รายงานการวิจยั
เรอ่ื ง การบรหิ ารการจดั การขยะในโรงเรยี นแมก่ ๋งวทิ ยา
สงั กัดสานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1
คณะผ้วู จิ ัย
นางพรณิชา ขัดฝ้ัน
นายสิทธศิ ักด์ิ บญุ มา
สานักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1
สานักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ
ปกี ารศกึ ษา 2564
ก
กิตตกิ รรมประกาศ
รายงานการวิจัยการบริหารการจัดการขยะในโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 โดยใช้หลักการบริหารแบบมีสว่ นร่วม 5 ร ครั้งนี้ สาเร็จได้ด้วย
ความช่วยเหลือจาก ดร.เอกฐสิทธิ์ กอบกา ผู้อานวยการกลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผลการจัด
การศึกษา สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 ที่กรุณาตรวจสอบ ด้านการ
วิเคราะห์ และรายงานการศึกษา ทาให้การศึกษาครั้งนี้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี จึงขอกราบขอบพระคุณ
ไว้ ณ โอกาสนี้เปน็ อย่างสงู
ขอกราบขอบพระคุณ นางศรีจันทร์ ทรายใจ ศึกษานิเทศก์ชานาญการพิเศษ สานักงานเขต
พื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 ท่ีกรุณาตรวจสอบ ด้านการวิเคราะห์ และรายงาน
การศกึ ษา ทาใหก้ ารศึกษาครั้งนีส้ าเร็จลลุ ว่ งไปด้วยดี จงึ ขอกราบขอบพระคณุ ไว้ ณ โอกาสนี้ เป็นอยา่ ง
สูง
ขอกราบขอบพระคุณ ดร.ศิริรัชญ์ ธิต๊ะ ผู้อานวยการโรงเรียนวัดน้าโท้ง สานักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 ที่กรุณาตรวจสอบ ด้านการวิเคราะห์ และรายงานการศึกษา
ทาให้การศึกษาคร้ังนีส้ าเรจ็ ลลุ ่วงไปดว้ ยดี จงึ ขอกราบขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนเี้ ป็นอย่างสูง
ขอขอบคุณคณะครู นักเรียนโรงเรียนบ้านแม่งาวใต้ ที่ให้ความร่วมมือในการศึกษาในคร้ังนี้
เป็นอยา่ งดี
คณุ ค่าและประโยชน์ใดท่ีพึงมีจากการศึกษาครงั้ นี้ ผ้ศู ึกษาขอมอบเป็นการตอบแทนพระคุณ
บิดา มารดา ญาติพ่ีน้อง ครูอาจารย์ ท่ีได้อบรมสั่งสอนประสิทธิประสาทวิชาความรู้ ตลอดจนให้
กาลังใจท่ีดแี ก่ผู้ศกึ ษา
พรณชิ า ขดั ฝัน้
ข
เรือ่ ง รายงานการวิจัยการศึกษาการบรหิ ารการจดั การขยะของโรงเรียน
แมก่ ง๋ วทิ ยา สงั กัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1
ช่ือผรู้ ายงาน นางพรณิชา ขัดฝน้ั ,นายสทิ ธิศกั ด์ิ บุญมา
สถานที่ศึกษา โรงเรียนแมก่ ๋งวิทยา อาเภอเมอื ง จงั หวัดลาปาง
ปีท่ที าการศกึ ษา สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาลาปาง เขต 1
2564
บทคัดยอ่
การวจิ ัยคร้ังนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความรู้ ความเข้าใจ ของครูผู้สอนก่อนและ
หลังการใช้คู่มอื การบริหารการจัดการขยะในโรงเรียนแมก่ ๋งวิทยา เพอ่ื ศกึ ษาผลการดาเนนิ งานพัฒนา
ระบบการบรหิ ารจัดการขยะของโรงเรียนแมก่ ๋งวทิ ยา โดยใชร้ ปู แบบการบรหิ ารจดั การแบบมีสว่ นรว่ ม
5 ร และเพื่อศึกษาความพงึ พอใจชองครผู สู้ อนและคณะกรรมการสภานักเรยี นโรงเรียนแมก่ ๋งวิทยาท่ีมี
ต่อการบริหารจัดการขยะแบบมีส่วนร่วม 5 ร โดยใช้หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม 5 ร ประชากรที่
ใช้ในการศึกษาในคร้ังน้ี ได้แก่ ครูผู้สอน จานวน 21 คน คณะกรรมการสภานักเรียน จานวน 20 คน
เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการศึกษาคร้ังน้ี คือ 1) คู่มือการบริหารการจัดการขยะใน
โรงเรียนแม่ก๋งวิทยา 2) แบบนิเทศ ติดตามการจัดกิจกรรมการแก้ปัญหาขยะในโรงเรียน 3)
แบบสอบถามความพึงพอใจของการบริหารการจัดการขยะในโรงเรียนแม่กง๋ วิทยา สงั กัดสานักงานเขต
พ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 สถติ ิทีใ่ ช้เปน็ รอ้ ยละ คา่ เฉลี่ย และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า การเปรียบเทียบความรู้ ความเขา้ ใจ ของครูผู้สอน ก่อนและหลังการใช้
คมู่ ือการบรหิ ารการจัดการขยะในโรงเรียนแม่ก๋งวทิ ยา หลังการปฏิบัติ อยใู่ นระดับดีมาก
ผลการประเมินติดตามการดาเนินการการบริหารการจัดการขยะในโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา
โดยใช้รูปแบบการบริหารการจัดการแบบมีส่วนร่วม 5 ร พบว่า ขั้นตอนที่ 1 การร่วมศึกษาความ
ต้องการ ทาให้ครูผู้สอนและคณะกรรมการสภานักเรียนรับทราบสภาพปัญหาปัจจุบันท่ีเกิดข้ึนใน
โรงเรียนแม่ก๋งวิทยา ขั้นตอนที่ 2 ร่วมวางแผน/ออกแบบ การบริหารจัดการขยะในโรงเรียนแม่ก๋ง
วิทยา ทาใหโ้ รงเรียนมีคมู่ ือการบริหารการจัดการขยะในโรงเรียน และครูผู้สอนนักเรียน มีเป้าหมาย
การจัดการขยะของโรงเรียน ข้ันตอนท่ี 3 ติดตามร่วมปฏิบัติ กิจกรรม การบริหารการจัดการขยะใน
โรงเรียนแม่ก๋งวิทยา ทาให้ครูผู้สอนมีรูปวิธีการการจัดการเรียนการสอน สรุปแบบชัดเจน ได้อย่าง
ค
เหมาะสมกับนักเรียน นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ในการจัดการขยะ มีความตระหนัก มีวินัย ใน
การจัดการบริหารขยะในโรงเรียน ขั้นตอนท่ี 4 ร่วมสรุปผลการดาเนินกิจกรรมการบริหารจัดการ
ขยะของโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา ทาให้โรงเรียน มีข้อมูลเก่ียวกับการแก้ไขปัญหาและรายงานผลการ
แก้ไขปัญหา ข้ันตอนท่ี 5 ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทาให้ทราบวิธีการแก้ปัญหา ของครูผู้สอนและ
นกั เรยี น โรงเรยี นมวี ิธกี ารบริหารจัดการขยะ และมีการเผยแพร่ผลงาน
ผลการประเมินติดตามการจัดกิจกรรมการแก้ปัญหาขยะในโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา โดยใช้
หลักการบรหิ ารแบบมสี ่วนร่วม 5 ร ของครูผู้สอน คณะกรรมการสภานักเรียนพบว่า ในภาพรวม อยู่
ในระดับมาก
ผลการประเมินความพึงพอใจของครูผู้สอน และคณะกรรมการสภานักเรียน ที่มีต่อการ
บริหารการจัดการขยะในโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา โดยใช้รูปแบบการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม 5 ร
พบว่า ในภาพรวมอยูใ่ นระดับอยู่ในระดบั มาก
ง หนา้
สารบัญ ก
ข
กิตตกิ รรมประกาศ ง
บทคดั ย่อ ฉ
สารบัญ ช
สารบัญตาราง 1
สารบญั ภาพ 1
บทที่ 1 บทนา 3
3
1.1 ที่มาและความสาคัญ 3
1.2 วัตถุประสงค์ 4
1.3 สมมตฐิ านการวจิ ัย 5
1.4 ขอบเขตของการวิจยั 6
1.5 นยิ ามศัพท์เฉพาะ 6
1.6 ประโยชน์ท่คี าดว่าจะไดร้ ับ 17
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัย 29
2.1 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวขอ้ งการบรหิ ารจัดการแบบมีสว่ นรว่ ม 35
2.2 แนวคดิ และทฤษฎีท่เี กย่ี วขอ้ งกับขยะในโรงเรียน 40
2.3 แนวคิดและทฤษฎีทเี่ ก่ียวข้องกับกระบวนการนิเทศ 47
2.4 แนวคิดและทฤษฎที ี่เก่ยี วข้องกบั ความพึงพอใจ 47
2.5 งานวิจยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง 47
บทท่ี 3 วิธกี ารดาเนนิ การวจิ ยั 47
3.1 ประชากร 49
3.2 เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการวิจยั 49
3.3 วธิ ดี าเนินการ 50
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมลู 51
3.5 การวิเคราะห์ขอ้ มลู 53
3.6 สถิติที่นามาใช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล
บทที่ 4 ผลและอภิปรายผลการวิจยั
4.1 ผลการเปรียบเทียบความรู้ ความเขา้ ใจ ก่อนและหลังการใชค้ ูม่ ือ
การบริหารการจัดการขยะในโรงเรียนแม่กง๋ วิทยา
จ
4.2 ผลการดาเนินงานการบริหารการจดั การขยะในโรงเรยี นแม่ก๋งวิทยา 53
สงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1
โดยใชร้ ูปแบบการบรหิ ารจัดการแบบมสี ่วนรว่ ม 5 ร 55
57
4.3 ผลการจดั กจิ กรรมการแก้ปญั หาขยะในโรงเรียนแมก่ ๋งวิทยา
4.4 ความพึงพอใจของการบรหิ ารการจดั การขยะในโรงเรียนแม่กง๋ วทิ ยา 59
59
โดยใช้หลักการบรหิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม 5 ร 61
บทท่ี 5 สรุปผลการวิจัย 64
66
5.1 สรปุ ผลการวจิ ัย 71
5.2 อภปิ รายผลการวจิ ยั 71
5.3 ข้อเสนอแนะ 73
บรรณานกุ รม 85
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก รายชอ่ื ผูเ้ ชี่ยวชาญตรวจสอบเคร่ืองมือที่ใช้ในการทาวจิ ัย 96
ภาคผนวก ข เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการศึกษา
ภาคผนวก ค ภาพกิจกรรมการบรหิ ารการจดั การขยะในโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา
โดยใชห้ ลักการบรหิ ารแบบมีส่วนรว่ ม 5 ร
ประวัติโดยยอ่ ผู้วิจยั
ฉ
สารบญั ตาราง หน้า
53
ตารางที่ 4.1 แสดงผลการเปรยี บเทียบความรู้ ความเข้าใจของครูผสู้ อนโรงเรียนแม่กง๋ วิทยา 55
สงั กัดสานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1
การใช้คู่มอื การบริหารการจัดการขยะในโรงเรียนแม่กง๋ วิทยา 57
ตารางท่ี 4.2 แสดงค่าเฉลี่ย (μ ) และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน
ผลการจัดกิจกรรมการแก้ปัญหาขยะในโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา
โดยใชห้ ลกั การบรหิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม 5 ร
ของคณะกรรมการสภานกั เรยี นและคณะครผู สู้ อน โรงเรียนแม่กง๋ วิทยา
สงั กัดสานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาลาปาง เขต 1
ตารางท่ี 4.4 แสดงค่าเฉล่ีย (μ ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) ความพงึ พอใจ
ของคณะกรรมการสภานกั เรียนและคณะครผู ู้สอน
ในการบริหารจดั การขยะในโรงเรยี นแมก่ ๋งวทิ ยา
สงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1
ช หนา้
สารบญั ภาพ 10
16
แผนภาพที่ 2.1 องคป์ ระกอบของการบริหาร
แผนภาพท่ี 2.2 รปู แบบการบริหารจัดการแบบมีสว่ นรว่ ม 5 ร 21
32
ของสานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 33
แผนภาพที่ 2.3 แนวคิดการจัดการขยะ Zero Waste
แผนภาพที่ 2.4 กรอบแนวคิดกระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)
แผนภาพท่ี 2.5 กรอบแนวคิดการบรหิ ารจัดการขยะในโรงเรยี น
โดยใชก้ ระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)
บทท่ี 1
บทนา
1.1 ความเปน็ มาและสภาพปัจจบุ นั ปญั หา
สภาพปัญหาขยะกาลังเป็นปัญหาสาคัญระดับโลกหลายประเทศให้ความสนใจกับการ
แกป้ ัญหาขยะทีก่ าลังก่อใหเ้ กิดผลกระทบกบั ระบบต่าง ๆ อีกมากมายท้งั เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดลอ้ ม
และผลกระทบโดยตรงกบั ส่งิ มชี ีวติ ทกุ ชวี ิตท่ดี ารงอยู่บนโลกใบนี้ สยามรัฐ (24 กันยายน 2561) ซ่ึงจาก
การสรุปสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2561 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(2562 : 35) พบว่า ปริมาณ ขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศในปี 2560 ประมาณ 27.40 ล้านตัน
หรือ 75,046 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.26 จากสภาพปัญหาข้างต้นรัฐบาลไทย มุ่งการจัดการกับ
ปัญหาขยะมูลฝอยท่ีสะสมอยู่เป็นจานวนมากอันส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและอาจเป็นอันตรายต่อ
สขุ ภาพของประชาชน จงึ ควรกาหนดระเบียบการปฏิบัตริ าชการเพ่ือกาหนดขั้นตอนการดาเนินการใน
การแก้ปัญหาการจัดการ ขยะมูลฝอยให้เป็นระบบและมีประสทิ ธิภาพ แผนพฒั นาสังคมและเศรษฐกิจ
แห่งชาติ ฉบับที่ 12 (2560-2564) ได้กล่าวถึงการนา ขยะท่ีเกิดขึ้นมาใช้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 75 และ
สัดส่วนของขยะอันตรายจะต้องถูกกาจัดอย่างถูกต้องไม่น้อยกว่า ร้อยละ 30 กรอบ ยุทธศาสตร์ชาติ
ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579)
ในยุทธศาสตร์ชาติท่ี 5 ดา้ นการสร้างการเตบิ โตบนคุณภาพชีวติ ท่ีเปน็ มิตรกบั สงิ่ แวดล้อม
สู่แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ.2559-2564) ระบุมาตรการกาจัดขยะ
มูลฝอยและของ เสียอันตราย ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ (1) มาตรการลดการเกิดขยะมูลฝอย
และของเสียอันตรายที่แหล่งกาเนิด (2) มาตรการเพ่ิมศักยภาพการกาจัดขยะมูลฝอยและของเสีย
อันตราย (3) มาตรฐานส่งเสริมการบริหารจัดการขยะและของเสีย อันตราย ในการนาหลักการด้าน
3R มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ของ
ประเทศ (กรมควบคมุ มลพษิ ,2561)
การบริหารจัดการขยะเพื่อลดขยะมูลฝอยเป็นการชว่ ยลดการเพม่ิ ขึน้ ของปรมิ าณขยะ ซ่ึงมี
วิธกี ารในการคัดแยกขยะดังน้ี
1. ขยะย่อยสลาย (ขยะอินทรีย์) เป็นของที่เน่าเสียและย่อยสลายได้ง่ายตามธรรมชาติ
ได้แก่ เศษอาหาร เศษผกั เปลอื กผลไม้ ใบไมแ้ หง้ ซากสตั ว์ ฯลฯ บริหารจัดการ ดงั นี้
1.1 จดั ทาภาชนะกาจัดขยะเปยี กของโรงเรียน
1.2 ขุดหลมุ ฝงั หรอื นาไปแปรรูปเปน็ ปุ๋ยอนิ ทรยี ์ หรือน้าหมกั อินทรีย์
1.3 นาไปเลยี้ งสตั ว์
2
2. ขยะรีไซเคิล เป็นขยะที่สามารถคัดแยกเพ่ือนาไปรีไซเคิลใหม่ได้ (นาไปขายได้) ได้แก่
แกว้ กระดาษ พลาสติก โลหะ/อโลหะ และยาง ฯลฯ ประชาชนคัดแยกและรวบรวมนาไปจาหน่าย ณ
ธนาคารขยะของโรงเรียน
3. ขยะมูลฝอยที่เป็นพิษหรือขยะอันตรายชุมชน เป็นขยะท่ีมีความเป็นอันตราย หรือมี
ส่วนประกอบที่ เป็นสารท่ีเป็นอันตราย ได้แก่ ขวดหรือภาชนะใส่เคมีภัณฑ์ ถ่านไฟฉายใช้แล้ว
แบตเตอรี่ กระป๋องสเปรย์บรรจุ สารเคมี ตลับหมึกใช้แล้ว หลอดไฟ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ให้
นาไปรวบรวมไว้ ณ ที่ท้ิงขยะของโรงเรียน เพ่ือองค์การบริหารส่วนตาบลบ้านเป้าจะได้ดาเนินการ
ตอ่ ไป
4. ขยะท่ัวไป เป็นขยะท่ีไม่มีคุณสมบัติตามขยะ ๓ ประเภทข้างต้น โดยย่อยสลายยาก
นาไป รีไซเคิลไม่ได้ หรือนาไปรีไซเคิลไม่คุ้มทุน และไม่เป็นอันตราย ได้แก่ ซอง/ถุงขนมขบเค้ียว ถุง
บะหมี่กึ่งสาเรจ็ รูป ถุงพลาสติก/กล่องโฟมเปือ้ นอาหาร หลอดกาแฟ ซองกาแฟ ฯลฯ ใหก้ าจดั ตาม
ความเหมาะสมโดยไมก่ ระทบตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม
5. ปฏิเสธและลดการใช้ถุงพลาสติกและโฟม ร่วมกันใช้ถุงผ้า หรือถุงขนาดใหญ่ที่ย่อย
สลายได้แทนการใช้ถงุ พลาสตกิ และโฟม
โรงเรียนแม่ก๋งวิทยาเป็นโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
ประถมศึกษา ลาปาง เขต 1 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ มี
จานวนนักเรียน 151 คน บุคลากรทางการศึกษาจานวน 21 คน รวม 171 คน ในปีการศึกษา 2564
โรงเรียนได้ดาเนินการศึกษาปญั หาที่เกิดขึ้นจากการจัดการขยะในโรงเรยี น พบว่าขยะท่ีเกิดขน้ึ ภายใน
โรงเรียน คือ ขยะอินทรีย์ จาพวก เศษอาหาร เศษใบไม้ กิ่งไม้ ขยะรีไซเคิล จาพวก ขวดน้าพลาสติก
กล่องนม ถุงนม และขยะขยะท่ัวไป จาพวกเศษพลาสติก ซึ่งมีจานวนของปริมาณขยะเพ่ิมข้ึนอย่าง
ตอ่ เน่ืองจึงสง่ ผลกระทบต่อสภาพแวดลอ้ มของโรงเรียนโรงเรยี นแม่กง๋ วิทยา
ดังน้ัน การจัดกิจกรรมในการเสริมสร้างทักษะให้แก่คณะครู นักเรียน จึงเป็นแนวทางในการ
สร้างสรรค์นวัตกรรมในการนาขยะจากการเหลือใช้กลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีคุณค่าและควร
พัฒนาการจัดการขยะ ที่กาลังเป็นปัญหาระดับโรงเรียน และส่งผลต่อภาพลักษณ์ รวมถึงการคัดแยก
ขยะ การลดการใช้ให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน การบริการชุมชน ชุมชนท่ีเกิดสภาวะขาดความ
เช่ือมั่นในการบริหารจัดการ การส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการขยะ และสืบเนื่อง ต่อพฤติกรรมของ
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในการเป็นต้นแบบที่ดีในการพัฒนาพฤติกรรม ซึ่งเน้นการ
บริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม 5 ร จานวน 5 ข้ันตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ร่วมศึกษา ขั้นตอนที่ 2 ร่วม
วางแผน ข้นั ตอนที่ 3 รว่ มปฏบิ ตั ิ ขั้นตอน ที่ 4 ร่วมสรุป และข้ันตอนท่ี 5 รว่ มแลกเปล่ียนเรยี นรู้
3
ดว้ ยเหตผุ ลดังได้กล่าวมาข้างต้น จึงทาใหค้ ณะผู้วจิ ัยการบริหารการจดั การขยะในโรงเรยี นแม่
ก๋งวิทยา โดยใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม 5 ร จานวน 5 ข้ันตอน คือ ข้ันตอนท่ี 1 ร่วมศึกษา
ขั้นตอนท่ี 2 ร่วมวางแผน ข้ันตอนท่ี 3 ร่วมปฏิบัติ ข้ันตอน ท่ี 4 ร่วมสรุป และข้ันตอนที่ 5 ร่วม
แลกเปล่ียนเรียนรู้ ในการสร้างความตระหนักรู้ในการจัดการขยะเก่ียวกับการใช้ประโยชน์และการ
จัดการบริหารขยะในโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา เพื่อให้ทราบถึงกระบวนการในการดาเนินงานอย่างมีส่วน
รว่ มในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบริหารจัดการขยะอนิ ทรีย์ที่ทาให้โรงเรียนแม่ก๋งวิทยาได้
นามาใช้ประโยชน์ อาทิ การทาปุ๋ยหมักจากเศษใบไม้ เศษหญ้า การบริหารการจัดการขยะรีไซเคิล
สามารถนามาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ อาทิ นามาขวดน้าพลาสติกมาประดิษฐ์เป็นกระถางต้นไม้ ส่วน
การบริหารจัดการขยะท่ัวไป ทาให้โรงเรียนเกิดความสะอาดและมีบรรยากาศที่ดีต่อการเรียนรู้
นอกจากน้ียงั เป็นการดาเนินกิจกรรมทเ่ี สรมิ สร้างทักษะอาชีพที่สามารถสร้างรายไดใ้ ห้แก่นกั เรยี นและ
โรงเรยี นได้อยา่ งย่ังยนื
1.2 วตั ถุประสงค์
1.2.1 เพ่ือเปรียบเทียบความรู้ ความเข้าใจ ของครูผู้สอน ก่อนและหลังการใช้คู่มือการ
บริหารการจัดการขยะในโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาลาปาง
เขต 1
1.2.2 เพ่ือศึกษาผลการดาเนินงานพัฒนาระบบการบริหารจัดการขยะของโรงเรียนแม่ก๋ง
วิทยา สงั กดั สานักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 โดยใช้รปู แบบการบริหารจดั การ
แบบมีส่วนร่วม 5 ร
1.2.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจชองครูผู้สอนและคณะกรรมการสภานักเรียนโรงเรยี นแม่ก๋ง
วทิ ยาทมี่ ีตอ่ การบรหิ ารจัดการขยะแบบมสี ว่ นรว่ ม 5 ร
1.3 ขอบเขตการศึกษา
1.3.1 ขอบเขตเนอ้ื หา
การศกึ ษาครงั้ นี้ เป็นการศึกษาการบรหิ ารจดั การขยะ 3 ประเภท คือ
1) ขยะอินทรีย์
2) ขยะรีไซเคลิ
3) ขยะทั่วไป
4
1.3.2 ขอบเขตดา้ นประชากร
1) ประชากรที่ใช้ในการศึกษาในคร้ังนี้เป็นครูผู้สอนและคณะกรรมการสภานักเรียน
โรงเรียนแม่ก๋งวิทยา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 ปีการศึกษา
2564 จาแนกเปน็
(1) ครผู สู้ อน จานวน 21 คน
(2) คณะกรรมการสภานักเรียน จานวน 20 คน
1.3.3 ตวั แปร
1) ตัวแปรตน้ คอื การบริหารจัดแบบมีส่วนรว่ ม 5 ร จานวน 5 ขัน้ ตอน คอื ขั้นตอน
ท่ี 1 ร่วมศึกษา ขั้นตอนท่ี 2 ร่วมวางแผน ข้ันตอนที่ 3 ร่วมปฏิบัติ ขั้นตอนที่ 4 ร่วมสรุป
ขนั้ ตอนท่ี 5 รว่ มแลกเปลีย่ นเรียนรู้
2) ตัวแปรตาม คือ
1) ความรู้ ความเขา้ ใจขยะ
2) การปฏบิ ัติงาน
3) ความพงึ พอใจ
1.4 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ
1. การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม หมายถึง การบริหารจัดการขยะในโรงเรียน โดยเน้น
การมีส่วนร่วมของบุคลากรในโรงเรียน ซึ่งเน้นการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม 5 ร จานวน 5
ขน้ั ตอน คือ ขั้นตอนท่ี 1 ร่วมศึกษา ขั้นตอนท่ี 2 ร่วมวางแผน ขั้นตอนท่ี 3 ร่วมปฏบิ ัติ ขั้นตอน ที่ 4
รว่ มสรปุ และขนั้ ตอนที่ 5 รว่ มแลกเปลีย่ นเรียนรู้
2. ร่วมศึกษา หมายถึง ผูบ้ ริหารโรงเรยี น ครูผู้สอน และนักเรยี นรว่ มกนั ศึกษาสภาพปจั จุบัน
ปัญหาเกี่ยวกับขยะอินทรีย์ ขยะรีไซคเคิล ขยะท่ัวไปในโรงเรียนแม่ก๋งวทิ ยา ว่ามขี ยะประเภทใดบ้างท่ี
เป็นปัญหา และสาเหตุของปัญหาเกิด จากอะไร พร้อมกับศึกษาความต้องการของครูผู้สอนและ
นักเรียน เพือ่ จะไดน้ ามาแกป้ ญั หาขยะในโรงเรยี น
3. ร่วมวางแผน หมายถึงผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียนนาเอาปัญหาในการ
ดาเนินการจัดการขยะในโรงเรยี นแม่กง๋ วิทยาร่วมกันประชุมวางแผน กาหนดตัวช้ีวัดความสาเร็จ เพื่อ
ออกแบบวิธีการ ส่ือ นวัตกรรม เครื่องมือการติดตามของโรงเรียน โดยบุคลากรในแต่ละกลุ่ม ร่วม
วางแผนการดาเนินการขยะในโรงเรียนท่ีคาดว่าจะประสบผลสาเร็จตามโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ
เพอื่ นามาแกป้ ัญหาขยะในโรงเรยี นแมก่ ง๋ วิทยา
5
4. ร่วมปฏิบัติ หมายถึงผู้บรหิ ารโรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียนร่วมปฏิบัติงานตามนโยบาย
โดยดาเนินการตามโครงการและกิจกรรมของกลุ่มต่าง ๆ และติดตามตรวจสอบ ประเมินผลโดยใช้
กระบวนการ 5
5. รว่ มสรปุ หมายถงึ ผู้บริหารโรงเรยี น ครผู ู้สอน และนักเรียน มารว่ มวิเคราะห์ สงั เคราะห์
ข้อมูลและร่วมสรุปผลการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่โรงเรียนได้ดาเนินการว่าบรรลุวัตถุประสงค์หรือ
เปน็ ไปตามแผนงานทีไ่ ดว้ างไว้ เพือ่ นามาปรบั ปรงุ /แกไ้ ข/พัฒนา ให้ดขี ึ้นตอ่ ไป
6. รว่ มแลกเปล่ียนเรียนรู้ หมายถงึ ผ้บู ริหารโรงเรยี น ครผู ู้สอน และนักเรียนร่วมแลกเปลี่ยน
เรียนรู้ ชน่ื ชมความสาเรจ็ ของผู้บริหารโรงเรียน ครแู ละนักเรยี นในผลงานท่ีรับผดิ ชอบและนาผลงานที่
ประสบความสาเร็จมาแลกเปล่ียนเรียนรู้และช่ืนชมความสาเร็จของงานร่วมกัน และโรงเรียนมีการ
มอบรางวัลสาหรับพื้นท่ีที่สามารถดาเนินการจัดการขยะได้ดี มีการเผยแพร่การปฏิบัติงานท่ีดี ผ่าน
เว็บไซต์และสารสนเทศของโรงเรียน ส่งข้อมูลเผยแพร่ไปท่สี านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
ลาปาง เขต 1
7. ผลการจัดกิจกรรมการแก้ปัญหา หมายถึง ผลการจัดกิจกรรมการแก้ปัญหาขยะในโรงเรียนแม่
กง๋ วทิ ยา
8. ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจของผู้บริหาร ครูและบุคลากร นักเรียน ในการจัด การ
แกป้ ัญหาขยะในโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา
9. ครูผู้สอน หมายถึง ครูผู้สอนโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา.สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
ประถมศกึ ษาลาปาง เขต 1 ปกี ารศึกษา 2564 ที่ร่วมการดาเนินการกิจกรรมขยะ
10. คณะกรรมการสภานักเรียน หมายถึง คณะกรรมการนักเรยี นโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา.สังกัด
สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 ปีการศึกษา 2564 ท่ีร่วมการดาเนินการ
กจิ กรรมขยะ
1.5 ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รบั
ได้รูปแบบการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมในการการบริหารการจัดการขยะในโรงเรียน
แม่ก๋งวิทยาเหมาะสมกับสภาพบริบทของโรงเรียนแม่ก๋งวิทยาส่งผลให้โรงเรียนมีทัศนียภาพและ
สง่ิ แวดลอ้ มท้งั ในห้องเรยี นและนอกโรงเรยี นสวยงามรม่ รน่ื เอือ้ ตอ่ การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน
บทท่ี 2
เอกสารงานวิจยั ท่เี ก่ียวขอ้ ง
รายงานวิจัยการส่งเสริมการบริหารจัดการขยะในโรงเรียนแม่ก๋งวิทยาโดยใช้รูปแบบการบริหาร
จัดการแบบมีส่วนร่วม 5 ร จานวน 5 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนท่ี 1 ร่วมศึกษา ขั้นตอนที่ 2 ร่วมวางแผน
ขั้นตอนที่ 3 ร่วมปฏิบัติ ขั้นตอนท่ี 4 ร่วมสรุป และขั้นตอนท่ี 5 ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยได้กาหนด
สาระสาคญั ประกอบด้วยหวั ข้อตามลาดบั ดังตอ่ ไปนี้
2.1 แนวคดิ และทฤษฎที เี่ กี่ยวข้องการบริหารจดั การแบบมสี ว่ นรว่ ม
2.1.1 ความหมายของการบริหารจดั การ
2.1.2 แนวคิดในการบรหิ ารจัดการ (management concepts)
2.1.3 องค์ประกอบของการบริหารจัดการ
2.1.4 แนวคิดดา้ นการมีสว่ นร่วม
2.1.5 การบริหารจัดการแบบมสี ว่ นร่วมในการบริหารจดั การขยะในโรงเรยี น
2.2 แนวคิดและทฤษฎที เ่ี กี่ยวข้องกับขยะในโรงเรยี น
2.2.1 ความหมายของขยะ
2.2.2 ประเภทของขยะ
2.2.3 สาเหตทุ ่ีทาให้เกิดปญั หาขยะในโรงเรียน
2.2.4 ผลกระทบทเ่ี กิดจากขยะในโรงเรยี น
2.2.5 นโยบายสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ การจัดการขยะของ สพฐ. สโู่ รงเรยี นปลอดขยะ
2.2.6 หลักการบริหารจดั การขยะในโรงเรยี น
2.3 แนวคิดและทฤษฎที ี่เกี่ยวขอ้ งกับกระบวนการนเิ ทศ
3.3.1 ความหมายของการนิเทศ
3.3.2 กระบวนการนิเทศการศึกษา
3.3.3 กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)
2.4 แนวคดิ และทฤษฎที ีเ่ ก่ยี วข้องกบั ความพึงพอใจ
2.5 งานวิจัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง
โดยเอกสารงานวิจัยทีเ่ กีย่ วขอ้ งมรี ายละเอยี ด ตอ่ ไปนี้
2.1 แนวคิดและทฤษฎที ีเ่ กี่ยวข้องกบั การบรหิ ารจดั การ
2.1.1 ความหมายของการบริหารจัดการ
คาว่า “บริหารจัดการ” มาจากคาหลัก 2 คา คือ “บริหาร” และ“จัดการ” ซึ่งท้ัง 2 คา
มีความหมายตามท่ปี รากฏในพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ดังน้ี
7
คาว่า “บริหาร” เป็นคากิริยา มีหลายความหมาย ได้แก่ ออกกาลัง ปกครอง ดาเนินการจัดการ
ราชบณั ฑิตยสถาน (2546 : 609) ในขณะท่ีคาว่า “จัดการ” เป็นคากิริยาเช่นเดียวกัน มีความหมายว่า
ส่ังงาน ควบคุมงาน ดาเนนิ การ ราชบัณฑติ ยสถาน (2546 : 298)
คาว่า “บริหาร” มาจากคาว่า“administrative” ซ่ึงหมายถึง สิ่งที่สัมพันธ์กับการจัดการ
และงานซึ่งจาเป็นต้องมีการควบคุมการบริหารงานให้เป็นไปตามแผนหรือการจัดการอย่างเป็นระบบ
เช่น การบริหารงาน การบริหารปัญหา เป็นต้น (dictionary.cambridge.org, online) ในขณะท่ีคาว่า
“การจัดการ” มาจากคาวา่ “management” ซง่ึ หมายถงึ การควบคุมหรือการจดั การบางสิ่งอย่างเป็นระบบ
(dictionary.Cambridge.org, online)
โชติ บดีรัฐ (2558 : 3) ได้สรุปความหมายจากนักวิชาการต่าง ๆ ไว้ว่า “การบริหาร” เป็น
กระบวนการของกจิ กรรมที่ต่อเนื่องและประสานงานกันโดยทุกฝา่ ยเขา้ มาช่วยเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย
ขององคก์ าร
วิรัช วิรัชนิภาวรรณ (2559 : 2 - 3) ได้กล่าวถึงความหมายของ “การบริหาร”ท่ีบางคร้ังเรียกว่า
“การบรหิ ารจดั การ” ไว้ 2 แนวทาง โดยความหมายแรกเป็นการนาปจั จัยที่มสี ว่ นสาคัญต่อการบริหาร
มาเปน็ แนวทางในการให้ความหมายซง่ึ “การบรหิ ารหรือการบริหารจัดการ” หมายถงึ การดาเนนิ งาน
หรือการปฏบิ ัติใดๆ ของหน่วยงานภาครัฐ และ/หรือเจา้ หน้าที่ของรัฐ (ถ้าเปน็ หน่วยงานภาคเอกชน หมายถึง
ของหน่วยงานและ / หรือบคุ คล) ที่เก่ยี วข้องกับคน สิ่งของและหนว่ ยงาน เช่น (1) การบริหารคน (man)
(2) การบรหิ ารเงิน (money) (3) การบรหิ ารวัสดุอุปกรณ์ (material) (4) การบริหารงานท่ัวไป (management) (5)
การบริหารการให้บริการประชาชน (market)(6)การบริหารคุณธรรม (morality)(7)การบริหารข้อมูลข่าวสาร
(message) (8) การบรหิ ารเวลา (minute) และ (9) การบริหารการวัดผล (measurement) เปน็ ตน้
จากความหมายท่ีกล่าวถึงท้ังหมดข้างต้น แสดงให้เห็นว่า “การบริหาร administration)”
และ “การจัดการ (management)” เปน็ คาทมี่ คี วามหมายใกล้เคียงกันสามารถใชแ้ ทนกันได้ “การบรหิ าร”
นิยมใช้ในภาครัฐส่วน “การจัดการ” นิยมใช้ในภาคเอกชนหรือภาคธุรกิจนอกจากน้ี “การบริหารบางคร้ัง
กเ็ รียกว่า “การบริหารจัดการ” การให้ความหมายของ “การบริหารจัดการ” นั้นได้มีการนาหลักวิชาการ
ดา้ นการบริหาร มาเป็นกรอบในการกาหนดความหมายเพ่ือให้ความหมายครอบคลุมเน้อื หาสาระสาคัญ
ทเ่ี กี่ยวกับการบริหาร ชัดเจน เข้าใจง่าย ซงึ่ สรุปได้ว่า การบรหิ ารจดั การ หมายถงึ การดาเนนิ งาน หรอื การปฏบิ ัติใดๆ
ของหนว่ ยงาน และ/หรือเจา้ หนา้ ท่ีของหนว่ ยงานที่เกี่ยวขอ้ งกบั คนสง่ิ ของและหนว่ ยงาน
2.1.2 แนวคดิ ในการบรหิ ารจดั การ (management concepts)
การบริหารจัดการท่ีมีประสิทธิภาพจะต้องมีการแบ่งงานกันทาตามความเหมาะสมและ
ความจาเป็นเพื่อให้การทางานของหน่วยงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้มีผู้กล่าวถึงแนวคิด ในการ
บรหิ ารไวต้ า่ งๆ ดังน้ี
8
สาคร สขุ ศรวี งศ์ (2550 : 45) กลา่ วถงึ แนวคดิ การจัดการสามารถแบง่ ได้ ดงั น้ี
1) แนวคดิ การจดั การเชงิ วทิ ยาศาสตร์
2) แนวคิดการจัดการเชิงบรหิ าร
3) แนวคดิ การจัดการเชิงพฤติกรรม
4) แนวคดิ การจัดการเชงิ ปริมาณ
5) แนวคดิ การจัดการรว่ มสมัย
ศริวรรณ เสรีรัตน์และคณะ (2552 : 19) ได้กล่าวไว้ถึงแนวคิดในการบริหารจัดการโดย
แบ่งตามหนา้ ทีข่ องการบรหิ ารจดั การออกเป็น 4 หน้าทค่ี อื
1) การวางแผนเป็นขั้นตอนในการกาหนดวัตถุประสงค์และพิจารณาถึงวิธีการที่ควร
ปฏิบตั ิเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์น้ัน ดังนั้นผู้บริหารจงึ ต้องตัดสินใจว่าองค์กรมีวัตถุประสงค์อะไรในอนาคต
และจะตอ้ งดาเนนิ การอยา่ งไรเพ่ือให้บรรลผุ ลสาเรจ็ ตามวัตถุประสงค์นน้ั ลักษณะการวางแผนมดี ังน้ี
1.1) การดาเนนิ การตรวจสอบตัวเอง เพ่ือกาหนดสถานภาพในปัจจบุ ันขององคก์ าร
1.2) การสารวจสภาพแวดล้อม
1.3) การกาหนดวัตถุประสงค์
1.4) การพยากรณสถานการณใ์ นอนาคต
1.5) การกาหนดแนวทางปฏบิ ตั ิงานและความจาเป็นในการใช้ทรัพยากร
1.6) การประเมินแนวทางการปฏิบัติงานท่ีวางไว้
1.7) การทบทวนและปรับแผนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงและผลลัพธ์ของการควบคุม
ไมเ่ ป็นไปตามทก่ี าหนด
1.8) การตดิ ตอ่ ส่ือสารในกระบวนการของการวางแผนเป็นไปอยา่ งทว่ั ถึง
2) การจัดองค์การ เป็นขน้ั ตอนในการจดั หาบุคคลและทรัพยากรท่ใี ช้สาหรับการทางานเพ่ือให้
บรรลุจุดมุ่งหมายในการทางานนั้นหรือเป็นการจัดแบ่งงานและจัดสรรทรัพยากรสาหรับงานเพ่ือให้
งานเหล่านั้นสาเร็จ การจัดองค์ประกอบด้วย
2.1) การระบุและอธิบายงานทจ่ี ะถูกนาไปดาเนินการ
2.2) การกระจายงานออกเปน็ หนา้ ที่
2.3) การรวมหน้าที่ตา่ งๆ เขา้ เป็นตาแหน่งงาน
2.4) การอธิบายสง่ิ ทจ่ี าเป็นหรือความต้องการของตาแหน่งงาน
2.5) การรวมตาแหน่งงานต่าง ๆ เป็นหน่วยงานท่ีมีความสัมพันธ์อย่างเหมาะสมและ
สามารถบริหารจัดการได้
2.6) การมอบหมายงาน ความรับผิดชอบและอานาจหน้าที่
9
2.7) การทบทวนและปรับโครงสร้างขององค์กรเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงและ
ผลลพั ธ์ของการควบคุมไม่เป็นไปตามทีก่ าหนด
2.8) การตดิ ตอ่ สอื่ สารในกระบวนการของการจัดองค์เปน็ ไปอยา่ งท่วั ถงึ
2.9) การกาหนดความจาเป็นของทรพั ยากรมนุษย์
2.10) การสรรหาผู้ปฏบิ ตั งิ านทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ
2.11) การคดั เลอื กจากบุคคลท่ีสรรหามา
2.12) การฝึกอบรมและพฒั นาทรัพยากรมนุษยต์ ่าง ๆ
2.13) การทบทวนปรับคุณภาพและปริมาณของทรัพยากรมนุษย์เม่ือสถานการณ์
เปล่ยี นแปลงและผลลัพธ์ของการควบคุมไมเ่ ป็นไปตามทีก่ าหนด
2.14) การติดตอ่ สอ่ื สารในกระบวนการของการจัดคนเข้าทางานเป็นไปอย่างทัว่ ถึง
3) การจูงใจเป็นขั้นตอนในการกระตุ้นให้เกิดความกระตือรือรน้ และชักนาความพยายาม
ของพนักงานให้บรรลุเป้าหมายองค์การซ่ึงจะเก่ียวข้องกับการใช้ความพยายามของผู้จัดการท่ีจะกระตุ้น
ให้พนักงานมศี ักยภาพในการทางานสูง ดังน้ันการนาจะช่วยให้งานบรรลุผลสาเร็จเสริมสร้างขวัญและ
จงู ใจผใู้ ตบ้ งั คับบัญชาการนาประกอบด้วย
3.1) การตดิ ต่อส่อื สารและอธบิ ายวตั ถปุ ระสงค์ให้แก่ผูใ้ ต้บังคบั บัญชาได้ทราบ
3.2) การมอบหมายมาตรฐานของการปฏบิ ตั งิ านต่าง ๆ
3.3) ให้คาแนะนาและให้คาปรึกษาแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ
การปฏบิ ตั ิงาน
3.4) การใหร้ างวัลแก่ผใู้ ต้บงั คบั บญั ชาบนพ้ืนฐานของผลการปฏบิ ตั งิ าน
3.5) การยกย่องและสรรเสรญิ และการตาหนิตเิ ตยี นอย่างยตุ ธิ รรมและถูกต้องเหมาะสม
3.6) การจัดหาสภาพแวดล้อมมากระตุ้นการจูงใจโดยการติดตอส่ือสารเพ่ือสารวจความต้องการ
และสถานการณก์ ารเปลยี่ นแปลง
3.7) การทบทวน และปรับวิธีการของภาวะความเป็นผู้นา เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงและ
ผลลัพธข์ องงาน
4) การควบคุมเป็นการติดตามผลการทางาน และแก้ไขปรับปรุงส่ิงท่ีจาเป็นหรือเป็นขั้นตอน
ของการวัดผลการทางานและดาเนนิ การแกไ้ ขเพ่ือให้บรรลผุ ลทตี่ ้องการซึ่งการควบคมุ ประกอบด้วย
1) การกาหนดมาตรฐาน
2) การเปรียบเทยี บและตดิ ตามผลการปฏบิ ตั งิ านกับมาตรฐาน
3) การแก้ไขความบกพร่อง
4) การทบทวนและปรับวิธีการควบคุม เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงและผลลัพธ์ของ
การควบคมุ ไมเ่ ป็นไปตามทก่ี าหนด
10
5) การตดิ ต่อสอ่ื สารในกระบวนการของการควบคุมเป็นไปอย่างท่วั ถึง
โชติ บดีรัฐ (2558 : 43 - 50) ได้กล่าวถึง แนวคิดทางการบริหารโดยใช้หลักเกณฑ์ของ Taylor
มีพื้นฐานอยู่บนหลักการท่ีสาคัญ 4 ประการ ได้แก่ (1) การคิดค้นและกาหนดส่ิงท่ีดีท่ีสุด (2) การคัดเลือก
และพัฒนาคนงาน (3) การพิจารณาอย่างรอบคอบเก่ียวกับวิธีทางานควบคู่กับการพิจารณาคนงานและ (4)
การประสานงานอยา่ งใกลช้ ิดระหว่างผู้บริหารและคนงาน ซึ่งผู้บริหารตามแนวคดิ ของ Taylor จะมีความ
เป็นผู้นาอย่างแท้จริง ต้องรับภาระหนักกว่าคนงาน ต้องใช้สมองคิดวิเคราะห์ปัญหาของกลุ่ม จัดเตรียม
และกาหนดวิธกี ารทางานทด่ี ีกวา่ ง่ายกวา่ และไดผ้ ลมากกว่าให้กบั กลุ่ม
สรุปได้ว่าแนวคิดดังกลา่ วข้างต้นจะพบว่าการบริหารองค์กรจะครอบคลุม เร่ืองการทางาน
เป็นทีมการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจร่วมกัน ซ่ึงแต่ละแนวคิดจะมีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
คือ การทางานให้สาเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กรแต่ละแนวคิดต่าง ๆ เหล่านี้มีจุดมุ่งเน้นหรือ
วิธีการจัดการเพอ่ื ไปให้ถึงเป้าหมายแตกต่างกันไป
2.1.3 องค์ประกอบของการบรหิ ารจัดการ
ศจี อนันต์นพคุณ (2552 : 2 - 3) กล่าวถึง องค์ประกอบของการบริหารว่า ประกอบด้วย
3 ส่วน ได้แก่ ทรัพยากรการบริหารหรือปัจจัยการบริหาร (administrative resources) กระบวนการ
บริหาร (administration process) และวัตถุประสงค์ของการบริหาร (objective) ซึ่งเขียนความสัมพันธ์
ได้ดังภาพท่ี 2.1
ปจั จัยการบริหาร วัตถุประสงค์ กระบวนการ
(input) (objective) บริหาร
4 M’s PODC (process)
Man Planning 4 E’s
Money Organizing
Material Directing Economic
Controlling Efficiency
Management Effectiveness
Equity
feed back
ภาพท่ี 2.1 องคป์ ระกอบของการบริหาร
ทม่ี า: ศจี อนันตน์ พคุณ (2552 : 3)
11
วิรัช วิรัชนิภาวรรณ (2552 : 11 - 14) ได้กล่าวถึง ตัวชี้วัดในการบริหารจัดการว่าแบ่ง
ออกเป็น 3 ส่วนได้แก่ ปัจจัยนาเข้า (input) ปัจจัยกระบวนการ (process) และปัจจัยผลผลิต (output)
ตามรายละเอียดดงั น้ี
1. ปัจจัยนาเข้า หมายถึง ตัวช้ีวัดการบริหารจัดการท่ีเป็นปัจจัยท่ีมีส่วนสาคัญต่อการบริหาร
จัดการหรือประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ หรือทรัพยากรการจัดการ (management resources)
โดยวิรัช วิรัชนิภาวรรณ ได้รวบรวมตัวช้ีวัดท่ีเป็นปัจจัยนาเข้าไว้ 9 กลุ่ม เริ่มจาก 3M ถึง 11M เช่น
3M ประกอบด้วย คนหรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Man) เงินหรือการบริหารงบประมาณ
(Money) และการบรหิ ารงานทัว่ ไป (Management) ทีถ่ กู นาเขา้ ไปในระบบการบริหารจัดการ
2. กระบวนการ หมายถงึ ตวั ชี้วดั การบริหารจดั การทีป่ ระกอบด้วยการดาเนนิ งานหลายข้นั ตอน
ทหี่ นว่ ยงานของรฐั และเจ้าหนา้ ท่ีของรัฐพึงดาเนินการ หรือหมายถึง ตัวช้ีวัดท่ปี ระกอบด้วยหลายขั้นตอน
ที่อยู่ในระบบการบริหารจัดการ โดยนาแต่ละข้ันตอนมาใช้เป็นเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนปัจจัยนาเข้า
ให้เป็นปจั จัยนาออกหรือผลผลติ ตามเป้าหมายหรอื วตั ถุประสงค์ของหนว่ ยงานต่อไป
3. ปัจจัยนาออก หมายถึง ตัวชี้วัดการบริหารจัดการท่ีเป็นผลลัพธ์ ผลผลิต ผลการดาเนินงาน
หรือเป็นจุดหมายปลายทาง (end(s)) เป้าหมาย (goal(s)) หรือวัตถุประสงค์(objective(s)) ของหน่วยงานที่
ออกมาจากกระบวนการในขั้นตอนที่สอง ตัวช้ีวัดที่เป็นปัจจัยนาออกหรือเป็นเป้าหมายของหน่วยงานน้ี
อาจแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ ตวั ช้วี ดั ที่มเี ป้าหมายท่มี ่งุ แสวงหากาไร (profit) และตัวชว้ี ัดทม่ี ีเปา้ หมาย
ไม่มุ่งแสวงหากาไร (non-profit) หรือแบ่งเป็นตัวช้ีวัดท่ีมีวัตถุประสงค์เพื่อการผลิตสินค้าหรือผลผลิต
(products) และตวั ช้วี ดั ท่มี วี ัตถุประสงคเ์ พ่ือให้บริการ (services) ก็ได้
ศิริพงษ์ เศาภายน (2552 : 44 - 46) ได้กล่าวไว้ว่าการท่ีจะมีระบบใดระบบหน่ึงขึ้นมาได้
จะต้องมีส่วนประกอบหรือส่ิงต่าง ๆ เป็นตัวป้อน โดยเรียกวา่ “ข้อมูล” เพ่ือดาเนินงานสัมพนั ธ์กันเป็น
“กระบวนการ” เพ่ือให้ได้ “ผลลัพธ์” ออกมาตามวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้ ดังน้ัน ภายในระบบหนึ่งจะสามารถ
แบ่งองค์ประกอบและหนา้ ท่ี ได้ดงั น้ี
1. ข้อมูล (Input) เป็นการตัง้ ปัญหาและวเิ คราะห์ปัญหา การต้งั วตั ถปุ ระสงค์ หรือเป็นการ
ป้อนวัตถดุ บิ ตลอดจนขอ้ มลู ต่าง ๆ เพ่อื การแก้ปญั หาน้ัน
2. กระบวนการ (Process) เป็นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลท่ีป้อนเข้ามาเพื่อดาเนินการ
ตามวตั ถปุ ระสงคท์ ี่ตั้งไว้
3. ผลลัพธ์ (Output) เป็นผลผลิตท่ีได้ออกมาภายหลังจากการดาเนินงานในข้ันของ
กระบวนการส้นิ สดุ ลง รวมถงึ การประเมนิ ด้วย
สรุปได้ว่าองค์ประกอบของการบริหารจัดการไว้ประกอบด้วย ปัจจัยด้านการบริหารหรือปัจจัย
นาเข้า (input) กระบวนการบริหารหรือกระบวนการ (process) และปัจจยั นาออกหรือปัจจยั ผลผลิต
(output)
12
2.1.4 แนวคดิ ด้านการมีสว่ นรว่ ม
แนวคิดด้านการมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึงกระบวนการท่ี
ประชาชนหรือผู้มีส่วนได้เสีย มีโอกาสแสดงทัศนะแลกเปล่ียนข้อมูลและความคิดเห็น หาทางเลือก
และการตัดสินใจตา่ งๆ เก่ียวกบั โครงการท่ีเหมาะสมและเป็นท่ียอมรับรว่ มกัน
ดวงใจ ปินตามูล (2555) กล่าวว่าการมีส่วนร่วมของประชาชน คือกระบวนการส่ือสาร
สองทางระหว่างบุคคลกลุ่มบุคคล ชุมชน หรือประชาชน กับเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ดาเนินโครงการ หรือ
นโยบายสาธารณะ หรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งการมีส่วนร่วมของประชาชนจะเก่ียวข้อง
กับการร่วมในกระบวนการตัดสินใจ การร่วมในกระบวนการดาเนินการ และร่วมรับผลประโยชน์โดย
มีเป้าหมายของการมีส่วนร่วมของประชาชน คือการแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารระหว่างประชาชนและ
ผู้ดาเนินโครงการ โดยการให้ข้อมูลต่อประชาชน และประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อโครงการหรือ
นโยบายเพอ่ื ประโยชน์ตอ่ การดารงชีพทางเศรษฐกจิ และสงั คม
แนวคิด ทฤษฎเี ก่ยี วกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการมูลฝอยการมีส่วนร่วม ของ
ทุกภาคส่วนน้ัน เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองประเทศชาติไปในทิศทาง ท่ีดี
ข้ึน แนวคิดการมีส่วนร่วมน้ันเกิด และอยู่เคียงคู่กับการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย เนื่องจาก
อานาจอธิปไตย เป็นอานาจสูงสุด ในการปกครองประเทศ มาจากประชาชน และประชาชนเป็นผู้ให้
ฉันทานุมัติต่าง ๆ กับภาครัฐ ในการบริหารจัดการ เพ่ือให้เกิดความ โปร่งใส และเป็นไปตามความ
ต้องการแท้จริงของประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง (Authentic
participation) ดังกล่าวข้างต้น จึงได้นามาเป็นแนวทางในการกาหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนา
ประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555 - 2559) ซ่ึงมีเป้าหมาย
การพัฒนาภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง จากทุกภาคส่วนในสังคมไทย ท่ีได้รวมพลัง
กันระดมความคิดกาหนดวสิ ัยทัศน์ร่วมกนั ของสงั คมไทย มุ่งพฒั นาสู่ “สังคมเข้มแข็ง และมีดุลยภาพ”
ใน 3 ด้าน คือ สังคมคุณภาพ สังคมแห่งภูมิปัญญา การรับรู้ สังคมสมานฉันท์ และเอ้ืออาทรต่อกัน
เพ่ือเสริมสร้างระบบการบริหารจัดการท่ีดีในทุกภาคส่วนของสังคมไทย สนับสนุนกระบวนการ
กระจายอานาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน มีบทบาทในการพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง
ภายใต้ระบบบริหารจัดการภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ ยึดหลักการมีส่วนร่วม โปร่งใส และพร้อมที่จะรับ
การตรวจสอบจากสังคมโดยรวมการพัฒนาประเทศในอนาคต เพื่อสร้างโอกาสให้คนไทยคิดเป็นทา
เป็น มีเหตุผล สามารถรบั รู้ได้ตลอดชีวติ พร้อมรับการเปล่ยี นแปลง สงั คมสมานฉันท์ และเอื้ออาทรต่อ
กันท่ีดารงไว้ซึ่งคุณธรรม คุณค่าของเอกลักษณ์ท่ี พึ่งพาเกื้อกูลกัน ตลอดจนมีจารตี ประเพณที ่ีดงี าม ใน
การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการทางานแบบพหุภาคี สามารถประยุกต์ใช้ในการทางานเชิงรุก เพื่อ
เสริมสร้างความเข้มแข็ง ได้อย่างมีประสิทธิผลทั่วถึงใน ทุกพื้นท่ี การมีส่วนร่วมถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่
สาคัญเพ่อื จดุ มงุ่ หมายในการพฒั นาทย่ี งั่ ยืนมบี ทบาทอย่างมาก
13
เป็นหัวใจสาคัญเพื่อตอบสนองความต้องการได้ตรงจุดมากที่สุด อย่างเป็นรูปธรรม อันจะ
นาไปสู่ความอยู่ดมี สี ขุ ของคนไทยทุกคน
ความหมายของการมสี ว่ นรว่ ม การมีส่วนร่วมเป็นเป้าหมายของการพัฒนาสงั คม เพอ่ื สืบทอด
ความยั่งยืนให้เกดิ ขึ้นอย่างต่อเน่ือง เป็นองค์ประกอบสาคัญในกจิ กรรมท่ีจะสร้างความเจรญิ ก้าวหน้า
ให้เกดิ ข้นึ สาหรบั ความหมายของการมสี ่วนร่วมน้ันมีนักวิชาการหลายทา่ นนาเสนอไว้ ดังน้ี
อาภรณ์พันธ์ จนั ทร์สว่าง (2552 : 19) ให้ความหมายว่าการมีส่วนร่วมนัน้ กอ่ ให้เกดิ การ
รวมตัวท่สี ามารถจะกระทาการตัดสินใจใช้ทรัพยากร และมคี วามรับผิดชอบในกจิ กรรมท่ี
จะกระทา ในกลุ่มเป็นการเปิดโอกาสให้ได้ร่วมในการคิดริเร่ิม การตัดสินใจ ร่วมลงมือปฏิบัติและร่วม
รับผิดชอบในเร่ืองราวต่างๆ เพ่ือแก้ไขปัญหาและนามาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพ่ือตอบสนองความ
ต้องการของประชาชนท่ีจะช่วยให้ประสบความสาเร็จตามเป้าหมายได้ การมีส่วน่วมเป็นผลมาจาก
การเห็นพ้อง ต้องกันในเรื่องราวของความต้องการและทิศทางของการเปล่ียนแปลง จนเกิดความคิด
ริเร่ิม เพื่อการปฏิบัติการน้ันๆ เหตุผลเบื้องแรกที่คนเรามารวมตัวกันได้ จะต้องมีการตระหนักว่าการ
กระทาทั้งหมดทท่ี า โดยกลุ่ม หรือโดยนามของกลุ่มน้นั กระทาผ่านกลุ่มซึ่งเปนเสมือนตัวนาให้บรรลุถึง
ความเปล่ียนแปลงได้
สาหรับทวีทอง หงส์วิวัฒน์ (2553 : 2) ได้ขยายความหมายของการมีส่วนร่วมว่าเป็นการ
พัฒนา ขีดความสามารถของคนในการจัดการควบคุมการใช้การกระจายทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัด
เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดารงชีพ ทางเศรษฐกิจ และสังคมตามความจาเป็นอย่างสมศักด์ิศรี
แสดงออกในการตัดสนิ ใจกาหนดชีวิตของตนเอง เพิ่มความสามารถในการควบคมุ ทรัพยากร ท้งั นีต้ ้อง
เป็นสิ่งท่ีทุกฝ่ายได้ริเริ่มข้ึนมาเอง มิใช่พฤติกรรมที่ถูกกาหนดขึ้นมาหรือช้ีนา โดยฝ่ายรัฐบาลใน
กิจกรรมซึ่งมุ่งสู่การพัฒนาตามนโยบายของภาครัฐ การจะเกิดพลัง ความสามารถของกลุ่มท่ีผนกึ กาลัง
ในการพัฒนา ทาให้มีความรู้สึกเป็นส่วนหน่ึงของงานพัฒนา และเป็นเจ้าของ ผลิตผลของการพัฒนา
นั้น นอกจากนนั้
นริ นั ดร์ จงวุฒิเวศน์ (2553 : 183) ยังกล่าวเพม่ิ เตมิ ว่าการมสี ่วนร่วมมีความเก่ียวข้อง
ทางด้านจิตใจ และอารมณ์ (Mental and Emotional Involvement) ซงึ่ ผลดังกล่าวเป็นเหตุเร้า ให้
กระทา (contribution) บรรลุจุดมุ่งหมายของกลุ่มน้ัน กับทาให้เกิดความรู้สึกร่วมรับผิดชอบกับ
เป้าหมายดังกล่าวด้วย เป็นองค์ประกอบสาคัญเพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพในการวางแผนและการ
ดาเนินการให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดในการมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมคือ การที่ทุกฝ่ายได้เข้าไปจัดการ
ควบคุมการใช้ และการกระจายทรัพยากรที่ มีอยู่เพ่ือประโยชน์ต่อการดาเนินการทางเศรษฐกิจ และ
สังคม ร่วมกันคิดค้นหาสาเหตุของปัญหา และมีความเห็นพ้องต้องกันในการท่ีจะดาเนินการแก้ไข
ปัญหาให้บรรลุตามวัตถุประสงค์หรือนโยบายทีว่ างไว้ เปน็ การมีส่วนชว่ ยเหลือโดยสมัครใจ เขา้ ร่วมกับ
กระบวนการตัดสินใจ ตลอดจน ร่วมรับผลประโยชน์ และมีจุดสาคัญท่ีจะให้การมีส่วนร่วมเป็นการ
14
ปฏิบัติอย่างแข็งขัน มีอานาจในการตัดสินใจ (Share Decision Making) เป็นผู้กาหนดนโยบาย
(Policy Formulation) กาหนดเป้าหมายแผนงาน (Participating on Formulating Objective
and Plan) รว่ มดาเนนิ การในกระบวนการจัดการ (Participating on Management) รว่ มรับผดิ ชอบ
ในเร่ืองต่าง ๆ อันมีผลกระทบถึงทุกคนเพื่อประโยชน์ต่อการดารงชีพทางเศรษฐกิจและสังคม ท่ี
ก่อให้เกดิ สงิ่ ต่าง ๆ ร่วมกันนั่นเองจากที่กล่าวมา
การมสี ว่ นร่วมมคี วามหมายเป็น 2 นัย ด้วยกนั คอื
1.ความหมายอย่างกว่าง หมายถึงการท่ีประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการกาหนดนโยบาย
ของประเทศ การบริหารโดยผ่านกระบวนการหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารท้องถ่ิน และการ
เป็น สมาชกิ สภาท้องถิ่นด้วย
2. ความหมายอย่างแคบ คือ การที่ประชาชนเข้าไปช่วยสนับสนุนงานซ่ึงเป็นหน้าที่ของ
เจ้าหน้าท่ีภาครัฐโดยกระทาการภายในกรอบของกฎหมายหรือนโยบายของรัฐ ดังนั้นจากท่ีกล่าวมา
จุดเร่ิมต้นที่มีความสาคัญประการหนึ่ง ท่ีจะทาให้ เกิดการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ได้ อย่างกว้างขวาง
และมีประสิทธิภาพ คือ นโยบาย กฎ ระเบียบ วิธีการส่งเสริมจากภาครัฐ หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องใน
งานวิจัย คร้ังนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยท่ีจะส่งผลหรือมีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมการจัดการมูล
ฝอยในประเทศไทย ให้เกดิ ประสิทธิผล ซึ่งผู้วจิ ยั จะทาการหาความจริงในเรื่องนตี้ ่อไป
รูปแบบการมีส่วนร่วม Cohen and Uphoff (2010 : 213 - 218) ได้อธิบายและวิเคราะห์
การมีสว่ นร่วมโดยแบ่ง ออกเปน็ 4 รูปแบบ คอื
1.การมีสว่ นร่วมในการตัดสินใจ ตงั้ แต่ ในระยะเริม่ ของกจิ กรรมจนกระทงั่ การดาเนนิ
กจิ กรรมนั้นเสร็จสิน้ ลง
2. การมีสว่ นร่วมในการดาเนนิ กจิ กรรมซงึ่ อาจเป็นไปในรูปแบบของการเข้าร่วมโดยการให้มี
การสนับสนนุ ทางด้านทรพั ยากร การเข้าร่วมในการบริหาร และการเข้าร่วมในการร่วมแรงร่วมใจ
3. การมสี ว่ นร่วมในผลประโยชน์ ทง้ั ทางวตั ถุ ทางสังคมหรือโดยส่วนตวั
4. การมีสว่ นร่วมในการประเมินผล ซึง่ นับเป็นการควบคมุ และตรวจสอบการดาเนิน
กจิ กรรมทั้งหมด
สุรสั วดี หุ้นพยนต์ (2549 : 17) ได้ เสนอรปู แบบหรอื ชนิดการมีส่วนร่วมท่กี ่อให้เกิด
ผลดตี ่อ กระบวนการพฒั นาไว้ 4 รปู แบบ ซ่งึ ได้แก่
การมสี ว่ นร่วมในการตดั สนิ ใจ (Decision making) ประกอบไปดว้ ย 3 ขัน้ ตอนคือ
1. ริเร่มิ ตัดสนิ ใจ ดาเนนิ การตัดสินใจ และตดั สินใจปฏบิ ตั กิ าร
2. การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ (Implementation) ประกอบด้วยการสนับสนุน
ด้านทรัพยากร การบรหิ าร และการประสานขอความร่วมมือ
15
3. การมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ (Benefits) ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวัตถุผล ทางสังคม หรือ
ผลประโยชน์ส่วนตัว
4. การมีส่วนร่วมในการประเมินผล (Evaluation) ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์ ต่อพฤติกรรมการ
มีส่วนร่วมของผู้เก่ียวข้อง พฤติกรรมการเข้ามามีส่วนร่วม เป็นปรากฏการณ์ท่ีสลับซับซ่อน ข้ึนอยู่กับ
ปจั จัยหลายอยา่ ง ทีม่ นี า้ หนกั ความสาคญั มากน้อยต่างกัน
ซง่ึ Mcclosky (2008:12) ไดอ้ ธบิ ายไว้ ดงั นค้ี อื
1. ปัจจัยทางด้านส่ิงแวดล้อมสังคม เช่น ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ เชื้อชาติ เพศ
ระยะเวลาที่อยู่อาศัย การเปลี่ยนแปลงทางสังคม สิ่งเหล่านมี้ ีความเก่ียวข้องสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วม
ด้วยความสมคั รใจของทุกคน
2. ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา ของการเข้ามามีส่วนร่วม ท่ีข้ึนอยู่กับว่า มีการให้ผลประโยชน์
หรือผลตอบแทนอย่างไรบ้าง ที่สามารถตอบสนองความต้องการ เช่น การมีอานาจ การแข็งขัน
ความสาเรจ็ ความสัมพนั ธ์กับผู้อ่นื สถานภาพที่สูงขึ้น การยอมรับจากสังคม เป็นต้น
3. ปจั จัยด้านส่ิงแวดล้อมภายนอก เช่น นโยบายของแต่ละรฐั บาล มักมคี วามแตกตา่ ง ใน
ด้านความต้องการท่ีมีบทบาทมากหรือน้อย ไม้เท่ากัน การท่ีประชาชนจะตัดสินใจเข้ามาร่วม
รับผิดชอบในโครงการหรือกิจกรรมต่างๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยทางเศรษฐกิจ และสังคม
ได้แก่ อายุ เพศ สถานภาพในครอบครัว ระดับการศึกษา สถานภาพทางสังคม ช้ันทางสังคม ศาสนา
อาชีพ รายได้ และทรัพย์สิน สถานภาพทางเศรษฐกิจ ความเช่ียวชาญ ความเชื่อ ค่านิยม นิสัย
ประเพณีในชมุ ชน ท่ีมีผลต่อการมีสว่ นร่วม เช่นเดยี วกัน แนวทางในการจดั การแบบมีส่วนร่วม
การมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึงกระบวนการทป่ี ระชาชนหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้
แสดงความคิดเห็นแลกเปล่ียนข้อมูลและเสนอแนะเทคนิค วิธีการ หาทางเลือกและการตัดสินใจต่างๆ
เก่ียวกบั โครงการการบริหารจัดการขยะในโรงเรียนและโครงการ/ กจิ กรรมอื่นๆทเี่ หมาะสมและเป็นท่ี
ยอมรับร่วมกัน
2.1.5 การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม 5 ร ของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
ประถมศกึ ษาลาปาง เขต 1
การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลาปาง
เขต 1ใช้รูปแบบการบรหิ ารจัดการแบบมีส่วนรว่ ม 5 ร ดังนี้ สานกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศึกษา
ลาปาง เขต 1 (2562 : 6)
16
รว่ มศึกษา
รว่ มแลกเปลย่ี น การบรหิ าร ร่วมวางแผน
รว่ มสรปุ จดั การแบบมี รว่ มปฏิบัติ
สว่ นรว่ ม 5 ร
แผนภาพที่ 2.2 รปู แบบการบรหิ ารจดั การแบบมีส่วนรว่ ม 5 ร
ของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาลาปาง เขต 1
การบริหารจัดการแบบมสี ว่ นร่วม หมายถึง การบรหิ ารจดั การขยะในโรงเรียน โดยเน้น
การมีส่วนร่วมของบุคลากรในโรงเรียน ซึ่งเน้นการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม 5 ร จานวน 5
ขน้ั ตอน คือ ข้ันตอนที่ 1 ร่วมศึกษา ขั้นตอนที่ 2 ร่วมวางแผน ข้นั ตอนท่ี 3 ร่วมปฏบิ ัติ ข้ันตอน ท่ี 4
ร่วมสรุป และขัน้ ตอนท่ี 5 ร่วมแลกเปล่ียนเรยี นรู้
1.ร่วมศึกษา หมายถึง ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียนร่วมกันศึกษาสภาพ
ปจั จุบันปัญหาของขยะในโรงเรียน ว่ามขี ยะประเภทใดบา้ งท่เี ปน็ ปญั หา และสาเหตขุ องปญั หาเกิดจาก
อะไร พร้อมกับศึกษาความต้องการของครูผู้สอนและนักเรียนในการทจ่ี ะแกป้ ญั หาขยะในโรงเรียน
2. ร่วมวางแผน หมายถึง ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียน ร่วมวางแผน เม่ือ
พบปัญหาหาวิธีแก้ปัญหาเรียงปัญหาจากมากมาหาน้อย การทางานท่ีคาดว่าจะประสบความสาเร็จ
ตามกรอบในการวิจัยด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ( การบริหารจัดการขยะใน
โรงเรียน ) 1) การจดั การขยะมูลฝอยประเภทต่าง ๆ ได้แก่ มูลฝอยติดเชื้อ ขยะพลาสตกิ ขยะอินทรีย์
ขยะอันตรายขยะอิเล็กทรอนิกส์ 2) การจัดการในเชิงนโยบาย เช่นการสร้างกลไกให้เกิดความร่วมมือ
ระหว่างสานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษา โรงเรียนและชุมชน 3) การสร้างความรู้ความเข้าใจโดยเน้นการ
สร้างจิตสานึกในการจัดการขยะให้กับนักเรียนและบุคลากรทุกระดบั โดยนาข้อมูลทีไ่ ด้จากการศึกษา
มารว่ มวางแผนการทางานให้เหมาะสมกับสภาพบริบทของสถานศึกษา
17
3. ร่วมปฏิบัติ หมายถึง ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียนร่วมกัน มีส่วนร่วม
ปฏิบัติงาน ลงมือปฏิบัติงานตามที่ได้วางแผนหรือออกแบบไว้ ประเมนิ ผล และสะท้อนผล การปฏิบัติงาน
เปน็ ระยะ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการขยะในโรงเรยี น การจดั การ
ขยะมูลฝอยประเภทต่าง ๆ ได้แก่ มูลฝอยติดเชื้อ ขยะพลาสติก ขยะอินทรีย์ ขยะอันตรายขยะ
อิเล็กทรอนิกส์
4. ร่วมสรุป หมายถึงผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียนร่วมกัน ต่าง ๆ ร่วมกัน
สรปุ ผลการดาเนินงาน มสี ว่ นรว่ มในวเิ คราะหข์ ้อมลู สงั เคราะห์ข้อมูล และสรปุ ผลการบรหิ ารจัดการขยะ
ในโรงเรยี น การปฏิบตั งิ านในแต่ละข้ันตอนว่าบรรลวุ ัตถปุ ระสงคห์ รือเป็นไปตามท่วี างแผนหรือไม่ เพ่ือจะได้
นามาปรับปรุง/แก้ไข/พัฒนาให้ดีข้ึนต่อไป ถ้าไม่สาเร็จก็วางแผนและออกแบบวิธีการ/นวัตกรรมใหม่
จบกระบวนการ PDCA
5. ร่วมแลกเปล่ียนเรียนรู้ หมายถึง ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียนร่วมกัน
แลกเปล่ียนเรียนรู้ ชื่นชมความสาเร็จของการบริหารจัดการขยะในโรงเรียน และ ตามกรอบภารกิจ
งานประสบความสาเร็จ พรอ้ มกบั ยกยอ่ งเชิดชูเกียรติ และเผยแพร่การปฏิบัติงานที่ดี (Best practice)
สสู่ าธารณชน ผ่าน Website ระบบ ICT และสารสนเทศของสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1
การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมวิจัยในการบริหารจัดการขยะใน
โรงเรียน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้บริหาร ครู นักเรียน บุคลากรในโรงเรียน ซ่ึงเน้นการบริหาร
จัดการแบบมีส่วนร่วม 5 ร รว่ มศึกษา ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติ ร่วมสรุป และ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
สร้างกลไกให้เกิดความร่วมมือระหว่างสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา โรงเรียนและชุมชน ตามกรอบ
ภารกจิ งานให้ประสบความสาเร็จ สามารถนามาเป็นแบบอย่างได้
2.2 แนวคิดและทฤษฎีท่ีเกย่ี วข้องกับขยะในโรงเรียน
2.2.1 ความหมายของขยะ
ขยะหรือขยะมูลฝอย เป็นคาท่ีมักจะใช้ในความหมายเดียวกัน เป็นปัญหาที่สาคัญของ
ชุมชนและสังคม โดยปริมาณของขยะจะเพ่ิมข้นึ ตามการขยายตัวของประชากรและเศรษฐกจิ ถา้ มีการ
จัดการท่ีไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกหลักสุขาภิบาลก็จะเป็นสาเหตุที่ทาให้เกิดปัญหาสุขภาพอนามัยของ
ประชาชน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหา ความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยของชุมชนซึ่งมีผู้ให้ความหมาย
ของขยะตา่ ง ๆ ดงั น้ี
ราชบัณฑติ ยสถาน (2552 : ) ไดใ้ ห้ความหมาย ขยะ ว่าหมายถงึ หยากเยือ่ หรือเศษส่ิงของทที่ ้งิ แล้ว
รวมท้ัง เศษกระดาษ เศษอาหาร ถงุ พลาสติก ภาชนะท่ใี ส่อาหาร มลู สัตว์ ซากสตั ว์ หรอื สิ่งใดๆ ท่ีไม่ต้องการ
มักใช้ร่วมกับคาว่า มูลฝอย ซึ่งหมายถึง เศษกระดาษ เศษผ้า เศษอาหาร เศษสินค้า ถุงพลาสติก ภาชนะ
ท่ีใส่อาหาร เถ้า มูลสัตว์ หรือซากสัตว์ รวมทั้งสิ่งอ่ืนใดท่ีเก็บกวาดจากถนน ตลาด ท่ีเล้ียงสัตว์ หรือท่ีอ่ืน
18
คาว่า ขยะ จึงมีความหมายเช่นเดียวกับคาว่า มูลฝอย และมักจะใช้ร่วมกันเป็น ขยะมูลฝอย คาว่า
ขยะ และ ขยะมูลฝอย
กรมควบคุมมลพิษ (2555 : 8) ได้กล่าวไว้ว่า ขยะ ตามความหมายของกรมควบคุมมลพิษ
หมายถงึ สง่ิ ตา่ งๆ ท่ไี มต่ ้องการใช้ หรือวัสดุทใี่ ชแ้ ล้วซ่งึ เกิดจากกิจกรรมต่างๆในชุมชน การดาเนินชีวิต
ทั้งในครัวเรือน และจากการประกอบอาชีพ ได้แก่ เศษอาหาร เศษไม้ กระดาษ พลาสติก เศษแก้ว
ขวด กระปอ๋ ง รวมถงึ วสั ดขุ องใชท้ ่ีชารดุ และสงิ่ ของทตี่ อ้ งการทงิ้
ยุพดี เสตพรรณ (2544) ได้กล่าวถึงขยะมูลฝอยว่า หมายถึง เศษส่ิงของท่ีไม่ต้องการแล้ว
ส่ิงของท่ีชารุดเสียหายใช้ไม่ได้หรือเสื่อมคุณภาพ ต้องกาจัดทาลายหรือส่ิงของท่ีต้องท้ิงหรือแจกจ่าย
ใหแ้ กผ่ ู้อ่ืน เช่น เศษกระดาษ เศษอาหาร ขวดแกว้ พลาสตกิ ซากสตั ว์ ซากรถยนต์ เปน็ ต้น
สรุปไดว้ า่ ขยะ หมายถึง ส่ิงต่างๆทไ่ี ม่ตอ้ งการใช้ หรอื วสั ดุที่ใช้แล้วซึง่ เกิดจากกจิ กรรมตา่ งๆ
ซ่ึงในการศึกษาครั้งน้ี ขยะในโรงเรียน หมายถึง สิ่งต่างๆท่ีไม่ต้องการใช้ หรือวัสดุที่ใช้แล้วซึ่งเกิดจาก
กิจกรรมต่างๆในโรงเรียน ได้แก่ เศษอาหาร เศษไม้ กระดาษ พลาสติก เศษแกว้ ขวด กระป๋อง รวมถึง
วสั ดขุ องใชท้ ่ีชารดุ และสิ่งของท่ตี ้องการท้ิง
2.2.2 ประเภทของขยะ
1.2.1 การจาแนกประเภทตามคุณลักษณะและองค์ประกอบซ่ึงอาณัติ ต๊ะปินตา (2553 :)
ได้จาแนก ดงั น้ี
1) การจาแนกตามลักษณะทางกายภาพ เป็นการจาแนกขยะมูลฝอยตามลักษณะท่ี
ปรากฏและมองเห็นจากภายนอก ซง่ึ สามารถจาแนกออกไดด้ ังน้ี
1.1) ขยะเปียก (garbage) หมายถึง ขยะมูลฝอยท่เี ปน็ สารอินทรยี ์ชนิดต่างๆและมี
ความชื้นสูงสามารถย่อยสลายได้ง่ายโดยกระบวนการทางชีวภาพ เช่น เศษอาหาร เศษพืชผักและ
ผลไม้ เศษหญ้า เป็นต้น ดังน้ันจึงจาเป็นต้องทาการเก็บขนและนาไปกาจัดทาลายหลายอย่างรวดเร็ว
เพอ่ื ป้องกนั กลนิ่ เหมน็ จากการเน่าเสยี ของขยะประเภทนี้
1.2) ขยะแห้ง (rubbish and trash) หมายถึง ขยะมูลฝอยท่ีเกิดขึ้นในรูปของสารอินทรีย์
และสารอนินทรีย์ ซง่ึ มคี วามชืน้ ตา่ ย่อยสลายดว้ ยกระบวนการทางชวี ภาพไดย้ าก เชน่ กระดาษ กล่องกระดาษ
เศษก่ิงไม้ใบไม้ เศษยาง เศษผ้า เศษแก้วหรือขวดแก้ว เศษหนังหรือผลิตภัณฑ์หนัง เศษพลาสติกเศษ
กระปอ๋ งโลหะ เป็นต้น
1.3) เถ้า (ash) หมายถึง ซากของแข็งที่เหลือจากการเผาไหม้ของเช้ือเพลิงประเภทฟืน
หรอื ถ่านหนิ ทใี่ หพ้ ลงั งานความรอ้ นทั้งในบ้านพักอาศยั ในอาคาร หรอื ในโรงงานตา่ งๆ ฯลฯ
19
1.4) เศษสิ่งก่อสร้าง (demolition and construction waste) หมายถึง ขยะมูล
ฝอยที่เกิดจากการก่อสรา้ งหรือการรื้อถอน อาคาร เช่น เศษเหล็ก เศษอิฐ เศษปูนซีเมนต์ เศษกระเบื้องเซรามิก
เศษทอ่ พีวซี ี เศษสายไฟ เศษหินและเศษไม้ เป็นต้น
1.5) ซากสัตว์ต่างๆ (dead animal) หมายถึงซากสัตว์ต่างๆทั้งท่ีเกิดขึ้นในชุมชน
เช่น สัตวเ์ ลี้ยงตามบ้านเรอื นทีต่ ายลงจากภาคเกษตรกรรม เช่น ซากสตั ว์ในฟารม์ ปศสุ ัตว์ตา่ งๆ ทีอ่ าจตายลง
จากการเกิดโรคระบาดและจากภาคอุตสาหกรรม เช่น เศษชิ้นส่วนของสัตว์ท่ีเหลือจากโรงงานผลิต
อาหารสาเร็จรูปหรืออาหารกระปอ๋ ง เปน็ ตน้
1.6) ตะกอนจากระบบบาบัดน้าเสยี (sludge) หมายถึง กากตะกอนที่เกิดจากการ
บาบัดน้าเสียในระบบบาบัดน้าเสียของชุมชนหรือภายในโรงงานท้ังหลาย โดยอาจมีลักษณะเป็นของแข็ง
หรือก่ึงของแข็งมีท้ังส่วนที่สามารถย่อยสลายได้และย่อยสลายไม่ได้ด้วยขบวนการทางชีวภาพ กากตะกอน
เหล่านหี้ ากปลอ่ ยทิง้ ไว้โดยไม่กาจดั อาจถกู ชะลา้ งลงส่แู หล่งนา้ หรอื ไหลซึมลงสชู่ ้ันน้าใต้ดนิ ได้
1.7) ซากผลิตภัณฑเ์ ครอ่ื งใช้ไฟฟ้าและอปุ กรณอ์ ิเล็กทรอนกิ ส์ (Waste from Electronic
Equipment,WFEE) หมายถึง ขยะท่ีเกิดขึ้นจากภาคธุรกิจซึ่งผลิตสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์เคร่ืองใช้ไฟฟ้า
และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกมาจาหน่ายในตลาด และเม่ือสินค้าเหล่านั้นเส่ือมสภาพหรือหมดอายุ
การใช้งานลงก็กลายเป็นขยะท่ีต้องนาไปกาจัดทาลาย ซ่ึงส่วนใหญ่มักจะมีขนาดใหญ่ละมีน้าหนักมาก
ขยะประเภทน้ี ได้แก่ ซากตู้เย็น เครื่องรับโทรทัศน์ เคร่ืองเสียง เคร่ืองซักผ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่อง
คอมพิวเตอร์และอุปกรณค์ อมพวิ เตอร์ เป็นต้น
2) การจาแนกตามองค์ประกอบ เป็นการจาแนกตามลักษณะของขยะมูลฝอยวา่ ประกอบ
ไปด้วยวัตถุใดบ้าง และวัตถุน้ันมีประโยชน์ทจ่ี ะนากลับมาใช้ใหม่ได้อีกหรอื ไม่โดยอาจจาแนกออกเป็น
ประเภทต่าง ๆ ได้ดงั นี้คอื
2.1) ขยะอนิ ทรีย์ (Organic Waste) ได้แก่ ขยะมลู ฝอยท่สี ามารถย่อยสลายได้ดว้ ย
ขบวนการทางชีวภาพโดยมีจุลินทรีย์ทาหน้าท่ีย่อยสลาย เช่น เศษอาหาร เศษพืชผักและผลไม้ เศษ
หญ้าเศษใบไม้และก่ิงไม้ รวมทั้งซากสัตว์และมูลสัตว์ต่างๆเป็นตน้ ขยะประเภทนสี้ ามารถนากลับมาใช้
ประโยชน์ได้ในรปู ของการนามาทาป๋ยุ หมัก
2.2) ขยะที่นากลับมาใช้ประโยชน์ได้ (recycle waste) ได้แก่ ขยะมูลฝอยท่ีมี
นามาแปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น แก้ว กระดาษ โลหะ เหล็ก พลาสติก อะลูมิเนียม หนังและยาง
เป็นต้น ขยะประเภทนีเ้ มื่อนามาทาการคัดแยกผ่านกระบวนการแปรรูปแล้วสามารถนามาเป็นวัตถุดิบ
เพื่อใช้ในการผลิตสินค้า หรืออาจนาไปเป็นส่วนผสมกับวัตถุดิบใหม่เพ่ือลดปริมาณการใช้
ทรพั ยากรธรรมชาตลิ งได้
2.3) ขยะท่ีนากลบั มาใช้ประโยชน์ไม่ได้ (non recycle waste) ไดแ้ ก่ ขยะมูลฝอย
ที่ไม่สามารถนากลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น เศษผ้า เศษอิฐและเศษปูนจากการก่อสร้าง เศษวัสดุ
20
ต่างๆจากการรื้อถอนอาคาร เถ้าจากการเผาไหม้เช้ือเพลิงตลอดจนเศษชิ้นส่วนของผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและ
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางชนิด เป็นต้น ขยะเหล่าน้ีไม่มีศักยภาพในการนากลับมาใช้ได้อีกจึงต้อง
นาไปฝังกลบทาลายยงั สถานที่ฝังกลบเทา่ น้ัน
2.4) ขยะตดิ เช้ือ (infectious waste) ได้แก่ ขยะมูลฝอยท่มี ีเช้อื โรคปนเป้อื นอยูซ่ ่ึง
จะทาให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามยั ของมนุษย์ได้ เช่น เนื้อเยื่อหรือชิน้ ส่วนอวยั วะต่างๆรวมทงั้ วสั ดุ
ทส่ี ัมผสั กับผปู้ ่วย เช่น สาลี ผ้าพันแผล เขม็ ฉดี ยา มีดผ่าตัด และเส้ือผา้ ผปู้ ่วย เปน็ ตน้
1.2.2 การจาแนกตามแนวทางการจัดการซ่ึงกรมควบคุมมลพิษ (2558 : 21 - 22) ได้จาแนก
ออกเปน็ 4 ประเภท ได้แก่
1) ขยะย่อยสลาย (compostable waste) คือ ขยะที่เน่าเสียและย่อยสลายได้เร็ว
สามารถนามาหมกั ทาปยุ๋ ได้ เชน่ เศษผกั เปลือกผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เศษเน้อื สัตว์ เปน็ ต้น
2) ขยะรีไซเคิล (recyclable waste) คือ บรรจุภัณฑ์ หรือวัสดุเหลือใช้ ซึ่งสามารถ
นากลับมาใชป้ ระโยชนใ์ หม่ได้ เช่น แกว้ กระดาษ เศษพลาสตกิ กล่องเครื่องด่ืมแบบยู เอช ที กระป๋อง
เคร่อื งด่ืม เศษโลหะ อะลมู เิ นยี ม เปน็ ตน้
3) ขยะอันตราย (hazardous waste) คือ ขยะที่มีองค์ประกอบหรือปนเป้ือนวัตถุ
อันตรายชนิดต่างๆ ได้แก่ วัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ วัตถุออกซิไดซ์ วัตถุมีพิษ วัตถุท่ีทาให้เกิดโรค วัตถุ
กรรมมันตรังสี วัตถุท่ีทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม วัตถุกัดกร่อน วัตถุที่ก่อให้เกิดการ
ระคายเคือง วัตถุอย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นเคมีภัณฑ์หรือส่ิงอ่ืนใดท่ีอาจทาให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์
พืช ทรัพย์สินหรือสิ่งแวดล้อม เช่น ถ่านไฟฉาย หลอดฟลูออเรสเซนต์ แบตเตอร่ีโทรศัพท์เคลื่อนท่ี
ภาชนะบรรจุสารกาจัดศตั รพู ชื กระป๋องสเปรย์บรรจุสีหรอื สารเคมี เปน็ ต้น
4) ขยะทั่วไป (general waste) คือ ขยะประเภทอื่นนอกเหนือจากขยะย่อยสลาย
ขยะรีไซเคิลและขยะอันตราย มีลักษณะท่ีย่อยสลายยากและไม่คุ้มค่าสาหรับการนากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่
เช่น ห่อพลาสติกใส่ขนม ถุงพลาสติกบรรจุผงซักฟอก พลาสติกห่อลูกอม ซองบะหม่ีกึ่งสาเร็จรูป
ถงุ พลาสตกิ เปอ้ื นเศษอาหาร โฟมเปอ้ื นอาหาร ฟอยลเ์ ปือ้ นอาหาร เป็นตน้
2.2.3 สาเหตุท่ที าให้เกดิ ปัญหาขยะในโรงเรยี น
ปัญหาขยะเป็นปัญหาที่สาคัญของโรงเรียน แม้ว่าในโรงเรียนต่างๆ จะมีการรณรงค์ให้แยก
ขยะเพื่อทิ้งลงในถังแต่ละประเภท ซึ่งทางโรงเรียนได้จัดเตรียมถังขยะแยกประเภทไว้แล้ว แต่ก็ยัง
พบวา่ มีอกี หลายปญั หาที่ยังเกดิ ข้นึ อยู่ ซง่ึ สาเหตุสาคัญทีท่ าให้เกดิ ปัญหาขยะในโรงเรียนมีดงั น้ี
1. ขยะเป็นส่ิงต่างๆท่ีไม่ต้องการใช้ ซ่ึงขยะในโรงเรียนเป็นปัญหาสาคัญต่อสิ่งแวดล้อมและ
สุขภาพท้ังทางตรง และทางอ้อมของนักเรียน ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับ ปริมาณของขยะ และการจัดการขยะ
ซง่ึ สุนีย์ มัลลกิ ะมาลย์ (2553 : 34) ไดก้ ล่าวถึงสาเหตุท่ที าใหเ้ กดิ ปัญหาขยะในโรงเรยี นมีดังน้ี
21
1.1 ความมักง่ายและขาดความสานกึ ถึงผลเสียทีจ่ ะเกิดข้ึนเป็นสาเหตุที่พบบอ่ ยมากซึง่ จะเห็น
ได้จากการทิ้งขยะลงตามพ้นื หรือแหล่งน้าโดยไม่ท้ิงลงในถังรองรับทจี่ ัดไว้ให้และโรงงานอุตสาหกรรม
บางแหง่ ลักลอบนาสง่ิ ปฏกิ ลู ไปทง้ิ ตามทว่ี ่างเปล่า
1.2 การผลิตหรือใช้สิ่งของมากเกินความจาเป็น เช่น การผลิตสินค้าที่มีกระดาษหรือ
พลาสตกิ หุ้มหลายๆชน้ั และการซื้อสน้ิ ค้าโดยห่อแยกหรือใส่ถุงพลาสติกหลายถุง ทาใหม้ ีขยะปรมิ าณมาก
1.3 การเก็บและทาลาย หรือนาขยะไปใช้ประโยชน์ไม่มีประสิทธิภาพ จึงมีขยะตกค้าง
กองหมกั หมมและส่งกล่ินเหมน็ ไปทวั่ บรเิ วณจนก่อปัญหามลพษิ ให้กบั สง่ิ แวดลอ้ ม
นอกจากน้ีสมไทย วงษ์เจริญ (2561 : 24) ได้กล่าวว่าสาเหตุท่ีทาให้เกิดปัญหาขยะในโรงเรียน
เกิดจากการดาเนินกิจวัตรของนักเรียนในโรงเรียนมักก่อให้เกิดส่ิงของท่ีไม่ต้องการใช้ หรือวัสดุที่ใช้
แล้วซ่ึงเกิดจากกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียน ซึ่งปริมาณของขยะในโรงเรียนจะมากน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัย
ดงั นี้
2.1 ปริมาณขยะมูลฝอยท่ีเกิดขึ้นในแต่ละวันมีมากกว่าความสามารถท่ีจะจัดเก็บ และ
ขยะมูลฝอยที่เก็บได้ ก็จะนาไปกองไว้กลางแจ้ง ให้ยอ่ ยสลายตามธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม
มีขยะมูลฝอยเพียงส่วนน้อยท่ีถูกนาไปกาจัดอย่างถูกหลักสุขาภิบาล โดยการถมท่ีลุ่มนาไปทาปุ๋ยหมัก
และเผาในเตาเผาขยะ สว่ นขยะทีต่ กคา้ งไม่สามารถจัดเก็บไดย้ ังก่อให้เกิดความสกปรกและส่งกลิ่นเหมน็
2.2 การท้ิงขยะมูลฝอยไม่ถูกท่ี คือ ไม่ท้ิงขยะมูลฝอยลงในภาชนะท่ีจัดเตรียมไว้รองรับขยะ
แตท่ ิง้ ตามความสะดวก เช่น ตามถนนหนทาง หอ้ งเรยี น หรือสนามเด็กเลน่ เป็นต้น ซ่ึงก่อให้เกิดความ
สกปรกของสถานทน่ี ั้นๆ ทาใหท้ อ่ ระบายนา้ อดุ ตนั
2.3 การท้ิงขยะมูลฝอยโดยไม่แยกประเภทขยะมูลฝอย เช่น เศษอาหาร เศษกระดาษ
ขยะมูลฝอยที่ย่อยสลายยาก โฟม ถุงพลาสติก โลหะ หรือขยะมูลฝอยที่เป็นอันตราย เช่น ของมีคม
เศษแกว้ และขยะมลู ฝอยติดเชือ้ มาทิ้งรวมกัน ทาให้เกิดปัญหาในการแยกขยะมูลฝอย และการทาลาย
สรุปได้ว่ากิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียนส่งผลให้เกิดสิ่งของที่ไม่ต้องการใช้และขยะในโรงเรียน
สาเหตุเน่ืองมาจากการขาดความสานึก การผลิตหรือใช้สิ่งของมากเกินความจาเป็น การท้ิงขยะมูล
ฝอยไม่ถกู ที่ การทงิ้ ขยะมลู ฝอยโดยไม่แยกประเภทขยะมูลฝอย ซง่ึ สาเหตุสาคัญท่ีทาให้เกิดปญั หาขยะ
ในโรงเรียน
2.2.4 ผลกระทบทเ่ี กดิ จากขยะในโรงเรียน
จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า ขยะในโรงเรียนมีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและสุขภาพ
ทั้งทางตรงและทางอ้อมของนักเรยี นได้ ซึ่งสรปุ ผลกระทบได้ดงั น้ี สานกั ระบาดวทิ ยา (2557 : 22)
22
1. ผลกระทบต่อสุขภาพรา่ งกายโดยตรง ทาใหเ้ กดิ การเจบ็ ป่วย เกิดโรคทางเดนิ หายใจ โรค
ภมู แิ พ้ทางด้านผวิ หนงั โพรงจมูก และตา โรคระบบทางเดินอาหาร โรคทางระบบประสาทและกลา้ มเนื้อเช่น
ปวดศีรษะ คลน่ื ไส้
2. ผลกระทบต่อสุขภาพทางอ้อม ขยะเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธ์ขุ องสตั ว์และพาหะนาโรค
ดังน้ี แมลงวันเป็นพาหะนาโรคระบบทางเดินอาหาร อหิวาตกโรค บิด ไทฟอยด์ นอกจากน้ีแมลงวัน
ยังเป็นแหล่งเพาะพันธ์ุของไข่หนอนพยาธิ และเชื้อโปรโตซัว สัตว์กัดแทะ เช่น หนูเป็นพาหะนาโรคสู่คน
เช่น โรคฉ่ีหนู หรือโรคเลปโตสไปโรซิส นอกจากนี้หนูยังเป็นแหล่งอาศัยของปรสิตภายนอกร่างกาย
เช่น หมัด ไร โลน เหา และสามารถแพรส่ ู่คนได้
3. ผลกระทบต่อจิตใจ เช่น เกิดความราคาญ ความเครียด จากความสกปรก ฝุ่นละอองต่างๆ
และขาดสมาธิ
4. ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ทาให้เกิดมลพิษของน้า มลพิษของดิน และมลพิษของอากาศ
เนื่องจากขยะส่วนที่ขาดการเก็บรวบรวม หรือไม่นามากาจัดให้ถูกวิธี ปล่อยท้ิงค้างไว้ เมื่อมีฝนตกลง
มาจะไหลชะนาความสกปรก เชื้อโรค สารพิษจากขยะไหลลงสู่แหล่งน้า ทาให้แหล่งน้าเน่าเสีย และ
นอกจากน้ีขยะยงั ส่งผลกระทบต่อคณุ ภาพดนิ โดยเฉพาะขยะอันตราย เช่น ถา่ นไฟฉาย ซากแบตเตอรี่
หลอดฟลอู อเรสเซนต์ ซึ่งมปี ริมาณโลหะหนกั ประเภทปรอท แคดเมียม ตะกว่ั จานวนมาก สารอนิ ทรีย์
ในขยะเมื่อมีการย่อยสลาย จะทาให้เกิดสภาพความเป็นกรดในดิน เมื่อฝนตกชะกองขยะจะทาให้น้า
เสียจากกองขยะไหลปนเป้ือนดินทาให้เกิดมลพิษของดิน ถ้ามีการเผาขยะกลางแจ้งจะเกิดควันท่ีมี
สารพษิ ทาให้คุณภาพของอากาศเสีย ส่วนมลพิษทางอากาศจากขยะอาจเกิดขึน้ ไดท้ ัง้ จากมลสารทม่ี ีอยู่
ในขยะและแก๊สหรือไอระเหยท่มี ีกล่ินเหม็นจากการเน่าเป่ือยและสลายตัวของอินทรยี ์สาร
5. ทาให้เสียภาพลักษณ์ของโรงเรียน การจัดการขยะท่ีดี มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ย่อมแสดงถึงความเจริญและวัฒนธรรมของโรงเรียน หากการจัดการขยะไม่ดีย่อมก่อให้เกิดความไม่
น่าดขู าดความสวยงาม สกปรก และไม่เปน็ ระเบยี บ สง่ ผลกระทบตอ่ ภาพรวมของโรงเรียน
นอกจากน้ีพัชรพล ไตรทิพย์ (2559 : 41) กล่าวว่า ปัญหาท่ีเกิดขึ้นจากการมีปริมาณขยะ
มูลฝอยและของเสียอันตรายมากขึ้นในชุมชนและโรงเรียนไม่สามารถเก็บรวบรวมและนาไปกาจัด
อย่างมีประสิทธภิ าพได้ก่อให้เกดิ ผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในด้านต่างๆมากมายหากไม่มกี ารจัดการขยะ
ให้ถูกต้องเหมาะสมย่อมจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและสุขภาพและอาจเกิดเป็นสาเหตุของ
การเกดิ โรคระบาดได้
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าขยะในโรงเรียนเป็นปัญหาสาคัญต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
ท้ังทางตรงและทางอ้อมของนักเรียน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณของขยะและการจัดการขยะดังน้ันการบริหาร
จดั การขยะในโรงเรยี นจึงมีความสาคัญเพื่อลดปญั หาท่ีอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพนักเรียนในโรงเรียน
23
2.2.5 นโยบายสง่ เสริมและสนบั สนุนการจัดการขยะของ สพฐ. สูโ่ รงเรยี นปลอดขยะ
นโยบายรัฐบาลและแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ.2560 - 2564)
ได้กาหนดให้การบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประเด็นการบริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมจึงได้มี
การบรู ณาการหน่วยงานที่เก่ียวข้องด้านการบริหารจดั การขยะ โดยสานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขน้ั พื้นฐานเป็นหนว่ ยงานหลักทเ่ี กีย่ วข้องในการสร้างพลเมืองท่ีมีคณุ ภาพในการให้ความรู้ สร้างเจตคติ
นาไปสู่การมีความตระหนักและมีจิตสานึกท่ีดีในด้านการจัดการขยะ โดยมุ่งเน้นการสร้างจิตสานึก
ทสี่ าคัญใน 2 ประเดน็ หลัก คือ การสร้างจิตสานกึ ลดปรมิ าณขยะ ให้เหลือเฉลี่ย 1 กิโลกรมั ตอ่ คน ตอ่
วันและการใช้ประโยชน์จากขยะ สร้างจิตสานึกและอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม โดยส่งเสริมสนับสนุน ให้
สานักงานเขตพ้ืนท่ี สานักงานคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด และสถานศึกษาดาเนินการ ตาม
แนวทางดงั น้ี
1. การดาเนินการตามแนวทางการจัดการขยะ Zero Waste school ซ่ึงเป็นปรัชญาที่สง่ เสริม
การหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใชใ้ หม่ เพ่ือเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นการลด
ปริมาณของเสียท่ีเกิดข้ึนให้น้อยที่สุด โดยใช้หลักการของ 3 Rs (Reduce, Reuse, Recycle) รวมท้ัง
การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถนากลับมาใช้ใหมไ่ ด้เกือบท้ังหมด เพื่อเป็นการลดปริมาณของเสียที่
สง่ ไปกาจัดโดยวิธีการฝังกลบและเตาเผาทาลายให้มีปริมาณนอ้ ยทสี่ ดุ รายละเอยี ดดงั แผนภาพที่ 2.3
แผนภาพท่ี 2.3 แนวคดิ การจัดการขยะ Zero Waste
ที่มา: Zero Waste แนวทางการลดขยะใหเ้ หลอื ศนู ย์
การลดปริมาณขยะรูปแบบของ 3 Rs ในสถานศึกษามดี ังนี้
1. กาหนดนโยบายดา้ นการจัดการขยะตามรปู แบบของโรงเรียน ZERO WASTE
24
2. ส่งเสริมการจัดกิจกรรมการคัดแยก ขยะ4 ประเภท ได้ขยะท่ัวไป ขยะย่อย สลาย
ขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย
3. ส่งเสริมกิจกรรม 1A3R ลดขยะในสถานศึกษา 1A3R คือ กลยุทธ์ในการจัดการกับ
ขยะมลู ฝอยทเ่ี ร่มิ ต้นท่ีจะมีขยะเกดิ ข้ึน ประกอบด้วยข้ันตอนตั้งแต่การงด - เลิก ลด ใช้ซา้ และหมุนเวียน
กลับมาใช้ใหม่เป็นหลักการแก้ปัญหาขยะแบบประหยัด ที่ไม่ต้องอาศัยงบประมาณทางราชการใดๆ
แตต่ ้องอาศัยความตง้ั ใจ เสียสละเวลา รวมทงั้ งบประมาณส่วนตัว โดยมคี วามหมาย ดงั นี้
3.1 Avoid หรืองด – เลิก เป็นการงดหรือเลิกการบริโภคที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
โดยตรงการบริโภคที่เป็นอนั ตรายตอ่ ผอู้ นื่ และตอ่ ระบบนเิ วศ โดยจะตอ้ งงดหรอื เลิกบริโภค
3.1.1 ผลติ ภัณฑ์ที่ใช้แล้วทง้ิ เลย
3.1.2 ผลิตภัณฑท์ ีเ่ ปน็ อนั ตรายต่อผใู้ ช้และระบบนเิ วศ
3.1.3 ผลิตภัณฑท์ ่ที าจากสตั ว์ปา่ หรือชิ้นสว่ นของสัตวป์ ่าทุกชนดิ
3.1.4 กจิ กรรมที่ทาใหเ้ กดิ อันตรายต่อชวี ิตมนุษยแ์ ละสภาพแวดล้อม
3.2 Reduce หรือลดการบริโภคท่ีจะทาให้เกิดการร่อยหรอของทรัพยากรท่ีมีอยู่
อย่างจากัด ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป รวมท้ังทรัพยากรที่ทดแทนใหม่ได้บางชนิดก็ต้องลดการใช้
เนอื่ งจากทาให้เกิดการเสียสมดลุ ของระบบนิเวศ โดยการลดการใช้ทรัพยากร ดงั น้ี
3.2.1 ทรัพยากรทีใ่ ชแ้ ลว้ หมดไป
3.2.2 ทรพั ยากรท่ีทดแทนใหมไ่ ด้
3.2.3 ผลติ ภัณฑ์ที่เมอื่ นามาใช้ จะทาให้เกิดความเสยี หายต่อระบบนิเวศ
3.2.4 ผลิตภัณฑท์ ่ีไดจ้ ากขบวนการผลติ ท่ตี อ้ งใชพ้ ลงั งานมาก
3.3 Reuse หรือใช้ซ้า - ใช้แลว้ ใช้อกี เป็นอกี ทางเลือกหนึ่งของการบรโิ ภคอย่างเหมาะสม
เพื่อลดการร่อยหรอของทรัพยากรท่ีมีอยู่ และลดการปล่อยมลพิษสู่สภาพแวดล้อม โดยการนาผลิตภัณฑ์
และทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ในลักษณะท่ีเหมือนเดิม ไม่มีการเปล่ียนรูปทรงด้วยการหลอม บด แยก
ใดๆ เพอื่ หลกี เลย่ี งการสญู เสียพลงั งาน เช่น
3.3.1 เสอื้ ผา้ ทกุ ชนดิ
3.3.2 ภาชนะบรรจทุ ีท่ าด้วยแก้วทุกชนิด
3.3.3 ภาชนะบรรจอุ ื่น ๆ เช่น ลังกระดาษ ลงั พลาสตกิ ฯลฯ
3.3.4 กระดาษ
3.4 Recycle หรือหมุนเวียนกลับมาใหม่ผลิตภัณฑ์บางชนดิ แม้จะมีความคงทนแต่กลับ
มอี ายุการใช้งานส้ัน มปี รมิ าณการใช้มากทาให้หมดเปลืองทรัพยากรและพลงั งานอย่างรวดเรว็ จึงควร
ใช้ผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้อย่างระมัดระวังและให้เกิดประโยชน์คุ้มค่ามากที่ สุดเพ่ือลด
ปริมาณของเสียที่จะถ่ายเทสู่สภาพแวดล้อม และเม่ือเลิกใช้แล้วควรจะจัดการเพ่ือนาเอาทรัพยากรท่ี
25
คร้ังหน่ึงถูกแปรเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ดังกล่าว หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ ซ่ึงจะต้องผ่านกระบวนการ
หลอมละลาย บด อัด ฯลฯ ผลติ ภณั ฑ์ที่สามารถนามาหมุนเวยี นกลับมาใช้ใหม่ได้ มีดังน้ี
3.4.1 แกว้ ไดแ้ ก่ ขวดแกว้ ต่าง ๆ ทัง้ ที่มสี ีใส สนี ้าตาลและสีเขียว
3.4.2 กระดาษ ได้แก่ กระดาษหนังสือพิมพ์ กล่องกระดาษ ถุงกระดาษ สมุด
กระดาษสานกั งาน หนงั สือตา่ ง ๆ
3.4.3 โลหะ ได้แก่ วัสดหุ รอื เศษเหล็กทกุ ชนดิ กระปอ๋ งอลูมิเนียม ทองแดง ทองเหลือง
3.4.4 พลาสติก ได้แก่ ขวดน้าพลาสตกิ ใส ขวดน้าพลาสติกสีขาวขนุ่ ถุงพลาสติก
เหนียวภาชนะพลาสตกิ ต่าง ๆ (กะละมงั ถงั นา้ ขวดแชมพ)ู รวมถงึ บรรจภุ ัณฑท์ ีม่ ีสญั ลกั ษณร์ ไี ซเคิล
นอกจากนี้เนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยในหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551
ซง่ึ เป็นหลกั สูตรแกนกลางของประเทศ มจี ุดประสงค์ทีจ่ ะพัฒนาผู้เรยี นให้เป็นคนดี มปี ัญญา มีคุณภาพ
ชีวิตที่ดีสามารถดารงชีวิตอย่างมีความสุขได้บนพื้นฐานของความถนัดและความสามารถของแต่ละ
บุคคลซึ่งปัญหาขยะมูลฝอยเป็นปัญหาหนึ่งด้านสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราและสังคม ปัจจุบันการเรียน
การสอนของครูจะต้องปรับเปลี่ยนในหลายด้าน เพ่ือทาให้เด็กเกิดทักษะ ความคิดรวบยอด และเจต
คติที่ดีต่อการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม สามารถนาปัญหาสิ่งแวดล้อมมาแก้ไขด้วยตนเอง เพื่อประโยชน์สุข
ของตนเองและสังคม เกษม จันทร์แก้ว (2558 : 142 – 143) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนการสอนเพ่ือสร้างความรู้
พื้นฐานไปสู่กระบวนการสิ่งแวดล้อม และกระบวนการวิทยาศาสตร์ควบคู่กันไปเพ่ือสร้างจิตสานึก
สิง่ แวดล้อม โดยมขี ้ันตอนในการสอดแทรก 5 ขนั้ เพ่ือใหใ้ ห้ผู้เรียนเกดิ ความรู้ เจตคติ ความสานึก การตอบโต้
และทักษะทางสิง่ แวดล้อมทถ่ี ูกตอ้ ง ดังนี้
1. ความรู้ (Knowledge) ทางสิ่งแวดล้อมน้ันต้องเป็นความรู้ในแนวกว้าง ซึ่งเป็นฐานสาคัญ
ของจิตสานึกทางส่ิงแวดล้อม หมายความว่า รู้หลายสาขาหรือเรื่องท่ีเก่ียวข้องกับความรู้ เฉพาะทาง
ส่ิงแวดล้อมน้ัน ๆ นอกจากน้ีการรู้จักผสมผสาน (Integration) ก็เป็นอีกเรื่องหน่ึงที่สาคัญเช่นกันที่จะ
ก่อให้เกิดความรู้ทางส่ิงแวดล้อมในแนวกว้าง ซึ่งหมายถึงการท่ีความรู้เฉพาะด้านนั้นมีการเชื่อมโยงกับ
ความรู้ทางด้านอื่น ๆ ในลักษณะและทิศทางอันเป็นส่ิงสาคัญของจิตสานึกท่ีต้องปลูกฝัง ท้ังนี้เพ่ือจะเป็น
ความรู้อย่างมีเหตุผล สามารถสร้างมโนภาพท่ีเป็นธรรมชาติของสิ่งนั้น ปัญหาและเหตุของปัญหาแนวทางแก้ไข
แผนการแก้ไขและอืน่ ๆ ได้
2. เจตคติ (Attitudes) เป็นระดับความเข้มข้นของเน้ือหาสาระของจิตสานึกทางสิ่งแวดล้อม
ต่อจากความรู้ หมายความว่า ต้องมีความรู้อย่างถูกต้องตามหลักการ คือ รู้กว้างและรู้การผสมผสาน
ซ่งึ ต้องมกี ารไดเ้ หน็ หรอื สัมผัสของจรงิ และรว่ มกิจกรรมกับกิจกรรมเสริมท่ผี ู้บริหารวางแผนไวโ้ ดยเช่ือว่า
การได้เห็นความเป็นจริง ปรากฏการณ์ พฤติกรรมในส่ิงเหล่านั้น รวมท้ังได้มีการร่วมกิจกรรมก็สามารถ
มเี จตคติทถ่ี กู ต้องและมัน่ คงตลอดไป
3. ความสานึก (Awareness) เป็นระดับความเข้มข้นของเนื้อหาสาระในระดับท่ีสามของการ
สร้างจิตสานึกทางสิ่งแวดล้อมโดยการกาหนดกระบวนรายวิชา รายละเอียดรายวิชาให้มีเนื้อหาถึงขั้นละเอียด
26
ผู้เรียนจะมีความรอู้ ย่างลึกซ้ึง เข้าใจอย่างฝังแน่น อีกท้ังต้องสร้างบทปฏิบัติการ อาจทดลองในหอ้ งปฏิบัติการ
ทดลองในพืน้ ทจี่ รงิ ทากิจกรรมรว่ ม เขียนรายงานบทปฏบิ ัติการ ทารายงาน เสนอผลงานตอ่ หนา้ กลุ่มผเู้ รียน เป็นตน้
4. การตอบโต้ (Sensitivity) ในทางสิ่งแวดล้อม หมายความวา่ เมื่อเกิดเหตุการณ์ใด หรือสิ่งใดบงั เกิดขึ้น
ประสาทหรือความรู้ที่ได้สะสมไว้จะมีการตอบโต้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าไม่มีการตอบโต้เลย หมายถึงว่า การสร้าง
ความสานึกหรือจิตสานึกยังไม่อยู่ในเกณฑ์ท่ีใช้ได้ วิธีการสร้างให้เกิดอาการตอบโต้ หรือเกิดความรู้สึกก็คือ
การสร้างพัฒนาการโดยการฝึกหัดทา หรือฝึกให้ทา อาจเป็นการบังคับจากกฎหมาย การให้ความรู้
ฝึกโดยการสมคั รใจและเต็มใจรบั การฝึกหัด
5. ทกั ษะ (Skills) เป็นระดบั สูงสุดในเนอ้ื หาสาระของการสร้างจิตสานึกทางสงิ่ แวดล้อมเป็นระดับ
ท่ีสร้างทักษะการทาได้อย่างถูกต้องและชานาญการ วิธีการสร้างทักษะที่มีประสิทธิภาพ คือการฝึกทา
ฝึกหดั ทา ฝึกการเขียน ฝกึ บรรยาย ฝกึ การเสนอผลงานฝึกสอน และฝึกเป็นผู้ดาเนินการในเฉพาะเรือ่ งน้ัน
ๆ ตามเวลาที่เหมาะสม การทดสอบปริมาณและคุณภาพจากผูท้ รงคณุ วฒุ ิก็สามารถทราบได้
สรุปได้ว่าปัญหาขยะมูลฝอยเป็นปัญหาหนึ่งด้านส่ิงแวดล้อมท่ีอยู่รอบตัวเราและสังคม
ในปัจจุบันความก้าวหนา้ ด้านเทคโนโลยี ไม่หยุดน่ิง ทาให้มนษุ ย์ตอ้ งปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพท่ีเปล่ียนไป
การเรียนการสอนของครูจะต้องปรับเปลี่ยนในหลายด้าน เพ่ือทาให้เด็กเกิดทักษะ ความคิดรวบยอด
และเจตคติที่ดีต่อการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม สามารถนาปัญหาสิ่งแวดล้อมมาแก้ไขด้วยตนเอง โดยสอดแทรก
เนื้อหาเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมเพื่อสร้างจิตสานึกทางส่ิงแวดล้อมเพื่อให้ให้ผู้เรียนเกิดความรู้ เจตคติและทักษะ
ทางสิง่ แวดล้อมทถ่ี กู ต้อง
2.2.6 หลักการบริหารจดั การขยะในโรงเรียน
กรมส่งเสริมคุณภาพสงิ่ แวดล้อม (2554 : 22 - 23) ระบุว่าการบริหารจดั การขยะ คือ การท่ีลด
ปริมาณขยะมูลฝอยท่ีต้องทาลายด้วยระบบต่าง ๆ ให้เหลือน้อยที่สุด และนาขยะมูลฝอยมาใช้ประโยชน์
ได้ไม่ว่าจะเป็นการใช้ซ้า และแปรรูปนามาใช้ใหม่ (Reuse & Recycle) รวมถึงการกาจัด ที่เกิดผลพลอยได้
เชน่ ป๋ยุ หมกั หรอื พลังงาน โดยสรุปวธิ กี ารดาเนินการตามแนวทางของกรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพสงิ่ แวดล้อม ดงั น้ี
1. การลดปริมาณขยะมลู ฝอย (Reduce) สามารถทาได้ดงั ต่อไปน้ี
1.1 การลดปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดจากการใช้สินค้า ควรเลือกใช้สินค้าท่ีมีความ
คงทนถาวร หรอื มีอายุการใชง้ านท่ยี าวนาน และเลอื กใชส้ นิ ค้าชนดิ เดมิ
1.2 การลดปริมาณวัสดุเลือกใช้วัสดุท่ีมีบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่ แทนบรรจุภัณฑ์ขนาด
เล็ก เพื่อลดปริมาณของบรรจุภัณฑ์ทจ่ี ะกลายเป็นขยะมูลฝอย
2. การนากลับมาใช้ (Reuse) คือการนาขยะมลู ฝอยทเ่ี ปน็ เศษวัสดนุ ากลับมาใชซ้ า้ อีกครัง้
เป็นการนามาใชป้ ระโยชน์ใหม่ เช่น การนาขวดน้าดื่ม การนาขวดน้าหวาน การนาขวดต่าง ๆ นากลับมาใส่น้าตาล
เปน็ การนาสิง่ ของตา่ ง ๆ เหล่านี้มาใช้ซา้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนจะนาไปท้งิ
27
3. การนากลับมาแกไ้ ข (Repair) เป็นการนาวัสดุอุปกรณ์ท่ีชารุดเสียหาย ซ่งึ จะทง้ิ เป็นมูล
ฝอยมาซอ่ มแซมใช้ใหม่ เช่น เก้าอี้
4. การแปรสภาพ หรือนากลับมาใช้ใหม่ (Recycle) เป็นการนาวัสดุท่ีเหลือใช้มาผลิต
ให้เป็นสินค้าใหม่ โดยนาขยะมูลฝอยมาแปรรูปตามท่ีต้องการ และนากลับมาใช้ประโยชน์อีกคร้ัง
อย่างเชน่ พลาสติก กระดาษ ขวด โลหะต่าง ๆ นากลับมาหลอมใหม่
5. การหลีกเล่ียงการใช้วัสดุที่ก่อให้เกิดมลพิษ เป็นการหลีกเล่ียงการใช้วัสดุที่ย่อยสลาย
ทาลายยาก หรือวัสดทุ ี่ใชเ้ พียงคร้งั เดียวแล้วทิง้ เช่น โฟม โดยปฏเิ สธการใชผ้ ลติ ภณั ฑท์ ี่ผิดวตั ถุประสงค์
นอกจากน้ี กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (2555 : 11) ได้กาหนดยุทธศาสตร์ท่ีเกยี่ วข้อง
กับการจัดการขยะตามโครงการ Clean Land โดยมีเป้าหมายเพื่อให้มีการจัดการขยะท่ีดีตั้งแต่การ
เก็บรวบรวมกาจัดขยะทั่วไปและขยะอันตรายมีการลดปริมาณขยะและการนาขยะกลับมาใช้ใหม่
(Recycle) และการเพ่ิมพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองโดยนาหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays
Principle: PPP) มาใช้อย่างเหมาะสมยุทธศาสตร์การจัดการขยะมีวัตถุประสงค์ของการดาเนินการ 6
ประการคอื
1. มกี ารจัดการขยะอยา่ งถกู สขุ ลกั ษณะ
2. มกี ารจดั การขยะอันตรายอยา่ งถูกสุขลกั ษณะ
3. ลดการผลิตขยะและการกาจัดขยะ
4. เพม่ิ พ้นื ทีส่ ีเขียวในเขตเมือง
5. สรา้ งความรับผิดชอบและความเปน็ เจ้าของตอ่ สิ่งแวดล้อม
6. มกี ารพัฒนาบุคลากรทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
พูนสุข อุดม (2552 : 23) กล่าวว่า หลักการบริหารจัดการขยะในโรงเรียนให้ย่ังยืนโดยใช้
กระบวนการสอนส่ิงแวดล้อมศึกษาซ่ึงเป็นกระบวนการทางการศึกษาเพ่ือพัฒนาประชากรให้เกิด
ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมให้มีความตระหนักต่อปัญหาส่ิงแวดล้อมและสานึกในคุณค่า
ของทรัพยากรธรรมชาติ มุ่งพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ให้มีความชานาญเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา
พร้อมท่ีจะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสงิ่ แวดล้อม สามารถดารงชีวิตอยู่อย่างประสานสอดคล้องกับ
ธรรมชาติได้ดังน้ันสิ่งแวดล้อมศึกษาจึงครอบคลุมหลายมิติ ท้ังมิติทางทรัพยากรธรรมชาติ มิติทางสังคม
และวัฒนธรรม มิติทางความเช่ือ และจิตวิญญาณ มิติทางเศรษฐกิจ และมิติทางเทคโนโลยี เนื่องจาก
ธรรมชาติของเนื้อหาสิ่งแวดล้อมศึกษาสอดแทรกและเกี่ยวข้องอยู่กับทุกรายวิชา สาคัญอยู่ท่ีผู้สอน
จะต้องเข้าใจ และตระหนัก ในความสาคัญ ของสิ่งแวดล้อมศึกษา แล้วนามาสอนแบบบูรณาการ
สอดแทรกเข้าไปในเน้ือหาและกิจกรรมส่ิงแวดล้อมศึกษาให้สอดคล้องและเหมาะสมโดยมุ่งเป้าหมาย
หลัก 5 ประการ ได้แก่ สร้างความรู้ความเข้าใจ ความตระหนักเจตคติ ทักษะ และการมีส่วนร่วม
28
เก่ียวกบั ส่งิ แวดล้อมและปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยกาหนดแนวปฏิบตั ิเกีย่ วกับการจัดกิจกรรมส่งิ แวดล้อม
ศกึ ษาในสถานศึกษา ดังนี้
1. กาหนดนโยบายและแผนปฏิบัติท่ีส่งเสริมการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมบุคลากรในสถานศกึ ษา
นักเรียนและชุมชนมีส่ วนร่ วมในการก าหนดนโยบายและร่วมจั ดทาแผนพัฒน าสิ่งแวดล้อมของ
สถานศึกษา
2. จดั กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีบูรณาการสิ่งแวดล้อมศึกษา มีการบูรณาการส่ิงแวดล้อม
ศึกษาในแต่ละกลุ่มประสบการณ์ และครูผู้สอนจะต้องเขียนแผนการสอนท่ีระบุ วัตถุประสงค์ เน้ือหา
และกิจกรรมทางสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กับวัตถุประสงค์ เนื้อหาและกิจกรรมที่มีอยู่แล้วในหลักสูตร
สาหรับแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยการบูรณาการนนั้ ครูต้องเกี่ยวกับสง่ิ แวดล้อม
โดยให้ผู้เรียนมีความรู้และเข้าใจเกย่ี วกบั ปญั หา สาเหตุและผลกระทบของปัญหา สิ่งแวดล้อม สอนใน
สง่ิ แวดล้อม โดยนาผู้เรียนเข้าไปศึกษาในสภาพแวดล้อมจริง เช่น ในชุมชน ในป่า เพ่ือให้นักเรียนเกิด
ความซาบซึ้งและทศั นคติที่ดีต่อการอนุรักษ์ และสอนเพื่อส่ิงแวดล้อมโดยให้ผู้เรียน ได้นาไปปฏิบัตจิ ริง
เพือ่ ให้เกดิ การอนรุ กั ษ์ส่ิงแวดลอ้ ม ซงึ่ กจิ กรรมการเรยี นการสอนตอ้ งเนน้ ใหผ้ เู้ รยี นเปน็ ศนู ย์กลาง
3.การจัดการอาคารเรียน บริเวณสถานศึกษา และห้องเรียนที่เอ้ือต่อการเรียนการสอน
สง่ิ แวดล้อมศึกษา มีการวางแผนผังของสถานศึกษา จัดหอ้ งเรียน อาคารเรียนและบริเวณสถานศึกษา
ให้สะอาด ร่มร่ืน สวยงาม จัดให้มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ มีการทาเกษตรกรรมผสมผสาน ทั้งนี้
เพ่ือให้เอ้ือและเป็นสื่อในการเรียนการสอนส่ิงแวดล้อมศึกษาเอ้ือและเป็นสื่อในการเรียนการสอน
สิ่งแวดล้อมศึกษา
4. บุคลากรในสถานศึกษา และนักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสิ่งแวดล้อม สถานศึกษา
ควรเปิดโอกาสให้บุคลากร และนักเรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนการดาเนินกิจกรรมและการ
ประเมินผลการดาเนินงานด้านส่งิ แวดลอ้ มของสถานศึกษา
5. ชมุ ชน องค์กรและหนว่ ยงานท่ีเก่ียวขอ้ ง มีส่วนร่วมในการจดั กจิ กรรมทางส่งิ แวดลอ้ มของ
สถานศึกษา สถานศึกษาเปิดโอกาสให้ชุมชน และหน่วยงานที่เก่ียวข้องมีส่วนร่วมในการวางแผน และ
พัฒนาการจดั กจิ กรรมทางสิ่งแวดล้อมรวมทงั้ การจดั การเรียนการสอนของสถานศึกษา
6. มีการจัดการและการกาจัดขยะ มีนโยบายและมาตรการเกี่ยวกับการจัดการและการ
กาจัด ขยะ และสามารถนาไปปฏิบตั ิจริง เช่น ลดการซื้อสินค้าท่ีก่อให้เกดิ ขยะ จัดหาถงั ขยะ จัดหาถัง
แยก ประเภทขยะ นาขยะที่ใช้แล้วกลับมาใชใ้ หม่ หรือนาไปกาจดั อยา่ งถกู วธิ ี
7. มีการประหยัดพลังงาน กาหนดมาตรการในการประหยัดพลังงานในสถานศึกษาและ
ดาเนินการอยา่ งจริงจงั เช่น เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าท่ีประหยัดพลงั งาน และตรวจสอบบารงุ รักษาให้ใช้
การได้ดีอยู่เสมอ จัดสภาพแวดล้อมทเี่ ออื้ ต่อการประหยัดพลังงาน เช่น ตัดแต่งต้นไมร้ อบอาคารต่าง ๆ
ให้โปร่งเพ่ือให้อาคารได้รับแสงจากภายนอก ภายในอาคารควรใช้สีท่ีสว่าง เพื่อลดการใช้พลังงาน
29
ไฟฟ้า รณรงค์ให้นักเรียนและบุคลากรในสถานศึกษาช่วยกันประหยัดพลังงาน ท้ังในสถานศึกษาและ
ชมุ ชน
8. มีการประหยัดน้า กาหนดมาตรการในการประหยัดน้า และดาเนินการอย่างจริงจัง เช่น
มี การบาบัดน้าเสีย นาน้าทผี่ ่านการใช้หรือบาบัดแล้วมาใช้อย่างเหมาะสม กักเก็บน้าจากธรรมชาติไว้
อุปโภคและบริโภค สารวจ ซ่อม บารุง รักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ใช้การได้ดีอยู่เสมอรณรงค์ให้นักเรียน
และบุคลากรในสถานศึกษาชว่ ยกนั ประหยัดน้าทง้ั ในสถานศึกษาและชุมชน
9. มกี ารจัดกิจกรรมส่ิงแวดล้อมศึกษาเพื่อส่งเสรมิ หลักสูตร สถานศึกษาสนบั สนุนให้มี การจัดกิจกรรม
ส่ิงแวดล้อมศึกษาเพ่ือเสริมหลักสูตร เช่น การจัดตั้งชมรมส่ิงแวดล้อมการศึกษานอก สถานที่ การจัด
นิทรรศการ การแสดงละคร การใช้เสียงตามสาย และการประกวดต่าง ๆ ทางสิ่งแวดล้อม เช่น การวาดภาพ
การเขยี นบทกลอน การประกวดคาขวัญการโต้วาที
10. มีการประเมินผลการดาเนินงานด้านส่ิงแวดล้อมศึกษา บุคลากรในสถานศึกษา นักเรียน
และชุมชน มีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผล และนาผลการประเมินไปปรับปรุงการดาเนินงาน
ทางดา้ นสงิ่ แวดล้อมศึกษา
สรุปได้ว่าหลักการบริหารจัดการขยะในโรงเรียนควรเลือกวิธีการที่เหมาะสมของในแต่ละพื้นท่ี
โดยกระทาควบคู่กันไป ทั้งการลดปริมาณขยะมูลฝอย การนากลับไปใช้ใหม่ และการกาจัดขยะมูลฝอย
การสร้างจิตสานึก หรือจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีบูรณาการสิ่งแวดล้อมศึกษา ซ่ึงสานักงานเขต
พื้นทก่ี ารศึกษาและสถานศึกษาในสงั กัด การดาเนนิ งานดา้ นการลด และคัดแยกขยะมูลฝอยในอาคาร
และพ้นื ท่ีของหน่วยงานเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีต่อภาคเอกชนและประชาชนให้มีส่วนรว่ มในการป้องกัน
และแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ขยะพลาสติกและโฟมในภาพรวมของประเทศอย่างต่อเน่ือง โดยใช้
หลกั การ 3R คอื ใชน้ อ้ ยหรือลดการใช้ (Reduce) ใช้ซ้า (Reuse) และแปรรปู ใชใ้ หม่ (Recycle) ใน
การจดั การขยะทเี่ กดิ ขนึ้
2.3 แนวคดิ และทฤษฎีทเี่ กย่ี วข้องกับกระบวนการนเิ ทศ
2.3.1 ความหมายของการนเิ ทศ
คาว่านิเทศ (Supervision) แปลว่า การให้ความช่วยเหลือแนะนา หรือปรับปรุง ดังนั้น
การนิเทศการศึกษาก็น่าจะหมายถึงการให้ความช่วยเหลือแนะนา หรือปรับปรุงเกี่ยวกับการศึกษา
โดยเฉพาะในโรงเรยี นได้มผี ู้ใหค้ วามหมายคาว่า การนิเทศการศึกษา ไวแ้ ตกตา่ งกนั ดังนี้
ชุมศักด์ิ อินทร์รักษ์ (2551 : 206) ได้กล่าวถึงความหมายของการนิเทศการศึกษาว่า หมายถึง
กระบวนการส่งเสริม แนะนา ช้ีนา ปรึกษา หารือ ประสาน มอบหมายความรับผิดชอบและปรับปรุง
พฒั นาเพอ่ื คุณภาพของผ้เู รียน
30
ชวนพิศ คาดสนิท (2553 : 10) ได้ให้คาจากัดความของการนิเทศว่า หมายถึง การชี้แนะ
แนะนา การปรึกษาหารอื การวางแผนร่วมกันและใหค้ วามรว่ มมือในการพัฒนาเพื่อให้เกดิ ผลดี และ
บรรลุตามวัตถปุ ระสงค์
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553 : 223 - 224) ได้กล่าวถงึ ความหมาย การนิเทศการศึกษา
ว่าหมายถึง การนิเทศท่ีมีการริเริ่มและจัดดาเนินการโดยบุคลากรภายในสถานศึกษา และในหลาย
โอกาสกเ็ ชญิ บุคลากรภายนอกเป็นวิทยากรมารว่ มโครงการ
มทั นียา นะตะ (2554 : 12) กลา่ วว่าการนิเทศ หมายถึง การช่วยเหลือ แนะนาช้ีแจง ร่วมมือ
ให้บริการและการปรับปรุงการสอนให้ดีข้ึน ซ่ึงจะอาศัยความร่วมมือซ่ึงกันและกันระหว่างผู้นิเทศ
และครูผู้สอน ตลอดจนผู้เก่ียวข้อง กับการศึกษา โดยตั้งอยู่บนหลักแหล่งมนุษยสัมพันธ์ เพื่อให้
การดาเนินการจัดการเรียนการสอน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักเรียน
อันเป็นเป้าหมายสงู สุดของการจัดการศึกษา
วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 8) กล่าวว่า การนิเทศเป็นกระบวนการสอนเป็นกระบวนการ
หน่ึงของการจัดการศึกษาที่มุ่งปรับปรุงกระบวนการสอน กระบวนการเรียนรู้ในชั้นเรียน และส่งเสริม
พัฒนาความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพครูที่ส่งผลโดยตรงต่อผลการเรียนรู้ของนักเรียน หรือการพัฒนา
พฤติกรรมการจัดการเรียนการสอนต้องอาศัยวิธีการหลากหลายวิธี และวิธีการหนึ่งที่จะช่วยเหลือ
ครูผู้สอน ให้สามารถ ปรับปรุง และพัฒนาตนเอง พัฒนางานการจัดการเรียนการสอน ในวิชาชีพ
ของตนเองไดอ้ ยา่ งต่อเนอ่ื ง และเกดิ ประสิทธิผลสูงสุดต่อนกั เรยี น
สรุปได้ว่าการนิเทศการสอน หมายถึง แนวทางในปฏบิ ตั ิงานนิเทศที่สง่ เสริม สนบั สนุนและ
ช่วยเหลือที่ส่งผลให้ครูผู้สอนได้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการสอนโดยผ่านการให้คา แนะนา
สะท้อนความคิดจากผู้เช่ียวชาญ เพื่อให้ครูผู้สอนมีความรู้ความสามารถ โดยให้เกิดผลต่อการเรียน
ของนกั เรียนอยา่ งมคี ณุ ภาพ
2.3.2 กระบวนการนเิ ทศการศกึ ษา
กระบวนการนิเทศการศึกษาเป็นกิจกรรมท่ีต้องปฏิบัติเป็นลาดับข้ันตอน ซ่ึงมีนักการศึกษา
ได้นากระบวนการนิเทศการศึกษาหลาย ๆ รปู แบบมาประยุกตใ์ ช้ในการนิเทศภายในสถานศึกษาซ่ึงทาให้
การนเิ ทศการศกึ ษามปี ระสิทธิภาพ ดังนี้
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553 : 227) ได้เสนอกระบวนการการนิเทศการศึกษามี 5
ขนั้ ตอนจะตอ้ งดาเนนิ การอย่างเปน็ ขน้ั ตอนและตอ่ เนื่องกันดังน้ี
ขนั้ ท่ี 1 วางแผนการนเิ ทศ (Planning – P) เป็นขน้ั ท่ผี บู้ ริหาร ผนู้ ิเทศ และผรู้ ับการนเิ ทศ
จะทาการประชุมปรึกษาหารือเพื่อให้ได้มาซ่ึงปัญหาและความต้องการ จาเป็นจะต้องมีการนิเทศ
รวมทง้ั วางแผนถึงขั้นตอนการปฏิบตั งิ านเกย่ี วกบั การนเิ ทศทีจ่ ะจดั ขนึ้ อีกดว้ ย
31
ข้ันที่ 2 ให้ความรู้ในสิ่งท่ีจะทา (Informing - I) เป็นขั้นตอนของการให้ความรู้ความเข้าใจ
ถึงส่ิงที่จะดาเนินการว่าจะต้องอาศัยความรู้ ความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีข้ันตอนในการดาเนินการ
อยา่ งไร และทาอย่างไรจึงจะทาใหผ้ ลงานออกมาอยา่ งมีคุณภาพ
ขน้ั ท่ี 3 การปฏิบัติ (Doing – D) ประกอบด้วยการปฏิบัติงานใน 3 ลักษณะดังตอ่ ไปน้ี
3.1 การปฏิบัติงานของผู้รับการนิเทศ เป็นข้ันที่ผู้รับการนิเทศลงมือปฏิบัติตาม
ความรคู้ วามสามารถทีไ่ ด้จากการดาเนินงานในขัน้ ที่ 2
3.2 การปฏิบัติงานของผู้ให้การนิเทศ ข้ันนี้ผู้ให้การนิเทศจะทาการนิเทศ และ
ควบคุมคุณภาพใหง้ านสาเรจ็ ออกมาทนั ตามกาหนดเวลาและมคี ุณภาพสงู
3.3 การปฏิบัติงานของผู้สนับสนุนการนิเทศ ผู้บริหารจะให้บริการสนับสนุน
ในเรื่องวัสดุอปุ กรณ์ ตลอดจนเครือ่ งใชต้ ่าง ๆ ทีจ่ ะช่วยใหก้ ารปฏบิ ัติงานเปน็ ไปอยา่ งไดผ้ ล
ข้ันที่ 4 การสร้างขวัญ และกาลังใจ (Reinforcing – R) ข้ันนี้เป็นขั้นตอนการเสริม
กาลังใจของผู้บริหารเพื่อให้ผู้รับการนิเทศมีความมั่นใจ และเกิดความพึงพอใจในการปฏิบัติงานขั้นน้ี
อาจจะดาเนินไปพรอ้ ม ๆ กันกับผูร้ บั การนิเทศกาลงั ปฏิบตั งิ านหรือปฏบิ ตั ิงานไดเ้ สร็จสิน้ ลงไปแล้ว
ข้ันที่ 5 ประเมินผลผลิตของการดาเนินงาน (Evaluation - E) เป็นขั้นท่ีผู้นิเทศทาการ
ประเมินผลการดาเนินการซึ่งผ่านไปแล้วว่าเป็นอย่างไร หลังจากประเมินผลการนิเทศหากพบว่า มี
ปญั หา หรอื อุปสรรคอย่างหนึ่งอยา่ งใดทีท่ าให้การดาเนินงานไม่ไดผ้ ลกส็ มควรจะตอ้ งทาการปรบั ปรุงแก้ไข
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2553 :) ได้กาหนดรูปแบบกระบวนการ
นเิ ทศการสอน 5 ขัน้ ตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 การศกึ ษาสภาพปัจจบุ นั ปัญหาและความตอ้ งการ การศึกษาสภาพปัจจุบนั ปัญหา
และความต้องการเป็นข้ันเริ่มต้นที่จะได้ข้อมูลจากการศึกษาเพ่ือนาไปประกอบการตัดสินใจวางแผน
และกาหนดทางเลอื กตอ่ ไป
ข้ันที่ 2 การวางแผนและกาหนดทางเลือก การวางแผน คือ การพิจารณาและตัดสินใจ
อย่างมีเหตุผลตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการกาหนดวัตถุประสงค์ และเป้าหมายท่ีพึงประสงค์
ซ่ึงรวมถึงการกาหนดการเลือกการปฏิบัติรายละเอียดข้นั ตอนการทางานอย่างมีระบบท่ีสะดวกแกก่ าร
ปฏบิ ตั ิและเปน็ ทางเลอื กทีด่ ที ี่สุด
ขั้นท่ี 3 การสร้างส่ือเคร่ืองมือและพัฒนาวิธีการสาหรับศึกษานิเทศก์ทุกคนต้องสร้าง
ทักษะเหล่าน้ีให้มีขึ้นประจาตัว เพราะถือได้ว่าเป็นกระบวนการหลักท่ีสาคัญมีความจาเป็นต่อการ
นิเทศการศึกษาเป็นตัวแปรสาคัญทจี่ ะทาให้การนเิ ทศการศึกษาประสบความสาเร็จหรือความลม้ เหลว
ขั้นที่ 4 การปฏิบัติการนิเทศสามารถทาได้ 2 ลักษณะ คือ การนิเทศเพ่ือตรวจสอบและ
เพื่อส่งเสริมคณุ ภาพการศึกษาจากลักษณะดังกล่าวน้ี ไดก้ าหนดวิธีการนิเทศออกเป็น 2 วิธี คือ นิเทศ
32
ทางตรง หมายถึง การออกนิเทศด้วยตนเอง และนิเทศทางอ้อม หมายถึง การนิเทศด้วยเคร่ืองมือ
นิเทศต่างๆ ตลอดจนใหผ้ อู้ ืน่ ทาการนเิ ทศแทน
ขั้นท่ี 5 การประเมินผลและรายงานผลการประเมินผล ซ่ึงเป็นขั้นตอนในการตรวจสอบ
การปฏิบัติงาน รวบรวมปัญหาท่ีปฏิบัติในแต่ละข้ันเพื่อหาทางแก้ไข การประเมินข้ันสุดท้าย เป็นการ
เปรียบเทียบผลงานว่าบรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้มากน้อยเพียงใดการรายงานผลเป็นขั้นตอนสุดท้าย
หลงั จากกระบวนการนเิ ทศไดเ้ สร็จส้นิ ลงเพอ่ื แจ้งใหผ้ ู้เกยี่ วข้องทราบและเผยแพร่
สรุปว่าการนากระบวนการนิเทศไปใช้ให้เกิดประโยชน์ จะบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่
กาหนดไว้นั้นต้องมีการประยุกต์หลักการและทฤษฏีเข้ากับบริบทของโรงเรียน ต้องมีการวางแผน การ
ปฏิบัติงาน การจัดโครงสร้างของการดาเนินงาน บทบาทในฐานะผู้นาการควบคุมการปฏิบัติงานและ
การประเมินผลซงึ่ จะช่วยให้สามารถพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง
2.3.3 การนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)
กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) ของสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
ประถมศึกษาลาปาง เขต 1 ในการส่งเสริมการบริหารจัดการขยะในโรงเรียนเป้าหมาย โดยใช้รูปแบบ
การนเิ ทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) มี 5 ข้ันตอน ดังน้ี ดร.เอกฐสทิ ธ์ิ กอบกา (2562 : 6)
แผนภาพที่ 2.4 กรอบแนวคิดกระบวนการนเิ ทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)
ศกึ ษาสภาพ และความตอ้ งการ
(Assessing Needs : A)
การวางแผนการนเิ ทศ
(Planning : P)
การใหค้ วามรู้ก่อนการนิเทศ
(Informing : I)
การนิเทศแบบโค้ช
(Coaching : C)
การประเมินผลการนิเทศ
(Evaluating : E)
33
แผนภาพท่ี 2.5 กรอบแนวคิดการบริหารจัดการขยะในโรงเรียน โดยใชก้ ระบวนการนเิ ทศ เอ พี ไอ ซี
อี (APICE Model)
กรอบแนวคดิ การนิเทศการบรหิ ารจดั การขยะในโรงเรียนโดยใช้กระบวนการนเิ ทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE)
Model)
ศึกษาสภาพ และความตอ้ งการ ศึกษาสภาพปัจจบุ ัน/ปญั หาและ
(Assessing Needs : A) ความตอ้ งการ
กาหนดตัวช้วี ัดความสาเรจ็ (KPI)
การวางแผนการนเิ ทศ สร้างสื่อ/นวัตกรรม และเครอื่ งมือการนิเทศ
(Planning : P) กาหนดกจิ กรรมและปฏิทินการนิเทศ
การให้ความรู้กอ่ นการนิเทศ สง่ เสริม/พฒั นาความรู้ที่เก่ียวข้อง
(Informing : I) งานนโยบายสาคัญต่างๆ
การนเิ ทศแบบโค้ช ปฏบิ ัติการนเิ ทศ Coaching เพื่อกระตนุ้ ให้
(Coaching : C) ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ครูผสู้ อน และบุคลากรท่เี กีย่ วขอ้ ง
วิเคราะหป์ ัญหา/เลอื กแนว/ กาหนดแนวทางการแก้ปัญหา/
วางแผน/ ดาเนนิ การแก้ปญั หา/ วิเคราะห์ และสรุปผล/
แลกเปลยี่ นเรยี นรู้ /ชื่นชม
รวบรวม วิเคราะห์ และสังเคราะหผ์ ลการนิเทศ
ตรวจสอบ ไม่มคี ณุ ภาพ ปรับปรงุ /
พฒั นา
และประเมินผลการนิเทศ มคี ณุ ภาพ
สรปุ และจดั ทารายงานผลการนิเทศ
การประเมินผลการนิเทศ นาเสนอและเผยแพร่ผลการนิเทศ
(Evaluating : E) (จัดนทิ รรศการแลกเปลยี่ นเรยี นรู้/ยกย่องเชดิ ชเู กียรติ/Website ฯลฯ)
34
2.3.4 การส่งเสรมิ การบริหารจัดการขยะในโรงเรียนโดยใช้รปู แบบการนเิ ทศ เอ พี ไอ ซี อี
(APICE Model) ของสานักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1
การส่งเสริมการบริหารจัดการขยะในโรงเรียนโดยใช้รูปแบบการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)
ของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 มีความสาคัญต่อการพัฒนา ปรับปรุงและเพิ่ม
ประสิทธิภาพ ในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และบุคลากร
ทางการศึกษามีความรู้ ความเข้าใจการบริหารจัดการขยะในโรงเรียนปลอดขยะ บูรณาการทุกกลุ่มสาระ
สามารถจัดการเรียนรไู้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการบริหารจัดการขยะ ในโรงเรยี นปลอดขยะ และ
ปัญหาอ่ืนๆ ท่ีส่งผลต่อคุณภาพการศึกษา โดยใช้รูปแบบการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) เป็นการ
นเิ ทศอย่างเป็นระบบประกอบด้วยคู่มือการนิเทศบรหิ ารจัดการขยะในโรงเรียนปลอดขยะมี 5 ข้นั ตอนดงั น้ี
ข้ันตอนท่ี 1 ศึกษาสภาพ และความต้องการ(Assessing Needs : A)ศึกษาสภาพ
ปัจจุบัน/ปัญหา และความต้องการของศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และบุคลากร
ที่เกี่ยวข้องเก่ียวกับประเด็นสาคัญต่าง ๆ ของงานตามแนวนโยบายแห่งรัฐกระทรวงศึกษาธิการ และ
สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน
ข้ันตอนท่ี 2 การวางแผนการนิเทศ (Planning : P) ดาเนินการวางแผนการนิเทศ
ติดตามรว่ มกนั ระหว่างศกึ ษานเิ ทศก์ ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ครผู ู้สอน และบุคลากรท่ีเกยี่ วขอ้ ง ดังนี้
2.1 กาหนดตวั ชว้ี ดั (KPI)
2.2 จดั ทาสือ่ และเครือ่ งมือการนเิ ทศ ตดิ ตาม
2.3 จัดทาปฏทิ นิ การนเิ ทศ ตดิ ตาม
ขั้นตอนที่ 3 การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ (Informing : I) ประชุมเชิงปฏิบัติการให้
ความรู้เก่ียวกับประเด็นสาคัญต่าง ๆ ของงานนโยบายแห่งรัฐกระทรวงศึกษาธิการ และสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
ขั้นตอนที่ 4 การนิเทศแบบโค้ช (Coaching : C) ดาเนินการนิเทศแบบโค้ช
ศกึ ษานิเทศก์ ได้ดาเนนิ การร่วมกับทีมบริหาร คณะอนกุ รรมการ ก.ต.ป.น. ผู้บรหิ ารสถานศึกษา และ
ครวู ชิ าการ เพ่อื กระต้นุ ใหผ้ บู้ ริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และบคุ ลากรทีเ่ กีย่ วขอ้ ง ดาเนนิ การดังนี้
4.1 วเิ คราะหป์ ญั หา
4.2 เลือกแนวทางในการแก้ปัญหา
4.3 กาหนดเป้าหมายความสาเรจ็
4.4 วางแผนการแก้ปัญหา
4.5 ดาเนนิ การแกป้ ญั หาตามแผนท่ีวางไว้ ในแตล่ ะกิจกรรมทไี่ ด้กาหนดไว้
4.6 วิเคราะห์ และสรปุ ผลการดาเนนิ งาน
35
4.7 แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ ชนื่ ชมความสาเรจ็ และข้อเสนอแนะในการดาเนนิ งาน
ข้ันตอนที่ 5 การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating : E) การประเมินผลการนิเทศ
ดาเนนิ การ ดังนี้
5.1 รวบรวม วิเคราะห์ สงั เคราะห์ผลการนเิ ทศ
5.2 ตรวจสอบ และประเมินผลการนเิ ทศ
5.3 สรปุ และจัดทารายงานผลการนิเทศ ตดิ ตาม
5.4 จดั กิจกรรมแลกเปลย่ี นรู้ และชื่นชมความสาเรจ็
5.5 ยกย่องเชิดชูเกียรติแก่สถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และบุคลากรที่
เก่ยี วข้องทีม่ ีการปฏบิ ตั ิงานทด่ี ี
5.6 เผยแพร่ผลงานการปฏิบัติงานที่ดี สู่สาธารณชนผ่าน Website ระบบ ICT และ
สารสนเทศของสานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1
2.4 แนวคดิ และทฤษฎที ่เี กย่ี วขอ้ งกับกบั ความพงึ พอใจ
2.4.1 ความหมายของความพึงพอใจ
ความพึงพอใจเป็นกระบวนการท่ีเกิดข้ึนจากการรับรู้ทางบวกและการประเมินคุณภาพของ
การบริการอันเป็นสิ่งท่ีผู้รับบริการคาดหวังไว้ว่าจะได้รับจากการให้บริการ จากการศึกษาค้นคว้างาน
เอกสารและแนวคดิ ทฤษฎที เ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความพงึ พอใจ ได้มผี ูใ้ หค้ วามหมายของความพึงพอใจไว้ดังนี้
สมบูรณ์ ชิตพงศ์ (2554 : 52) ได้กล่าวว่าความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของบุคคล
ท่ีมีต่องานที่ปฏิบัติในทางบวก คือ รู้สึกชอบ พอใจ หรือเจตคติต่องาน เกิดจากการได้รับการตอบสนอง
ความต้องการท้ังทางด้านวัตถุและด้านจิตใจ เป็นความรู้สึกท่ีมีความสุขหลังจากที่ได้รับความสาเร็จ
ตามความตอ้ งการหรือแรงจงู ใจ
สุรางค์ โค้วตระกูล (2553 : 82 - 83) ได้กล่าวถึงความพึงพอใจไว้ว่า เป็นความรู้สึกชอบ
หรือพึงพอใจท่ีมีต่อองค์ประกอบและสิ่งจูงใจในด้านต่าง ๆ เมื่อได้รับการตอบสนอง ซึ่งเป็นความรู้สึก
ข้ันสดุ ทา้ ยทีไ่ ดร้ ับผลสาเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงค์
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2553 : 95) ได้สรุปความหมายของความพึงพอใจวา่ เป็น
ความรู้สึกพึงพอใจในการร่วมกิจกรรม ขั้นตอบสนองตอนแรก ๆ เป็นเพียงยินยอมและเต็มใจทาแต่อาจจะ
ไม่พึงพอใจก็ได้ ซึ่งความรู้สึกในขั้นนี้จึงลึกลงไปอีกเป็นการยินยอมแบบเต็มใจและพึงพอใจจนเกิด
ความสนุกสนาน เช่น สนุกกับบทละคร วิทยุ โทรทัศน์ สนุกกับการสนทนาเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง สนุกกับ
การเล่นเกมตัวเลข การแสดงความสนุกสนานพอใจนั้น บางคนอาจจะแสดงออกมาให้เห็นได้อย่าง
เปดิ เผยกไ็ ด้ การประเมินด้านความพึงพอใจ จึงตอ้ งระวังในการสอบวดั ไว้ใหด้ ี
36
บุญเรียง ขจรศิลป์ (2554 : 70) ได้กล่าวถึงเร่ืองเกี่ยวกับการวัดความพึงพอใจโดยสรปุ ไวว้ ่า
การวัดความพึงพอใจ เปน็ การวัดดา้ นทัศนคติ หรือเจตคติทีเ่ ปน็ นามธรรมเปน็ การแสดงออก ที่ค่อนข้างซับซอ้ น
ยากท่ีจะวัดได้โดยตรง ดังน้ันการวัดความพึงพอใจจึงใช้การวัดโดยอ้อมด้วยการวัดความคิดเห็นของ
บุคคลเหล่านั้นแทน แต่การวัดความพึงพอใจจะมีขอบเขตจากัด คือ การวัดจะเกิดความคลาดเคลื่อน
ได้ตลอดเวลาที่วัด ถ้าบุคคลนั้น ๆ แสดงความคิดเห็นไม่ตรงกับความรู้สึกท่ีแท้จริงซึ่งความคลาดเคลื่อน
ดังกล่าวย่อมเกิดข้นึ ไดเ้ ป็นธรรมดาของการวัดทวั่ ๆ ไป
ราชบณั ฑติ ยสถาน (2556 : 775) ไดใ้ หค้ วามหมายของความพึงพอใจวา่ หมายถึง พอใจ ชอบใจ
ทิศนา แขมมณี (2558 : 59) กล่าวไว้ว่า ความพึงพอใจเป็นการแสดงออกทางพฤติกรรม
ทเี่ ปน็ นามธรรม ไม่สามารถมองเหน็ เปน็ รูปร่างได้ การทีเ่ ราจะทราบวา่ บุคคลใดมคี วามพึงพอใจหรือไม่
สามารถสงั เกตโดยการแสดงออกที่ค่อนข้างสลบั ซับซอ้ นและต้องมีสง่ิ เร้า
จากความหมายของความพึงพอใจดังท่ีกล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง
ความรู้สึกนึกคิดของบุคคลต่อส่ิงเร้าที่มากระทบ ทาให้เกิดการสัมผัสในการรับรู้ มีผลทางด้านบวกคือ
ทาใหเ้ กดิ ความสขุ ความพอใจ และผลทางดา้ นลบทาใหเ้ กดิ ความทุกข์และความไมพ่ อใจ
2.4.2 การสรา้ งเครอื่ งมือและวิธกี ารวดั ความพึงพอใจ
แบบวัดความพงึ พอใจเป็นเครอ่ื งมอื ชนดิ หนึ่งทสี่ ร้างขน้ึ เพ่ือใช้ในการวดั ความคดิ เหน็ หรือ
วัดความจริงที่เราไม่ทราบ อันจะทาให้ได้มาซ่ึงข้อเท็จจริงทั้งในอดีต ปัจจุบัน และการคาดคะเน
เหตกุ ารณ์ในอนาคตสว่ นใหญ่จะอย่ใู นรูปของข้อคาถามเปน็ ชดุ ๆ เพ่ือวดั สิง่ ที่ต้องการวัด โดยมีคาถาม
เป็นตัวกระตุ้น และเร่งเรา้ ให้บุคคลตอบออกมา นับว่าเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้สาหรับการวัดดา้ นจิตพิสัย
(Affective Domain) ในการสร้างเครื่องมือวัดความพึงพอใจต้องสร้างเครื่องมือให้มีความเท่ียงตรง
และมีค่าความเช่ือม่ัน ซึ่งเปน็ คุณลักษณะสาคัญและจาเป็นอย่างย่งิ ของเคร่ืองมือวิจัย ได้มีผู้ท่ีกล่าวถึง
ขั้นตอนการสร้างตามคุณลักษณะของแบบวดั ความพึงพอใจ ดงั นี้
2.4.2.1 แบบสอบถามความพึงพอใจที่จะนามาวิเคราะห์เพื่อสรุปผลการวิจัย จะต้องเป็น
แบบสอบถามที่มีความสมบูรณ์ มีความเช่ือถือได้ ต้องมีขั้นตอนในการสร้างดังน้ี (สุรางค์ โค้วตระกูล,
2553 : 91 - 92)
1) วิเคราะห์ลักษณะของข้อมูลที่ต้องการ โดยวิเคราะห์จากจุดประสงค์ในการวิจัย
กาหนดโครงสรา้ งเน้อื หาของแบบสอบถาม
2) ศึกษาวธิ ีสรา้ งแบบสอบถาม แล้วนามากาหนดรปู แบบของคาถาม
3) เขียนแบบสอบถามฉบับร่าง ตามโครงสร้างเนื้อหาของแบบสอบถามในข้ันที่ 1)
และตามหลกั ในการสร้างและรูปแบบท่กี าหนดไว้ในขน้ั ที่ 2)
37
4) นาแบบสอบถามไปให้ผู้เช่ียวชาญในด้านที่จะศึกษาและด้านวัดผลพิจารณา
ความถกู ต้อง ความเทย่ี งตรงของขอ้ คาถามแตล่ ะข้อ นามาพจิ ารณาแกไ้ ขใหเ้ หมาะสม
5) นาแบบสอบถามไปทดลองใช้กับผู้ทม่ี ีลักษณะคล้ายกลุ่มตัวอยา่ งเพือ่ พจิ ารณาข้อ
คาถามต่างๆ อาจพิจารณาเกี่ยวกับเวลาในการตอบด้วย แล้วนาข้อมูลเหล่านั้นมาพิจารณาปรับปรุง
แบบสอบถาม
6) พิมพ์แบบสอบถามฉบับจริง ซ่ึงหลังจากปรับปรุงในขั้นที่ 5) แล้วในการพิมพ์
ฉบับจริงจะต้องคานึงถึงความชัดเจนในการอธิบายจุดประสงค์และวิธีตอบและพิจารณาความถูกต้อง
ในเนอ้ื หาสาระและการพิมพ์ จดั รูปแบบการพิมพ์ใหส้ วยงาม ความเชือ่ ถอื ไดข้ องแบบสอบถาม
2.4.2.2 สร้างตามขั้นตอนการวิจัยทางสังคมศาสตร์ ซ่ึงสังคมศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วย
พฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์ หรือปรากฏการณ์ หรือปฏิกิริยา ตลอดจนความรสู้ ึกนึกคิดของมนุษย์
และสังคม ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาการประเมินความพึงพอใจโดยใช้แบบสอบถามเป็นการประเมิน
เพื่อเข้าใจพฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดของบุคคลที่มีผลท้ังทางบวกทาให้เกิดความสุข ความพอใจ
และผลทางลบท่ีจะทาให้เกิดความทุกข์และความไม่พอใจโดยพวงรัตน์ ทวีรัตน์(2550 : 66) ได้กล่าวถึง
ขน้ั ตอนในการสรา้ งดังน้ี
1) กาหนดจุดมุ่งหมายของแบบวัด โดยผู้สร้างจะต้องระบุจุดมุ่งหมายของแบบวัด
ใหช้ ดั เจน ระบใุ หไ้ ด้ว่าแบบวัดจะถกู นาไปใช้ในเรือ่ งอะไร
2) กาหนดประเด็นหลัก หรือพฤติกรรมหลักที่จะวัดให้ครบถ้วนครอบคลุมว่าจะมี
ประเดน็ อะไรบา้ ง หรอื อาจเรยี กวา่ เป็นการกาหนดกรอบแนวคิดหรอื โครงสรา้ งของแบบวัด
3) กาหนดชนิด หรือรูปแบบของแบบวัดโดยต้องเลือกให้เหมาะสมกับเรื่องท่ีจะวัด
และลักษณะของกลุม่ เปา้ หมายที่จะใชส้ อบถาม
4) กาหนดจานวนข้อคาถาม โดยอาจกาหนดในเบื้องต้นว่าต้องการจะให้แบบวัด
มีความยาวมากน้อยเพียงใด และคลุมประเด็นหลัก ประเดน็ ย่อยอยา่ งไรบา้ ง
5) สร้างข้อคาถามตามจุดมุ่งหมาย ชนิดหรือรูปแบบ จานวนข้อในประเด็นต่างๆ
ทก่ี าหนดไวต้ ามโครงสรา้ งของแบบวัด
6) ตรวจทานเพ่ือแก้ไขปรับปรุง แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ตอนแรกตรวจทานโดย
ผู้สร้างแบบวดั เอง ตอนทสี่ องตรวจสอบ พจิ ารณาให้คาแนะนาและวิจารณโ์ ดยผู้เช่ยี วชาญ
7) นาแบบวัดไปทดลอง การนาไปทดลองใช้ (Try out) ควรนาไปทดลองกับกลุ่มที่
มลี กั ษณะเหมือน หรอื ใกลเ้ คียงกบั กลมุ่ ทจ่ี ะไปเก็บรวบรวมข้อมลู จรงิ
8) วิเคราะห์แบบวัด โดยการนาผลจากการไปทดลองมาวิเคราะห์เพ่ือหาคุณภาพ
และปรับปรุงขอ้ คาถามในส่วนทยี่ งั มีข้อบกพร่องตา่ ง ๆ
9) จดั พิมพแ์ บบสอบถาม เพอื่ เตรยี มนาไปใชจ้ ริงต่อไป
38
2.4.2.3 การสร้างแบบวัดความพึงพอใจผู้สร้างจะต้องสร้างเคร่ืองมือให้มีความเที่ยงตรง
และมีคา่ ของความเชือ่ มั่น ซ่ึงเปน็ คณุ ลักษณะทส่ี าคญั และจาเปน็ อยา่ งยิ่งของเคร่อื งมือวิจัยทีม่ ีคุณภาพ
โดยบุญเรียง ขจรศิลป์ (2554 : 81) ได้กล่าวถึงขัน้ ตอนการสรา้ งแบบวดั ตามคณุ ลกั ษณะท่ดี ีของ ดงั น้ี
1) กาหนดวัตถปุ ระสงค์ของการสรา้ งแบบสอบถาม
2) ระบเุ นื้อหาหรือประเดน็ หลักท่ีจะถามใหค้ รอบคลุมวตั ถปุ ระสงคท์ ี่จะประเมิน
3) กาหนดประเภทของคาถามโดยอาจจะเป็นคาถามปลายเปิดหรือปลายปดิ
4) ร่างแบบสอบถาม โครงสร้างแบบสอบถามอาจแบง่ เปน็ 3 ตอน คอื
4.1) ตอนที่ 1 ข้อมลู เบอื้ งตน้ /ข้อมูลทัว่ ไป
4.2) ตอนที่ 2 ขอ้ มลู หลกั เกยี่ วกับเรอ่ื งทีจ่ ะถาม
4.3) ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะ
5) ตรวจสอบขอ้ คาถามว่าครอบคลมุ เร่ืองทจ่ี ะวดั ตามวัตถุประสงค์หรือไม่
6) ใหผ้ ูเ้ ช่ียวชาญตรวจสอบความเท่ียงตรงเน้อื หาและภาษาทีใ่ ช้
7) ทดลองใช้แบบสอบถามเพ่ือดูความเป็นปรนัย ความเช่อื มัน่ และเพือ่ ประมาณเวลาทใ่ี ช้
8) ปรับปรงุ แกไ้ ข
9) จัดพมิ พแ์ ละทาคู่มือ
2.4.2.4 การสร้างแบบวัดความพึงพอใจจาเป็นต้องใช้เคร่ืองมือที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้
ข้อมูลสาหรับใช้ในการวิเคราะห์และสรุปผลท่ีดี ซึ่งทิศนา แขมมณี (2558 : 69) ได้กล่าวถึงการสร้าง
เครื่องมือและการตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมือ โดยมขี ัน้ ตอน ดังนี้
1) ขั้นท่ี 1 กาหนดเนื้อหาท่ีใช้วัดความพึงพอใจท่ีต้องการวัด โดยการเขียนนิยาม
ซงึ่ สามารถกระทาดังนี้
1.1) การศกึ ษาเอกสารท่ีเกีย่ วขอ้ ง และกาหนดนิยาม
1.2) สัมภาษณบ์ ุคคลท่ีเกยี่ วข้อง อยา่ งนอ้ ย 5 คน
2) ข้ันท่ี 2 เลือกประเดน็ ทีว่ ัดความพอใจ และกาหนดวธิ กี ารวดั
2.1) ประเด็นการวัดความพอใจโดยให้เลือกมาจากกรอบเนื้อหาที่กาหนดไว้ใน
ข้ันท่ี 1
2.2) วิธีวัดความพอใจ โดยทั่ว ๆ ไปนิยมใช้วิธีการจัดอันดับคุณภาพ 5 ระดับ
และประเด็นในการวัดความพอใจเป็นทางบวก คือ พอใจอย่างยิ่ง พอใจมาก พอใจสมควร พอใจน้อย
หรือค่อนข้างไม่พอใจ พอใจน้อยเปน็ อย่างยิ่ง หรือไมพ่ อใจค่อนขา้ งมาก ถ้าความพอใจทางลบคะแนน
ระดบั ความพอใจจะเป็นตรงข้ามกบั ท่ีกาหนดไว้
3) ขัน้ ท่ี 3 จัดทาความพอใจฉบับรา่ ง
39
4) ขั้นท่ี 4 การทดลองกับกลุ่มย่อยประมาณ 3 - 5 คน เพื่อตรวจสอบความตรง
เชิงโครงสร้างระหว่างข้อคาถามในแต่ละพฤติกรรมทีต่ ้องการวัด
5) ข้ันท่ี 5 ให้ผู้เช่ียวชาญประมาณ 3-5 ท่าน เพ่ือตรวจสอบความตรงเฉพาะหน้า
และความตรงเชิงเน้ือหา
6) ขนั้ ที่ 6 ทดลองภาคสนาม เพอ่ื วิเคราะหป์ รบั ปรุงคณุ ภาพแบบวดั ความพอใจ
7) ข้ันที่ 7 การนาไปใช้จริง
2.4.2.5 แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นชุดของคาถามที่ผู้วิจัยกาหนดข้ึนเพ่ือใช้วัด
คุณลักษณะ เจตคติหรือความคิดเห็นของบุคคล โดยใช้ข้อคาถามเป็นตัวกระตุ้นหรือส่ิงเร้าให้ผู้ให้ข้อมูล
ได้แสดงการตอบสนองตามความรู้สึกของตนเอง ซึ่งในการสร้างแบบสอบถามที่มีคุณภาพ มีหลักการ
ท่ีควรพิจารณาดงั นี้ (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2556 : 72 - 78)
1) กาหนดทิศทางของเจตคติ (Direction) มี 2 ทิศทาง คือ
1.1) เจตคติเชงิ นมิ าน หรือเจตคติด้านบวก (Positive) เป็นความโน้มเอียง ของ
อารมณ์ในทางชอบ ถึงพอใจ คล้อยตามหรือเห็นด้วยทาให้บุคคลอยากแสดงออกหรือปฏิบัติหน้าที่
ในทางที่ดตี ่อสง่ิ น้นั ๆ
1.2) เจตคติเชิงนิเสธ หรือ เจตคติทางด้านลบ (Negative) เป็นความโน้มเอียง
ทางดา้ นอารมณใ์ นลักษณะไมพ่ ึงพอใจ เกลยี ดหรอื ต่อต้าน ไม่เห็นด้วย ทาให้บคุ คลเกดิ ความเบื่อหน่าย
และหนใี ห้หา่ งจากวัตถุนนั้ หรือสภาพนน้ั ๆ
2) กาหนดระดับของเจตคติ (Magnitude) หมายถงึ การที่บุคคลแสดงความร้สู ึก
ต่อส่ิงใดสิ่งหน่ึงนั้นอาจมีความรู้สึกเพียงผิวเผิน หรือเล็กน้อย หรือลุ่มลึก เจตคติระดับผิวเผินจะไม่มี
ความคงทเี่ ปลย่ี นแปลงงา่ ย ส่วนเจตคติระดบั กลุ่มลุม่ ลกึ จะคงทนถาวรและเปลี่ยนแปลงยาก
3) กาหนดความเขม้ ของเจตคติ (Intensity) หมายถึง ปรมิ าณของความรู้สึกหรือ
มีความคิดเห็น ท่ีมีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งจะปรากฏในรูปของความรู้สึกต่อสิ่งน้ันมากน้อยเพียงใด ในการ
วัดเจตคติน้นั ได้มีนกั จิตวทิ ยาสร้างมาตรวัดไวห้ ลายรปู แบบ ทนี่ ยิ มแพร่หลาย ดงั น้ี
3.1) มาตรวัดเจตคตติ ามวธิ ีของลิเคิท (Likert Scale)
3.2) มาตรวัดเจตคตติ ามวิธขี องเทอสโตน (Thustone Scale)
3.3) มาตรวดั เจตคติตามวธิ ขี องออสกดู (Osgood’s Scale)
3.4) มาตรวดั เจตคติตามวิธีของกัตต์แมน (Guttman Scale)
4) กาหนดประเภทของคาถามโดยอาจจะเป็นคาถามปลายเปดิ หรอื ปลายปิด
5) รา่ งแบบสอบถาม โครงสรา้ งแบบสอบถามอาจแบ่งเปน็ 3 ตอน คอื
5.1) ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลเบ้ืองตน้ /ข้อมลู ท่ัวไป
40
5.2) ตอนที่ 2 ขอ้ มลู หลกั เกี่ยวกับเรอ่ื งทจ่ี ะถาม
5.3) ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะ
6) สร้างข้อคาถามที่มีความเที่ยงตรง ครอบคลุม และสาคัญต่อประเด็นท่ีต้องการ
เท่าน้นั ไม่ควรกาหนดขอ้ คาถามท่มี จี านวนมากแตไ่ มม่ ปี ระโยชน์ในการตอบคาถามการวจิ ยั ซง่ึ จะทาให้
ผ้ใู หข้ อ้ มูลเกิดความเบอ่ื หนา่ ยในการใหข้ ้อมลู
7) ตรวจสอบคุณภาพ เพ่ือตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหาเป็นการให้คะแนน
ความสอดคล้องหรือความเหมาะสมของข้อคาถาม โดยผเู้ ช่ียวชาญจานวน 3 - 5 คน และจะต้องนาไป
ทดสอบใชก้ ับผ้ทู เ่ี กยี่ วข้องหรอื กล่มุ ตัวอยา่ ง เพอ่ื หาค่าดชั นีทีบ่ ่งช้ีคณุ ภาพของแบบสอบถาม
8) นาแบบสอบถามมาหาค่าความเช่ือม่ัน โดยวิธีการตรวจสอบความสอดคล้อง
ภายใน (Internal Consistency Method) เป็นวิธีการคานวณความแปรปรวนของคะแนนแต่ละส่วน
และความแปรปรวนของคะแนนรวม
9) จัดพิมพ์แบบสอบถามฉบบั สมบูรณเ์ พื่อนาไปใชจ้ ริง
ในการสร้างแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการบริหารจัดการขยะในโรงเรียน โดยใช้รูปแบบ
การนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) โรงเรยี นปลอดขยะ โดยการใช้มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale)
5 ระดับแบบลิเคิร์ท (Likert Scales) (บุญชม ศรีสะอาด, 2556 : 72 - 78) โดยมีเกณฑ์ระดับความพึง
พอใจ ดงั นี้
ค่าเฉล่ีย ระดบั ความพึงพอใจ
4.51-5.00 พึงพอใจในระดบั มากท่ีสดุ
3.51-4.50 พึงพอใจในระดับมาก
2.51-3.50 พึงพอใจในระดบั ปานกลาง
1.51-2.50 พึงพอใจในระดับนอ้ ย
1.00-1.50 พงึ พอใจในระดบั นอ้ ยท่ีสดุ
2.5 งานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง
2.5.1 งานวจิ ยั ในประเทศ
จากการศกึ ษางานวิจยั ในประเทศเก่ยี วกบั พฤติกรรมการจดั การขยะมูลฝอย สรุปได้ดงั นี้
เบ็ญจม์ คาเมือง (2558) ได้ทาการศึกษาเร่ือง การบริหารงานทั่วไปในสถานศึกษา
ข้นั พื้นฐาน สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาลพบรุ ี เขต 2 ผลการศึกษา พบว่า 1) การดาเนนิ งาน
การบริหารงานท่วั ไปของสถานศึกษาข้นั พ้นื ฐานสงั กดั สานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาลพบรุ ี
เขต 2 พบว่า การดาเนินการในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้าน ที่มีการปฏิบัติสูงสุด
41
คือ ด้านการประชาสัมพันธ์การศึกษา ด้านที่มีการปฏิบัติต่าสุด คือ ด้านการจัดระบบการควบคุมภายใน
หน่วยงาน 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารงานท่ัวไปในสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สังกัดสานักงานเขต
พ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 จาแนกตามเพศ โดยภาพรวม และรายด้านมีการปฏิบัติ
ไมแ่ ตกตา่ งกนั 3) ผลการเปรียบเทยี บความคดิ เห็นของบุคลากรเกี่ยวกบั การบริหารงานทว่ั ไปในสถานศึกษา
ขั้นพ้ืนฐาน สังกัดสานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 จาแนกตามขนาดของสถานศึกษา
โดยภาพรวมมีการปฏิบัติไม่แตกต่างกัน เม่ือพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านงานเทคโนโลยีและระบบ
เครือข่ายสารสนเทศและด้านการส่งเสริมงานกิจการนักเรียนปฏิบัติแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติท่ีระดับ .05
สมัคร์ รู้รักดี (2554) ได้ทาการศึกษาเร่ือง รูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
สาหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเลก็ สังกัดสานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาตราด ผลการศึกษา พบวา่ รปู แบบ
การบรหิ ารทเี่ หมาะสม คือ รปู แบบการจดั การเรียนรู้แบบบูรณาการ อานาจ หนา้ ทข่ี องคณะกรรมการ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ให้ความเห็น ข้อเสนอแนะ ให้ความเห็นชอบ ประเมินผล ตรวจสอบ
ติดตามผลการบริหารกลุ่มงาน ประชาสัมพันธ์ จัดหา สนับสนุน สร้างภาคีเครือข่าย สนับสนุนปัจจัย
ทางการศึกษา องค์คณะในการบริหารกลุ่มงาน ประกอบด้วย ผู้อานวยการสถานศึกษาเป็นประธาน
ผแู้ ทนชุมชน ผู้แทนครู ท่ีปรกึ ษา ผ้เู ชีย่ วชาญ นักวิชาการ ผแู้ ทนองค์การปกครองส่วนท้องถ่นิ ตวั แทน
นักเรียน ผู้แทนศิษย์เก่า ผู้แทนผู้ปกครอง แนวทางในการดาเนินงานกลุ่มงานวิชาการ ประกอบด้วย
จัดทาหลักสูตรและแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ พัฒนาครูแหล่งเรียนรู้ใช้รูปแบบการประเมินผล
การเรียนรู้ท่ีหลากหลาย กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ตามความเหมาะสม พัฒนาปรับปรุงการประกัน
คุณภาพภายในอย่างต่อเนื่อง กลุ่มงานทรัพยากรบุคคล ประกอบด้วย การสรรหาบุคลากรตามกรอบ
อัตรากาลัง ขอการสนับสนุนบุคลากรจากชุมชน ประเมินผลการปฏิบัติงาน พิจารณาความดี ความชอบ
ด้วยความยุติธรรม สนับสนุนปัจจัยในการปฏิบัติงาน กลุ่มงานงบประมาณ ประกอบด้วย จัดทา
งบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน ระดมทรัพยากรจากชุมชน ต้ังคณะกรรมการควบคุมการใช้งบประมาณ
รายงานผลการใช้งบประมาณ กลุ่มงานบริหารทั่วไป ประกอบด้วย กาหนดนโยบายตามบริบทของ
สถานศึกษา จัดทาแผนยุทธศาสตร์ สร้างภาคีเครือข่ายพัฒนาการศึกษา จัดจ้างครูธุรการ จัดระบบ
บริการแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว
กชธนณัฐ คาอินทร์ (2561) ได้ทาการศึกษาเร่ือง การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
ในโรงเรยี นประถมศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาชยั นาท ผลการศึกษา พบว่า
1) การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
ประถมศึกษาชัยนาท โดยภาพรวม ค่าเฉล่ีย 3.69 อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉล่ียสูงสุด คือ ด้านหลักการ
บริหารตนเอง รองลงมา คือ ด้านหลักการกระจายอานาจ และรองลงมา คือด้านหลักการตรวจสอบ
และถ่วงดุล 2) การบรหิ ารโดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐาน ในโรงเรียนประถมศกึ ษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี
42
การศึกษาประถมศึกษาชัยนาท ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่าสุด คือ ด้านหลักการมีส่วนร่วม ข้อท่ีมีค่าเฉลี่ย
ต่าสุด คือ คณะกรรมการสถานศึกษามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาของสถานศึกษา รองลงมา
คือ ด้านหลักการคืนอานาจการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชน ข้อทีม่ ีค่าเฉลี่ยต่าสุด คือ คณะกรรมการ
สถานศึกษา กากับและติดตามการดาเนินงานตามแผนของสถานศึกษา 3) การบรหิ ารโดยใช้โรงเรียน
เป็นฐานในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาชัยนาท ตามความ
คิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา จาแนกตามขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้าน พบว่า
มีการปฏบิ ัตแิ ตกต่างกันอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01 โดยทีส่ ถานศึกษาขนาดใหญม่ ีการปฏิบัติ
มากกวา่ สถานศึกษาขนาดกลางและสถานศึกษาขนาดเล็กตามลาดบั
น้องนชุ เกา้ ล้มิ (2550) ไดศ้ กึ ษากระบวนการเรียนรู้ และปัจจัยที่สนับสนุนกระบวนการ
จัดการขยะของโรงเรยี นบา้ นกโิ ลสาม ตาบลทา่ แยก อาเภอเมอื งสระแกว้ จงั หวัดสระแก้ว พบว่ากระบวนการ
เรียนรู้การจัดการขยะ แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน คือ การรับรู้และตระหนักในปัญหา การคิดวิเคราะห์
ปญั หา การกาหนดแนวทางแก้ปัญหา การดาเนินการแกไ้ ขปัญหาและการประเมนิ ผล การแก้ไขปญั หา
สาหรับลักษณะการเรียนรู้การจัดการขยะของนักเรยี นโรงเรยี นบ้านกโิ ลสามเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นใน
ระบบโรงเรียน และการเรยี นรทู้ ี่เกิดขึน้ ในวิถีชวี ิต โดยรปู แบบกระบวนการ เรียนรสู้ อดคลอ้ งกับทฤษฎี
องค์การเรียนรู้ของ Peter M. Senge ตามหลักการสาคัญ 5 ประการคือการเป็นนายเหนือตน (Personal Mastery)
ภาพจาลองความคิด หรือ กรอบความเช่ือ (Mental Model) การสร้างวิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision)
การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Term Learning) และ วิธีคิดกระบวนระบบ (Systems Thinking) ปัจจัย
ท่สี นับสนุนกระบวนการเรยี นรู้ในการจดั การขยะ ไดแ้ ก่ รูปแบบการจัดการการเรียนการสอนท่เี อื้อให้
เกิดการเรียนรู้ บทเรียนการเผชิญปัญหาร่วมกันในอดีต หลักการทางานแบบมีส่วนร่วมระหว่างโรงเรียน
กับชมุ ชน รูปแบบการบริหารงานของโรงเรยี น การได้รับการสนับสนนุ จากภาครฐั การมีสว่ นสนบั สนุน
ของบุคลากรในกิจกรรมด้าน ต่างๆ และ แรงจูงใจท่ีได้รับด้านการมีส่วนร่วมระหว่างโรงเรียนและชุมชน
ในการจัดการขยะในโครงการธนาคารขยะมีความสอดคล้องกับรปู แบบการมีสว่ นร่วมของ Cohen and Uphoff
ซึ่งแบ่งการมีส่วนร่วมเป็น 4 ลักษณะ คือ การมีส่วนร่วมตัดสินใจ (Decision Making) การมีส่วนร่วม
ปฏิบัติการ (Implementation) การมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ (Benefits) และการมีส่วนร่วมในการ
ประเมินผล (Evaluation) และเม่ือผู้วิจัยทาการศึกษาผลประโยชน์ท่ีเกิดจากกระบวนการเรียนรู้การ
จดั การขยะ ในโครงการธนาคารขยะของโรงเรียนบา้ นกิโลสาม พบว่า ประโยชน์ที่เกิดขนึ้ แบ่ง ออกเป็น 3 ด้าน
คือ ด้านนักเรียน ด้านโรงเรียนและด้านชุมชนและครอบครัว โดยด้านนักเรียน ก่อให้เกิดประโยชน์
ในการสร้างอัตลกั ษณะพึงประสงค์ ทาใหน้ ักเรียนเกดิ กระบวนการเรียนร้แู ละ 40 องค์ความรู้ด้านการ
จัดการขยะ และทาให้เกิดเครือข่ายการแลกเปล่ียนเรียนรู้ท้ังภายในและภายนอก โรงเรียน ในด้าน
โรงเรียนก่อให้เกิดประโยชน์ในการก่อเกิดนวัตกรรมในการสร้างกระบวนการ เรียนรู้และนวัตกรรม
ในการแก้ปัญหาขยะและมีงบประมาณสาหรับสนับสนุนการเรียนการสอน ด้านผลประโยชน์ต่อชุมชน