ก
ชื่อนวัตกรรม การเล่านิทานโดยใช้ฉากนิทานเพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษา โดย นางสาววรินดา ดวงหอม ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย โรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต ๓ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดอุบลราชธานี
ก กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาเป็นอย่างยิ่งจากนายอดุลย์ ผินโพธิ์ ผู้อำนวยการโรงเรียน บ้านโพธิ์ศรี ที่ให้โอกาสผู้วิจัยได้วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะความสามารถทางภาษา ของเด็กปฐมวัย ระดับชั้นอนุบาลปีที่ ๓ ขอขอบคุณนางสาวกานต์ชนก ทางนที ที่ได้เป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำและ ติดตามการทำวิจัยครั้งนี้ ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญทุกท่านที่ได้กรุณาให้คำแนะนำและให้ข้อเสนอแนะในการวิจัย เป็นอย่างดี ขอขอบพระคุณคุณครูและนักเรียนที่ให้ความร่วมมือให้ข้อมูลทำให้วิจัยในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ขอขอบคุณคณะครูโรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในวิจัยครั้งนี้ทุกท่านที่กรุณาให้การสนับสนุน ช่วยเหลือและให้กำลังใจตลอดมา วรินดา ดวงหอม
ข ชื่อ : การพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน ชื่อนวัตกรรม : การเล่านิทานโดยใช้ฉากนิทานเพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษา บทคัดย่อ งานวิจัยนี้ เป็นวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา 256๖ จำนวนนักเรียน 15 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน และแบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงปริมาณโดยใช้การวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบ One-group Pretest - posttest design ผลการวิจัยพบว่า หลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเป็นเวลา ๑ เดือน ความสามารถทางภาษาโดยรวมของ กลุ่มเป้าหมาย มีคะแนนเฉลี่ยหลังการวิจัยสูงกว่าก่อนการวิจัย คิดเป็นร้อยละ 100 โดยก่อนการทดลองมีคะแนน ความสามารถทางภาษา ร้อยละ 25.60 และหลังการทดลองจัดกิจกรรมการเล่านิทาน เด็กปฐมวัยมีคะแนน ความสามารถทางภาษาเล็กร้อยละ 44.15 คำสำคัญ : ความสามารถทางภาษา, เด็กปฐมวัย, กิจกรรมการเล่านิทาน
ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ………………………………………………………………………………………………..……………..………. ข บทที่ ๑ บทนำ…………………….……………………………………………………...……….……….…………..…... ๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา.......................................................................... ๑ วัตถุประสงค์.................................................................................................................... ๒ ความสำคัญหรือประโยชน์ของนวัตกรรม......................................................................... ๒ ขอบเขต............................................................................................................................ ๓ กรอบแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรม............................................................................... ๓ นิยามศัพท์เฉพาะ.............................................................................................................. ๔ บทที่ ๒ แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง…….………………………………………..……….……….…………..……… ๖ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย…………………. ๖ ความสามารถทางภาษาด้านการฟัง………………………………………………………………………… ๖ ความสามารถทางภาษาด้านการพูด………………………………………………………………………… ๘ ความสามารถทางภาษาด้านการอ่าน………………………………………………………………………. ๑๐ ความสามารถทางภาษาด้านการเขียน……………………………………………………………………... 12 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนิทาน…………………………………………………………………. ๑๕ บทที่ ๓ วิธีการพัฒนานวัตกรรม…….…………………………………………..……….……….…………..…..…… 17 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง…………………………………………………………………………..………… 17 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย………………………………………………………………………………………… 17 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือวิจัย……………………………………………………………………. 17 การเก็บรวบรวมข้อมูล…………………………………………………………………………………………… 22 การวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………..………………………… 22 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………….. 22 บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………… 24 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………………………….. 24
ง สารบัญ(ต่อ) หน้า บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ………………………………………….………………………… 31 วัตถุประสงค์ของการวิจัย……………………………………………………………………………………………. 31 สมมติฐานการวิจัย……………………………………………………………………………………………………… 31 ขอบเขตการวิจัย………………………………………………………………………………………………………… 31 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย……………………………………………………………………………………………… 31 สรุปผลการวิจัย………………………………………………………………………………………………………….. 31 อภิปรายผล……………………………………………………………………………………………………………….. 32 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้…………………………………………………………………………. 33 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป…………………………………………………………………………….. 33 บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………………………………. 34 ภาคผนวก………………………………………………………………………………………………………………………… 35 ภาคผนวก ก คู่มือการใช้แบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด…. การอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัย………………………………………………………… 37 ตารางแบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย……………………………. 38 ภาคผนวก ข คู่มือการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน……………………………………………………………... 54 ตัวอย่างแผนการสอนกิจกรรมการเล่านิทาน……………………………………………….. 55 ภาคผนวก ค ภาพการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน……………………………………………………………… ๖๙ ประวัติผู้วิจัย…………………………………………………………………………………………………………………….. 75
จ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ ตารางที่ ๑ แผนการจัดประสบการณ์และแบบฝึกสังเกตความสามารถ…………………………... 18 ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ชั้นอนุบาลปีที่ 3…….……. ตารางที่ ๒ รูปแบบ One-group pretest-posttest design…………………………………….…. 22 ตารางที่ ๓ ผลการจัดกิจกรรมการเล่านิทานก่อนและหลังที่ได้รับการจัดกิจกรรม……….…… 24 ตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์คะแนนความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง…………. 25 การพูด การอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมการ………… เล่านิทาน แยกเป็นรายด้าน……………………………………………………………...……. ก1 แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย ก่อนการทดลอง (ด้านทักษะการฟัง) 38 ก2 แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย ก่อนการทดลอง (ด้านทักษะการพูด) 40 ก3 แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย ก่อนการทดลอง (ด้านทักษะการอ่าน) 42 ก4 แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย ก่อนการทดลอง (ด้านทักษะการเขียน) 44 ก1 แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย หลังการทดลอง (ด้านทักษะการฟัง) 46 ก2 แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย หลังการทดลอง (ด้านทักษะการพูด) 48 ก3 แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย หลังการทดลอง (ด้านทักษะการอ่าน) 50 ก4 แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย หลังการทดลอง (ด้านทักษะการเขียน) 52
ฉ สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ ภาพประกอบที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย……………………………………………………………………. 3 ภาพประกอบที่ 2 บัตรรูปร่างคนเพื่อให้เด็กเลียนแบบท่าทาง……………………………………….. 13 ภาพประกอบที่ ๓ การนำเสนอข้อมูลในรูปของแผนภูมิ (ด้านทักษะการฟัง).…………………… 27 ภาพประกอบที่ 4 การนำเสนอข้อมูลในรูปของแผนภูมิ (ด้านทักษะการพูด).………………….. 28 ภาพประกอบที่ ๕ การนำเสนอข้อมูลในรูปของแผนภูมิ (ด้านทักษะการอ่าน)…………………. 29 ภาพประกอบที่ 6 การนำเสนอข้อมูลในรูปของแผนภูมิ (ด้านทักษะการเขียน)……………….. 30
1 บทที่ ๑ บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ภาษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตมนุษย์เป็นเครื่องมือสำคัญของการคิดซึ่งจะนำไปสู่พัฒนาการทางเชาว์ปัญญา ในขั้นสูงก่อให้เกิดการเรียนรู้เด็กใช้ภาษาสื่อสาร แสดงความต้องการควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่นแสดงความเป็น ตัวตนของเด็กค้าหาข้อมูลจินตนาการ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ หากไม่มีภาษาการติดต่อสื่อสารย่อมเป็นไปด้วย ความยากลำบาก ภาษาเป็นระบบที่มีความชับซ้อน ครูจึงควรทำความเข้าใจความหมายของภาษาให้กระจ่างชัดเพื่อ ปรับมุมมองของตนที่มีต่อภาษาให้ถูกต้องเพื่อพัฒนาการออกแบบการจัดประสบการณ์ส่งเสริมศักยภาพทางภาษา ให้แก่เด็กปฐมวัยได้ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน, 2552)กระบวนการเรียนรู้สำหรับเด็กนั้น จะพัฒนตามลำดับจากการเลียนเสียงที่ได้ยินได้ฟังได้สัมผัส การลองผิดลองถูกแสดงท่าทางตามเสียงนั้น เมื่อได้รับ การทดลองแล้วได้รับการตอบสนอง เด็กจะสะสมความจำและรับการใช้ภาษานั้นมาเป็นของตนการส่งเสริมการ เรียนรู้ภาษาที่ดี คือการเปิดโอกาสให้เด็กพูด สนทนา โต้ตอบ หัดฟัง ฝึกอ่านการได้เล่าเรื่องล้วนเป็นการสร้างความ งอกงามในการเรียนรู้ภาษาให้กับเด็กทั้งสิ้น (กุลยา ตันติผลาชีวะ2551) การส่งเสริมศักยภาพทางภาษาและการรู้ หนังสือสำหรับเด็กปฐมวัยครูจำเป็นต้องศึกษาพัฒนาการทางภาษาของเด็กทั้งด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการ เขียน เพื่อใช้เป็นแน่วทางในการจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาที่เหมาะส้ม (สำนักวิชาการและ มาตรฐานการศึกษา, 2552) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยตามที่ พิทยาภรณ์ สิงห์กานตพงศ์ (2553) กล่าวไว้ควรเริ่ม การสร้างตัวอย่างให้เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้ผู้อ่านสื่อที่เด็กมีความสนใจตามช่วงวัยและพัฒนาการนิทานนับเป็นสื่อ ทางการเรียนรู้ที่เด็กปฐมวัยให้ความสนใจที่ดีอย่างหนึ่งการสร้างตัวอย่างผ่านนิทาน จึงเป็นรูปแบบที่ควรนำไปใช้เพื่อ สร้างเสริมพฤติกรรมสังคมทางบวก ให้เกิดแก่เด็กปฐมวัยหลังจากนั้นควรสร้างโอกาสให้เด็กมีส่วนในการมี ประสบการณ์ตรง หรือผ่าน การจำลองสถานการณ์จริงที่ใช้นิทานเป็นการดำเนินกิจกรรมดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ โดยตรงของครูพ่อแม่ และผู้เลี้ยงดูเด็กจะต้องพิจารณาเลือกสรรสื่อที่จะให้เด็กได้รับสารอันพึงประสงค์ ในบรรดาสื่อ ที่หลากหลาย นิทานเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากนักการศึกษาว่าเป็นวิถีทางที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งใน การพัฒนาจิตใจมนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน (ดวงเดือน แจ้งสว่าง,2542) สอดคล้องกับ กุลยา ตันติผลา ชีวะ (2548) กล่าวไว้ว่า นิทานเป็นอุปกรณ์สำคัญของครูปฐมวัยที่ใช้ในการสอนนิทานเป็นเครื่องมือการสอนที่มี ประสิทธิภาพ สามารถจูงใจให้ผู้เรียนคล้อยตาม กระตุ้นให้คิดกระตุ้นให้แสดงออกและเป็นแบบหล่อหลอมพฤติกรรม ต่อการเรียนการสอน นิทานช่วยการสอนของครูปฐมวัยในด้านเป็นสื่อนำเข้าสู่บทเรียน สื่อการสอนภาษาการคิด แก้ปัญหา การศึกษาตามจุดประสงค์ของครูเป็นแหล่งการเรียนรู้ด้วยการฟังเป็นเครื่องบันเทิงใจ ผ่อนคลายอารมณ์ เพื่อฝึกการควบคุมตนเองในด้านอารมณ์ สมาธิ และการฟัง ส่งเสริมการอ่านและเป็นสื่อประกอบการเรียนเพื่อสร้าง แรงจูงใจการพัฒนาคุณลักษณะพฤติกรรมสังคมทางบวกของเด็กปฐมวัยสามารถทำได้หลากหลายวิธี แต่วิธีที่เด็ก ชอบมากที่สุดคือการจัดกิจกรรมเล่านิทานนิทานเป็นสิ่งเร้าในการเรียนรู้ของเด็กซึ่งมักชอบคิดเปรียบตนเองกบตัว ละครในนิทาน ทำให้เด็กเข้าใจตัวละครได้ดีขึ้นและเป็นการสอดคล้องกับพัฒนาการทางด้านสังคม ทั้งนี้ อัครภูมิ จารุ ภากร และพรพิไล เลิศวิชา (2551)กล่าวว่า นิทานเป็นที่จำลองสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในโลกมาไว้ในนิทาน เมื่อเด็กฟัง เรื่องราวจากนิทานต่อเนื่องนานเข้าเหมือนเด็กได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในโลกเช่นเดียวกัน นอกจากนิทานจะมีคุณค่าแล้ว
2 การเลือกนิทานเพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการปรับและส่งเสริมพฤติกรรมสังคมทางบวกของเด็กปฐมวัยก็มี ความสำคัญอย่างมาก การเลือกนิทานให้เหมาะสมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ย่อมที่ว่าให้เกิดคุณค่ามากมาย มหาศาลต่อเด็กปฐมวัย นิทานเป็นสื่อการสอนที่สำคัญสำหรับเด็กปฐมวัยเพราะการเล่านิทานเป็นวิธีการให้ความรู้วิธีหนึ่ง ที่เด็กให้ความสนใจ อยากรู้อยากทำตามและมีแรงจูงใจที่จะปิดรับพฤติกรรมที่พึงปรารถา นิทานสามารถทำให้เด็ก คล้อยตามเนื้อหานิทานที่ครูเล่า การได้มีปฏิสัมพันธ์ทางภาษาจากการดได้ฟังได้ตอบโต้ ได้ตอบ ซึ่งเป็นปัจจัยเหล่านี้ ช่วยให้เด็กพัฒนาภาษาได้อย่างดี (กุลยา ตันติผลาชีวะ, 2551) กระบวนการเรียนรู้ที่นำนิทานเข้ามาเป็นสื่อเพื่อการ เรียนรู้ในสาระวิชาต่าง " โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะทางภาษาด้านการฟัง การพูดการอ่าน และการ เขียน การนำข้อคิดในด้านคุณธรรมจริยธรรม ค่านิยม ที่ได้รับจากนิทานสู่การปฏิบัติในชีวิตจริงผู้เรียนมีความสุข สนุกกับการเรียนรู้ (สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ,2545 การที่ครูหรือผู้ใหญ่ ได้ใกล้ชิดเด็กโดยการเล่านิทานหรือ เล่าเรื่องราวต่าง ๆ จะเป็นเครื่องช่วยให้เข้าใจเด็กได้ดี ช่วยเสริมสร้างคุณลักษณะที่ดีตอบสนองความต้องการทาง ธรรมชาติของเด็ก ช่วยชดเชยประสบการณ์ทางภาษาแก่เด็กในชนบทให้มี่ความเท่าเทียมกับเด็กในเมือง เสริมสร้าง พัฒนาการทางภาษา ความคิดและจินตนาการแก่เด็ก สร้างทักษะฝึกให้เป็นนักฟังที่ดี (วาโร เพ็งสวัสดิ์, 2544) การ เล่านิทานเป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้แก่ผู้เรียน โดยเฉพาะเด็กปฐมวัย เป็นวัยที่ชอบฟังนิทานเป็นอย่างยิ่ง เราสามารถนำเอาวิธีการเล่านิทานมาใช้เพื่อเกิดประโยชน์ปลูกฝังให้เป็น เด็กช่างคิด ช่างถามและซ่างสังเกต ขณะเล่านิทานให้ลูกฟังลูกอาจจะไม่เข้าใจข้อความบางตอนหรือศัพท์บางคำลูกก็ อาจจะถามหรือให้เล่าซ้ำพฤติกรรมเช่นนี้ จะทำเด็กเป็นคนที่กล้าถาม กล้าแสดงออก ทำให้เด็กเข้าใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้นไป ฝึกหัดทักษะทางภาษา เช่น การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน เป็นการฝึกทักษะทางด้านการอ่าน ช่วยให้เด็กรักการอ่านทำให้เด็กมีความฉลาดทางปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ (กรมวิชาการ, 2546) จากปัญหาดังกล่าวผู้ศึกษาจึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อหาแนวทางและวิธีการแก้ไขเด็กปฐมวัยให้มีทักษะการพูด ออกเสียงที่ถูกต้อง และสามารถฟังและปฏิบัติตามคำสั่งได้ ดังนั้นจึงได้สนใจใช้นิทานเพื่อพัฒนาทักษะการฟังและ การพูดของเด็กปฐมวัย สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัด อุบลราชธานี ซึ่งข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้จะเป็นแนวทางสำหรับครู ผู้บริหาร ตลอดจนผู้เกี่ยวข้อง จาก การศึกษาจะเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมเพื่อสงเสริมพัฒนาการทางภาษาและทักษะการฟังและการพูดเพื่อ พัฒนาเด็กให้มีพัฒนาการทางภาษาที่ดีขึ้น ผลที่ได้รับสื่อสารของเด็กปฐมวัย อันเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเด็ก ให้เกิดความพร้อม ตลอดจนเป็นการปูพื้นฐานทางภาษาเพื่อการเรียนรู้ในชั้นสูงตอไปในอนาคตได้นำไปใช้จัด ประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ก่อนและหลังได้รับการจัด กิจกรรมการเล่านิทาน ความสำคัญหรือประโยชน์ของนวัตกรรม 1. นักเรียนมีความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยชั้นปฐมวัยปีที่ 3 ที่ดีขึ้น 2. เป็นกิจกรรมที่สามารถพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย
3 ขอบเขต ๑. กลุ่มเป้าหมาย เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี ตำบลโพธิ์ศรีอำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวนนักเรียน 18 คน กลุ่มตัวอย่าง เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี ตำบลโพธิ์ศรีอำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวนนักเรียน 1๕ คน เลือกแบบเจาะจง ๒. ตัวแปรที่ศึกษา ๒.๑ ตัวแปรอิสระ ได้แก่กิจกรรมการเล่านิทาน ๒.๒ ตัวแปรตาม ได้แก่ความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ๓. ระยะเวลาในการพัฒนานวัตกรรม ๑ เดือน กรอบแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรม ตัวแปรอิสระ (Independent Variables) - การจัดกิจกรรมเล่านิทาน ภาพประกอบที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรตาม (Dependent Variable) ความสามารถทางภาษา - ด้านการฟัง - ด้านการพูด - ด้านการอ่าน - ด้านการเขียน
4 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. เด็กปฐมวัย หมายถึง ผู้เรียนที่มีอายุระหว่าง 5-6 ปี และกำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียน ที่ ๑ ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี 2. ความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย หมายถึง การแสดงออกของเด็กปฐมวัยในการสื่อสารทาง ภาษา ประกอบด้วย 2.1 ความสามารถด้านการฟัง หมายถึง ความสามารถของเด็กปฐมวัยในการเข้าใจ ความหมายของ คำ ได้แก่ การบอกความหมายหรือสื่อความหมายในคำที่ได้ยินถูกต้อง และการปฏิบัติตามคำสั่ง ได้แก่ การฟังคำสั่ง ได้อย่างเข้าใจและปฏิบัติตามได้ถูกต้อง 2.2 ความสามารถด้านการพูด หมายถึง ความสามารถของเด็กปฐมวัยในการบอกชื่อสิ่งต่างๆ ได้แก่ การบอกชื่อสิ่งต่างๆ ที่เห็นในภาพได้ถูกต้อง การแต่งประโยคปากเปล่า ได้แก่ การพูดสื่อความหมายจากภาพเป็น เรื่องราวได้ชัดเจน และการเล่าเรื่อง ได้แก่ การพูดสื่อความหมายจากภาพได้เป็นเรื่องราวอย่างต่อเนื่องเป็นประโยค สมบูรณ์ คือ ใคร ทำอะไร ที่ไหน ได้อย่างถูกต้อง 2.3 ความสามารถด้านการอ่าน หมายถึง ความสามารถพื้นฐานของเด็กปฐมวัยในการรับรู้คำโดยรวม โดยไม่แยกออกเป็นแต่ละตัว อักษรหรือสระ แต่ละพยางค์ เป็นการจำรูปภายนอกของคำแต่ละคำ และสามารถ เชื่อมโยงคำกับภาพได้ ความสามารถด้านการอ่านออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 2.3.1 การสังเกตเปรียบเทียบ หมายถึง การสังเกตเปรียบเทียบรายละเอียดของภาพ สัญลักษณ์ ทิศทาง ระยะ ความเหมือนความแตกต่างของภาพ สัญลักษณ์ต่างๆ 2.3.2 การหาความสัมพันธ์ระหว่างภาพกับสัญลักษณ์ หมายถึง การสังเกตภาพ สัญลักษณ์ ที่ สัมพันธ์กันระหว่างภาพกับสัญลักษณ์ หรือภาพกับคำในลักษณะต่างๆ 2.3.3 ศัพท์สัมพันธ์ หมายถึง ความเข้าใจในการเชื่อมโยงคำศัพท์กับสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือมี ความสัมพันธ์กับคำศัพท์นั้น 2.4 ความสามารถด้านการเขียน หมายถึง ความสามารถทางการแสดงออกในการเขียนที่มีการ เปลี่ยนแปลงความสามารถด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยที่แตกต่างไปจากเดิมและอยู่ในขั้นใด ขั้นหนึ่งของ ความสามารถด้านการเขียนที่แบ่งเป็น 1-4 ขั้น ได้แก่ 2.4.1 ขั้นวาดเขียนแทน หมายถึง วาดภาพอย่างเดียว ไม่เขียนสื่อความหมาย บอกความหมาย ของภาพที่วาดได้เหมาะสมและเชื่อมโยงเป็นเรื่องราวได้สัมพันธ์กัน 2.4.2 ขั้นเขียนต่างๆ แทนเขียน หมายถึง เขียนขีดเขี่ยจากซ้ายไปขวาได้บ่อยครั้ง บอกความหมาย ของสิ่งที่ขีดเขี่ยได้และเชื่อมโยงเรื่องราวได้สัมพันธ์กัน 2.4.3 ขั้นเขียนตัวอักษรที่รู้จักด้วยวิธีที่คิดขึ้นเอง หมายถึง เขียนคำที่เขียนได้ด้วยสลับที่ตัวอักษร เขียนตัวอักษรกลับ 2.4.4 ขั้นเขียนโดยคัดลอกตัวหนังสือ หมายถึง คัดลอกตัวอักษรที่เห็นอยู่รอบๆ ตัว อาจลอกหมด ทุกตัวหรือลอกเฉพาะคำที่ต้องการไปพร้อมกับคำที่เขียนได้แล้ว บอกความหมายได้เชื่อมโยงเป็นเรื่องราวได้สัมพันธ์ กัน
5 3. กิจกรรมการเล่านิทาน หมายถึง การเล่านิทานที่เด็กเป็นผู้เล่าเรื่องตามรูปในหนังสือนิทานทีกลุ่ม ๆละ 4 คนๆ ละ 3 นาที โดยให้เด็กเล่านิทานต่อๆ กันตามจิตนาการของคนเองโดยเนื้อเรื่องต้องต่อกันจนจบเรื่อง โดยมี ขั้นตอนดังต่อไปนี้ ๔. นิทาน หมายถึง เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาเพื่อให้เด็กเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและความบันเทิง มี การสอดแทรกคติธรรม คุณธรรมและจริยธรรม สามารถนำความรู้มาปรับเปลี่ยนประยุกต์ใช้ในชีวิตปนระจำวัน และ เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตได้
6 บทที่ ๒ แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยจึงศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยเสนอตามลำดับหัวข้อ 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย 1.1 ความสามารถทางภาษาด้านการฟัง 1.2 ความสามารถทางภาษาด้านการพูด 1.3 ความสามารถทางภาษาด้านการอ่าน 1.4 ความสามารถทางภาษาด้านการเขียน ๒. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนิทาน 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย 1.1 ความสามารถทางภาษาด้านการฟัง ความหมายของการฟัง เยาวพา เดชะคุปต์ (2542 : 63) กล่าวว่า การรับฟังหรือรับสัญญาณหรือข่าวสารที่มีผู้ส่งมาให้ ทักษะในการรับข้อมูลได้แก่ การอ่านและการฟัง กุลยา ตันติผลาชีวะ (2542 : 147-148) ได้กล่าวว่า การฟังของเด็กเป็นการรับรู้เรื่องราวด้วย ประสาทสัมผัสทางหู ที่เด็กสะสมแล้วนำไปสร้างเสริมพัฒนาการทางภาษามากกว่าการใช้เพื่อพัฒนาปัญญา เด็กจะเก็บคำพูด จังหวะเรื่องราว จากสิ่งที่ฟังมาสานต่อเป็นคำศัพท์ เป็นประโยคที่จะถ่ายทอดไปสู่การพูด ถ้าเรื่องราวที่เด็กได้ฟังมีความชัดเจน ง่ายต่อการเข้าใจ เด็กจะได้คำศัพท์และมีความสามารถมากขึ้น สรุปได้ว่า การฟังเริ่มต้นจากการได้ยิน รับฟังเข้าใจ คิดแล้วนำไปใช้ประโยชน์ เป็นกระบวนการที่ เป็นขั้นตอนและเป็นลำดับของผู้ฟัง ซึ่งการฟังของเด็กปฐมวัยในการวิจัยครั้งนี้เป็นการเข้าใจความหมายของ คำ การปฏิบัติตามคำแนะนำหรือคำสั่งได้ถูกต้อง และสามารถถ่ายทอดมาเป็นประโยคไปสู่ทักษะการพูดของ เด็กปฐมวัย ความสำคัญของการฟัง วรรณี โสมประยูร (2537 : 89) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการฟังไว้ดังนี้ 1. การฟังเป็นทักษะทางภาษาที่ใช้มากที่สุด 2. การฟังช่วยให้เกิดปัญญาและความรู้ 3. การฟังเป็นส่วนสำคัญของการพูด การอ่าน และการเขียน 4. การฟังช่วยให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน 5. การฟังช่วยขยายความรู้ ความคิด และประสบการณ์ รวมทั้งการคิดค้นงานใหม่ๆ 6. การฟังช่วยในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ของสังคม 7. การฟังช่วยในการเลือกประเมินและตัดสินต่างๆ ได้ถูกต้องดียิ่งขึ้น
7 สรุปได้ว่า การฟังเริ่มจากการได้ยินเสียง โดยเฉพาะเด็กปฐมวัยทักษะการฟังเป็นสิ่งที่ควรส่งเสริมให้ เด็กได้มีพื้นฐานทักษะการฟัง มารยาทการฟัง เด็กวัยนี้จะพัฒนาได้ดีเด็กต้องมีความพร้อมอาศัยวุฒิภาวะ เวลา การฟังช่วยขยายความรู้ ความคิดและประสบการณ์เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาทักษะทางภาษา องค์ประกอบของการฟัง สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2528 : 2) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบในการฟังไว้ดังนี้ 1. การจำแนกเสียง 2. การฟังคำพูด คำสั่ง เข้าใจและปฏิบัติตามให้ถูกต้อง 3. มารยาทในการฟัง 4. การฟังนิทานหรือเรื่องราวแล้วจับใจความได้ 5. การฟังเพลง คำคล้องจอง และการเล่นที่สร้างเสริมประสบการณ์ทางภาษา สรุปได้ว่า องค์ประกอบของการฟัง ที่สำคัญได้แก่ การเข้าใจความหมายของคำและการปฏิบัติตามคำสั่งได้ การฟังนิทานหรือเรื่องราว สามารถจับใจความว่า ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร โดยถ่ายทอดจากการฟังและเล่าเป็น เรื่องราว ประเภทของการฟัง เยาวพา เดชะคุปต์ (2542 : 79) การฟังมีหลายประเภท ได้แก่ 1. การฟังอย่างเงียบ 2. การฟังอย่างตั้งใจ ได้แก่ การฟังคำสั่ง การฟังประกาศเพื่อปฏิบัติตาม 3. การฟังอย่างชื่นชม เช่น การฟังดนตรี 4. การฟังอย่างวิเคราะห์ สามารถแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้ สรุปได้ว่า ประเภทของการฟังได้คือ ฟังเพื่อความเข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้องและการฟังเพื่อแสดงความ คิดเห็น สำหรับเด็กปฐมวัยควรจัดให้มีการฟังเพื่อเด็กสามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้ถูกต้องและสามารถวิเคราะห์ แยกแยะสิ่งต่าง ๆ ได้ พัฒนาการความสามารถด้านการฟังของเด็กปฐมวัย เด็กทารกจะเริ่มเรียนรู้ภาษาด้วยการฟังผู้อื่นก่อนแล้วจึงจดจำทำเลียนแบบเป็นภาษาพูดอันเป็นผลทำให้การ ติดต่อหรือสื่อความหมายกับบุคคลรอบข้างเป็นไปได้มากขึ้นตามลำดับ นิตยา ประพฤติกิจ (2536 : 178-179) และหรรษา นิลวิเชียร (2535 : 198-199) ได้กล่าวถึงความสามารถทางภาษาด้านการฟังของเด็กในแต่ละช่วง อายุไว้ดังนี้ อายุ 0-2 ปี พยายามเลียนเสียงที่ได้ยิน เข้าใจคำและประโยคต่างๆ ชอบฟังโฆษณาทางโทรศัพท์ และเสียงที่ สะกิดใจ ชอบฟังเรื่องสั้นๆ และเพลงกล่อมเด็ก อายุ 3 ปี ชอบฟังเสียงต่างๆ ที่ได้ยินคุ้นหูอยู่เช่น เสียงสัตว์ ยานพาหนะ เครื่องใช้ในครัว ชอบฟังนิทานที่ ผู้ใหญ่อ่านให้ฟังแบบสองต่อสอง ฟังไม่ได้นาน และฟังอย่างตั้งใจ สามารถเข้าใจภาษาพูดง่ายๆ ของผู้ใหญ่ เช่น อย่า ไม่ การปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ใหญ่ยังไม่สม่ำเสมอ สามารถเชื่อมโยงเสียงกับวัตถุที่ใช้ทำเสียงได้
8 อายุ 4 ปี ฟังเรื่องได้นานขึ้น อาจเลือกหนังสือให้ผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง สามารถปฏิบัติตามคำสั่งง่ายๆ ได้ บางครั้ง จะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินหรือไม่สนใจคำสั่งหรือเสียงเรียก ชอบฟังเรื่องซ้ำๆและสามารถจำแนกความแตกต่างของ เสียงได้ อายุ 5 ปี ตั้งใจฟังนานขึ้น ชอบฟังนิทาน เพลง คำคล้องจอง สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้มากขึ้น เข้าใจคำพูด ข้อความยาวๆ ของผู้ใหญ่ อายุ 6 ปี ชอบฟังเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับธรรมชาติและปรากฏการณ์ต่างๆ สรุปได้ว่า เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทางด้านการฟังเป็นอันดับแรก ต่อจากนั้นก็จะจดจำและเชื่อมโยงสิ่งที่ได้รับ ฟังกับประสบการณ์สื่อออกมาเป็นภาษาพูด ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาไปสู่การเขียนและการอ่านต่อไป สามารถ ฟังและปฏิบัติติตามคำสั่งง่ายๆ ได้ถูกต้อง แนวทางในการส่งเสริมการฟัง เยาวพา เดชะคุปต์ (2542 : 79) กล่าวถึงการจัดประสบการณ์ในการฟังไว้ว่า ครูควรมีวิธีการดังนี้ 1. ให้เด็กนั่งฟังอย่างสบาย 2. ให้เด็กเข้าใจว่าการฟังเป็นสิ่งสำคัญ ควรตั้งใจฟังผู้อื่น และฝึกมารยาทในการรับฟังด้วย 3. การปฏิบัติงานในการสอนฟัง ครูควรปฏิบัติดังนี้ 3.1พูดด้วยน้ำเสียงปานกลางพอที่เด็กจะได้ยิน ไม่ควรตะโกนตะเบ็ง หรือพูดค่อยจนเกินไป 3.2อย่าพูดมากจนเกินไป จนเด็กหมดความสนใจและไม่ตั้งใจฟัง 3.3ให้เวลาเด็กเตรียมพร้อมที่จะรับฟัง เช่น ให้เด็กเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะพูดกับเด็ก ๓.๔ อธิบายให้เด็กเตรียมพร้อมโดยใช้คำพูดง่ายๆ และมีการเตรียมตัวล่วงหน้าตัวล่วงหน้า สรุปได้ว่า การฟังมีความสำคัญและความจำเป็นมากสำหรับเด็กปฐมวัย ในการสอนการฟังให้กับเด็กปฐมวัย นั้น มีการเตรียมความพร้อมโดยใช้คำพูดง่าย ๆ ควรพูดให้มีความชัดเจน มีความกระชับ ไม่เสียงดังหรือเสียงค่อย เกินไป และที่สำคัญไม่ควรพูดมากเกินไป ครูควรใช้คำพูดที่ง่ายๆ ในการฟังสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น สามารถจัด กิจกรรมได้หลายรูปแบบ เช่น การฟังตามคำสั่งได้ การฟังนิทานได้ 1.2 ความสามารถทางภาษาด้านการพูด ความหมายของการพูด จุฑา สุกใส (2545 : 17) ได้กล่าวว่า การพูด หมายถึง การแสดงความรู้สึกจากการได้ฟังและการคิด แล้ว สื่อออกมาให้ผู้อื่นได้เข้าใจ อาจเป็นการแสดงความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ ความรู้และประสบการณ์ โดยการเปล่ง เสียงออกมาเป็นถ้อยคำ ซึ่งต้องอาศัยขบวนการต่างๆ ทำงานอย่างต่อเนื่องและประสานกัน คือ ขบวนการหายใจ ขบวนการหายใจ ขบวนการเปล่งเสียง ขบวนการแปรเสียงและการกำหนดเสียงเพื่อให้ผู้ฟัง ฟังแล้วเข้าใจได้อย่าง ถูกต้อง สรุปได้ว่า การพูดเป็นการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น โดยการเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำ เพื่อสื่อสารให้ผู้ฟัง เข้าใจ ความหมาย ความต้องการ ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ซึ่งการพูดของเด็กปฐมวัยในการวิจัยครั้งนี้เป็นการ บอกชื่อชิ้นงาน เล่าผลงานของตนเอง เล่าเรื่องราว อ่านคำศัพท์ การตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อเรื่องนิทาน
9 ความสำคัญของการพูด นภเนตร ธรรมบวร (2544 : 113-114) กล่าวว่า พัฒนาการทางการพูด การพูดถือเป็นการแสดงออก ทางพัฒนาการภาษาด้านหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญพอๆ กับการเขียนเลยทีเดียว การพูดเป็นการรวบรวมประสบการณ์ ต่างๆ ของเด็กๆ เข้าด้วยกัน อันได้แก่ ความรู้สึก การรับรู้ การเรียนรู้ ความจำ และความรู้ความเข้าใจ สมาพร สามเตี้ย (2545 : 19) ได้กล่าวว่า การพูดมีความสำคัญสำหรับมนุษย์เป็นอันมาก เนื่องจากเป็น เครื่องมือในการสื่อความหมายที่ดีที่สุดระหว่างผู้พูดและผู้ฟังได้รวดเร็วกว่าการสื่อความหมายด้วยวิธีอื่นๆ การพูด เป็นการเห็นได้ทราบถึงความต้องการของผู้พูดต่อผู้ฟังได้เป็นดีทั้งยังช่วยสร้างความเข้าใจต่อมนุษย์ด้วยกัน เนื่องจาก การพูดต้องใช้ระดับเสียงตามสถานการณ์ต่างๆ ที่เหมาะสมและได้เห็นท่าทางในการพูด สรุปได้ว่า การพูดมีความสำคัญต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก การพูดเป็นการรวบรวมประสบการณ์ต่าง ๆ ของ เด็ก เป็นการสื่อความเข้าใจระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัยนั้น ส่งเสริมให้เด็กสามารถบอกชื่อสิ่ง ต่างๆ สื่อความหมายจากภาพเป็นเรื่องราวได้ ตลอดจนแปลความหมายของคำพูดเป็นประโยคสมบูรณ์ คือ ใคร ทำ อะไร ที่ไหน ได้อย่างถูกต้อง พัฒนาการความสามารถด้านการพูด กุลยา ตันติผลชีวะ (2542 : 111) กล่าวว่า เด็กจะเริ่มพูดเป็นคำเมื่ออายุ 1 ขวบ แสดงท่าทางประกอบได้ แต่ถ้าอายุเกิน 11⁄2 ขวบ แล้วยังไม่พูด ควรปรึกษาแพทย์ ถ้า 2 ขวบ แล้วพูดได้ 1 คำ ถือว่าพูดช้ามาก เพราะอายุ 11⁄2 ขวบ เด็กควรพูดได้ 4-10 คำ ชี้รูปได้ เรียกลูกบอลได้ เมื่ออายุ 2 ขวบ ใช้สรรพนามได้ พูดเป็นประโยค บางครั้งอาจจะไม่รู้เรื่อง แต่จะพูดได้ดีขึ้น เด็กชายมักพูดช้ากว่าเด็กหญิง สาเหตุที่เด็กพูดช้าที่พบนอกจากความ ผิดปกติของหูแล้วยังพบว่าเกี่ยวกับสภาพจิตใจ เช่น อิจฉาน้อง หรือในครอบครัวใช้ภาษาแตกต่างกันมากเด็กสับสน แต่เมื่ออายุ 3 ขวบขึ้นไป ถึง 6 ขวบ เด็กจะพูดได้คล่องเป็นเรื่องราว สรุปได้ว่า พัฒนาการความสามารถด้านการพูดของเด็กปฐมวัย เริ่มจากพูดออกเสียง พูดทีละคำ แทน ประโยค 1 ประโยค เมื่อเด็กโตขึ้นความพร้อมทางด้านภาษาดีขึ้น เด็กจะสามารถเรียนรู้การผูกประโยคต่างๆ เป็น การสื่อความหมาย ความคิด ความต้องการของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจได้เป็นอย่างดี และสามารถพัฒนา สื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจโดยการพูดเป็นประโยคต่าง ๆ กระบวนการพูด สุภาวดี ศรีวรรธนะ (2542 : 68-70) กระบวนการในการพูดของเด็กปฐมวัยประกอบด้วยกระบวนการ 3 ขั้นตอน คือ การออกเสียง การสร้างคำ การสร้างประโยค
10 สรุปได้ว่า การพูดของเด็กปฐมวัยนั้น เด็กจะเริ่มเปล่งเสียงร้องที่ไม่มีความหมายก่อน เด็กจะค่อยๆ พัฒนา เป็นคำพูดเดียวก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาเป็นประโยคสั้นๆ และมีความซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นกระบวนการพูดของเด็ก ปฐมวัยจึงประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การออกเสียง การสร้างคำ และการสร้างประโยค การจัดกิจกรรมส่งเสริม การพูดที่เหมาะสมและสอดคล้องกับพัฒนาการจะช่วยให้เด็กมีการพัฒนาการพูดที่ดีและเหมาะสมกับวัยมากที่สุด โดยการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กนั้นคือการเล่านิทานประกอบฉาก แนวทางในการส่งเสริมความสามารถด้านการพูด เยาวพา เดชะคุปต์ (2542 : 75-76) กล่าวว่าแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาการทางการพูดจะต้องคำนึงถึง ตัวครู การจัดบรรยากาศ และจุดมุ่งหมายของกิจกรรม ดังต่อไปนี้ 1. การฝึกพูดควรฝึกในกลุ่มเล็กๆ เพื่อให้มีการตอบสนองระหว่างครู และนักเรียนให้มากที่สุด 2. การฝึกพูดควรอยู่ในลักษณะที่เป็นธรรมชาติที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาในกลุ่มย่อยหรือในขณะที่เด็ก กำลังเล่น 3. บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในการพูด ควรเป็นบรรยากาศที่เด็กรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย สบายใจที่จะ แสดงออก และมีอิสระ 4. ให้เด็กเกิดนิสัยที่ดีในการพูดและสามารถใช้คำพูดได้อย่างเหมาะสม 5. เปิดโอกาสให้เด็กเล่าประสบการณ์ของตนเอง สรุปได้ว่า การส่งเสริมความสามารถด้านการพูดของเด็กปฐมวัย สามารถจัดกิจกรรมได้อย่างหลากหลาย เช่น การเล่าเรื่องจากประสบการณ์จริงที่มีอยู่ใกล้ตัวเด็ก รวมทั้งสิ่งที่อยู่รอบตัวเด็ก การพูดแสดงความรู้สึก การให้ เด็กได้แสดงออกในโอกาสต่างๆ การเล่าประสบการณ์ของนักเรียน การเล่านิทานประกอบฉาก 1.3 ความสามารถทางภาษาด้านการอ่าน ความหมายของการอ่าน ปิยรัตน์ กลอนดอน (2547 : 7) ได้กล่าวว่า การอ่าน คือ การสร้างความหมายจากภาพ สัญลักษณ์ โดย อาศัยความรู้ ประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน และสิ่งชี้แนะในการคาดคะเนและตรวจสอบความหมายที่อ่าน สุทธิรัตน์ คุ่ยสวัสดิ์ (2547 : 48) ได้กล่าวถึง ความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการทาง สมองที่ใช้สื่อความหมายตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ ออกมาในรูปของความคิด ความเข้าใจ แล้วนำไปใช้ให้เป็น ประโยชน์โดยตัวอักษรที่ใช้เป็นเพียงเครื่องหมายแทนคำพูด และคำพูดเปรียบเสมือนเครื่องหมายความคิดอีกทีหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการนำไปใช้ในการฝึกทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน ได้อย่างถูกต้อง และสามารถใช้สื่อสารกับผู้อื่นได้ อย่างดี สรุปได้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการในการแปลความหมายของตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ภาพ ออกมาเป็น ถ้อยคำ เพื่อสื่อความหมายของสัญลักษณ์หรือตัวอักษรที่อ่าน จึงต้องอาศัยประสบการณ์เดิมของผู้อ่านเป็นพื้นฐาน เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถนำความคิดไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อในชีวิตประจำวันและสามารถใช้สื่อสาร กับบุคคลอื่นได้
11 ความสำคัญของการอ่าน อุทัย ภิรมย์รื่น (2541 : 27) การอ่าน เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่จะช่วยให้เกิดความรู้และ ความคิดเห็นเท่าทันความเป็นไปในสังคม และสามารถเลือกรับข่าวสารที่เป็นประโยชน์มากที่สุดในยุคปัจจุบันที่ ประกอบด้วยข้อมูลข่าวสาร ที่ผ่านสื่อต่างๆ มากมายและหลากหลาย สรุปได้ว่า การอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาบุคคลและ ประเทศชาติ โดยการเริ่มปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็กด้วยการเสริมสร้างให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน เพื่อให้เด็กเกิดความสนใจ ในการอ่านต่อไป โดยใช้การเล่านิทานประกอบฉากในการพัฒนาทักษะการอ่าน องค์ประกอบของการอ่าน สนิท ฉิมเล็ก (2540 : 150) ได้สรุปองค์ประกอบทางการอ่านของเด็กได้ดังนี้ 1. องค์ประกอบทางด้านร่างกาย 1.1 สายตา 1.2 ปาก 1.3 หู 2. องค์ประกอบทางด้านจิตใจ 2.1 ความต้องการ 2.2 ความสนใจ 2.3 ความศรัทธา 3. องค์ประกอบทางด้านสติปัญญา 3.1 ความสามารถในการรับรู้ 3.2 ความสามารถในการนำประสบการณ์เดิมไปใช้ 3.3 ความสามารถในการใช้ภาษาให้ถูกต้อง 3.4 ความสามารถในการเรียน 4. องค์ประกอบทางประสบการณ์พื้นฐาน 5. องค์ประกอบทางวุฒิทางภาวะ อารมณ์ แรงจูงใจและบุคลิกภาพ 6. องค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อม สรุปได้ว่า องค์ประกอบของการอ่าน คือ เด็กจะสร้างความคิดรวบยอดจากประสบการณ์ที่เรียนรู้ เพื่อเกิด ความเข้าใจยิ่งขึ้นในลักษณะของนามธรรม หรือการนำความรู้ในการใช้ภาษาที่ถูกต้อง พัฒนาการด้านการอ่าน นักการศึกษาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการอ่านของเด็ก คือ โคเครนและคณะ (กรวิภา สรรพกิจ จำนง.2548 : 45; อ้างอิงจาก Brewer.1995 : 218 ; citing Cochrane: others. 1984) ได้อธิบายพฤติกรรม การอ่านไว้ 5 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นเกิดความสงสัย (Magical stage) เด็กจะเรียนรู้วัตถุประสงค์ของหนังสือต่างๆ เริ่มคิดว่าหนังสือเหล่านั้นมีความสำคัญจ้องมองที่หนังสือ หยิบ จับหนังสือขึ้นมาถือไว้บ่อยครั้งจะเป็นหนังสือที่เขาชอบ 2. ขั้นเกิดแนวความคิด (Self – concept stage)
12 เด็กพิจารณาตัวเองว่าเป็นผู้อ่าน เริ่มเข้าใจไปผูกพันกับกิจกรรมการอ่าน อาจจะเสแสร้งอ่าน ให้ความหมาย ของหนังสือจากรูปภาพต่างๆ หรือประสบการณ์เดิม ใช้ภาษาคล้ายๆ หนังสือแม้ว่าจะไม่เข้าใจเนื้อเรื่อง 3. ขั้นเชื่อมต่อการเป็นผู้อ่าน (bridging reader stage) เด็กให้ความสำคัญกับตัวอักษรสามารถเลือกคำที่คุ้นเคย สังเกตคำต่างๆ อ่านเรื่องที่เขียนเองได้ อ่าน ตัวหนังสือจากบทกวี เพลงกลอนกล่อมเด็ก เด็กจะเชื่อว่าพยางค์แต่ละพยางค์ คือ คำหนึ่งคำ เกิดความขัดแย้งในการ จับคู่ตัวอักษรและเสียงอ่าน เริ่มระลึกถึงตัวอักษรได้ 4. ขั้นทะยานสู่ผู้อ่าน (take – off reader stage) เด็กเริ่มใช้ 3 ระบบ ชี้แนะเข้าด้วยกัน (เสียง ความหมาย โครงสร้าง ประโยค) เด็กตื่นตัวกับการอ่าน เริ่ม คุ้นเคยกับบริบทใส่ใจต่อตัวหนังสือที่อยู่รอบตัว และอ่านทุกๆ อย่าง (เช่น กล่องใส่อาหาร ฉลาก และเครื่องหมาย ต่างๆ เป็นต้น) อันตรายในขั้นนี้ คือ เด็กจะให้ความสำคัญกับตัวอักษรแต่ละตัวมากไป 5. ขั้นสามารถอ่านโดยไม่ต้องพึ่งพิง (independent reader stage) สรุปได้ว่า เด็กสามารถอ่านหนังสือต่างๆ ที่ไม่เคยอ่านได้ สามารถให้ความหมายจากตัวหนังสือ จาก ประสบการณ์และจากตัวชี้แนะของผู้เขียนได้ สามารถเข้าใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ได้ง่ายๆ แต่จะเป็น โครงสร้างและเนื้อเรื่องที่พื้น ๆ เท่านั้น 1.4 ความสามารถทางภาษาด้านการเขียน ความหมายของการเขียนของเด็กปฐมวัย สนิม ฉิมเล็ก (2540 : 180) กล่าวว่า การเขียน หมายถึง การที่มนุษย์ประสงค์ที่จะถ่ายทอดความรู้สึกนึก คิด และความในใจของตนเองออกมาให้ผู้อื่นได้ทราบ โดยขีดเขียนเป็นสัญลักษณ์แทนความรู้สึกนึกคิดและความใน ใจเหล่านี้ สรุปได้ว่า การเขียนของเด็กปฐมวัย กมายถึง การที่เด็กขีดเขียนถ่ายทอดเรื่องราวความคิด ความรู้สึก ออกมาอย่างมีความหมาย เด็กสามารถบอกได้ว่าเขาเขียนอะไร การเขียนของเด็กอาจจะไม่สวยงามหรือถูกต้องตาม หลักการเขียนจริง แต่การเขียนของเด็กจะเป็นไปตามพัฒนาการและความสามารถเฉพาะของแต่ละบุคคล ความสำคัญของการเขียนของเด็กปฐมวัย กรรณิการ์ พวงเกษม (2532 : 31) กล่าวว่า การเขียนเป็นวิธีการหนึ่งที่เด็กได้แสดงออกเป็นพัฒนาการ ทางภาษาอีกด้านหนึ่งที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับการพูด การเขียนเป็นเครื่องมือที่จะพัฒนาความมีเหตุผลในเด็ก เป็นการแสดงออกซึ่งสุนทรียและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก เป็นทางที่จะระบายอารมณื เป็นการเพิ่มความเชื่อมั่น ให้มีขึ้นในตนเอง ครูควรต้องแนะนำให้เด็กรู้จักเขียนโดยใช้ความคิด ใช้ประสบการณ์ ความพอใจ ตลอดจนทักษะ ทางภาษาในระดับของเด็กเอง สรุปได้ว่า การเขียนของเด็กปฐมวัยมีความสำคัญ คือ เป็นวิธีการหนึ่งที่เด็กได้แสดงออกเป็นพัฒนาการทาง ภาษาอีกด้านหนึ่งที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับการพูด การเขียนเป็นเครื่องมือที่จะพัฒนาความมีเหตุผลในเด็ก เป็น การแสดงออกซึ่งสุนทรียและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก เป็นทางที่จะระบายอารมณื เป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้มี ขึ้นในตนเอง
13 องค์ประกอบของการเขียนของเด็กปฐมวัย สนิท ฉิมเล็ก (2540 : 181-182) และวรรณี โสมประยูร (2537 : 142) กล่าวไว้ สอดคล้องกันว่า การ เขียนมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ คือ 1. ผู้เขียนหรือผู้ส่งสาร ผู้เขียนเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้เกิดงานเขียนขึ้น ลักษณะต่างๆ ของผู้เขียน ที่ช่วยให้ เกิดงานเขียนได้แก่ ความรู้ การแสดงความคิดเห็น ความสามารถในการใช้ภาษาลำดับความ ลักษณะท่าทางการ เขียนที่ส่งผลไปถึงลายมือ และความมีมารยาทในการเขียน 2. ภาษา ภาษาที่ใช้ในการเขียนมี 3 ระดับ คือ ภาษาพูด ภาษากึ่งแบบแผนและภาษามีแบบแผนสามารถ สอนผู้เรียนเขียนภาษาได้ทั้ง 3 ระดับ แต่ความสำคัญอยู่ที่การเลือกใช้ภาษาอย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ บุคคล จุดมุ่งหมาย สถานที่ เวลา และสถานการณ์สิ่งแวดล้อม 3. เครื่องมือ เครื่องมือที่ทำให้เกิดสาร คือ เครื่องเขียน เช่น ดินสอ ปากกา กระดาษ หรืออื่นๆ ที่ใช้แทนกัน ได้ และตัวอักษรที่อาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลายมือ ถ้าลายมือสะอาดเรียบร้อย ถูกต้องและชัดเจนถือว่าเป็น เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ 4. ผู้อ่าน ผู้อ่านเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ผู้เขียนต้องคำนึงถึง เพราะเป้าหมายสำคัญของการเขียน คือ มุ่ง ให้ผู้อ่านเกิดการรับรู้และเข้าใจในสิ่งที่สื่อสารออกไป ดังนั้นผู้เขียนจึงจำเป็นต้องเลือกเนื้อหา ภาษา วิธีเขียน รูปแบบ การเขียนให้เหมาะสม และสอดคล้องกับผู้อ่าน จึงจะทำให้การสื่อสารเกิดประสิทธิภาพ สรุปได้ว่า องค์ประกอบของการเขียนของเด็กปฐมวัย ที่เกี่ยวข้องกับการสอนเพื่อพัฒนาการเขียนให้กับเด็ก อีก คือ ผู้เขียน ภาษา เครื่องและผู้อ่าน ซึ่งปัจจัยที่เกี่ยวกับด้านร่างกายของเด็ก เช่น อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการเขียน ได้แก่ กล้ามเนื้อมือประสาทตา ความสัมพันธ์ระหว่างตากับกล้ามเนื้อมือ ปัจจัยเกี่ยวกับด้านสติปัญญาของเด็ก เช่น ความสามารถในการรับรู้และจำ ช่วงความสนใจ ความสามารถในการเชื่อมโยงความคิดและสัญลักษณ์ให้สัมพันธ์กัน ปัจจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เช่น สภาพครอบครัว โรงเรียน ซึ่งประกอบไปด้วยครูที่เป็นต้นแบบในการ เขียน หรือเทคนิควิธีการสอนเขียนที่ถูกต้อง เป็นต้น แนวทางส่งเสริมพฤติกรรมการเขียนสำหรับเด็กปฐมวัย นิตยา ประพฤติกิจ (2539 : 174-175) ได้กล่าวถึงกิจกรรมที่ส่งเสริมการเขียน ดังต่อไปนี้ 1. การฝึกใช้กล้ามเนื้อเล็ก (Small Muscles) ได้แก่ การเล่นปักหมดบนแผ่นบอร์ด การตัดต่อภาพ การ ร้อยลูกปัด การผูกเชือก การรูดซิบ การวาดและระบายสี 2. การฝึกเคลื่อนไหวโดยใช้ส่วนของร่างกาย จะช่วยให้เด็กสังเกต ได้รู้สึกและเข้าใจคำว่า “สูง” “ต่ำ” และ ทิศทาง รู้จักรูปร่างและเส้น (เส้นตรง) การหมุนแขน (วงกลม) การยกขาขึ้นตรง หรือครูอาจให้เด็กเลียนแบบท่าทาง ตามรูปที่ครูชูให้ดู ซึ่งบัตรควรมีขนาดใหญ่พอสมควรและมีท่าทาง ดังภาพประกอบ ภาพประกอบที่ ๒ บัตรรูปร่างคนเพื่อให้เด็กเลียนแบบท่าทาง
14 3. การฝึกความเข้าใจเรื่อง “ซ้าย-ขวา” โดยครูบอกให้เด็กใช้อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเคลื่อนไหว การผูก ริบบิ้นหรือลูกกระดิ่งที่ข้อเท้าหรือมือของเด็ก 4. การเล่นของเล่นที่อาศัยการใช้นิ้วมือ เช่น การต่อบล็อกพลาสติกขนาดเล็กและขนาดกลาง การใช้ แผ่นกระดาษแม่เหล็ก 5. การเล่นเกม เช่น เกมปฏิบัติตามคำสั่ง การเล่นเกมที่ต้องอาศัยนิ้วมือ 6. การฝึกเรียงตัวพยัญชนะ ครูแจกซองให้เด็กแต่ละคนเพื่อสะสมตัวอักษรตามชื่อของตนเองหรือแจก ตัวเลขให้เรียงก็ได้ ถ้าโรงเรียนมีกระดานและตัวอักษรแม่เหล็กก็สามารถใช้ตัวอักษรหรือตัวเลขเรียงบนกระดานนี้ก็ ได้ นอกจากนี้ครูอาจใช้ตัวอักษรที่ทำด้วยไม้พลาสติกหรือกระดาษแข็ง เพื่อให้นักเรียนลากเส้นตามแบบ 7. การเรียกชื่อสิ่งของ ครูจัดสิ่งของให้เรียงจากซ้ายไปขวา หรือจากบนลงล่างและเรียกให้เด็กชี้พร้อมทั้ง บอกชื่อสิ่งของนั้นตามลำดับที่วาง 8. การวาดภาพ 8.1 ควรให้เด็กวาดภาพให้เสร็จ อย่างน้อยสักส่วนหนึ่งก็ยังดี 8.2 ให้เด็กลากเส้นตามรอยประ 8.3 ให้เด็กเขียนโอกาส หรือใช้นิ้วจุ่มน้ำแล้วเขียนบนพื้นซีเมนต์ 8.4 ให้ลากเส้นต่อภาพให้สมบูรณ์ 8.5 การโยงเส้นจับคู่ เช่น ระหว่างแม่ลูก (ของสัตว์ชนิดต่างๆ) รองเท้าแบบต่างๆ 9. การติดป้ายชื่อ นอกจากเด็กมีป้ายชื่อติดแล้ว ครูควรจัดทำป้ายชื่อนักเรียนเพื่อให้นักเรียนหยิบไปแขวน บนแผ่นกระดาษ ซึ่งครูเขียนชื่อศูนย์การเรียนต่างๆ เอาไว้ เด็กจะต้องตัดสินใจก่อนว่าจะเลือกเล่นศูนย์ใดแล้วจึงนำ ป้ายชื่อตนไปแขวนหรือถ้ามีป้าย “อาสาสมัครวันนี้” ก็ให้เด็กนำไปแขวนด้วย 10. ศิลปะ เช่น ให้เด็กละเลงสี แล้วใช้นิ้วเขียน (Finger Painting) ลงบนสีเรียบๆ นั้นหรือเขียนบนทราย การปะเศษกระดาษเป็นรูปต่างๆ เป็นตัวอักษร การขยำกระดาษ การสอนกระดาษหรือไหมพรมเส้นโตๆ ก็ได้ นิตยา ประพฤติกิจ กล่าวเสริมว่า ครูควรเขียนชื่อเด็กลงบนมุมซ้ายของแผ่นงานศิลปะและเขียนที่ของเด็ก เช่น ตู้เก็บของ สมุด ฯลฯ เพื่อให้เด็กเรียนรู้ลักษณะอักษรแบบนี้หมายถึง ชื่อของตน ครูควรนั่งข้างๆ เด็กและเขียน อย่างสวยงามและประณีต เพื่อเป็นแบบอย่างแก่เด็กไม่ความนั่งตรงข้ามกับเด็กหรือนั่งเฉียงๆ เพราะเมื่อเด็กมองไป จะเห็นตัวอักษรในอีกรูปแบบหนึ่ง เด็กๆ มีความภูมิใจที่เห็นผลงานของตนและต้องการเห็นชื่อของตนเองปรากฎอยู่ บนสิ่งนั้น ถ้าเด็กยังเล็กและเขียนชื่อตัวเองไม่ได้ ครูควรเขียนให้และเขียนอย่างสวยงามด้วย ส่วนผู้ปกครองควรมี ทัศนคติที่ดีต่อการเรียนเขียนของลูกไม่ว่าจะขยุกขยิกหรือไม่ก็ตาม เพราะนั่นคือพื้นฐานขั้นต้นของการเขียน จัดหา กระดาษ ดินสอ ไว้ให้ลูกพร้อมเสมอ ให้ลูกวาดภาพ พ่อแม่เขียนคำบรรยายตามคำบอกเล่าของลูก ช่วยเหลือเมื่อลูก ต้องการเขียนจดหมายชื่นชมลูกเมื่อลูกต้องการขีดเขียน เขียนชื่อลูก (หรือคำอื่นๆ ที่ถูกสนใจ) ให้ลูกได้เห็น เป็นต้น สรุปได้ว่า แนวทางส่งเสริมพฤติกรรมการเขียนให้แก่เด็กปฐมวัย ทั้งครูและผู้ปกครองต้องร่วมมือกันในการ จัดสภาพสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กให้ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ที่ส่งเสริมการเขียนอย่างหลากหลาย ในการจัดกิจกรรม ต่างๆ ควรคำนึงถึงการบูรณาการทักษะการเขียนเข้าไปในกิจกรรมด้วย เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง ครู ควรจัดให้เด็กมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นได้มีโอกาสสำรวจ ค้นคว้า ทดลองเพื่อพัฒนาเด็กให้มีคุณสมบัติของการ เป็นผู้ส่งสาร และรับสารอย่างมีประสิทธิภาพ
15 งานวิจัยในประเทศ สุขสมร ประพัฒน์ทอง (2521 : 68-73) ได้ทำการทดลองกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ 1-4 อายุ 7-10 ปี โรงเรียนวัดศรีสุทธาราม จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 80 คน โดยวิธีเล่านิทานที่มีเนื้อเรื่องกระตุ้นแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ของเด็กให้ฟัง จำนวน 10 เรื่อง เป็นเวลา 3 วัน วันละ 3-4 เรื่องให้ฟังนิทานครั้งละ 5 คน การเล่านิทานผู้วิจัยเล่า เอง และมีผู้เล่าอื่นอีก 3 คน รวมเป็น 4 คน วิธีการเล่านิทานผู้เล่าจะทำท่าทางสุ่มเสียงประกอบการเล่า และยังมี การแสดงรูปภาพประกอบมีการให้เด็กได้แสดงท่าทางในนิทาน (Role-Play) แต่ละเรื่องด้วย แล้ววัดพฤติกรรมใฝ่ สัมฤทธิ์ของเด็กโดยให้เล่นเกมที่ยาก 3 ชั้น ผลการวิจัยพบว่า เด็กที่ได้ฟังนิทานที่มีตัวแบบมีความเพียรพยายามฝ่า ฟันอุปสรรคจนบรรลุความสำเร็จ มีพฤติกรรมใฝ่สัมฤทธิ์สูงกว่าเด็กซึ่งฟังนิทานไม่มีคุณค่า และยังพบว่าเด็กที่ได้รับ การอบรมเลี้ยงดูแบบให้พึ่งตนเอง มีพฤติกรรมใฝ่สัมฤทธิ์สูงกว่าเด็กที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบให้พึ่งตนเองช้า อรทัย จันทวิชานุวงษ์ (2523 : 46-52) ได้ศึกษารูปแบบของนิทานที่ส่งผลต่อความรับผิดชอบของเด็ก และผลของการฟังนิทานที่มีต่อความรับผิดชอบที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบฝึกให้พึ่งตนเอง และเด็กที่ได้รับการ อบรมเลี้ยงดูแบบยับยั้งการพึ่งตัวเอง ทำการทดลองกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 160 คน โดยเล่า นิทาน 3 รูปแบบ คือ นิทานปรัมปรา นิทานเรื่องสัตว์ และนิทานท้องถิ่น รวม 45 เรื่อง เล่าให้ฟังกลุ่มละ 15 เรื่อง ครั้งละ 30 นาที โดยผู้วิจัยเป็นผู้เล่าเอง วิธีการเล่านิทานมีการเล่าโดยใช้น้ำเสียง ทำทาง และอุปกรณ์ เช่น รูปภาพ แผ่นป้ายสำลี หุ่นมือ และเทปประกอบการเล่านิทาน เหมือนกันกลุ่มทดลอง ยกเว้นกลุ่มควบคุม ผลการทดลอง พบว่ารูปแบบของนิทานส่งผลต่อความรับผิดชอบของกลุ่มไม่แตกต่างกัน และไม่พบความแตกต่างสำหรับความ รับผิดชอบของกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูต่างกัน บรรพต พรประเสริฐ (2530) ได้ศึกษาเปรียบเทียบมโนทัศน์ทางจริยธรรมของนักเรียนวัย อนุบาลโดยใช้ นิทานและเกม พบว่า เด็กวัยอนุบาลที่ได้รับการสอนเกี่ยวกับจริยธรรมในเรื่องความซื่อสัตย์ความรับผิดชอบ ความ มีระเบียบวินัย ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ดวามสามัดดี และความมีเมตตากรุณา โดยใช้นิทาน และโดยใช้เกม พบว่า ทั้ง สองกลุ่มมีมโนทัศน์ทางจริยธรรมสูงขึ้นภายหลังการสอน และทั้งสองกลุ่มมีมโนทัศน์ทางจริยธรรมไม่แตกต่างกัน ทรงพร สุทธิธรรม (2534 : 85-89) ได้ศึกษาความสามารถในการรับรู้ และเข้าใจทัศนะของผู้อื่นของเด็ก ปฐมวัยที่ผู้ปกครองจัดกิจกรรมนิทาน เพื่อส่งเสริมการคลายการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางกลุ่มตัวอย่างเป็นเด็ก ปฐมวัยอายุ 4-5 ปี จำนวน 30 คน กลุ่มทดลอง จำนวน 15 คน ได้รับการจัดกิจกรรมจำนวน 15 คน ไม่ได้รับการ จัดกิจกรรรมนิทานเพื่อส่งเสริมการคลายยึดตนเองเป็นศูนย์กลางจาก ผู้ปกครองกลุ่มตัวอย่างได้รับการทดสอบและ หลังการทดลองเป็นรายบุคคลด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถในการรับรู้และเข้าใจทัศนะของผู้อื่น ผลการศึกษา พบว่า เด็กปฐมวัยที่ผู้ปกครองจัดกิจกรรมนิทานเพื่อส่งเสริมการคลายการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางมีความสามารถใน การรับรู้ และเข้าใจทัศนะของผู้อื่นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จันทร์เพ็ญ สุภาผล (2538 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยที่ได้ฟังนิทานประกอบ ประกอบดนตรี และนิทานประกอบภาพควบคู่กับกิจกรรมส่งเสริมพฤติกรรมการช่วยเหลือกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน ชาย -หญิง อายุ 5 - 6 ปี จำนวน 30 คน พบว่าเด็กปฐมวัยที่ได้ฟังนิทานประกอบดนตรีควบคู่กับกิจกรรมส่งเสริม พฤติกรรมการช่วยเหลือมีพฤติกรรมทางสังคมหลังจากการทคลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01
16 งานวิจัยในต่างประเทศ ดิกสัน จอห์นสัน และซอลซ์ (Dixon, Johnson; & salts. 1977 : 367 - 379) ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการ จัดกิจกรรมให้กับเด็กอนุบาล อายุ 3 - 4 ปี ที่โรงเรียนในเมืองดีทรอยด์ เด็กในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 146 คน แบ่ง ออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มแรก เล่านิทานให้ฟัง แล้วให้เด็กแสดงบทบาทประกอบตามเรื่อง กลุ่มที่สอง เล่านิทานให้ฟัง พร้อมพาไปดูของจริงนอกสถานที่ เช่น ไปซื้อของ ไปสวนสัตว์ กลุ่มที่สนทนากับเด็กเกี่ยวกับเรื่องที่เล่าให้ฟัง กลุ่มที่สี่ เป็นกลุ่มควบคุม ผลการทดลองปรากฏว่าถ้าเด็กได้แสดงบทบาทเลียนแบบตัวละครในเรื่องไปด้วยจะพัฒนาจิต ลักษณะต่างๆ ได้ดีที่สุดแสดงว่าเมื่อเด็กฟังนิทานแล้วเด็กย่อมมีความต้องการที่จะเลียนแบบตัวละครที่ตัวชอบหรือ ตัวละครที่ได้รับความสำเร็จจากพฤติกรรมนั้นๆนอกจากนี้ยังพบว่า เนื้อหานิทานถ้าเป็นเรื่องไกลความจริง เช่น เทพ นิยาย จะให้ผลดีต่อจิตลักษณะของเด็กดีกว่านิทานที่มีเนื้อหาใกล้ชีวิตเด็กจริงๆ จากเอกสารงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ พอสรุปได้ว่า นิทานเป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนที่มีคุณค่า และมีความสำคัญต่อเด็กมากโดยเฉพาะเด็กระดับปฐมวัย เพราะนิทานช่วยให้เด็กมีความสุขสนุกสนานเพลิดเพลิน ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ เช่น ร่างกาย อารมณ์ สังคม ภาษา สติปัญญา เพิ่มทักษะในการฟัง เสริมสร้าง จินตนาการ และนิทานยังมีส่วนสำคัญในการช่วยส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในเด็กก่อนวัยเด็กได้เป็นอย่างดี
17 บทที่ ๓ วิธีการพัฒนานวัตกรรม ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี ตำบลพิบูล อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวนนักเรียน 18 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี ตำบลพิบูล อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวนนักเรียน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษา จำนวน 4 แผน 2. แบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือวิจัย 1. การสร้างแผนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย 1.1 ศึกษาข้อมูลและค้นคว้าเอกสาร ตำรา วารสาร และงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแผนการจัดกิจกรรม ประสบการณ์เพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย 1.2 ศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์แผนการจัดกิจกรรมระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 รวมทั้งหลักสูตร และคู่มือ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 เพื่อเป็นแนวทางการเขียนแผนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนา ความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย 1.3 จัดทำแผนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย จำนวน 4 แผน ดัง รายละเอียดตารางที่ ๑
18 ตารางที่ ๑ แผนการจัดประสบการณ์และแบบฝึกสังเกตความสามารถ ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ชั้นอนุบาลปีที่ 3 แผนการจัดการเรียนรู้ เนื้อหา จุดประสงค์การ เรียนรู้ จำนวน (ชั่วโมง) แผนที่ 1.หน่วยตัวเรา 1. ครูเล่านิทานเกี่ยวกับการ ปวดฟัน วิธีการรักษาความ สะอาดฟัน 2. เด็กแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับนิทาน ทำไมเด็ก ๆ ถึงปวดฟัน 3. เด็กและครูร่วมกันสนทนา เกี่ยวกับวิธีการรักษาความ สะอาดร่างกาย 4. ครูแนะนำวิทยากรให้ ความรู้เรื่องการแปรงฟัน 5. วิทยากรให้ความรู้และ สาธิตการแปรงฟันที่ถูกวิธี 6. เด็กทุกคนทำท่าแปรงฟัน 7 .เด็กปฏิบัติจริงการแปรง ฟันอย่างถูกวิธี 8.เด็กและครูร่วมกันทบทวน ทำท่าทางการแปรงฟัน 9. เด็กและครูร่วมกันร้อง เพลงแปรงฟัน บอกวิธีการดูแล สุขภาพอนามัยการ รักษาความสะอาด ร่างกายและการ แปรงฟันที่ถูกวิธี 40 นาที แผนที่ 2 หน่วยโรงเรียนของเรา ๑. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ หนังสือและตัวหนังสือ 1.๑. เด็กอ่านหนังสือนิทาน หมีน้อยจะไปโรงเรียน พร้อมกันจนจบ ๑ รอบ ๑.๒ ครูแนะนำส่วนประกอบ หนังสือที่ละหน้า ได้แก่ ปกหน้า ปกใน ชื่อผู้แต่ง ผู้วาดภาพ ผู้แต่งเรื่อง ๑.๓ ครูชักชวนให้เด็กตั้ง คำถามเกี่ยวกับนิทานหมี ๑.กล้าพูดกล้า แสดงออก ๒. ค้นหาคำตอบ ข้อสงสัยต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ 40 นาที
19 แผนการจัดการเรียนรู้ เนื้อหา จุดประสงค์การ เรียนรู้ จำนวน (ชั่วโมง) น้อยจะไปโรงเรียน หมีน้อยมา โรงเรียนอย่างไร และเปิดโอกาสให้เพื่อนในห้อง ช่วยกันตอบ ๒.เด็กและครูช่วยกันทำ แผนผังในโรงเรียนอาคารเรียน ต่างๆ แผนที่ 3 หน่วยหนูทำได้ ๑. การส่งเสริมพัฒนาการทาง ภาษาและ การรู้หนังสือ 1.๑. เด็กอ่านหนังสือนิทาน เรื่อง “จ๊ะจ๋าแต่งตัว” พร้อม กันจนจบ ๑ รอบ ๑.๒ ครูแนะนำส่วนประกอบ หนังสือทีละหน้าได้แก่ ปกหน้า ปกใน ชื่อผู้แต่ง ผู้วาด ภาพ เนื้อเรื่อง ๑.๓ ครูชักชวนให้เด็กตั้ง คำถามเกี่ยวกับนิทานที่อ่าน และเปิดโอกาสให้เพื่อนในห้อง ช่วยกันตอบ 2. ครูนำเสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าต่าง ชนิดกันใส่กล่องมาให้เด็ก สัมผัสทีละคนโดยไม่ให้เห็น แล้วตั้งคำถามให้เด็กตอบ - สัมผัสแล้วรู้สึกอย่างไร นึก ถึงอะไร - เด็ก ๆคิดว่ามันเป็นอะไร ใช้ ทำอะไร - ผู้ชายและผู้หญิงแต่งตัว เหมือนกันหรือไม่ 3. ครูสาธิตวิธีการแต่งตัวให้ เด็กที่เป็นอาสาสมัคร เช่น การสวมเสื้อ ติดกระดุม ใส่ กางเกง ถุงเท้า รองเท้า 4. เด็กปฏิบัติกิจกรรมแต่งตัว โดยเด็กเลือกเสื้อผ้าเอง 1. ฟังผู้อื่นพูดจน จบและสนทนา โต้ตอบอย่าง ต่อเนื่องเชื่อมโยง กับเรื่องที่ฟังได้ 2.แต่งตัวด้วย ตนเองได้อย่าง คล่องแคล่ว 40 นาที
20 แผนการจัดการเรียนรู้ เนื้อหา จุดประสงค์การ เรียนรู้ จำนวน (ชั่วโมง) จากมุมบ้าน (บทบาทสมมติ) 4.1 เด็กนับจำนวนเสื้อผ้าที่ ตนเลือกก่อนแต่งตัวด้วย ตนเอง แผนที่ 4 อาหารดีมีประโยชน์ 1. ครูเล่านิทานเรื่องเกี่ยวกับ ประโยชน์ของอาหารหลัก 5 หมู่ ให้เด็กแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเนื้อหาในนิทาน 2. ครูและเด็กตั้งข้อตกลง เกี่ยวกับการปฏิบัติตนใน ขณะที่วิทยากรให้ความรู้ 3. ครูแนะนำวิทยากรให้ ความรู้เรื่องประโยชน์และโทษ ของอาหาร 4. วิทยากรนำอาหารที่มี ประโยชน์ และอาหารที่ ไม่มีประโยชน์มาวางบนโต๊ะ แล้วสนทนาและซักถามเด็ก ดังนี้ - อาหารชนิดใดที่มีประโยชน์ และอาหารชนิดใดที่ไม่มี ประโยชน์ - อาหารที่ไม่มีประโยชน์ ก่อให้เกิดโทษอย่างไร - ทำไมเด็กๆจึงไม่ควรดื่ม น้ำอัดลมและรับประทานลูก อม - การดื่มนมหรือการ รับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ให้ผลต่อร่างกาย ของเราอย่างไรบ้าง -เด็กรู้จักอาหารอะไรบ้างที่มี ประโยชน์และอาหาร อะไรบ้างที่ไม่มีประโยชน์ (5) จำแนกและจัด กลุ่มอาหารที่มี ประโยชน์ และอาหารที่ไม่มี ประโยชน์ (3) การฟังเพลง นิทาน คำคล้องจอง บทร้อยกรองหรือ เรื่องราวต่างๆ 40 นาที
21 แผนการจัดการเรียนรู้ เนื้อหา จุดประสงค์การ เรียนรู้ จำนวน (ชั่วโมง) 5. ให้อาสาสมัครออกมาจัด กลุ่มอาหารที่มีประโยชน์และ อาหารที่ไม่มีประโยชน์ 6. ให้เด็กร้องเพลงและทำ ท่าทางประกอบเพลง“ดื่ม นม” ๑.๑ นำแผนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย จำนวน ๔ แผน ที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจพิจารณาความเหมาะสมในประเด็นที่ศึกษา ๑.๒ นำแผนการจัดกิจกรรมประสบการณ์เพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การ พูด การอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัย ที่เชี่ยวชาญตรวจพร้อมข้อเสนอแนะมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น นำแผนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักเรียน ชาย - หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี จำนวน 15 คน โดยเลือกแบบเจาะจง 2. การสร้างแบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ของเด็กปฐมวัย มีลำดับขั้นตอนดังนี้ 2.1 ศึกษาข้อมูลและค้นคว้าเอกสาร ตำรา วารสาร และงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสังเกต ความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัย 2.2 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนาความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน มาใช้ในงานวิจัยคุณภาพและวิธีการใช้แบบสังเกตความสามารถทางภาษา มาสร้าง เป็นแบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ซึ่งมีทั้งหมด 2 ชุด ดังนี้ 2.2.1 แบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ก่อน การทดลอง 2.2.2 แบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน หลัง การทดลอง แบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียนของเด็ก ปฐมวัย เป็นแบบรายการที่มีระดับการปฏิบัติ 3 ระดับ คือ ปฏิบัติได้ดี ปฏิบัติได้บ้าง และปฏิบัติไม่ได้ โดยหากทำได้ ดี ให้น้ำหนักคะแนนเท่ากับ 3 คะแนน หากทำได้บ้างให้มีน้ำหนักคะแนนเท่ากับ 2 คะแนน หากทำไม่ได้น้ำหนัก คะแนนเท่า 1 คะแนน โดยมีการประเมินเป็น 4 รายการ คือ ความสามารถทางการฟัง ความสามารถทางการพูด ความสามารถทางการอ่าน และความสามารถทางการเขียน
22 2.3 นำแบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน หลังการ ทดลอง ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 2 ท่านเพื่อตรวจพิจารณาความเหมาะสมในประเด็นที่ศึกษา 2.4 นำแบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ที่ ผู้เชี่ยวชาญตรวจพร้อมข้อเสนอแนะมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น นำแบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ของเด็กปฐมวัย ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักเรียนชาย – หญิง อายุระหว่าง 5 – 6 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี จำนวน 15 คน โดยเลือกแบบเจาะจง การเก็บรวบรวมข้อมูล ตารางที่ ๒ รูปแบบ One-group pretest-posttest design กลุ่ม Pretest Treatment Posttest ER T1 X T2 ความหมายของสัญลักษณ์ ER แทน กลุ่มเป้าหมายในการทดลอง T1 แทน การทดสอบก่อนการทดลอง (Pretest) โดยใช้แบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัย X แทน การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ T2 แทน การทดสอบหลังการทดลอง (Posttest) โดยใช้แบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัย การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้จากการทดลองไปวิเคราะห์ด้วยวิธีทางสถิติดังนี้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. หาค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียน ( ) โดยคำนวณจากสูตร ดังนี้ (บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. 2543 : 351) สูตร = เมื่อ แทน คะแนนเฉลี่ย แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด แทน จำนวนข้อมูล
23 2. หาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียน ใช้สูตร ดังนี้ (บุญ ธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. 2543 : 352) สูตร S.D. = ( ) ( ) ( ) 2 − − เมื่อ S.D. แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด 2 แทน ผลรวมของกำลังสองของคะแนนทั้งหมด แทน จำนวนข้อมูล
24 บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลของการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ได้รับการจัด กิจกรรมการเล่านิทาน ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยได้นำเสนอเป็นลำดับ ดังนี้ 1. ความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัยก่อนและ หลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน 2. แผนภูมิแสดงการเปลี่ยนแปลงของความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและ การเขียนของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานก่อนและหลังทดลอง ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียนของ เด็กปฐมวัยระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดังตารางที่ 4.1 ตารางที่ ๓ ผลการจัดกิจกรรมการเล่านิทานก่อนและหลังที่ได้รับการจัดกิจกรรม ความสามารถทางภาษา ก่อนทดลอง หลังทดลอง ทักษะการฟัง 1. เด็กสามารถฟังและปฏิบัติตามคำสั่งได้ 2. เด็กสามารถตอบคำถามง่ายๆ ได้ 3. เด็กสามารถเชื่อมโยงบอกสิ่งที่สัมพันธ์กันได้ 4. เด็กสามารถเก็บข้อมูลที่ได้โดยการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 5. เด็กสามารถฟังนิทานหรือเรื่องราวสั้นๆ โดยมีภาพประกอบและบอกชื่อตัว ละคร หรือเรื่องราวได้ 29 25 25 29 28 44 44 44 44 44 ทักษะการพูด 1. เด็กสามารถบอกสิ่งที่ตนเองต้องการได้ 2. เด็กสามารถสนทนาประโยคสั้นๆ ได้ 3. เด็กสามารถพูดแสดงความคิดเห็นได้ 4. เด็กสามารถบอกเล่าผลงานของตนเองได้ 5. เด็กสามารถตั้งคำถามง่ายๆ ได้ เช่น ใคร ทำอะไร ที่ไหน 24 28 25 30 20 44 44 44 44 44
25 ความสามารถทางภาษา ก่อนทดลอง หลังทดลอง ทักษะการอ่าน 1. เด็กสามารถอ่านออกเสียงคำศัพท์ได้ถูกต้อง 2. เด็กอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว ชัดเจนได้ 3. เด็กสามารถอ่านหนังสือนิทานได้อย่างถูกต้อง 4. เด็กอ่านออกเสียงพยัญชนะ สระ ตัวสะกดได้ถูกต้อง 5. เด็กสามารถตอบคำถามจากเนื้อหาที่อ่านได้ 24 21 25 23 24 44 44 44 44 44 ทักษะการเขียน 1. เด็กวาดภาพได้เหมาะสมและเชื่อมโยงเป็นเรื่องราวได้สัมพันธ์กัน 2. เด็กสามารถเขียนตั้งชื่อผลงานด้วยสัญลักษณ์ได้ 3. เด็กสามารถเขียนตัวอักษรที่รู้จักด้วยวิธีที่คิดขึ้นเองได้ 4. เด็กสามารถเขียนโดยลอกเลียนแบบตัวอักษรได้ 5. เด็กสามารถเขียนโดยสะกดขึ้นเองได้ 24 30 27 28 23 44 45 4๕ 4๕ 44 รวม 25.60 44.15 ผลการวิเคราะห์ตามตารางที่ ๓ พบว่า เด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานมีคะแนนความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและการเขียนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง โดยก่อนการทดลองมีค่า ร้อยละของคะแนน เท่ากับ 25.60 และหลังการทดลองมีค่าร้อยละของคะแนน เท่ากับ 44.15 ตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์คะแนนความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่านและ การเขียนของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน แยกเป็นรายด้าน ความสามารถทางภาษา ก่อนจัดกิจกรรม หลังจัดกิจกรรม Mean S.D. Mean S.D. ทักษะการฟัง 1. เด็กสามารถฟังและปฏิบัติตามคำสั่งได้ 2. เด็กสามารถตอบคำถามงายๆ ได้ 3. เด็กสามารถเชื่อมโยงบอกสิ่งที่สัมพันธ์กันได้ 4. เด็กสามารถเก็บข้อมูลที่ได้โดยการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 5. เด็กสามารถฟังนิทานหรือเรื่องราวสั้นๆ โดยมี ภาพประกอบและบอกชื่อตัวละคร หรือเรื่องราวได้ 1.93 1.67 1.67 1.93 1.86 0.25 0.48 0.48 0.25 0.35 2.93 2.93 2.93 2.93 2.93 0.25 0.25 0.25 0.25 0.25
26 ความสามารถทางภาษา ก่อนจัดกิจกรรม หลังจัดกิจกรรม Mean S.D. Mean S.D. ทักษะการพูด 1. เด็กสามารถบอกสิ่งที่ตนเองต้องการได้ 2. เด็กสามารถสนทนาประโยคสั้นๆ ได้ 3. เด็กสามารถพูดแสดงความคิดเห็นได้ 4. เด็กสามารถบอกเล่าผลงานของตนเองได้ 5. เด็กสามารถตั้งคำถามง่ายๆ ได้ เช่น ใคร ทำอะไร ที่ไหน 1.60 1.86 1.67 2.00 1.33 0.50 0.35 0.48 0 0.48 2.93 2.93 2.93 3.00 ๒.9๓ 0.25 0.25 0.25 0 0.25 ทักษะการอ่าน 1. เด็กสามารถอ่านออกเสียงคำศัพท์ได้ถูกต้อง 2. เด็กอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว ชัดเจนได้ 3. เด็กสามารถอ่านหนังสือนิทานได้อย่างถูกต้อง 4. เด็กอ่านออกเสียงพยัญชนะ สระ ตัวสะกดได้ถูกต้อง 5. เด็กสามารถตอบคำถามจากเนื้อหาที่อ่านได้ 1.60 1.40 1.67 1.53 1.60 0.50 0.50 0.48 0.51 0.50 2.93 2.93 2.93 2.93 2.93 0.25 0.25 0.25 0.25 0.25 ทักษะการเขียน 1. เด็กวาดภาพได้เหมาะสมและเชื่อมโยงเป็นเรื่องราวได้ สัมพันธ์กัน 2. เด็กสามารถเขียนตั้งชื่อผลงานด้วยสัญลักษณ์ได้ 3. เด็กสามารถเขียนตัวอักษรที่รู้จักด้วยวิธีที่คิดขึ้นเองได้ 4. เด็กสามารถเขียนโดยลอกเลียนแบบตัวอักษรได้ 5. เด็กสามารถเขียนโดยสะกดขึ้นเองได้ 1.60 2.00 1.80 1.86 1.53 0.50 0 0.41 0.35 0.51 2.93 3.00 3.00 ๓.00 2.93 0.25 0 0 0 0.25 รวม 1.70 0.39 2.94 0.๒0 จากตาราง 4 พบว่า คะแนนเฉลี่ยความสามารถทางภาษา ทั้ง 4 ด้าน ของเด็กอนุบาลระดับชั้นปีที่ 3 ที่ ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แยกรายด้าน ดังนี้ ด้านทักษะการฟัง ประกอบด้วย เด็กสามารถฟังและปฏิบัติตามคำสั่งได้ เด็กสามารถตอบคำถามง่ายๆ ได้ เด็กสามารถเชื่อมโยงบอกสิ่งที่สัมพันธ์กันได้ เด็กสามารถเก็บข้อมูลที่ได้โดยการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 และเด็ก สามารถฟังนิทานหรือเรื่องราวสั้นๆ โดยมีภาพประกอบและบอกชื่อตัวละคร หรือเรื่องราวได้ มีคะแนนเฉลี่ยก่อน การวิจัยเท่ากับ 1.81 หลังการวิจัยเท่ากับ 2.93 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนการวิจัยเท่ากับ 0.36 หลังการ วิจัยเท่ากับ 0.25 ด้านทักษะการพูด ประกอบด้วย เด็กสามารถบอกสิ่งที่ตนเองต้องการได้เด็กสามารถสนทนาประโยคสั้นๆ ได้เด็กสามารถพูดแสดงความคิดเห็นได้ เด็กสามารถบอกเล่าผลงานของตนเองได้และเด็กสามารถตั้งคำถามง่ายๆ ได้ เช่น ใคร ทำอะไร ที่ไหน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนการวิจัยเท่ากับ 1.69 หลังการวิจัยเท่ากับ 2.94 และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานก่อนการวิจัยเท่ากับ 0.36 หลังการวิจัยเท่ากับ 0.20
27 ด้านทักษะการอ่าน ประกอบด้วย เด็กสามารถอ่านออกเสียงคำศัพท์ได้ถูกต้อง เด็กอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว ชัดเจนได้เด็กสามารถอ่านหนังสือนิทานได้อย่างถูกต้อง เด็กอ่านออกเสียงพยัญชนะ สระ ตัวสะกดได้ถูกต้อง และ เด็กสามารถตอบคำถามจากเนื้อหาที่อ่านได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนการวิจัยเท่ากับ ๑.๕๖ หลังการวิจัยเท่ากับ 2.๙๓ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนการวิจัยเท่ากับ 0.๔๙ หลังการวิจัยเท่ากับ 0.๒๕ ด้านทักษะการเขียน ประกอบด้วย เด็กวาดภาพได้เหมาะสมและเชื่อมโยงเป็นเรื่องราวได้สัมพันธ์กัน เด็ก สามารถเขียนตั้งชื่อผลงานด้วยสัญลักษณ์ได้ เด็กสามารถเขียนตัวอักษรที่รู้จักด้วยวิธีที่คิดขึ้นเองได้ เด็กสามารถเขียน โดยลอกเลียนแบบตัวอักษรได้ และเด็กสามารถเขียนโดยสะกดขึ้นเองได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนการวิจัยเท่ากับ 1.75 หลังการวิจัยเท่ากับ 2.๙๗ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนการวิจัยเท่ากับ 0.35 หลังการวิจัยเท่ากับ 0.๑ ภาพประกอบที่ 3 การนำเสนอข้อมูลในรูปของแผนภูมิ ด้านทักษะการฟัง ภาพประกอบที่ 3 จากแผนภูมิแสดงให้เห็นว่าคะแนนความสามารถทางภาษา ด้านทักษะการฟังของเด็ก ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน เมื่อนำมาเปรียบเทียบในแต่ละด้านแล้ว คะแนนหลังการทดลองมี ค่าสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง ดังนี้ 1. เด็กสามารถฟังและปฏิบัติตามคำสั่งได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.93 และ 2.93 2. เด็กสามารถตอบคำถามง่ายๆ ได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.67 และ 2.93 3. เด็กสามารถเชื่อมโยงบอกสิ่งที่สัมพันธ์กันได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.67 และ 2.93 4. เด็กสามารถเก็บข้อมูลที่ได้โดยการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.93 และ 2.93 0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 แผนภูมิเปรียบเทียบคะแนนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานก่อนและหลังการ ทดลองแผนภูมิเปรียบเทียบคะแนนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานก่อนและหลัง การทดลอง (ทักษะการฟัง) ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง
28 5. เด็กสามารถฟังนิทานหรือเรื่องราวสั้นๆ โดยมีภาพประกอบและบอกชื่อตัวละคร หรือเรื่องราวได้มี คะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.86 และ 2.93 ภาพประกอบที่ 4 การนำเสนอข้อมูลในรูปของแผนภูมิ ด้านทักษะการพูด ภาพประกอบที่ 4 จากแผนภูมิแสดงให้เห็นว่าคะแนนความสามารถทางภาษา ด้านทักษะการพูดของเด็ก ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เมื่อนำมาเปรียบเทียบในแต่ละด้านแล้ว คะแนนหลังการ ทดลองมีค่าสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง ดังนี้ 1. เด็กสามารถบอกสิ่งที่ตนเองต้องการได้ได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.60 และ 2.93 2. เด็กสามารถสนทนาประโยคสั้นๆ ได้ได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.86 และ 2.93 3. เด็กสามารถพูดแสดงความคิดเห็นได้ได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.67 และ 2.93 4. เด็กสามารถบอกเล่าผลงานของตนเองได้ มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 2.00 และ 3.00 5. เด็กสามารถตั้งคำถามง่ายๆ ได้ เช่น ใคร ทำอะไร ที่ไหน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.33 และ 2.93 0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 แผนภูมิเปรียบเทียบคะแนนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานก่อนและหลังการ ทดลองแผนภูมิเปรียบเทียบคะแนนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานก่อนและหลัง การทดลอง (ทักษะการพูด) ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง
29 ภาพประกอบที่ 5 การนำเสนอข้อมูลในรูปของแผนภูมิ ด้านทักษะการอ่าน ภาพประกอบที่ 5 จากแผนภูมิแสดงให้เห็นว่าคะแนนความสามารถทางภาษา ด้านทักษะการอ่านของเด็ก ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน เมื่อนำมาเปรียบเทียบในแต่ละด้านแล้ว คะแนนหลังการทดลองมี ค่าสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง ดังนี้ 1. เด็กสามารถอ่านออกเสียงคำศัพท์ได้ถูกต้อง มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.60 และ 2.93 2. เด็กอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว ชัดเจนได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.40 และ 2.93 3. เด็กสามารถอ่านหนังสือนิทานได้อย่างถูกต้อง มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.67 และ 2.93 4. เด็กอ่านออกเสียงพยัญชนะ สระ ตัวสะกดได้ถูกต้อง มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.53 และ 2.93 5. เด็กสามารถตอบคำถามจากเนื้อหาที่อ่านได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.60 และ 2.93 0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 แผนภูมิเปรียบเทียบคะแนนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานก่อนและหลังการ ทดลองแผนภูมิเปรียบเทียบคะแนนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานก่อนและหลัง การทดลอง (ทักษะการอ่าน) ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง
30 ภาพประกอบที่ 6 การนำเสนอข้อมูลในรูปของแผนภูมิ ด้านทักษะการเขียน ภาพประกอบที่ 6 จากแผนภูมิแสดงให้เห็นว่าคะแนนความสามารถทางภาษา ด้านทักษะการเขียนของเด็ก ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน เมื่อนำมาเปรียบเทียบในแต่ละด้านแล้ว คะแนนหลังการทดลองมี ค่าสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง ดังนี้ 1. เด็กวาดภาพได้เหมาะสมและเชื่อมโยงเป็นเรื่องราวได้สัมพันธ์กัน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัย เท่ากับ 1.60 และ 2.93 2. เด็กสามารถเขียนตั้งชื่อผลงานด้วยสัญลักษณ์ได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 2.00 และ 3.00 3. เด็กสามารถเขียนตัวอักษรที่รู้จักด้วยวิธีที่คิดขึ้นเองได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.80 และ 3.00 4. เด็กสามารถเขียนโดยลอกเลียนแบบตัวอักษรได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.86 และ 3.00 5. เด็กสามารถเขียนโดยสะกดขึ้นเองได้มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการวิจัยเท่ากับ 1.53 และ 2.93 0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 แผนภูมิเปรียบเทียบคะแนนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานก่อนและหลังการ ทดลองแผนภูมิเปรียบเทียบคะแนนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานก่อนและหลัง การทดลอง (ทักษะการเขียน) ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง
31 บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Experimental Research) แบบ One-group pretest – posttest design เพื่อศึกษาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ก่อนและหลังได้รับการจัด กิจกรรมการเล่านิทาน สมมติฐานการวิจัย หลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานร่วมกันของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 มีความสามารถทางภาษาสูงกว่า ก่อนการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน ขอบเขตการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวนนักเรียน 1๘ คน กลุ่มตัวอย่าง เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโพธิ์ศรี ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวนนักเรียน 15 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย จำนวน 4 แผน 2. แบบสังเกตความสามารถทางภาษา ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนของเด็ก ปฐมวัย สรุปผลการวิจัย จากการวิจัย สรุปได้ดังนี้ ตอนที่ 1 การพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการ เล่านิทาน โดยรวม พบว่า กลุ่มตัวอย่างจำนวน 15 คน มีคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง โดย ก่อนการทดลองมีค่าร้อยละของคะแนน ๒๕.60 และหลังการทดลองมีค่าร้อยละของคะแนน 44.15
32 ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมการเล่านิทานก่อนและ หลังการทดลอง รายด้าน ก่อนและหลังการทดลอง พบว่า ด้านทักษะการฟัง ด้านทักษะการพูด มีคะแนนเฉลี่ยหลัง การวิจัยสูงกว่าก่อนการวิจัย เท่ากับ 2.94 คะแนนสูงเป็นอันดับ 1 เท่ากัน ด้านทักษะการอ่าน มีคะแนนเฉลี่ยหลัง การวิจัยสูงกว่าก่อนการวิจัย เท่ากับ 2.89 คะแนนสูงเป็นลำดับ 2 และด้านทักษะการเขียน มีคะแนนเฉลี่ยหลังการ วิจัยสูงกว่าก่อนการวิจัย เท่ากับ 2.73 คะแนนสูงเป็นลำดับ 3 ซึ่งมีคะแนนน้อยที่สุดตามลำดับ อภิปรายผล การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ได้รับการ จัดกิจกรรมการเล่านิทาน ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ได้รับการจัด กิจกรรมการเล่านิทานหลังการทดลองเพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้แสดงให้เห็นว่าการจัดกิจกรรมการ เล่านิทาน ก่อให้เกิดผลในการพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย ซึ่งสอดคลองกับ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2551:146) ได้กล่าวว่า การฟังของเด็กเป็นการรับรู้เรื่องราวด้วยประสาทสัมผัสทางหูที่เด็กสะสมและนำไปสร้าง เสริมพัฒนาการทางภาษามากกว่าการใช้เพื่อพัฒนาปัญญา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2546: 46) ได้กลาวถึงแนวทางในการจัดประสบการณสำหรับเด็กปฐมวัยไววา เด็กควรจะได้รับการจัดประสบการณใหสอด คลองกับการเรียนรูของเด็ก คือ เด็กได้ลงมือกระทำและเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้เคลื่อนไหว สำรวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลองและจัดกิจกรรมในรูปแบบบูรณาการทั้งทักษะและการเรียนรู้โดยให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อ และแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายอยู่ในวิถีของเด็ก สุชา จันทรเอม (2543 : 152) กลาวถึงวิธีการสงเสริม ความสามารถกล้ามเนื้อมือคือทำได้โดยใหเด็กมีโอกาสเล่น ทำงาน จับถือของอยูเสมอ การเล่นด้วยค้อนเล่น ระบาย สีด้วยมือ การวาดรูป หรือใหเด็กได้ทำงานช่วยผู้ใหญ่ที่เหมาะสมกับกำลังความสามารถและความสนใจของเด็ก กิจกรรมอีกกิจกรรมที่สำคัญคือกิจกรรมที่เกี่ยวของกับการสงเสริมใหเด็กได้มีโอกาสในการเขียนและคิดอย่างอิสระ การที่เด็กได้ลงมือทำกิจกรรมและฝกหัดโดยผ่านประสบการณต่าง หลากหลายเด็กจะสร้างองคความรูด้วยตนเอง เกี่ยวกับตัวอักษรด้วยการสำรวจคนควาอย่างอิสระจากการใชภาษาในการเขียน ซึ่งการเขียนของเด็กที่อายุ นอยกวา 6 ขวบ เราคงไม่มุ่งหวังใหเด็กในวัยนี้เขียนได้ถูกตองและรัดกุม แต่สิ่งที่คาดหวังคือการได้เห็นเด็กจับดินสอแล้วลาก ไปมาบนกระดาษ แล้วบอกเราวารอยขีดเขียนนั้นคืออะไร และเชื่อมโยงเรื่องราวใหเราฟงได้ การพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 หลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน พบว่า ด้านทักษะการเขียน มีคะแนนเฉลี่ยหลังการวิจัยสูงกว่าก่อนการวิจัย เท่ากับ 2.97 คะแนนสูงเป็นอันดับ 1 ด้านทักษะการพูด มีคะแนนเฉลี่ยหลังการวิจัยสูงกว่าก่อนการวิจัย เท่ากับ 2.94 คะแนนสูงเป็นลำดับ 2 และด้าน ทักษะการฟัง ทักษะด้านการอ่าน มีคะแนนเฉลี่ยหลังการวิจัยสูงกว่าก่อนการวิจัย เท่ากับ 2.93 คะแนนสูงเป็น ลำดับ 3 ซึ่งมีคะแนนน้อยที่สุดตามลำดับ ทั้งนี้ เนื่องจากกิจกรรมการเล่านิทาน เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับความ สนใจของเด็ก ช่วยให้เด็กมีความสุข สนุกสนาน และเพลิดเพลินไปกับการลงมือปฏิบัติจริง อีกทั้งยังเป็นการฝึก ความสามารถทางภาษา การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน มีความ สอดคล้องกับพัฒนาการและธรรมชาติของเด็กปฐมวัย
33 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 1. การส่งเสริมความสามารถด้านการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย ครูต้องให้อิสระเด็กได้ใช้ความคิดอย่าง อิสระ และเข้าใจความพร้อมของเด็ก สิ่งที่สำคัญควรสร้างกำลังใจและกระตุ้นให้เด็กกล้าแสดงออก 2. ครูควรนำกิจกรรมการเล่านิทานเน้นภาษามาใช้การพัฒนาทักษะทางการอ่านของเด็กปฐมวัยได้ โดย พิจารณาความยากง่ายเหมาะสมกับความสามารถของเด็ก 3. การสอนในระดับปฐมวัยควรมุ่งเน้นการฝึกความพร้อมต่างๆ ตลอดจนการส่งเสริมความสามารถด้าน ร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญามากกว่ามุ่งเน้นในด้านวิชาการ ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการเปรียบเทียบความสามารถด้านการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน โดยใช้เทคนิควิธีอื่น เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การใช้บัตรคำประกอบภาพ เกมการศึกษา การเล่นบทบาทสมมติ 2. ในการศึกษาครั้งต่อไป การจัดกิจกรรมการเล่านิทาน เพื่อวัดตัวแปรด้านอื่นๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคม
34 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว. จันทรเพ็ญ สุภาผล. (2538). การศึกษาพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยที่ไดฟงนิทานประกอบดนตรี และนิทานประกอบภาพควบคูกับกิจกรรมสงเสริมพฤติกรรมการชวยเหลือ. วิทยานิพนธ กศ.ม (การศึกษาปฐมวัย) กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ. อัดสําเนา. ทรงพร สุทธิธรรม. (2534). การศึกษาความสามารถในการรับรูและเขาใจทัศนของผูอื่นของเด็กปฐมวัยที่ ผูปกครองจัดกิจกรรมนิทานเพื่อสงเสริมการคลายการยึดตนเองเปนศูนยกลาง. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. อัดสําเนา. นงลักษณ์ งามขำ. (2551). ความสามารถด้านการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม เสริมประสบการณโดยใชปริศนาคําทาย. สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. นิดาพร อาจประจญ. (2553). ทักษะทางการอานของเด็กปฐมวัยที่เล่นเกมการศึกษาเนนภาษา. สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ประนัดดา รัตนไตรมาส. (2557). ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบต่อเติมที่มีต่อการพัฒนาการด้าน การเขียนของเด็กปฐมวัย. สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ประภัสสร บราวน์และแสงสุรีย์ ดวงคำน้อย. (๒๕๖๔). การพัฒนาความสามารถในการพูดของเด็กปฐมวัยด้วย กิจกรรมการแสดงประกอบการเล่านิทาน.สาขาหลักสูตรและการสอน: มหาวิทยาลัยภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ. สุขสมร ประพัฒนทอง. (2521). อิทธิพลของการใชนิทานสําหรับเด็กและการอบรมเลี้ยงดูที่มีตอพฤติกรรม ใฝสัมฤทธิ์ของเด็กไทย. วิทยานิพนธ ศศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, อัดสําเนา. อรทัย จันทวิชานุวงษ. (2523). รูปแบบของนิทานที่สงผลตอความรับผิดชอบของนักเรียนชั้นประถมศึกษาป ที่ 4. ปริญญานิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, อัดสําเนา. อธิกา อินนุพัฒน. (2549). ความสามารถด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยที่ใชชุดพัฒนาทักษะการเขียน. สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. Dixson, D, james J. and Dle Saltz, s. (1977, June). "Training Disadvantaged Preschoolees on various Fantasy Activities: "Effects on Cognitive Functioning and lmpulse control", Child Development. 2(3) : 67-379
35 ภาคผนวก
36 ภาคผนวก ก คู่มือการใช้แบบสังเกตความสามารถทางภาษา (การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน) ของเด็กปฐมวัย ตารางบันทึกคะแนนความสามารถทางภาษา (การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน) ของเด็กปฐมวัย
37 คู่มือการใช้แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย คำชี้แจง แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยนี้จัดทำขึ้นเพื่อประเมินความสามารถทางภาษา การฟัง การพูด การอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่มีอายุระหว่าง 5–6 ปี โดยจัดกิจกรรมการ เล่านิทานเพื่อประเมินความสามารถทางภาษา การฟัง การพูด การอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัย เกณฑ์การประเมิน คือ ระดับคะแนน 1 หมายถึง นักเรียนไม่สามารถทำได้ แม้จะให้แรงเสริมหรือแรงจูงใจต่าง ๆ ระดับคะแนน 2 หมายถึง นักเรียนสามารถทำได้บ้าง โดยมีครูคอยแนะนำและช่วยเหลือ ระดับคะแนน 3 หมายถึง นักเรียนสามารถทำได้ด้วยตนเอง การนำแบบประเมินไปใช้ 1. นำแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานมาให้เด็กปฐมวัยทดลองปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง โดยผู้ประเมิน ไม่มีการกระตุ้น หรือการชี้แนะในการทำกิจกรรม 2. ผู้ประเมินทำการสังเกตและทำเครื่องหมายในช่องรายละเอียดความสามารถทางภาษา 3. ผู้ประเมินรวบรวมคะแนนทั้งหมดหากพบว่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องปรับปรุง-พอใช้ จึงนำ กิจกรรมการเล่านิทานมาใช้กับนักเรียน และเก็บคะแนนที่รวบรวมไว้เป็นคะแนนก่อนการใช้กิจกรรมการเล่านิทาน 4. ผู้ประเมินทำการสังเกตและทำเครื่องหมายในช่องรายละเอียดความสามารถทางภาษาภายหลังจากการ จัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 5. ผู้ประเมินทำการรวบรวมคะแนนทั้งหมดและเปรียบเทียบกับคะแนนก่อนการจัดกิจกรรมเพื่อดู ความสามารถทางภาษาที่เพิ่มขึ้น
แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็ วันที่ 23 พฤษภาคม 2566 สถานที่ โรงเรียนบ้ ค ำชี้แจง ทำเครื่องหมาย ในช่องที่นักเรียนสามารถปฏิบัติได้ เกณฑ์การให้คะแนนความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย ระดับคะแนน 1 หมายถึง นักเรียนไม่สามารถทำได้ แม้จะให้แรงเสริม ระดับคะแนน 2 หมายถึง นักเรียนสามารถทำได้บ้าง โดยมีครูคอยแน ระดับคะแนน 3 หมายถึง นักเรียนสามารถทำได้ด้วยตนเอง ตาราง ก1 แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย ลำดับ ที่ ชื่อ-นามสกุล เด็กสามารถฟัง และปฏิบัติตาม คำสั่งได้ เด็กส คำถ ระดับคะแนน ระด 1 2 3 1 1 เด็กชายกิตติชัย วงษาชัย / 2 เด็กชายจีรโชค ชาวศรี / / 3 เด็กชายชาญยุทธ์ สายยืน / 4 เด็กชายฐปนวัฒน์ พิมพล / 5 เด็กชายธนพล เพชรทอง / / 6 เด็กหญิงชัชชุอร ดวงคำ / 7 เด็กหญิงณัฐชา วะหาโร / 8 เด็กหญิงปัณฑิตา พิมพกัน /
38 ด็กปฐมวัยก่อนทดลอง (ด้านทักษะการฟัง) บ้านโพธิ์ศรี ผู้ประเมิน นางสาววรินดา ดวงหอม มหรือแรงจูงใจต่างๆ นะนำและช่วยเหลือ สามารถตอบ ามง่ายๆ ได้ เด็กสามารถ เชื่อมโยงบอกสิ่ง ที่สัมพันธ์กันได้ เด็กสามารถเก็บ ข้อมูลที่ได้โดยการใช้ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เด็กสามารถฟังนิทานหรือ เรื่องราวสั้นๆ โดยมี ภาพประกอบและบอกชื่อตัว ละคร หรือเรื่องราวได้ ดับคะแนน ระดับคะแนน ระดับคะแนน ระดับคะแนน 2 3 1 2 3 1 2 3 1 2 3 / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / /
ลำดับ ที่ ชื่อ-นามสกุล เด็กสามารถฟัง และปฏิบัติตาม คำสั่งได้ เด็กส คำถ ระดับคะแนน ระด 1 2 3 1 9 เด็กหญิงพักตร์สุดา สารสวัสดิ์ / 10 เด็กหญิงพิมพ์วิไล กอทอง / / 11 เด็กหญิงวรพิชชา ธิตามาตา / 12 เด็กหญิงวลิตา ลายเสมอ / 13 เด็กหญิงวิมลสิริ พิมพ์ศรี / / 14 เด็กหญิงสไบงาม อินทมาตย์ / 15 เด็กหญิงอชิรญาณ์ ผลพิบูลย์ / /
39 สามารถตอบ ามง่ายๆ ได้ เด็กสามารถ เชื่อมโยงบอกสิ่ง ที่สัมพันธ์กันได้ เด็กสามารถเก็บ ข้อมูลที่ได้โดยการใช้ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เด็กสามารถฟังนิทานหรือ เรื่องราวสั้นๆ โดยมี ภาพประกอบและบอกชื่อตัว ละคร หรือเรื่องราวได้ ดับคะแนน ระดับคะแนน ระดับคะแนน ระดับคะแนน 2 3 1 2 3 1 2 3 1 2 3 / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / /
แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็ วันที่ 30 พฤษภาคม 2566 สถานที่ โรงเรียนบ้ คำชี้แจง ทำเครื่องหมาย ในช่องที่นักเรียนสามารถปฏิบัติได้ เกณฑ์การให้คะแนนความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย ระดับคะแนน 1 หมายถึง นักเรียนไม่สามารถทำได้ แม้จะให้แรงเสริม ระดับคะแนน 2 หมายถึง นักเรียนสามารถทำได้บ้าง โดยมีครูคอยแน ระดับคะแนน 3 หมายถึง นักเรียนสามารถทำได้ด้วยตนเอง ตาราง ก2 แบบสังเกตความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย ลำดับ ที่ ชื่อ-นามสกุล เด็กสามารถบอก สิ่งที่ตนเอง ต้องการได้ เด็ก สนท สั ระดับคะแนน ระด 1 2 3 1 1 เด็กชายกิตติชัย วงษาชัย / 2 เด็กชายจีรโชค ชาวศรี / 3 เด็กชายชาญยุทธ์ สายยืน / 4 เด็กชายฐปนวัฒน์ พิมพล / 5 เด็กชายธนพล เพชรทอง / 6 เด็กหญิงชัชชุอร ดวงคำ / 7 เด็กหญิงณัฐชา วะหาโร / / 8 เด็กหญิงปัณฑิตา พิมพกัน / 9 เด็กหญิงพักตร์สุดา สารสวัสดิ์ / /