดความไว้หลายๆ ทรรศนะ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ที่ได้จากการสังเกต และค้นคว้าจากการประจักษ์ทางธรรมชาติ แล้วน ามาจัดให้เป็นระเบียบ หรือวิชาที่ค้นคว้าได้จากหลักฐานและเหตุผล และจัดเข้าเป็นระเบียบ (สุภา ยธิกุล และอรวรรณ ทิพย์มณี, (บก.), ม.ป.ป.) วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ และกระบวนการค้นคว้าความรู้ อย่างมีขั้นตอน มีระเบียบแบบแผน หรือหมายถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ได้สะสมไว้อย่างเป็นระบบ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือค้นหาความรู้ (พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และคณะ, 2553) วิทยาศาสตร์ หมายถึง วิธีที่สืบค้นหาความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติที่ได้สะสมและรวบรวมไว้ อย่าง มีระเบียบแบบแผน โดยใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ และเจต คติทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้วิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป (บัญญัติ ช านาญกิจ, 2552)


6 จากความหมายของวิทยาศาสตร์ดังกล่าวพอสรุปได้ว่า เป็นความรู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ โดยผ่านวิธีการสืบค้น หาความจริงและรวบรวมไว้อย่างมีระเบียบ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ วิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป 1.2 วิธีการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการที่มีระเบียบแบบแผน น าไปใช้ในการค้นคว้าความรู้ใหม่ หรือ เช้ในการทดสอบความถูกต้องของความรู้เดิม ตลอดจนน าไปใช้ในการแก้ปัญหาให้ส าเร็จซึ่ง วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนใหญ่ๆ ดังนี้ 1. การสังเกตและการตั้งปัญหา (Observation and Problem) 2. การตั้งสมมติฐาน (Formulation of Hypothesis) 3. การทดสอบสมมติฐาน (Test Hypothesis) 4. การรวบรวมข้อมูล (Gather Evidence) 5. การสรุปผล (Conclusion of Result) (สุภา ยธิกุล และอรวรรณ ทิพย์มณี, (บก.), ม.ป.ป.) 1.3 ประโยชน์ของวิทยาศาสตร์ สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2552) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ สรุปได้ดังนี้ 1. ท าให้นักเรียนได้ฝึกทักษะจากแบบฝึกหัดที่ครูสร้างขึ้น ซึ่งตรงกับเนื้อหาที่ครูท าการสอน 2. นักเรียนสามารถน าความรู้ที่ได้จากการเรียนการสอนมาทดสอบการเรียนรู้ของตนเองว่า เกิด จากการเรียนรู้ 3. ใช้ส าหรับประเมินผลการสอบเป็นรายบุคล หลังจากได้ร่มกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว โดยผลงานจากแบบฝึกหัดที่ท ามาส่งครูท าให้ทราบว่านักเรียนเข้าใจมากน้อยเพียงใด 4. ใช้แบบฝึกหัดส าหรับทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้ว พรพรหม อัตตวัฒนากุล (2554) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกทักษะเป็น เครื่องมือจ าเป็นต่อการฝึกทักษะพัฒนาความสามารถของนักเรียนและการฝึกแต่ละทักษะนั้นควรมี หลาย แบบเพื่อนักเรียนจะได้ไม่เบื่อ และนอกจากนี้แบบฝึกทักษะยังมีประโยชน์ส าหรับครูในการสอน ท าให้ ทราบพัฒนาการทางทักษะนั้นๆ ของเด็กและเห็นข้อบกพร่องในการเรียน เพื่อจะได้แก้ไข ปรับปรุงได้ ทันท่วงที ช่วยท าให้นักเรียนประสบผลส าเร็จในการเรียนได้ดี 1.4 ความหมายของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process Skill) ถ้าแยกค านี้ ก็จะได้ว่า ทักษะ กับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยค าว่า “ทักษะ” ตรงกับค าในภาษาอังกฤษว่า “skill” ซึ่งแปลว่า


7 ความช านาญ ความเคยชิน และค าว่า กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แปลว่า วิธีการ หรือกิจกรรมที่ นักวิทยาศาสตร์น ามาใช้ในการเสาะแสวงหาความรู้ หรือแก้ปัญหา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการเลือกใช้ และการใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งจนเกิดความคล่องแคล่ว และความช านาญ (แรมสมร อยู่สถาพร, 2552) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หมายถึง ความช านาญในการใช้ความคิดในการสังเกต การค านวณ การจัดกระท าข้อมูล การสื่อความหมาย การออกแบการทดลอง ตลอดจนการสรุปผลการ ทดลอง เป็นต้น (พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และคณะ, 2553) 1.5 ประเภทของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วรรณทิพา รอดแรงค้า และพิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2554) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แบ่งออกได้ 13 ทักษะ โดยยึดตามแนวของสมาคมเพื่อความพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ (The America Association for the Advancement of Science: AAAS) บัญญัติ ช านาญกิจ (2552) ได้กล่าวว่า ทักษะที่ 1-8 เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นพื้นฐาน และทักษะที่ 9-13 เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง หรือขั้นผสม หรือขั้น บูรณาการ 1.6 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน (Basic Science Process Skills) มี 8 ทักษะ ได้แก่ 1. ทักษะการสังเกต (Observation) หมายถึง ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัส อย่าง ใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุ หรือปรากฏการณ์ต่างๆ โดยไม่ลงความเห็นของผู้สังเกต 2. ทักษะการวัด (Measuring) หมายถึง ความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดหาปริมาณของ สิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ความสามารถในการเลือกใช้เครื่องมืออย่างเหมาะสม และความสามารถใน การอ่านค่าที่ได้จากการวัดได้ถูกต้องรวดเร็ว และใกล้เคียงกับความจริงพร้อมทั้งมีหน่วยก ากับเสมอ 3. ทักษะการค านวณ (Using numbers) หมายถึง ความสามารถในการบวก ลบ คูณ หาร หรือจัดกระท ากับตัวเลขที่แสดงค่าปริมาณของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งได้จากการสังเกต การวัด การ ทดลอง โดยตรง หรือจากแหล่งอื่น ตัวเลขที่ค านวณนั้นต้องแสดงค่าปริมาณในหน่วยเดียวกัน ตัวเลขใหม่ ที่ได้ จากการค านวณจะช่วยให้สื่อความหมายได้ตรงตามที่ต้องการ และชัดเจนยิ่งขึ้น 4. ทักษะการจ าแนกประเภท (Classification) หมายถึง ความสามารถในการจัด จ าแนก หรือเรียงล าดับวัตถุ หรือสิ่งที่อยู่ในปรากฏการณ์ต่างๆ ออกเป็นหมวดหมู่โดยมีเกณฑ์ในการจัดจ าแนก


8 เกณฑ์ดังกล่าวอาจใช้ความเหมือน ความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ โดย จัด สิ่งที่มีสมบัติบางประการร่วมกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน 5. ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา (Space/Space Relationship and Space/Time Relationship) สเปส (Space) ของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างบริเวณที่ วัตถุนั้นครอบครองอยู่ ซึ่งจะมีรูปร่างและลักษณะเช่นเดียวกับวัตถุนั้น โดยทั่วไปสเปสของวัตถุจะมี 3 มิติ (Dimension) ได้แก่ ความกว้าง ความยาว ความสูง หรือความหนาของวัตถุ ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา หมายถึง ความสามารถ ในการระบุความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่อไปนี้ คือ 1. ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มิติ กับ 3 มิติ 2. สิ่งที่อยู่หน้ากระจกเงากับภาพที่ปรากฏ จะเป็นซ้ายขวาของกัน และกันอย่างไร 3. ต าแหน่งที่อยู่ของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่ง 4. การเปลี่ยนแปลงต าแหน่งที่อยู่ของวัตถุกับเวลา หรือสเปสของวัตถุที่ เปลี่ยนแปลง ไปกับเวลา 6. ทักษะการจัดกระท าและสื่อความหมายข้อมูล (Organizing Data and Communication) หมายถึง ความสามารถในการส่งข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การวัด การทดลอง และ จากแหล่งอื่นมา จัดกระท าใหม่โดยวิธีการต่างๆ เช่น การจัดเรียงล าดับ การแยกประเภท หรือค านวณหาค่าใหม่ เพื่อให้ ผู้อื่นเข้าใจมากขึ้น อาจน าเสนอในรูปของตาราง แผนภูมิ แผ่นภาพ กราฟ เป็นต้น 7. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง ความสามารถในการ อธิบายข้อมูล ที่มีอยู่อย่างเหตุผล โดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย ข้อมูลที่มีอยู่อาจได้มา จากการ สังเกตการวัด การทดลอง ค าอธิบายนั้นได้มาจากความรู้ หรือประสบการณ์เดิมของผู้สังเกตที่พยายาม โยงบางส่วนที่เป็นความรู้ หรือประสบการณ์เดิมให้มาสัมพันธ์กับข้อมูลที่ตนเองมีอยู่ 8. ทักษะการพยากรณ์ (Prediction) หมายถึง ความสามารถในการท านาย หรือ คาดคะเน สิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า โดยอาศัยการสังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ า ๆ หรือความรู้ที่เป็น หลักการ กฎ หรือทฤษฎีในเรื่องนั้นมาช่วยในการท านาย ซึ่งการท านายอาจท าได้ภายในขอบเขตข้อมูล (Interpolating) และภายนอกขอบเขตข้อมูล (Extrapolating) 1.7 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นผสมผสาน (Complex Science Process Skill) มี 5 ทักษะ ได้แก่ 1. ทักษะการตั้งสมมติฐาน (Formulating Hypothesis) หมายถึง ความสามารถใน การให้ ค าอธิบาย ซึ่งเป็นค าตอบล่วงหน้าก่อนที่จะด าเนินการทดลอง เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเป็นจริง ใน


9 เรื่องนั้น ๆ ต่อไป สมมติฐานเป็นข้อความที่แสดงการคาดคะเน ซึ่งอาจเป็นค าอธิบายของสิ่งที่ไม่ สามารถตรวจสอบโดยการสังเกตได้ หรืออาจเป็นข้อความที่แสดงความสัมพันธ์ที่คาดคะเนว่าจะ เกิดขึ้น ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตามข้อความของสมมติฐานนี้สร้างขึ้นโดยอาศัยการสังเกตความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐาน การคาดคะเนค าตอบที่คิดล่วงหน้านี้ยังไม่ทราบ หรือยังไม่เป็นหลักการ กฎ หรือทฤษฎีมาก่อน ข้อความของสมมติฐานต้องสามารถท าการตรวจสอบโดยการทดลอง และ แก้ไข เมื่อมีความรู้ใหม่ได้ 2. ทักษะการก าหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationaly) หมายถึง ความสามารถ ในการก าหนดความหมายและขอบเขตของตัวแปรต่างๆ ให้เข้าใจตรงกัน และ สามารถสังเกตและวัด ได้ค านิยามเชิงปฏิบัติการ เป็นความหมายของศัพท์เฉพาะ และเป็นภาษาง่ายๆชัดเจนไม่ก ากวม ระบุ สิ่งที่สังเกตได้ และระบุการกระท าซึ่งอาจเป็น การวัด การทดสอบ การทดลองไว้ด้วย 3. ทักษะก าหนดและควบคุมตัวแปร (Identifying And Controlling Variables) หมายถึง การชี้บ่งตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้องควบคุมในสมมติฐานหนึ่ง การควบคุมตัวแปรนั้น เป็นการควบคุมสิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่จะท าให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อนถ้าหากว่าไม่ ควบคุมให้เหมือนกัน 4. ทักษะการทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติการเพื่อหาค าตอบหรือ ทดสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ ในการทดลองจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1. การออกแบบการทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองก่อนลงมือ ทดลองจริง เพื่อก าหนดวิธีการด าเนินการทดลองซึ่งเกี่ยวกับการก าหนด และ ควบคุมตัวแปร และวัสดุอุปกรณ์ที่ ต้องการใช้ในการทดลอง 2. การปฏิบัติการทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัติการทดลองจริง ๆ 3. การบันทึกผลการทดลองหมายถึง การจดบันทึกข้อมูลที่ได้จากการทดลอง ซึ่ง อาจเป็นผลของการสังเกต การวัด และอื่นๆ 5. ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (Interpretting Data and Conclusion) หมายถึง ความสามารถในการบอกความหมายของข้อมูลที่ได้จัดกระท า และอยู่ในรูปแบบ ที่ใช้ในการ สื่อความหมายแล้ว ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบตาราง กราฟ และแผนภูมิหรือรูปภาพต่าง ๆ รวมทั้ง ความสามารถในการบอกความหมายข้อมูลในเชิงสถิติด้วย และสามารถลงข้อสรุปโดยการเอา ความหมายของข้อมูลที่ได้ทั้งหมดสรุปให้เห็นความสัมพันธ์ของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่ต้องการ ศึกษาภายในขอบเขตของการทดลองนั้น ๆ


10 1.8 ความหมายของแบบฝึกเสริมทักษะ สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2552) กล่าวว่า “เมื่อครูได้สอนเนื้อหา แนวคิด หรือหลักการเรื่อง ใดเรื่องหนึ่งให้กับนักเรียน และนักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นแล้ว ขั้นต่อไปควรจ าเป็นต้อง จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้ฝึกฝน เพื่อให้เกิดความช านาญ คล่องแคล่ว ถูกต้องแม่นย า และรวดเร็ว หรือ ที่ เรียกว่า ฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะ” นิตยา วิชัยดิษฐ์ (2553) ให้ความหมายแบบฝึกเสริมทักษะไว้ว่า หมายถึง สื่อ หรือสิ่งเร้า ทางการเรียนที่สร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างทักษะให้แก่นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดที่มีกิจกรรมให้ นักเรียนกระท าโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถของนักเรียนแบบฝึกจึงเป็นกิจกรรมที่มี ประโยชน์ในการเรียนการสอน เพราะช่วยให้นักเรียนได้แก้ไขข้อบกพร่องทางการเรียนด้วยการฝึกฝน จากแบบฝึกที่ครูสร้างขึ้น อ้อนน้อม เจริญธรรม (2553) ให้ความหมายแบบฝึกเสริมทักษะไว้ว่า หมายถึง แบบฝึกที่ช่วย ให้การสอนของครู และการเรียนของนักเรียนประสบผลส าเร็จเมื่อผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกหัดจนเกิด ความเข้าใจ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2556) ให้ความหมายแบบฝึกเสริมทักษะไว้ว่า หมายถึง สิ่งที่นักเรียนต้อง ใช้ความควบคู่กับการเรียน ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบฝึกที่ครอบคลุมกิจกรรมที่นักเรียนพึงกระท าอาจ ก าหนดแยกเป็นแต่ละหน่วย หรืออาจรวมเล่มก็ได้ พนมวัน วรดลย์ (2552) ให้ความหมายแบบฝึกเสริมทักษะไว้ว่า หมายถึง งานกิจกรรม หรือ ประสบการณ์ที่ครูจัดให้นักเรียนฝึกทักษะเพื่อทบทวน ฝึกฝนเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนไปแล้วให้ เกิดความจ าจนสามารถปฏิบัติได้ด้วยความช านาญ และให้ผู้เรียนสามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ จากความหมายของแบบฝึกเสริมทักษะที่มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายไว้ข้างต้น พอสรุปได้ ว่า แบบฝึกเสริมทักษะ หมายถึง สื่อการสอนที่ครูน ามาใช้กับนักเรียนในการฝึกทักษะ และเป็น เครื่องมือใน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาหลังจากที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการทดสอบใน รูปแบบต่างๆ เพื่อให้ เกิดความรู้ความเข้าใจ และเกิดทักษะต่อเนื้อหาวิชาที่ท าการสอนจนเกิดความ ช านาญท าให้การสอนของครูและการเรียนของผู้เรียนประสบผลส าเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ 1.9 ลักษณะของแบบฝึกเสริมทักษะที่ดี การสร้างแบบฝึกทักษะให้ได้คุณภาพนั้น ต้องอาศัยการศึกษาค้นคว้าลักษณะของแบบฝึกที่ ดีที่นักการศึกษาได้สร้างไว้ เพื่อน ามาเป็นข้อมูลในการสร้างแบบฝึกทักษะ กุสยา แสงเดช (2555) ได้กล่าวแนะน าผู้สร้างแบบฝึกให้ยึดลักษณะแบบฝึกที่ดี ดังนี้


11 1. แบบฝึกที่ดีควรมีความชัดเจนทั้งค าสั่งและวิธีท าค าสั่งหรือตัวอย่างแสดงวิธีท าที่ใช้ไม่ควร ยากเกินไป เพราะจะท าความเข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายและเหมาะสมกับผู้ใช้ เพื่อนักเรียนสามารถ เรียนด้วยตนเองได้ 2. แบบฝึกที่ดีมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดหมายของการฝึกลงทุนน้อยใช้ได้นาน ทันสมัย 3. ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกเหมาะสมกับวัยและพื้นฐานความรู้ของผู้เรียน 4. แบบฝึกที่ดีควรแยกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเนื่องไม่ควรยาวเกินไปแต่ควรมีกิจกรรมหลายแบบ เพื่อเร้าความสนใจ และไม่น่าเบื่อในการท าแบบฝึกทักษะใดทักษะหนึ่งจนช านาญ 5. แบบฝึกที่ดีมีทั้งแบบก าหนดค าตอบในแบบและให้ตอบโดยเสรี การเลือกใช้ค า ข้อความ รูปภาพในแบบฝึก ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความสนใจของนักเรียนก่อให้เกิดความ เพลิดเพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ว่า นักเรียนจะเรียนได้เร็วในการกระท าที่ท าให้ เกิดความพึงพอใจ 6. แบบฝึกที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ให้รู้จักค้นคว้ารวบรวมสิ่งที่พบ เห็นบ่อย ๆ หรือที่ตัวเองเคยใช้ จะท าให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องนั้นๆมากยิ่งขึ้น และรู้จักน าความรู้ไปใช้ใน ชีวิตประจ าวันได้อย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่ได้ฝึกนั้นมีความหมายต่อเขาตลอดไป 7. แบบฝึกที่ดีควรตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่าง กันในหลายๆด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญา และประสบการณ์ เป็นต้น ฉะนั้นการท าแบบฝึกแต่ละเรื่องควรจัดท าให้มากพอและมีทุกระดับตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึง ระดับ ค่อนข้างยาก เพื่อว่านักเรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อนจะได้เลือกท าได้ตามความสามารถ ทั้งนี้ เพื่อให้ นักเรียนทุกคนได้ประสบความส าเร็จในการท าแบบฝึก 8. แบบฝึกที่จัดท าเป็นรูปเล่ม นักเรียนสามารถเก็บรักษาไว้เป็นแนวทางเพื่อทบทวนด้วย ตนเองต่อไป 9. การที่นักเรียนได้ท าแบบฝึก ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียน ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ครูด าเนินการปรับปรุงแก้ปัญหานั้นๆทันท่วงที 10. แบบฝึกที่จัดขึ้นนอกจากมีในหนังสือเรียนแล้วจะช่วยให้นักเรียนได้ฝึกฝนอย่างเต็มที่ 11. แบบฝึกที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้ว จะช่วยให้ครูประหยัดแรงงานและเวลาในการที่ จะต้องตรียมแบบฝึกอยู่เสมอ ในด้านผู้เรียนไม่ต้องเสียเวลาในการลอกแบบฝึกจากต าราเรียนหรือ กระดานด า ท าให้มีเวลาและโอกาสได้ฝึกฝนทักษะต่างๆได้มากขึ้น


12 12. แบบฝึกช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะการพิมพ์เป็นรูปเล่มที่แน่นอนลงทุนต่ า การที่ใช้ พิมพ์ ลงกระกระดาษไขทุกครั้งไป นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ที่ผู้เรียนสามารถบันทึกและมองเห็น ความก้าวหน้า ของตนได้อย่างมีระบบและมีระเบียบจึงสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะที่ดีนั้นมีลักษณะ ใกล้เคียงกัน ซึ่งครูต้องศึกษาและน ามาใช้ในการสร้าง เพื่อให้ได้แบบฝึกทักษะที่ดี เมื่อน าไปใช้กับ นักเรียนแล้วจะก่อให้เกิดผลส าเร็จได้เป็นอย่างดี 1.10 ขั้นตอนและหลักในการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะ วิไลลักษณ์ บุญประเสริฐ (2551) ได้กล่าวถึงการสร้างแบบฝึกสรุปได้ว่า ในการสร้าง แบบฝึกหัดต้องเรียบเรียงภาษาให้เหมาะสมกับนักเรียน ค านึงถึงหลักจิตวิทยาเกี่ยวกับสิ่งเร้า และการ ตอบสนอง พัฒนาการของเด็ก และล าดับขั้นของการเรียน โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับวัย และ ความสามารถของนักเรียน การสร้างแบบฝึกเสริมทักษะให้มีประสิทธิภาพ ส าหรับน าไปใช้กับนักเรียนนั้น ต้องอาศัยหลัก จิตวิทยาในการเรียนรู้ และทฤษฎีที่ถือว่าเป็นแนวความคิดพื้นฐานของการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะเข้า ช่วย เพื่อให้สอดคล้องกับความสนใจ และความสามารถของนักเรียน หลักการสร้างแบบฝึกมี หลักการ ดังต่อไปนี้ 1. ใช้หลักจิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็กแต่ละวัย เช่น แบบฝึกส าหรับ วัย 11-16 ปี ชอบอ่าน เรื่อง ยาว ๆ ต้องมีเนื้อหาสาระมากกว่ารูปภาพเหมาะสมกับวัย และความสามารถของผู้เรียน 2. ล าดับขั้นตอนจากง่ายไปหายาก 3. ใช้ส านวนภาษาง่ายๆ โดยเฉพาะค าสั่งต้องกระชับและชัดเจน ไม่ใช้ศัพท์ยากเกินไป 4. มีความหมายต่อชีวิต หมายถึง แบบฝึกนั้นมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้เรียนฝึก เพื่ออะไร ให้ข้อคิดคติธรรมอะไรแฝงอยู่ 5. แบบฝึกที่ดีไม่ควรมากเกินไป จะท าให้ผู้เรียนเบื่อและไม่สนใจ และไม่ควรมีกิจกรรมซ้ าๆ 6. ฝึกให้คิด และสนุกกับการเรียน โดยมีเกมหรือกิจกรรมที่หลากหลาย 7. กระตุ้นความสนใจของผู้เรียนด้วยรูปภาพ และรูปแบบที่แปลกหลากหลาย และแตกต่าง จากที่ผู้เรียนเคยเห็น เพื่อให้ผู้เรียนเตรียมพร้อมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ 8. อาจศึกษาด้วยตนเองตามล าพัง พธู ทั่งแดง (2554) กล่าวว่า ในการสร้างแบบฝึก ต้องใช้ภาษาที่เหมาะสมกับนักเรียน วัย และความสามารถ ตลอดจนค านึงถึงหลักจิตวิทยาที่ใส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างแบบฝึกตามล าดับ ขั้นตอน การสอนต้องมีค าชี้แจงมีหลายรูปแบบ เกี่ยวข้องกับบทเรียนที่เรียนมาแล้วและส่งเสริม ความคิด สามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้


13 จากหลักการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะดังกล่าวพอสรุปได้ว่า การที่จะสร้างแบบฝึกให้ดีมี ประสิทธิภาพครูจะต้องค านึงถึงตัวนักเรียนเป็นส าคัญ โดยดูความพร้อมระดับสติปัญญา ความสามารถ และความเหมาะสมในการใช้ส านวนภาษา ตลอดจนเนื้อหาและระยะเวลาในการท าแบบฝึก ซึ่งจะท า ให้นักเรียนสนใจที่จะน าเอาแบบฝึกที่ครูสร้างขึ้นมาแก้ไขข้อบกพร่องหรือส่งเสริมทักษะทางภาให้ดี ยิ่งขึ้น 1.11 ข้อเสนอแนะในการสร้างแบบฝึก สุนันท์ พลับเที่ยง (2551) ได้กล่าวถึง ข้อเสนอแนะในการสร้างแบบฝึก ดังนี้ 1. ในแต่ละบทอาจมีเนื้อหาสรุปย่อ หรือเป็นหลักเกณฑ์ไว้ให้ผู้เรียนได้ศึกษาทบทวนก่อน 2. ต้องให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาก่อนใช้แบบฝึก 3. ควรสร้างแบบฝึกให้ครอบคลุมเนื้อหา และจุดประสงค์ที่ต้องการ และไม่ยากหรือง่าย จนเกินไป 4. ค านึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็กให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะ และความแตกต่างของ ผู้เรียน 5. ควรศึกษาแนวการสร้างแบบฝึกให้เข้าใจก่อนปฏิบัติการสร้าง อาจน าหลักการผู้อื่นหรือ ทฤษฎีการเรียนรู้ของนักการศึกษา หรือนักจิตวิทยามาประยุกต์ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและ สภาพการณ์ได้ 6. ควรมีคู่มือการใช้แบบฝึก เพื่อให้ผู้สอนคนอื่นน าไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง หากไม่มีคู่มือต้อง มีค าชี้แจงขั้นตอนการใช้ที่ชัดเจน 7. การสร้างแบบฝึกควรพิจารณารูปแบบให้เหมาะสมกับธรรมชาติของแต่ละเนื้อหาวิชา 8. การออกแบบชุดฝึกควรมีความหลากหลาย ไม่ซ้ าซาก ไม่ใช้รูปแบบเดียว เพราะจะท าให้ ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย ควรมีแบบฝึกหลายๆ แบบ เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะอย่างกว้างขวาง และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย 9. การใช้ภาพประกอบเป็นสิ่งส าคัญที่จะช่วยให้แบบฝึกนั้นน่าสนใจ 10 แบบฝึกต้องมีความถูกต้อง อย่าให้มีข้อผิดพลาดโดยเด็ดขาด เพราะผู้เรียนจะจ าในสิ่งที่ ผิด ๆ ตลอดไป 1.12 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ได้มีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึก ไว้ดังนี้ เนาวรัตน์ ชื่นมณี (2554) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ สรุปได้ว่า แบบฝึกจ าเป็น ต่อการเรียนทักษะทางภาษา เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น สามารถจดจ าเนื้อหาใน


14 บทเรียน และค าศัพท์ต่าง ๆ ได้คงทน ท าให้เกิดความสนุกสนาน ในขณะเรียนทราบความก้าวหน้าของ ตนเอง สามารถน าแบบฝึกมาทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเองได้ และน าไปปรับปรุงแก้ไขได้ทันท่วงที ซึ่งจะมีผลท าให้ครูประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และลดภาระได้มาก นอกจากนี้แล้วยังท าให้นักเรียน สามารถน าภาษา ไปใช้สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2552) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ สรุปได้ดังนี้ 1. ท าให้นักเรียนได้ฝึกทักษะจากแบบฝึกหัดที่ครูสร้างขึ้นมา ซึ่งตรงกับเนื้อหาที่ครูท าการสอน 2. นักเรียนสามารถน าความรู้ที่ได้รับจากการเรียนการสอนมาทดสอบการเรียนรู้ของตนเอง ว่าเกิดจากการเรียนรู้ 3. ใช้ส าหรับประเมินผลการสอบเป็นรายบุคคล หลังจากได้ร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน แล้ว โดยผลงานจากแบบฝึกหัดที่ท ามาส่งครูท าให้ทราบว่านักเรียนเข้าใจมากน้อยเพียงใด 4. ใช้แบบฝึกหัดส าหรับทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้ว 1.13 การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะ โสภณ นุ่มทอง (2551) ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อผลิตสื่อขึ้นมาใช้ประกอบการเรียนการสอนไม่ว่าจะ เป็นชุดการสอน บทเรียนส าเร็จรูป หนังสือแบบหน่วยหรือชุดฝึกก็ตามควรจะได้ประเมินประสิทธิภาพ ของสื่อว่าเหมาะสมที่จะน าไปใช้ต่อไปหรือไม่ หรือสื่อนี้จะส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ ตามจุดประสงค์ที่ก าหนดไว้หรือไม่ หรืออย่างไร จะได้หาข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไป การหา ประสิทธิภาพของสื่อมีขั้นตอนโดยทั่วไป ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นทดลองใช้กับนักเรียนคนเดียว พยายามคัดเลือกนักเรียนที่มีความรู้ ความสามารถ และมีผลการเรียนวิชานั้นอยู่ในระดับกลาง น ามาทดลองใช้ก่อนเพื่อหาข้อบกพร่อง เกี่ยวกับถ้อยค า การใช้ภาษา ความชัดเจนของการน าเสนอ เนื้อหา และการสื่อความหมายต่างๆ เพื่อจะได้น าไป ปรับปรุงในเบื้องต้นก่อนที่จะน าไปทดลองใช้ในขั้นที่ 2 ขั้นที่ 2 เมื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่ได้จากการทดลองในขั้นที่ 1 แล้ว ควรจะน าไปทดลองอีกครั้ง กับนักเรียนที่มีความสามารถในการเรียนระดับกลาง จ านวน 3-5 คน โดยให้นักเรียนได้ทดลอง เรียน จริง ๆกิจกรรมการเรียนการสอนเหมือนจริงทุกอย่าง เพียงแต่เป็นกลุ่มเล็กกว่าห้องเรียนจริงเท่านั้น เป็นการทดลองหาข้อบกพร่องในด้านต่าง ๆ ของสื่ออีกครั้งหนึ่งเพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขต่อไป ขั้นที่ 3 เป็นขั้นการใช้สื่อในห้องเรียนจริง ๆ ตามปกติซึ่งเป็นการประเมินประสิทธิภาพ ของ สื่อว่าเชื่อถือได้หรือไม่ ซึ่งอาจด าเนินการได้ 2 วิธีคือ 1. โดยการทดสอบความแตกต่างของคะแนนจากก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ค่าที


15 2. ใช้เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 หรือ 90/90 เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 หรือ 90/90 เป็นเกณฑ์ การเปรียบเทียบคะแนนที่ได้จากการประเมินในกระบวนการเรียนการสอนกับ คะแนนที่ได้จากการ ทดลองสุดท้าย หลังจากเรียนจบบทเรียนหรือจบเรื่องแล้ว การตั้งเกณฑ์ 80/80หรือ 90/90 นั้นอยู่ใน ดุลยพินิจว่านักเรียนของเรานั้นมีความสามารถในการเรียนระดับใด และควรจะตั้ง เกณฑ์เท่าไร ถ้า นักเรียนดีมากจะตั้งเกณฑ์ 90/90 ก็ได้ แต่ถ้านักเรียนค่อนข้างดีอาจตั้งเกณฑ์ไว้ 80/80 อาจสูงพอก็ได้ แบบฝึกที่ใช้ในการสอนให้เกิดความแม่นย า รวดเร็ว และตรงจุดประสงค์ จะมีลักษณะคล้าย แบบทดสอบย่อยจะต่างกันที่ปริมาณของงานหรือข้อปัญหา แบบฝึกแต่ละแบบจะก าหนดข้อปัญหา มาก น้อยขึ้นอยู่กับจ านวนเนื้อหาและระดับชั้นของผู้เรียนซึ่งแตกต่างไป แบบฝึกหนึ่งอาจจะมีข้อ ปัญหา 10 20 หรือ 30 หรือ 40 แล้วแต่กรณี การฝึกจะต้องฝึกเป็นประจ าโดยให้ท าในเวลาสั้น ๆ อาจจะเริ่มจาก 30 วินาที 1 นาทีหรือ 2-3 นาที แล้วบันทึกผลที่ท าได้ถูกต้องและผิดพลาด เมื่อผู้เรียน สามารถท าได้ ถูกต้องและถึงเกณฑ์ที่ก าหนดเมื่อไร ก็ให้เรียนในเรื่องอื่นต่อไปได้ ดังนั้น การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะ ท าได้โดยน าแบบฝึกเสริมทักษะที่สร้างขึ้น ไปทดลองใช้กับนักเรียนเพื่อหาข้อบกพร่องของแบบฝึกและน าไปสู่การแก้ไข จากนั้นน าแบบฝึกที่ แก้ไขไปใช้จริงกับนักเรียนที่ต้องการแก้ไขปัญหา แล้วน าข้อมูลมาตรวจสอบเพื่อหาประสิทธิภาพโดย ใช้เกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 หรือ 90/90 ขึ้นอยู่กับความสามารถของนักเรียนที่เก็บข้อมูล 1.14 ผลสัมฤทธิ์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement) เป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่างๆ ซึ่ง เกิด จากนักเรียนได้รับประสบการณ์ทั้งทางตรง และทางอ้อมจากกระบวนการเรียนการสอนของครู การ สร้างเครื่องมือวัดให้มีคุณภาพนั้น ได้มีนักการศึกษาให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2555) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ขนาดของความส าเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินดา (2556) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ ผลส าเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์ เรียนรู้ ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จ าแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตาม ลักษณะของ วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการ สอนโดยใช้ความสามารถทางสติปัญญาด้านความรู้ ความจ า ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการ


16 วิทยาศาสตร์ และการน าไปใช้ในการเรียนรู้เนื้อหาสาระวิชาวิทยาศาสตร์ สามารถวัดได้โดยการแสดง ออกมาทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย 1.15 การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ภพ เลาหไพบูลย์ (2551) ได้จ าแนกพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านสติปัญญา หรือความรู้ความคิด ตามแนวของลีโอโพลด์ อี คลอฟเฟอร์ (Leopold E Klopfer) แห่งมหาวิทยาลัยพิตส์เบอร์ก (University of Pittsburgh) 1. ความรู้ความจ า (knowledge) 2. ความเข้าใจ (comprehension) 3. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (science process skills) 4. การน าความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ (application) โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ด้านความรู้ความจ า หมายถึง ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่เคยเรียนรู้มาแล้ว เกี่ยวกับ ข้อเท็จจริง ศัพท์นิยาม มโนทัศน์ ข้อตกลง การจัดประเภท เทคนิควิธีการ หลักการ กฎ ทฤษฎี และ แนวคิดที่ส าคัญ ๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์ นักเรียนที่มีความสามารถในด้านนี้จะแสดงออก โดยสามารถให้ค าจ ากัดความหรือนิยามเล่าเหตุการณ์ จดบันทึก เรียกชื่อ อ่านสัญลักษณ์ และระลึกถึง ข้อสรุปได้ การวัดพฤติกรรมด้านความรู้ความจ าลักษณะของข้อสอบจะถามเกี่ยวกับความรู้ความจ าไม่ เกินร้อยละยี่สิบของข้อสอบทั้งหมด 2. ด้านความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการอธิบาย แปลความ ตีความ สร้าง ข้อสรุป ขยายความ นักเรียนที่มีความสามารถในด้านนี้จะแสดงออกโดยสามารถเปรียบเทียบแสดง ความสัมพันธ์ อธิบาย ชี้แจง จ าแนกเข้าหมวดหมู่ ยกตัวอย่าง ให้เหตุผล จับใจความ เขียน ภาพประกอบ ตัดสินเลือก แสดงความคิดเห็น จัดเรียงล าดับ อ่านกราฟแผนภูมิและแผนภาพได้ พฤติกรรมความเข้าใจแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ 1. ความสามารถอธิบายความเข้าใจต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง 2. ความสามารถจ าแนกหรือระบุความรู้ได้ เมื่อปรากฏอยู่ในรูปหรือสถานการณ์ใหม่ 3. ความสามารถแปลความรู้จากสัญลักษณ์หนึ่งไปสู่อีกสัญลักษณ์หนึ่ง การวัดพฤติกรรม ความเข้าใจลักษณะของข้อสอบจะถามให้นักเรียนอธิบายหรือบรรยายความรู้ ต่าง ๆ ด้วยค าพูดของ ตัวเอง หรือให้ระบุข้อเท็จจริงมโนทัศน์ หลักการ กฎ หรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ สถานการณ์ที่ ก าหนดให้ หรือให้แปลความหมายสถานการณ์ที่ก าหนดให้ ซึ่งอาจอยู่ในรูปข้อความ สัญลักษณ์ รูปภาพ หรือแผนภาพ เป็นต้น


17 3. ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ส าหรับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ประกอบด้วยพฤติกรรมย่อย ดังต่อไปนี้ 1. การสังเกตและการวัด ประกอบด้วย การสังเกตสิ่งของและปรากฏการณ์ต่างๆ การ บรรยายสิ่งของที่สังเกตได้โดยใช้ภาษาที่เหมาะสม การวัดสิ่งของและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ การเลือกเครื่องมือวัดที่เหมาะสม การประมาณค่าจากการวัดและการยอมรับขีดจ ากัดของความ ถูกต้องของ เครื่องมือที่ใช้ 2. การมองเห็นปัญหาและวิธีการแก้ปัญหา ประกอบด้วย การมองเห็นปัญหา การ ตั้งสมมติฐาน การเลือกวิธีทดสอบสมมติฐานที่เหมาะสม การออกแบบทดลองที่เหมาะสมส าหรับ ทดสอบสมมติฐาน 3. การตีความหมายข้อสรุปและการสรุป ประกอบด้วย การจัดกระท ากับข้อมูลที่ได้ จากการทดลอง การน าเสนอข้อมูล การแปลความหมายของข้อมูล ที่ได้จากการทดลอง และการ สังเกตต่างๆ การตีความและการขยายความจากข้อมูล การประเมินสมมติฐานภายใต้ขอบเขตของ ข้อมูลที่ได้ จากการทดลอง การสร้างข้อสรุป กฎหรือหลักการที่เหมาะสมอย่างมีเหตุผลตาม ความสัมพันธ์ที่พบ 4. การสร้างการทดสอบ และการปรับปรุงแบบจ าลอง ประกอบด้วย การตระหนัก ถึง ความจ าเป็นและประโยชน์ของแบบจ าลอง การสร้างแบบจ าลองเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง ข้อสรุปกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม การระบุปรากฏการณ์ และหลักการต่าง ๆ ที่ สามารถ อธิบายได้ด้วยแบบจ าลอง การสร้างสมมติฐานใหม่ ๆ จากแบบจ าลอง การแปลความหมาย และการประเมินผลการทดลอง เพื่อตรวจสอบแบบทดลอง การปรับปรุงแก้ไขหรือเพิ่มเติมแบบจ าลอง 5. ด้านการน าความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ หมายถึง ความสามารถ ในการน าความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ข้อสอบวัดพฤติกรรม ด้านการน าไปใช้ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะแบบยกสถานการณ์ใหม่ ๆ หรือปัญหาใหม่มาให้นักเรียน แก้ปัญหา ซึ่งนักเรียนต้องมีความเข้าใจในแนวคิดหลักที่เกี่ยวกับปัญหาหรือสถานการณ์ รวมทั้งต้องใช้ ความสามารถระดับสูง ซึ่งประกอบด้วยการวิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่า ตลอดจนใช้ยุทธวิธี ต่างๆ ในการแก้ปัญหานั้น การประเมินผลการน าความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ด้วย ข้อสอบแบบเลือกตอบ ไม่สามารถวัดความสามารถที่แท้จริงของนักเรียนได้โดยทั่วไป ครูควรประเมิน จากการปฏิบัติกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เช่น การท าโครงการวิทยาศาสตร์ กิจกรรมการแก้ปัญหา เป็นต้น


18 จากการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ข้างต้น สรุปได้ว่าผลที่เกิดจาก กระบวนการ เรียนการสอนที่จะท าให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือประสบการณ์จาก การเรียนรู้ส าหรับการวัดผลและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นคะแนนจากผล การเรียนรู้ของ นักเรียนที่ใช้ความสามารถทางสติปัญญา ได้แก่ ด้านความรู้ ความจ า ความเข้าใจ การ น าไปใช้และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1.16 ความพึงพอใจ 1. ความหมายของความพึงพอใจ นักการศึกษาและนักวิชาการได้ให้ความหมายของความพึงพอใจ ไว้ดังนี้ จ าปา วัฒนศิรินทรเทพ (2550) กล่าวว่าความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ การแสดงความรู้สึก ความคิดเห็นต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยแสดงพฤติกรรมออกมา 2 ลักษณะ คือ ทางบวก ซึ่งแสดงในลักษณะความชอบ ความพึงพอใจ ความสนใจ เห็นด้วย ท าให้อยากท างาน หรือปฏิบัติ กิจกรรม อีกลักษณะหนึ่งคือ ทางลบ ซึ่งจะแสดงออกในลักษณะของความเกลียด ไม่พึงประสงค์ไม่ พอใจ ไม่สนใจไม่เห็นด้วย อาจท าให้บุคคลเกิดความเบื่อหน่าย หรือต้องการหนีห่าง จากสิ่งนั้น นอกจากนี้ความพึงพอใจอาจจะแสดงออกในลักษณะความเป็นกลางก็ได้เช่น รู้สึกเฉยๆ ไม่รักไม่ชอบ ไม่น่าสนใจในสิ่งนั้นๆ เป็นต้น สมพิศ ไชยเสนา (2550) กล่าวว่าความพึงพอใจ คือความรู้สึกของบุคคลต่อสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ความรู้สึกพึงพอใจเกิดขึ้นเมื่อบุคคลได้รับสิ่งที่ตนต้องการและท าให้บุคคลมีพฤติกรรม ต่อสิ่งเร้านั้นใน เชิงบวกหรือเป็นไปตามเป้าหมายที่ตนเองต้องการ หรือไม่มีความรู้สึกขัดแย้งกับสิ่งเหล่านั้น และระดับ ความรู้สึกถ้ามีความเครียดมากจะท าให้เกิดความไม่พึงพอใจในการท างาน ความพึงพอใจเปลี่ยนแปลง ไปตามเวลาและสถานการณ์แวดล้อม จากความหมายของความพึงพอใจดังกล่าว พอสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก นึกคิด ความเชื่อ การแสดงความรู้สึกความคิดเห็นต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือทัศนคติของบุคคล ที่มีต่องาน หรือกิจกรรมซึ่งสามารถเป็นไปได้ทั้งทางบวกและทางลบ ระดับความพึงพอใจของแต่ละบุคคลย่อมมี ความแตกต่างกัน แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับความพึงพอใจ นักการศึกษาในสาขาต่างๆ ท าการศึกษาค้นคว้าและ ตั้งทฤษฎีที่เกี่ยวกับการความพึงพอใจ ไว้ดังนี้ มาสโลว์ (Maslow, 1962, อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2554) กล่าวว่า ความพึงพอใจ เป็น ทฤษฎีที่กล่าวถึง ความต้องการพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์อย่างเป็นล าดับขั้นกล่าวคือ “มนุษย์ เรามีความต้องการอยู่เสมอ เมื่อความต้องการได้รับการตอบสนอง หรือมีความพึงพอใจต่อสิ่งใดสิ่ง


19 หนึ่งแล้ว ความต้องการด้านอื่นก็จะเกิดขึ้นอีก ความต้องการของคนเราอาจจะซ้ าซ้อน ความต้องการ หนึ่งยังไม่หมดอาจจะเกิดความต้องการหนึ่งเกิดขึ้นอีกได้” หากความต้องการพื้นฐานของ มนุษย์ได้รับ การตอบสนองอย่างเพียงพอ ก็จะเกิดแรงจูงใจที่ส าคัญต่อการเกิดพฤติกรรมที่ต้องการให้สังคมยอมรับ และสามารถพัฒนาตนไปสู่ขั้นสูงขึ้นได้ น าแนวคิดนี้มาจัดการเรียนในการสอน ดังนี้ 1. การเข้าใจถึงความต้องการพื้นฐานของมนุษย์สามารถให้เข้าใจพฤติกรรมของบุคคลได้ เนื่องจากพฤติกรรมเป็นการแสดงออกของความต้องการของบุคคล 2. การจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีจ าเป็นต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานที่เขา ต้องการแสดงเสียก่อน 3. ในกระบวนการเรียนการสอน หากครูสามารถหาได้ว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความต้องการ อยู่ ในระดับขั้นใด ครูสามารถใช้ความต้องการพื้นฐานของผู้เรียนนั้นเป็นแรงจูงใจช่วยให้ผู้เรียนเกิด การ เรียนรู้ได้ดี 4. การช่วยให้ผู้เรียนได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของตนอย่างเพียงพอการให้ อิสรภาพและเสรีภาพแก่ผู้เรียนในการเรียนรู้การจัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้จะช่วยส่งเสริม ให้ ผู้เรียนเกิดประสบการณ์ในการรู้จักตนเองตามสภาพความเป็นจริง แมคเกรเกอร์(McGreger, 1960,p. 33-58 อ้างถึงใน เกริกฤทธิ์ เส่งมูล, 2554) ได้ศึกษา ธรรมชาติของมนุษย์และได้อธิบายลักษณะของมนุษย์ว่า มี 2 ประเภท คือ 1. คนประเภท เอกซ์ (x) มีลักษณะดังต่อไปนี้ 1.1 มีสัญชาติญาณที่จะหลีกเลี่ยงการท างานทุกอย่างเท่าที่จะท าได้ 1.2 มีความรับผิดชอบน้อย 1.3 ชอบให้สั่งการ 1.4 ไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการปรับปรุงองค์การ 1.5 มีความปรารถนาให้ตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายและความปลอดภัย 2. คนประเภท วาย (y) มีลักษณะดังต่อไปนี้ 2.1 ชอบท างาน เห็นว่าการท างานเป็นของสนุกเหมือนการเล่นหรือการพักผ่อน 2.2 มีความรับผิดชอบในการท างาน 2.3 มีความทะเยอทะยานและกระตือรือร้น 2.4 สั่งการตนเองและสามารถคุมตนเองได้ 2.5 มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการปรับปรุงงานและองค์การพัฒนา


20 เฮอร์ซเบอร์ก (HerZberg, 1959, p. 113-115 อ้างถึงใน เกริกฤทธิ์ เส่งมูล, 2554) ได้ ท าการศึกษาค้นคว้าทฤษฎีที่เป็นข้อมูลเหตุที่ท าให้เกิดความพึงพอใจ เรียกว่า the motivation hygiene theory ทฤษฎีนี้ได้กล่าวถึงปัจจัยที่ท าให้เกิดความพึงพอใจในการท างาน 2 ปัจจัย คือ 1. ปัจจัยกระตุ้น (motivation factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวกับการงานซึ่งมีผลก่อให้เกิด ความ พึงพอใจในการท างาน เช่น ความส าเร็จของงาน การได้รับการยอมรับนับถือ ลักษณะของงาน ความ รับผิดชอบ ความก้าวหน้าในต าแหน่งการงาน เป็นต้น 2. ปัจจัยค้ าจุน (hygiene factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในการท างานและ มี หน้าที่ให้บุคคลเกิดความพึงพอใจในการท างาน เช่น เงินเดือน โอกาสที่จะก้าวหน้าในอนาคต สภาพ การท างาน เป็นต้น จากทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจที่กล่าวมาแล้วนั้น สรุปได้ว่า ความพึง พอใจ เป็นความรู้สึกภายในจิตใจของมนุษย์เกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ซึ่งมนุษย์เรามีความ ต้องการอยู่เสมอไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อความต้องการได้รับการตอบสนองหรือพึงพอใจอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้ว ความต้องการสิ่งอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นมาอีก เมื่อน ามาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผลตอบแทนภายในหรือรางวัลภายใน เป็นผลด้านความรู้สึกของผู้เรียนที่เกิดแก่ตัวผู้เรียนเอง เมื่อเกิด ความพึงพอใจจะเกิดผลที่ดีต่อการเรียนรู้ผลดีหรือน่าพอใจ น าไปสู่ความพึงพอใจท าให้งานที่ท า ประสบผลส าเร็จ 2. องค์ประกอบของความพึงพอใจ นักการศึกษาได้กล่าวถึงองค์ประกอบของความพึงพอใจไว้ดังนี้ สุนันทา เลาหนันทน์ (2541, อ้างถึงใน ลัคณา ทองศรี, 2555) มีความเห็นว่า องค์ประกอบที่ มีส่วนในการจูงใจบุคคลให้มีความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน ได้แก่ 1. การจัดงานที่ท้าทายความสามารถให้ท าแต่ต้องค านึงถึงอยู่เสมอว่า งานที่มีลักษณะ ท้า ทายต่อบุคคลหนึ่งอาจจะไม่เป็นสิ่งท้าทายความสามารถของอีกบุคคลหนึ่งได้ 2. การเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการวางแผน หากบุคคลถูกขอร้องให้ช่วยในการวางแผน และก าหนดสภาวะแวดล้อมในการปฏิบัติงาน ก็จะเป็นแรงจูงใจในการท างานทางหนึ่ง 3. การให้การยกย่องและสถานภาพ บุคคลทุกคนไม่ว่าอยู่ในฐานะอะไร ต้องการได้รับ การ ยอมรับจากกลุ่ม และจากผู้บังคับบัญชาเหมือนกันหมดทุกคน แต่การยกย่องชมเชยต้องท าด้วย ความ จริงใจ และผลของการปฏิบัติงานจะต้องสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ย 4. การให้ความรับผิดชอบมากขึ้นและการให้อ านาจเพิ่มขึ้น การได้เลื่อนขั้นเลื่อนต าแหน่ง การให้อ านาจและการมอบหมายความรับผิดชอบ เป็นเครื่องมือในการจูงใจคนปฏิบัติงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ


21 5. การให้ความมั่นคงและความปลอดภัย ความกลัวในสิ่งต่างๆ เช่น การไม่ให้งานท าการ สูญเสียต าแหน่ง เป็นสิ่งที่แฝงอยู่ภายในจิตใจของคนความต้องการในเรื่องความมั่นคงปลอดภัย จึง ส าคัญ แต่ต้องค านึงด้วยว่าความมั่นคงปลอดภัยมากน้อยเท่าใด จึงเป็นตัวกระตุ้นที่ก่อให้เกิด ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน 6. การให้ความเป็นอิสระในการท างาน ทุกคนปรารถนาจะมีอิสระในการท างานด้วยตัวเขา เอง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง การบอกทุกอย่างว่าควรท าอย่างไรจะเป็นการท าให้ แรงจูงในต่ าลงได้ 7. การเปิดโอกาสให้เจริญก้าวหน้าทางด้านส่วนตัว ความปรารถนาที่จะก้าวหน้าในทางด้าน อาชีพเป็นเป้าหมายของทุกคนในองค์การ การได้มีโอกาสเข้าร่วมการฝึกอบรมการศึกษาดูงาน การ หมุนเวียนงาน และการสร้างประสบการณ์จากการใช้เครื่องมือต่างๆ ล้วนเป็นแรงจูงใจใน การ ปฏิบัติงาน 8. การให้เงินและรางวัลที่เกี่ยวกับเงิน การวิจัยในปัจจุบันยังสรุปได้ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับ ความส าคัญของเงินที่มีต่อแรงจูงใจ เพียงแต่ชี้แนะว่าเงินเป็นสิ่งที่ท าให้เกิดความไม่พอใจมากกว่าที่จะ เป็นแรงจูงใจ แต่คนส่วนมากก็ยังให้คุณค่าเงินไว้สูง 9. การให้โอกาสแข่งขัน การแข่งขันเป็นแรงจูงใจส าคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับผู้บริหาร ซึ่ง ต้องการความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน ท าให้เป็นแรงกระตุ้นที่จะแสวงหาแนวคิดใหม่ๆ มาใช้ใน การ ปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ ล็อค (Locke, 1976, อ้างถึงใน ลัคณา ทองศรี, 2555) ได้เสนอองค์ประกอบที่ส่งผล ต่อความ พึงพอใจไว้ 9 องค์ประกอบ ดังนี้ 1. ตัวงาน ได้แก่ ความสนใจในตัวงาน ความแปลกของงาน โอกาสเรียนรู้หรือศึกษางาน ปริมาณงาน โอกาสที่จะท างานนั้นส าเร็จ การควบคุมการท างานและวิธีการท างาน 2. เงินเดือน ได้แก่ จ านวนเงินที่ได้รับความยุติธรรมและความทัดเทียมกันของรายได้และ วิธีการจ่ายเงินขององค์การ 3. การเลื่อนต าแหน่ง ได้แก่ โอกาสในการเลื่อนต าแหน่งสูงขึ้น ความยุติธรรมในการเลื่อน ต าแหน่งขององค์การ และหลักในการพิจารณาเลื่อนต าแหน่ง 4. การได้รับการยอมรับนับถือ ได้แก่ การได้รับค ายกย่องชมเชยในผลส าเร็จของงาน การ กล่าววิจารณ์การท างาน และความเชื่อถือในผลงาน 5. ผลประโยชน์เกื้อกูล ได้แก่ บ าเหน็จบ านาญตอบแทน การให้สวัสดิการการรักษาพยาบาล การให้วันหยุดงาน และการได้รับค่าใช้จ่ายระหว่างลาพักผ่อน


22 6. สภาพการท างาน ได้แก่ ชั่วโมงการท างาน ช่วงเวลาพัก เครื่องมือเครื่องใช้ในการท างาน อุณหภูมิการถ่ายเทอากาศ ท าเลที่ตั้งและรูปแบบการก่อสร้างของอาคารสถานที่ท างาน 7. การนิเทศงาน ได้แก่การได้รับความเอาใจใส่ดูแลช่วยเหลือแนะน าจากผู้บังคับบัญชา ระดับสูงขึ้นไปด้วยการมีเทคนิคและกลวิธีที่ดีการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีและการมีทักษะในการนิเทศ งาน ของผู้บริหาร 8. เพื่อนร่วมงาน ได้แก่การให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และการมีมิตรภาพอันดีต่อกัน ของเพื่อนร่วมงาน 9. องค์การและการบริหารงาน ได้แก่ ความเอาใจใส่บุคลากรในองค์การ เงินเดือนและ นโยบายในการบริหารงานขององค์การ จากองค์ประกอบของความพึงพอใจดังกล่าว พอสรุปได้ว่า องค์ประกอบของความพึงพอใจมี ความหลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคนซึ่งมีความแตกต่างกันไป 3. การวัดความพึงพอใจ นักวิชาการได้กล่าวถึงการวัดความพึงพอใจ ไว้ดังนี้ ภณิดา ชัยปัญญา (2542, อ้างถึงใน ลัคณา ทองศรี, 2555) กล่าวว่า การวัดความพึงพอใจนั้น สามารถท าได้หลายวิธีดังต่อไปนี้ 1. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ต้องการทราบความคิดเห็นซึ่งสามารถ กระท าได้ในลักษณะก าหนดค าตอบให้เลือกหรือตอบค าถามอิสระ ค าถามดังกล่าว อาจถามความ พอใจในด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้ตอบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มักใช้ในกรณีที่ต้องการข้อมูล กลุ่ม ตัวอย่างมากๆ วิธีนี้นับเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการวัดทัศนคติรูปแบบของแบบสอบถามจะใช้ มาตรวัดทัศนคติซึ่งที่นิยมใช้ในปัจจุบันวิธีหนึ่ง คือ มาตราส่วนแบบลิเคิร์ท ประกอบด้วยข้อความที่ แสดงถึงทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีค าตอบที่แสดงถึงระดับความรู้สึก 5 ค าตอบ เช่น มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่ผู้วิจัยจะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคุย โดยมีการเตรียม แผนงานล่วงหน้า เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุด 3. การสังเกต เป็นวิธีวัดความพึงพอใจ โดยการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายไม่ว่าจะ แสดงออกจากการพูดจา กิริยา ท่าทาง วิธีนี้ต้องอาศัยการกระท าอย่างจริงจัง และสังเกตอย่างมี ระเบียบแบบแผน วิธีนี้เป็นวิธีการศึกษาที่เก่าแก่และยังเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ชวลิต ชูก าแพง (2551) กล่าวว่า การวัดความพึงพอใจ หรือการวัดจิตพิสัย สามารถกระท า ด้วยวิธีการต่อไปนี้


23 1. การสังเกต (observation) โดยการสังเกตค าพูด การกระท า การเขียนของนักเรียนที่มีต่อ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ครูต้องการวัด 2. การสัมภาษณ์ (interview) โดยการพูดคุยกันนักเรียนในประเด็นที่ครูอยากรู้อาจเป็น ความรู้สึก ทัศนคติของนักเรียน เพื่อน าสิ่งที่นักเรียนพูดออกมาเกี่ยวกับลักษณะจิตพิสัยของนักเรียนได้ 3. การใช้แบบวัดมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) ในการวัดความพึงพอใจนิยมใช้ แบบวัดของลิเคิร์ท (likert’s method) เพราะสร้างได้ง่าย มีความเชื่อมั่นสูงและสามารถพัฒนาเพื่อ วัดความรู้สึกได้หลากหลาย โดยการสร้างเครื่องมือวัดเจตคติแบบนี้เป็นวิธีประเมินน้ าหนักความรู้สึก ของข้อความ หลังจากที่น าเครื่องมือไปสอบถามแล้วการสร้างข้อความที่แสดงความรู้สึกต่อเป้าเจตคติ จะต้องให้ครอบคลุมและสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ข้อความจะเป็นไปในทางบวกหมดหรือลบหมด หรือ ผสมกันก็ได้โดยมีขั้นตอนการสร้าง ดังนี้ 3.1. เลือกชื่อเป้าเจตคติ เช่น เจตคติต่ออาชีพครูโดยเป้าของเจตคติอาจจะเป็นคน วัตถุ สิ่งของ องค์กร สถาบัน อาชีพ วิชา ฯลฯ แล้วแต่จะเลือก ยิ่งแคบยิ่งดียิ่งก าหนดช่วงเวลาก็จะ ส่งผลให้ การแปลผลมีความหมายดีขึ้น 3.2. เขียนข้อความแสดงความรู้สึกต่อเป้าเจตคติโดยวิเคราะห์ให้ครอบคลุมลักษณะ ข้อความที่แสดงความเชื่อและความรู้สึกต่อเป้าที่ต้องการ ไม่เป็นการแสดงถึงความจริง มีความชัดเจน สั้น ให้ข้อมูลพอตัดสินได้ไม่คลุมทั้งทางบวกและทางลบ ควรหลีกเลี่ยงค าปฏิเสธซ้อน ข้อความเดียว ควรมีความเชื่อเดียว 3.3. การตรวจสอบข้อความ เป็นการตรวจสอบเพื่อดูให้แน่ชัดว่า ข้อความนั้นเขียน ได้ เหมาะสมหรือไม่ การตอบให้ตอบว่า ชอบ-ไม่ชอบ ดี-ไม่ดีเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย ควรใช้ 3 มาตรา 4 มาตรา หรือ 5 มาตรา เช่น ชอบมาก ดีมาก เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่ชอบ ไม่ดีไม่แน่ใจ เป็นต้น 3.4. การให้น้ าหนักมี 3 วิธีคือ วิธีหาค่าน้ าหนักซิกมา วิธีหาค่าน้ าหนักคะแนน มาตรฐาน วิธีหาค่าน้ าหนักแบบพลการ แต่ในระยะหลังลิเคิร์ทแนะให้ใช้วิธีก าหนดตัวเลขได้เลย โดย ให้ตัวเลข เรียงค่าตามล าดับความส าคัญของตัวเร้า จะใช้ 0 1 2 3 4 หรือ 1 2 3 4 5 หรือ -2 -1 0 1 2 ก็ได้ทั้ง 3 แบบนี้ความสัมพันธ์เป็น 1.00 คือตัวเดียวนั่นเอง 3.5. การตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้น โดยต้องน าข้อความไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง เมื่อ ทดสอบเสร็จแล้วน ามาตรวจให้คะแนนแต่ละข้อแล้วน ามาหาค่าสัมพันธ์ (rxy) ระหว่างคะแนน รายข้อ กับคะแนนรวม และทดสอบนัยส าคัญทางสถิติโดยก าหนด α = .05 หรือ α = .01 3.6. การ จัดท าแบบสอบถาม เมื่อได้ข้อค าถามที่มีอ านาจจ าแนกเข้าเกณฑ์แล้วพิจารณา ว่าจะก าหนดกี่ข้อตาม หลักการถ้าข้อความมีคุณภาพสูงมากจะใช้ 10–15 ข้อ แต่โดยทั่วไปแล้ว จะมี ตั้งแต่ 20 ข้อขึ้นไป


24 เพราะถ้าจ านวนน้อยข้อ ความเชื่อมั่นมักจะมีค่าน้อยความเที่ยงตรงก็ไม่ดีอาจ เป็นเพราะข้อความ แสดงความรู้สึกหรือความเชื่อมั่นต่อเป้าไม่ครอบคลุมทุกอย่างในเป้า แบบสอบถามบางฉบับจึงมีเป็น 100 ข้อ การให้จ านวนข้อควรค านึงถึง กลุ่มตัวอย่าง ระดับอายุและความสามารถ ในการอ่าน ระดับ เด็กเล็ก จึงไม่ควรมีมากข้อเกินไป 3.7. การตรวจให้คะแนน การให้คะแนนให้ตามมาตราที่ก าหนดแต่ละข้อ ถ้าเป็นข้อความ ให้ เปลี่ยนมาเป็นตัวเลข ถ้าเป็นตัวเลขแล้วก็น าตัวเลขที่ผู้ตอบเลือกมารวมกัน กรณีข้อความเป็น ความรู้สึกทางลบจะต้องกลับตัวเลขกันกับข้อที่ข้อความเป็นทางบวก การแปลคะแนนจะแปลจาก ผลรวมของทุกข้อก็ได้ เช่น แบบทดสอบมี 10 ข้อ มี 4 มาตรา สอบเสร็จแล้วหาคะแนนเฉลี่ย ได้ 25.0 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 5.514 คะแนน จะต้องเทียบคะแนนจากคนได้ต่ าสุด 10 คะแนน สูงสุด 40 คะแนน แต่ถ้าอยากแปลผลให้เป็นตัวเลขมาตรา 4 ระดับ ก็ให้เอาจ านวนข้อไป หารคะแนนเฉลี่ยและคะแนนส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลออกมาจะเหมือนกับคะแนนของคนสอบ เพียงข้อเดียว นั่นคือ กลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้ได้คะแนนเฉลี่ย 2.50 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.5514 คะแนน 3.8. การหาคุณภาพอื่นๆ เช่น การหาความเชื่อมั่น หาได้โดยสอบซ้ า (test-retest) แบบสอบคู่ขนาน (parallel forms) แบบหาความคงเส้นคงวาภายใน (internal consistency) ส าหรับการหาค่าความเชื่อมั่นแบบหาความคงเส้นคงวาภายในนั้นจะสอบเพียงครั้งเดียว แล้วหาค่า ความแปรปรวนของแต่ละข้อและความแปรปรวนทั้งฉบับ โดยหาค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์ แอลฟา (alpha coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) จากการวัดความพึงพอใจดังกล่าว พอสรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจของบุคคล คือการตรวจสอบความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การ ตรวจสอบต้องมีระบบแบบแผนที่เตรียมไว้ ล่วงหน้าใช้เครื่องมือวัดหลายแบบ จะสังเกตว่านักวิชาการ ส่วนใหญ่จะกล่าวถึงวิธีการใช้เครื่องมือ ที่ใกล้เคียงกันคือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์และแบบ สังเกต 2. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อัมพร พลสิทธิ์ สุธี พรรณหาญ และศักดิ์ สุวรรณฉาย (2556) ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้บูรณาการกับเทคนิคการรู้คิด ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่


25 .05 2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียนจากการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้บูรณาการ กับเทคนิคการรู้คิดมีการพัฒนาสูงขึ้น โดยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนและระหว่างเรียน พรเพ็ญ จันทรัตน์ (2556 : บทคัดย่อ) ได้ท าการศึกษา การพัฒนาการเรียนรู้กลุ่มสาระ การ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่องพลังงาน โดยใช้แบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ส าหรับ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดอ่าวบัวการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อสร้าง และหา ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องพลังงานของนักเรียนทั้งก่อนและหลังเรียน ด้วยแบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ แบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดอ่าวบัว จ านวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ (1) แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่องพลังงาน (2) แบบฝึกทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง พลังงาน (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พลังงาน (3) แบบ วัดความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นแบบ มาตราประมาณค่า 5 ระดับ และ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การหาประสิทธิภาพของแบบฝึก ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยวิธี E1/E2 การเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละและการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึก ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ค่าเฉลี่ย (X) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลของ การศึกษา พบว่า (1) ประสิทธิภาพของแบบฝึก ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ส าหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.09/83.33 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พลังงานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการ สอนโดยใช้แบบฝึกทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนร้อยละ 25.75 (3) นักเรียนมีความพึงพอใจที่ดีต่อแบบฝึก ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่องพลังงาน อยู่ใน ระดับมากที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.68 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.42 นภัสสร ชะปูแสน ทัศนา ประสานตรี และมนตรี อนันตรักษ์ (2557) ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับ การเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และศึกษาความคงทน ในการเรียนรู้ เรื่อง อาหารและสารอาหารของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน กับแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียน


26 ที่เรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้นตอน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะกระบวนการ วิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความคงทนในการเรียนรู้ด้วยการเรียนทั้ง 2 รูปแบบ ชัยศักดิ์ นาดี (2556 : บทคัดย่อ) ได้ท าการศึกษาเรื่อง การยกระดับผลสัมฤทธิ์กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องระบบสุริยะ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เพื่อยกระดับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องระบบสุริยะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาการ ก่อน เรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียนของนักเรียน และเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์หลังการใช้แบบฝึกทักษะ วิทยาศาสตร์ เทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ (E1/E2) 75/75 เครื่องมือที่ใช้ใน การศึกษาค้นคว้า คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน-หลังเรียนที่ได้วิเคราะห์หาค่าความเที่ยง ของแบบทดสอบทั้งฉบับ เท่ากับ 0.78 และแบบฝึกทักษะ ผลการวิจัยปรากฏดังนี้ (1) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่องระบบสริยะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากคะแนนความสามารถในการท า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน ชุดแบบฝึกทักษะ 11 ชุด 25 แบบฝึก ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 35.12 (2) คะแนนพัฒนาการก่อน เรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน โดยเฉลี่ยจากแบบ ฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่องระบบสุริยะ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เท่ากับ 43.83, 77.03 และ 79.13 ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจาก การเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ท าให้นักเรียนมีพัฒนาการ สูงขึ้น (3) ผลสัมฤทธิ์หลังการใช้แบบฝึก ทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่องระบบสุริยะ สูงขึ้นในทุกแบบฝึกทักษะ และเมื่อสรุปทุกชุดเทียบกับเกณฑ์ ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ (E1/E2) 75/75 โดยเฉลี่ยมีค่าสูงกว่า เกณฑ์ประสิทธิภาพ เท่ากับ 77.03 79.59 วษุนี วรรณลือชา (2558) ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับผลการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริม ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน เรื่อง ดินและการใช้ประโยชน์กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุด กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน เรื่อง ดินและการใช้ ประโยชน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ 83.84/82.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรม การเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน เรื่อง ดินและการใช้ประโยชน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียน ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน เรื่อง ดิน


27 และการใช้ประโยชน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4) ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มี ต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้น พื้นฐาน เรื่อง ดินและการใช้ประโยชน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.79 และค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.43 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน คือ ด้าน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (ค่าเฉลี่ย = 4.91, ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.29) ด้านเนื้อหา (ค่าเฉลี่ย = 4.84, ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.46)ด้านสื่อการเรียนรู้ (ค่าเฉลี่ย = 4.68, ค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน = 0.49) และด้านการวัดและประเมินผล (ค่าเฉลี่ย = 4.67, ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.54) ตามล าดับ กัณฐาภรณ์ พานเงิน (2559) ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาความสามารถในการใช้ชีวิตแบบพอเพียงอย่างมีวิจารณญาณ เรื่องชุมชนริมน้ าจันทบูร กลุ่ม สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสตรี มารดาพิทักษ์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม เรื่องชุมชนริมน้ าจันทบูร กลุ่มสาระ การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.59/87.91 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 2) ผลเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอ ยางมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ธรรญชนก ทองอ่ า (2559) ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็นฐาน เรื่อง แรงและความดัน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็นฐาน เรื่อง แรงและความดัน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทั้ง 5 ชุด มีความเหมาะสมขององค์ประกอบตามความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมาก และมีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 76.07/75.89 ซึ่งเป็นไปตาม เกณฑ์75/75 ที่ก าหนดไว้2) นักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็น ฐาน เรื่อง แรงและความดัน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็นฐาน เรื่อง แรงและความดัน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก พรรณนิภา ทับทิมเมือง และอัญชลี ทองเอม (2560) ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การทดลองทางวิทยาศาสตร์


28 ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่องแรงและพลังงานของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 นักเรียนมีทักษะกระบวนการเรียนวิทยาศาสตร์ระดับดี จ านวน 40 คน คิดเป็นร้อยละ 90.90 และดีมากจ านวน 4 คนคิดเป็นร้อยละ 9.09 2) นักเรียนมีคะแนนพฤติกรรม การเรียนรู้อยู่ในระดับดีจ านวน 18 คนคิดเป็นร้อยละ 40.90 และดีมากจ านวน 26 คนคิดเป็นร้อยละ 59.09 3) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญที่ ระดับ .05 (t=35.06, sig=0.000) 4) ความพึงพอใจต่อการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้การทดลองทางวิทยาศาสตร์ภาพโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ช่อทิพย์ มารัตนะ และวาสนา กีรติจ าเริญ (2560) ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาผลการ เรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ วัสดุและสมบัติของวัสดุของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากการจัดการ เรียนรู้สะเต็มศึกษา ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน โดยหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส าหรับการ ประเมินคุณภาพชิ้นงานของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษา พบว่าคะแนนคุณภาพชิ้นงาน ของนักเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 81.06 และมีคะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 15.75 ถึง 16.75 คะแนน ฉัตรลดา สัพโส และคณะ (2561) ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนากระบวนการทาง วิทยาศาสตร์เรื่อง วัสดุในชีวิตประจ าวันโดยการจัดการเรียนรู้โมเดลซิปปาร่วมกับแผนผังความคิดของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้โมเดลซิปปาร่วมกับแผนผัง ความคิด เรื่องสมบัติทางกายภาพของวัสดุของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 78.41/76.34 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ก าหนด 2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนการจัดการเรียนรู้โมเดลซิปปา ร่วมกับแผนผังความคิดหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติระดับ .01 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ที่เรียนการจัดการเรียนรู้โมเดลซิปปาร่วมกับแผนผังความคิด หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติ .01 4) จิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนการจัดการเรียนรู้ โมเดลซิปปาร่วมกับแผนผังความคิดอยู่ในระดับมาก อรทัย น้อยญาโณ (2561) ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาผลการจัดการเรียนด้วยชุด กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องวัสดุของสาร วิชา วิทยาศาสตร์ระดับชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมพัฒนาการ


29 เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง “วัสดุของสาร” นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน กนกวรรณ หาญกาย (2561) ได้ท าการวิจัยเรื่องผลการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดการสอนวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบสุริยะจักรวาลที่มีต่อผลสัมฤทธิ์และเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4ผลการวิชัย พบว่า ชุดการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ ร 2.65 /88.7ร สูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนด 80 /80 ดัชนีประสิทธิผลของวิชาวิทยาศาสตร์ เท่ากับ 061 นักเรียนที่ได้รับการสอน โดยใช้ชุดการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรือนสูง กว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับมาก ดรุณตรีย์ เหลากลม (2561) ได้ท าการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โมเมนตัม และการชน ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก ผลการศึกษาค้นพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก เรื่องโมเมนตัมและการชน มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 78.63/76.20 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ และ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจในการเรียนด้วยชุดกิจกรรม การเรียนรู้เชิงรุกในระดับมาก อาพิศรา ดวงธนู และจิตตรี พละกุล (2562) ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาชุดกิจกรรม การเรียนรู้เรื่องสมบัติทางกายภาพของวัสดุส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน ชลประทานอนุเคราะห์ อ าเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการ เรียนรู้มีประสิทธิภาพ (E1/ E2) เท่ากับ 89.96/80.86 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ต่อชุด กิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด วนิภา ตรีแจ่มจันท (2562) ได้ท าการศึกษาเรื่องการพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และความสามารถในการท าโครงงานของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการ เรียนรู้แบบโครงงาน พบว่า 1) ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์เรื่องแรงและการ เคลื่อนที่ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานสูงกว่าก่อนการ จัดการเรียนรู้อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการประเมินทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนมี ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก 3) ผลการพัฒนาความสามารถใน การท าโครงงานระหว่างการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนมี ความสามารถในการท าโครงงาน อยู่ในระดับมาก และ 4) ผลการประเมิน ความคิดเห็นของนักเรียน


30 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานหลังการจัดการเรียนรู้ พบว่านักเรียนมี ความคิดเห็นโดยภาพรวม อยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด 3. กรอบแนวคิดการวิจัย ภาพที่ 3.1 กรอบแนวคิดการวิจัย 4. สมมติฐานการวิจัย 4.1 ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 4.2 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม หลังเรียนโดยชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อน เรียน 4.3 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดแบบฝึกหัดเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อยู่ ในระดับสูงขึ้นไป ตัวแปรต้น ชุดแบบฝึกหัดเสริมทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดล้อม ตัวแปรตาม 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ประสิทธิภาพทางการเรียน 2. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล 3. ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดย ใช้ชุดแบบฝึกหัดเสริมทักษะ


31 บทที่ 3 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) การศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดล้อม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 4 (ธนวิถี) จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ผู้วิจัยได้ด าเนินการดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1) ประชากร นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 4 (ธนวิถี) จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 จ านวน 5 ห้อง รวม 165 คน 2) กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนเทศบาล 4 (ธนวิถี) จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 จ านวน 1 ห้องเรียน รวม 34 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ 1.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม แบบชนิดเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ 1.2 ชุดแบบฝึกส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จ านวน 5 ชุด 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล


32 2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ชุดแบบฝึกเพื่อเสริมทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ 2.2 ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5 ชุด ประกอบด้วย ชุดแบบฝึกเสริมทักษะ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ชุดแบบฝึกเสริมทักษะชุดที่ 1 การสังเกต ชุดแบบฝึกเสริมทักษะชุดที่ 2 การสังเกต ชุดแบบฝึกเสริมทักษะชุดที่ 3 การสังเกต , การลงความเห็นจากข้อมูล ชุดแบบฝึกเสริมทักษะชุดที่ 4 การสังเกต ชุดแบบฝึกเสริมทักษะชุดที่ 5 การสังเกต , การลงความเห็นจากข้อมูล 2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการ ใช้ชุดแบบฝึกเพื่อเสริมทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) จ านวน 10 ข้อ 3.3 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 1. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1. ศึกษาทฤษฎีและวิธีการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และ เกณฑ์การตรวจให้คะแนนจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2. ศึกษาเนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้ในแผนการจัดการเรียนรู้ 3. สร้างแบบทดสอบตามจุดประสงค์ที่ก าหนดไว้ โดยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งใช้ทดสอบนักเรียนทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน จ านวน 1 ฉบับ เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ 4. น าแบบทดสอบที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ จ านวน 3 ท่าน ตรวจสอบความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบใช้ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ (IOC) 5. น าข้อสอบที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนเทศบาล ๔ (ธนวิถี) จ านวน 34 คน หลังจากนั้นน า กระดาษค าตอบมาตรวจให้คะแนน ข้อที่ตอบถูกให้ 1 คะแนน ข้อที่ตอบผิดให้ 0 คะแนน


33 6. จัดพิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม เป็นแบบทดสอบฉบับสมบูรณ์ ส าหรับทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเพื่อใช้ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป 2. การสร้างชุดชุดแบบฝึกเสริมทักษะ 1. ศึกษาทฤษฎีและรูปแบบของการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะจากเอกสาร และงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง 2. ศึกษาจุดมุ่งหมายการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม เพื่อก าหนด ขอบเขต สาระการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 3. ด าเนินการสร้างชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดล้อมเพื่อใช้ในการทดลอง 4. น าชุดแบบฝึกเสริมทักษะที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ จ านวน 3 ท่าน เพื่อ ตรวจสอบรูปแบบ และความสอดคล้องด้านเนื้อหา ความครอบคลุมจุดมุ่งหมาย และความเหมาะสม ด้านเวลา (IOC) 5. น าชุดแบบฝึกเสริมทักษะที่ตรวจสอบแล้วมาแก้ไขปรับปรุงตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญ 6. น าชุดชุดแบบฝึกเสริมทักษะสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ไป ทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนเทศบาล ๔ (ธนวิถี) จ านวน 34 คน 7. น าผลที่ได้จากการทดลองชุดแบบฝึกเสริมทักษะมาค านวณหาค่าประสิทธิภาพของชุดแบบ ฝึกเสริมทักษะ โดยการหาค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) และหาค่าประสิทธิภาพของ ผลลัพธ์ (E2 ) 3. การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดแบบฝึกเพื่อเสริมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1. ศึกษารูปแบบการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ 2. ก าหนดโครงสร้างของแบบสอบถามความพึงพอใจ ประกอบด้วย เนื้อหาสาระ รูปแบบของ สื่อ และประโยชน์ที่ได้รับ 3. สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดแบบฝึกเพื่อเสริมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม จ านวน 10 ข้อ


34 4. น าแบบวัดความพึงพอใจให้ผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 คน ตรวจสอบความสอดคล้อง (IOC) แล้วน าข้อมูลมาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC (index of Item-objective congruence) (อนุวัติ คูณแก้ว, 2555, หน้า 199-200) ซึ่งใช้เกณฑ์การให้คะแนน คือ +1 คือ แน่ใจว่าข้อค าถามนั้นวัดได้ตรงตามรายการ 0 คือ ไม่แน่ใจว่าข้อค าถามนั้นวัดได้ตรงตามรายการ -1 คือ แน่ใจว่าข้อค าถามนั้นวัดได้ไม่ตรงตามรายการ 5. พิจารณาความเหมาะสมของแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน จากค่าเฉลี่ย ความเห็น ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป จึงถือว่าแบบสอบถามนั้นมีความเที่ยงตรง 6. น าแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนไปทดลองใช้(Try out) กับนักเรียนที่มี ลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่าง 7. น าแบบสอบถามมาหาค่าความเชื่อมั่น (reliability) โดยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ของครอนบัค (cronbach’s alpha coefficient) 8. จัดพิมพ์แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดแบบฝึกเพื่อเสริมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว จ านวน 10 ข้อ เพื่อน าไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดสอบเครื่องมือ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล ๔ (ธนวิถี) อ าเภอเมือง จังหวัดยะลา จ านวน 1 ห้อง รวม 34 คน 3.4 วิธีด าเนินการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1. ผู้วิจัยท าการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) จ านวน 30 ข้อ เวลา 30 นาที 2. ด าเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ จ านวน 5 ชุด 3. บันทึกคะแนนระหว่างเรียนเป็นรายบุคคลเพื่อน าไปวิเคราะห์ข้อมูล 4. เมื่อท าชุดแบบฝึกเสริมทักษะสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม เสร็จแล้ว จากนั้นให้นักเรียนท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจ านวน 30 ข้อหลังเรียน (Post-test) โดยแบบทดสอบหลังเรียนเป็นชุดเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียน 5. เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบทดสอบเรียบร้อยแล้วผู้วิจัยได้น าข้อมูลไปวิเคราะห์ผล ต่อไป


35 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยน าผลการทดสอบมาด าเนินการวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมส าเร็จรูป ผู้วิจัยได้น าเสนอผล การ วิเคราะห์ข้อมูลตามล าดับต่อไปนี้ 1. วิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดังนี้ 1. หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนโดยใช้สูตรดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 2. วิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ยร้อยละ และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนที่ได้รับจากผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3. หาค่าระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริม ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท าการวิเคราะห์ ข้อมูลโดยการหาค่าระดับความพึงพอใจ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (̅ ) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส าหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดย น าแบบสอบถามความพึงพอใจมาตรวจให้คะแนน ค่าเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง ระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง ระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง ระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง ระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง ระดับน้อยที่สุด 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลส าหรับการวิจัยครั้งนี้คือ 1. สถิติพื้นฐาน 1.1 การหาค่าเฉลี่ย สามารถหาได้จากสูตร ̅ = ∑ เมื่อ x แทน ค่าเฉลี่ย ∑ X แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนนทั้งหมด N แทน จ านวนคนทั้งหมด


36 1.2 การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สามารถหาได้จากสูตร S.D =√ N ∑ X 2 -(∑ X) 2 n(n-1) เมื่อ S.D แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนของนักเรียนแต่ละคน N แทน จ านวนคนทั้งหมด Σ แทน ผลรวม 2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคุณภาพเครื่องมือ 2.1 การหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามแต่ละข้อกับจุดประสงค์หรือเนื้อหา (Index of Item-Objective Congruence หรือ IOC) สามารถหาได้จากสูตร IOC = ∑ เมื่อ (IOC) แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหาหรือระหว่าง ข้อสอบกับจุดประสงค์ ∑R แทน ผลรวมระหว่างคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด n แทน จ านวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 2.2 ค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของการวัด โดยใช้สูตรของคูเดอร์และริชาร์ดสัน (Kuder and Richardson: KR-20) สามารถหาได้จากสูตร KR-20 − − = 2 1 1 S pq k k rtt เมื่อ tt r แทน ความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ k แทน จ านวนของแบบทดสอบทั้งฉบับ p แทน อัตราส่วนของผู้ตอบถูกในข้อนั้น q แทน อัตราส่วนของผู้ตอบผิดในข้อนั้น (1− p) 2 S แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งหมด


37 2.3 การหาความเชื่อมั่นแบบสัมประสิทธิ์แอลฟ่า ของครอนบาค (Cronbach's Coefficient alpha) สามารถหาได้จากสูตร α = −1 1 - ∑ 2 2 เมื่อ α แทน ค่าสัมประสิทธิความเชื่อมั่น k แทน จ านวนข้อของเครื่องมือวัด ∑ 2 แทน ผลรวมของความแปรปรวนของแต่ละข้อ แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวม 2.2 หาค่าความยากง่าย (difficulty) ของข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสามารถ หาได้จากสูตร N R P = เมื่อ P แทน ค่าความยากของค าถามแต่ละข้อ R แทน คือ จ านวนคนที่ตอบถูกในแต่ละข้อ N แทน จ านวนผู้เข้าสอบทั้งหมด 2.3 หาค่าอ านาจจ าแนก (discrimination) ของข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถหาได้จากสูตร 2 N R R r u − e = เมื่อ r แทน ค่าอ านาจจ าแนกเป็นรายข้อ Ru แทน จ านวนนักเรียนที่ตอบถูกในข้อนั้นในกลุ่มเก่ง Re แทน จ านวนนักเรียนที่ตอบถูกในข้อนั้นในกลุ่มอ่อน N แทน จ านวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด


38 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน 3.1 การหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามเกณฑ์มาตรฐาน โดยใช้สูตร E1/E2 = 80/80 1 = ∑ × 100 เมื่อ E1 แทน ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้ ΣX แทน ผลรวมของคะแนนกิจกรรมระหว่างเรียนของผู้เรียนทุกคน (N คน) N แทน จ านวนผู้เรียนที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพครั้งนี้ A แทน คะแนนเต็มของกิจกรรมระหว่างเรียน และ 2 = ∑ × 100 เมื่อ E2 แทน ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ΣF แทน ผลรวมของคะแนนกิจกรรมระหว่างเรียนของผู้เรียนทุกคน N แทน จ านวนผู้เรียนที่ใช้ในการประเมิน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน 3.2. การวิเคราะห์ความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สูตร t- test แบบ dependent sample สามารถหาได้จากสูตร ∑ D = √ N ∑ D 2 -(∑ D) 2 (n-1) เมื่อ D แทน ต่างระหว่างข้อมูลแต่ละคู่ ∑ D แทน ผลรวมทั้งหมดของผลต่างระหว่างข้อมูลแต่ละคู่ ∑ D แทน ผลรวมทั้งหมดของผลต่างระหว่างข้อมูลแต่ละคู่ยกก าลังสอง n แทน จ านวนกลุ่มตัวอย่าง หรือจ านวนคู่


39 บทที่ 4 ผลการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ด าเนินการเพื่อหาประสิทธิภาพของชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสาระวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนเทศบาล ๔ (ธนวิถี) ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามล าดับดังนี้ 1) สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2) การวิเคราะห์ข้อมูล 3) ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล X̅ แทน ค่าเฉลี่ย S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t แทน ค่าสถิติที่ค านวณจาก t-test E1 แทน ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้ E2 แทน ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์การเรียนรู้ 2. การวิเคราะห์ข้อมูล 2.1 ข้อมูลทั่วไป 2.2 การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2.3 การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ข้อมูลทั่วไป ผลการเก็บรวมรวมข้อมูลของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนเทศบาล ๔ (ธนวิถี) จ านวน 34 คน ได้จ าแนกการจัดตัวแปรตามเพศ ปรากฏตามตารางที่ 4.1 ดังนี้


40 ตารางที่4.1 แสดงจ านวนและร้อยละของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 จ าแนกตามเพศ ได้ดังนี้ เพศ จ านวน (คน) ร้อยละ ชาย 14 41.18 หญิง 20 58.82 รวม 34 100 จากตารางที่ 4.1 จะเห็นได้ว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนเทศบาล๔ (ธนวิถี) ระหว่างเพศชายและเพศหญิงมีจ านวน 14 ต่อ 20 คน และมีค่าร้อยละ 41.18 ต่อ 58.82 ตามล าดับ 3.2 การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ตารางที่4.2 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละของคะแนนการท าชุดแบบฝึกเสริม ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม จ านวนชุดแบบฝึกเสริมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คะแนนเต็ม X S.D. E1 5 50 42.24 2.28 84.47 จากตารางที่ 4.2 พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนการท าชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมมีค่าเท่ากับ 42.24 คิดเป็นร้อยละ 84.47


41 ตารางที่4.3 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม คะแนนเต็ม ̅ S.D. E2 30 24.44 2.44 81.47 จากตารางที่ 4.3 พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนการท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม หลังการเรียนโดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีค่าเท่ากับ 24.44 คิดเป็นร้อยละ 81.47 ตารางที่ 4.4 ประสิทธิภาพของชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดล้อม จ านวนนักเรียน ประสิทธิภาพด้านกระบวนการ (E1 ) ประสิทธิภาพด้านผลลัพธ์ (E2 ) 34 84.47 81.47 จากตารางที่ 4.4 พบว่า จากการท าชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม คิดเป็นร้อยละ 84.47 และมีคะแนนจากการท าแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม คิดเป็นร้อยละ 81.47 ดังนั้น ชุดแบบฝึกเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 จึงมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 84.47/81.47


Click to View FlipBook Version