The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน
เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 วิชา วิทยาการคำนวณ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm)
โดยใช้แบบฝึกทักษะ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aofzaanani, 2022-09-12 09:40:33

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 วิชา วิทยาการคำนวณ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) โดยใช้แบบฝึกทักษะ

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน
เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 วิชา วิทยาการคำนวณ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm)
โดยใช้แบบฝึกทักษะ



รายงานการวจิ ัยในชั้นเรียน
เรอ่ื ง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นช้ันประถมศึกษาปท ี่ 2
วิชา วิทยาการคํานวณ เรอ่ื งข้นั ตอนวิธีการแกปญ หา (Algorithm)

โดยใชแ บบฝกทกั ษะ

ผูวิจัย
นายนติ ลิ ักษณ เกลียววงศ

ตําแหนง ครู

โรงเรียนอนบุ าลคูเมอื ง
สังกัดสํานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาบุรรี ัมย เขต 4

สํานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน
กระทรวงศึกษาธกิ าร



ช่ือเร่อื ง การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที่ 2 วชิ า วิทยาการคํานวณ
เร่ืองขั้นตอนวิธีการแกปญ หา โดยใชแบบฝกทกั ษะ
ผวู ิจัย นายนติ ลิ ักษณ เกลียววงศ
สงั กัด โรงเรียนอนบุ าลคเู มอื ง สํานักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาบรุ รี มั ย เขต 4
ปก ารศกึ ษา 2563

บทคดั ยอ

การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงคเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาการคํานวณ สําหรับ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 2 รายวิชา วิทยาการคํานวณ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm)
โดยใชแบบฝกทักษะ มผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นที่สงู ขน้ึ

กลมุ ประชากรที่ใชใ นการวจิ ัยเปน นักเรียนช้ันประถมศึกษาปท ี่ 2 โรงเรยี นอนบุ าลคูเมือง จังหวัด
บรุ ีรัมย สงั กัดสาํ นักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย เขต 4 จํานวน 24 คน การเก็บรวบรวม
ขอ มูลใชเ วลา 6 ชว่ั โมง ในภาคการศกึ ษาท่ี 1 ปการศกึ ษา 2563 เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ นการวจิ ยั ประกอบดวย ชุด
แบบฝกทักษะ ขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง
ขัน้ ตอนวิธกี าแกป ญหา (Algorithm) แบบฝก ทกั ษะ ข้ันตอนวธิ กี ารแกป ญ หา (Algorithm) สถติ ท่ีใชในการ
วเิ คราะหข อ มูล ไดแก คา เฉลย่ี เลขคณติ สวนเบย่ี งเบนมาตรฐาน การทดสอบคาทีเฉลี่ย (Average T Score)

ผลการวจิ ัยพบวา
นกั เรียนมีคะแนนจากการทําแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นกอนเรียนและหลังเรียนโดย

ใชแบบฝกทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm) มีคาเฉลี่ยและรอยละของคะแนนสูงขึ้นกวา
กอนเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางเรียนวิชาวิทยาการคํานวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 ไดรับการ
จัดการเรียนการสอนโดยใชแบบฝก ทกั ษะ เร่อื ง ขั้นตอนวธิ ีแกปญหา (Algorithm) หลงั จากเรยี นดว ยการใช
แบบฝกทกั ษะแลว นักเรยี นมีคาเฉล่ยี ของคะแนนผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นสูงกวากอนเรียน โดยมคี ะแนน
ทีเฉล่ีย* (Average T score) ของผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนกอนเรียน 43.00 คะแนนทีเฉลี่ย* (Average T
score) ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น หลังเรยี น 57.00 ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นหลังสูงกวา กอ นเรียน โดย
มีคะแนนทีเฉลย่ี เพืม่ ขึ้น 13.99 คดิ เปนรอ ยละ 32.54



กิตติกรรมประกาศ

รายงานการวจิ ยั เร่ือง “การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนช้นั ประถมศึกษาปท่ี 2 วิชา วทิ ยาการ
คํานวณ เรือ่ งขนั้ ตอนวธิ กี ารแกป ญหา โดยใชแ บบฝก ทักษะ” น้สี าํ เรจ็ สมบรู ณไดด ว ยความอนุเคราะห และ
เอาใจใสอ ยา งดียิง่ จาก นางชูศรี นนั ตา ผูอ ํานวยการโรงเรยี นอนบุ าลคเู มอื ง ในการสนบั สนุน ใหคําปรกึ ษา
ท่ีเปน ประโยชน พรอ มทงั้ คาํ แนะนาํ แนวทางในการวจิ ัย ตลอดจนใหขอ เสนอแนะทางวิชาการอันทรงคุณคา
เพอ่ื ใหง านวิจยั มีความสมบรู ณ

ผวู ิจัยขอขอบคณุ นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที่ 2 ปก ารศกึ ษา 2563 ท่ีใหค วามรวมมอื ในการเก็บ
รวบรวมขอมลู ในการวจิ ยั ทําใหงานวิจัยมีความสมบรู ณย งิ่ ขน้ึ

คุณคา และประโยชนใด ๆ อันจะเกดิ จากงานวจิ ัยคร้งั นี้ ผวู จิ ัยขอมอบเปนเครือ่ งบชู าพระคณุ ของ
บิดา มารดา ครู อาจารยท กุ ทา น ทปี่ ระสิทธปิ ระสาทวิชาแกผ วู จิ ัย



สารบญั

รายการ หนา
บทคัดยอ ก
กติ ติกรรมประกาศ ข
สารบัญ ค
บทท่ี 1 บทนาํ 1
1
ความสําคญั และความเปนมาของปญ หา 2
ความมุงหมายของการวจิ ยั 3
กรอบแนวคดิ และสมมตุ ฐิ าน 5
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วขอ ง 6
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน 7
แบบฝก ทกั ษะ 13
ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน 14
งานวจิ ัยท่ีเกย่ี วของ 18
บทที่ 3 วิธีดาํ เนนิ การวจิ ยั 18
ประชากรและกลมุ ตัวอยา ง 18
เครื่องมือท่ใี ชใ นการวจิ ัย 19
สถติ ทิ ใี่ ชในการวเิ คราะหขอมลู 20
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหขอมลู 20
ผลการวเิ คราะหขอ มูล 23
บทที่ 5 สรปุ ผล การอภปิ ราย และขอ เสนอแนะ 23
สรปุ ผลการวิจัย 24
การอภปิ รายผล 24
ขอเสนอแนะ 25
บรรณานุกรม 26
ภาคผนวก 27
ภาคผนวก ก การวเิ คราะหขอมลู ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นกอนเรียนและหลงั เรยี น 32
ภาคผนวก ข ผลคะแนนนกั เรยี นจากการทาํ แบบฝก ทกั ษะ เรือ่ ง ข้ันตอนวธิ กี ารแกป ญ หา 38
ภาคผนวก ค เครือ่ งมอื วิจยั

1

บทท่ี 1
บทนํา

ความสําคญั และความเปนมาของปญหา
การศึกษานับเปนรากฐานที่สาํ คัญที่สุดประการหน่ึงสําหรับการสรางสรรคค วามเจรญิ กาวหนา และ

การแกไขปญหาในการพัฒนาประเทศดานตาง ๆ เพราะวาการศกึ ษามุง ชว ยใหบคุ คลเกดิ ความเจริญงอกงามทั้ง
ทางดานรางกาย อารมณ และสติปญญา สามารถปรับตนใหเขากับสภาพแวดลอมไดอยางเหมาะสม และ
สามารถดาํ รงชวี ิตอยูในสังคมไดอยางมคี วามสขุ การศึกษายงั จะชว ยใหบ คุ คลน้นั เปน ผูท่ีรจู ักคดิ รจู กั ทาํ รูจกั การ
แกป ญหาตลอดจนรจู ักใชทรัพยากรวตั ถุทม่ี อี ยใู หเกิดประโยชนสูงสุดและส้นิ เปลืองนอยทส่ี ดุ การทปี่ ระเทศจะ
กาวหนา ไดจําเปน จะตอ งมีทรัพยากรบุคคลทีม่ ีความรู ความคดิ ความสามารถจํานวนมาก ดังนั้นการศึกษาจึง
เปนกระบวนการในการเสริมสรางบุคคลใหมีคุณลักษณะพึงประสงค ในพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ
พุทธศักราช 2542 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษามาตรา 22 การจัดการศึกษาตองยึดหลักวาผูเ รียนทุกคนมี
ความสามารถเรยี นรูและพัฒนาตนเองได และถือวาผูเรียนมีความสําคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาตอง
สงเสรมิ ใหผเู รยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเตม็ ตามศกั ยภาพการเรยี นการสอนในหองเรียนเปนวธิ กี ารท่ี
ใชกันมานาน มีเทคนิคการสอนมากมายที่เปนประโยชนแกผูเรียน ไมวาจะเปนการบรรยาย อภิปราย สาธิต
หรือวิธีการอื่น ๆ แตอยางไรกต็ าม การเรียนการสอนในหองเรียนทีม่ ผี ูเรียนจํานวนมากก็เปนการยากที่จะให
ผูเรียนทุกคนสามารถเรียนรูไ ดทันกัน พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พุทธศักราช 2542 ไดกําหนดแนว
ทางการจัดการศึกษาไววา “การจัดการศึกษาตองยึดหลักวาผูเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรูและพัฒนา
ตนเองไดและถือวาผูเรียนมีความสําคัญอยางที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาตองสงเสริมใหผูเรียนสามารถ
พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพโดยตองคํานึงถึงความแตกตางระหวางบุคคล” (สํานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาแหง ชาติ 2542 : 12-13)

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ปรับปรุง 2560) กลาววา กลุมสาระ
การเรยี นรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี เปน กลมุ สาระทเี่ นน การเช่อื มโยงความรูกบั กระบวนการ มที กั ษะสาํ คัญ
ในการคนควาและสรางองคความรู โดยใชกระบวนการในการสืบเสาะหาความรู และแกปญ หาทีห่ ลากหลาย
ใหผ ูเรียนมสี ว นรว มในการเรียนรทู กุ ขั้นตอนมกี ารทํากิจกรรมดว ยการลงมอื ปฏบิ ตั ิจริงอยางหลากหลาย เรียนรู
เกี่ยวกับ การคิดเชิงคํานวณ การคิดวิเคราะหแกปญหาเปนขั้นตอนและเปนระบบ ประยุกตใชความรูดาน
วิทยาการคอมพิวเตอรและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการแกปญหาที่พบในชีวิตจริงไดอยางมี
ประสิทธิภาพ

“แบบฝกทักษะ” เปนสื่อหรือนวตั กรรมทจี่ าํ เปนอยา งหนง่ึ ทจ่ี ะทาํ ใหก ารเรยี นการสอนบรรลผุ ลอกี ทง้ั
ยงั สามารถชวยในการฝกทกั ษะผูเรียนไดดซี ึง่ สลาย ปล่ังกลาง (2552: 31-32) กลาววา แบบฝกหดั หรอื แบบ
ฝกทกั ษะ หมายถงึ สอ่ื การเรียนการสอนที่ใชส าํ หรับใหผูเรยี นฝก ความชาํ นาญในทักษะตาง ๆ จนเกิดความคิด
รวบยอดในเรื่องที่ฝกและสามารถนําทักษะไปใชในการแกปญหาได ดังตัวอยางงานวิจัยของ

2

พรรณี ชูไทย (2546: 9) กลาวถึงหลักการพัฒนาแบบฝกทักษะวา ครูผูสรางตองคํานึงถึงระดับชั้นความรู
ความสามารถของผูเรียน ความแตกตางของผูเรียน เรียงเนื้อหาจากงายไปหายาก เนนการแกปญหา
มีคาํ ช้แี จงส้นั ๆ ใชเวลาเหมาะสม เนือ้ หา นา สนใจ มีหลากหลายทา ทายความสามารถจะเหน็ ไดวาการพัฒนา
แบบฝกทักษะที่เหมาะสมจะทําใหผูเรียนมีพัฒนาการเรียนรู ความชํานาญ ความสามารถในการแก
ปญ หา ทราบความสามารถในการเรียนและสามารถตรวจสอบความกาวหนาของตนเองได

ดว ยความสําคัญขางตน ผูรายงานในฐานะครูผูสอนในวิชาวิทยาการคาํ นวณ 4 ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาป
ที่ 2 เร่ืองขน้ั ตอนวิธกี ารแกปญหา (Algorithm) พบวา ผเู รียนยังขาดทักษะกระบวนคดิ ยังสับสนในข้ันตอนการ
แกป ญ หา อยา งเปน ระบบ ไมสามารถคัดเลอื กคุณลักษณะที่จาํ เปนตอ การแกป ญหา ขน้ั ตอนการแกป ญหา การ
เขยี นรหัสลําลองและผงั งานได จงึ มีความสนใจที่จะนาํ แบบฝกทกั ษะเรอ่ื งข้นั ตอนวธิ กี ารแกปญหา(Algorithm)
มาใชแกป ญ หา นกั เรยี นระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปที่ 2 เพื่อพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิวิชาวิทยาการคํานวณ เร่อื งขนั้ ตอน
วิธีการแกป ญหา(Algorithm) สงผลใหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้นเปนไปตามเจตนารมณของ
หลักสูตรและสามารถนาํ ความรูไ ปใชใ นการแกปญหาในชวี ิตประจําวันได

ความมงุ หมายของการวจิ ัย
1. เพื่อพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชา วิทยาการคํานวณ สําหรบั นักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที่ 2

โดยใชสอื่ แบบฝก ทกั ษะ มผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นทสี่ ูงขึ้น

ความสําคัญของการวิจยั
1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาการคํานวณ สําหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนตํ่า

สามารถพัฒนาตนเองโดยการเรยี นแบบใชแ บบฝกทกั ษะ
2. การเรียนดวยแบบฝกทักษะเปนสวนหนึ่ง ของการจัดการเรียนรูที่เนนนักเรียนเปนสําคญั จะทําให

นกั เรียนเกดิ ความสนใจใฝเ รียนรู ลดความแตกตา งของศกั ยภาพแตล ะบุคคลทําใหน ักเรยี นมีผลสมั ฤทธิ์ทางการ
เรยี นท่สี งู ขึน้

ขอบเขตของการวิจยั
1. ประชากร
1.1 ประชากร คือนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที่ 2 โรงเรียนอนุบาลคเู มือง ภาคเรียนที่ 1

ปการศึกษา 2563 จํานวน 24 คน

2. ระยะเวลา
ระยะเวลาที่ใชในการวิจยั ครั้งน้ดี าํ เนนิ การในภาคเรียนท่ี 1 ปการศึกษา 2563 เปนเวลา

6 สัปดาห สปั ดาหล ะ 1 วัน วนั ละ 1 ชว่ั โมง รวมเวลา 6 ชว่ั โมง

3

3. ขอบเขตของเนอื้ หา
เนื้อหาของแบบฝกทักษะครั้งนี้เปนของกุลมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

(วทิ ยาการคาํ นวณ) ช้ันประถมศึกษาปท ี่ 2 เร่อื ง ข้ันตอนวธิ กี ารแกปญหา (Algorithm) จาํ นวนแบบฝกทกั ษะนี้
ประกอบไปดวย 5 ชดุ แบบฝก

3.1 แบบฝกทักษะเหตุผลเชงิ ตรรกะ
3.2 แบบฝก ทกั ษะอลั กอรทิ มึ (Algorithm)
3.3 แบบฝกทักษะการแสดงอัลกอริทมึ ดวยขอความ
3.4 แบบฝก ทักษะการแสดงอลั กอรทิ ึมดวยรหสั จาํ ลองหรือซูโดโคด
3.5 แบบฝกทักษะการแสดงอลั กอริทึมดวยผังงาน (flowchart)

4. ตวั แปรทศี่ ึกษา
4.1 ตัวแปรตน คอื การพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนนกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที่ 2

วิชาวิทยาการคาํ นวณ เรื่องข้ันตอนวธิ ี โดยใชช ดุ ฝกทักษะ
4.2 ตัวแปรตาม
4.2.1 ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน

นิยามศพั ทเฉพาะ
แบบฝกทักษะ หมายถึง แบบฝกทักษะเรื่อง ขั้นตอนวิธีการแกปญหา(Algorithm) ที่ผูวิจัยสรางขนึ้

เพื่อเปนแบบฝกทักษะสอนนักเรยี นที่เรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 เรื่องขัน้ ตอนวิธีการแกปญหา(Algorithm)
ซง่ึ ผูเรียนจะทบทวนเนื้อหาโดยผานทางชุดแบบฝก ทักษะน้ี

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรูความสามารถ ความเขาใจ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแกป ญหา
(Algorithm) ของนักเรียนกลุมตัวอยางที่เรียนโดยใชแบบฝกทักษะจากการทําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนท่ีผวู จิ ยั สรางขนึ้

นักเรยี น หมายถงึ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปท ่ี 2 โรงเรยี นอนุบาลคูเมือง อาํ เภอคเู มือง
จังหวดั บรุ รี มั ย ทกี่ าํ ลงั เรยี นอยูในภาคเรียนท่ี 1 ปการศกึ ษา 2563

แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ผูวิจัยสรางขึ้นเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm) สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 จํานวน
ขอ สอบทง้ั หมด 10 ขอ แบบทดสอบเปน แบบปรนยั 4 ตวั เลือก

กรอบแนวคิดในการวจิ ัย ตวั แปรตาม
ตัวแปรตน

การสอนโดยใชโ ดยใชช ดุ ฝกทักษะ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
เร่อื งข้นั ตอนวธิ ี

4

สมมติฐานการวิจยั
1. นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปท ี่ 2 โรงเรียนอนบุ าลคูเมอื ง ท่เี รียนโดยใชแ บบฝก ทกั ษะเร่ือง ข้ันตอน

วธิ ีการแกปญ หา (Algorithm) มีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นหลังเรยี นสูงกวากอ นเรียน

5

บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวของ

ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เปนการศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาการคํานวณ
สาํ หรบั นักเรียนช้ันประถมศึกษาปท ี่ 2 โดยใชชดุ แบบฝกทักษะ ผวู จิ ัยไดศ ึกษา คน ควาเอกสาร และงานวิจัยที่
เก่ียวของดังนี้

1. หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551(ปรับปรุง 2560 ) กลมุ สาระการเรียนรู
การวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปท ่ี 2

1.1 สาระการเรียนร/ู มาตรฐานการเรียนร/ู ตวั ชีว้ ดั
2. แบบฝกทักษะ

2.1 ความหมายและความสําคัญของแบบฝก ทักษะ
2.2 ลกั ษณะของแบบฝก ทกั ษะทีด่ ี
2.3 ประโยชนของแบบฝก ทักษะ
2.4 แนวคิดหลักการทเี่ กี่ยวของกบั แบบฝก ทกั ษะ
3. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
3.1 ความหมายของผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น
3.2 จุดมงุ หมายของการวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
3.3 เครือ่ งมอื ที่ใชใ นการวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น
4. งานวิจัยทเี่ กี่ยวขอ ง
4.1 งานวจิ ัยภายในประเทศ
4.2 งานวิจยั ตา งประเทศ

6

1. หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551(ปรับปรงุ 2560)
กลุมสาระการเรียนรูวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
1.1 สาระการเรยี นรู/มาตรฐานการเรยี นร/ู ตัวชวี้ ดั
สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตรชวี ภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เขา ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พนั ธระหวา งสงิ่ ไมมีชีวติ

กับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธระหวางส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตตาง ๆ ในระบบนิเวศการถายทอดพลังงาน การ
เปลีย่ นแปลงแทนทีใ่ นระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปญหาและผลกระทบที่มีตอทรพั ยากรธรรมชาติ
และสิง่ แวดลอ มแนวทางในการอนรุ ักษทรพั ยากรธรรมชาติและการแกไขปญ หาสิง่ แวดลอมรวมท้งั นําความรูไป
ใชประโยชน

มาตรฐาน ว 1.2 เขาใจสมบตั ขิ องสงิ่ มีชีวิต หนว ยพน้ื ฐานของสิ่งมชี ีวติ การลาํ เลียงสารเขา
และออกจากเซลลความสมั พนั ธของโครงสรางและหนาทข่ี องระบบตาง ๆ ของสัตวและมนุษยท ที่ ํางานสัมพันธ
กนั ความสมั พนั ธของโครงสรางและหนา ทีข่ องอวัยวะตาง ๆ ของพชื ท่ีทํางานสมั พนั ธก นั รวมท้ังนําความรูไปใช
ประโยชน

มาตรฐาน ว 1.3 เขา ใจกระบวนการและความสาํ คัญของการถา ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม
สารพนั ธุกรรม การเปล่ียนแปลงทางพนั ธกุ รรมที่มีผลตอสงิ่ มชี ีวิต ความหลากหลาย
ทางชีวภาพและววิ ฒั นาการของส่ิงมีชีวติ รวมทั้งนาํ ความรูไ ปใชประโยชน

สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรกายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เขาใจสมบัติของสสาร องคประกอบของสสาร ความสัมพนั ธร ะหวางสมบัติ
ของสสารกบั โครงสรา งและแรงยึดเหน่ียวระหวางอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปลยี่ นแปลงสถานะของ
สสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี
มาตรฐาน ว 2.2 เขาใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจําวัน ผลของแรงที่กระทําตอวัตถุ
ลกั ษณะการเคลือ่ นที่แบบตา ง ๆ ของวตั ถรุ วมทง้ั นําความรูไปใชประโยชน
มาตรฐาน ว 2.3 เขา ใจความหมายของพลังงาน การเปลย่ี นแปลงและการถา ยโอพลงั งาน
ปฏิสัมพันธระหวางสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ิตประจาํ วัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณที่เกี่ยวของ
กบั เสยี ง แสง และคล่ืนแมเหล็กไฟฟา รวมทัง้ นําความรไู ปใชประโยชน
สาระท่ี 3 วิทยาศาสตรโลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เขาใจองคประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของ
เอกภพกาแล็กซีดาวฤกษและระบบสรุ ิยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธภายในระบบสุริยะที่สงผลตอสิ่งมีชีวิต และการ
ประยกุ ตใ ชเทคโนโลยอี วกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เขาใจองคประกอบและความสัมพันธของระบบโลก กระบวนการ
เปลี่ยนแปลงภายในโลกและบนผวิ โลก ธรณพี ิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟาอากาศและภูมิอากาศโลก
รวมท้งั ผลตอสงิ่ มีชีวิตและส่งิ แวดลอม

7

สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดํารงชีวิตในสังคมที่มีการ
เปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็ว ใชความรูและทักษะทางดานวิทยาศาสตรคณิตศาสตรและศาสตรอื่น ๆ
เพื่อแกปญหาหรือพัฒนางานอยางมีความคิดสรางสรรคดวยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช
เทคโนโลยีอยา งเหมาะสมโดยคาํ นงึ ถงึ ผลกระทบตอ ชวี ิต สังคม และส่ิงแวดลอ ม
มาตรฐาน ว 4.2 เขาใจและใชแนวคิดเชิงคาํ นวณในการแกปญหาที่พบในชีวิตจริงอยางเปน
ขั้นตอนและเปนระบบ ใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารในการเรียนรูการทํางาน และการแกปญหาได
อยา งมีประสทิ ธิภาพ รูเทาทนั และมจี ริยธรรม

2. แบบฝกทักษะ
2.1 ความหมายและความสําคัญของแบบฝก ทกั ษะ
สุวิทย มูลคาํ และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53) ไดสรปุ ความสําคัญ

ของแบบฝก ทักษะวาแบบฝกทกั ษะมีความสําคัญตอผูเรียนไมนอย ในการที่จะชว ยสงเสริมสรางทักษะใหกบั
ผเู รยี นไดเกดิ การเรยี นรแู ละเขาใจไดเ รว็ ข้ึน ชัดเจนขึ้น กวางขวางขึ้นทําใหก ารสอน
ของครแู ละการเรยี นของนักเรียนประสบผลสําเรจ็ อยา งมีประสิทธภิ าพ

ไพทูลย มูลดี (2546 : 48) ไดสรุปความหมายของแบบฝกทักษะ คือชุดฝกการเรียนรูที่ครู
สรางขึ้นใหนักเรียนไดทบทวนเนื้อหาที่เรียนรูมาแลวเพื่อสรางความรูความเขาใจ และชวยเพิ่มทักษะความ
ชาํ นาญและฝก กระบวนการคิดใหม ากขน้ึ ทั้งยงั มปี ระโยชนในการลดภาระการสอน
ใหกับครู อกี ท้ังพัฒนาความสามารถของผเู รียน และทําใหผ เู รียนสามารถมองเหน็ ความกาวหนา
จากผลการเรียนรขู องตนเองได

คมขํา แสนกลา (2547 : 32) ไดส รุปความสําคญั ของแบบฝกวา แบบฝก ทักษะ
เปน สว นสําคัญในการเรยี นการสอน เพราะถา ขาดแบบฝกทักษะเพื่อใชในการฝกฝนทักษะความรูต างๆ หลังจาก
เรียนไปแลว เด็กก็อาจจะลืมเลอื นความรูท ่เี รียนไปได ซ่งึ อาจสง ผลใหน ักเรียนไมมีประสิทธิภาพเทา ท่คี วร

ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 75) ไดสรุปถึงความหมายของแบบฝกทักษะ คือ งานกิจกรรม
หรอื ประสบการณท ีค่ รูจดั ใหนักเรยี นไดฝกหดั กระทาํ เพอ่ื ทบทวนฝกฝนเน้ือหาความรตู างๆ ทไ่ี ดเ รยี นไปแลวให
เกดิ ความจาํ จนสามารถปฏบิ ัติไดดว ยความชาํ นาญ และใหผเู รยี นสามารถนําไปใชในชวี ติ ประจาํ วนั ได

วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 40) ไดสรุปความหมายและความสําคัญของแบบฝกไดวา
แบบฝก คอื แบบฝก หัด หรอื ชุดฝกทีค่ รจู ัดใหนักเรียน เพือ่ ใหมที ักษะเพ่ิมข้นึ หลังจากท่ีไดเ รียนรูเร่ืองนั้นๆ มา
บางแลว โดยแบบฝก ตองมีทศิ ทางตรงตามจุดประสงค ประกอบกิจกรรมทนี่ าสนใจและสนุกสนาน

อกนิษฐ กรไกร (2549 : 18) ไดสรุปความหมายของแบบฝกทักษะไววา แบบฝก-ทักษะ
หมายถึง สือ่ ทส่ี รา งข้ึนเพ่อื เสรมิ สรางทกั ษะใหแ กนกั เรียน มีลกั ษณะเปน แบบฝกหัดที่มีกิจกรรมใหนักเรียนทํา
โดยมีการทบทวนสิ่งที่เรียนผานมาแลวจากบทเรียน ใหเกิดความเขาใจและเปนการฝกทักษะ และแกไขใน
จดุ บกพรองเพื่อใหนักเรยี นไดม คี วามสามารถและศกั ยภาพย่ิงขนึ้ เขาใจบทเรยี นดขี ้นึ

8

พินิจ จันทรซาย (2546 : 90) กลาวถึงแบบฝกทักษะวา หมายถึง งาน กิจกรรม หรือ
ประสบการณท ่ีครผู ูสอนจดั ใหนักเรียนไดฝ กปฏบิ ัตเิ พื่อทบทวนความรูที่เรยี นมาแลวนํามาปรับประยุกตใชใน
ชีวิตประจําวนั

ผูรายงานไดศึกษาความหมายและความสําคัญของแบบฝกทักษะแลวพอสรุปไดวา แบบฝก
ทักษะ หมายถึง ชุดฝกทักษะที่ครูสรางขึ้นใหนักเรียนไดทบทวนเนื้อหาที่เรียนรูมาแลวเพื่อสรางความเขาใจ
และชวยเพิ่มทกั ษะความชาํ นาญและฝกกระบวนการคิดใหมากขึน้ ทําใหครูทราบความเขา ใจของนกั เรียนทีม่ ี
ตอบทเรยี น ฝกใหเ ด็กมีความเชื่อม่ันและสามารถประเมินผลของตนเองได ทั้งยังมีประโยชนชว ยลดภาระการ
สอนของครู และยังชว ยพฒั นาตามความแตกตา ง

2.2 ลกั ษณะของแบบฝกทักษะทดี่ ี
แบบฝก เปนเครื่องมอื ที่สําคญั ที่จะชว ยเสริมสรา งทักษะใหแ กผ ูเรยี น
การสรา งแบบฝก ใหมีประสิทธภิ าพจงึ จําเปนจะตองศกึ ษาองคประกอบและลักษณะของแบบฝก
เพ่ือใชใ หเหมาะสมกับระดับความสามารถของนกั เรยี น

สุวทิ ย มลู คํา และสนุ ันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60 -61) ไดส รุปลกั ษณะ
ของแบบฝก ทีด่ คี วรคํานงึ ถงึ หลกั จิตวิทยาการเรียนรูผเู รียนไดศ ึกษาดว ยตนเอง ความครอบคลมุ
ความสอดคลอ งกบั เนื้อหา รปู แบบนา สนใจ และคาํ ส่ังชดั เจน และไดส รปุ ลักษณะของแบบฝกไวดังนี้

1. ใชห ลักจิตวิทยา
2. สํานวนภาษาไทย
3. ใหค วามหมายตอชีวิต
4. คดิ ไดเ ร็วและสนุก
5. ปลุกความนาสนใจ
6. เหมาะสมกับวัยและความสามารถ
7. อาจศกึ ษาไดด ว ยตนเอง
และไดแ นะนาํ ใหผ สู รางแบบฝกใหย ึดลกั ษณะของแบบฝก ไวด งั นี้
1. แบบฝกหัดทดี่ ีควรมคี วามชัดเจนทง้ั คําสงั่ และวิธที ําคาํ สัง่ หรอื ตัวอยาง
วิธีทําที่ใชไมควรยาวเกินไป เพราะจะทําใหเขาใจยาก ควรปรับใหงายเหมาะสมกับผูใชทั้งนี้เพื่อใหนักเรียน
สามารถศกึ ษาดว ยตนเองไดถ า ตองการ
2. แบบฝกหดั ท่ดี คี วรมีความหมายตอผูเ รยี นและตรงตามจดุ มุงหมาย
ของการฝกลงทุนนอยใชไดนานๆ และทันสมัยอยเู สมอ
3. ภาษาและภาพท่ีใชในแบบฝกหัดควรเหมาะสมกับวัยและพื้นฐานความรูของ
ผเู รยี น
4. แบบฝก หัดท่ดี ีควรแยกฝกเปนเรอื่ งๆ แตละเรอื่ งไมควรยาวเกนิ ไป

9

แตควรมีกิจกรรมหลายรูปแบบ เพื่อเราใหนักเรียนเกิดความสนใจและไมนาเบื่อหนายในการทํา และเพื่อฝก
ทักษะใดทักษะหนงึ่ จนเกิดความชาํ นาญ

5. แบบฝกหัดที่ดีควรมีทั้งแบบกําหนดใหโดยเสรี การเลือกใชคํา ขอความหรือ
รูปภาพในแบบฝก หดั ควรเปนสง่ิ ทนี่ กั เรียนคุนเคยและตรงกับความในใจของนักเรียนเพ่ือวาแบบฝกหัดท่ีสราง
ข้นึ จะไดก อ ใหเกิดความเพลิดเพลินและพอใจแกผใู ช ซงึ่ ตรงกบั หลกั การเรยี นรู
ไดเรว็ ในการกระทําท่กี อ ใหเกดิ ความพึงพอใจ

6. แบบฝก หัดทีด่ คี วรเปด โอกาสใหผูเรยี น ไดศึกษาดว ยตนเองใหร ูจักคนควา รวบรวม
สิ่งที่พบเห็นบอย ๆ หรือที่ตนเองเคยใชจะทําใหนักเรียนสนใจเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้นและจะรูจักความรูใน
ชวี ิตประจําวนั อยา งถกู ตอง มีหลักเกณฑและมองเหน็ วา ส่งิ ทเี่ ขาไดฝ กฝนน้ัน
มคี วามหมายตอ เขาตลอดไป

7. แบบฝกหัดที่ดีควรจะสนองความแตกตางระหวางบุคคล ผูเรียนแตละคนจะมี
ความแตกตางกันหลายๆดาน เชน ความตองการ ความสนใจ ความพรอม ระดับสติปญญาและประสบการณ
ฯลฯ ฉะนั้นการทําแบบฝกหัดแตละเรื่อง ควรจัดทําใหมากพอและมีทุกระดับ ตั้งแตงาย ปานกลาง จนถึง
ระดับคอนขางยาก เพือ่ วาทง้ั เด็กเกง กลาง และออนจะไดเลือกทาํ ไดตามความสามารถ ทงั้ นเี้ พ่อื ใหเด็กทุกคน
ประสบความสาํ เรจ็ ในการทําแบบฝก หัด

8. แบบฝกหัดที่ดีควรสามารถเราความสนใจของนักเรียนไดตั้งแตห นาปกไปจนถงึ
หนาสดุ ทา ย

9. แบบฝกหัดที่ดีควรไดรับการปรับปรุงไปคูกับหนังสือแบบเรียนอยูเสมอและควร
ใชไดดที งั้ ในและนอกบทเรียน

10. แบบฝกหัดที่ดีควรเปนแบบที่สามารถประเมิน และจําแนกความเจรญิ งอกงาม
ของเด็กไดดวย

ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 78) ไดเ สนอลกั ษณะท่ีดขี องแบบฝก คือ แบบฝกท่ีเรยี งลาํ ดับจาก
งายไปหายาก มรี ปู ภาพประกอบ มรี ปู แบบนา สนใจ หลากหลายรปู แบบ โดยอาศัย
หลักจติ วทิ ยาในการจัดกจิ กรรมหรอื จดั แบบฝก ใหสนุก ใชภาษาเหมาะสมกบั วัย และ ระดบั ชั้น
ของนักเรียน มคี าํ ส่งั คําช้แี จงสน้ั ชัดเจน เขาใจงา ย มตี วั อยางประกอบ มีการจดั กิจกรรม การฝกท่ี
เราความสนใจ และแบบฝก นัน้ ควรทันสมัยอยเู สมอ

วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 43) ไดอธิบายถึงลักษณะของแบบฝกที่ดี คือ ควรมีความ
หลากหลายรปู แบบ เพอ่ื ไมใหเกดิ ความเบอ่ื หนา ย และตองมีลกั ษณะที่เรา ย่ัวยุ จูงใจ ไดให
คิดพจิ ารณา ไดศึกษาคนควาจนเกิดความรู ความเขาใจทกั ษะ แบบฝก ควรมีภาพดงึ ดดู ความสนใจเหมาะสมกับ
วยั ของผเู รียนตรงกบั จุดประสงคก ารเรียนรู มีเนอ้ื หาพอเหมาะ

ถวัลย มาศจรัส และคณะ (2550 : 20) ไดอธิบายถึงลักษณะของแบบฝกหัดและแบบฝก
ทกั ษะที่ดไี ววา ดงั นี้

10

1. จดุ ประสงค
1.1 จุดประสงคช ัดเจน
1.2 สอดคลองกับการพฒั นาทักษะตามสาระการเรียนรู และกระบวนการ

เรียนรขู องกลุมสาระการเรียนรู
2. เนื้อหา
2.1 ถูกตองตามหลกั วิชา
2.2 ใชภาษาเหมาะสม
2.3 มีคําอธบิ ายและคาํ สง่ั ทช่ี ดั เจน งายตอ การปฏบิ ัตติ าม
2.4 สามารถพัฒนาทักษะการเรยี นรู นําผูเรยี นสูก ารสรปุ ความคิดรวบยอด

และหลกั การสาํ คญั ของกลมุ สาระการเรียนรู
2.5 เปนไปตามลําดับขั้นตอนการเรียนรูสอดคลองกับวิธีการเรียนรู และ

ความแตกตางระหวางบุคคล
2.6 มีคําถามและกิจกรรมที่ทาทายสงเสริมทักษะกระบวนการเรียนรูของ

ธรรมชาตวิ ิชา
2.7 มีกลยุทธการนําเสนอและการตั้งคําถามที่ชัดเจน นาสนใจปฏิบัติได

สามารถใหข อมูลยอ นกลับเพ่ือปรับปรงุ การเรียนไดอ ยา งตอเน่ือง
ผูรายงานพอสรุปลักษณะของแบบฝกที่ดีไดวา แบบฝกที่ดีและมีประสิทธิภาพ ชวยทําใหนักเรียน

ประสบความสาํ เร็จในการฝก ทักษะไดเปน อยา งดี และแบบฝกทด่ี เี ปรยี บเสมือนผูชวยทีส่ าํ คญั ของครู ทําใหครู
ลดภาระการสอนลงได ทาํ ใหผเู รยี นพฒั นาความสามารถของตนเพ่อื ความม่ันใจ
ในการเรียนไดเปน อยา งดี ดงั นัน้ ครยู ังจําเปนตอ งศกึ ษาเทคนคิ วธิ กี าร ขน้ั ตอนในการฝก ทกั ษะตางๆ
มีประสทิ ธภิ าพทีส่ ดุ อันสงผลใหผ เู รยี นมีการพฒั นาทักษะตา งๆ ไดอยางเตม็ ทแี่ ละแบบฝก ทดี่ นี ้ันจะตองคํานึงถงึ
องคป ระกอบหลายๆดาน ตรงตามเนื้อหา เหมาะสมกับวัย เวลา ความสามารถ
ความสนใจ และสภาพปญ หาของผเู รยี น

2.3 ประโยชนของแบบฝกทกั ษะ
ไพทลู ย มูลดี (2546 : 52) ไดอ ธบิ ายประโยชนของแบบฝกไวดงั นี้ คือ แบบฝก
มคี วามสําคญั และจําเปนตอ การเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะจะชว ยใหผ เู รยี นเขาใจในบทเรยี น
ไดด ขี นึ้ สามารถจดจําเนอื้ หาในบทเรยี นและคําศัพทตางๆ ไดคงทน ทาํ ใหเ กดิ ความสนุกสนาน
ในขณะเรียนทราบความกาวหนาของตนเอง สามารถนําแบบฝก มาทบทวนเน้อื หาเดมิ ดว ยตนเองได นํามาวดั ผล
การเรียนหลังจากที่เรียนแลว ตลอดจนสามารถทราบขอบกพรองของนักเรียนและนําไปปรับปรุงแกไขได
ทนั ทวงที ซึ่งจะมีผลทําใหค รปู ระหยัดเวลา คา ใชจ า ยและลดภาระไดม าก และยัง
ใหน กั เรยี นนาํ ภาษาไปใชส่อื สารไดอยางมีประสทิ ธภิ าพดว ย

11

วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 41) ไดอธบิ ายถึงประโยชนของแบบฝกทักษะไววา แบบ
ฝก ชวยในการฝก หรอื เสรมิ ทกั ษะทางภาษา การใชภ าษาของนักเรยี นสามารถนาํ มาฝก ซา้ํ ทบทวนบทเรยี น และ
ผูเรียนสามารถนําไปทบทวนดวยตนเอง จดจําเนื้อหาไดคงทน มีเจตคติที่ดีตอ การเรียนภาษาไทย แบบฝกถือ
เปน อปุ กรณก ารสอนอยา งหน่งึ ซง่ึ สามารถทดสอบความรู วัดผลการเรยี นหรอื ประเมินผลการเรยี นกอ นและหลงั
เรยี นไดเปนอยางดี ทําใหครทู ราบปญ หาขอ บกพรองของผเู รียนเฉพาะจุดได นกั เรียนทราบความกาวหนาของ
ตนเอง ครูประหยดั เวลา คาใชจ ายและลดภาระไดม าก

ถวัลย มาศจรสั และคณะ (2550 : 21) ไดอธบิ ายถงึ ประโยชนข องแบบฝกหัดและแบบฝก
ทักษะเปนสือ่ การเรยี นรู ที่มุงเนนในเร่ืองของการแกปญหา และการพัฒนาในการจัดการเรียนรูในหนวยการ
เรียนรูแ ละสามารถเรียนรไู ด โดยสรปุ ไดดงั น้ี

1. เปนสื่อการเรยี นรู เพือ่ พฒั นาการเรยี นรูใหแ กผูเรียน
2. ผเู รียนมีสือ่ สาํ หรับฝกทกั ษะดา นการอา น การคดิ การคิดวิเคราะห
และการเขียน
3. เปนสอื่ การเรยี นรูสาํ หรบั การแกปญหาในการเรยี นรขู องผเู รียน
4. พฒั นาความรู ทักษะ และเจตคติดานตางๆ ของผเู รยี น
จากประโยชนของแบบฝกที่กลาวมา สรุปไดวา แบบฝกที่ดีและมีประสิทธิภาพชวยทําใหนักเรียน
ประสบผลสําเรจ็ ในการฝกทักษะไดเ ปน อยา งดี
สุวิทย มลู คํา และสนุ ันทา สุนทรประเสรฐิ (2550 : 53 - 54) ไดส รุปประโยชน
ของแบบฝกทักษะไดดังน้ี
1. ทาํ ใหเ ขา ใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเปนเครอ่ื งอาํ นวยประโยชนในการเรียนรู
2. ทําใหครูทราบความเขา ใจของนักเรยี นทม่ี ตี อ บทเรียน
3. ฝกใหเ ดก็ มีความเช่อื มั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได
4. ฝกใหเ ด็กทาํ งานตามลําพัง โดยมีความรบั ผิดชอบในงานที่ไดรับมอบหมาย
5. ชว ยลดภาระครู
6. ชว ยใหเดก็ ฝกฝนไดอ ยา งเตม็ ที่
7. ชวยพัฒนาตามความแตกตางระหวา งบคุ คล
8. ชวยเสรมิ ใหทกั ษะคงทน ซึง่ ลกั ษณะการฝกเพือ่ ชว ยใหเกิดผลดงั กลา วนัน้ ไดแ ก

8.1 ฝก ทันทีหลงั จากทเี่ ดก็ ไดเรียนรูใ นเร่ืองนน้ั ๆ
8.2 ฝก ซ้ําหลายๆคร้ัง
8.3 เนนเฉพาะในเรือ่ งที่ผิด
9. เปน เคร่ืองมอื วดั ผลการเรยี นหลังจากจบบทเรียนในแตละคร้ัง
10. ใชเปนแนวทางเพ่อื ทบทวนดวยตนเอง
11. ชว ยใหครมู องเหน็ จุดเดนหรอื ปญ หาตาง ๆของเดก็ ไดช ัดเจน

12

12. ประหยดั คาใชจา ยแรงงานและเวลาของครู
ผรู ายงาน ไดศกึ ษาคนควา เกย่ี วกับประโยชนของแบบฝก ทกั ษะแลว พอสรปุ ไดวาแบบฝก
มีความสําคัญ และจําเปนตอการเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะจะชวยใหผูเรียนเขาใจบทเรียนไดดีข้ึน
สามารถจดจําเนื้อหาในบทเรียนและคําศัพทตาง ๆ ไดคงทน ทําใหเกิดความสนุกสนาน ในขณะเรียนทราบ
ความกา วหนาของตนเอง และครมู องเห็นจดุ เดน หรอื ปญ หาตาง ๆ ของเด็กไดชัดเจน สามารถนําแบบฝกทักษะ
มาทบทวนเนือ้ หาเดมิ ดว ยตนเอง ตลอดจนสามารถทราบขอ บกพรอง
ของนักเรียนและนําไปปรบั ปรงุ ไดทันทว งที ซึ่งจะมีผลทาํ ใหครูประหยัดเวลา ประหยัดคา ใชจาย
2.8 แนวคดิ หลักการท่เี กี่ยวของกบั แบบฝกทักษะ

อกนิษฐ กรไกร (2549 : 17) ไดด าํ เนนิ การสรางแบบฝก ทกั ษะ ยดึ หลักใหนักเรยี น
ไดเรียนรูดวยตนเองตามศักยภาพของแตละบุคคล ในความคาดหวัง ตองการใหเด็กที่ใชแบบฝกทักษะมี
พฤติกรรม ดงั น้ี

1. Active Responding ใหน กั เรยี นมีสว นรว มในการเรยี นอยา งกระฉบั -
กระเฉง ไมวาจะเปนคิดในใจหรือแสดงออกมาดวยการพูดหรือเขียน นักเรียนอาจเขียนรูปภาพเติมคําแตง
ประโยคหรอื หาคาํ ตอบในใจ

2. Minimal Error ในการเรียนแตล ะครั้งเราหวังวา นักเรียนจะตอบคําถามไดถ ูกตอ ง
เสมอ แตในกรณีที่นักเรียนตอบคําถามผิด นักเรียนควรมีโอกาสฝกฝนและเรียนรูในสิ่งที่เขาทําผิดเพื่อไปสู
คาํ ตอบทถี่ กู ตองตอ ไป

3. Knowledge of Results เมอื่ นักเรยี นสามารถตอบถกู ตองเขาควรไดรับเสริมแรง
ถานักเรียนตอบผิดเขาควรไดรับการช้ีแจง และใหโอกาสที่จะแกไขใหถ ูกตองเชนเดยี วกับประสบการณทีเ่ ปน
ความสําเรจ็ สําหรบั มนษุ ยแ ลว เพยี งไดรูวา ทาํ อะไรสาํ เรจ็ ก็ถือเปน การเสรมิ แรง
ในตวั เอง

4. Small Step การเรียนจะตองเปดโอกาสใหนักเรียนไดเรียนรูไปทีละนอยดวย
ตนเอง โดยใหความรูต ามลําดบั ขนั้ และเปด โอกาสใหผูเ รยี นใครครวญตามซึ่งจะเปน ผลดตี อ การเรียนรูของเด็ก
อยา งมาก แมท ีเ่ รยี นออนกจ็ ะสามารถเรยี นได

สุวทิ ย มูลคํา และสนุ นั ทา สนุ ทรประเสริฐ (2550 : 54 - 55) ไดอธิบายแนวคิด
และหลักการสรางแบบฝก วา การศึกษาในเร่ืองจติ วทิ ยาการเรียนรู เปนส่งิ ทีผ่ ูสรา งแบบฝกมคิ วรละเลยเพราะ
การเรยี นรจู ะเกดิ ข้ึนไดต องขึ้นอยูก ับปรากฏการณข องจติ และพฤติกรรมทีต่ อบสนองนานาประการ โดยอาศัย
กระบวนการท่เี หมาะสมและเปน วธิ ที ่ีดที ่สี ดุ การศกึ ษาทฤษฎีการเรียนรู
จากขอมลู ท่ีนักจิตวิทยาไดทําการคนพบ และทดลองไวแลว สําหรับการสรางแบบฝก ในสว นที่มีความสัมพนั ธกนั
ดังนี้

1. ทฤษฎีการลองถกู ลองผดิ ของธอรน ไดค ซึง่ ไดส รปุ เปน กฎเกณฑก ารเรยี นรู
3 ประการ คือ

13

1.1 กฎความพรอ ม หมายถึง การเรียนรูจะเกิดขนึ้ เมื่อบคุ คลพรอ มทจี่ ะกระทาํ
1.2 กฎผลทไี่ ดรับ หมายถึง การเรยี นรูที่เกดิ ข้ึนเพราะบคุ คลกระทําซา้ํ งาย
1.3 กฎการฝกหัด หมายถงึ การฝกหัดใหบุคคลทาํ กิจกรรมตา ง ๆ นั้น ผูฝกจะตอ ง
ควบคุมและจัดสภาพการใหสอดคลองกับวัตถุประสงคของตนเอง บุคคลจะถูกกําหนดลักษณะพฤติกรรมที่
แสดงออก
ดังนั้น ผูสรางแบบฝกจึงจะตองกําหนดกิจกรรมตลอดจนคําสั่งตาง ๆ ใบแบบฝกใหผูฝกได
แสดงพฤติกรรมสอดคลองกบั จดุ ประสงคท ผ่ี สู รางตอ งการ
2. ทฤษฎพี ฤติกรรมนิยมของสกนิ เนอร ซง่ึ มีความเชอื่ วา สามารถควบคุมบุคคลใหท ํา
ตามความประสงคหรือแนวทางทีก่ าํ หนดโดยไมตอ งคํานงึ ถงึ ความรสู กึ ทางดานจติ ใจ
ของบุคคลผนู ้นั วา จะรูส ึกนึกคิดอยางไร เขาจึงไดท ดลองและสรปุ วาบุคคลสามารถเรียนรูดวยการกระทําโดยมี
การเสรมิ แรงเปน ตวั การ เปนบคุ คลตอบสนองการเรา ของสิง่ เราควบคกู ันในชว งเวลา
ที่เหมาะสม สงิ่ เราน้ันจะรกั ษาระดับหรือเพิ่มการตอบสนองใหเขม ข้ึน
3. วิธีการสอนของกาเย ซึ่งมีความเห็นวาการเรียนรูมีลําดับขั้น และผูเรียนจะตอ ง
เรยี นรูเนื้อหาทีง่ า ยไปหายาก การสรางแบบฝก จึงควรคํานงึ ถงึ การฝก ตามลําดับจากงา ยไปหายาก
4. แนวคิดของบลูม ซึ่งกลาวถงึ ธรรมชาติของผูเรียนแตละคนวามคี วามแตกตา งกนั
ผเู รยี นสามารถเรียนรูเนอ้ื หาในหนวยยอยตา งๆ ไดโ ดยใชเวลาเรยี นท่แี ตกตา งกนั

3. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
3.1 ความหมายของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ คุณลักษณะ รวมถึง ความรู ความสามารถของบุคคลอันเปนผลมาจาก

การเรียนการสอน หรือ มวลประสบการณทั้งปวงที่บุคคลไดรับจากการเรียนการสอน ทําใหบุคคลเกิดการ
เปลีย่ นแปลงพฤติกรรมในดา นตาง ๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุง หมายเพื่อเปนการตรวจสอบระดบั
ความสามารถสมองของบคุ คล เรียนแลว รูอะไรบาง และมีความสามารถดานใดมากนอยเทาไรตลอดจนผลที่
เกิดขึ้นจาก การเรียนการสอนการฝกฝน หรือประสบการณตาง ๆ ทั้งที่โรงเรียน ที่บานและสิ่งแวดลอมอืน่ ๆ
รวมท้งั ความรสู กึ คานยิ ม จรยิ ธรรมตาง ๆ ก็เปนผลมาจากการฝก ฝนดว ย

3.2 จุดมงุ หมายของการวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
สุภาพ วาดเขียน (2525 : 176) และไพศาล หวังพาณชิ (2523 : 137) ไดกลาววาจดุ มุงหมายของการ
วัดผลสัมฤทธิ์ เปนการตรวจสอบระดับความสามารถของสมรรถภาพทางสมองของบุคคลวาเรียนรูอะไรบาง
และมีความสามารถในดานใดมากนอยแคไหน เชน มีพฤติกรรมดานความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การ
สังเคราะห และการประเมนิ คามากนอยอยูในระดับใดนั้นคือ การวัดผลสัมฤทธิเ์ ปนการตรวจสอบพฤติกรรม
ของผูเ รียนในดานพุทธิพิสยั นั้นเอง ซึง่ เปน การวดั 2 องคประกอบตามจุดมงุ หมายในลักษณะของเนื้อหาวิชาที่
เรียน คือ

14

1. การวัดดา นปฏิบัติ เปนการตรวจสอบความรู ความสามารถทางปฏบิ ตั ิ โดยใหผ เู รยี นไดล งมือปฏิบัติ
จริงใหเ หน็ เปนผลงานปรากฏออกมา ใหทําการสังเกตและวัดได เชน วิชาศิลปศกึ ษา พลศึกษา การชาง ฯลฯ
การวดั แบบนี้จงึ ตองวัดโดยใชขอสอบภาคปฏิบตั ิ ซง่ึ การประเมินผลจะพจิ ารณาทีว่ ธิ ปี ฏิบตั แิ ละผลทปี่ ฏบิ ัติ

2. การวัดดานเนื้อหา เปนการตรวจสอบความรู ความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชารวมทั้งพฤติกรรม
ความสามารถดา นตา งๆ อันเปน ผลมาจากการเรยี นการสอน ที่สามารถวัดไดโ ดยใชข อ สอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ

3.3 เครือ่ งมือท่ใี ชในการวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน
ลว น สายยศ และ อังคณา สายยศ (2536 : 146 – 147 )กลาววาเครอ่ื งมือในการวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการ
เรียน หรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (achivement tests) หมายถึงแบบทดสอบที่วัดปริมาณความรู
ความสามารถ ทักษะเกี่ยวกับดานวิทยาการที่นักเรียนไดเรียนรูมาในอดีต วารับรูไดมากนอยเพียงใด
แบบทดสอบประเภทน้ีแบง ออกเปน 2 ประเภท คอื
1. แบบทดสอบทีค่ รสู รางขึน้ เอง (teacher made test) เปนแบบทดสอบที่สรางขึ้นเฉพาะคราว
เพอ่ื ใชทดสอบผลสัมฤทธิ์ และความสามารถทางวิชาการของนกั เรียนมที ่ีไดเ รยี นในหองเรียน วา นักเรียนมี
ความรมู ากแคไ หน บกพรองทีต่ รงไหนจะไดซอ มเสรมิ หรอื วัดดูความพรอ มท่ีจะขนึ้ บทเรยี นใหม ใชกนั ท่ัวไป
ในสถาบันการศึกษา แบบทดสอบประเภทนส้ี อบเสร็จก็ทง้ิ ไป จะสอบใหมก ็สรา งขน้ึ ใหม หรือนําเอาของเกา
มาเปลีย่ นแปลงโดยไมมีวิธกี ารอะไรเปน หลักในการปรับปรุง ไมมกี ารวเิ คราะหว าขอ สอบนั้นดีหรือไมดีแต
ประการใด
2. แบบทดสอบมาตรฐาน (standardized test) เปน แบบทดสอบท่สี รางขึน้ จากผเู ชีย่ วชาญในแตละ
สาขาวชิ าหรอื จากครสู อนวชิ าน้ันและมีกระบวนการ หรือวธิ ีการท่ีซับซอนมากกวาแบบทดสอบท่ีครสู รางขนึ้ เอง
เมื่อสรางเสร็จก็มีการนําไปทดลองสอบ แลวนําผลมาวิเคราะหดวยวิธีการทางสถิติหลายครั้งหลายหน เพ่ือ
ปรบั ปรงุ ใหมีคุณภาพดี มคี วามเปนมาตรฐานซง่ึ แบบทดสอบมาตรฐานน้ีจะมคี วามเปนมาตรฐานอยู 2 ประการ
คือ

2.1 มาตรฐานในการดําเนินการสอบ หมายความวา แบบทดสอบน้ีไมว า จะนาํ ไปใชเ มอ่ื ไหร
กต็ าม คําช้ีแจง คาํ บรรยาย การดําเนนิ การสอบจะเหมือนกันทุกครง้ั ไป จะไมมีการควบคุมตัวแปรตางๆ ท่ีทํา
ใหค ะแนนคลาดเคลอ่ื น เชนผูคุมสอบ การจดั ชน้ั การจดั ช้ันเรียน การใชค าํ สัง่ เปนตน กระบวนการประเภทนี้
จึงตอ งมีคําชแ้ี จงในการใชข อสอบอยูดวย

2.2 มาตรฐานในการแปลความหมายของคะแนน ไมวาจะสอบที่ไหน เมื่อไหรก็ตามก็
ตอ งแปลคะแนนไดเหมือนกนั ฉะน้ันขอ สอบประเภทนจ้ี งึ ตอ งมเี กณฑปกติ

4. งานวิจัยทเ่ี ก่ียวขอ ง
4.1 งานวจิ ัยภายในประเทศ
จิตสุดา ไขววงค (2551 : บทคัดยอ) ไดวิจัยการพฒั นาชุดฝกทักษะการคิดสรางสรรคสําหรบั นักเรยี น

ช้ันประถมศกึ ษาปท่ี 2 กลมุ ตัวอยา งทใี่ ชใ นการวิจัยครั้งนี้ คอื เรียนช้นั ประถมศึกษาปท่ี 2 โรงเรยี นบานนารงั กา
สาํ นกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาศรสี ะเกษ เขต 4

15

ผลการวิจัพบวา 1. ชุดฝกทักษะการคิดสรางสรรค นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 3 ที่ผูวิจัยสรางขึ้นมี
ประสิทธิภาพ 90.35/87.63 2. ความสามารถในการคิดสรางสรรคของ นักเรียนหลังการฝกดวย
ชุดฝกทักษะ การคิดสรางสรรคสูงกวากอนใชชุดฝกทักษะการคิดสรางสรรคอยางมีนัยสําคัญทาง
สถิติที่ระดับ .01ชูศักด์ิ สุระประวัติวงศ (2551 : บทคัดยอ) ไดวิจัยการพัฒนาชุดฝกทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 จํานวน 19 คน ที่โรงเรียนบาน
หนองไฮ ในเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย เขต 1 ผลการวิจัยพบวา ชุดฝกทักษะมีประสิทธิภาพ
เทากับ 87.04/86.84 คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกวากอนเรียนรอยละ 20 อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .01 สุพัตรา สัตยากูล (2552: บทคัดยอ) ไดวิจัยการพัฒนาชุดฝกทักษะกลุมสาระการเรียนรู
วิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ผลการวิจัยพบวา ชุดฝกทักษะ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร
ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 มีประสิทธิภาพ 83.14/82.58 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 มีผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน หลังเรียนสูงกวา กอนเรียนดวยชุดฝกทักษะ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรอยางมี
นยั สาํ คญั ทางสถิติทรี่ ะดบั .01 จรยิ า พงษศ ริ ริ ักษ (2548: บทคดั ยอ ) ไดวจิ ยั การพฒั นาชดุ ฝก ทักษะการคดิ แบบ
องครวมของนักศึกษาชางอุตสาหกรรม ผลการวิจัยพบวา กลุมตัวอยางเปนนักศึกษาระดับประกาศนียบัตร
วิชาชีพชั้นสงู (ปวส.) สาขาวิชาไฟฟากาํ ลัง จํานวน 30 คน มีคะแนนเฉลีย่ ผลสัมฤทธิ์กลุม ทดลองหลังการฝก
กิจกรรมพัฒนาทักษะการคิดแบบองครวมสูงกวากอนฝกกิจกรรม อยางมีนัยสําคัญทาง
สถิตทิ รี่ ะดบั 0.01 ทยั รตั น ทาเพชร (2546: บทคัดยอ) ไดว จิ ัยการพฒั นาชดุ ฝก ทักษะการทบทวนโจทยปญหา
วิชาคณิตศาสตร สําหรับชั้นประถมศึกษาปที่ 3 โดยใชกลุมตัวอยาง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่
3 จํานวน 32 คน จาก 2 โรงเรียน ในอําเภอปทุมรัตน สํานักงานการประถมศึกษาจังหวัดรอยเอ็ด คือ
โรงเรียนบานมวง จํานวน 12 คน เพื่อทดลองใชชุดฝกทักษะ และโรงเรียนบานตาจอยหนองสระ
จํานวน 20 คน ผลการวิจัยพบวาประสิทธิภาพ 85.12/76.67 ซึ่งสูงกวาเกณฑ ที่ตั้งไวประภาวดี แกนจันทร
หอม (2550: บทคัดยอ) การพัฒนาชุดฝกทักษะการอานจับใจความสําคัญภาษาไทยสําหรับ นักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปที่ 1 ผลการวิจัยพบวาชุดฝกทักษะการอานจับใจความสําคัญภาษาไทยสําหรับ นักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที่ 1 มีประสิทธิภาพรวมอยูในเกณฑ 85.90/85.38 ผลสัมฤทธิ์ดานทักษะการอานจับใจความ
สาํ คญั ภาษาไทยกอ นเรยี นกับหลงั เรียนของ 16 นักเรียนกลุม ท่เี รียน โดยการสอนแบบปกตใิ นทุกดาน มีคะแนน
หลังเรียนสูงกวา กอ นเรยี นอยางมนี ยั สาํ คัญทางสถิตทิ ี่ .01 4. ราตรี นางาม (2551: บทคดั ยอ) ไดวิจัยการพฒั นา
ชุดฝก ทกั ษะการอานภาษาไทยเพื่อจับใจความกลุม สาระการเรยี นรภู าษาไทย สาํ หรบั นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาป
ที่ 5 ผลการวิจัยพบวา กลุม ตัวอยา งทใี่ ชในการวจิ ัยครงั้ น้ี เปนนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที่ 5 โรงเรียนบานหนอง
ไฮ กลมุ เครือขา ยโพนทองหนองไฮ สํานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาอาํ นาจเจรญิ จงั หวัดอํานาจเจรญิ จํานวน 42
คนมีผลสัมฤทธิ์ทางการอานจับใจความสูงกวากอนใชช ุดฝกทักษะอยางมนี ัยสําคัญทางสถิติที่ระดบั .01 นงค
นิตย บุญชัยโย (2551: บทคัดยอ) ไดวิจัยการพัฒนาชุดฝกทักษะการอานภาษาไทยเพื่อจับใจความสําหรับ
นักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปที่ 2 ผลการวจิ ัยพบวากลุม ตัวอยา งท่ีใชใ นการวิจยั ครง้ั น้ี นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปท ี่
2 ท่ีกาํ ลังเรยี นอยใู นภาคเรียนท่ี 1 ปก ารศกึ ษา 2550 โรงเรยี นบา นโพธิ์ อําเภอวารนิ ชาํ ราบ สังกดั สํานกั งานเขต

16

พืน้ ที่การศกึ ษาอบุ ลราชธานี เขต 4 มี นกั เรียนจํานวน 30 คนมปี ระสิทธิภาพ เทา กับ 87.83/84.16 ซึ่งสูงกวา
เกณฑมาตรฐานท่ีต้ังไว 80/802.นักเรยี นท่ีเรียนดว ยชดุ ฝกทักษะการอานภาษาไทยเพื่อจับใจความ มีคะแนน
เฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สุคนธ ยั่งยืน
(2549: บทคดั ยอ ) ไดว จิ ยั การพฒั นาชุดฝกทักษะวชิ าคณิตศาสตร ช้ันประถมศึกษาปท่ี 5 ใหมีประสทิ ธภิ าพตาม
เกณฑมาตรฐาน 80/80 ผลการวิจัยพบวากลมุ ตัวอยางทีใ่ ชในการวจิ ัยครงั้ น้ี เปนนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปท่ี 5
โรงเรียนดํารงสินอุทิศ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 ท่ีเรียนในภาคเรียนที่ 1 ป
การศึกษา 2548 จํานวน 30 คนมีประสิทธิภาพเทากับ 82.67/83.25 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร เร่ือง เศษสว น ของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปท่ี 5 ทเ่ี รยี น โดยใชช ดุ ฝกทกั ษะหลังเรียนสูงกวากอน
เรียนอยางมีนยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 อุไรวรรณ บญุ ลอ ม(2550 : บทคัดยอ) ไดวิจัยการพฒั นาชุดฝก ทกั ษะ
การอานภาษาไทยเพื่อจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 ผลการวจิ ัยพบวา 1. ชุดฝกทักษะการ
อา นภาษาไทยเพื่อจับใจความของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที่ 2 มปี ระสทิ ธิภาพ เทากับ 88.30/84.85 2. หลงั
การใชชุดฝก ทักษะการอานภาษาไทยเพื่อจับใจความ นกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปท่ี 2 มผี ลสมั ฤทธทิ์ างการอาน
จบั ใจความสูงกวา กอนใชชุดฝกอยา งมีนัยสาํ คญั ทางสถิติทรี่ ะดับ .01

4.2 งานวิจยั ตา งประเทศ
งานวจิ ยั ท่เี กย่ี วของกับชดุ ฝกทกั ษะในตา งประเทศมีดังตอไปน้ี
Lawrance and Hayden (1972: 67 – 72) ไดศึกษาการวิจัยการใชชุดฝกทักษะหรือชั้น
ประถมศกึ ษาปท ี่ 3 จํานวน 87 คนพบวา นักเรยี นที่ได ใชชดุ ฝก เสริมทักษะมคี ะแนนทดสอบหลังทําชดุ ฝกเสริม
ทักษะมากกวาคะแนนกอ นทาํ ชดุ ฝกเสรมิ ทกั ษะและทาํ ขอ สอบหลังการทาํ ชุดฝกเสรมิ ทักษะไดถ กู ตอ งเฉลี่ยรอย
ละ 98.80
Romain (1975 : 244) ไดศึกษาเร่ืองการใชช ดุ ฝกทกั ษะกบั การสอนปกติในวชิ าคณิตศาสตรของ
นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปท่ี 5 ผลปรากฏวา การสอนโดยใชช ดุ ฝก ทักษะใหไ ดผ ลดกี วา การสอนปกติทัง้ ในดาน
ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน และเจตคตติ อ วชิ าเรียน
Tomas (1976 : 6320) ไดท ดลองสอนวิชาคณิตศาสตรใ นระดับมหาวิทยาลัย โดยใชวธิ กี ารสอนโดย
แบงนกั ศกึ ษาออกเปน สองกลุม กลมุ แรกครูจดั สอนเปน รายบุคคลและใชช ุดฝก ทกั ษะ ผลปรากฏวาผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรยี นทั้งสองกลมุ ไมแตกตา งกัน
Lowrey (1987 : 817 – A) ไดศ ึกษาผลการใชชดุ ฝก ทกั ษะกบั นกั เรียน ม.1-3 จาํ นวน 87 คน
ผลการศึกษาพบวา มีคะแนนทดสอบหลังทาํ ชดุ ฝก เสรมิ ทกั ษะมากกวา คะแนนกอ นทําชุดฝก เสรมิ ทักษะและทาํ
ขอ สอบหลงั การทาํ ชุดฝกเสริมทกั ษะไดถ กู ตองเฉล่ียรอยละ 89.80 ชดุ ฝกทกั ษะเปน คยี ด ใการชว ยทาํ ใหเกิดการ
เรยี นรูเพม่ิ ขึ้น
Rosaline (1995 : 1235) ไดทดลองสอนวชิ าคณิตศาสตรใ นระดบั มหาวิทยาลัยโดยใชช ุดฝก ทกั ษะกับ
วธิ ีการสอนแบบปกติ ผลปรากฏวา ความกาวหนา ของการเรยี นท้งั สองวธิ ีไมแตกตางกัน

17

จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของกับชุดฝกทักษะทั้งในประเทศและตางประเทศสรุป
ไดว า ชดุ ฝก ทกั ษะมีประสิทธภิ าพสามารถทาํ ใหนักเรยี นเรยี นดว ยตนเองไดและจากการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนของนักเรียน นกั เรียนทเ่ี รียนจากชดุ ฝก ทกั ษะมีผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นสงู กวา นกั เรียนท่เี รียนจาก
การสอนปกติ จึงสมควรท่ีจะทําการวจิ ัยเกี่ยวกบั สอนโดยใชชดุ ฝก ทกั ษะใหมากขึ้นเพื่อประโยชนตอนักเรียนใน
วชิ าตาง ๆ

18

บทท่ี 3
วธิ ีดําเนินการวิจยั

การวจิ ยั เร่อื ง การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปท ี่ 2 วิชาวทิ ยาการคาํ นวณ
เรื่องขัน้ ตอนวิธี โดยใชชดุ ฝก ทักษะ เปนการวิจัยในชัน้ เรียนเพือ่ แกป ญ หามี วตั ถุประสงคเ พอ่ื พฒั นาผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียนวชิ าวทิ ยาการคํานวณ เรื่องขนั้ ตอนวิธกี ารแกป ญ หา สําหรบั นกั เรียนทม่ี ผี ลการเรยี นต่าํ
เปรยี บเทยี บคะแนนผลสมั ฤทธ์ิกอ นเรียนกบั หลงั เรียนโดยใช แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ และผูวจิ ัยดําเนนิ การ
ศึกษาคนควาตามลาํ ดบั ดงั นี้

1. ประชากร
2. เครอ่ื งมือทใ่ี ชในการวิขยั
4. วิธกี ารเก็บรวบรวมขอมลู
5. การวเิ คราะหขอมูล
6. สถิติทีใ่ ชใ นการวเิ คราะหข อมูล

ประชากร
ประชากรคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 โรงเรียนอนุบาลคูเมือง สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา

ประถมศึกษาบรุ ีรัมย เขต 4 ท่ีกําลังเรียนอยูในภาคเรียนท่ี 1 ปการศกึ ษา 2563 จํานวนรวม 24 คน

เครอื่ งมอื ทใี่ ชในการวจิ ยั
1. แบบฝก ทักษะเร่อื ง ขน้ั ตอนวิธีการแกป ญหา (Algorithm) กลมุ สาระการเรยี นรวู ิทยาศาสตร

และเทคโนโลยี วิชาวทิ ยาการคํานวณ ชนั้ ประถมศกึ ษาปท่ี 2
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน(หลังเรยี น) วิชาวิทยาการคํานวณ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการ

แกปญหา ชัน้ ประถมศกึ ษาปท่ี 2 ซ่ึงเปน แบบทดสอบปรนัย 4 ตวั เลือก จํานวน 10 ขอ

วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ มลู
ผูว ิจัยดาํ เนินการตามลําดบั ข้นั ตอน ดงั นี้
ขั้นเตรียมการสอน
ผูวิจัยชี้แจงใหนักเรียนกลุมตัวอยางทราบถึงวิธีการจัดการเรียนรูโดยใชแบบฝกทักษะ

เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm) ชั้นประถมศึกษาปที่ 2 เพื่อใหนักเรียนทุกคนไดเขาใจตรงกัน
และปฏบิ ัตกิ จิ กรรมไดอ ยา งถกู ตอง

ขน้ั ดาํ เนนิ การสอน
ผูวิจัยดําเนินการจัดการเรียนรูดวยตนเองตามแผนการจัดการเรียนรูที่สรางขึ้นระยะเวลา 6 ชั่วโมง
ดงั นี้

19

1. กอ นทาํ การสอนผวู ิจัยทําการทดสอบกอนเรยี น (Pre-test) ซง่ึ ใชแ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการ
เรยี นจาํ นวน 10 ขอ กบั นกั เรยี นท่ีเปน กลมุ ตวั อยาง

2. ดําเนินการสอนโดยใชแ บบฝกทักษะเรื่องขน้ั ตอนวธิ ีการแกป ญ หา (Algorithm) ใชเ วลาสอนทั้งหมด
6 สัปดาห สปั ดาหละ 1 ชั่วโมง

ข้นั สิน้ สดุ การสอน
1. ผูวิจัยทําการทดสอบหลังเรียน (Post-test) ดวยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
จํานวน 10 ขอ กบั นกั เรียนท่เี ปน กลมุ ตวั อยาง
2. นําแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคํานวณ มาตรวจใหคะแนนตามเกณฑ
ทก่ี ําหนดไว

การวเิ คราะหข อมูล
1. หาคาสถิติพื้นฐานคะแนนจากการทําแบบทดสอบกอนเรียน และหลังเรียนจากแบบทดสอบวัด

ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน
2. วิเคราะหเปรยี บเทียบคะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรยี น กอนเรียนและหลงั เรยี น

โดยใชคะแนนทีเฉลีย่ * (Average T score)

สถิติท่ใี ชในการวเิ คราะหข อ มลู
1. สถติ พิ นื้ ฐาน
1.1 คาเฉลย่ี เลขคณิต (mean) โดยคาํ นวณจากสูตร (ลว น สายยศ และอังคณา สายยศ.2538: 73)

x x
N

เมอื่ x แทน คา เฉลี่ยของคะแนน

 x แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมด

N แทน จํานวนนักเรยี นทงั้ หมด
1.2 การหาคาเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยคํานวณจากสูตร (ลวน สายยศ และอังคณาสายยศ.

2538:39)

S.D. = N  x2 - (  x ) ²

N (N-1)
เมื่อ S.D. แทน คาเบย่ี งเบนมาตรฐาน

 x แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมด

 x2 แทน ผลรวมของคะแนนแตล ะตัวยกกาํ ลงั สอง
N แทน จํานวนนกั เรียนกลมุ ตวั อยา ง

20

บทที่ 4
ผลการวิเคราะหขอมูล

สถิติทีใ่ ชใ นการวจิ ัย
1. การหาคาเฉล่ีย
2. การหาคารอ ยละ
3. คะแนนทีเฉล่ยี (Average T score)
จากการรวบรวมผลการวจิ ัย การพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น ช้นั ประถมศกึ ษาปที่ 2

วชิ าวทิ ยาการคาํ นวณ เรือ่ งขั้นตอนวธิ กี ารแกปญ หา โดยใชแบบฝกทักษะ เสนอผลการวจิ ยั ดังนี้

การวเิ คราะหข อ มลู
จากการศกึ ษาวิจัยในช้นั เรยี น และศึกษาจากกลมุ นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปท ี่ 2 ปก ารศึกษา

2563 โรงเรียนอนุบาลคูเมือง วิชาวิทยาการคํานวณ เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา โดยใชแบบฝกทักษะ
จํานวน 24 คน คณะผูวิจัย ไดใชแบบทดสอบทําการทดสอบกอนเรียน จํานวน 10 ขอ หลังจากนั้น ไดสอน
ขั้นตอนวิธีการแกปญหา โดยใชแบบฝกทักษะ ทั้งหมด 5 ชุด ชุด ละ 5 คะแนน และใชแบบทดสอบ ทําการ
ทดสอบหลังเรียน จํานวน 10 ขอ โดยสามารถวเิ คราะหผลไดดงั นี้

ผลการวเิ คราะหข อมลู
ผูว จิ ยั ไดน าํ เสนอผลการวิเคราะหข อมลู และแปรความหมายขอ มูลเปนดงั น้ี
1. ขอมูลวิเคราะหความสามารถในการทําแบบฝกทกั ษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา(Algorithm)

ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปท ่ี 2
ตารางที่ 1 แสดงการวิเคราะหความสามารถในการทําแบบฝกทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา

(Algorithm) ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที่ 2

นกั เรยี น กอ นเรียน ชุดที่ 1 ชดุ ที่ 2 คะแนนระหวางเรียน ชุดที่ 5 รวม หลังเรยี น
24 คน คะแนน 10 คะแนน 5 คะแนน 5 คะแนน 5 คะแนน 25
ชดุ ที่ 3 ชดุ ที่ 4 คะแนน 10
รวม 132 101 98 คะแนน 5 คะแนน 5 93 484
เฉล่ีย 5.50 180
4.21 4.08 97 95 3.88 18.62 7.50
รอ ยละ 55.00 75.00
84.17 81.67 4.04 3.96 77.50 74.46

80.83 79.17

จากตารางท่ี 1 พบวา นกั เรียนในระดับชนั้ ประถมศึกษาปท ่ี 2 มคี วามสามารถในการทําแบบฝกทกั ษะ
ชุดที่ 1 แบบฝก ทักษะเหตผุ ลเชงิ ตรรกะ มากทสี่ ดุ คิดเปน รอ ยละ 84.17 รองลงมาคือ ชดุ ท่ี 2 แบบฝกทกั ษะ
อลั กอริทึม(Algorithm) ชดุ ที่ 3 แบบฝก ทกั ษะการแสดงอลั กอรทิ มึ ดว ยขอ ความ ชดุ ท่ี 4 แบบฝกทกั ษะการ

21

แสดงอลั กอรทิ ึมดว ยรหสั จําลองหรอื ซูโดโคด และทีท่ ําคะแนนไดน อยที่สุดคอื ชดุ ท่ี 5 แบบฝก ทักษะการแสดง
อลั กอริทมึ ดวยผงั งาน (flowchart)

2. ขอมลู เปรยี บเทยี บคะแนนผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นกอนและหลังโดยใชแ บบฝกทกั ษะ เรอื่ ง ข้ันตอน
วธิ กี ารแกปญหา(Algorithm) ของนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปท ่ี 2

ตารางที่ 2 แสดงการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นกอนและหลังโดยใชแบบฝกทกั ษะ
เรอื่ ง ข้นั ตอนวิธีการแกป ญหา (Algorithm) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปท ่ี 2

นกั เรียน คแนนกอนเรยี น คะแนนหลังเรียน
24 คน 10 คะแนน 10 คะแนน
รวม 132
เฉล่ยี 5.50 180
S.D. 1.14
รอ ยละ 55.50 7.50

0.88

75.50

จากตารางท่ี 2 คะแนนจากการทําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกอนเรียน

และหลังเรียนโดยใชแบบฝกทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา(Algorithm) จํานวน 10 ขอ

พบวาหลังการเรียนโดยใชแบบแบบฝก ทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm) นักเรียนมีคาเฉลี่ย

และรอยละของคะแนนสูงขึ้นกวากอนเรียนโดยมีคาเฉล่ียของคะแนนหลังเรยี น 7.50 ( ̅=7.50) รอยละของ

คะแนนหลังเรียน 75.50 และคาเฉลี่ยของคะแนนกอนเรียน 5.50 ( ̅= 5.50) รอยละของคะแนนกอนเรียน

55.50 แสดงวาการเรยี นโดยใชแ บบฝกทกั ษะ เรอื่ งข้ันตอนวิธกี ารแกป ญหา(Algorithm) ชว ยพฒั นาทักษะการ

คดิ เชงิ 9 ตรรกะของนกั เรียน ซ่งึ เปนไปตามสมมตุ ฐิ านทต่ี ัง้ ไว

3. คะแนนทเี ฉล่ยี (Average T score) ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวิชาวทิ ยาการคาํ นวณ กอนและหลังท่ี

ไดรบั การจัดการเรียนการสอนโดยใชแ บบฝกทกั ษะ

ตารางที่ 3 คะแนนทเี ฉล่ยี (Average T score) ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวชิ าวทิ ยาการคํานวณ

จาํ นวนนักเรียน 24

คาเฉลย่ี pre-test 5.50 55.50 post-test 7.50 75.50
1.14 0.88
SD (STDEV)
6.50 9
คา Mean (ทั้งชดุ ) 7 6
3
MAX

MIN

22

จากตารางท่ี 3 คา เฉล่ียผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นกลมุ สาระการเรยี นรูวิทยาศาสตร (วทิ ยาการคาํ นวณ)
ชั้นประถมศึกษาปท ี่ 2 ปการศึกษา 2563 มคี ะแนนทเี ฉลี่ย* (Average T score) ของผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น
กอนเรยี น = 5.50 คะแนนทเี ฉลีย่ * (Average T score) ของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หลงั เรียน = 75.50
มคี ะแนนทีเฉลยี่ เพม่ื ขึน้ 13.99 คิดเปน รอ ยละ 32.54

23

บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายผลและขอเสนอแนะ

ความมงุ หมายของการวจิ ัย
เพื่อพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าวิทยาการคาํ นวณ สาํ หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปท่ี 2

โดยใชส อ่ื แบบฝก ทักษะ มีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนทส่ี งู ขนึ้

ประชากร
ประชากร คือนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปที่ 2 โรงเรยี นโรงเรยี นอนบุ าลคเู มือง ภาคเรียนท่ี 1

ปก ารศกึ ษา 2563 จาํ นวน 24 คน

เคร่อื งมอื ทใี่ ชใ นการวิจยั
เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ นการวจิ ยั ในคร้งั นี้ ประกอบดว ย
1. แบบฝกทักษะเร่อื ง ขัน้ ตอนวธิ ีการแกป ญหา (Algorithm) กลุมสาระการเรียนรวู ิทยาศาสตร

และเทคโนโลยี วชิ าวทิ ยาการคาํ นวณ ช้นั ประถมศกึ ษาปท ่ี 2
2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนกอนเรยี น - หลังเรียนวิชาวทิ ยาการคํานวณ เร่ือง ข้ันตอน

วิธกี ารแกป ญ หา ชั้นประถมศึกษาปท ี่ 2 ซ่ึงเปนแบบทดสอบปรนัย 4 ตวั เลอื ก จาํ นวน 10 ขอ

สรปุ ผลการวิจยั
ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนกลมุ สาระการเรียนรูวทิ ยาศาสตร (วทิ ยาการคํานวณ) ชน้ั ประถมศกึ ษาปที่ 2

ปการศึกษา 2563 มคี ะแนนทีเฉลย่ี * (Average T score) ของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนกอ นเรยี น 43.00
คะแนนทเี ฉลีย่ * (Average T score) ของผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หลงั เรียน 57.00 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
หลงั สงู กวากอ นเรยี น โดยมคี ะแนนทเี ฉลี่ยเพมื่ ขน้ึ 13.99 คดิ เปนรอ ยละ 32.54

และในการศกึ ษาวจิ ัยครั้งนีย้ ังพบอกี วา นักเรียนในระดบั ชั้นประถมศึกษาปท่ี 2 กลมุ น้ี มคี วามสามารถ
ในการทําแบบฝก ทักษะชดุ ท่ี 1 แบบฝกทกั ษะเหตุผลเชิงตรรกะ มากทส่ี ุด รองลงมาคอื ชดุ ท่ี 2 แบบฝก ทกั ษะ
อัลกอริทึม(Algorithm) ชุดที่ 3 แบบฝกทกั ษะการแสดงอลั กอริทมึ ดวยขอ ความ ชุดท่ี 4 แบบฝก ทกั ษะการ
แสดงอลั กอริทมึ ดวยรหสั จําลองหรอื ซโู ดโคด และท่ที ําคะแนนไดนอ ยทสี่ ดุ คอื ชุดท่ี 5 แบบฝกทกั ษะการแสดง
อัลกอริทมึ ดว ยผังงาน (flowchart) ถึงแมวา นักเรยี นจะทาํ คะแนนไดสูงขึ้นก็จริง แตควรมกี ารพัฒนาในสว น
ของการทาํ แบบฝกชดุ อนื่ ๆใหดีย่ิงข้ึน เพราะเปน การพัฒนาทกั ษะการคดิ ทสี่ ามารถนําไปประยกุ ตใชใ นการ
แกป ญหาในชวี ติ ประจาํ วันได

24

อภปิ รายผลการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มีความมุง หมาย เพื่อพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวิชาวิทยาการคํานวณของนักเรียน

ชัน้ ประถมศกึ ษาปท ่ี 2 ท่ีไดรับการจัดการเรียนการสอนโดยใชแ บบฝก ทกั ษะ จะเห็นไดวา นกั เรียนมีคาเฉลย่ี ของ
คะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นสงู กวากอ นเรยี น ซึง่ เปน ไปตามสมมุติฐานท่ตี ัง้ ไว

ขอเสนอแนะ
1. ขอ เสนอแนะทัว่ ไป
1.1 ควรสนับสนุนใหมีการนําแบบฝกทักษะเกี่ยวกับขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm)

มาใชกับการเรยี นการสอนมากยงิ่ ขึน้
1.2 ควรจดั ใหม ีการฝก อบรมวชิ าวทิ ยาศาสตร (วทิ ยาการคาํ นวณ) ใหแ กครผู สู อนระดับชน้ั อ่นื เพอื่

ครูจะไดพฒั นากระบวนการเรียนการสอนอนั สงผลถึงความเจริญทางการศึกษาตอ ไปในอนาคต
2. ขอเสนอแนะในการวจิ ัยครงั้ ตอไป
2.1 ควรมีการสรางแบบฝกทักษะ มาใชกับเนื้อหาสาระการเรยี นวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยีใน

ชั้นอื่น ๆ ตอไป
2.2 ควรสงเสริมใหมีการศึกษาวิจัยพัฒนาการนําแนวคิดคํานวณไปชวยสอนในกลุมสาระการ

เรียนรูอน่ื ๆ เพิ่มมากยงิ่ ขน้ึ
2.3 การพัฒนาแบบทักษะขัน้ ตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm) ควรเลือกเนื้อหาท่ีเหมาะสมกบั

วยั ของเดก็ นกั เรียนและเปนเรอื่ งไมย ากเกนิ ไป

25

บรรณานุกรม

ถวลั ย มาศจรัส และคณะ. (2550). แบบฝกหดั แบบฝกทกั ษะเพื่อพฒั นาการเรยี นรูผเู รยี นและการจัดทาํ
ผลงานวิชาการของขา ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา. พมิ พครงั้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ :
ธารอักษร.

บุญชม ศรีสะอาด. (2543). การวิจยั เบ้ืองตน . พมิ พคร้งั ท่ี 6. กรุงเทพฯ : สวุ ิริยาสาสน .
พวงรัตน ทวีรตั น. (2543). วธิ กี ารวิจยั ทางพฤติกรรมศาสตรแ ละสงั คมศาสตร. พิมพครง้ั ท่ี 8.

กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลัย.
พมิ ลรัตน ธนรัตพิมลกุล. (2546). ความพงึ พอใจในการปฏบิ ตั ิงานของครูแนะแนวในโรงเรยี นขยาย

โอกาสทางการศกึ ษาสงั กัดสาํ นกั งานการประถมศกึ ษา จังหวดั เชียงใหม. วทิ ยานพิ นธ
ปริญญามหาบัณฑติ , เชียงใหม : มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ:
โรงพมิ พช มุ นุมสหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทย.
กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2560). ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนรูแ กนกลาง กลุมสาระการเรียนรวู ทิ ยาศาสตร
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรปกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551.
พิมพครง้ั ท่ี 1. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพช มุ นุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย

26

ภาคผนวก

- ภาคผนวก ก การวเิ คราะหขอ มูลผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
กอ นเรยี นและหลงั เรยี นวชิ าวทิ ยาการคาํ นวณ ระดบั ชนั้
ประถมศึกษาปท่ี 2 ปการศกึ ษา 2563

- ภาคผนวก ข ผลคะแนนนกั เรียนจากการทาํ แบบฝกทักษะ
เรือ่ งข้นั ตอนวธิ ีการแกป ญ หา

- ภาคผนวก ค เคร่ืองมือวิจยั

27

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก ก

การวเิ คราะหข อมลู ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น กอนเรียน
และหลงั เรยี น วิชาวทิ ยาการคํานวณ

ระดับช้นั ประถมศกึ ษาปท ี่ 2 ปการศกึ ษา 2563

28

การวิเคราะหขอ มูลผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน กอ นเรยี นและหลังเรียน

วชิ าวิทยาการคํานวณ ระดับช้ันประถมศึกษาปท ี่ 2 ปการศึกษา 2563

คะแนนกอน คะแนน

เลขที่ ช่อื - สกลุ เรยี น Z -Score T - Score หลงั เรยี น Z -Score T - Score

10 10 0.35 53.50
-0.35 46.50
1 ด.ช.นพรตั น รงั ษีรมั ย 3 -2.45 25.51 7 1.05 60.50
2 ด.ช.ชัชวาลย สังทอง 1.05 60.50
3 ด.ช.วชิ ชากร แตมตอ 3 -2.45 25.51 6 0.35 53.50
4 ด.ช.ธนกฤติ สุวรรณา 1.05 60.50
5 ด.ช.สภุ กจิ ปะลติ ะวา 6 -0.35 46.50 8 1.75 67.49
6 ด.ช.ยศกร พานิช 0.35 53.50
7 ด.ช.วรัญชิต วรโพด 5 -1.05 39.50 8 1.05 60.50
8 ด.ช.นรากร พูนศิลป 0.35 53.50
9 ด.ช.ธรี เดช แพทอง 6 -0.35 46.50 7 -0.35 46.50
10 ด.ช.วิชาญ แซเ ตง็ 1.75 67.49
11 ด.ญ.จริ าภา สขุ แมน 6 -0.35 46.50 8 0.35 53.50
12 ด.ญ.ทอฝน นะรยั รมั ย 1.05 60.50
13 ด.ญ.กรี ตา พรอยศู รี 7 0.35 53.50 9 1.05 60.50
14 ด.ญ.พิรยิ ากร พรมบตุ ร 0.35 53.50
15 ด.ญ.พรรษา เตน็ รัมย 6 -0.35 46.50 7 0.35 53.50
1.05 60.50
16 ด.ญ.จันทรกานต เขียวขำ 7 0.35 53.50 8 0.35 53.50
1.05 60.50
17 ด.ญ.กมลรัตน เจริญไธสง 5 -1.05 39.50 7 1.75 67.49
0.35 53.50
18 ด.ญ.พมิ พญ าดา ชะรมั ย 4 -1.75 32.51 6 1.05 60.50
19 ด.ญ.พรพรรษา อนิ สุข -0.35 46.50
7 0.35 53.50 9
20 ด.ญ.จอมขวญั จรี ะวฒั นสุข
6 -0.35 46.50 7
21 ด.ญ.จริ าภา โพธริ ัตน
22 ด.ญ.วรกมล ปก โคทานงั 6 -0.35 46.50 8
23 ด.ญ.ภัทรนันท ละมา ย
24 ด.ญ.อแมนดา การาหซ ดั 6 -0.35 46.50 8

5 -1.05 39.50 7

6 -0.35 46.50 7

6 -0.35 46.50 8

5 -1.05 39.50 7

5 -1.05 39.50 8

7 0.35 53.50 9

5 -1.05 39.50 7

6 -0.35 46.50 8

4 -1.75 32.51 6

สรุป 29

คะแนนรวมทง้ั หมด 312.00
6.50
คา เฉล่ยี ของคะแนนทง้ั หมด หรอื  1.43
สวนเบยี่ งเบนมาตรฐาน หรอื S.D.
43.00
สรุป 57.00
13.99
T score กอ น เฉลี่ย 32.54
T score หลงั เฉล่ยี
ผลตา ง
เพ่ิมขึน้ คดิ เปนรอ ยละ

30

ภาคผภาคผนวก ขนวก ข

ผลคะแนนนักเรียนจากการทําแบบฝกทกั ษะ
เร่ืองขัน้ ตอนวธิ ีการแกป ญหา

31

ผลคะแนนนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปท ี่ 2 จากการทาํ แบบฝก ทกั ษะ เรอ่ื งขนั้ ตอนวธิ ีการแกป ญ หา

เลขท่ี ลาํ ดบั ที่ ชุดที่ 1 ชดุ ที่ 2 คะแนนระหวา งเรยี น ชดุ ที่ 5 รวม
คะแนน 5 คะแนน 5 ชุดท่ี 3 ชดุ ท่ี 4 คะแนน 5 คะแนน 25
1 ด.ช.นพรตั น รงั ษรี มั ย คะแนน 5 คะแนน 5
2 ด.ช.ชชั วาลย สงั ทอง 3 3 3 15
3 ด.ช.วิชชากร แตมตอ 3 3 33 3 15
4 ด.ช.ธนกฤติ สุวรรณา 5 4 33 4 21
5 ด.ช.สภุ กจิ ปะลิตะวา 4 4 44 4 20
6 ด.ช.ยศกร พานชิ 3 3 44 3 15
7 ด.ช.วรัญชิต วรโพด 4 4 33 4 20
8 ด.ช.นรากร พูนศลิ ป 5 5 44 4 24
9 ด.ช.ธีรเดช แพทอง 4 4 55 4 20
10 ด.ช.วิชาญ แซเ ต็ง 5 5 44 4 22
11 ด.ญ.จริ าภา สขุ แมน 4 4 44 4 20
12 ด.ญ.ทอฝน นะรัยรมั ย 3 3 44 3 15
13 ด.ญ.กรี ตา พรอยศู รี 5 5 33 5 25
14 ด.ญ.พริ ยิ ากร พรมบุตร 4 4 55 4 20
15 ด.ญ.พรรษา เต็นรมั ย 5 4 44 4 21
16 ด.ญ.จันทรกานต เขียวขำ 4 4 44 4 20
17 ด.ญ.กมลรัตน เจริญไธสง 4 4 44 4 20
18 ด.ญ.พมิ พญ าดา ชะรัมย 4 4 44 4 20
19 ด.ญ.พรพรรษา อนิ สขุ 5 5 44 4 23
20 ด.ญ.จอมขวัญ จีระวฒั นสขุ 4 4 54 4 20
21 ด.ญ.จริ าภา โพธิรตั น 5 5 44 4 23
22 ด.ญ.วรกมล ปก โคทานงั 5 5 54 4 24
23 ด.ญ.ภัทรนันท ละมาย 4 4 55 4 20
24 ด.ญ.อแมนดา การาหซ ดั 5 4 44 4 21
4 4 44 4 20
รวม 101 98 44 93 484
เฉลี่ย 4.21 4.08 97 95 3.88 20.17
รอ ยละ 84.17 81.67 4.04 3.96 77.50 80.67
80.83 79.17

32

ภาคผนวก ค

เครือ่ งมือวิจยั

33

แบบฝกทักษะเร่ือง ขน้ั ตอนวธิ กี ารแกปญหา
(Algorithm)

กลมุ สาระการเรยี นรวู ิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
วิชาวทิ ยาการคํานวณ ชั้นประถมศกึ ษาปท ี่ 2

ชื่อ........................................นามสกลุ ..............................
ช้ัน........................ เลขที่ .....................

โรงเรียนอนบุ าลคูเมอื ง
สังกดั สาํ นกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาบุรรี มั ย เขต 4

34

แบบฝก ทักษะเร่อื ง ขั้นตอนวธิ ีการแกปญหา (Algorithm) ก

คาํ นาํ

แบบฝกทกั ษะเรือ่ ง ขนั้ ตอนวิธีการแกปญ หา จดั ทําขึ้นสาํ หรับนกั เรียนช้ันประถมศึกษา
ปที่ 2 มีจุดมุงหมายเพื่อพัฒนาผูเรยี นใหมีความรูความเขา ใจเรื่องข้ันตอนวธิ ีการแกปญหา และ
เปนการเพิม่ พนู ทักษะกระบวนการตาง ๆ ในการเรียนเรอ่ื งการแกป ญหา สงเสรมิ ใหผ เู รียนมีเจต
คตทิ ด่ี ตี อ การเรียนเกย่ี วกบั การการปญหาในชีวิตประจาํ วันและกจิ กรรมการเรียนรูโดยใชแบบฝก
ทักษะเร่อื ง ขัน้ ตอนวธิ ีการแกปญ หา

หวงั เปนอยายิง่ วาจะเปนประโยชนต อการเรยี นการสอนขั้นตอนวิธกี ารแกป ญหาซง่ึ จะ
ชวยยกระดบั คณุ ภาพผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนประถมศึกษาปท ่ี 2 ใหมี
ประสทิ ธิภาพดียิ่งขน้ึ

นติ ิลกั ษณ เกลยี ววงศ

35

แบบฝกทักษะเร่ือง ข้ันตอนวธิ ีการแกปญ หา (Algorithm) ข

สารบญั หนา

คํานํา ก
สารบญั ข
คําชแี้ จง ค
1
แบบทดสอบกอ นเรียน 4
แบบฝกทักษะเหตผุ ลเชิงตรรกะ 6
แบบฝกทกั ษะอัลกอริทมึ (Algorithm) 7
แบบฝกทักษะการแสดงอัลกอรทิ มึ ดว ยขอความ 12
แบบฝกทกั ษะการแสดงอลั กอริทมึ ดว ยรหัสจาํ ลองหรอื ซโู ดโคด 15
แบบฝกทักษะการแสดงอลั กอริทมึ ดว ยผังงาน(flowchart) 24
แบบทดสอบหลังเรยี น 27
เฉลยแบบทดสอบกอนเรยี น-หลงั เรยี น

36

แบบฝก ทักษะเรอื่ ง ข้ันตอนวิธกี ารแกปญหา (Algorithm) ค

คําชแ้ี จง

1. แบบฝก ทักษะเรอื่ ง ขัน้ ตอนวิธกี ารแกป ญ หา (Algorithm) จัดทาํ ขน้ึ สาํ หรบั
นกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปท่ี 2 มจี ุดมงุ หมายเพือ่ พฒั นาผเู รยี นใหมคี วามรคู วามเขาใจ
เรอ่ื งขนั้ ตอนวิธีการแกป ญ หา และเปนการเพม่ิ พูนทกั ษะกระบ วนการตาง ๆ
ในการเรียน

2. แบบแบบฝก ทักษะนี้ ประกอบไปดว ย 5 ชดุ แบบฝก ดงั นี้
แบบฝก ทักษะเหตผุ ลเชิงตรรกะ
แบบฝก ทักษะอลั กอรทิ มึ (Algorithm)
แบบฝก ทกั ษะการแสดงอลั กอริทึมดวยขอความ
แบบฝก ทกั ษะการแสดงอลั กอรทิ มึ ดว ยรหสั จําลองหรอื ซูโดโคด
แบบฝก ทกั ษะการแสดงอลั กอริทมึ ดว ยผังงาน(flowchart)

3. ใหน ักเรียนทาํ แบบทดสอบกอนเรียน จํานวน 10 ขอ กอนจะทาํ แบบฝกทักษะ
ตามลาํ ดับ

4. เมื่อทาํ แบบฝก ครบทุกแบบฝกแลว ใหท าํ แบบทดสอบหลงั เรยี นจํานวน 10 ขอ
5. เฉลยคาํ ตอบ ใหตรวจคาํ ตอบทีค่ รผู ูส อน

แบบฝกทกั ษะเรื่อง ข้นั ตอนวิธกี ารแกป ญหา (Algorithm) 37

แบบทดสอบกอนเรยี น 1

ขัน้ ตอนวธิ ีการแกป ญหา (Algorithm)

คาํ ช้แี จง 1. ขอ สอบมีทง้ั หมด 10 ขอ 10 คะแนน คะแนนทีไ่ ด
2. ใหนักเรียนเลอื กคาํ ตอบทถ่ี ูกทส่ี ดุ เพยี งคาํ ตอบเดียว คะแนนเต็ม
10

1. บุคคลใดที่ไมใชเหตุผลเชงิ ตรรกะในการแกปญหา

ก. ฟา ใสเห็นทอ งฟา มืดคร้มึ จงึ ยังไมอ อกไปเลน นอกบาน

ข. ใบหมอนไมอยากฟนผจุ ึงแปรงฟน ทกุ คร้งั หลังรับประทานอาหาร

ค. สดุ ใจรองไหง อแงเพอ่ื จะใหคุณแมซ ้ือของเลนให

ง. ใยไหมตอ งการขามถนน จงึ เดินไปขึน้ สะพานลอย

2. พิจารณาภาพ

A B
A และ B ควรเปน รปู ใดตามลาํ ดบั

ก. และ ข. และ

ค. และ ง. และ

3. ขอใดมรี ปู แบบการจดั เรยี งรูปภาพเชน เดยี วกบั ท่ีกําหนดให

ก.
ข.
ค.
ง.

38

แบบฝกทกั ษะเร่ือง ข้ันตอนวิธีการแกปญ หา (Algorithm) 2

4.

543

72 ?3 74

สัญลกั ษณ ? คอื เลขอะไร
ก. 8 ข. 7
ค. 6 ง. 5
5. พจิ ารณาตวั เลขท่ีกําหนด 1 , 3 , 7 , 13 , 21 , 31 , …..
จํานวนตอไปควรเปน ขอใด
ก. 36 ข. 40
ค. 43 ง. 52
6. การแกปญหาแบบใดใชห ลักการเดียวกันกบั กระบวนการอลั กอรทิ มึ มากท่ีสดุ
ก. การบวกลบเลข
ข. การวาดภาพแรเงา
ค. การทอ งบทสวดมนต
ง. การทําโครงงานวิทยาศาสตร
7. “ตน ขา วมกั จะงวงนอนเวลาเรียนหนังสือ ตน ขา วจึงเรม่ิ หาสาเหตุของความความงวงนอน” ขอ
ใดนา จะเปนสาเหตขุ องปญหาน้ี
ก. ตน ขา วรับประทานอาหารไมตรงเวลา
ข. ตน ขา วชอบรับประทานขนมหวาน
ค. ตน ขาวชอบเลน เกมคอมพวิ เตอรตอนกลางคืน
ง. ตน ขา วมีสตปิ ญญาต่ํากวา เพ่อื นๆ
8. จากขอ 7 ตนขาวกําลงั อยูใ นขนั้ ตอนใดของอลั กอลิทึม
ก. เลือกวธิ ีการแกปญหาที่ไดผ ลลพั ธท่ีดที ่สี ุด
ข. เรียงลําดบั ข้นั ตอนการแกป ญ หา
ค. คิดวิธีการแกป ญหาใหหลากหลาย
ง. ทําความเขาใจปญหา

แบบฝก ทกั ษะเรื่อง ขน้ั ตอนวิธีการแกป ญหา (Algorithm) 39

พจิ ารณาผงั งานตอ ไปน้ใี ชตอบคาถามขอ 9 – 10 3
เร่มิ ตน

ปอปน้อขนอ ขม้อลู มูล

ใช A ไมใ ช
CD

9. จากผังงาน สญั ลกั ษณ B
ก.
ควรใชสญั ลกั ษณผ ังงานในขอ ใด
ค. ข.
ง.
10. B ควรเปน ขอความใด
ก. แสดงผล ข. วนซํา้
ค. ส้ินสุด ง. ถกู ตอ ง

40

แบบฝก ทกั ษะเรอ่ื ง ขัน้ ตอนวธิ ีการแกป ญหา (Algorithm) 4

แบบฝก ทักษะ เหตผุ ลเชงิ ตรรกะ

1 ตอบคําถามตอ ไปนี้

1) เหตุผลเชิงตรรกะ (Logical reasoning) คือ

……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………

2 พิจารณาภาพท่ีกาํ หนด แลวเติมภาพที่หายไปใหถูกตอง

1)

2)

3)

4)

5)

41

แบบฝกทกั ษะเรอ่ื ง ข้ันตอนวิธกี ารแกป ญหา (Algorithm) 5

แบบฝกทักษะ เหตุผลเชิงตรรกะ

6) X X
X X O X XO X X O
O O O O XO

7) 5 6
2 24
4
22

8) 43
3 74
5

72

9)

10)

แบบฝกทกั ษะเรือ่ ง ขั้นตอนวิธีการแกปญ หา (Algorithm) 42

6

แบบฝกทักษะ อัลกอริทมึ (Algorithm)

1 ตอบคาํ ถามตอไปน้ี

1) อัลกอริทมึ (Algorithm) คือ

……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………

อลั กอริทึม(Algorithm) มีข้ันตอน ดังน้ี

? ....................................................................................................

....................................................................................................

....................................................................................................

....................................................................................................

....................................................................................................

....................................................................................................

2) การแสดงอัลกอริทมึ ดว ยขอความ(Nutural Language) คือ
………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………

3) กการแสดงอัลกอริทมึ ดว ยรหัสจาํ ลองหรอื ซูโดโคด (Pseudocode)
คือ

………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………….........................................................
4) การแสดงอลั กอริทึมดว ยผังงานหรือโฟลวชารต(Flowchart) คือ
…………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………..

43

แบบฝก ทักษะเร่อื ง ขน้ั ตอนวธิ ีการแกป ญหา (Algorithm) 7

แบบฝกทกั ษะ
การแสดงอัลกอรทิ มึ ดว ยขอความ

คาํ ชีแ้ จง : ใหน กั เรียนเขียนอลั กอรทิ ึมขน้ั ตอนการตมไขด ว ยขอ ความ

1) ....................................................................... 2) .......................................................................

....................................................................... .......................................................................
.................................................. .................................................

3) ....................................................................... 4) .......................................................................

....................................................................... .......................................................................
.................................................. ..................................................

5) .......................................................................
.......................................................................

แบบฝกทกั ษะเรื่อง ขน้ั ตอนวธิ กี ารแกปญหา (Algorithm) 44

แบบฝกทักษะ 8
การแสดงอลั กอริทมึ ดว ยขอ ความ

คาํ ชแ้ี จง : ใหนักเรียนอา นสถานการณท ่ีกาํ หนดใหและเรยี งลําดับอัลกอรทิ ึม
ใหถ กู ตอง

สถานการณ 1 : โจตองการปด เครอ่ื งคอมพวิ เตอรหลงั จากเลกิ ใชง านแลว
เพื่อน ๆ ชวยโจปด เคร่อื งคอมพิวเตอรหนอ ยครับ

ลาํ ดบั ขน้ั ตอนการทาํ งาน
กดสวิตชเปด จอภาพ
ออกจากโปรแกรมทุกโปรแกรมกอ น
ใชเ มาสคลกิ เลอื กท่ปี มุ start
กดสวิตชสําหรับเปด เคร่อื งคอมพวิ เตอรก ดปมุ Power
เลอื กคําสัง่ Shut Down
จะปรากฏกรอบ Dialog Box ที่ชอ่ื วา Shut Down ข้นึ มาเลอื กคาํ ส่ัง
Shutdown
กดสวติ ชป ดจอภาพ

สถานการณ 2 : แตงกวาตอ งการคนหาขอ มลู ในอนิ เทอรเ น็ต เพื่อน ๆ ชวยบอกหนอ ย
ไดไ หมคะวา มขี ัน้ ตอนอยางไรบาง

ลําดับ ขน้ั ตอนการทํางาน
พมิ พข อมูลที่ตองการคนหา
กดปุม Enter ทคี่ ียบ อรด
พมิ พ Error! Hyperlink reference not valid.ชอง Address
เปด Web Browser
นําเมาสไ ปคลิกที่ปุมคนหาดวย Google

45

แบบฝกทักษะเรอื่ ง ขั้นตอนวธิ ีการแกป ญ หา (Algorithm) 9

แบบฝกทกั ษะ
การแสดงอลั กอรทิ ึมดวยขอ ความ

คาํ ชี้แจง : จากสถานการณล านจอดรถแหงหนึ่ง รถยนต A ตองขบั รถออกจาก
ลานจอดรถ (Exit) โดยรถแตล ะคันไมส มารถเล้ยี วได ทาํ ไดเ พยี งเดินหนาและถอยหลงั เทานน้ั
ใหน ักเรียนเขยี นอลั กอริทมึ ในการแกปญหาแบบขอ ความ

สถานการณ 1

B
A

X

Z

Y

ขัน้ ตอนวิธีการเลอื่ นรถ
................................................................................................................................
................................................................................................................................
................................................................................................................................
................................................................................................................................

BB B

46

แบบฝกทักษะเร่ือง ขนั้ ตอนวิธีการแกปญ หา (Algorithm) 10

แบบฝกทักษะ
การแสดงอลั กอรทิ มึ ดว ยขอ ความ

คาํ ช้แี จง : จากสถานการณลานจอดรถแหง หนง่ึ รถยนต A ตอ งขบั รถออกจากลานจอด
รถ(Exit) โดยรถแตล ะคันไมส มารถเลย้ี วได ทาํ ไดเพียงเดนิ หนาและถอยหลังเทา นนั้ ให
นกั เรยี นเขยี น
อลั กอริทมึ ในการแกป ญ หาแบบขอความ

สถานการณ 2

B
YZ

A

C
B

ขั้นตอนวิธีการเลอ่ื นรถ
................................................................................................................................
................................................................................................................................
................................................................................................................................
................................................................................................................................

BB B


Click to View FlipBook Version