The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เนื้อหาเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน ได้แก่ ความหมายความสำคัญ ประวัติความเป็นมา การปลูกพืชไฮโดรโพนิกส์ในประเทศไทย ปัจจัยที่เกี่ยวข้องและระบบการปลูกพืชไร้ดิน ระบบการปลูกพืชไร้ดิน ข้อควรคำนึงสำหรับการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ในเชิงการค้า วัสดุอุปกรณ์สำหรับการปลูกพืชไร้ดิน การปลูกและการดูแลรักษาพืชไร้ดิน การจัดการด้านสารละลาย ธาตุอาหารพืช ศัตรูพืช การเก็บเกี่ยว วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Phatch, 2022-11-30 06:56:37

ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน

เนื้อหาเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน ได้แก่ ความหมายความสำคัญ ประวัติความเป็นมา การปลูกพืชไฮโดรโพนิกส์ในประเทศไทย ปัจจัยที่เกี่ยวข้องและระบบการปลูกพืชไร้ดิน ระบบการปลูกพืชไร้ดิน ข้อควรคำนึงสำหรับการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ในเชิงการค้า วัสดุอุปกรณ์สำหรับการปลูกพืชไร้ดิน การปลูกและการดูแลรักษาพืชไร้ดิน การจัดการด้านสารละลาย ธาตุอาหารพืช ศัตรูพืช การเก็บเกี่ยว วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว

Keywords: ไฮโดรโพนิกส์,การปลูกพืชไร้ดิน,ประวัติความเป็นมาของการปลูกพืชไร้ดิน,ระบบการปลูกพืชไร้ดิน,การปลูกและการดูแลรักษาพืชไร้ดิน,ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพืชไร้ดิน,ความหมายของพืชไร้ดิน

{ คำนำความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน ก

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อประกอบการสอนในรายวิชา
การปลูกพืชไร้ดินเบื้องต้น ในหัวข้อความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน
ผู้จัดทำได้รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน ได้แก่
ความหมายความสำคัญ ประวัติความเป็นมา การปลูกพืชไฮโดรโพนิกส์ในประเทศไทย
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องและระบบการปลูกพืชไร้ดิน ระบบการปลูกพืชไร้ดิน ข้อควรคำนึงสำหรับ
การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ในเชิงการค้า วัสดุอุปกรณ์สำหรับการปลูกพืชไร้ดิน การปลูกและ
การดูแลรักษาพืชไร้ดิน การจัดการด้านสารละลาย ธาตุอาหารพืช ศัตรูพืช การเก็บเกี่ยว
วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว และแบบประเมินผลการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน
สำหรับผู้เรียนเพ่ือเป็นการทดสอบความรู้

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างย่ิงว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ท่ีมีส่วน
เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้สอนรวมทั้งผู้ที่สนใจใฝ่
รู้ในการนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการต่อยอดความรู้ในด้านการเรียนและการปลูกพืช

: ไร้ดิน
ทั้งนี้ ขอขอบพระคุณเจ้าของตำรา เอกสาร บทความ และงานวิจัยที่ผู้เขียนได้
นำมาใช้ในการศึกษาค้นคว้าประกอบการเขียนหนังสือเล่มนี้ ขอขอบคุณอาจารย์ที่ ปรึกษา
ที่ให้คำแนะนำผู้เขียนในการเขียนและเผยแพร่หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ความรู้ความเข้าใจ
เบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดินเล่มนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใดผู้จัดทำต้องขออภัย
ไว้ ณ ที่น้ีด้วย

พัชรพร อุทธิยา

ผู้จัดทำ
ฃุ๊

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน ข

สำรบัญ

เรอ่ื ง หนา้
คำนำ ก
สารบญั ข
แบบประเมินผลการเรยี นรู้กอ่ นเรียน 1
ความหมายความสำคญั ของการปลกู พืชไร้ดิน 6
ประวตั คิ วามเป็นมา 7
การปลูกพชื ไฮโดรโพนิกส์ในประเทศไทย 10
ปจั จัยท่เี กย่ี วขอ้ งและระบบการปลกู พืชไร้ดิน 12

ระบบการปลกู พชื ไรด้ นิ 18

ข้อควรคำนงึ สำหรบั การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ในเชิงการค้า 29
วัสดุอปุ กรณส์ ำหรับการปลกู พชื ไร้ดิน 30
การปลกู และการดูแลรกั ษาพชื ไรด้ ิน 38
การจัดการดา้ นสารละลาย 52
ธาตอุ าหารพชื 58
ศตั รพู ชื 61
การเกบ็ เกย่ี ว 62
วิทยาการหลงั การเก็บเกยี่ ว 63
แบบประเมินผลการเรยี นรู้หลงั เรียน 65
เฉลยแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ 70
เอกสารอ้างอิง 71

๋ิ ตงู้

๊ ึฑ ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 1

แบบประเมนิ ผลการเรียนรกู้ ่อนเรียน

1. ข้อใดคือความหมายของคำว่า "ไฮโดรโพนิกส์"
ก. ปลูกพืชโดยใช้ระบบน้ำหยด
ข. เป็นการปลูกพืชที่ไม่ใช้วัสดุปลูก
ค. เป็นการปลูกพืชลงบนสารละลายธาตุอาหารพืชโดยให้รากพืชสัมผัสกับสารอาหาร
โดยตรง
ง. ข้อ ก และ ค ถูกต้อง

2. Hydroponics เกิดขึ้นจากรากศัพท์ภาษากรีก 2 คํา คือคําว่า
ก. Hydro ซึ่งแปลว่าไร้ดิน และ Ponos ซึ่งแปลว่า น้ำ
ข. Hydro ซ่ึงแปลว่าน้ำ และ Ponos ซึ่งแปลว่า การทำงาน
ค. Hydro ซึ่งแปลว่าพืช และ Ponos ซ่ึงแปลว่า การทำงาน
ง. Hydro ซึ่งแปลว่าอากาศ และ Ponos ซ่ึงแปลว่า การทำงานของน้ำ

3.การปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์ที่มีหลักการวิทยาศาสตร์จริงๆ นั้นเกิดข้ึนเม่ือใด
ก. ประมาณ 400 กว่าปีที่ผ่านมา

µ ข. ประมาณ 600 กว่าปีท่ีผ่านมา
ค. ประมาณ 700 กว่าปีที่ผ่านมา
ง. ประมาณ 800 กว่าปีที่ผ่านมา

4. คนแรกท่ีได้คิดค้นสารละลายธาตุอาหารมาตรฐานข้ึนคือใคร
ก. ยูลิอุส ฟอน ซัคส์ นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน
ข. เซอร์ไอแซก นิวตัน นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ
ค. ยาน แบ็บทสิทา ฟาน เฮลมอนท์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยี่ยม

ง. จอห์น วูดวาด (John Woodward) นักวิทยBาBศาAสตAร์Bชาeวอsังeกaฤ.ษpt

L

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 2

5. ยุคนีโอทิค (Neolithic Age) เมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชเกษตรกรรมใน
ยุคนั้นเป็นการเกษตรแบบใด

ก. การเกษตรแบบน้ำขัง
ข. การเกษตรแบบข้ันบันได
ค. การเกษตรแบบเคลื่อนย้ายแหล่งเพาะปลูก

| ง. ถูกทุกข้อ
6. ระบบการปลูกพืชไร้ดินประเภทการปลูกในวัสดุปลูก (Substrate culture) หมายถึง
ข้อใด
ก. สามารถปลูกพืชอย่างต่อเน่ืองได้ตลอดปีในพื้นที่เดียวกัน
ข. การปลูกพืช โดยไม่ใช้ดินท่ีปลูกพืชลงในวัสดุอ่ืนๆ แทนท่ีจะเป็นดิน
ค. ลักษณะของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินท่ีรากพืชจะต้องสัมผัส หรือแช่อยู่ในน้ำ
ง. การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินในลักษณะรากพืชไม่ได้แช่อยู่ในน้ำ แต่ปล่อยให้รากเปลือย
อยู่ในอากาศ

7. ระบบการปลูกพืชไร้ดินประเภทการปลูกในน้ำ (Water culture) หมายถึงข้อใด
ก. การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินท่ีปลูกพืชลงวัสดุอ่ืนๆแทนที่จะเป็นดิน
ข. สามารถปลูกพืชอย่างต่อเนื่องได้ตลอดปีในพื้นท่ีเดียวกัน
ค. ลักษณะของการปลูกพืชโดยที่ไม่ใช้ดินรากพืชจะต้องสัมผัสหรือแช่อยู่ในน้ำ
ง. การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินในลักษณะรากพืชไม่ได้แช่อยู่ในน้ำหรืออยู่ในวัสดุปลูก
ใดๆแต่ปล่อยให้รากเปลือยอยู่ในอากาศ

8.ข้อดีของระบบ NFT คือข้อใด
ก. เป็นระบบที่ต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิด
ข. มีการแพร่กระจายของโรคพืชบางชนิดอย่างรวดเร็ว
ค. ราคาค่าใช้จ่ายในการติดต้ังสูงมาก โดยเฉพาะถ้าใช้ขาต้ังทำจากโลหะ
ง. ไม่จำเป็นต้องมีเคร่ืองควบคุมการให้น้ำเน่ืองจากระบบนี้จะมีการให้น้ำแก่พืช
ตลอดเวลา

ผู่ตู้

! ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 3

9. พืชมีน้ำเป็นองค์ประกอบประมาณก่ีเปอร์เซ็นต์
ก. 60 - 65 เปอร์เซ็นต์
ข. 70 - 75 เปอร์เซ็นต์
ค. 80 - 85 เปอร์เซ็นต์
ง. 90 – 95 เปอร์เซ็นต์

10. ธาตุอาหารพืชมีท้ังหมดก่ีธาตุ
ก. 8 ธาตุ
ข. 14 ธาตุ
ค. 16 ธาตุ
ง. 18 ธาตุ

11. ข้อใดคือธาตุอาหารท่ีพืชต้องการปริมาณมาก
ก. เหล็ก (Fe)
ข. สังกะสี (Zn)
ค. ทองแดง (Cu)
ง. ไนโตรเจน (N)

12. ข้อใดคือวัสดุท่ีเป็นอนินทรีย์สาร
ก. ข้ีเลื่อย
ข. ถ่านแกลบ
ค. เม็ดดินเผา
ง. ขุยมะพร้าว

13. ข้อใดคือปัจจัยทางด้านพันธุกรรม
ก. น้ำ
ข. ยีน
ค. แสง
ง. วัสดุปลูก

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 4

14.ขอ้ ใดไม่ใชข่ ้อควรคำนึงสำหรบั การปลกู ผักไฮโดรโพนกิ สใ์ นเชิงการคา้
ก. ฤดูทปี่ ลกู
ข. ราคาผลผลิต
ค. อายุการเก็บเกีย่ ว
ง. การสญู เสียน้ำหนกั

15. ถ้าพืชได้รับแสงแดดไม่เพียงพอจะมีอาการอย่างไร
ก. พืชจะบวมน้ำ
ข. พืชจะเกิดการแตกหน่อ
ค. แสงแดดไม่มีความสำคัญละไม่มีผลกระทบต่อพืช
ง. พืชจะยืดเสียทรงและอ่อนแอเจริญเติบโตได้ไม่เต็มท่ี

16.เมล็ดพันธุ์ผักที่มีจําหน่ายกันอยู่ในท้องตลาดแบ่งได้เป็นก่ีประเภทได้แก่อะไรบ้าง
ก. แบ่งได้เป็น 1 ประเภท แบบไม่เคลือบ
ข. แบ่งได้เป็น 2 ประเภท แบบเคลือบ แบบไม่เคลือบ
ค. แบ่งได้เป็น 2 ประเภท แบบเคลือบ แบบกึ่งเคลือบ
ง. แบ่งได้เป็น 3 ประเภท แบบไม่เคลือบ แบบเคลือบ และแบบกึ่งเคลือบ

17. ข้อใดต่อไปน้ีกล่าวถึงเมล็ดแบบเคลือบไม่ถูกต้อง
ก. มีราคาถูกมาก ๆ เพราะต้นทุนต่ำ
ข. ไม่เหมาะกับการนำไปเพาะกับวัสดุจำพวกพีทมอส
ค. ข้อเสียของการใช้เมล็ดแบบเคลือบก็คือขนาดใหญ่ขึ้น
ง. ถูกทุกข้อ

18. เมล็ดพันธ์ุพืชท่ีเก็บในภาชนะปิดสนิทและเก็บในอุณหภูมิต่ำสามารถเก็บได้นานเท่าใด
ก. ประมาณ 1 ปี
ข. ประมาณ 1-2 ปี
ค. ประมาณ 3-5 เดือน
ง. ประมาณ 6-8 เดือน

ษู๋

T ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 5

↓ 19. ภาชนะปลูกท่ีดีจะต้องมีลักษณะอย่างไร
ก. ภาชนะมีความสวยงาม
ข. ภาชนะทำจากอินทรียวัตถุ
ค. ไม่ทำปฏิกิริยาเคมีกับสารต่างๆ
ง. ใช้ภาชนะโลหะท่ีเคลือบด้วยสังกะสี

20. ย้ายผักลงแปลงปลูกได้เม่ืออนุบาลผักจนมีอายุได้ประมาณกี่วัน
ก. ประมาณ 7 - 14 วัน หรือผักเริ่มมีใบจริงประมาณ 1 ใบ
ข. ประมาณ 10 - 14 วัน หรือผักเร่ิมมีใบจริงประมาณ 2 ใบ
ค. ประมาณ 10 - 14 วัน หรือผักเร่ิมมีใบจริงประมาณ 3 ใบ
ง. ประมาณ 10 - 20 วัน หรือผักเร่ิมมีใบจริงประมาณ 4 ใบ

|

QR Code สำหรับสแกนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น

ฒ็

| ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 6

! ความหมายความสำคัญของการปลกู พืชไร้ดิน

ความสำคญั ของการปลูกพืชไร้ดิน
ปัจจุบันการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโพนิกส์มีเทคนิคที่คิดค้นใหม่ ๆ หลากหลาย

รูปแบบไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการปลูกพืชในน้ำ (water culture) เท่านั้น บางกรณีมี
การใช้วัสดุปลูก (substrate) ทดแทนดินท้ังหมดและรดด้วยสารละลายธาตุอาหารพืช
ซึ่งเรามักเรียกว่า ซับส์เทรต คัลเจอร์ (substrate culture) หรือมีเดีย คัลเจอร์
(media culture) หรือแอกกรีเกตไฮโดรโปนิกส์(aggregate hydroponics) เทคนิค-
ดังกล่าวนิยมเรียกว่า การปลูกโดยไม่ใช้ดิน หรือการปลูกพืชไร้ดิน (soilless culture)
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าเทคนิคการปลูกพืชในน้ำก็ดีหรือการ
ปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์รูปแบบอื่น ๆ ก็ดีบางครั้งก็อาจ
เรียกรวม ๆ ว่า soilless culture แทนคำว่า hydroponics
ก็ได้
ไฮโดรโปนิกส์มีประโยชน์หลักๆ 2 ประการ

ประการแรก คือช่วยให้มีสิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้มากขึ้นสำหรับการเติบโตของ
พืชแทนที่จะเป็นการใช้ดินอย่างเดิม ทำให้กำจัดตัวแปรที่ไม่ทราบออกไปจากการ
ทดลองได้จำนวนมาก

ประการท่ีสอง คือพืชหลายชนิดจะให้ผลผลิตได้มากในเวลาที่น้อยกว่าเดิม และ
ในบางครั้งก็มีคุณภาพที่ดีกว่าเดิมด้วย ซึ่งในสภาพแวดล้อมและสภาพการ
เศรษฐศาสตร์หน่ึง ๆ การปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์จะให้ผลกำไรแก่เกษตรกรมากขึ้น
และด้วยการปลูกที่ไม่ใช้ดินจึงทำให้พืชไม่มีโรคที่เกิดในดินไม่มีวัชพืช ไม่ต้องจัดการ
ดินและยังสามารถปลูกพืชใกล้กันมากได้ ด้วยเหตุนี้พืชจึงให้ผลผลิตในปริมาณที่
มากกว่าเดิมขณะที่ใช้พื้นที่จำกัด นอกจากนี้ยังมีการใช้น้ำน้อยมากเพราะมีการใช้
ภาชนะหรือระบบวนน้ำแบบปิด เพื่อหมุนเวียนน้ำเมื่อเทียบกับการเกษตรแบบเดิม
แล้วนับว่าใช้น้ำเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น

ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 7

ประวัตคิ วำมเป็ นมำภาพการเพาะปลูกมาต้ังแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ท่ีมา:

https://zenhydroponics.blogspot.com/2014/09/blog-post.html

! มนุษย์เริ่มรู้จักการเพาะปลูกมาตั้งแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคนีโอทิค
(Neolithic- Age) เมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยการเกษตรกรรมในยุคนั้น
จะเป็นการเกษตรแบบเคลื่อนย้ายแหล่งเพาะปลูก โดยมนุษย์จะเลือกตั้งที่อยู่อาศัยในบรเิ วณ
ที่มีดินอุดมสมบูรณ์แล้วทำการเพาะปลูกพืชเพื่อใช้บริโภค และประโยชน์ใช้สอยด้านต่าง ๆ
ต่อมาเมอ่ื ดนิ ในบรเิ วณน้ันเร่ิมเส่อื มคณุ ภาพลง มนษุ ยก์ ็จะเริม่ มองหาทอ่ี ยูอ่ าศัยใหมแ่ ล้วย้ายท่ี
อยูไ่ ปเรื่อย ๆ แต่แหล่งเกษตรกรรมทีถ่ อื วา่ เป็นยุคแรกของการเพาะปลูกพืชท่ีมีการต้ังถ่ินฐาน
ชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อ 8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่ดินแดนที่เรียกว่า เมโสโปเตเมีย (ประเทศ-
อิรักและอิหร่านในปัจจุบัน) โดยถือเป็นแหล่งอารยธรรมด้านการเกษตรที่แรกของโลก
สำหรับการปลูกพืชแบบไร้ดินนั้น ก็มีจุดกำเนิดอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส (ในประเทศอิรัก) โดย
สถานที่นี้มีชื่อเรียกว่า สวนลอยฟ้าบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) สร้างโดย
กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 แห่งกรุงบาบิโลเนีย โดยพระองค์ได้สร้างสวนแห่งนี้ให้แก่มเหสี
ของพระองค์ที่ชื่อพระนางเซมิรามีส สวนบาบิโลน นี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 600 ปี
ก่อนคริสต์ศักราช มีความสูงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ประมาณ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุก
ชั้นจะปลูกประดับด้วยต้นไม้และดอกไม้ รวมถึงมีการปลูกไม้ยืนต้นชนิดต่าง ๆ ไว้บน
สิง่ กอ่ สร้างนน้ั

ลุ่

: ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 8
k ที่มา : https://zen-hydroponics.blogspot.com/2014/09/blog-post.html

โดยวิศวกรในสมัยนั้นได้มีการออกแบบและสร้างเครื่องมือที่สามารถ ดึงน้ำจาก
แม่น้ำไทกิส ไปทำเป็นสวนน้ำตกและนำน้ำนั้นไปใช้ในการเพาะปลูกพืชบนสวนลอยฟ้าแห่ง
นั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายที่สวนลอยฟ้าบาบิโลนนี้ได้พังทลายไปจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อ
ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราชแต่การปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์ที่มีหลักการวิทยาศาสตร์
จริง ๆ นั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 400 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี ค.ศ. 1600 นักวิทยาศาสตร์
ชาวเบลเยี่ยม ชื่อ ยาน แบ็บทิสทา ฟาน เฮลมอนท์ (Jan Baptista Van Helmont) ได้ทำ
การทดลองปลูกต้นวิลโลว์ ในดินที่บรรจุในท่อที่รดด้วยน้ำฝนเป็นเวลา 5 ปี ผลปรากฏว่า
ต้นวิลโลว์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจาก 5 ปอนด์ เป็น 169 ปอนด์ ในขณะที่ดินที่ใช้ปลูกมีน้ำหนัก
หายไปเพียงเล็กน้อย จากการทดลองนี้เขาสรุปว่า พืชจะสามารถรับธาตุอาหารที่ใช้ในการ
เจริญเติบโตได้นัน้ ตอ้ งอาศยั นำ้ เป็นตัวนำพามากกว่าการได้รับแร่ธาตุโดยตรงจากดิน ต่อมาใน
ปี ค.ศ.1699 จอห์น วูดวาด (John Woodward) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ทำการ
ทดลองปลูกพืชในน้ำโดยอาศัยธาตุอาหารจากดินในแหล่งต่าง ๆ มาละลายลงในน้ำ ต่อมาใน
ปี ค.ศ. 1860 ยูลิอุส ฟอน ซัคส์ (Julius von Sachs) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันนับเป็น
คนแรกที่ได้คิดค้นสารละลายธาตุอาหารมาตรฐานขึ้น หลังจากนั้นจึ งได้มีการคิดค้น
สารละลายธาตุอาหารสตู รตา่ ง ๆ

ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 9

โดยนักวิทยาศาสตร์อีกหลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิลเฮลม์ คน็อป (Willhelm -
Knop) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ซึ่งสูตรสารละลายธาตุอาหารที่เขาคิดค้นขึ้นใน ค.ศ.
1865 ก็ยังนำมาใช้อยู่ในปัจจุบัน เพียงแต่เพิ่มธาตุอาหารเสริมบางชนิดเข้าไปเท่านั้น
จนกระทั่ง ค.ศ.1925 หรือเมื่อประมาณ 80 กว่าปีที่ผ่านมา ศาสตราจารย์ วิลเลียม เอฟ.-
แกริก (William F. Gericke) ชาวอเมริกันแห่งมหาลัยแคลิฟอร์เนีย ก็ได้พัฒนาเทคนิคการ
เติมอากาศลงในน้ำและได้มีการทดลองใช้สารละลายธาตุอาหารพืช มาใช้ในการการปลูก
มะเขือเทศด้วยสารละลายสูตรที่เขาดัดแปลงขึ้นในอ่างขนาดใหญ่ ปากอ่างปิดด้วยตะแกรง
แล้วปลูกมะเขือเทศบนตะแกรง และปล่อยให้รากงอกยาวลงไปถึงสารละลายที่อยู่ด้านล่าง
มะเขอื เทศทเ่ี ขาปลูกสามารถเจรญิ เติบโตจนถึงระยะติดดอกออกผลและที่มเี ถายาวถงึ 25 ฟุต
และเขาได้บรรญัติศัพท์ hydroponics ขึ้นจากรากศัพท์ภาษากรีก 2 คำ คือ Hydro ซ่ึง
แปลว่า "น้ำ" และ Ponos ซึ่งแปลว่า "การทำงาน" จากนั้นแกริกได้นำเทคนิคการปลูกน้ไี ปใช้
กับการปลูกในเชิงธุรกิจจนเป็นผลสำเร็จ ทำให้ศาสตราจารย์ผู้นี้ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดา
แห่งเทคโนโลยีไฮโดรโพนิกส์สมัยใหม่ การปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโพนิกส์จึงเริ่มแพร่หลาย
ขนึ้ นบั ตัง้ แตน่ นั้ เป็นต้นมา สว่ นในทวปี เอเชียในช่วงสงครามโลกครั้งท่ี 2 ทหารชาวอเมริกันได้
นำเอาเทคนิคการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินมาใช้ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อผลิตอาหารเลี้ยงกองทัพ
ทเ่ี มืองโชฟุ กรงุ โตเกยี ว โดยใชพ้ ืน้ ทีถ่ ึงในการเพาะปลูก 137.5 ไร่ และท่เี มืองโอซึ จงั หวดั ชิกะ
อีก 62.5 ไร่ ทำให้คนงานชาวญี่ปุ่นที่เข้าไปทำงานได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกพืช
โดยไม่ใชด้ ินจากนั้นเปน็ ตน้ มา

ภาพโรงเรือน “Hydroponic Farm”

! ของกองทัพสหรัฐอเมริกาซ่ึงสร้างขึ้นที่
เมืองโชฟุ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ใช้ปลูกพืชเล้ียงทหารในกองทัพสหรัฐ
ในระหว่างปี ค.ศ. 1946-1960

ท่ีมา : https://zen-hydroponics.blogspot.com/2014/09/blog-post.html/ (2561)

งุ๋

ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 10

การปลกู พชื ไฮโดรโพนกิ สใ์ นประเทศไทยสำหรับการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโพนิกส์ในประเทศไทยนั้น พ.ศ.2520 สมเด็จ-

พระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯไปเยือนประเทศอิสราเอล
เพือ่ ทอดพระเนตรด้านการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ รวมท้งั ด้านเกษตรและการวิจัยเก่ียวกับ
การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน

ต่อมาในปี พ.ศ.2526 พระองค์ท่านได้เสด็จฯไปประเทศญี่ปุ่น และได้ทรงได้

i ทอดพระเนตรการปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์เป็นการค้าซึ่งเป็นระบบ DFT (Deep Flow-
Technique) ทรงสนพระทัยเป็นอย่างมาก จึงทรงได้ศึกษาหาแนวทางและความเป็นได้ของ
เทคโนโลยดี า้ นนีเ้ ข้ามาใชใ้ นประเทศไทย

:* ต่อมาในปี พ.ศ.2530 ซึ่งเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จ-

พระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ องค์การอาหารและเกษตรแห่ง
สหประชาชาติ (F.A.O.) ได้น้อมเกล้าฯถวายโครงการวิจัยการปลูกพืชไร้ดินเพื่อร่วม
เฉลิมฉลองในวาระดังกล่าว สมเด็จพระเทพพระรตั นราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงเลือก
I โครงการวิจัยการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน เพื่อใช้ในการผลิตพืชเน้นการนำเอาวัสดุเหลือใช้
ทางการเกษตรที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์ผ่านทางมหาวิยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมี
พื้นท่ีวจิ ัย 3 แห่ง คือ

1. งานสวนในบริเวณสวนจิตรลดา ซึ่งเป็นพื้นที่วิจัยที่ติดตั้งระบบการปลูกพืช
แบบไฮโดรโพนิกส์มีระบบควบคุมการใส่ปุ๋ย และกรดอัตโนมัติจากประเทศอังกฤษนำมา
ทดลองเป็นแหง่ แรกในประเทศไทย

2. ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ และภาควิชาพฤกษศาสตร์
คณะวิทยาศาสตร์แหง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน

ฏ่ืตู๋

F ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 11

! 3. ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร มหาวิยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
โดยมีการค้นคว้าวิจัยระบบการปลูกพืชแบบ DFT , NFT และ substrate culture เพื่อเป็น
! การเตรียมข้อมูลพ้ืนฐาน สำหรับสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยเพ่ือนำไปใช้ปลูกในเขตพ้ืนท่ี
ที่ดินมีปัญหาอันอาจเป็นประโยชน์ต่อโครงการพัฒนาการเกษตรของไทยในอนาคต หลังจาก
น้ันมาก็มกี ารวิจัยโดยนกั วจิ ยั จากหลายสถาบัน เช่น

- ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิยาลยั
- ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้า
คุณทหารลาดกระบัง
- มหาวิยาลัยแม่โจ้ จ.เชยี งใหม่
- กองบำรุงรักษาราชอุทยาน สำนักพระราชวังและสถานีเกษตรหลวงของมูลนิธิ
โครงการหลวง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 นาคีตะฟาร์ม ซึ่งเป็นฟาร์มแห่งแรกที่สร้างขึ้นโดยเอกชน
ตั้งอยู่ที่ตำบลนาดี อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร มีการปลูกผักชนิดต่าง ๆ โดยใช้เทคนิค
การให้อากาศในน้ำ และสารละลายไม่หมุนเวียน
ใน พ.ศ.2536 นายเสรี แทน ได้เริ่มทำฟาร์มผักไฮโดรโพนิกส์ โดยฟาร์มตั้งอยู่ท่ี
ตำบลริมปิง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เป็นฟาร์มที่ปลูกผักด้วยระบบเอ็นเอฟที (NFT) เพื่อ
ส่งออกไปยังฮ่องกง
ต่อมาใน พ.ศ. 2540 บริษัท แอกเซนต์ไฮโดรโปนิกส์ 1997 (ประเทศไทย) ได้นำ
เทคนิคเอ็นเอฟที (NFT) ที่ทันสมัยจากประเทศออสเตรเลียมาใช้ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวด้าน
เทคโนโลยีพืชในน้ำ หลังจากนั้นมีฟาร์มแบบสมัยใหม่เกิดขึ้นมาอีกหลายแห่ง โดยเฉพาะใน
เขตกรงุ เทพมหานคร และจงั หวดั ใกลเ้ คยี ง

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 12

ปจั จยั ที่เกยี่ วขอ้ งและระบบการปลกู พืชไรด้ นิ

ระบบการปลูกพืชไร้ดิน จะคำนึงถึงการจัดการให้ปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต
ของพืช อยู่ในระดับที่เหมาะสมที่สุดต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของพืช พืชจะ
เจริญเติบโตได้ดีจะต้องประกอบด้วย ปัจจัยที่จำเป็นต้องมีในการเจริญเติบโต ได้แก่ แสง น้ำ
ธาตุอาหารพืช อุณหภมู ิ ความเป็นกรด-ดา่ ง ออกซเิ จน และคารบ์ อนไดออกไซด์ ทัง้ ทรี่ ากและ
ส่วนเหนือดิน ในการปลูกพืชโดยทั่วไปจะมีดินและอากาศ เป็นส่วนที่จะให้ปัจจัยเหล่านี้แต่
ข้อเสียของดิน คือดินจะมีคุณสมบัติที่ไม่แน่นอนในแต่ละท้องที่ ถ้าดินมีคุณสมบัติที่ไม่
เหมาะสมต่อพชื ก็จะเจริญไม่ดี การปรับปรุงและแก้ไขดนิ อาจจะสามารถทำได้ แต่ในบางกรณี
อาจจะมีความยุ่งยากมาก หรือต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ส่วนการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินจะใช้
วัสดอุ ่ืนมาแทนดนิ โดยจะเลือกวัสดทุ ม่ี ีความเหมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตของพืช

ปจั จัยทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับการปลกู พืชไรด้ ิน
1.ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม

ยีน (gene) เป็นตัวกำหนดลักษณะการเจริญเติบโตของพืช ไม่ว่าจะเป็นส่วนของ ราก
ลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ ตลอดจนดอกและผล การสะสมมวลชีวภาพได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ
พันธุกรรมของพืชเอง พันธุ์พืชที่จะใช้กับการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโพนิกส์โดยเฉพาะยังไม่มี
หรือมนี อ้ ยมาก

2.ปัจจยั ทางด้านส่ิงแวดล้อม

2.1 แสง
ตามธรรมชาติพืชจะใช้แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงาน เพื่อทำให้เกิดกระบวนการ
สังเคราะห์แสงที่ใบหรือส่วนที่มีสีเขียว โดยมีคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ซึ่งเป็นรงควัตถุ
สีเขียวชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่เป็นตัวรับแสงเพื่อเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และ
น้ำ (H2O) เป็นกลูโคส (C6H12O6) และก๊าซออกซิเจน (O2) พืชที่ปลูกในบ้านหรือเรือนทดลอง
อาจใช้แสงสว่างจากไฟฟ้าทดแทนแสงอาทิตย์ได้แต่ก็เป็นการสิ้นเปลืองและไม่สมบูรณ์เม่ือ
เปรียบเทียบกับแสงธรรมชาติ แสงแดด จึงจำเป็นต่อพืชมากควรให้พืชได้รับแสงแดดอย่าง

ฑ๋ํ

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 13

เพียงพอตามชนิดของพืชนั้น ๆ ถ้าแสงแดดไม่เพียงพอพืชจะยืดเสียทรงและอ่อนแอ
เจรญิ เติบโตได้ไมเ่ ต็มท่ี

2.2 อากาศ
พืชจำเป็นต้องใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่มีอยู่ประมาณ 0.033 เปอร์เซ็นต์
ในบรรยากาศในการผลติ กลโู คส (C6H12O6) ซึ่งเป็นสารอนิ ทรีย์เริ่มต้นเหตุการณท์ ี่พืชจะขาด
คาร์บอนไดออกไซด์เป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีแหล่งคาร์บอนไดออกไซด์อย่างเหลือเฟือ เช่น
การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากโรงงานและรถยนต์ ตลอดจนการผลิตไฟฟ้าเป็นต้น ส่วน
ก๊าซออกซิเจน (O2) พืชต้องการเพื่อใช้ในกระบวนการหายใจ (Respiration) เพื่อเปลี่ยน
พลังงานแสงอาทิตยซ์ งึ่ ถูกเก็บไวใ้ นรูปพลังงานเคมีในรูปของน้ำตาลกลโู คสและสามารถให้เป็น
พลังงานเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนกระบวนการเมตาโบลิซึม (Metabolism) ต่าง ๆ การหายใจ
ของส่วนเหนือดินของพืชมักไม่มีปัญหา เพราะในบรรยากาศมีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบอยู่
ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ สำหรับรากพืชมักจะขาดออกซิเจน โดยเฉพาะการปลูกพืชไร้ดินด้วย
เทคนิคการปลูกด้วยสารละลาย (Water Culture หรือ Liquid Culture) จำเป็นต้องให้
ออกซิเจนในจำนวนทเี่ พียงพอต่อความตอ้ งการของพืช การให้ออกซิเจนแก่รากพืชจะให้ในรูป
ของฟองอากาศที่แทรกอยู่ในสารละลายธาตุอาหารพืช ซึ่งให้โดยใช้เครื่องสูบลมหรือการใช้
ระบบนำ้ หมุนเวียน

2.3 นำ้
คุณภาพน้ำเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง การปลูกพืชเพียงเล็กน้อยเพื่อการทดลอง
จะไม่มีปัญหาแต่การปลูกเป็นการค้าจะต้องพิจารณาเรือ่ งของน้ำก่อนอื่น หากใช้น้ำคุณภาพ-
ไมด่ ีท้ังองคป์ ระกอบทางเคมแี ละความสะอาดจะก่อใหเ้ กิดความลม้ เหลว นำ้ เป็นตวั ประกอบที่
สำคัญโดยจะถกู นำไปใช้ 2 ทาง คอื
1. ใช้เป็นองค์ประกอบของพืช พืชมีน้ำเป็นองค์ประกอบประมาณ 90-95 เปอร์เซ็นต์
โดยน้ำหนกั พืชใชน้ ำ้ เพอื่ กอ่ ให้เกดิ กิจกรรมท่มี ีประโยชน์
2. ใช้เป็นตัวทำละลายธาตุอาหารพืชให้อยู่ในรูปไอออนหรอื สารละลายธาตอุ าหารพชื
โมเลกุลเล็ก เพื่อให้รากดูดกินเข้าไปปกติน้ำประปาถือว่าใช้ได้ แต่สำหรับการทดลองมักใช้
น้ำกลั่น หรือน้ำประปาทีท่ งิ้ ให้คลอรีนหมดไป แหล่งของน้ำท่ีดีสดุ สำหรบั การปลกู พชื ไร้ดินเชิง
พาณชิ ยค์ อื น้ำฝนหรือน้ำจากคลองชลประทาน

ผุ๋

ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 14

2.4 วสั ดุปลูก
วัสดุปลูก หมายถึงวัตถุ (material) ต่าง ๆ ที่เลือกสรรมา เพื่อใช้ปลูกพืชและทำให้
ต้นพืชเจริญเติบโตได้เป็นปกติ วัสดุดังกล่าวอาจเป็นชนิดเดียวกันหรือหลายชนิดผสมกัน
ชนิดของวสั ดุปลกู อาจเปน็ อินทรียว์ ตั ถกุ ็ได้ โดยทั่วไปวสั ดปุ ลูกจะมีบทบาทตอ่ การเจริญเติบโต
และการใหผ้ ลผลิตพืช 4 ประการ ไดแ้ ก่
1. ค้ำจุนส่วนของพชื ทอี่ ยู่เหนือวสั ดุปลกู ใหต้ ้ังตรงอยู่ได้
2. เก็บสำรองธาตอุ าหารพืช
3. กักเก็บน้ำเพื่อเปน็ ประโยชน์ตอ่ พชื
4. แลกเปลีย่ นอากาศระหวา่ งรากพชื กับบรรยากาศเหนือวัสดุปลกู
การปลูกพืชไร้ดินด้วยเทคนิควัสดุปลูก (Substrate Culture) วัสดุปลูกพืชนับว่า
มีความสำคัญยิ่ง วัสดุปลูกอาจจะเป็นวัสดุอนินทรีย์ (Inorganic media) เช่น ทราย กรวด
หินภูเขาไฟ เปอร์ไลท์ (Perlite) เวอร์มิคิวไลท์ (Vermiculite) และร็อกวูล (Rockwool)
หรือวัสดุอินทรีย์ (Organic media) เช่น ขี้เลื่อย ขุยมะพร้าว เปลือกไม้และแกลบเป็นต้น
วัสดุปลูกควรมีอนุภาคสม่ำเสมอ ราคาถูก ปราศจากพิษและศัตรูพืช และเป็นวัสดุที่หาง่าย
ในท้องถิ่นนั้น ในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะใช้แกลบเป็นวัสดุปลูก แต่แกลบจะมีรูพรุนมากจึง
ไม่ดูดซับน้ำ ควรเก็บไว้ระยะหนึ่งหรือผสมกับวัสดุอื่นที่กักเก็บน้ำได้ เช่น ขุยมะพร้าว
ความสามารถในการอมุ้ น้ำของวัสดปุ ลูกเป็นคณุ สมบตั ิอยา่ งหนึง่ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของ
พืช เพราะเกี่ยวข้องกับสัดส่วนของอากาศและน้ำในช่องว่างที่เหมาะสม วัสดุปลูกที่เป็น
ของแข็งสามารถจำแนกตามท่มี าและแหล่งกำเนิดของวัสดไุ ดด้ งั ต่อไปนี้
1. วัสดปุ ลกู ที่เป็นอนินทรยี ์สาร เชน่
- วสั ดทุ ี่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ เชน่ ทราย ก้อนกรวด หินภูเขาไฟ หนิ ซลี ท์ ฯลฯ
- วัสดทุ ่ีผ่านขบวนการโดยใชค้ วามร้อน ทำใหว้ สั ดุเหล่านี้มคี ณุ สมบัติเปลี่ยนไปจากเดิม
เช่น ดินเผา เม็ดดินเผา ที่ได้จากการเผาเม็ดดินเหนียวที่อุณหภูมิสูง 1,100 องศาเซลเซียส
ใยหิน ที่ได้จากการหลอมหินภูเขาไฟทีท่ ำให้เป็นเส้นใยแล้วผสมด้วยสารเลซิน เปอร์ไลท์ ที่ได้
จากทรายที่มีต้นกำเนิดจากภูเขาที่อุณหภูมิสูง 1,200 องศาเซลเซียส เวอร์มิคูไลท์
(vermiculite) ทีไ่ ดจ้ ากการเผาแรไ่ มกา้ ท่อี ุณหภมู สิ งู 800 องศาเซลเซยี ส
- วัสดุเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น เศษจากการทำอิฐมอญ เศษดินเผาจาก
โรงงานเครอื่ งปั้นดนิ เผา

ศุ๋

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 15

2. วัสดุปลูกที่เป็นอินทรีย์สาร เช่น วัสดุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ฟางข้าว
ขุยมะพร้าวและเส้นใยมะพร้าว แกลบและข้ีเถา้ เปลือกถ่ัว พีท หรือวัสดุเหลือใช้จากโรงงาน-
อตุ สาหกรรม เช่น ชานอ้อย กากตะกอนจากโรงงานน้ำตาล วัสดเุ หลือใชจ้ ากโรงงานกระดาษ

3. วัสดุสังเคราะห์ เช่น เม็ดโฟม แผ่นฟองน้ำ และเส้นใยพลาสติกลักษณะของ
วัสดปุ ลกู ทด่ี ี ภาพรวมในการเลือกใชว้ ัสดปุ ลูกให้คำนึงถึงคือ ต้องสะอาดและทำความสะอาด-
ง่าย มคี วามแข็งแรงมคี ณุ สมบตั ทิ างกายภาพทดี่ ี เช่น ไม่ทรดุ ตวั ง่าย ถา่ ยเทน้ำและอากาศได้ดี
มีคุณสมบัติที่เหมาะสมทางเคมี เช่น ระดับของความเป็นกรด-ด่าง ไม่มีสารทำลายรากพืช
เป็นวัสดุที่สามารถเพาะเมล็ดได้ทกุ ขนาดและทุกประเภท ควรเป็นวัสดุที่มีราคาถูกที่สามารถ
หาไดใ้ นทอ้ งถน่ิ และไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาตอ่ ส่งิ แวดล้อม

2.5 สารละลายธาตุอาหารพืช
ธาตุอาหารท่พี ชื ต้องการในการเจรญิ เตบิ โตและใหผ้ ลผลติ มีท้ังหมด 16 ธาตุ ซ่ึง 3 ธาตุ
คือ คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจนได้จากน้ำและอากาศ และอีก 13 ธาตุ ได้จากการดูด
กินผ่านทางราก ทั้ง 13 ธาตุแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ตามปริมาณที่พืชต้องการคือ ธาตุอาหารที่
พืชตอ้ งการเปน็ ปรมิ าณมากและธาตุอาหารทีพ่ ืชต้องการเป็นปรมิ าณนอ้ ย
ก. ธาตุอาหารทพี่ ชื ตอ้ งการเป็นปรมิ าณมาก (macronutrient elements) ไนโตรเจน
(N) พืชสามารถดูดกินไนโตรเจนได้ทั้งในรูปของแอมโมเนียมไอออน [NH4]+ และ

ไนเตรทไอออน [NO3]- ซึ่งไนโตรเจนส่วนใหญ่ในสารละลายธาตุอาหารพืชจะอยู่ใน

รูปไนเตรทไอออนเพราะถ้ามีแอมโมเนียมไอออนมากจะเป็นอันตรายต่อพืชได้ สารเคมีที่ให้

จ ไนเตรทไอออน คอื แคลเซียมไอออน และโปแตสเซยี มไนเตรท

ศู่ศุ๋

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 16

นอกจากนี้ยังอาจได้จากกรดดินประสิว (HNO3) ที่ใช้ในการปรับความเป็นกรด-ด่าง
ของสารละลายธาตอุ าหารพชื ฟอสฟอรัส (P) ในการปลูกพชื ไร้ดนิ พชื ตอ้ งการธาตุฟอสฟอรสั
ไม่มากเท่ากับไนโตรเจนและโปแตสเซียม ประกอบกับไม่มีปัญหาในเรื่องความไม่เป็น
ประโยชน์ของฟอสฟอรัสเหมอื นในดิน พชื จึงไดร้ บั ฟอสฟอรัสอยา่ งเพยี งพอ รูปของฟอสฟอรสั
ที่พืชสามารถดูดกินได้คือ mono-hydrogenphosphate ion (HPO42-) ส่วนจะอยู่ในรูปใด
มากกว่ากันขึ้นอยู่กับความเป็นกรด-ด่างของสารละลายในขณะนั้น โพแทสเซียม (K) รูปของ
โพแทสเซียมท่ีพืชดูดกินได้คือ potassium ion (K+) โพแทสเซียมที่มีมากเกินพอ
จะไปรบกวนการดูดกินแคลเซียมและแมกนีเซียม สารเคมีที่ให้โปแตสเซียม คือ
potassuimnitrate และ potassium phosphate แคลเซยี ม (Ca) รูปของแคลเซยี มท่พี ชื ดูด
กินได้คือ calcium ion (Ca2+) แหล่ง (Ca2+) ที่ดีที่สุด คือ calcium nitrate เนื่องจาก
ละลายง่าย ราคาไม่แพงและยังให้ธาตุไนโตรเจนด้วย แคลเซียมที่มีมากในสารละลาย
ธาตุอาหารพืชจะไปรบกวนการดูดกินโปแตสเซียมและแมกนีเซียม ในน้ำตามธรรมชาติ
จะมีแคลเซียมอยู่ปริมาณหนึ่ง การเตรียมสารละลายธาตุอาหารพืชจึงควรคิดแคลเซียมในน้ำ
ด้วยจะได้ไม่เกิดปัญหาในการมีแคลเซียมมากเกินไป แมกนีเซียม (Mg) รูปของแมกนีเซียมท่ี
พืชดูดกินได้คือ magnesium ion (Mg2+) สารเคมีที่ให้แมกนีเซียมคือ magnesium sulfate
(MgSO4) ในน้ำธรรมชาติจะมีแมกนีเซียมอยู่ด้วย ฉะนั้นในการเตรียมสารละลาย
ธาตุอาหารพืชจึงควรคำนึงถึงด้วย แมกนีเซียมที่มีมากเกินพอในสารละลายจะไปรบกวน

! การดูดกนิ ธาตุโปแตสเซยี มและแคลเซียม กำมะถนั (S) รปู ของกำมะถันท่พี ชื สามารถดูดกินได้
คือ sulfate ion (SO42-) พบว่าไม่ค่อยมีปัญหาการขาดกำมะถันในระบบการปลูกพืชไร้ดิน
เพราะพืชต้องการกำมะถันในปริมาณน้อย และจะได้รับจากสารเคมีพวกเกลือซัลเฟตของ K,
Mg, Fe, Cu, Mn และ Zn เปน็ ต้น


ศุ๋

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 17

ข. ธาตุอาหารที่พืชต้องการเป็นปริมาณน้อย หรือจุลธาตุ (micronutrient-
elements) โบรอน (B) การแสดงอาการขาดธาตุโบรอนของพืชพบเห็นได้ยากเนื่องจากพืช
ตอ้ งการในปริมาณน้อย ซ่งึ ในน้ำธรรมชาตกิ ม็ ีโบรอนอย่ดู ว้ ยสารเคมีท่ีให้ borate ion [BO3]3-
ซึ่งพืชสามารถดูดกินได้ คือ boric acid (H3BO3) สังกะสี (Zn) รูปที่พืชสามารถดูดกินได้
คอื zinc ion (Zn2+) ซึง่ ได้จาก zinc sulfate (ZnSO4) หรือ zinc chloride (ZnCl2) ทองแดง
(Cu) สารเคมีทใี่ ห้ Copper ion (Cu2+) คอื copper sulfate (CuSO4) หรอื copperchloride
(CuCl2) เหล็ก (Fe) พชื ดดู กินในรปู (Fe2+)หรือ (Fe3+) สารเคมที ่ีให้ธาตเุ หลก็ ท่ีมีราคาถูกที่สุด
คอื ferrous sulfate (FeSO4) ซึ่งละลายนำ้ ได้ง่าย แตก่ จ็ ะตกเป็นตะกอนได้เรว็ จึงตอ้ งควบคุม
สภาพความเป็นกรดด่างของสารละลาย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้โดยการใช้เหล็กในรูป
คีเลต (Fe-chelate) ซึ่งเป็นสารเกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างเหล็กและสารคีเลต ซึ่งเป็น
สารประกอบอินทรีย์ เหล็กคีเลตเป็นสารประกอบเชงิ ซ้อน สามารถคงตัวอยู่ในรูปสารละลาย
ธาตุอาหารพืชและพืชดูดกินได้ เหล็กคีเลตที่นิยมใช้กันอยู่ในรูปของ EDTA หรือ EDDHA
แมงกานีส (Mn) มีลักษณะเหมือนกับเหล็กคือความเป็นประโยชน์ของแมงกานีส จะถูก
ควบคุมโดยความเป็นกรด-ด่าง ถ้าสารละลายธาตุอาหารพืช มีลักษณะด่างความเป็น
ประโยชน์ของแมงกานีสจะลดลง manganese ion (Mn2+) ซึ่งเป็นรูปที่พืชสามารถดูดกินได้
จะได้จากสารเคมี manganese sulfate (MnSO4) หรือmanganese chloride (MnCl2)
โมลิบดินัม (Mo) รูปที่พืชสามารถดูดกินได้คือ molybdate ion (MoO42-) ซึ่งได้จาก
สาร sodium molybdate หรือ ammonium- molybdate คลอรีน (Cl) ในน้ำจะมีคลอรีน
ในรูปของคลอไรด์ (chloride ion (Cl-) ซึ่งเป็นรูปที่พืชจะนำไปใช้ประโยชน์เจือปนอยู่ด้วย
จากการเตรียมสารละลายธาตุอาหารพืชจะได้คลอไรด์จากสารเคมี potassium chloride
รวมทั้งจากจุลธาตุบางธาตุที่อยู่ในรูปของสารประกอบคลอไรด์ ถ้าสารละลายมี (Cl-)
มากเกนิ พอจะไปมีผลยบั ย้ังการดดู กิน anions ตัวอ่ืนเชน่ nitrate (NO3-) และซัลเฟต (SO42-)

ฅุ๋

! ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 18

ระบบการปลูกพืชไร้ดนิ

ภาพระบบน้ำตื้น (NFT)

ท่ีมา : https://zen-hydroponics.blogspot.com/2014/11/blog-post.html

ประเภทของการปลกู พืชโดยไม่ใช้ดนิ

จากการที่มนุษย์ค้นพบว่าสามารถปลูกพืชให้เจริญเติบโตได้โดยไม่ต้องใช้ดิน เพียงแต่
จัดการให้พืชได้รับ น้ำ ธาตุอาหาร ออกซิเจน และที่ยึดเกาะพยุงลำต้นจากภายนอกเพื่อ
ทดแทนทีไ่ ม่ได้รับจากดินน้ัน ต่อมาจึงได้มีการพัฒนารูปแบบและวิธกี ารต่าง ๆ ในการที่จะให้
น้ำ ธาตุอาหารแก่รากพืช ในการเพิ่มออกซิเจน ให้แก่ น้ำและในการให้ที่ยึดเกาะแก่ต้นและ
รากพืชทำให้เกิดเป็นวิธีการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินในรูปแบบต่าง ๆ ได้มากมายหากจัดกลุ่ม
ประเภทของการปลูกโดยไมใ่ ชด้ ินโดยพจิ ารณาจากที่อยขู่ องรากพืชแลว้ สามารถแบ่งประเภท
ของการปลูกพืชโดยไม่ใชด้ นิ ออกได้เปน็ 3 ประเภทหลัก คอื

1. ประเภทการปลกู ในนำ้ (Water culture)
2. ประเภทการปลกู ในวสั ดุปลูก (Substrate culture)
3. ประเภทการปลูกในอากาศ (Aeroponics)

! ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 19

1.ประเภทการปลูกในน้ำ (Water culture)
หมายถึง ลกั ษณะของการปลูกพชื โดยที่ไม่ใชด้ ินรากพชื จะต้องสัมผัส หรือแช่อยู่ในน้ำซ่ึงก็
คือน้ำสารละลายธาตุอาหาร (nutrient solution) โดยตรงและตลอดเวลา ซึ่งยังสามารถ
แบ่งย่อยออกเป็นเทคนิคต่าง ๆตามวิธีของการให้น้ำสัมผัสกับรากพืชและวิธีการเติมอากาศ
ใหก้ ับนำ้ ไดอ้ ีกหลายวิธี สำหรบั เทคนคิ ทีม่ กี ารนำมาใชป้ ลกู เปน็ การค้าในปัจจบุ นั มีดังนี้

1.1NFT (Nutrient Film Technique)
คือการปลูกแบบระบบให้สารละลายธาตุอาหารพืชไหล ผ่านรากพืชเป็นแผ่นบาง ๆ
เหมือนแผ่นฟิล์มบนรางปลูกอย่างต่อเนื่อง (หนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร) ในลำรางปลูกพืช
กว้างต้ังแต่ 5-35 เซนตเิ มตร ขน้ึ กบั ชนดิ ของพชื ทปี่ ลูก ลำรางสงู ประมาณ 5 เซนตเิ มตร ความ
ยาวของรางตั้งแต่ 5-20 เมตร แต่โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 10 เมตร เพราะจะทำให้เกิดความ
แตกต่างของปริมาณออกซิเจนระหว่างหวั และท้ายรางได้

! ภาพระบบน้ำตื้น (NFT)

# ท่ีมา : https://www.h2ohydrogarden.com

T ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 20

I ข้อดีและข้อเสยี ของระบบ NFT

ข้อดี
• ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องควบคุมการให้น้ำเนื่องจากระบบนี้จะมีการให้น้ำแก่พืช

ตลอดเวลา
• ระบบการใหส้ ารละลายแก่พืชไม่ยงุ่ ยาก
• ทำการปอ้ งกันและกำจดั เชอื้ โรคพืชตา่ ง ๆ ในสารละลายได้งา่ ย
• เป็นระบบท่ีมกี ารใช้น้ำและธาตอุ าหารอยา่ งมปี ระสิทธิภาพทส่ี ดุ
• ไม่มีวัสดปุ ลูกท่ตี ้องกำจัด
• สามารถปลูกพืชได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี ไม่เสียเวลาในการเตรียมระบบปลูก เช่น

สามารถปลกู ผกั สลัดได้ถึง 8-10 ครั้ง/ปี

ข้อเสีย

• ราคาค่าใช้จ่ายในการติดต้ังสูงมาก โดยเฉพาะถา้ ใช้ขาตง้ั ทำจากโลหะ

• เป็นระบบที่ต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะมีโอกาสที่ระบบจะเสียได้ง่ายและ
พชื จะถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงและรวดเรว็

• ต้องใช้น้ำที่มีสิ่งเจือปนอยู่น้อย (สารละลายต่าง ๆ) ถ้ามีสิ่งเจือปนอยู่มากจะ
เกิดการสะสมของเกลือบางตัวที่พืชใช้น้อยหรือไม่ดูดใช้ เลยสะสมอยู่ในสารละลาย
ทำให้จำเปน็ ต้องเปล่ียนสารละลายบอ่ ย ๆ ทำให้สน้ิ เปลอื ง

• มีปัญหามากเกี่ยวกับการสะสมของอุณหภูมิของสารละลาย โดยเฉพาะในเขตร้อน
มีผลต่อการละลายตัวของออกซิเจนในสารละลายลดลง จะทำให้พืชอ่อนแอราก
ถูกทำลายโดยโรคพืชไดง้ า่ ย การเจรญิ เตบิ โตลดลงจนถงึ ไม่สามารถปลกู พืชไดเ้ ลย

• มกี ารแพร่กระจายของโรคพชื บางชนิดอยา่ งรวดเรว็

ธฺ

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 21

1.2 DFT (Deep Flow Technique)
เป็นระบบที่ปลูกพืชโดยรากแช่อยู่ในสารละลายลกึ ประมาณ 15- 20 เซนติเมตร โดยจะมี
การปลูกพชื บนแผ่นโฟม หรือวสั ดทุ ่ีลอยน้ำ ไดเ้ พ่อื ยดึ ลำต้นแต่จะปล่อยใหร้ ากเป็นอสิ ระในน้ำ
ระบบนี้ไม่มีความลาดเอียง เป็นระบบที่มีการหมุนเวียนสารละลายโดยการใช้ปั้มดูด
สารละลายจากถังพักขึ้นมาใช้ใหม่ในระบบ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
เพม่ิ ปริมาณออกซเิ จนให้กับระบบนำ้ ทใ่ี ช้ในการผลติ ผัก ระบบนอ้ี าจมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
ระบบไฮโดรโพนิกส์ลอยน้ำ (Floating Hydroponic Systems) การปลูกแบบระบบให้-
สารละลายธาตุอาหารพืชไหลผ่านรากพืชในภาชนะ หรือรางปลูกในระดับลึก คือน้ำจะมี
มากกวา่ NFT

ภาพระบบน้ำต้ืน (DFT)

ที่มา : https://www.h2ohydrogarden.com

เป็นระบบที่ใช้ท่อ PVC มาปลูกผัก โดยหลักการเดียวกับระบบ NFT โดยที่มีน้ำไหล
ผ่านท่อความหนาของน้ำจะสูงกว่าระบบ NFT จะเป็นระบบที่นิยมใช้กันมากในประเทศไทย
เนื่องจากมีตน้ ทนุ ถกู

หุ๊

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 22

1.3 DRFT (Dynamic Root Floating Technique)
คือการปลูกพืชโดยให้รากแช่อยู่ในสารละลายธาตุอาหารโดยตรง และให้อากาศ
ไหลวนผ่านรากพืชอย่างต่อเนื่องที่ระดับความลึกประมาณ 4 เซนติเมตร โดยที่สารละลาย
ธาตุอาหารจะไหลลงสู่ถังบรรจุ จากนั้นจึงไหลเวียนขึ้นไปในถาดปลูกด้วยปั๊มน้ำ ขณะท่ี
สารละลายไหลเวียนขึ้นไปด้านหัวถาดปลกู จะผ่านหัวพน่ อากาศเพื่อเติมอากาศให้สารละลาย
และไหลผ่านรากพืชตามถาดปลูกมาสู่ด้านท้ายถาดปลูกจะผ่านสะดือปรับน้ำ (Nutrient-

1 Level- Adjust) ซ่ึงทำหนา้ ทป่ี รบั ระดบั ความสงู ต่างของสารละลายในถาดปลกู
ภาพระบบน้ำตื้น (DFT)
ที่มา : https://www.h2ohydrogarden.com

ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 23

1.4 DWT (Deep Water Technique) หรือเทคนิคการปลูกพืชในน้ำนิ่งแบบต้องเตมิ
อากาศ

เป็นการปลกู พืชในภาชนะท่ีบรรจนุ ้ำท่ีมีความลกึ ตั้งแต่ 15 ซม.(สำหรับผักกนิ ใบข้ึนไป)
ขึ้นอยู่กับขนาดของต้นพืชและรากที่ปลูก รากพืชต้องแช่อยู่ในนํ้าตลอดเวลาสารละลายที่
ไมม่ ีการหมุนเวียน วธิ ีการปลกู แบบนี้จงึ ต้องมีการเตมิ อากาศใหก้ ับน้ำตลอดเวลาโดยใช้ป้ัมลม
ขนาดของปั้มอากาศขึ้นอยู่กับขนาดของภาชนะและปริมาณน้ำที่ใช้นั่นเอง โดยทั่วไปแล้วควร
ต้องเติมอากาศให้น้ำสารละลายมีปริมาณออกซิเจนอยู่ไม่น้อยกว่า 6-8 มก./ลิตร จึงจะ
เหมาะสมสำหรับกับความต้องการของรากพืช โดยทั่วไปปั้มอากาศขนาด 45 w 220 v
ความถี่ 50 Hz แรงดันอากาศประมาณ 0.06 Mpa พอสําหรับให้ออกซิเจนแก่โต๊ะปลูก

I ขนาด 2.50x1.75 เมตร ความสูงของน้ำประมาณ 15 ซม. ซึง่ บรรจุน้ําปรมิ าตร 650 ลติ ร/โต๊ะ

↓ ภาพโต๊ะปลูกผักระบบ DWT
ที่มา :http://www.eto.ku.ac.th/neweto/e-book/other/soliess%20plants.pdf

ระบบที่นิยมปลูกเป็นการค้าส่วนใหญ่ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ได้แก่ ระบบ NFT
และ ระบบ DFT

unscrnnh

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 24

2. ประเภทการปลกู ในวัสดปุ ลูก (Substrate culture)
หมายถึงการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดนิ ปลกู พชื ลงในวัสดุอื่น ๆ แทนท่จี ะเป็นดิน วัสดุอ่ืน ๆ
ในที่นี้หมายถึงทั้งที่เป็นอินทรีย์สารและอนินทรีย์สารที่จะต้องไม่มีธาตุอาหารพืชสะสมอยู่
การปลูกพืชลงในวัสดุปลูกแบบนี้เป็นการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ

i การปลูกพืชในดินที่เป็นการปลูกพืชลงในกระถางหรือในภาชนะโดยใช้น้ำหยดมากที่สุด
แตกต่างกันตรงท่ีถ้าปลูกลงในดินพืชจะได้รับอาหารที่มีอยู่แล้วในดินหรือจากปุ๋ยที่
ใส่ให้แต่ละครั้งและได้รับน้ำจากการให้น้ำแบบน้ำหยด ส่วนถ้าเป็นการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน
แบบใช้วัสดุปลูกนี้ พืชจะได้รับธาตุอาหารไปพร้อม ๆ กับการให้น้ำหยด เพราะน้ำที่ให้เป็น

! น้ำสารละลายธาตุอาหารในแบบของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินนั่นเอง หัวใจสำคัญของวิธีการ
ปลูกพืชในวัสดุปลูกนี้คือการให้สารละลายธาตุอาหารในปริมาณและความถี่ที่พอเหมาะกับ
ความต้องการของพืชในแต่ละช่วงอายุการเจริญเติบโต และยังต้องมีวิธีการวางระบบระบาย
น้ำสว่ นเกนิ ออกจากวัสดุปลูกด้วย
การปลกู โดยเทคนิคน้ีนิยมใช้กับพชื กินผลทตี่ ้นพืชมักมีขนาดใหญ่ซึ่งไม่สะดวกในการที่
จะปลกู ด้วยวิธีการแบบอน่ื

วัสดุที่เป็นอนินทรีย์สารได้แก่ กรวด (Gravel) ทราย (Sand) เม็ดดินเผา
(Expandedclay) ใยหิน ( Rock wool) หินภูเขาไฟ ( Pumice) เพอร์ไรท์ (Perlite)
เวอร์มิคูไลท์ (Vermiculite) ฯลฯ วัสดุปลูกเหล่านี้จะไม่มีธาตุอาหารให้แก่พืช บางชนิดต้อง
นำเข้ามาจากต่างประเทศ จึงมีราคาแพงแต่มีคุณสมบัติที่ร่วนโปร่งและเบาจึงมีอากาศแทรก
อยู่เพียงพอต่อความต้องการของรากพืชและมีคุณสมบัติอุ้มความชื้นตั้งแต่น้อยจนถึงดีมาก
ข้อดีอีกประการหนึ่งของวัสดุประเภทอนินทรีย์สาร คือมักมีความสะอาดปราศจากเชื้อโรค
ปนเปื้อนอย่แู ละยงั คงทนไม่สลายตัวหรอื ยบุ ตัวงา่ ย ยกเว้นสำหรบั เพอรไ์ รทแ์ ละเวอรม์ ิคไู ลท์

ฒู๊

ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 25

วัสดุที่เป็นอินทรีย์สารได้แก่ ขุยมะพร้าว ขี้เลื่อย แกลบ ถ่านแกลบ เปลือกไม้
เปลือกถั่ว ชานอ้อย วัสดุเหล่านี้จัดเป็นวัสดุธรรมชาติหาได้ง่ายในท้องถิ่น มีราคาถูก
แต่ข้อเสียคือ มักมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำและระบายอากาศที่ยังไม่สมดุลกันภายในวัสดุ
ตัวเดียวกันขุยมะพร้าวเมื่อให้น้ำมากเกินไปจะอุ้มน้ำจนชุ่มและขาดอากาศ ในขณะที่แกลบ
เพียงอย่างเดียวจะไม่อุ้มน้ำและแห้งเกินไปสำหรับรากพืช ในการเลือกใช้วัสดุเหล่านี้จึงนิยม
นำวัสดุที่อุ้มน้ำมากเกินไปผสมกับวัสดุอื่น ๆ เพื่อให้ได้วัสดุผสมที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ
และระบายท่กี ำลงั ดี

฿

! ระบบการปลูกพืชในวัสดุปลูก และให้สารละลายด้วยระบบน้ำหยด
ที่มา :http://www.eto.ku.ac.th/neweto/e-book/other/soliess%20plants.pdf
ฆุ๋

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 26

3. การปลูกพชื ในอากาศ นยิ มเรียกกันว่า แอโรโพนคิ (Aeroponics)
หมายถึงการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินในลักษณะรากพืชไม่ได้แช่อยู่ในน้ำหรืออยู่ใน

! วัสดุปลูกใด ๆ แต่ปล่อยให้รากเปลือยอยู่ในอากาศไม่สัมผัสกับสิ่งใดเลย ดังนั้นจึงต้องมี
การจบั ยึดส่วนโคนของลำต้นพืชให้ตั้งตรงและรากลอยอยู่ในอากาศได้ จากนัน้ จะมีการฉีดพ่น
สารละลายธาตุอาหารในรูปของละอองน้ำไปที่รากพืชโดยตรงเป็นระยะ ๆ และต้องมีการ

! กำบังรากไม่ให้ได้รับแสง จึงมักสร้างเป็นภาชนะรูปทรงต่าง ๆ ภายในกลวงให้เป็นที่อยู่ของ
รากและระบบพ่นละอองน้ำสารละลาย ส่วนต้นพืชจะเจริญเติบโตทรงต้นอยู่ด้านบนกล่อง
ข้อดีของระบบนี้คือ สามารถประหยัดสารละลายธาตุอาหารได้เป็นอย่างดีเหมาะสำหรับ
การปลูกพืชในพื้นที่จำกัดและมีน้ำน้อย เช่น ชายคาบ้าน หรือยอดอาคารตึก ข้อเสียคือ
ค่อนข้างยุ่งยากในการติดตั้งระบบ และสำหรับประเทศในเขตร้อนยังพบปัญหาการ
สะสมความร้อนภายในภาชนะที่เป็นที่อยู่ของราก ยิ่งระบบมีขนาดใหญ่ยิ่งมีปัญหาการ
ระบายอากาศภายในระบบราก จึงยังไม่เหมาะที่จะทำเป็นระบบใหญ่เพื่อเป็นการค้าใน
ประเทศไทย ยกเวน้ ในพน้ื ทีท่ มี่ อี ากาศคอ่ นข้างเย็น เช่น อ.ภูเรอื จ. เลย

! ระบบการผักแบบรากลอยในอากาศ หรือ แอโรโพนิคส์ ที่ไร่ วโนทยาน จ.เลย
ท่ีมา : http://www.eto.ku.ac.th/neweto/e-book/other/soliess%20plants.pdf

1 mm

Innf ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 27

ข้อดีและข้อเสียของการปลูกพืชไร้ดนิ

ขอ้ ดี
1. สามารถทำการเพาะปลูกพืชในบริเวณพ้ืนทด่ี ินไมด่ ีหรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม

ตอ่ การปลกู
2. ใช้พื้นที่เพาะปลกู นอ้ ยและสามารถทาการผลติ ไดอ้ ยา่ งสมำ่ เสมอ
3. ลดค่าขนส่งเพราะสามารถเลือกผลิตใกล้เขตชุมชนหรือโรงงานอุตสาหกรรมฯที่รับ

ซื้อทำให้มีศกั ยภาพในเชิงการค้าสงู
4. ประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการเตรียมดนิ และกำจดั วัชพชื
5. ใชแ้ รงงานน้อยแตม่ ปี ระสิทธภิ าพสูง
6. สามารถปลกู พชื อย่างต่อเนอ่ื งไดต้ ลอดปใี นพนื้ ท่เี ดียวกัน
7. พชื เจริญเตบิ โตไดเ้ รว็ และให้ผลผลิตทม่ี ากกวา่ การปลูกแบบธรรมดาอย่างน้อย

2 สปั ดาห์
8. สามารถตัดปัญหาเกี่ยวกับศัตรูพืชที่เกิดจากดิน ทำให้สามารถปลูกพืชในพื้นท่ี

เดยี วกนั ได้ตลอดปีถงึ แม้จะเปน็ พชื ชนิดเดยี วกนั
9. สามารถใชน้ ำ้ และธาตุอาหารพืชอย่างมปี ระสทิ ธิภาพมากที่สุด เชน่ ปริมาณน้ำท่ีใช้

ลดลงไมต่ ่ำกว่า 10 เทา่ ตัวของการปลูกแบบธรรมดา
10. สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญของพืชได้อย่าง

ถูกต้องแน่นอนและรวดเร็ว โดยเฉพาะในระดับรากพืชได้แก่ การควบคุมปริมาณธาตุอาหาร
ค่าความเป็นกรด-ด่าง อุณหภูมิความเข้มขน้ ของออกซิเจน ฯลฯ ซึ่งการปลูกพืชแบบทั่วไปทำ
ได้ยากทำให้ผลผลิตและคณุ ภาพของพืชทใ่ี ตจ้ งึ สูงกวา่ การปลูกพืชแบบทว่ั ๆไปมาก

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 28

ขอ้ เสีย
1. เป็นระบบที่มีต้นทุนการผลิตเริ่มต้นค่อนข้างสูงเนื่องจากประกอบด้วย

อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ มากมายและมรี าคาแพง
2. จะต้องใชผ้ ทู้ ่มี คี วามเช่ียวชาญ และประสบการณม์ ากพอสมควรในการควบคมุ ดูแล
3. จะตอ้ งมกี ารควบคมุ ดแู ลอยา่ งสมำ่ เสมอ
4. หากไม่มีความรู้ความสามารถในการจัดการที่ดีพออาจทำให้ผลผลิตที่มีปริมาณ

ธาตอุ าหารในผลผลิตพชื เชน่ ไนเตรทสงู จนเปน็ อนั ตรายต่อการบรโิ ภคได้
5. วัสดุปลูกบางชนิดเน่าเปื่อย หรือเน่าสลายตัวยาก ทำให้อาจมีปัญหาต่อ

ส่งิ แวดลอ้ มได้นอกจากนส้ี ารอาหารพืชท่ีใช้แล้วหากไม่มีการจัดการท่ีดกี ็อาจสร้างปัญหาให้น้ำ

! เชน่ ไนเตรทเปน็ ต้น

I ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 29

ข้อควรคำนงึ สำหรบั การปลกู ผกั ไฮโดรโพนกิ ส์ในเชิงการค้า

การปลกู ผักไฮโดรโพนิกส์นัน้ สามารถปลูกผกั ได้ทุกชนิด หากปลูกในเชงิ การค้าจะต้องคำนึงถงึ

• อายกุ ารเก็บเกย่ี ว
เนื่องจากการปลูกด้วยวิธีนี้จะมีการลงทุนสูง ดังนั้นจึงควรเลือกผักที่มีอายุการ

เกบ็ เกีย่ วสั้น มรี อบการผลิตหลายรอบต่อปีจะชว่ ยลดต้นทุนได้ เชน่ ผักสลดั หรอื ผักไทยที่
มอี ายุสนั้ เช่น ผักบุ้ง ผกั คะน้า ผกั โขม
• ราคาผลผลติ

ควรเลือกผกั ที่มีราคาสงู ขายไดร้ าคาดี เน่อื งจากมตี ้นทุนการผลิตสงู จึงจำเป็นต้อง
เลือกผักที่มีราคาดีและตลาดมคี วามต้องการ แต่ในปัจจบุ ันได้มกี ารนำผักที่มขี ายอย่ทู ั่วไป
ตามท้องตลาด เช่น ผักบุ้ง ผักคะน้า ผักกาดเขียวกวางตุ้ง มาปลูกระบบไฮโดรโพนิกส์
มากขึ้นและนำมาขายภายใต้ผลิตภัณฑ์ผักปลอดภัยจากสารพิษ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการ
ของผ้บู รโิ ภคก็สามารถทำรายไดด้ ีอกี ทางหนึง่
• ฤดูปลูก

ชว่ งฤดฝู นผกั ท่วั ไปจะมีออกสู่ตลาดน้อย แตส่ ำหรับการการปลูกผกั ไฮโดรโพนิกส์

| สามารถผลติ ได้ทกุ ฤดกู าล

T ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 30

t วสั ดุ อปุ กรณ์สำหรบั กำรปลกู พืชไร้ดิน

ปัจจุบันการเพาะปลูกพืชมีหลายวิธีซึ่งโดยทั่วไปแล้ว มักจะปลูกลงดินโดยใช้เพาะ
เมล็ดและอนบุ าลจนโตท่สี ามารถเพาะปลกู ลงดินได้ ซงึ่ การปลูกลักษณะเเบบน้ี เหมาะสำหรับ
พื้นที่ดินเหมาะสมกับการเพาะปลูก เเต่บางพื้นที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้เนื่องจากสภาพของ
พื้นดินไม่เอื้ออำนวยในการเจริญเติบโตของพืช เเต่สามารถชดเชยได้โดยการปลูกลงใน
กระถางหรอื ถุงพลาสตกิ ซ่ึงเป็นเรอื่ งทยี่ ุ่งยากในการดูเเลรักษาเเละมีค่าใชจ้ ่าย เเตม่ ีอกี วธิ หี น่ึง
ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันคือการปลูกพชื แบบไร้ดิน หรือปัจจุบันเรียกว่า การปลูกพืชแบบ
แช่ราก (ไฮโดรโพนิกส์) การปลูกพืชแบบนี้มีตั้งแต่สมัยโบราณในยุคอาณาจักรเมโสโปเตเมีย
(ประเทศอิรัก) ถูกสร้างขึ้นในปี 372-287 ก่อนคริสตกาล โดยปลูกบนระเบียงเป็นชั้น ๆ
ทุกระเบียงจะปลูกไม้ดอกไม้ประดับ รวมไปถึงไม้ยืนต้นชนิดต่าง ๆ ไว้บนสิ่งก่อสร้างมีชื่อ
เรียกว่า สวนลอยฟ้าบาลิโลน แต่เนื่องจากการเกิดแผ่นดินไหวทำให้สวนแห่งนี้พังทลายลงไป
อย่างน่าเสียดาย วัสดุอปุ กรณ์ท่ีจำเป็นมากต่อการปลกู พืชไฮโดรโพนิกส์มีหลายชนิดขึ้นอยู่กับ
ลักษณะของการปลูก ซึ่งคำนึงคือราคาควรไม่สูงเกินไปแต่มีคุณภาพดี และสามารถ
หาซื้อได้ง่าย นอกนี้เพื่อเป็นการลดต้นทุนสามารถนำวัสดุเหลือใช้มาประยุกต์ใช้ในการปลูก
พชื ได้อีกด้วย

I
ที่มา : https://intrend.trueid.net
ศู๋

ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 31

วัสดุและอุปกรณ์ทีจ่ ำเป็นสำหรับการปลูกผกั ไฮโดรโพนิกส์

1.ชดุ ปลกู สำหรับปลกู ในบา้ น (พนื้ ที่นอ้ ย)
การปลูกผกั ไฮโดรโพนิกสแ์ บบมพี ื้นทีใ่ ชส้ อยนอ้ ย ราคาประหยดั ปลูกไว้กินเองภายใน

ครัวเรือน ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อยสามารถติดตั้งได้เองแบบง่าย ๆ แต่สำหรับการปลูกผัก
ไฮโดรโพนิกส์ในบรเิ วณบา้ นนั้นไมจ่ ำเป็นต้องสรา้ งโรงเรือนขนาดใหญ่ เนื่องจากเป็นการปลูก
เพ่อื ไว้รบั ประทานกันเองภายในครอบครัว หรอื เพ่ือเป็นงานอดเิ รกเท่าน้ัน เพียงแต่สร้างโครง
มุ้งเพอื่ ปอ้ งกนั แมลงและการกระแทกของนำ้ ฝน

ทีม่ า : http://www.hydroboxs.com ทมี่ า : https://www.supremeshadingnet.com

ท่มี า : http://www.thaihydrohobby.com

ทุ่

ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 32

2. โรงเรอื น
ในการปลูกผักไฮโดรโพนิกส์ในเชิงการค้าจำเป็นต้องใช้โรงเรือนสำหรับเพาะกล้า

อนุบาลต้นกล้าและปลูก ซึ่งรูปแบบของโรงเรือนต้องเหมาะสม มีความแข็งแรง สามารถ
ควบคุมภูมิอากาศภายในโรงเรือนให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของผักที่ปลูก นอกจากนี้
โรงเรือนยังสามารถป้องกันศัตรูพืชได้ พื้นที่ตั้งโรงเรือนต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมคือ
มีการถ่ายเทอากาศดี อยู่ในที่โล่งแจ้งมีการคมนาคมที่สะดวก มีแหล่งน้ำอยู่สูงเพียงพอและ
มไี ฟฟา้

โรงเรือนขนาดเล็ก

ทีม่ า : https://www.nanagarden.com/product/180548

โรงเรอื นขนาดใหญ่

ทม่ี า : facebook โรงเรอื น Biogreenhouse

ตู๊

ท่ีมา : ภาพจากรา้ น ketsirinninlamai Shopee↑ ทมี่ า : https://www.h2ohydrogarden.com
ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 33

3.ภาชนะและวัสดทุ ีใ่ ชใ้ นการปลกู
3.1 ภาชนะในการปลกู
เป็นวัสดุท่สี ำคัญในการปลกู พชื เเบบไฮโดรโพนิกส์ เนื่องจากคณุ สมบัตขิ องวัสดุนั้นต้อง

รองรับน้ำที่ใช้ในการละลายเเร่ธาตุเเละสารอาหารเเทนดิน ภาชนะจะต้องทำความสะอาด
ได้ง่ายเเละไม่ทำปฏิกิริยากับสารละลายในภาชนะปลูกด้วย เช่น รางปลูก, กะละมัง, ลังโฟม
เป็นต้น ภาชนะปลูกพืชวัสดุปลูกจะต้องบรรจุในภาชนะปลูกเพื่อไม่ให้ปะปนกับสารละลาย
ภาชนะปลูกที่ดีจะต้องทำจากวัสดุที่ไม่ทำปฏิกิริยาเคมีกับสารต่าง ๆ ต้องมีความคงทน
แข็งแรงน้ำหนกั เบาใช้ได้นาน และตดิ ตัง้ ใช้งานง่าย ซง่ึ ปจั จบุ ันจะใช้ภาชนะที่ทำจากพลาสติก
เป็นส่วนมาก เนื่องจากมีความคงทน น้ำหนักเบา สามารถทำเป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้มากและ
ราคาถูก ไมค่ วรใช้ภาชนะโลหะที่เคลือบดว้ ยสังกะสี เพราะอาจมกี ารละลายของสงั กะสี ทำให้
สารละลายธาตุอาหารพชื มีความเข้มข้นของสังกะสีสูง และอาจเป็นพิษต่อพชื ได้ ภาชนะปลกู
ที่ทำจากวัสดุประเภทซีเมนต์ ใยหิน หรือกรวด เมื่อนำไปใช้ใส่สารละลายจะมีสภาพเป็นด่าง
ทำให้ pH ของสารละลายสูงขึ้น จึงควรนำไปแช่น้ำให้สะอาดเพื่อเป็นการปรับสภาพให้เป็น

! กลางก่อนนำไปใช้
ท่มี า : https://www.coachnong.com/archives/600

ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 34

3.2 วัสดุปลูก เป็นวัสดุที่ใช้สำหรับค้ำยันพืชเพื่อให้พืชเจริญเติบโต เพื่อไม่ให้พืชล้ม
และยังช่วยให้รากของพืชเกาะเพื่อรับปุ๋ยจากสารอาหารได้ง่าย เช่น ฟองน้ำ, เม็ดดินเผา,
กาบมะพรา้ วสับ เป็นตน้

ทม่ี า:https://www.dtwp.co.th

วัสดุปลูก วัสดุปลูกทำหน้าที่ในการรองรับรากพืชเพื่อให้พืชทรงตัวอยู่ได้ในการ
ปลูกพืชด้วยวธิ ีไฮโดรโพนิกส์ วสั ดุปลกู ทเ่ี หมาะสมสำหรับปลกู พืชด้วยวธิ ีไฮโดรโพนิกส์จะต้อง
มคี ณุ สมบตั ิตอ่ ไปนี้

1. สามารถรักษาอัตราส่วนของน้ำและอากาศให้เหมาะสมตลอดการปลูกโดย
อัตราสว่ นท่ีเหมาะสมคอื นำ้ : อากาศ เท่ากับ 50:50 โดยปรมิ าตร

2. จะต้องไม่มีการอดั หรือยุบตวั เมอื่ เปียกน้ำหรือเม่อื ผา่ นการใช้งานมาเป็นเวลานาน

! 3. จะตอ้ งไมส่ ลายตัวท้ังทางเคมีและทางชวี ภาพ
4. เป็นวสั ดุที่รากพชื สามารถแพรก่ ระจายไดอ้ ยา่ งสะดวกทวั่ ทกุ ส่วน
5. มีความเฉื่อยทางเคมี คือไม่ทำปฏิกิริยากับสารละลายธาตุอาหารและภาชนะ
ทใ่ี ชป้ ลกู
6. มีความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุ (C.E.C) ต่ำหรือไม่มีเลย เพื่อจะได้ไม่มีผล
ตอ่ องคป์ ระกอบของสารละลายธาตอุ าหารพืชในวสั ดปุ ลกู
7. ไมเ่ ปน็ แหลง่ สะสมโรคและแมลง
8.เปน็ วสั ดุท่ีสามารถกำจัดโรคและแมลงไดง้ า่ ย ทำใหส้ ามารถนำวัสดปุ ลูกกลบั มาใช้
ใหม่ได้

ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 35

4. ปุ๋ยหรือธาตอุ าหารของพชื
เป็นส่วนที่สำคัญมาก ๆ สำหรับการปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์ เนื่องจากการปลูกพืช

เเบบไฮโดรโพนิกสจ์ ะใช้น้ำอย่างเดียวไมไ่ ด้ต้องการธาตุอาหารสำหรบั ใหพ้ ืชมีการเจริญเติบโต
โดยปัจจบุ ันธาตอุ าหารจะมขี ายเเบบสำเรจ็ รูปท่ีเรยี กสนั้ ๆ ว่าปยุ่ A และ B

ปุ๋ย A ประกอบด้วย แมกนีเซียมซัลเฟต ( MgSO4 ), โพแทสเซียมไนเตรท ( KNO3 ),
โมโนแอมโมเนยี มฟอสเฟต (MAP), โมโนโพเเทสเซียมฟอสเฟต (MKP), แมงกานีสคเี ลต
(Mn-EDTA) และจุลธาตุรวม

ปุ๋ย B ประกอบด้วยแคลเซียมไนเตรท (Ca(NO3)2), เหล็กคีเลต (Fe-EDTA) และ
จลุ ธาตุรวม โดยจะน้ำสารทงั้ A และ B มีรวมกันในอตั ราสว่ นของนำ้ 1:100 ลิตรโดยประมาณ

5. นำ้
เป็นส่วนที่สำคัญมาก ๆ ต่อการปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์ เนื่องจากน้ำเป็นตัวทำ

ละลายสารอาหาร เเละเป็นตัวนำสารอาหารและแรธ่ าตุจากสารละลายไปยงั ส่พู ืช

6. ระบบไฟฟ้า
ส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้ปลูกแบบน้ำนิ่งไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ เเต่ถ้าปลูกแบบน้ำวนต้องใช้

ไฟฟ้าในการใชป้ ๊ัมน้ำในการดูดนำ้ ขน้ึ มาเพอ่ื ทำให้นำ้ ไหลเวยี น

7. ปั้มน้ำ
เป็นส่วนสำคัญสำหรับการปลูกเเบบน้ำวน เนื่องจากการปลูกแบบน้ำวนต้องใช้ปั๊มน้ำ

ในการเลี้ยงต้นพืชให้เจริญเติบโต และเพิ่มออกซิเจนในน้ำให้เพิ่มมากขึ้นส่งผลต่อการ
เจรญิ เติบโตของพืช

8. เมล็ดพันธผุ์ กั หรือกล้าผักทจ่ี ะใชป้ ลกู
เป็นสิ่งที่สำคัญในการปลูก การจะปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์จะใช้เมล็ดในการ

เพาะพันธ์ุ และอนบุ าลให้เมล็ดพืชงอกขนึ้ มากเจริญเติบโตจนออกเป็นผลผลติ

ผุ่

I ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 36

! 9. วสั ดุและอปุ กรณต์ ่าง ๆ ท่เี ก่ยี วข้องกับการเตรียมสารละลายธาตอุ าหารพชื
9.1 ถังใส่สารละลายธาตุอาหารพืช ขนาดของถังขึ้นอยู่กับระบบของการปลูกเพื่อ

กักเก็บสารละลายธาตุอาหารให้เพียงพอ โดยทั่วไปจะฝังถังใส่สารละลายธาตุอาหารพืชไว้
ใต้ดนิ เพ่ือลดอุณหภูมขิ องสารละลายและชว่ ยลดการระเหยของสารละลายได้อกี ดว้ ย

9.2 ถุงมือ เพ่ือใชใ้ นการเตรียมรักษาหรือควบคมุ ค่าความเป็นกรดด่าง (pH) เนื่องจาก
การปรับค่าความเป็นกรดด่างของสารละลายบางครั้งต้องใช้กรดเป็นตัวปรับเมื่อสารละลาย
มีความเป็นดา่ งมากเกิน

9.3 เครื่องชั่ง,วัด,ตวง ใช้ตวงปริมาณปุ๋ยหรือสารอาหารที่ใช้ในการปลูก
ผักไฮโดรโพนิกส์

10. วสั ดุผูกมดั หรอื รองรับต้นผัก
กรณีที่ผักมีความสูง เช่น มะเขือเทศ แคนตาลูป รากไม่สามารถยึดติดกับวัสดุปลูกได้

จำเป็นต้องมีวัสดุรองรับต้นผัก เพื่อช่วยให้พืชที่มีลำต้นสูง และมีผลผลิตที่มีน้ำหนักสามารถ
ทรงตัวอยู่ได้ ซึ่งวัสดุผูกมัด ได้แก่ เชือก ลวด ไม้ค้ำ และอาจมีสิ่งผูกมัดติดกับต้นผัก
ซ่งึ ส่วนมากทำจากพลาสตกิ

11. วสั ดุ อปุ กรณส์ ำหรับควบคมุ อณุ หภมู ิโรงเรือน สารละลายธาตอุ าหารและวัสดปุ ลูก
เนื่องจากประเทศไทยมอี ุณหภูมิสงู จึงจำเปน็ ตอ้ งมีอุปกรณท์ ่ีใช้ในการควบคุมอุณหภูมิ

และความช้ืนสมั พัทธ์ภายในโรงเรือน

12. วสั ดอุ ปุ กรณแ์ ละโรงเรือนบรรจหุ ีบห่อผลผลติ
สำหรับการปลูกในเชิงการค้าจำเป็นต้องมีอุปกรณ์สำหรับการทำความสะอาด

คดั ขนาด บรรจุหีบห่อภายใตโ้ รงเรือนท่ีดีกอ่ นขนส่งไปตลาด

13. ห้องเยน็ และระบบขนสง่ ที่สามารถควบคุมอณุ หภูมคิ วามช้นื สมั พทั ธ์
การผลิตในเชิงการค้าที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 1 ไร่ขึ้นไป จะมีอัตรากำลังในการผลิตที่สูงควรมี

หอ้ งเย็นบรรจุภัณฑ์ และระบบขนสง่ ท่ีสามารถควบคมุ อุณหภูมคิ วามชื้นสมั พัทธไ์ ด้ เพ่ือรักษา
คุณภาพของผลผลิตโดยเฉพาะในกรณที แี่ หลง่ ผลติ อยู่ไกลจากตลาดมาก

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 37

14. อุปกรณ์สำหรบั ตรวจวัดและควบคุมสารละลาย
เครือ่ งมอื ตรวจวดั คา่ ความเป็นกรดเปน็ ด่างของสารละลายธาตุอาหารพชื (pH meter)

เครื่องมือตรวจวัดค่าการนำไฟฟ้าของสารละลายธาตุอาหารพืช (Electrical-
Conductivity meter)

เป็นอุปกรณ์ที่ค่อนข้างจำเป็น เนื่องจากการปลูกแบบไฮโดรโพนิกส์ต้องควบคุม
สารละลายเเละคุณภาพของน้ำ จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือวัดเพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาดของ
สารละลายในน้ำทที่ ำใหพ้ ืชไม่เจริญเติบโต

! ทม่ี า : https://forfarm.co/nitric-acid/ทมี่ า : https://youtu.be/-gXLo7s84IAท่มี า : https://www.coachnong.com/archives/608

กา ร เต ร ียมอุ ป กร ณ ์ สำ ห ร ับ กา ร ป ลู กพ ื ชแ บ บ ไ ฮ โด ร โพ น ิก ส์ มี อุ ป กร ณ ์ ท ี ่จ ำ เ ป็ น
หลายอยา่ ง แต่ถา้ มงี บจำกัดกต็ ัดวัสดบุ างตวั ออกได้ เชน่ ระบบไฟฟา้ , ปมั้ น้ำ, อุปกรณ์สำหรับ

ตรวจวัดและควบคุมสารละลาย เนื่องจากการปลูกแบบระบบน้ำนิ่งไม่จำเป็นสำหรับ

การปลกู มากนกั เพื่อเปน็ การประหยดั งบหรือสำหรับทดลองปลกู เล่นท่ีบา้ นอาจจะใช้กะละมัง

ขวดนำ้ หรอื วสั ดทุ ี่เหลอื ใช้มาใชง้ านได้

*
ต๊ํ

! ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 38

การปลูกและการดูแลรักษาพืชไร้ดิน

การปลูกพืชไร้ดินหลายท่านอาจจะคิดถึงการปลูกที่รากต้องแช่ในน้ำผสมสารละลาย
เท่านั้น แตค่ วามเป็นจริงแลว้ การปลกู พืชไร้ดนิ นนั้ มคี วามหมายรวมถึงการปลูกพชื ในวัสดุปลูก
อื่น ๆ ที่นำมาใช้ทดแทนการปลูกด้วยดิน เช่น การปลูกในวัสดุธรรมชาติ เช่น ขุยมะพร้าว,
แกลบ,ทราย รวมถึงวสั ดสุ ังเคราะห์ เช่น ฟองนำ้ , ร็อควดู้ , เพอรไ์ ลท์

ขอ้ แตกต่างระหวา่ งการปลูกพืชบนดินกับการปลูกพชื ไร้ดิน
สำหรับการปลูกพชื บนดินน้ันมักประสบปัญหาเรื่องคุณสมบัติของดินทีไ่ ม่เหมาะสมกับ

การปลูกพืช เช่น ดินมีปริมาณธาตุอาหารต่ำ มีความเป็นกรด-ด่างไม่เหมาะสม ทำให้เกิด
ความยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายสงู ในการปรับปรุงดินเพ่ือให้เหมาะสมต่อการเพาะปลกู ทำให้
การปลูกบนดินมักจะได้ผลผลิตที่ไม่สม่ำเสมอทั้งในด้านของปริมาณและคุณภาพ สำหรับ
การปลูกพืชแบบไร้ดินนั้นผู้ปลูกจะให้พืชได้รับน้ำที่ผสมสารละลายธาตุอาหารโดยตรง
ซึ่งการปลูกนั้นจะปลูกแบบรากสัมผัสกับน้ำโดยตรงหรือมีวัสดุปลูกผสมร่วมด้วยก็ได้
ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ผู้ปลูกสามารถควบคุมการให้น้ำและธาตุอาหารพืชให้เหมาะสม
และง่ายกว่าการปลูกบนดินมาก แต่การปลูกพืชแบบไร้ดินในประเทศเขตร้อนโดยเฉพาะ
การปลูกแบบรากแช่ในสารละลายมักประสบปัญหาในเรื่องของปริมาณออกซิเจนที่ราก
ไมเ่ พียงพอ แตเ่ ราสามารถแกไ้ ขปญั หานีไ้ ดโ้ ดยการเพมิ่ วสั ดุปลกู ลงไปในระบบปลูกเพอ่ื ให้ราก
มีพื้นที่ยึดเกาะและมีพื้นที่รับออกซิเจนเพิ่มขึ้น รูปแบบของการปลูกพืชไร้ดินหรือการปลูก
แบบไฮโดรโพนิกส์ สามารถแบ่งออกตามลกั ษณะและวธิ ีการปลกู โดยแบ่งไดเ้ ปน็ 3 กลุม่ ดังน้ี

ที่มา :https://zen-hydroponics.blogspot.com/2014/10/blog-post.html

li ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 39

# วิธีการเพาะเมล็ดและอนุบาลต้นกล้าเมล็ดพันธุ์ผักที่มีจำหน่ายกันอยู่ในท้องตลาดแบ่งได้
เปน็ 2 ประเภทคอื

1. เมลด็ แบบไม่เคลอื บ
เมล็ดประเภทนี้จะผ่านการลดความชื้นมาแล้ว สามารถเก็บรักษาในภาชนะที่ปิดสนิทใน
ตเู้ ย็น (อณุ หภมู ิ 4 - 10 องศาเซลเซยี ส) ไดน้ านประมาณ 1-2 ปี
ข้อดีของเมล็ดแบบไม่เคลือบ คือมีราคาถูกกว่าเมล็ดแบบเคลือบค่อนข้างมากการเพาะ
เมล็ดแบบไม่เคลือบนี้แนะนำให้กระตุ้นการงอกโดยใช้กล่องถนอมอาหารที่มีฝาปิดสนิทรอง
ด้านในด้วยกระดาษชำระประมาณ 2 ชั้นแล้วพรมน้ำให้กระดาษเปียกและเทน้ำออก จากน้ัน
ให้นำเมล็ดสลัดมาโรยลงบนกระดาษชำระโดยไม่ต้องพรมน้ำซ้ำ แล้วปิดฝากล่องให้สนิท
(แนะนำให้นำไปวางไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ เช่น ห้องปรับอากาศ) ประมาณ 24-48 ชั่วโมง
เมล็ดจะเริ่มงอกให้ย้ายลงวัสดุปลูกได้เลยอย่าปล่อยให้เกิน 72 ชั่วโมง (3 วัน) เพราะรากผัก
สลัดจะยาวเรว็ มากและทำให้ยา้ ยปลูกไดย้ าก การกระตุ้นการงอกดว้ ยวิธีนีจ้ ะทำให้เมล็ดท่ีเรา
เพาะมีเปอร์เซ็นต์การงอกและความสม่ำเสมอของการงอกสูงขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยง
จากเชื้อโรคที่จะเข้าทำลายเมล็ดจากการเพาะเมล็ดลงวัสดุปลูกโดยตรง ให้ผักที่ปลูกมีความ
สม่ำเสมอของต้นที่เท่ากันมากกว่าการเพาะลงในวัสดุปลูกโดยตรง เนื่องจากการเพาะลง
วัสดุปลูกโดยตรงนน้ั เมลด็ สลดั มคี วามเสี่ยงท่ีจะถูกทำลายโดยเชื้อโรคหรือแมลง

เมล็ดแบบไม่เคลอื บ

ท่ีมา : https://www.h2ohydrogarden.com

เมล็ดแบบเคลอื บ

ท่ีมา : https://www.h2ohydrogarden.com

I
ฑุ่

ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 40

2. เมล็ดแบบเคลือบ
เมล็ดชนิดนี้จะถูกคดั เลือกมาจากเมล็ดทีส่ มบูรณ์แลว้ นำมาเคลอื บดว้ ยแป้งหรอื ดนิ เหนียว
(Pelleted seed) เพ่ือเป็นการรักษาสภาพของเมลด็ เอาไว้
ข้อดีของการใช้เมล็ดแบบเคลือบคือสะดวกในการเพาะเมล็ด เนื่องจากขนาดที่ใหญ่ขึ้น
วสั ดทุ ่ีหมุ้ เมลด็ ยงั ชว่ ยนำพาความชน้ื สู่เมล็ดได้อยา่ งทวั่ ถึงทั้งเมลด็ ช่วยลดความเส่ียงจากปัจจัย
การงอกที่ไม่สมำ่ เสมอของการเพาะเมลด็ ลงได้
ข้อเสียของเมล็ดแบบเคลือบนี้คือ มีราคาแพง เนื่องจากเมล็ดแบบเคลือบจะเป็นสินค้าท่ี
ถูกผูกขาดจากบริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์จากยุโรป การเพาะเมล็ดแบบเคลือบหากฝังเมล็ดใน
วัสดุปลูกลึกเกินไปก็ทำให้เมล็ดเน่า หรือถ้าหากฝังตื้นเกินไปก็ทำให้เมล็ดได้ความชื้น
ไม่เพียงพอก็ทำให้ไม่งอกเช่นกัน เมล็ดแบบเคลือบปกติจะเหมาะกับการนำไปเพาะกับ
วัสดุเพาะกล้าพวก พีทมอส หรือเพอร์ไลท์ มากกว่าการนำไปเพาะลงฟองน้ำเนื่องจากปัจจัย
หนึ่งที่สำคัญต่อการงอกของเมล็ดสลัดคือ "ออกซิเจน" ด้วยการเพาะเมล็ดลงในฟองน้ำ
โดยตรงปัญหาที่พบคือเมล็ดไม่งอกหรืองอกไม่พร้อมกันสาเหตุก็มาจากการที่เมล็ดสลัดจะ
ถูกบีบอยู่ในฟองน้ำที่เปียก และแฉะบวกกับถ้าช่วงที่เพาะถ้ามีอุณหภูมิของอากาศสูง (ร้อน-
อบอ้าว) เมล็ดสลัดทีเ่ พาะนั้นกม็ ีความเสี่ยงสูงที่จะไมง่ อกเนือ่ งจากขาดออกซิเจนและมักจะมี
เชื้อราเกิดขึ้นที่เมล็ดได้ง่าย ส่วนข้อเสียอีกประการของเมล็ดแบบเคลือบโดยส่วนใหญ่จะเป็น
พันธุ์ลูกผสมทำให้ต้นทุนการผลิตเมล็ดเคลือบจะสูงกว่าเมล็ดแบบไม่เคลือบ และเมล็ด
แบบเคลือบนี้จะมีชนิดและสายพันธุ์ของผักสลัดให้เลือกค่อนข้างน้อยกว่าแบบไม่เคลือบมาก
ผู้ปลูกหลายท่านมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์สลัดว่าเมล็ดแบบเคลือบจะมีอัตรา
การงอกดีกว่าแบบไม่เคลือบ ซึ่งจริง ๆ แล้วอัตราการงอกของเมล็ดทั้ง 2 แบบไม่ต่างกัน
ดังนั้นการเพาะเมลด็ สลดั อย่าใหว้ ัสดุที่ปลูกเปียกชืน้ มากเกินไป วิธีที่จะช่วยให้เพาะเมล็ดให้มี
อตั ราการงอกสูงขึ้นได้นั้นแนะนำให้เพาะเมล็ดในช่วงเย็นหรือช่วงกลางคืน เน่อื งจากช่วงเวลา

! ดังกล่าวสภาพอากาศ มอี ุณหภูมิต่ำซึง่ เป็นผลดีตอ่ การงอกของเมลด็ สลัด
ฅุ๋

µ ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 41

แนวทางการเพาะกล้า

การปลูกพืชผักทุกชนิด ผู้ปลูกควรมีการจดบันทึกวันที่เริ่มมีการเพาะเมล็ดไว้ทุกคร้ัง
เพื่อใช้กำหนดขั้นตอนการดูแลผักในแต่ละวันเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลเป็นการวางแผนก ารปลูก
ในรอบตอ่ ๆ ไป และชว่ ยให้เราทราบถึงอายผุ กั ท่ปี ลูกได้อย่างถูกตอ้ งอีกดว้ ย

ทีม่ า :https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=oenkung&month=10-
2012&date=17&group=4&gblog=1

1. การเพาะกลา้ ในถ้วยเพาะแบบสำเร็จรปู
วัสดุที่ใช้เพาะในบ้านเราส่วนใหญ่นิยมใช้ เพอร์ไลท์ เวอร์มิคูไลท์ หรืออาจใช้เพอร์ไลท์ผสม
กบั เวอรม์ ิคูไลท์ (อตั รา 1:4) หรือกรวด ซง่ึ นิยมใชป้ ลกู ในระบบ NFT ดงั นี้

1.1 ใส่วัสดุเพาะลงในถ้วยเพาะสำเร็จรูปต่ำกว่าขอบบนของถ้วยประมาณ
1 เซนติเมตร

1.2 ใส่เมล็ดลงในวัสดุเพาะที่อยู่ในถ้วยเพาะถ้วยละ 1 เมล็ด โดยให้เมล็ดลึกประมาณ
0.5 เซนติเมตร

1.3 นำถ้วยเพาะเมลด็ ไปวางในกระบะเพาะใสน่ ้ำสูงประมาณ 2 เซนติเมตร วางในที่มี
แสงแดดรำไรมกี ารระบายอากาศดี มีวัสดกุ ันฝนและแรงลม

1.4 เมื่อเมล็ดงอกเป็นต้นกล้าควรเริ่มให้สารละลายธาตุอาหารพืชแบบเจือจางผ่าน
รากผักในถาดเพาะก่อนเพื่อช่วยให้รากแข็งแรง และควรทำการเปลี่ยนสารอาหาร
สปั ดาหล์ ะครัง้ ควรให้กลา้ ไดร้ ับแสงแดดรำไรไม่รอ้ นจดั

1.5 เมอื่ กลา้ แขง็ แรงหรือมีอายุประมาณ 2-3 สปั ดาห์ยา้ ยกล้าไปยังแปลงปลูก
1. 6 สามารถเก็บผลผลติ ได้เม่อื พชื มีอายุ 35-45 วัน (5-6 สัปดาห)์ หลงั เพาะเมลด็

I ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 42

2. การเพาะกลา้ ในแผ่นฟองนำ้
การเพาะเมล็ดลงในแผน่ ฟองน้ำ ส่วนมากนิยมปลูกในรูปของแผน่ โฟมโดย

2.1 เจาะรูแผ่นโฟมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตรเพื่อใส่ต้นกล้าแต่ละรูห่างกัน
ตามแต่ชนิดของพชื ทีป่ ลกู โดยทั่วไปใชร้ ะยะหา่ ง 15 - 25 เซนติเมตร

2.2 เพาะกล้าในแผ่นฟองน้ำ โดยใช้มีดกรีดแผ่นฟองน้ำให้เป็นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
กวา่ รขู องแผน่ โฟมทเ่ี จาะรูไว้ เพอื่ ให้ฟองนำ้ ท่มี ตี ้นกลา้ สามารถอย่ใู นรขู องแผ่นโฟมได้หลังจาก
ย้ายปลูก

2.3 ใช้มีดกรีดตรงกลางของฟองน้ำในข้อ 2.2 เป็นรูปกากบาทลึกประมาณ
1 เซนตเิ มตร เพ่ือไวส้ ำหรบั หยอดเมลด็

2.4 หลังหยอดเมล็ดแลว้ ให้น้ำโดยการสเปรยใ์ ห้ชมุ่ ทุกเช้าเย็น
2.5 วางฟองนำ้ ในถาดเพาะทม่ี ีน้ำขังเลก็ น้อย
2.6 เมื่อต้นกล้าเริ่มงอกควรเริ่มให้สารละลายธาตุอาหารพืชแบบเจือจางผ่านรากผัก
ในถาดเพาะก่อน เพื่อช่วยให้รากแข็งแรง และควรทำการเปลี่ยนสารละลายธาตุอาหารพืช
สปั ดาห์ละครั้ง ควรใหก้ ลา้ ได้รับแสงแดดรำไรไม่รอ้ นจดั
2.7 เมื่อกล้าแข็งแรงหรือมีอายุ 2-3 สัปดาห์ ย้ายกล้าลงแปลงปลูก (ในการเพาะกล้า
ด้วยฟองน้ำจะไม่มีการยา้ ยกลา้ ไปยังแปลงอนุบาล)
3. การเพาะกลา้ ในวสั ดุปลกู
การเพาะกล้า ในวัสดุปลูกนัน้ สามารถใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถ่ินหรือนำมาผสมกันเป็นวสั ดเุ พอ่ื
ใช้ในการเพาะกล้า แต่ควรมีการทดสอบความเป็นพิษของวัสดุปลูกเสียก่อน โดยเพาะเมล็ด
จำนวนหนึ่งลงในแต่ละวัสดุปลูกที่จะใช้ให้สารละลายธาตุอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ
ต่อเนื่องกัน 2-3 สัปดาห์ ถ้าพืชไม่มีอาการผิดปกติ เช่น รากกุด รากเน่า หรือใบเหลืองซีด
แสดงว่าวัสดุปลูกนั้นสามารถนำมาใช้ได้ วัสดุปลูกที่นำมาใช้มีทั้งที่ได้มาจากต่างประเทศและ
ในประเทศ เช่น เวอรม์ ิคไู ลท์ หนิ ฟอสเฟต เพอร์ไลท์ ขุยมะพรา้ ว แกลบ ขเี้ ถา้ แกลบ หนิ กรวด
ทราย เป็นตน้ ซ่งึ มวี ธิ กี ารปลูกดงั นี้
3.1 เพาะเมล็ดลงในภาชนะทบ่ี รรจุวัสดปุ ลูกไว้แลว้
3.2 รดนำ้ จนกระทงั่ เมล็ดงอกได้ตน้ กล้าท่ีมีใบจรงิ 2 ใบ
3.3 ย้ายกลา้ ลงในกระถาง หรอื ย้ายลงแปลงที่เตรยี มไว้
3.4 รดน้ำด้วยสารละลายธาตุอาหารพชื ทุกเช้าเย็น

I ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชไร้ดิน 43

การเพาะกล้า

อุปกรณท์ ี่ใช้ในการเพาะเมลด็
1.ถาดพลาสติกสงู ประมาณ 1 นว้ิ (สำหรบั อนบุ าลต้นกลา้ )
2.กล่องถนอมอาหารท่ีมีฝาปดิ สนิท (สำหรับเพาะเมลด็ )
3.กระดาษชำระสขี าว (ไมม่ กี ารเคลอื บนำ้ ยา)
4.เมล็ดผกั สลดั ที่จะทำการเพาะ (ท้งั แบบเคลือบ หรือแบบไม่เคลอื บ)
5.ฟองนำ้ สำหรับปลกู พืช
6.คีมคบี ขนาดเล็ก (สำหรับใชค้ ีบเมลด็ )

วิธีการเพาะเมลด็ ผกั สลดั (แบบเคลือบ และไมเ่ คลอื บ)

1. นำกระดาษชำระวางลงด้านในกล่องถนอมอาหาร โดยวางกระดาษชำระซ้อนกัน
ประมาณ 2-3 ชน้ั

2. สเปรย์น้ำลงบนกระดาษชำระ หรือใช้วิธีค่อยๆเทน้ำลงไปบนกระดาษให้ทั่วให้
กระดาษซับน้ำไว้ในตัวแล้วเทน้ำที่เหลือออกจากกล่องให้หมดอย่าให้มีน้ำขังอยู่ในกล่อง
(ให้กระดาษซับน้ำไว้อย่าให้กระดาษแฉะมาก เกินไป) น้ำที่ใช้เป็นน้ำดื่มสะอาดห้ามใช้
น้ำประปาที่มีคลอรีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากคลอรีนในน้ำประปาจะทำให้เมล็ดเน่าและ
ไม่งอกได้แนะนำให้ใช้น้ำดื่มขวดใส อย่าใช้น้ำดื่มขวดขุ่นเพราะน้ำขวดขุ่นจะกรองด้วยเรซิ น
ซึง่ ใชเ้ กลอื ในการล้างสารกรองเกลือจะมผี ลตอ่ การงอกของเมลด็ สลัด

tตรากบาตนจดนาา ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 44

3. นำเมล็ดวางลงบนกระดาษชำระที่เปียกน้ำ สำหรับเมล็ดสลัดแบบไม่เคลือบ
หลังจากวางลงบนกระดาษแล้วไม่จำเป็นต้องสเปรย์น้ำซ้ำอีกรอบ เนื่องจากเมล็ดสลัดจะมี
ขนอ่อน ๆ ที่จะดูดน้ำขึ้นมาจากกระดาษได้เอง (สำคัญที่กระดาษชำระอย่าให้แห้งหรือแฉะ
เกินไป) ส่วนเมล็ดแบบเคลือบควรที่จะสเปรย์น้ำซ้ำอีกรอบเพื่อให้วัสดุหุ้มเมล็ดเปียกแต่อย่า
ให้กระดาษที่รองแฉะมากเกินไปจากนั้นให้ปิดฝากล่องเพาะเมล็ดให้สนิทถ้าเป็นไปได้ช่วง
12-24 ชม.แรกในการเพาะเมล็ดนี้ให้นำกล่องเพาะนี้ไปวางไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิประมาณ
18-25 องศา-เซลเซยี ส (หอ้ งปรับอากาศ) จะทำให้อตั ราการงอกสงู ข้นึ

ที่มา : https://www.allkaset.com

4.เม่อื ผ่านไปประมาณ 24-48 ช่ัวโมงหลงั จากเพาะเมล็ดใหส้ งั เกตดูที่เมลด็ จะเริม่ มีราก
สีขาวของต้นกล้างอกออกมาประมาณ 2 มิลลิเมตร ก็สามารถย้ายลงปลูกในก้อนฟองน้ำ
ได้เลยอย่าปล่อยให้เกิน 2 วัน เพราะช่วงนี้รากของสลัดจะยาวเร็วมาก ถ้าย้ายช้ากว่านั้นราก
จะตดิ กบั กระดาษชำระทำใหด้ ึงออกได้ยาก แต่ถ้ารากยาวมากให้เราแกไ้ ขโดยใชฟ้ ็อกกคี้ ่อย ๆ
สเปรย์น้ำลงไปให้กระดาษชุ่มน้ำพอกระดาษอ่อนนิ่มแล้วจะทำให้เราใช้คีมเล็ก ๆ ค่อย ๆ ดึง
เมล็ดออกมาไดง้ า่ ยโดยที่รากจะไม่ขาด

ที่มา :https://zen-hydroponics.blogspot.com/2013/01/blog-post_24.html

ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 45

5. ให้นำฟองน้ำที่จะใช้ในการปลูกเรียงในถาดเพาะแล้วเทน้ำสะอาดให้เต็มถาด
อนุบาล (น้ำที่ใช้เป็นน้ำดื่มสะอาดห้ามใช้น้ำประปาที่มีคลอรีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากคลอรีน
ในประปาจะทำให้รากเน่าได้ จากนั้นใช้มือกดก้อนฟองน้ำเพื่อไล่อากาศจากก้อนฟอง และให้
น้ำดูดซับน้ำเข้าไปแทนแล้วเทน้ำลงไปในถาดเพิ่ม ใช้มือกดก้อนฟองน้ำอี กครั้งเพื่อให้
ก้อนฟองน้ำอิ่มน้ำแล้วเทน้ำในถาดอนุบาลให้สูงเกือบท่วมก้อนฟองน้ำ โดยห่างจากด้านบน
ฟองน้ำประมาณ 2-3 มลิ ลเิ มตร

ที่มา :https://zen-hydroponics.blogspot.com/2013/01/blog-post_24.html

6. นำเมล็ดที่เพาะได้ประมาณ 1-2 วัน ที่มีรากสีขาวงอกออกมา (เลือกเมล็ดที่งอก

1 ใกล้เคียงกัน) นำไม้จิ้มฟันหรือคีมเล็ก ๆ ค่อย ๆ คีบเมล็ดที่มีรากงอก นำรากไปสอดในช่อง
ตรงกลางของฟองน้ำ (ต้องระมัดระวังอย่าให้รากหักหรือพับงอ) โดยสอดเมล็ดลงไปให้
ส่วนท้ายของเมล็ดโผล่จากก้อนฟองน้ำเล็กน้อย ช่วงนี้แนะนำให้ถาดเพาะโดนแสงสว่าง
ธรรมชาติชว่ งเชา้ หรือเย็นบา้ งอยา่ งน้อย 2-4 ชัว่ โมงต่อวนั
- ผักสลัดให้ใส่ 1 เมล็ดตอ่ ฟองน้ำ 1 ก้อน
- ผกั ไทย,ผักจีนใหใ้ ส่ 2 - 3 เมลด็ ต่อฟองน้ำ 1 ก้อน

ท่มี า :https://zen-hydroponics.blogspot.com/2013/01/blog-post_24.html

๋ ัศ

!' ความรู้ความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการปลูกพืชไร้ดิน 46

7. เมื่อครบ 4-5 วัน หลังจากเพาะเมล็ด ต้นกล้าจะงอกใบเลี้ยงคู่ออกมาให้คอยรักษา
ระดับน้ำในถาดให้สูงประมาณ 1/2 ของฟองน้ำอย่าให้น้ำในถาดแห้งให้ใช้น้ำเปล่าเติมลง
ในถาด (นำ้ ท่ใี ชเ้ ป็นนำ้ ดม่ื สะอาดหา้ มใช้นำ้ ประปาท่ีมคี ลอรีนโดยเดด็ ขาด เนอ่ื งจากคลอรีนใน
ประปาจะทำใหเ้ กิดโรครากเน่าและโคนเน่าได้) ใหน้ ำถาดอนุบาลต้นกลา้ ไปวางรับแสงแดดใน
ตอนเช้าหรือช่วงเย็นประมาณ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน (ความถี่แสงสีแดงช่วยเร่งอัตราการ
เจริญเติบโตของต้นกล้าได้ดี โดยเฉพาะแสงแดดในช่วงเช้าประมาณ 6.00-9.00 โมงและช่วง
เย็น 16.00-18.00 เปน็ ช่วงทีม่ ีแสงสแี ดงมากทส่ี ุด)

ที่มา :https://zen-hydroponics.blogspot.com/2013/01/blog-post_24.html

8. เมื่อครบ 7 วันหลังจากเพาะเมล็ดต้นกล้าเริ่มมีใบจริงงอกออกมาให้เทน้ำเก่าในถาด
อนุบาลออกให้หมดแล้วนำน้ำผสมธาตุอาหาร A, B แบบเจือจางเติมลงไปในถาดแทนน้ำเดิม
และลดระดับน้ำให้เหลือ 1/3 ของก้อนฟองน้ำ และเพิ่มระยะเวลาในการรับแสงแดดของ
ต้นกล้า 5-6 ชั่วโมง/วัน การเพิ่มปริมาณแสงแดดให้ต้นกล้าจะทำให้ต้นกล้าแข็งแรงและเคย
ชินกับแสงแดดทำใหเ้ วลายา้ ยลงปลกู ผักจะไม่มีอาการเฉ่ยี วเฉาไดง้ ่ายเม่ือถูกแสงแดดแรง ๆ

• ผกั สลดั ปุ๋ย A,B อย่างละ 1-2 ซีซี/นำ้ 1 ลติ ร
• ผกั ไทย ปุ๋ย A,B อยา่ งละ 2-3 ซซี /ี นำ้ 1 ลิตร

ทม่ี า :https://zen-hydroponics.blogspot.com/2013/01/blog-post_24.html

ฝฺ


Click to View FlipBook Version