ก
รายงานการวจิ ัยในชั้นเรียน
เรอ่ื ง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นช้ันประถมศึกษาปท ี่ 2
วิชา วิทยาการคํานวณ เรอ่ื งข้นั ตอนวิธีการแกปญ หา (Algorithm)
โดยใชแ บบฝกทกั ษะ
ผูวิจัย
นายนติ ลิ ักษณ เกลียววงศ
ตําแหนง ครู
โรงเรียนอนบุ าลคูเมอื ง
สังกัดสํานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาบุรรี ัมย เขต 4
สํานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน
กระทรวงศึกษาธกิ าร
ก
ช่ือเร่อื ง การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที่ 2 วชิ า วิทยาการคํานวณ
เร่ืองขั้นตอนวิธีการแกปญ หา โดยใชแบบฝกทกั ษะ
ผวู ิจัย นายนติ ลิ ักษณ เกลียววงศ
สงั กัด โรงเรียนอนบุ าลคเู มอื ง สํานักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาบรุ รี มั ย เขต 4
ปก ารศกึ ษา 2563
บทคดั ยอ
การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงคเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาการคํานวณ สําหรับ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 2 รายวิชา วิทยาการคํานวณ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm)
โดยใชแบบฝกทักษะ มผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นที่สงู ขน้ึ
กลมุ ประชากรที่ใชใ นการวจิ ัยเปน นักเรียนช้ันประถมศึกษาปท ี่ 2 โรงเรยี นอนบุ าลคูเมือง จังหวัด
บรุ ีรัมย สงั กัดสาํ นักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย เขต 4 จํานวน 24 คน การเก็บรวบรวม
ขอ มูลใชเ วลา 6 ชว่ั โมง ในภาคการศกึ ษาท่ี 1 ปการศกึ ษา 2563 เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ นการวจิ ยั ประกอบดวย ชุด
แบบฝกทักษะ ขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง
ขัน้ ตอนวิธกี าแกป ญหา (Algorithm) แบบฝก ทกั ษะ ข้ันตอนวธิ กี ารแกป ญ หา (Algorithm) สถติ ท่ีใชในการ
วเิ คราะหข อ มูล ไดแก คา เฉลย่ี เลขคณติ สวนเบย่ี งเบนมาตรฐาน การทดสอบคาทีเฉลี่ย (Average T Score)
ผลการวจิ ัยพบวา
นกั เรียนมีคะแนนจากการทําแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นกอนเรียนและหลังเรียนโดย
ใชแบบฝกทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm) มีคาเฉลี่ยและรอยละของคะแนนสูงขึ้นกวา
กอนเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางเรียนวิชาวิทยาการคํานวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 ไดรับการ
จัดการเรียนการสอนโดยใชแบบฝก ทกั ษะ เร่อื ง ขั้นตอนวธิ ีแกปญหา (Algorithm) หลงั จากเรยี นดว ยการใช
แบบฝกทกั ษะแลว นักเรยี นมีคาเฉล่ยี ของคะแนนผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นสูงกวากอนเรียน โดยมคี ะแนน
ทีเฉล่ีย* (Average T score) ของผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนกอนเรียน 43.00 คะแนนทีเฉลี่ย* (Average T
score) ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น หลังเรยี น 57.00 ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นหลังสูงกวา กอ นเรียน โดย
มีคะแนนทีเฉลย่ี เพืม่ ขึ้น 13.99 คดิ เปนรอ ยละ 32.54
ข
กิตติกรรมประกาศ
รายงานการวจิ ยั เร่ือง “การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนช้นั ประถมศึกษาปท่ี 2 วิชา วทิ ยาการ
คํานวณ เรือ่ งขนั้ ตอนวธิ กี ารแกป ญหา โดยใชแ บบฝก ทักษะ” น้สี าํ เรจ็ สมบรู ณไดด ว ยความอนุเคราะห และ
เอาใจใสอ ยา งดียิง่ จาก นางชูศรี นนั ตา ผูอ ํานวยการโรงเรยี นอนบุ าลคเู มอื ง ในการสนบั สนุน ใหคําปรกึ ษา
ท่ีเปน ประโยชน พรอ มทงั้ คาํ แนะนาํ แนวทางในการวจิ ัย ตลอดจนใหขอ เสนอแนะทางวิชาการอันทรงคุณคา
เพอ่ื ใหง านวิจยั มีความสมบรู ณ
ผวู ิจัยขอขอบคณุ นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที่ 2 ปก ารศกึ ษา 2563 ท่ีใหค วามรวมมอื ในการเก็บ
รวบรวมขอมลู ในการวจิ ยั ทําใหงานวิจัยมีความสมบรู ณย งิ่ ขน้ึ
คุณคา และประโยชนใด ๆ อันจะเกดิ จากงานวจิ ัยคร้งั นี้ ผวู จิ ัยขอมอบเปนเครือ่ งบชู าพระคณุ ของ
บิดา มารดา ครู อาจารยท กุ ทา น ทปี่ ระสิทธปิ ระสาทวิชาแกผ วู จิ ัย
ค
สารบญั
รายการ หนา
บทคัดยอ ก
กติ ติกรรมประกาศ ข
สารบัญ ค
บทท่ี 1 บทนาํ 1
1
ความสําคญั และความเปนมาของปญ หา 2
ความมุงหมายของการวจิ ยั 3
กรอบแนวคดิ และสมมตุ ฐิ าน 5
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วขอ ง 6
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน 7
แบบฝก ทกั ษะ 13
ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน 14
งานวจิ ัยท่ีเกย่ี วของ 18
บทที่ 3 วิธีดาํ เนนิ การวจิ ยั 18
ประชากรและกลมุ ตัวอยา ง 18
เครื่องมือท่ใี ชใ นการวจิ ัย 19
สถติ ทิ ใี่ ชในการวเิ คราะหขอมลู 20
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหขอมลู 20
ผลการวเิ คราะหขอ มูล 23
บทที่ 5 สรปุ ผล การอภปิ ราย และขอ เสนอแนะ 23
สรปุ ผลการวิจัย 24
การอภปิ รายผล 24
ขอเสนอแนะ 25
บรรณานุกรม 26
ภาคผนวก 27
ภาคผนวก ก การวเิ คราะหขอมลู ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นกอนเรียนและหลงั เรยี น 32
ภาคผนวก ข ผลคะแนนนกั เรยี นจากการทาํ แบบฝก ทกั ษะ เรือ่ ง ข้ันตอนวธิ กี ารแกป ญ หา 38
ภาคผนวก ค เครือ่ งมอื วิจยั
1
บทท่ี 1
บทนํา
ความสําคญั และความเปนมาของปญหา
การศึกษานับเปนรากฐานที่สาํ คัญที่สุดประการหน่ึงสําหรับการสรางสรรคค วามเจรญิ กาวหนา และ
การแกไขปญหาในการพัฒนาประเทศดานตาง ๆ เพราะวาการศกึ ษามุง ชว ยใหบคุ คลเกดิ ความเจริญงอกงามทั้ง
ทางดานรางกาย อารมณ และสติปญญา สามารถปรับตนใหเขากับสภาพแวดลอมไดอยางเหมาะสม และ
สามารถดาํ รงชวี ิตอยูในสังคมไดอยางมคี วามสขุ การศึกษายงั จะชว ยใหบ คุ คลน้นั เปน ผูท่ีรจู ักคดิ รจู กั ทาํ รูจกั การ
แกป ญหาตลอดจนรจู ักใชทรัพยากรวตั ถุทม่ี อี ยใู หเกิดประโยชนสูงสุดและส้นิ เปลืองนอยทส่ี ดุ การทปี่ ระเทศจะ
กาวหนา ไดจําเปน จะตอ งมีทรัพยากรบุคคลทีม่ ีความรู ความคดิ ความสามารถจํานวนมาก ดังนั้นการศึกษาจึง
เปนกระบวนการในการเสริมสรางบุคคลใหมีคุณลักษณะพึงประสงค ในพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ
พุทธศักราช 2542 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษามาตรา 22 การจัดการศึกษาตองยึดหลักวาผูเ รียนทุกคนมี
ความสามารถเรยี นรูและพัฒนาตนเองได และถือวาผูเรียนมีความสําคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาตอง
สงเสรมิ ใหผเู รยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเตม็ ตามศกั ยภาพการเรยี นการสอนในหองเรียนเปนวธิ กี ารท่ี
ใชกันมานาน มีเทคนิคการสอนมากมายที่เปนประโยชนแกผูเรียน ไมวาจะเปนการบรรยาย อภิปราย สาธิต
หรือวิธีการอื่น ๆ แตอยางไรกต็ าม การเรียนการสอนในหองเรียนทีม่ ผี ูเรียนจํานวนมากก็เปนการยากที่จะให
ผูเรียนทุกคนสามารถเรียนรูไ ดทันกัน พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พุทธศักราช 2542 ไดกําหนดแนว
ทางการจัดการศึกษาไววา “การจัดการศึกษาตองยึดหลักวาผูเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรูและพัฒนา
ตนเองไดและถือวาผูเรียนมีความสําคัญอยางที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาตองสงเสริมใหผูเรียนสามารถ
พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพโดยตองคํานึงถึงความแตกตางระหวางบุคคล” (สํานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาแหง ชาติ 2542 : 12-13)
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ปรับปรุง 2560) กลาววา กลุมสาระ
การเรยี นรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี เปน กลมุ สาระทเี่ นน การเช่อื มโยงความรูกบั กระบวนการ มที กั ษะสาํ คัญ
ในการคนควาและสรางองคความรู โดยใชกระบวนการในการสืบเสาะหาความรู และแกปญ หาทีห่ ลากหลาย
ใหผ ูเรียนมสี ว นรว มในการเรียนรทู กุ ขั้นตอนมกี ารทํากิจกรรมดว ยการลงมอื ปฏบิ ตั ิจริงอยางหลากหลาย เรียนรู
เกี่ยวกับ การคิดเชิงคํานวณ การคิดวิเคราะหแกปญหาเปนขั้นตอนและเปนระบบ ประยุกตใชความรูดาน
วิทยาการคอมพิวเตอรและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการแกปญหาที่พบในชีวิตจริงไดอยางมี
ประสิทธิภาพ
“แบบฝกทักษะ” เปนสื่อหรือนวตั กรรมทจี่ าํ เปนอยา งหนง่ึ ทจ่ี ะทาํ ใหก ารเรยี นการสอนบรรลผุ ลอกี ทง้ั
ยงั สามารถชวยในการฝกทกั ษะผูเรียนไดดซี ึง่ สลาย ปล่ังกลาง (2552: 31-32) กลาววา แบบฝกหดั หรอื แบบ
ฝกทกั ษะ หมายถงึ สอ่ื การเรียนการสอนที่ใชส าํ หรับใหผูเรยี นฝก ความชาํ นาญในทักษะตาง ๆ จนเกิดความคิด
รวบยอดในเรื่องที่ฝกและสามารถนําทักษะไปใชในการแกปญหาได ดังตัวอยางงานวิจัยของ
2
พรรณี ชูไทย (2546: 9) กลาวถึงหลักการพัฒนาแบบฝกทักษะวา ครูผูสรางตองคํานึงถึงระดับชั้นความรู
ความสามารถของผูเรียน ความแตกตางของผูเรียน เรียงเนื้อหาจากงายไปหายาก เนนการแกปญหา
มีคาํ ช้แี จงส้นั ๆ ใชเวลาเหมาะสม เนือ้ หา นา สนใจ มีหลากหลายทา ทายความสามารถจะเหน็ ไดวาการพัฒนา
แบบฝกทักษะที่เหมาะสมจะทําใหผูเรียนมีพัฒนาการเรียนรู ความชํานาญ ความสามารถในการแก
ปญ หา ทราบความสามารถในการเรียนและสามารถตรวจสอบความกาวหนาของตนเองได
ดว ยความสําคัญขางตน ผูรายงานในฐานะครูผูสอนในวิชาวิทยาการคาํ นวณ 4 ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาป
ที่ 2 เร่ืองขน้ั ตอนวิธกี ารแกปญหา (Algorithm) พบวา ผเู รียนยังขาดทักษะกระบวนคดิ ยังสับสนในข้ันตอนการ
แกป ญ หา อยา งเปน ระบบ ไมสามารถคัดเลอื กคุณลักษณะที่จาํ เปนตอ การแกป ญหา ขน้ั ตอนการแกป ญหา การ
เขยี นรหัสลําลองและผงั งานได จงึ มีความสนใจที่จะนาํ แบบฝกทกั ษะเรอ่ื งข้นั ตอนวธิ กี ารแกปญหา(Algorithm)
มาใชแกป ญ หา นกั เรยี นระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปที่ 2 เพื่อพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิวิชาวิทยาการคํานวณ เร่อื งขนั้ ตอน
วิธีการแกป ญหา(Algorithm) สงผลใหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้นเปนไปตามเจตนารมณของ
หลักสูตรและสามารถนาํ ความรูไ ปใชใ นการแกปญหาในชวี ิตประจําวันได
ความมงุ หมายของการวจิ ัย
1. เพื่อพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชา วิทยาการคํานวณ สําหรบั นักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที่ 2
โดยใชสอื่ แบบฝก ทกั ษะ มผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นทสี่ ูงขึ้น
ความสําคัญของการวิจยั
1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาการคํานวณ สําหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนตํ่า
สามารถพัฒนาตนเองโดยการเรยี นแบบใชแ บบฝกทกั ษะ
2. การเรียนดวยแบบฝกทักษะเปนสวนหนึ่ง ของการจัดการเรียนรูที่เนนนักเรียนเปนสําคญั จะทําให
นกั เรียนเกดิ ความสนใจใฝเ รียนรู ลดความแตกตา งของศกั ยภาพแตล ะบุคคลทําใหน ักเรยี นมีผลสมั ฤทธิ์ทางการ
เรยี นท่สี งู ขึน้
ขอบเขตของการวิจยั
1. ประชากร
1.1 ประชากร คือนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที่ 2 โรงเรียนอนุบาลคเู มือง ภาคเรียนที่ 1
ปการศึกษา 2563 จํานวน 24 คน
2. ระยะเวลา
ระยะเวลาที่ใชในการวิจยั ครั้งน้ดี าํ เนนิ การในภาคเรียนท่ี 1 ปการศึกษา 2563 เปนเวลา
6 สัปดาห สปั ดาหล ะ 1 วัน วนั ละ 1 ชว่ั โมง รวมเวลา 6 ชว่ั โมง
3
3. ขอบเขตของเนอื้ หา
เนื้อหาของแบบฝกทักษะครั้งนี้เปนของกุลมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
(วทิ ยาการคาํ นวณ) ช้ันประถมศึกษาปท ี่ 2 เร่อื ง ข้ันตอนวธิ กี ารแกปญหา (Algorithm) จาํ นวนแบบฝกทกั ษะนี้
ประกอบไปดวย 5 ชดุ แบบฝก
3.1 แบบฝกทักษะเหตุผลเชงิ ตรรกะ
3.2 แบบฝก ทกั ษะอลั กอรทิ มึ (Algorithm)
3.3 แบบฝกทักษะการแสดงอัลกอริทมึ ดวยขอความ
3.4 แบบฝก ทักษะการแสดงอลั กอรทิ ึมดวยรหสั จาํ ลองหรือซูโดโคด
3.5 แบบฝกทักษะการแสดงอลั กอริทึมดวยผังงาน (flowchart)
4. ตวั แปรทศี่ ึกษา
4.1 ตัวแปรตน คอื การพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนนกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที่ 2
วิชาวิทยาการคาํ นวณ เรื่องข้ันตอนวธิ ี โดยใชช ดุ ฝกทักษะ
4.2 ตัวแปรตาม
4.2.1 ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
นิยามศพั ทเฉพาะ
แบบฝกทักษะ หมายถึง แบบฝกทักษะเรื่อง ขั้นตอนวิธีการแกปญหา(Algorithm) ที่ผูวิจัยสรางขนึ้
เพื่อเปนแบบฝกทักษะสอนนักเรยี นที่เรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 เรื่องขัน้ ตอนวิธีการแกปญหา(Algorithm)
ซง่ึ ผูเรียนจะทบทวนเนื้อหาโดยผานทางชุดแบบฝก ทักษะน้ี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรูความสามารถ ความเขาใจ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแกป ญหา
(Algorithm) ของนักเรียนกลุมตัวอยางที่เรียนโดยใชแบบฝกทักษะจากการทําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนท่ีผวู จิ ยั สรางขนึ้
นักเรยี น หมายถงึ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปท ่ี 2 โรงเรยี นอนุบาลคูเมือง อาํ เภอคเู มือง
จังหวดั บรุ รี มั ย ทกี่ าํ ลงั เรยี นอยูในภาคเรียนท่ี 1 ปการศกึ ษา 2563
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ผูวิจัยสรางขึ้นเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm) สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 จํานวน
ขอ สอบทง้ั หมด 10 ขอ แบบทดสอบเปน แบบปรนยั 4 ตวั เลือก
กรอบแนวคิดในการวจิ ัย ตวั แปรตาม
ตัวแปรตน
การสอนโดยใชโ ดยใชช ดุ ฝกทักษะ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
เร่อื งข้นั ตอนวธิ ี
4
สมมติฐานการวิจยั
1. นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปท ี่ 2 โรงเรียนอนบุ าลคูเมอื ง ท่เี รียนโดยใชแ บบฝก ทกั ษะเร่ือง ข้ันตอน
วธิ ีการแกปญ หา (Algorithm) มีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นหลังเรยี นสูงกวากอ นเรียน
5
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวของ
ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เปนการศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาการคํานวณ
สาํ หรบั นักเรียนช้ันประถมศึกษาปท ี่ 2 โดยใชชดุ แบบฝกทักษะ ผวู จิ ัยไดศ ึกษา คน ควาเอกสาร และงานวิจัยที่
เก่ียวของดังนี้
1. หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551(ปรับปรุง 2560 ) กลมุ สาระการเรียนรู
การวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปท ่ี 2
1.1 สาระการเรียนร/ู มาตรฐานการเรียนร/ู ตวั ชีว้ ดั
2. แบบฝกทักษะ
2.1 ความหมายและความสําคัญของแบบฝก ทักษะ
2.2 ลกั ษณะของแบบฝก ทกั ษะทีด่ ี
2.3 ประโยชนของแบบฝก ทักษะ
2.4 แนวคิดหลักการทเี่ กี่ยวของกบั แบบฝก ทกั ษะ
3. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
3.1 ความหมายของผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น
3.2 จุดมงุ หมายของการวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
3.3 เครือ่ งมอื ที่ใชใ นการวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น
4. งานวิจัยทเี่ กี่ยวขอ ง
4.1 งานวจิ ัยภายในประเทศ
4.2 งานวิจยั ตา งประเทศ
6
1. หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551(ปรับปรงุ 2560)
กลุมสาระการเรียนรูวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
1.1 สาระการเรยี นรู/มาตรฐานการเรยี นร/ู ตัวชวี้ ดั
สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตรชวี ภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เขา ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พนั ธระหวา งสงิ่ ไมมีชีวติ
กับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธระหวางส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตตาง ๆ ในระบบนิเวศการถายทอดพลังงาน การ
เปลีย่ นแปลงแทนทีใ่ นระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปญหาและผลกระทบที่มีตอทรพั ยากรธรรมชาติ
และสิง่ แวดลอ มแนวทางในการอนรุ ักษทรพั ยากรธรรมชาติและการแกไขปญ หาสิง่ แวดลอมรวมท้งั นําความรูไป
ใชประโยชน
มาตรฐาน ว 1.2 เขาใจสมบตั ขิ องสงิ่ มีชีวิต หนว ยพน้ื ฐานของสิ่งมชี ีวติ การลาํ เลียงสารเขา
และออกจากเซลลความสมั พนั ธของโครงสรางและหนาทข่ี องระบบตาง ๆ ของสัตวและมนุษยท ที่ ํางานสัมพันธ
กนั ความสมั พนั ธของโครงสรางและหนา ทีข่ องอวัยวะตาง ๆ ของพชื ท่ีทํางานสมั พนั ธก นั รวมท้ังนําความรูไปใช
ประโยชน
มาตรฐาน ว 1.3 เขา ใจกระบวนการและความสาํ คัญของการถา ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม
สารพนั ธุกรรม การเปล่ียนแปลงทางพนั ธกุ รรมที่มีผลตอสงิ่ มชี ีวิต ความหลากหลาย
ทางชีวภาพและววิ ฒั นาการของส่ิงมีชีวติ รวมทั้งนาํ ความรูไ ปใชประโยชน
สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรกายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เขาใจสมบัติของสสาร องคประกอบของสสาร ความสัมพนั ธร ะหวางสมบัติ
ของสสารกบั โครงสรา งและแรงยึดเหน่ียวระหวางอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปลยี่ นแปลงสถานะของ
สสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี
มาตรฐาน ว 2.2 เขาใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจําวัน ผลของแรงที่กระทําตอวัตถุ
ลกั ษณะการเคลือ่ นที่แบบตา ง ๆ ของวตั ถรุ วมทง้ั นําความรูไปใชประโยชน
มาตรฐาน ว 2.3 เขา ใจความหมายของพลังงาน การเปลย่ี นแปลงและการถา ยโอพลงั งาน
ปฏิสัมพันธระหวางสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ิตประจาํ วัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณที่เกี่ยวของ
กบั เสยี ง แสง และคล่ืนแมเหล็กไฟฟา รวมทัง้ นําความรไู ปใชประโยชน
สาระท่ี 3 วิทยาศาสตรโลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เขาใจองคประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของ
เอกภพกาแล็กซีดาวฤกษและระบบสรุ ิยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธภายในระบบสุริยะที่สงผลตอสิ่งมีชีวิต และการ
ประยกุ ตใ ชเทคโนโลยอี วกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เขาใจองคประกอบและความสัมพันธของระบบโลก กระบวนการ
เปลี่ยนแปลงภายในโลกและบนผวิ โลก ธรณพี ิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟาอากาศและภูมิอากาศโลก
รวมท้งั ผลตอสงิ่ มีชีวิตและส่งิ แวดลอม
7
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดํารงชีวิตในสังคมที่มีการ
เปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็ว ใชความรูและทักษะทางดานวิทยาศาสตรคณิตศาสตรและศาสตรอื่น ๆ
เพื่อแกปญหาหรือพัฒนางานอยางมีความคิดสรางสรรคดวยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช
เทคโนโลยีอยา งเหมาะสมโดยคาํ นงึ ถงึ ผลกระทบตอ ชวี ิต สังคม และส่ิงแวดลอ ม
มาตรฐาน ว 4.2 เขาใจและใชแนวคิดเชิงคาํ นวณในการแกปญหาที่พบในชีวิตจริงอยางเปน
ขั้นตอนและเปนระบบ ใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารในการเรียนรูการทํางาน และการแกปญหาได
อยา งมีประสทิ ธิภาพ รูเทาทนั และมจี ริยธรรม
2. แบบฝกทักษะ
2.1 ความหมายและความสําคัญของแบบฝก ทกั ษะ
สุวิทย มูลคาํ และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53) ไดสรปุ ความสําคัญ
ของแบบฝก ทักษะวาแบบฝกทกั ษะมีความสําคัญตอผูเรียนไมนอย ในการที่จะชว ยสงเสริมสรางทักษะใหกบั
ผเู รยี นไดเกดิ การเรยี นรแู ละเขาใจไดเ รว็ ข้ึน ชัดเจนขึ้น กวางขวางขึ้นทําใหก ารสอน
ของครแู ละการเรยี นของนักเรียนประสบผลสําเรจ็ อยา งมีประสิทธภิ าพ
ไพทูลย มูลดี (2546 : 48) ไดสรุปความหมายของแบบฝกทักษะ คือชุดฝกการเรียนรูที่ครู
สรางขึ้นใหนักเรียนไดทบทวนเนื้อหาที่เรียนรูมาแลวเพื่อสรางความรูความเขาใจ และชวยเพิ่มทักษะความ
ชาํ นาญและฝก กระบวนการคิดใหม ากขน้ึ ทั้งยงั มปี ระโยชนในการลดภาระการสอน
ใหกับครู อกี ท้ังพัฒนาความสามารถของผเู รียน และทําใหผ เู รียนสามารถมองเหน็ ความกาวหนา
จากผลการเรียนรขู องตนเองได
คมขํา แสนกลา (2547 : 32) ไดส รุปความสําคญั ของแบบฝกวา แบบฝก ทักษะ
เปน สว นสําคัญในการเรยี นการสอน เพราะถา ขาดแบบฝกทักษะเพื่อใชในการฝกฝนทักษะความรูต างๆ หลังจาก
เรียนไปแลว เด็กก็อาจจะลืมเลอื นความรูท ่เี รียนไปได ซ่งึ อาจสง ผลใหน ักเรียนไมมีประสิทธิภาพเทา ท่คี วร
ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 75) ไดสรุปถึงความหมายของแบบฝกทักษะ คือ งานกิจกรรม
หรอื ประสบการณท ีค่ รูจดั ใหนักเรยี นไดฝกหดั กระทาํ เพอ่ื ทบทวนฝกฝนเน้ือหาความรตู างๆ ทไ่ี ดเ รยี นไปแลวให
เกดิ ความจาํ จนสามารถปฏบิ ัติไดดว ยความชาํ นาญ และใหผเู รยี นสามารถนําไปใชในชวี ติ ประจาํ วนั ได
วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 40) ไดสรุปความหมายและความสําคัญของแบบฝกไดวา
แบบฝก คอื แบบฝก หัด หรอื ชุดฝกทีค่ รจู ัดใหนักเรียน เพือ่ ใหมที ักษะเพ่ิมข้นึ หลังจากท่ีไดเ รียนรูเร่ืองนั้นๆ มา
บางแลว โดยแบบฝก ตองมีทศิ ทางตรงตามจุดประสงค ประกอบกิจกรรมทนี่ าสนใจและสนุกสนาน
อกนิษฐ กรไกร (2549 : 18) ไดสรุปความหมายของแบบฝกทักษะไววา แบบฝก-ทักษะ
หมายถึง สือ่ ทส่ี รา งข้ึนเพ่อื เสรมิ สรางทกั ษะใหแ กนกั เรียน มีลกั ษณะเปน แบบฝกหัดที่มีกิจกรรมใหนักเรียนทํา
โดยมีการทบทวนสิ่งที่เรียนผานมาแลวจากบทเรียน ใหเกิดความเขาใจและเปนการฝกทักษะ และแกไขใน
จดุ บกพรองเพื่อใหนักเรยี นไดม คี วามสามารถและศกั ยภาพย่ิงขนึ้ เขาใจบทเรยี นดขี ้นึ
8
พินิจ จันทรซาย (2546 : 90) กลาวถึงแบบฝกทักษะวา หมายถึง งาน กิจกรรม หรือ
ประสบการณท ่ีครผู ูสอนจดั ใหนักเรียนไดฝ กปฏบิ ัตเิ พื่อทบทวนความรูที่เรยี นมาแลวนํามาปรับประยุกตใชใน
ชีวิตประจําวนั
ผูรายงานไดศึกษาความหมายและความสําคัญของแบบฝกทักษะแลวพอสรุปไดวา แบบฝก
ทักษะ หมายถึง ชุดฝกทักษะที่ครูสรางขึ้นใหนักเรียนไดทบทวนเนื้อหาที่เรียนรูมาแลวเพื่อสรางความเขาใจ
และชวยเพิ่มทกั ษะความชาํ นาญและฝกกระบวนการคิดใหมากขึน้ ทําใหครูทราบความเขา ใจของนกั เรียนทีม่ ี
ตอบทเรยี น ฝกใหเ ด็กมีความเชื่อม่ันและสามารถประเมินผลของตนเองได ทั้งยังมีประโยชนชว ยลดภาระการ
สอนของครู และยังชว ยพฒั นาตามความแตกตา ง
2.2 ลกั ษณะของแบบฝกทักษะทดี่ ี
แบบฝก เปนเครื่องมอื ที่สําคญั ที่จะชว ยเสริมสรา งทักษะใหแ กผ ูเรยี น
การสรา งแบบฝก ใหมีประสิทธภิ าพจงึ จําเปนจะตองศกึ ษาองคประกอบและลักษณะของแบบฝก
เพ่ือใชใ หเหมาะสมกับระดับความสามารถของนกั เรยี น
สุวทิ ย มลู คํา และสนุ ันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60 -61) ไดส รุปลกั ษณะ
ของแบบฝก ทีด่ คี วรคํานงึ ถงึ หลกั จิตวิทยาการเรียนรูผเู รียนไดศ ึกษาดว ยตนเอง ความครอบคลมุ
ความสอดคลอ งกบั เนื้อหา รปู แบบนา สนใจ และคาํ ส่ังชดั เจน และไดส รปุ ลักษณะของแบบฝกไวดังนี้
1. ใชห ลักจิตวิทยา
2. สํานวนภาษาไทย
3. ใหค วามหมายตอชีวิต
4. คดิ ไดเ ร็วและสนุก
5. ปลุกความนาสนใจ
6. เหมาะสมกับวัยและความสามารถ
7. อาจศกึ ษาไดด ว ยตนเอง
และไดแ นะนาํ ใหผ สู รางแบบฝกใหย ึดลกั ษณะของแบบฝก ไวด งั นี้
1. แบบฝกหัดทดี่ ีควรมคี วามชัดเจนทง้ั คําสงั่ และวิธที ําคาํ สัง่ หรอื ตัวอยาง
วิธีทําที่ใชไมควรยาวเกินไป เพราะจะทําใหเขาใจยาก ควรปรับใหงายเหมาะสมกับผูใชทั้งนี้เพื่อใหนักเรียน
สามารถศกึ ษาดว ยตนเองไดถ า ตองการ
2. แบบฝกหดั ท่ดี คี วรมีความหมายตอผูเ รยี นและตรงตามจดุ มุงหมาย
ของการฝกลงทุนนอยใชไดนานๆ และทันสมัยอยเู สมอ
3. ภาษาและภาพท่ีใชในแบบฝกหัดควรเหมาะสมกับวัยและพื้นฐานความรูของ
ผเู รยี น
4. แบบฝก หัดท่ดี ีควรแยกฝกเปนเรอื่ งๆ แตละเรอื่ งไมควรยาวเกนิ ไป
9
แตควรมีกิจกรรมหลายรูปแบบ เพื่อเราใหนักเรียนเกิดความสนใจและไมนาเบื่อหนายในการทํา และเพื่อฝก
ทักษะใดทักษะหนงึ่ จนเกิดความชาํ นาญ
5. แบบฝกหัดที่ดีควรมีทั้งแบบกําหนดใหโดยเสรี การเลือกใชคํา ขอความหรือ
รูปภาพในแบบฝก หดั ควรเปนสง่ิ ทนี่ กั เรียนคุนเคยและตรงกับความในใจของนักเรียนเพ่ือวาแบบฝกหัดท่ีสราง
ข้นึ จะไดก อ ใหเกิดความเพลิดเพลินและพอใจแกผใู ช ซงึ่ ตรงกบั หลกั การเรยี นรู
ไดเรว็ ในการกระทําท่กี อ ใหเกดิ ความพึงพอใจ
6. แบบฝก หัดทีด่ คี วรเปด โอกาสใหผูเรยี น ไดศึกษาดว ยตนเองใหร ูจักคนควา รวบรวม
สิ่งที่พบเห็นบอย ๆ หรือที่ตนเองเคยใชจะทําใหนักเรียนสนใจเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้นและจะรูจักความรูใน
ชวี ิตประจําวนั อยา งถกู ตอง มีหลักเกณฑและมองเหน็ วา ส่งิ ทเี่ ขาไดฝ กฝนน้ัน
มคี วามหมายตอ เขาตลอดไป
7. แบบฝกหัดที่ดีควรจะสนองความแตกตางระหวางบุคคล ผูเรียนแตละคนจะมี
ความแตกตางกันหลายๆดาน เชน ความตองการ ความสนใจ ความพรอม ระดับสติปญญาและประสบการณ
ฯลฯ ฉะนั้นการทําแบบฝกหัดแตละเรื่อง ควรจัดทําใหมากพอและมีทุกระดับ ตั้งแตงาย ปานกลาง จนถึง
ระดับคอนขางยาก เพือ่ วาทง้ั เด็กเกง กลาง และออนจะไดเลือกทาํ ไดตามความสามารถ ทงั้ นเี้ พ่อื ใหเด็กทุกคน
ประสบความสาํ เรจ็ ในการทําแบบฝก หัด
8. แบบฝกหัดที่ดีควรสามารถเราความสนใจของนักเรียนไดตั้งแตห นาปกไปจนถงึ
หนาสดุ ทา ย
9. แบบฝกหัดที่ดีควรไดรับการปรับปรุงไปคูกับหนังสือแบบเรียนอยูเสมอและควร
ใชไดดที งั้ ในและนอกบทเรียน
10. แบบฝกหัดที่ดีควรเปนแบบที่สามารถประเมิน และจําแนกความเจรญิ งอกงาม
ของเด็กไดดวย
ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 78) ไดเ สนอลกั ษณะท่ีดขี องแบบฝก คือ แบบฝกท่ีเรยี งลาํ ดับจาก
งายไปหายาก มรี ปู ภาพประกอบ มรี ปู แบบนา สนใจ หลากหลายรปู แบบ โดยอาศัย
หลักจติ วทิ ยาในการจัดกจิ กรรมหรอื จดั แบบฝก ใหสนุก ใชภาษาเหมาะสมกบั วัย และ ระดบั ชั้น
ของนักเรียน มคี าํ ส่งั คําช้แี จงสน้ั ชัดเจน เขาใจงา ย มตี วั อยางประกอบ มีการจดั กิจกรรม การฝกท่ี
เราความสนใจ และแบบฝก นัน้ ควรทันสมัยอยเู สมอ
วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 43) ไดอธิบายถึงลักษณะของแบบฝกที่ดี คือ ควรมีความ
หลากหลายรปู แบบ เพอ่ื ไมใหเกดิ ความเบอ่ื หนา ย และตองมีลกั ษณะที่เรา ย่ัวยุ จูงใจ ไดให
คิดพจิ ารณา ไดศึกษาคนควาจนเกิดความรู ความเขาใจทกั ษะ แบบฝก ควรมีภาพดงึ ดดู ความสนใจเหมาะสมกับ
วยั ของผเู รียนตรงกบั จุดประสงคก ารเรียนรู มีเนอ้ื หาพอเหมาะ
ถวัลย มาศจรัส และคณะ (2550 : 20) ไดอธิบายถึงลักษณะของแบบฝกหัดและแบบฝก
ทกั ษะที่ดไี ววา ดงั นี้
10
1. จดุ ประสงค
1.1 จุดประสงคช ัดเจน
1.2 สอดคลองกับการพฒั นาทักษะตามสาระการเรียนรู และกระบวนการ
เรียนรขู องกลุมสาระการเรียนรู
2. เนื้อหา
2.1 ถูกตองตามหลกั วิชา
2.2 ใชภาษาเหมาะสม
2.3 มีคําอธบิ ายและคาํ สง่ั ทช่ี ดั เจน งายตอ การปฏบิ ัตติ าม
2.4 สามารถพัฒนาทักษะการเรยี นรู นําผูเรยี นสูก ารสรปุ ความคิดรวบยอด
และหลกั การสาํ คญั ของกลมุ สาระการเรียนรู
2.5 เปนไปตามลําดับขั้นตอนการเรียนรูสอดคลองกับวิธีการเรียนรู และ
ความแตกตางระหวางบุคคล
2.6 มีคําถามและกิจกรรมที่ทาทายสงเสริมทักษะกระบวนการเรียนรูของ
ธรรมชาตวิ ิชา
2.7 มีกลยุทธการนําเสนอและการตั้งคําถามที่ชัดเจน นาสนใจปฏิบัติได
สามารถใหข อมูลยอ นกลับเพ่ือปรับปรงุ การเรียนไดอ ยา งตอเน่ือง
ผูรายงานพอสรุปลักษณะของแบบฝกที่ดีไดวา แบบฝกที่ดีและมีประสิทธิภาพ ชวยทําใหนักเรียน
ประสบความสาํ เร็จในการฝก ทักษะไดเปน อยา งดี และแบบฝกทด่ี เี ปรยี บเสมือนผูชวยทีส่ าํ คญั ของครู ทําใหครู
ลดภาระการสอนลงได ทาํ ใหผเู รยี นพฒั นาความสามารถของตนเพ่อื ความม่ันใจ
ในการเรียนไดเปน อยา งดี ดงั นัน้ ครยู ังจําเปนตอ งศกึ ษาเทคนคิ วธิ กี าร ขน้ั ตอนในการฝก ทกั ษะตางๆ
มีประสทิ ธภิ าพทีส่ ดุ อันสงผลใหผ เู รยี นมีการพฒั นาทักษะตา งๆ ไดอยางเตม็ ทแี่ ละแบบฝก ทดี่ นี ้ันจะตองคํานึงถงึ
องคป ระกอบหลายๆดาน ตรงตามเนื้อหา เหมาะสมกับวัย เวลา ความสามารถ
ความสนใจ และสภาพปญ หาของผเู รยี น
2.3 ประโยชนของแบบฝกทกั ษะ
ไพทลู ย มูลดี (2546 : 52) ไดอ ธบิ ายประโยชนของแบบฝกไวดงั นี้ คือ แบบฝก
มคี วามสําคญั และจําเปนตอ การเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะจะชว ยใหผ เู รยี นเขาใจในบทเรยี น
ไดด ขี นึ้ สามารถจดจําเนอื้ หาในบทเรยี นและคําศัพทตางๆ ไดคงทน ทาํ ใหเ กดิ ความสนุกสนาน
ในขณะเรียนทราบความกาวหนาของตนเอง สามารถนําแบบฝก มาทบทวนเน้อื หาเดมิ ดว ยตนเองได นํามาวดั ผล
การเรียนหลังจากที่เรียนแลว ตลอดจนสามารถทราบขอบกพรองของนักเรียนและนําไปปรับปรุงแกไขได
ทนั ทวงที ซึ่งจะมีผลทําใหค รปู ระหยัดเวลา คา ใชจ า ยและลดภาระไดม าก และยัง
ใหน กั เรยี นนาํ ภาษาไปใชส่อื สารไดอยางมีประสทิ ธภิ าพดว ย
11
วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 41) ไดอธบิ ายถึงประโยชนของแบบฝกทักษะไววา แบบ
ฝก ชวยในการฝก หรอื เสรมิ ทกั ษะทางภาษา การใชภ าษาของนักเรยี นสามารถนาํ มาฝก ซา้ํ ทบทวนบทเรยี น และ
ผูเรียนสามารถนําไปทบทวนดวยตนเอง จดจําเนื้อหาไดคงทน มีเจตคติที่ดีตอ การเรียนภาษาไทย แบบฝกถือ
เปน อปุ กรณก ารสอนอยา งหน่งึ ซง่ึ สามารถทดสอบความรู วัดผลการเรยี นหรอื ประเมินผลการเรยี นกอ นและหลงั
เรยี นไดเปนอยางดี ทําใหครทู ราบปญ หาขอ บกพรองของผเู รียนเฉพาะจุดได นกั เรียนทราบความกาวหนาของ
ตนเอง ครูประหยดั เวลา คาใชจ ายและลดภาระไดม าก
ถวัลย มาศจรสั และคณะ (2550 : 21) ไดอธบิ ายถงึ ประโยชนข องแบบฝกหัดและแบบฝก
ทักษะเปนสือ่ การเรยี นรู ที่มุงเนนในเร่ืองของการแกปญหา และการพัฒนาในการจัดการเรียนรูในหนวยการ
เรียนรูแ ละสามารถเรียนรไู ด โดยสรปุ ไดดงั น้ี
1. เปนสื่อการเรยี นรู เพือ่ พฒั นาการเรยี นรูใหแ กผูเรียน
2. ผเู รียนมีสือ่ สาํ หรับฝกทกั ษะดา นการอา น การคดิ การคิดวิเคราะห
และการเขียน
3. เปนสอื่ การเรยี นรูสาํ หรบั การแกปญหาในการเรยี นรขู องผเู รียน
4. พฒั นาความรู ทักษะ และเจตคติดานตางๆ ของผเู รยี น
จากประโยชนของแบบฝกที่กลาวมา สรุปไดวา แบบฝกที่ดีและมีประสิทธิภาพชวยทําใหนักเรียน
ประสบผลสําเรจ็ ในการฝกทักษะไดเ ปน อยา งดี
สุวิทย มลู คํา และสนุ ันทา สุนทรประเสรฐิ (2550 : 53 - 54) ไดส รุปประโยชน
ของแบบฝกทักษะไดดังน้ี
1. ทาํ ใหเ ขา ใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเปนเครอ่ื งอาํ นวยประโยชนในการเรียนรู
2. ทําใหครูทราบความเขา ใจของนักเรยี นทม่ี ตี อ บทเรียน
3. ฝกใหเ ดก็ มีความเช่อื มั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได
4. ฝกใหเ ด็กทาํ งานตามลําพัง โดยมีความรบั ผิดชอบในงานที่ไดรับมอบหมาย
5. ชว ยลดภาระครู
6. ชว ยใหเดก็ ฝกฝนไดอ ยา งเตม็ ที่
7. ชวยพัฒนาตามความแตกตางระหวา งบคุ คล
8. ชวยเสรมิ ใหทกั ษะคงทน ซึง่ ลกั ษณะการฝกเพือ่ ชว ยใหเกิดผลดงั กลา วนัน้ ไดแ ก
8.1 ฝก ทันทีหลงั จากทเี่ ดก็ ไดเรียนรูใ นเร่ืองนน้ั ๆ
8.2 ฝก ซ้ําหลายๆคร้ัง
8.3 เนนเฉพาะในเรือ่ งที่ผิด
9. เปน เคร่ืองมอื วดั ผลการเรยี นหลังจากจบบทเรียนในแตละคร้ัง
10. ใชเปนแนวทางเพ่อื ทบทวนดวยตนเอง
11. ชว ยใหครมู องเหน็ จุดเดนหรอื ปญ หาตาง ๆของเดก็ ไดช ัดเจน
12
12. ประหยดั คาใชจา ยแรงงานและเวลาของครู
ผรู ายงาน ไดศกึ ษาคนควา เกย่ี วกับประโยชนของแบบฝก ทกั ษะแลว พอสรปุ ไดวาแบบฝก
มีความสําคัญ และจําเปนตอการเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะจะชวยใหผูเรียนเขาใจบทเรียนไดดีข้ึน
สามารถจดจําเนื้อหาในบทเรียนและคําศัพทตาง ๆ ไดคงทน ทําใหเกิดความสนุกสนาน ในขณะเรียนทราบ
ความกา วหนาของตนเอง และครมู องเห็นจดุ เดน หรอื ปญ หาตาง ๆ ของเด็กไดชัดเจน สามารถนําแบบฝกทักษะ
มาทบทวนเนือ้ หาเดมิ ดว ยตนเอง ตลอดจนสามารถทราบขอ บกพรอง
ของนักเรียนและนําไปปรบั ปรงุ ไดทันทว งที ซึ่งจะมีผลทาํ ใหครูประหยัดเวลา ประหยัดคา ใชจาย
2.8 แนวคดิ หลักการท่เี กี่ยวของกบั แบบฝกทักษะ
อกนิษฐ กรไกร (2549 : 17) ไดด าํ เนนิ การสรางแบบฝก ทกั ษะ ยดึ หลักใหนักเรยี น
ไดเรียนรูดวยตนเองตามศักยภาพของแตละบุคคล ในความคาดหวัง ตองการใหเด็กที่ใชแบบฝกทักษะมี
พฤติกรรม ดงั น้ี
1. Active Responding ใหน กั เรยี นมีสว นรว มในการเรยี นอยา งกระฉบั -
กระเฉง ไมวาจะเปนคิดในใจหรือแสดงออกมาดวยการพูดหรือเขียน นักเรียนอาจเขียนรูปภาพเติมคําแตง
ประโยคหรอื หาคาํ ตอบในใจ
2. Minimal Error ในการเรียนแตล ะครั้งเราหวังวา นักเรียนจะตอบคําถามไดถ ูกตอ ง
เสมอ แตในกรณีที่นักเรียนตอบคําถามผิด นักเรียนควรมีโอกาสฝกฝนและเรียนรูในสิ่งที่เขาทําผิดเพื่อไปสู
คาํ ตอบทถี่ กู ตองตอ ไป
3. Knowledge of Results เมอื่ นักเรยี นสามารถตอบถกู ตองเขาควรไดรับเสริมแรง
ถานักเรียนตอบผิดเขาควรไดรับการช้ีแจง และใหโอกาสที่จะแกไขใหถ ูกตองเชนเดยี วกับประสบการณทีเ่ ปน
ความสําเรจ็ สําหรบั มนษุ ยแ ลว เพยี งไดรูวา ทาํ อะไรสาํ เรจ็ ก็ถือเปน การเสรมิ แรง
ในตวั เอง
4. Small Step การเรียนจะตองเปดโอกาสใหนักเรียนไดเรียนรูไปทีละนอยดวย
ตนเอง โดยใหความรูต ามลําดบั ขนั้ และเปด โอกาสใหผูเ รยี นใครครวญตามซึ่งจะเปน ผลดตี อ การเรียนรูของเด็ก
อยา งมาก แมท ีเ่ รยี นออนกจ็ ะสามารถเรยี นได
สุวทิ ย มูลคํา และสนุ นั ทา สนุ ทรประเสริฐ (2550 : 54 - 55) ไดอธิบายแนวคิด
และหลักการสรางแบบฝก วา การศึกษาในเร่ืองจติ วทิ ยาการเรียนรู เปนส่งิ ทีผ่ ูสรา งแบบฝกมคิ วรละเลยเพราะ
การเรยี นรจู ะเกดิ ข้ึนไดต องขึ้นอยูก ับปรากฏการณข องจติ และพฤติกรรมทีต่ อบสนองนานาประการ โดยอาศัย
กระบวนการท่เี หมาะสมและเปน วธิ ที ่ีดที ่สี ดุ การศกึ ษาทฤษฎีการเรียนรู
จากขอมลู ท่ีนักจิตวิทยาไดทําการคนพบ และทดลองไวแลว สําหรับการสรางแบบฝก ในสว นที่มีความสัมพนั ธกนั
ดังนี้
1. ทฤษฎีการลองถกู ลองผดิ ของธอรน ไดค ซึง่ ไดส รปุ เปน กฎเกณฑก ารเรยี นรู
3 ประการ คือ
13
1.1 กฎความพรอ ม หมายถึง การเรียนรูจะเกิดขนึ้ เมื่อบคุ คลพรอ มทจี่ ะกระทาํ
1.2 กฎผลทไี่ ดรับ หมายถึง การเรยี นรูที่เกดิ ข้ึนเพราะบคุ คลกระทําซา้ํ งาย
1.3 กฎการฝกหัด หมายถงึ การฝกหัดใหบุคคลทาํ กิจกรรมตา ง ๆ นั้น ผูฝกจะตอ ง
ควบคุมและจัดสภาพการใหสอดคลองกับวัตถุประสงคของตนเอง บุคคลจะถูกกําหนดลักษณะพฤติกรรมที่
แสดงออก
ดังนั้น ผูสรางแบบฝกจึงจะตองกําหนดกิจกรรมตลอดจนคําสั่งตาง ๆ ใบแบบฝกใหผูฝกได
แสดงพฤติกรรมสอดคลองกบั จดุ ประสงคท ผ่ี สู รางตอ งการ
2. ทฤษฎพี ฤติกรรมนิยมของสกนิ เนอร ซง่ึ มีความเชอื่ วา สามารถควบคุมบุคคลใหท ํา
ตามความประสงคหรือแนวทางทีก่ าํ หนดโดยไมตอ งคํานงึ ถงึ ความรสู กึ ทางดานจติ ใจ
ของบุคคลผนู ้นั วา จะรูส ึกนึกคิดอยางไร เขาจึงไดท ดลองและสรปุ วาบุคคลสามารถเรียนรูดวยการกระทําโดยมี
การเสรมิ แรงเปน ตวั การ เปนบคุ คลตอบสนองการเรา ของสิง่ เราควบคกู ันในชว งเวลา
ที่เหมาะสม สงิ่ เราน้ันจะรกั ษาระดับหรือเพิ่มการตอบสนองใหเขม ข้ึน
3. วิธีการสอนของกาเย ซึ่งมีความเห็นวาการเรียนรูมีลําดับขั้น และผูเรียนจะตอ ง
เรยี นรูเนื้อหาทีง่ า ยไปหายาก การสรางแบบฝก จึงควรคํานงึ ถงึ การฝก ตามลําดับจากงา ยไปหายาก
4. แนวคิดของบลูม ซึ่งกลาวถงึ ธรรมชาติของผูเรียนแตละคนวามคี วามแตกตา งกนั
ผเู รยี นสามารถเรียนรูเนอ้ื หาในหนวยยอยตา งๆ ไดโ ดยใชเวลาเรยี นท่แี ตกตา งกนั
3. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
3.1 ความหมายของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ คุณลักษณะ รวมถึง ความรู ความสามารถของบุคคลอันเปนผลมาจาก
การเรียนการสอน หรือ มวลประสบการณทั้งปวงที่บุคคลไดรับจากการเรียนการสอน ทําใหบุคคลเกิดการ
เปลีย่ นแปลงพฤติกรรมในดา นตาง ๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุง หมายเพื่อเปนการตรวจสอบระดบั
ความสามารถสมองของบคุ คล เรียนแลว รูอะไรบาง และมีความสามารถดานใดมากนอยเทาไรตลอดจนผลที่
เกิดขึ้นจาก การเรียนการสอนการฝกฝน หรือประสบการณตาง ๆ ทั้งที่โรงเรียน ที่บานและสิ่งแวดลอมอืน่ ๆ
รวมท้งั ความรสู กึ คานยิ ม จรยิ ธรรมตาง ๆ ก็เปนผลมาจากการฝก ฝนดว ย
3.2 จุดมงุ หมายของการวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
สุภาพ วาดเขียน (2525 : 176) และไพศาล หวังพาณชิ (2523 : 137) ไดกลาววาจดุ มุงหมายของการ
วัดผลสัมฤทธิ์ เปนการตรวจสอบระดับความสามารถของสมรรถภาพทางสมองของบุคคลวาเรียนรูอะไรบาง
และมีความสามารถในดานใดมากนอยแคไหน เชน มีพฤติกรรมดานความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การ
สังเคราะห และการประเมนิ คามากนอยอยูในระดับใดนั้นคือ การวัดผลสัมฤทธิเ์ ปนการตรวจสอบพฤติกรรม
ของผูเ รียนในดานพุทธิพิสยั นั้นเอง ซึง่ เปน การวดั 2 องคประกอบตามจุดมงุ หมายในลักษณะของเนื้อหาวิชาที่
เรียน คือ
14
1. การวัดดา นปฏิบัติ เปนการตรวจสอบความรู ความสามารถทางปฏบิ ตั ิ โดยใหผ เู รยี นไดล งมือปฏิบัติ
จริงใหเ หน็ เปนผลงานปรากฏออกมา ใหทําการสังเกตและวัดได เชน วิชาศิลปศกึ ษา พลศึกษา การชาง ฯลฯ
การวดั แบบนี้จงึ ตองวัดโดยใชขอสอบภาคปฏิบตั ิ ซง่ึ การประเมินผลจะพจิ ารณาทีว่ ธิ ปี ฏิบตั แิ ละผลทปี่ ฏบิ ัติ
2. การวัดดานเนื้อหา เปนการตรวจสอบความรู ความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชารวมทั้งพฤติกรรม
ความสามารถดา นตา งๆ อันเปน ผลมาจากการเรยี นการสอน ที่สามารถวัดไดโ ดยใชข อ สอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ
3.3 เครือ่ งมือท่ใี ชในการวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน
ลว น สายยศ และ อังคณา สายยศ (2536 : 146 – 147 )กลาววาเครอ่ื งมือในการวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการ
เรียน หรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (achivement tests) หมายถึงแบบทดสอบที่วัดปริมาณความรู
ความสามารถ ทักษะเกี่ยวกับดานวิทยาการที่นักเรียนไดเรียนรูมาในอดีต วารับรูไดมากนอยเพียงใด
แบบทดสอบประเภทน้ีแบง ออกเปน 2 ประเภท คอื
1. แบบทดสอบทีค่ รสู รางขึน้ เอง (teacher made test) เปนแบบทดสอบที่สรางขึ้นเฉพาะคราว
เพอ่ื ใชทดสอบผลสัมฤทธิ์ และความสามารถทางวิชาการของนกั เรียนมที ่ีไดเ รยี นในหองเรียน วา นักเรียนมี
ความรมู ากแคไ หน บกพรองทีต่ รงไหนจะไดซอ มเสรมิ หรอื วัดดูความพรอ มท่ีจะขนึ้ บทเรยี นใหม ใชกนั ท่ัวไป
ในสถาบันการศึกษา แบบทดสอบประเภทนส้ี อบเสร็จก็ทง้ิ ไป จะสอบใหมก ็สรา งขน้ึ ใหม หรือนําเอาของเกา
มาเปลีย่ นแปลงโดยไมมีวิธกี ารอะไรเปน หลักในการปรับปรุง ไมมกี ารวเิ คราะหว าขอ สอบนั้นดีหรือไมดีแต
ประการใด
2. แบบทดสอบมาตรฐาน (standardized test) เปน แบบทดสอบท่สี รางขึน้ จากผเู ชีย่ วชาญในแตละ
สาขาวชิ าหรอื จากครสู อนวชิ าน้ันและมีกระบวนการ หรือวธิ ีการท่ีซับซอนมากกวาแบบทดสอบท่ีครสู รางขนึ้ เอง
เมื่อสรางเสร็จก็มีการนําไปทดลองสอบ แลวนําผลมาวิเคราะหดวยวิธีการทางสถิติหลายครั้งหลายหน เพ่ือ
ปรบั ปรงุ ใหมีคุณภาพดี มคี วามเปนมาตรฐานซง่ึ แบบทดสอบมาตรฐานน้ีจะมคี วามเปนมาตรฐานอยู 2 ประการ
คือ
2.1 มาตรฐานในการดําเนินการสอบ หมายความวา แบบทดสอบน้ีไมว า จะนาํ ไปใชเ มอ่ื ไหร
กต็ าม คําช้ีแจง คาํ บรรยาย การดําเนนิ การสอบจะเหมือนกันทุกครง้ั ไป จะไมมีการควบคุมตัวแปรตางๆ ท่ีทํา
ใหค ะแนนคลาดเคลอ่ื น เชนผูคุมสอบ การจดั ชน้ั การจดั ช้ันเรียน การใชค าํ สัง่ เปนตน กระบวนการประเภทนี้
จึงตอ งมีคําชแ้ี จงในการใชข อสอบอยูดวย
2.2 มาตรฐานในการแปลความหมายของคะแนน ไมวาจะสอบที่ไหน เมื่อไหรก็ตามก็
ตอ งแปลคะแนนไดเหมือนกนั ฉะน้ันขอ สอบประเภทนจ้ี งึ ตอ งมเี กณฑปกติ
4. งานวิจัยทเ่ี ก่ียวขอ ง
4.1 งานวจิ ัยภายในประเทศ
จิตสุดา ไขววงค (2551 : บทคัดยอ) ไดวิจัยการพฒั นาชุดฝกทักษะการคิดสรางสรรคสําหรบั นักเรยี น
ช้ันประถมศกึ ษาปท่ี 2 กลมุ ตัวอยา งทใี่ ชใ นการวิจัยครั้งนี้ คอื เรียนช้นั ประถมศึกษาปท่ี 2 โรงเรยี นบานนารงั กา
สาํ นกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาศรสี ะเกษ เขต 4
15
ผลการวิจัพบวา 1. ชุดฝกทักษะการคิดสรางสรรค นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 3 ที่ผูวิจัยสรางขึ้นมี
ประสิทธิภาพ 90.35/87.63 2. ความสามารถในการคิดสรางสรรคของ นักเรียนหลังการฝกดวย
ชุดฝกทักษะ การคิดสรางสรรคสูงกวากอนใชชุดฝกทักษะการคิดสรางสรรคอยางมีนัยสําคัญทาง
สถิติที่ระดับ .01ชูศักด์ิ สุระประวัติวงศ (2551 : บทคัดยอ) ไดวิจัยการพัฒนาชุดฝกทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 จํานวน 19 คน ที่โรงเรียนบาน
หนองไฮ ในเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย เขต 1 ผลการวิจัยพบวา ชุดฝกทักษะมีประสิทธิภาพ
เทากับ 87.04/86.84 คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกวากอนเรียนรอยละ 20 อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .01 สุพัตรา สัตยากูล (2552: บทคัดยอ) ไดวิจัยการพัฒนาชุดฝกทักษะกลุมสาระการเรียนรู
วิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ผลการวิจัยพบวา ชุดฝกทักษะ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร
ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 มีประสิทธิภาพ 83.14/82.58 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 มีผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน หลังเรียนสูงกวา กอนเรียนดวยชุดฝกทักษะ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรอยางมี
นยั สาํ คญั ทางสถิติทรี่ ะดบั .01 จรยิ า พงษศ ริ ริ ักษ (2548: บทคดั ยอ ) ไดวจิ ยั การพฒั นาชดุ ฝก ทักษะการคดิ แบบ
องครวมของนักศึกษาชางอุตสาหกรรม ผลการวิจัยพบวา กลุมตัวอยางเปนนักศึกษาระดับประกาศนียบัตร
วิชาชีพชั้นสงู (ปวส.) สาขาวิชาไฟฟากาํ ลัง จํานวน 30 คน มีคะแนนเฉลีย่ ผลสัมฤทธิ์กลุม ทดลองหลังการฝก
กิจกรรมพัฒนาทักษะการคิดแบบองครวมสูงกวากอนฝกกิจกรรม อยางมีนัยสําคัญทาง
สถิตทิ รี่ ะดบั 0.01 ทยั รตั น ทาเพชร (2546: บทคัดยอ) ไดว จิ ัยการพฒั นาชดุ ฝก ทักษะการทบทวนโจทยปญหา
วิชาคณิตศาสตร สําหรับชั้นประถมศึกษาปที่ 3 โดยใชกลุมตัวอยาง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่
3 จํานวน 32 คน จาก 2 โรงเรียน ในอําเภอปทุมรัตน สํานักงานการประถมศึกษาจังหวัดรอยเอ็ด คือ
โรงเรียนบานมวง จํานวน 12 คน เพื่อทดลองใชชุดฝกทักษะ และโรงเรียนบานตาจอยหนองสระ
จํานวน 20 คน ผลการวิจัยพบวาประสิทธิภาพ 85.12/76.67 ซึ่งสูงกวาเกณฑ ที่ตั้งไวประภาวดี แกนจันทร
หอม (2550: บทคัดยอ) การพัฒนาชุดฝกทักษะการอานจับใจความสําคัญภาษาไทยสําหรับ นักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปที่ 1 ผลการวิจัยพบวาชุดฝกทักษะการอานจับใจความสําคัญภาษาไทยสําหรับ นักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที่ 1 มีประสิทธิภาพรวมอยูในเกณฑ 85.90/85.38 ผลสัมฤทธิ์ดานทักษะการอานจับใจความ
สาํ คญั ภาษาไทยกอ นเรยี นกับหลงั เรียนของ 16 นักเรียนกลุม ท่เี รียน โดยการสอนแบบปกตใิ นทุกดาน มีคะแนน
หลังเรียนสูงกวา กอ นเรยี นอยางมนี ยั สาํ คัญทางสถิตทิ ี่ .01 4. ราตรี นางาม (2551: บทคดั ยอ) ไดวิจัยการพฒั นา
ชุดฝก ทกั ษะการอานภาษาไทยเพื่อจับใจความกลุม สาระการเรยี นรภู าษาไทย สาํ หรบั นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาป
ที่ 5 ผลการวิจัยพบวา กลุม ตัวอยา งทใี่ ชในการวจิ ัยครงั้ น้ี เปนนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที่ 5 โรงเรียนบานหนอง
ไฮ กลมุ เครือขา ยโพนทองหนองไฮ สํานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาอาํ นาจเจรญิ จงั หวัดอํานาจเจรญิ จํานวน 42
คนมีผลสัมฤทธิ์ทางการอานจับใจความสูงกวากอนใชช ุดฝกทักษะอยางมนี ัยสําคัญทางสถิติที่ระดบั .01 นงค
นิตย บุญชัยโย (2551: บทคัดยอ) ไดวิจัยการพัฒนาชุดฝกทักษะการอานภาษาไทยเพื่อจับใจความสําหรับ
นักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปที่ 2 ผลการวจิ ัยพบวากลุม ตัวอยา งท่ีใชใ นการวิจยั ครง้ั น้ี นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปท ี่
2 ท่ีกาํ ลังเรยี นอยใู นภาคเรียนท่ี 1 ปก ารศกึ ษา 2550 โรงเรยี นบา นโพธิ์ อําเภอวารนิ ชาํ ราบ สังกดั สํานกั งานเขต
16
พืน้ ที่การศกึ ษาอบุ ลราชธานี เขต 4 มี นกั เรียนจํานวน 30 คนมปี ระสิทธิภาพ เทา กับ 87.83/84.16 ซึ่งสูงกวา
เกณฑมาตรฐานท่ีต้ังไว 80/802.นักเรยี นท่ีเรียนดว ยชดุ ฝกทักษะการอานภาษาไทยเพื่อจับใจความ มีคะแนน
เฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สุคนธ ยั่งยืน
(2549: บทคดั ยอ ) ไดว จิ ยั การพฒั นาชุดฝกทักษะวชิ าคณิตศาสตร ช้ันประถมศึกษาปท่ี 5 ใหมีประสทิ ธภิ าพตาม
เกณฑมาตรฐาน 80/80 ผลการวิจัยพบวากลมุ ตัวอยางทีใ่ ชในการวจิ ัยครงั้ น้ี เปนนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปท่ี 5
โรงเรียนดํารงสินอุทิศ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 ท่ีเรียนในภาคเรียนที่ 1 ป
การศึกษา 2548 จํานวน 30 คนมีประสิทธิภาพเทากับ 82.67/83.25 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร เร่ือง เศษสว น ของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปท่ี 5 ทเ่ี รยี น โดยใชช ดุ ฝกทกั ษะหลังเรียนสูงกวากอน
เรียนอยางมีนยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 อุไรวรรณ บญุ ลอ ม(2550 : บทคัดยอ) ไดวิจัยการพฒั นาชุดฝก ทกั ษะ
การอานภาษาไทยเพื่อจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 ผลการวจิ ัยพบวา 1. ชุดฝกทักษะการ
อา นภาษาไทยเพื่อจับใจความของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที่ 2 มปี ระสทิ ธิภาพ เทากับ 88.30/84.85 2. หลงั
การใชชุดฝก ทักษะการอานภาษาไทยเพื่อจับใจความ นกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปท่ี 2 มผี ลสมั ฤทธทิ์ างการอาน
จบั ใจความสูงกวา กอนใชชุดฝกอยา งมีนัยสาํ คญั ทางสถิติทรี่ ะดับ .01
4.2 งานวิจยั ตา งประเทศ
งานวจิ ยั ท่เี กย่ี วของกับชดุ ฝกทกั ษะในตา งประเทศมีดังตอไปน้ี
Lawrance and Hayden (1972: 67 – 72) ไดศึกษาการวิจัยการใชชุดฝกทักษะหรือชั้น
ประถมศกึ ษาปท ี่ 3 จํานวน 87 คนพบวา นักเรยี นที่ได ใชชดุ ฝก เสริมทักษะมคี ะแนนทดสอบหลังทําชดุ ฝกเสริม
ทักษะมากกวาคะแนนกอ นทาํ ชดุ ฝกเสรมิ ทกั ษะและทาํ ขอ สอบหลังการทาํ ชุดฝกเสรมิ ทักษะไดถ กู ตอ งเฉลี่ยรอย
ละ 98.80
Romain (1975 : 244) ไดศึกษาเร่ืองการใชช ดุ ฝกทกั ษะกบั การสอนปกติในวชิ าคณิตศาสตรของ
นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปท่ี 5 ผลปรากฏวา การสอนโดยใชช ดุ ฝก ทักษะใหไ ดผ ลดกี วา การสอนปกติทัง้ ในดาน
ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน และเจตคตติ อ วชิ าเรียน
Tomas (1976 : 6320) ไดท ดลองสอนวิชาคณิตศาสตรใ นระดับมหาวิทยาลัย โดยใชวธิ กี ารสอนโดย
แบงนกั ศกึ ษาออกเปน สองกลุม กลมุ แรกครูจดั สอนเปน รายบุคคลและใชช ุดฝก ทกั ษะ ผลปรากฏวาผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรยี นทั้งสองกลมุ ไมแตกตา งกัน
Lowrey (1987 : 817 – A) ไดศ ึกษาผลการใชชดุ ฝก ทกั ษะกบั นกั เรียน ม.1-3 จาํ นวน 87 คน
ผลการศึกษาพบวา มีคะแนนทดสอบหลังทาํ ชดุ ฝก เสรมิ ทกั ษะมากกวา คะแนนกอ นทําชุดฝก เสรมิ ทักษะและทาํ
ขอ สอบหลงั การทาํ ชุดฝกเสริมทกั ษะไดถ กู ตองเฉล่ียรอยละ 89.80 ชดุ ฝกทกั ษะเปน คยี ด ใการชว ยทาํ ใหเกิดการ
เรยี นรูเพม่ิ ขึ้น
Rosaline (1995 : 1235) ไดทดลองสอนวชิ าคณิตศาสตรใ นระดบั มหาวิทยาลัยโดยใชช ุดฝก ทกั ษะกับ
วธิ ีการสอนแบบปกติ ผลปรากฏวา ความกาวหนา ของการเรยี นท้งั สองวธิ ีไมแตกตางกัน
17
จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของกับชุดฝกทักษะทั้งในประเทศและตางประเทศสรุป
ไดว า ชดุ ฝก ทกั ษะมีประสิทธภิ าพสามารถทาํ ใหนักเรยี นเรยี นดว ยตนเองไดและจากการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนของนักเรียน นกั เรียนทเ่ี รียนจากชดุ ฝก ทกั ษะมีผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นสงู กวา นกั เรียนท่เี รียนจาก
การสอนปกติ จึงสมควรท่ีจะทําการวจิ ัยเกี่ยวกบั สอนโดยใชชดุ ฝก ทกั ษะใหมากขึ้นเพื่อประโยชนตอนักเรียนใน
วชิ าตาง ๆ
18
บทท่ี 3
วธิ ีดําเนินการวิจยั
การวจิ ยั เร่อื ง การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปท ี่ 2 วิชาวทิ ยาการคาํ นวณ
เรื่องขัน้ ตอนวิธี โดยใชชดุ ฝก ทักษะ เปนการวิจัยในชัน้ เรียนเพือ่ แกป ญ หามี วตั ถุประสงคเ พอ่ื พฒั นาผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียนวชิ าวทิ ยาการคํานวณ เรื่องขนั้ ตอนวิธกี ารแกป ญ หา สําหรบั นกั เรียนทม่ี ผี ลการเรยี นต่าํ
เปรยี บเทยี บคะแนนผลสมั ฤทธ์ิกอ นเรียนกบั หลงั เรียนโดยใช แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ และผูวจิ ัยดําเนนิ การ
ศึกษาคนควาตามลาํ ดบั ดงั นี้
1. ประชากร
2. เครอ่ื งมือทใ่ี ชในการวิขยั
4. วิธกี ารเก็บรวบรวมขอมลู
5. การวเิ คราะหขอมูล
6. สถิติทีใ่ ชใ นการวเิ คราะหข อมูล
ประชากร
ประชากรคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 โรงเรียนอนุบาลคูเมือง สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาบรุ ีรัมย เขต 4 ท่ีกําลังเรียนอยูในภาคเรียนท่ี 1 ปการศกึ ษา 2563 จํานวนรวม 24 คน
เครอื่ งมอื ทใี่ ชในการวจิ ยั
1. แบบฝก ทักษะเร่อื ง ขน้ั ตอนวิธีการแกป ญหา (Algorithm) กลมุ สาระการเรยี นรวู ิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี วิชาวทิ ยาการคํานวณ ชนั้ ประถมศกึ ษาปท่ี 2
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน(หลังเรยี น) วิชาวิทยาการคํานวณ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการ
แกปญหา ชัน้ ประถมศกึ ษาปท่ี 2 ซ่ึงเปน แบบทดสอบปรนัย 4 ตวั เลือก จํานวน 10 ขอ
วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ มลู
ผูว ิจัยดาํ เนินการตามลําดบั ข้นั ตอน ดงั นี้
ขั้นเตรียมการสอน
ผูวิจัยชี้แจงใหนักเรียนกลุมตัวอยางทราบถึงวิธีการจัดการเรียนรูโดยใชแบบฝกทักษะ
เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm) ชั้นประถมศึกษาปที่ 2 เพื่อใหนักเรียนทุกคนไดเขาใจตรงกัน
และปฏบิ ัตกิ จิ กรรมไดอ ยา งถกู ตอง
ขน้ั ดาํ เนนิ การสอน
ผูวิจัยดําเนินการจัดการเรียนรูดวยตนเองตามแผนการจัดการเรียนรูที่สรางขึ้นระยะเวลา 6 ชั่วโมง
ดงั นี้
19
1. กอ นทาํ การสอนผวู ิจัยทําการทดสอบกอนเรยี น (Pre-test) ซง่ึ ใชแ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการ
เรยี นจาํ นวน 10 ขอ กบั นกั เรยี นท่ีเปน กลมุ ตวั อยาง
2. ดําเนินการสอนโดยใชแ บบฝกทักษะเรื่องขน้ั ตอนวธิ ีการแกป ญ หา (Algorithm) ใชเ วลาสอนทั้งหมด
6 สัปดาห สปั ดาหละ 1 ชั่วโมง
ข้นั สิน้ สดุ การสอน
1. ผูวิจัยทําการทดสอบหลังเรียน (Post-test) ดวยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
จํานวน 10 ขอ กบั นกั เรียนท่เี ปน กลมุ ตวั อยาง
2. นําแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคํานวณ มาตรวจใหคะแนนตามเกณฑ
ทก่ี ําหนดไว
การวเิ คราะหข อมูล
1. หาคาสถิติพื้นฐานคะแนนจากการทําแบบทดสอบกอนเรียน และหลังเรียนจากแบบทดสอบวัด
ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน
2. วิเคราะหเปรยี บเทียบคะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรยี น กอนเรียนและหลงั เรยี น
โดยใชคะแนนทีเฉลีย่ * (Average T score)
สถิติท่ใี ชในการวเิ คราะหข อ มลู
1. สถติ พิ นื้ ฐาน
1.1 คาเฉลย่ี เลขคณิต (mean) โดยคาํ นวณจากสูตร (ลว น สายยศ และอังคณา สายยศ.2538: 73)
x x
N
เมอื่ x แทน คา เฉลี่ยของคะแนน
x แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมด
N แทน จํานวนนักเรยี นทงั้ หมด
1.2 การหาคาเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยคํานวณจากสูตร (ลวน สายยศ และอังคณาสายยศ.
2538:39)
S.D. = N x2 - ( x ) ²
N (N-1)
เมื่อ S.D. แทน คาเบย่ี งเบนมาตรฐาน
x แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมด
x2 แทน ผลรวมของคะแนนแตล ะตัวยกกาํ ลงั สอง
N แทน จํานวนนกั เรียนกลมุ ตวั อยา ง
20
บทที่ 4
ผลการวิเคราะหขอมูล
สถิติทีใ่ ชใ นการวจิ ัย
1. การหาคาเฉล่ีย
2. การหาคารอ ยละ
3. คะแนนทีเฉล่ยี (Average T score)
จากการรวบรวมผลการวจิ ัย การพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น ช้นั ประถมศกึ ษาปที่ 2
วชิ าวทิ ยาการคาํ นวณ เรือ่ งขั้นตอนวธิ กี ารแกปญ หา โดยใชแบบฝกทักษะ เสนอผลการวจิ ยั ดังนี้
การวเิ คราะหข อ มลู
จากการศกึ ษาวิจัยในช้นั เรยี น และศึกษาจากกลมุ นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปท ี่ 2 ปก ารศึกษา
2563 โรงเรียนอนุบาลคูเมือง วิชาวิทยาการคํานวณ เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา โดยใชแบบฝกทักษะ
จํานวน 24 คน คณะผูวิจัย ไดใชแบบทดสอบทําการทดสอบกอนเรียน จํานวน 10 ขอ หลังจากนั้น ไดสอน
ขั้นตอนวิธีการแกปญหา โดยใชแบบฝกทักษะ ทั้งหมด 5 ชุด ชุด ละ 5 คะแนน และใชแบบทดสอบ ทําการ
ทดสอบหลังเรียน จํานวน 10 ขอ โดยสามารถวเิ คราะหผลไดดงั นี้
ผลการวเิ คราะหข อมลู
ผูว จิ ยั ไดน าํ เสนอผลการวิเคราะหข อมลู และแปรความหมายขอ มูลเปนดงั น้ี
1. ขอมูลวิเคราะหความสามารถในการทําแบบฝกทกั ษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา(Algorithm)
ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปท ่ี 2
ตารางที่ 1 แสดงการวิเคราะหความสามารถในการทําแบบฝกทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา
(Algorithm) ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที่ 2
นกั เรยี น กอ นเรียน ชุดที่ 1 ชดุ ที่ 2 คะแนนระหวางเรียน ชุดที่ 5 รวม หลังเรยี น
24 คน คะแนน 10 คะแนน 5 คะแนน 5 คะแนน 5 คะแนน 25
ชดุ ที่ 3 ชดุ ที่ 4 คะแนน 10
รวม 132 101 98 คะแนน 5 คะแนน 5 93 484
เฉล่ีย 5.50 180
4.21 4.08 97 95 3.88 18.62 7.50
รอ ยละ 55.00 75.00
84.17 81.67 4.04 3.96 77.50 74.46
80.83 79.17
จากตารางท่ี 1 พบวา นกั เรียนในระดับชนั้ ประถมศึกษาปท ่ี 2 มคี วามสามารถในการทําแบบฝกทกั ษะ
ชุดที่ 1 แบบฝก ทักษะเหตผุ ลเชงิ ตรรกะ มากทสี่ ดุ คิดเปน รอ ยละ 84.17 รองลงมาคือ ชดุ ท่ี 2 แบบฝกทกั ษะ
อลั กอริทึม(Algorithm) ชดุ ที่ 3 แบบฝก ทกั ษะการแสดงอลั กอรทิ มึ ดว ยขอ ความ ชดุ ท่ี 4 แบบฝกทกั ษะการ
21
แสดงอลั กอรทิ ึมดว ยรหสั จําลองหรอื ซูโดโคด และทีท่ ําคะแนนไดน อยที่สุดคอื ชดุ ท่ี 5 แบบฝก ทักษะการแสดง
อลั กอริทมึ ดวยผงั งาน (flowchart)
2. ขอมลู เปรยี บเทยี บคะแนนผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นกอนและหลังโดยใชแ บบฝกทกั ษะ เรอื่ ง ข้ันตอน
วธิ กี ารแกปญหา(Algorithm) ของนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปท ่ี 2
ตารางที่ 2 แสดงการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นกอนและหลังโดยใชแบบฝกทกั ษะ
เรอื่ ง ข้นั ตอนวิธีการแกป ญหา (Algorithm) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปท ่ี 2
นกั เรียน คแนนกอนเรยี น คะแนนหลังเรียน
24 คน 10 คะแนน 10 คะแนน
รวม 132
เฉล่ยี 5.50 180
S.D. 1.14
รอ ยละ 55.50 7.50
0.88
75.50
จากตารางท่ี 2 คะแนนจากการทําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกอนเรียน
และหลังเรียนโดยใชแบบฝกทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา(Algorithm) จํานวน 10 ขอ
พบวาหลังการเรียนโดยใชแบบแบบฝก ทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm) นักเรียนมีคาเฉลี่ย
และรอยละของคะแนนสูงขึ้นกวากอนเรียนโดยมีคาเฉล่ียของคะแนนหลังเรยี น 7.50 ( ̅=7.50) รอยละของ
คะแนนหลังเรียน 75.50 และคาเฉลี่ยของคะแนนกอนเรียน 5.50 ( ̅= 5.50) รอยละของคะแนนกอนเรียน
55.50 แสดงวาการเรยี นโดยใชแ บบฝกทกั ษะ เรอื่ งข้ันตอนวิธกี ารแกป ญหา(Algorithm) ชว ยพฒั นาทักษะการ
คดิ เชงิ 9 ตรรกะของนกั เรียน ซ่งึ เปนไปตามสมมตุ ฐิ านทต่ี ัง้ ไว
3. คะแนนทเี ฉล่ยี (Average T score) ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวิชาวทิ ยาการคาํ นวณ กอนและหลังท่ี
ไดรบั การจัดการเรียนการสอนโดยใชแ บบฝกทกั ษะ
ตารางที่ 3 คะแนนทเี ฉล่ยี (Average T score) ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวชิ าวทิ ยาการคํานวณ
จาํ นวนนักเรียน 24
คาเฉลย่ี pre-test 5.50 55.50 post-test 7.50 75.50
1.14 0.88
SD (STDEV)
6.50 9
คา Mean (ทั้งชดุ ) 7 6
3
MAX
MIN
22
จากตารางท่ี 3 คา เฉล่ียผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นกลมุ สาระการเรยี นรูวิทยาศาสตร (วทิ ยาการคาํ นวณ)
ชั้นประถมศึกษาปท ี่ 2 ปการศึกษา 2563 มคี ะแนนทเี ฉลี่ย* (Average T score) ของผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น
กอนเรยี น = 5.50 คะแนนทเี ฉลีย่ * (Average T score) ของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หลงั เรียน = 75.50
มคี ะแนนทีเฉลยี่ เพม่ื ขึน้ 13.99 คิดเปน รอ ยละ 32.54
23
บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายผลและขอเสนอแนะ
ความมงุ หมายของการวจิ ัย
เพื่อพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าวิทยาการคาํ นวณ สาํ หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปท่ี 2
โดยใชส อ่ื แบบฝก ทักษะ มีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนทส่ี งู ขนึ้
ประชากร
ประชากร คือนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปที่ 2 โรงเรยี นโรงเรยี นอนบุ าลคเู มือง ภาคเรียนท่ี 1
ปก ารศกึ ษา 2563 จาํ นวน 24 คน
เคร่อื งมอื ทใี่ ชใ นการวิจยั
เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ นการวจิ ยั ในคร้งั นี้ ประกอบดว ย
1. แบบฝกทักษะเร่อื ง ขัน้ ตอนวธิ ีการแกป ญหา (Algorithm) กลุมสาระการเรียนรวู ิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี วชิ าวทิ ยาการคาํ นวณ ช้นั ประถมศกึ ษาปท ่ี 2
2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนกอนเรยี น - หลังเรียนวิชาวทิ ยาการคํานวณ เร่ือง ข้ันตอน
วิธกี ารแกป ญ หา ชั้นประถมศึกษาปท ี่ 2 ซ่ึงเปนแบบทดสอบปรนัย 4 ตวั เลอื ก จาํ นวน 10 ขอ
สรปุ ผลการวิจยั
ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนกลมุ สาระการเรียนรูวทิ ยาศาสตร (วทิ ยาการคํานวณ) ชน้ั ประถมศกึ ษาปที่ 2
ปการศึกษา 2563 มคี ะแนนทีเฉลย่ี * (Average T score) ของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนกอ นเรยี น 43.00
คะแนนทเี ฉลีย่ * (Average T score) ของผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หลงั เรียน 57.00 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
หลงั สงู กวากอ นเรยี น โดยมคี ะแนนทเี ฉลี่ยเพมื่ ขน้ึ 13.99 คดิ เปนรอ ยละ 32.54
และในการศกึ ษาวจิ ัยครั้งนีย้ ังพบอกี วา นักเรียนในระดบั ชั้นประถมศึกษาปท่ี 2 กลมุ น้ี มคี วามสามารถ
ในการทําแบบฝก ทักษะชดุ ท่ี 1 แบบฝกทกั ษะเหตุผลเชิงตรรกะ มากทส่ี ุด รองลงมาคอื ชดุ ท่ี 2 แบบฝก ทกั ษะ
อัลกอริทึม(Algorithm) ชุดที่ 3 แบบฝกทกั ษะการแสดงอลั กอริทมึ ดวยขอ ความ ชุดท่ี 4 แบบฝก ทกั ษะการ
แสดงอลั กอริทมึ ดวยรหสั จําลองหรอื ซโู ดโคด และท่ที ําคะแนนไดนอ ยทสี่ ดุ คอื ชุดท่ี 5 แบบฝกทกั ษะการแสดง
อัลกอริทมึ ดว ยผังงาน (flowchart) ถึงแมวา นักเรยี นจะทาํ คะแนนไดสูงขึ้นก็จริง แตควรมกี ารพัฒนาในสว น
ของการทาํ แบบฝกชดุ อนื่ ๆใหดีย่ิงข้ึน เพราะเปน การพัฒนาทกั ษะการคดิ ทสี่ ามารถนําไปประยกุ ตใชใ นการ
แกป ญหาในชวี ติ ประจาํ วันได
24
อภปิ รายผลการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มีความมุง หมาย เพื่อพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวิชาวิทยาการคํานวณของนักเรียน
ชัน้ ประถมศกึ ษาปท ่ี 2 ท่ีไดรับการจัดการเรียนการสอนโดยใชแ บบฝก ทกั ษะ จะเห็นไดวา นกั เรียนมีคาเฉลย่ี ของ
คะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นสงู กวากอ นเรยี น ซึง่ เปน ไปตามสมมุติฐานท่ตี ัง้ ไว
ขอเสนอแนะ
1. ขอ เสนอแนะทัว่ ไป
1.1 ควรสนับสนุนใหมีการนําแบบฝกทักษะเกี่ยวกับขั้นตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm)
มาใชกับการเรยี นการสอนมากยงิ่ ขึน้
1.2 ควรจดั ใหม ีการฝก อบรมวชิ าวทิ ยาศาสตร (วทิ ยาการคาํ นวณ) ใหแ กครผู สู อนระดับชน้ั อ่นื เพอื่
ครูจะไดพฒั นากระบวนการเรียนการสอนอนั สงผลถึงความเจริญทางการศึกษาตอ ไปในอนาคต
2. ขอเสนอแนะในการวจิ ัยครงั้ ตอไป
2.1 ควรมีการสรางแบบฝกทักษะ มาใชกับเนื้อหาสาระการเรยี นวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยีใน
ชั้นอื่น ๆ ตอไป
2.2 ควรสงเสริมใหมีการศึกษาวิจัยพัฒนาการนําแนวคิดคํานวณไปชวยสอนในกลุมสาระการ
เรียนรูอน่ื ๆ เพิ่มมากยงิ่ ขน้ึ
2.3 การพัฒนาแบบทักษะขัน้ ตอนวิธีการแกปญหา (Algorithm) ควรเลือกเนื้อหาท่ีเหมาะสมกบั
วยั ของเดก็ นกั เรียนและเปนเรอื่ งไมย ากเกนิ ไป
25
บรรณานุกรม
ถวลั ย มาศจรัส และคณะ. (2550). แบบฝกหดั แบบฝกทกั ษะเพื่อพฒั นาการเรยี นรูผเู รยี นและการจัดทาํ
ผลงานวิชาการของขา ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา. พมิ พครงั้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ :
ธารอักษร.
บุญชม ศรีสะอาด. (2543). การวิจยั เบ้ืองตน . พมิ พคร้งั ท่ี 6. กรุงเทพฯ : สวุ ิริยาสาสน .
พวงรัตน ทวีรตั น. (2543). วธิ กี ารวิจยั ทางพฤติกรรมศาสตรแ ละสงั คมศาสตร. พิมพครง้ั ท่ี 8.
กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลัย.
พมิ ลรัตน ธนรัตพิมลกุล. (2546). ความพงึ พอใจในการปฏบิ ตั ิงานของครูแนะแนวในโรงเรยี นขยาย
โอกาสทางการศกึ ษาสงั กัดสาํ นกั งานการประถมศกึ ษา จังหวดั เชียงใหม. วทิ ยานพิ นธ
ปริญญามหาบัณฑติ , เชียงใหม : มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ:
โรงพมิ พช มุ นุมสหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทย.
กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2560). ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนรูแ กนกลาง กลุมสาระการเรียนรวู ทิ ยาศาสตร
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรปกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551.
พิมพครง้ั ท่ี 1. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพช มุ นุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย
26
ภาคผนวก
- ภาคผนวก ก การวเิ คราะหขอ มูลผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
กอ นเรยี นและหลงั เรยี นวชิ าวทิ ยาการคาํ นวณ ระดบั ชนั้
ประถมศึกษาปท่ี 2 ปการศกึ ษา 2563
- ภาคผนวก ข ผลคะแนนนกั เรียนจากการทาํ แบบฝกทักษะ
เรือ่ งข้นั ตอนวธิ ีการแกป ญ หา
- ภาคผนวก ค เคร่ืองมือวิจยั
27
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก ก
การวเิ คราะหข อมลู ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น กอนเรียน
และหลงั เรยี น วิชาวทิ ยาการคํานวณ
ระดับช้นั ประถมศกึ ษาปท ี่ 2 ปการศกึ ษา 2563
28
การวิเคราะหขอ มูลผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน กอ นเรยี นและหลังเรียน
วชิ าวิทยาการคํานวณ ระดับช้ันประถมศึกษาปท ี่ 2 ปการศึกษา 2563
คะแนนกอน คะแนน
เลขที่ ช่อื - สกลุ เรยี น Z -Score T - Score หลงั เรยี น Z -Score T - Score
10 10 0.35 53.50
-0.35 46.50
1 ด.ช.นพรตั น รงั ษีรมั ย 3 -2.45 25.51 7 1.05 60.50
2 ด.ช.ชัชวาลย สังทอง 1.05 60.50
3 ด.ช.วชิ ชากร แตมตอ 3 -2.45 25.51 6 0.35 53.50
4 ด.ช.ธนกฤติ สุวรรณา 1.05 60.50
5 ด.ช.สภุ กจิ ปะลติ ะวา 6 -0.35 46.50 8 1.75 67.49
6 ด.ช.ยศกร พานิช 0.35 53.50
7 ด.ช.วรัญชิต วรโพด 5 -1.05 39.50 8 1.05 60.50
8 ด.ช.นรากร พูนศิลป 0.35 53.50
9 ด.ช.ธรี เดช แพทอง 6 -0.35 46.50 7 -0.35 46.50
10 ด.ช.วิชาญ แซเ ตง็ 1.75 67.49
11 ด.ญ.จริ าภา สขุ แมน 6 -0.35 46.50 8 0.35 53.50
12 ด.ญ.ทอฝน นะรยั รมั ย 1.05 60.50
13 ด.ญ.กรี ตา พรอยศู รี 7 0.35 53.50 9 1.05 60.50
14 ด.ญ.พิรยิ ากร พรมบตุ ร 0.35 53.50
15 ด.ญ.พรรษา เตน็ รัมย 6 -0.35 46.50 7 0.35 53.50
1.05 60.50
16 ด.ญ.จันทรกานต เขียวขำ 7 0.35 53.50 8 0.35 53.50
1.05 60.50
17 ด.ญ.กมลรัตน เจริญไธสง 5 -1.05 39.50 7 1.75 67.49
0.35 53.50
18 ด.ญ.พมิ พญ าดา ชะรมั ย 4 -1.75 32.51 6 1.05 60.50
19 ด.ญ.พรพรรษา อนิ สุข -0.35 46.50
7 0.35 53.50 9
20 ด.ญ.จอมขวญั จรี ะวฒั นสุข
6 -0.35 46.50 7
21 ด.ญ.จริ าภา โพธริ ัตน
22 ด.ญ.วรกมล ปก โคทานงั 6 -0.35 46.50 8
23 ด.ญ.ภัทรนันท ละมา ย
24 ด.ญ.อแมนดา การาหซ ดั 6 -0.35 46.50 8
5 -1.05 39.50 7
6 -0.35 46.50 7
6 -0.35 46.50 8
5 -1.05 39.50 7
5 -1.05 39.50 8
7 0.35 53.50 9
5 -1.05 39.50 7
6 -0.35 46.50 8
4 -1.75 32.51 6
สรุป 29
คะแนนรวมทง้ั หมด 312.00
6.50
คา เฉล่ยี ของคะแนนทง้ั หมด หรอื 1.43
สวนเบยี่ งเบนมาตรฐาน หรอื S.D.
43.00
สรุป 57.00
13.99
T score กอ น เฉลี่ย 32.54
T score หลงั เฉล่ยี
ผลตา ง
เพ่ิมขึน้ คดิ เปนรอ ยละ
30
ภาคผภาคผนวก ขนวก ข
ผลคะแนนนักเรียนจากการทําแบบฝกทกั ษะ
เร่ืองขัน้ ตอนวธิ ีการแกป ญหา
31
ผลคะแนนนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปท ี่ 2 จากการทาํ แบบฝก ทกั ษะ เรอ่ื งขนั้ ตอนวธิ ีการแกป ญ หา
เลขท่ี ลาํ ดบั ที่ ชุดที่ 1 ชดุ ที่ 2 คะแนนระหวา งเรยี น ชดุ ที่ 5 รวม
คะแนน 5 คะแนน 5 ชุดท่ี 3 ชดุ ท่ี 4 คะแนน 5 คะแนน 25
1 ด.ช.นพรตั น รงั ษรี มั ย คะแนน 5 คะแนน 5
2 ด.ช.ชชั วาลย สงั ทอง 3 3 3 15
3 ด.ช.วิชชากร แตมตอ 3 3 33 3 15
4 ด.ช.ธนกฤติ สุวรรณา 5 4 33 4 21
5 ด.ช.สภุ กจิ ปะลิตะวา 4 4 44 4 20
6 ด.ช.ยศกร พานชิ 3 3 44 3 15
7 ด.ช.วรัญชิต วรโพด 4 4 33 4 20
8 ด.ช.นรากร พูนศลิ ป 5 5 44 4 24
9 ด.ช.ธีรเดช แพทอง 4 4 55 4 20
10 ด.ช.วิชาญ แซเ ต็ง 5 5 44 4 22
11 ด.ญ.จริ าภา สขุ แมน 4 4 44 4 20
12 ด.ญ.ทอฝน นะรัยรมั ย 3 3 44 3 15
13 ด.ญ.กรี ตา พรอยศู รี 5 5 33 5 25
14 ด.ญ.พริ ยิ ากร พรมบุตร 4 4 55 4 20
15 ด.ญ.พรรษา เต็นรมั ย 5 4 44 4 21
16 ด.ญ.จันทรกานต เขียวขำ 4 4 44 4 20
17 ด.ญ.กมลรัตน เจริญไธสง 4 4 44 4 20
18 ด.ญ.พมิ พญ าดา ชะรัมย 4 4 44 4 20
19 ด.ญ.พรพรรษา อนิ สขุ 5 5 44 4 23
20 ด.ญ.จอมขวัญ จีระวฒั นสขุ 4 4 54 4 20
21 ด.ญ.จริ าภา โพธิรตั น 5 5 44 4 23
22 ด.ญ.วรกมล ปก โคทานงั 5 5 54 4 24
23 ด.ญ.ภัทรนันท ละมาย 4 4 55 4 20
24 ด.ญ.อแมนดา การาหซ ดั 5 4 44 4 21
4 4 44 4 20
รวม 101 98 44 93 484
เฉลี่ย 4.21 4.08 97 95 3.88 20.17
รอ ยละ 84.17 81.67 4.04 3.96 77.50 80.67
80.83 79.17
32
ภาคผนวก ค
เครือ่ งมือวิจยั
33
แบบฝกทักษะเร่ือง ขน้ั ตอนวธิ กี ารแกปญหา
(Algorithm)
กลมุ สาระการเรยี นรวู ิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
วิชาวทิ ยาการคํานวณ ชั้นประถมศกึ ษาปท ี่ 2
ชื่อ........................................นามสกลุ ..............................
ช้ัน........................ เลขที่ .....................
โรงเรียนอนบุ าลคูเมอื ง
สังกดั สาํ นกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาบุรรี มั ย เขต 4
34
แบบฝก ทักษะเร่อื ง ขั้นตอนวธิ ีการแกปญหา (Algorithm) ก
คาํ นาํ
แบบฝกทกั ษะเรือ่ ง ขนั้ ตอนวิธีการแกปญ หา จดั ทําขึ้นสาํ หรับนกั เรียนช้ันประถมศึกษา
ปที่ 2 มีจุดมุงหมายเพื่อพัฒนาผูเรยี นใหมีความรูความเขา ใจเรื่องข้ันตอนวธิ ีการแกปญหา และ
เปนการเพิม่ พนู ทักษะกระบวนการตาง ๆ ในการเรียนเรอ่ื งการแกป ญหา สงเสรมิ ใหผ เู รียนมีเจต
คตทิ ด่ี ตี อ การเรียนเกย่ี วกบั การการปญหาในชีวิตประจาํ วันและกจิ กรรมการเรียนรูโดยใชแบบฝก
ทักษะเร่อื ง ขัน้ ตอนวธิ ีการแกปญ หา
หวงั เปนอยายิง่ วาจะเปนประโยชนต อการเรยี นการสอนขั้นตอนวิธกี ารแกป ญหาซง่ึ จะ
ชวยยกระดบั คณุ ภาพผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนประถมศึกษาปท ่ี 2 ใหมี
ประสทิ ธิภาพดียิ่งขน้ึ
นติ ิลกั ษณ เกลยี ววงศ
35
แบบฝกทักษะเร่ือง ข้ันตอนวธิ ีการแกปญ หา (Algorithm) ข
สารบญั หนา
คํานํา ก
สารบญั ข
คําชแี้ จง ค
1
แบบทดสอบกอ นเรียน 4
แบบฝกทักษะเหตผุ ลเชิงตรรกะ 6
แบบฝกทกั ษะอัลกอริทมึ (Algorithm) 7
แบบฝกทักษะการแสดงอัลกอรทิ มึ ดว ยขอความ 12
แบบฝกทกั ษะการแสดงอลั กอริทมึ ดว ยรหัสจาํ ลองหรอื ซโู ดโคด 15
แบบฝกทักษะการแสดงอลั กอริทมึ ดว ยผังงาน(flowchart) 24
แบบทดสอบหลังเรยี น 27
เฉลยแบบทดสอบกอนเรยี น-หลงั เรยี น
36
แบบฝก ทักษะเรอื่ ง ข้ันตอนวิธกี ารแกปญหา (Algorithm) ค
คําชแ้ี จง
1. แบบฝก ทักษะเรอื่ ง ขัน้ ตอนวิธกี ารแกป ญ หา (Algorithm) จัดทาํ ขน้ึ สาํ หรบั
นกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปท่ี 2 มจี ุดมงุ หมายเพือ่ พฒั นาผเู รยี นใหมคี วามรคู วามเขาใจ
เรอ่ื งขนั้ ตอนวิธีการแกป ญ หา และเปนการเพม่ิ พูนทกั ษะกระบ วนการตาง ๆ
ในการเรียน
2. แบบแบบฝก ทักษะนี้ ประกอบไปดว ย 5 ชดุ แบบฝก ดงั นี้
แบบฝก ทักษะเหตผุ ลเชิงตรรกะ
แบบฝก ทักษะอลั กอรทิ มึ (Algorithm)
แบบฝก ทกั ษะการแสดงอลั กอริทึมดวยขอความ
แบบฝก ทกั ษะการแสดงอลั กอรทิ มึ ดว ยรหสั จําลองหรอื ซูโดโคด
แบบฝก ทกั ษะการแสดงอลั กอริทมึ ดว ยผังงาน(flowchart)
3. ใหน ักเรียนทาํ แบบทดสอบกอนเรียน จํานวน 10 ขอ กอนจะทาํ แบบฝกทักษะ
ตามลาํ ดับ
4. เมื่อทาํ แบบฝก ครบทุกแบบฝกแลว ใหท าํ แบบทดสอบหลงั เรยี นจํานวน 10 ขอ
5. เฉลยคาํ ตอบ ใหตรวจคาํ ตอบทีค่ รผู ูส อน
แบบฝกทกั ษะเรื่อง ข้นั ตอนวิธกี ารแกป ญหา (Algorithm) 37
แบบทดสอบกอนเรยี น 1
ขัน้ ตอนวธิ ีการแกป ญหา (Algorithm)
คาํ ช้แี จง 1. ขอ สอบมีทง้ั หมด 10 ขอ 10 คะแนน คะแนนทีไ่ ด
2. ใหนักเรียนเลอื กคาํ ตอบทถ่ี ูกทส่ี ดุ เพยี งคาํ ตอบเดียว คะแนนเต็ม
10
1. บุคคลใดที่ไมใชเหตุผลเชงิ ตรรกะในการแกปญหา
ก. ฟา ใสเห็นทอ งฟา มืดคร้มึ จงึ ยังไมอ อกไปเลน นอกบาน
ข. ใบหมอนไมอยากฟนผจุ ึงแปรงฟน ทกุ คร้งั หลังรับประทานอาหาร
ค. สดุ ใจรองไหง อแงเพอ่ื จะใหคุณแมซ ้ือของเลนให
ง. ใยไหมตอ งการขามถนน จงึ เดินไปขึน้ สะพานลอย
2. พิจารณาภาพ
A B
A และ B ควรเปน รปู ใดตามลาํ ดบั
ก. และ ข. และ
ค. และ ง. และ
3. ขอใดมรี ปู แบบการจดั เรยี งรูปภาพเชน เดยี วกบั ท่ีกําหนดให
ก.
ข.
ค.
ง.
38
แบบฝกทกั ษะเร่ือง ข้ันตอนวิธีการแกปญ หา (Algorithm) 2
4.
543
72 ?3 74
สัญลกั ษณ ? คอื เลขอะไร
ก. 8 ข. 7
ค. 6 ง. 5
5. พจิ ารณาตวั เลขท่ีกําหนด 1 , 3 , 7 , 13 , 21 , 31 , …..
จํานวนตอไปควรเปน ขอใด
ก. 36 ข. 40
ค. 43 ง. 52
6. การแกปญหาแบบใดใชห ลักการเดียวกันกบั กระบวนการอลั กอรทิ มึ มากท่ีสดุ
ก. การบวกลบเลข
ข. การวาดภาพแรเงา
ค. การทอ งบทสวดมนต
ง. การทําโครงงานวิทยาศาสตร
7. “ตน ขา วมกั จะงวงนอนเวลาเรียนหนังสือ ตน ขา วจึงเรม่ิ หาสาเหตุของความความงวงนอน” ขอ
ใดนา จะเปนสาเหตขุ องปญหาน้ี
ก. ตน ขา วรับประทานอาหารไมตรงเวลา
ข. ตน ขา วชอบรับประทานขนมหวาน
ค. ตน ขาวชอบเลน เกมคอมพวิ เตอรตอนกลางคืน
ง. ตน ขา วมีสตปิ ญญาต่ํากวา เพ่อื นๆ
8. จากขอ 7 ตนขาวกําลงั อยูใ นขนั้ ตอนใดของอลั กอลิทึม
ก. เลือกวธิ ีการแกปญหาที่ไดผ ลลพั ธท่ีดที ่สี ุด
ข. เรียงลําดบั ข้นั ตอนการแกป ญ หา
ค. คิดวิธีการแกป ญหาใหหลากหลาย
ง. ทําความเขาใจปญหา
แบบฝก ทกั ษะเรื่อง ขน้ั ตอนวิธีการแกป ญหา (Algorithm) 39
พจิ ารณาผงั งานตอ ไปน้ใี ชตอบคาถามขอ 9 – 10 3
เร่มิ ตน
ปอปน้อขนอ ขม้อลู มูล
ใช A ไมใ ช
CD
9. จากผังงาน สญั ลกั ษณ B
ก.
ควรใชสญั ลกั ษณผ ังงานในขอ ใด
ค. ข.
ง.
10. B ควรเปน ขอความใด
ก. แสดงผล ข. วนซํา้
ค. ส้ินสุด ง. ถกู ตอ ง
40
แบบฝก ทกั ษะเรอ่ื ง ขัน้ ตอนวธิ ีการแกป ญหา (Algorithm) 4
แบบฝก ทักษะ เหตผุ ลเชงิ ตรรกะ
1 ตอบคําถามตอ ไปนี้
1) เหตุผลเชิงตรรกะ (Logical reasoning) คือ
……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
2 พิจารณาภาพท่ีกาํ หนด แลวเติมภาพที่หายไปใหถูกตอง
1)
2)
3)
4)
5)
41
แบบฝกทกั ษะเรอ่ื ง ข้ันตอนวิธกี ารแกป ญหา (Algorithm) 5
แบบฝกทักษะ เหตุผลเชิงตรรกะ
6) X X
X X O X XO X X O
O O O O XO
7) 5 6
2 24
4
22
8) 43
3 74
5
72
9)
10)
แบบฝกทกั ษะเรือ่ ง ขั้นตอนวิธีการแกปญ หา (Algorithm) 42
6
แบบฝกทักษะ อัลกอริทมึ (Algorithm)
1 ตอบคาํ ถามตอไปน้ี
1) อัลกอริทมึ (Algorithm) คือ
……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
อลั กอริทึม(Algorithm) มีข้ันตอน ดังน้ี
? ....................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
2) การแสดงอัลกอริทมึ ดว ยขอความ(Nutural Language) คือ
………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………
3) กการแสดงอัลกอริทมึ ดว ยรหัสจาํ ลองหรอื ซูโดโคด (Pseudocode)
คือ
………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………….........................................................
4) การแสดงอลั กอริทึมดว ยผังงานหรือโฟลวชารต(Flowchart) คือ
…………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………..
43
แบบฝก ทักษะเร่อื ง ขน้ั ตอนวธิ ีการแกป ญหา (Algorithm) 7
แบบฝกทกั ษะ
การแสดงอัลกอรทิ มึ ดว ยขอความ
คาํ ชีแ้ จง : ใหน กั เรียนเขียนอลั กอรทิ ึมขน้ั ตอนการตมไขด ว ยขอ ความ
1) ....................................................................... 2) .......................................................................
....................................................................... .......................................................................
.................................................. .................................................
3) ....................................................................... 4) .......................................................................
....................................................................... .......................................................................
.................................................. ..................................................
5) .......................................................................
.......................................................................
แบบฝกทกั ษะเรื่อง ขน้ั ตอนวธิ กี ารแกปญหา (Algorithm) 44
แบบฝกทักษะ 8
การแสดงอลั กอริทมึ ดว ยขอ ความ
คาํ ชแ้ี จง : ใหนักเรียนอา นสถานการณท ่ีกาํ หนดใหและเรยี งลําดับอัลกอรทิ ึม
ใหถ กู ตอง
สถานการณ 1 : โจตองการปด เครอ่ื งคอมพวิ เตอรหลงั จากเลกิ ใชง านแลว
เพื่อน ๆ ชวยโจปด เคร่อื งคอมพิวเตอรหนอ ยครับ
ลาํ ดบั ขน้ั ตอนการทาํ งาน
กดสวิตชเปด จอภาพ
ออกจากโปรแกรมทุกโปรแกรมกอ น
ใชเ มาสคลกิ เลอื กท่ปี มุ start
กดสวิตชสําหรับเปด เคร่อื งคอมพวิ เตอรก ดปมุ Power
เลอื กคําสัง่ Shut Down
จะปรากฏกรอบ Dialog Box ที่ชอ่ื วา Shut Down ข้นึ มาเลอื กคาํ ส่ัง
Shutdown
กดสวติ ชป ดจอภาพ
สถานการณ 2 : แตงกวาตอ งการคนหาขอ มลู ในอนิ เทอรเ น็ต เพื่อน ๆ ชวยบอกหนอ ย
ไดไ หมคะวา มขี ัน้ ตอนอยางไรบาง
ลําดับ ขน้ั ตอนการทํางาน
พมิ พข อมูลที่ตองการคนหา
กดปุม Enter ทคี่ ียบ อรด
พมิ พ Error! Hyperlink reference not valid.ชอง Address
เปด Web Browser
นําเมาสไ ปคลิกที่ปุมคนหาดวย Google
45
แบบฝกทักษะเรอื่ ง ขั้นตอนวธิ ีการแกป ญ หา (Algorithm) 9
แบบฝกทกั ษะ
การแสดงอลั กอรทิ ึมดวยขอ ความ
คาํ ชี้แจง : จากสถานการณล านจอดรถแหงหนึ่ง รถยนต A ตองขบั รถออกจาก
ลานจอดรถ (Exit) โดยรถแตล ะคันไมส มารถเล้ยี วได ทาํ ไดเ พยี งเดินหนาและถอยหลงั เทานน้ั
ใหน ักเรียนเขยี นอลั กอริทมึ ในการแกปญหาแบบขอ ความ
สถานการณ 1
B
A
X
Z
Y
ขัน้ ตอนวิธีการเลอื่ นรถ
................................................................................................................................
................................................................................................................................
................................................................................................................................
................................................................................................................................
BB B
46
แบบฝกทักษะเร่ือง ขนั้ ตอนวิธีการแกปญ หา (Algorithm) 10
แบบฝกทักษะ
การแสดงอลั กอรทิ มึ ดว ยขอ ความ
คาํ ช้แี จง : จากสถานการณลานจอดรถแหง หนง่ึ รถยนต A ตอ งขบั รถออกจากลานจอด
รถ(Exit) โดยรถแตล ะคันไมส มารถเลย้ี วได ทาํ ไดเพียงเดนิ หนาและถอยหลังเทา นนั้ ให
นกั เรยี นเขยี น
อลั กอริทมึ ในการแกป ญ หาแบบขอความ
สถานการณ 2
B
YZ
A
C
B
ขั้นตอนวิธีการเลอ่ื นรถ
................................................................................................................................
................................................................................................................................
................................................................................................................................
................................................................................................................................
BB B