The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by info_dlict, 2020-06-25 04:38:10

คู่มือการนิเทศการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการนำหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) สพป.ลำปาง เขต 1

1












การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการน าหลักสูตร


สถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน โดยใช้กระบวนการ


นิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)












จัดท าโดย


ดร.วัชรี เหล่มตระกูล


ศึกษานิเทศก์











กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา

ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1

ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

กระทรวงศึกษาธิการ





เอกสาร ศน. สพป.ลป.1

ที่ 16/2562






ค าน า






ู่
คมือการนิเทศการพัฒนาหลกสตรสถานศกษาและการน าหลกสตรสถานศกษาไปใชใน


ู้




การพัฒนาผเรียน เพื่อยกระดบคณภาพการศกษา โดยใชกระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE



Model) เลมนี้จดทาขึ้น เพื่อให้คณะกรรมการ และอนุกรรมการ ก.ต.ป.น. ศกษานิเทศก์ ผบริหาร

ู้
ี่


สถานศกษา และบุคลากรทางการศกษาทเกี่ยวข้อง น าไปเป็นเครื่องมือนิเทศ ตดตามการพัฒนา


ี้



หลกสตรสถานศกษาและการน าหลกสตรสถานศกษาไปใชในการพัฒนาผเรียน เป็นไปตามตวชวัด


ู้




ความส าเร็จ ทั้งในดานการบริหารจดการ และการจดการเรียนรู้ของสถานศกษา สานักงานเขตพื้นท ี่




การศกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1

ผ้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าค่มือการนิเทศเล่มนี้ คงจะมีประโยชน์ในการน ามาวางแผน/


ออกแบบ ก าหนดทิศทางการนิเทศ ติดตามสถานศึกษาให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพตาม


กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) เพื่อขับเคล่อนนโยบายสาคัญต่างๆ ให้บรรล ุ




ี่


ตัวชี้วัดความส าเร็จในแตละนโยบาย อันทจะสงผลตอการพัฒนาคณภาพการศกษาในสงกัด ต่อไป




ดร.วัชรี เหล่มตะกูล
ศึกษานิเทศก์

ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกษาล าปาง เขต 1






สารบัญ


ื่
เรอง หน้า


ค าน า ก
สารบัญ ข

ส่วนที่ 1 บทน า………………………………………………………………………..…………….……………………… 1
ที่มาและความส าคัญของปัญหา……………………………………………………………………………… 1

วัตถุประสงค์ของการนิเทศ................................................................................................ 3
เปูาหมายของการนิเทศ..................................................................................................... 3


ส่วนที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง.......................…………………………………………………………..……………. 5
2.1 ทฤษฎี และแนวคิดทเกี่ยวข้อง............................................................................ 5
ี่
2.1.1 การนิเทศการสอน…………………………………………………………………………. 5
(1) ความหมายของการนิเทศการสอน………………………………………….. 6

(2) จดมุ่งหมายของการนิเทศการสอน………………………………………….. 7

(3) ความจ าเป็นนิเทศการสอน…………………………………………………….. 8
(4) กิจกรรมการนิเทศการสอน............................................................ 9
(5) ทักษะการนิเทศการสอน……………………………………………………….. 12

(6) กระบวนการการนิเทศการสอน………………………………………………. 12
(7) เทคนิคการสังเกตการสอน……………………………………………………… 21
2.1.2 การนิเทศแบบโค้ช……………………………………………………………………….. 24
(1) การโค้ชเพื่อการรู้หนังสือและการอ่าน (Literacy Coaching or

Reading Coaching)…………………………………………..……………….. 25
(2) การโค้ชเพื่อเน้นนักเรียนเป็นส าคัญ (Student Centered
Coaching)……………………………………………………………………………. 26

2.1.3 ทฤษฎีเกี่ยวกับการนิเทศการสอน…………………………………………………… 28
(1) ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง.................................................................. 28
(2) ทฤษฎีแรงจูงใจ............................................................................... 29
(3) ทฤษฎีการสื่อสาร........................................................................... 30
(4) ทฤษฎีมนุษย์สัมพันธ์...................................................................... 30

(5) ทฤษฎีภาวะผู้น า............................................................................ 31
(6) ทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่............................................................ 31






สารบัญ (ต่อ)


เรื่อง หน้า


2.1.4 แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบ…………………………………………………. 33
(1) ความหมายของรูปแบบ………………………………………………………… 33
(2) ประเภทของรูปแบบ...................................................................... 33
(3) ลักษณะของรูปแบบที่ดี................................................................. 34
(4) แนวคิดการออกแบบและพัฒนารูปแบบ........................................ 34

2.1.5 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ………………………………………………………. 37
2.2 นโยบายและยุทธศาสตร์……………………………………….……………………………………. 38

2.2.1 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12
(พ.ศ. 2560 - 2564)………………………………………………….…………………. 38

2.2.2 นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564) …………..……..………… 40

2.2.3 แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2560 - 2579) ของส านักงาน
เลขาธิการสภาการศึกษา…………………………………………………………………. 41

ี่
2.2.4 แผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับท 12
(พ.ศ. 2560 - 2564)……………………………………………………….……………. 41
2.2.5 แผนปฏิบัติราชการประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของส านักงาน

คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน…………………………………………………. 42
2.3 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการน าหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน
…………………………………………………………………………………………………… 44

ส่วนที่ 3 แนวทางการนิเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา……………….……………………….……. 50



การพัฒนาหลักสตรสถานศึกษาและการน าหลกสูตรสถานศึกษาไปใชในการพัฒนาผู้เรียน

……………………………………………………………………………………………………. 50

การนิเทศ ตดตามการพัฒนาหลักสตรสถานศึกษา และการน าหลักสูตรสถานศึกษา

(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2561) ไปใช้ในสถานศึกษา โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี
(APICE Model)……………………………………………………………………………………………….. 53

บรรณานุกรม............................................................................................................................... 55

ภาคผนวก ............................................................................................................................... 58
แบบนิเทศ ติดตาม การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ………………………………………………………… 59
คณะผู้จดท า................................................................................................................................. 66


1




ส่วนที่ 1
บทน า


ที่มาและความส าคัญของปัญหา






กระทรวงศกษาธิการไดประกาศใชหลกสตรแกนกลางการศกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกราช


2551 ให้เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 เริ่มใช้ในโรงเรียนตนแบบ
การใช้หลักสตรและโรงเรียนทมีความพร้อม ในปีการศกษา 2552 และเริ่มใชในโรงเรียนทวประเทศ
ั่

ี่




ในปีการศึกษา 2553 ส านักงานคณะกรรมการการศกษาขั้นพื้นฐาน โดยสานักวิชาการและมาตรฐาน




การศกษา ไดดาเนินการตดตามผลการน าหลกสตรไปสการปฏิบัตอย่างตอเนื่องในหลายรูปแบบ


ู่








ั้
ทงการประชมรับฟังความคดเห็น การนิเทศตดตามผลการใชหลกสตรของโรงเรียน การรับฟังความ

คิดเห็นผ่านเว็ปไซต์ของส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา รายงานผลการวิจยของหน่วยงานและ


องค์กรที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและการใชหลกสตรแกนกลางการศกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกราช 2551



มีข้อดหลายประการ เชน ก าหนดเปูาหมายการพัฒนาไว้ชดเจน มีความยืดหยุ่นเพียงพอ



ให้สถานศกษาบริหารจดการหลกสตรสถานศกษาได สาหรับปัญหาทพบสวนใหญ่เกิดจากการน า





ี่







หลกสตรแกนกลางการศกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกราช 2551 สการปฏิบัตในสถานศกษาและ

ู่


ในห้องเรียน ในระบบการศกษาทมีการกระจายอ านาจให้ทองถิ่นและสถานศกษามีบทบาทในการ
ี่



ี่






พัฒนาหลกสตรนั้น หน่วยงานตางๆ ทเกี่ยวข้องในแตละระดบ ตงแตระดบชาต ระดบทองถิ่นจนถึง



ั้



ระดับสถานศึกษา มีบทบาทหน้าที่ และความรับผดชอบในการพัฒนา สนับสนุน สงเสริม การใชและ


พัฒนาหลักสูตรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การดาเนินการจดทาหลกสตรสถานศกษา และ






การจดการเรียนการสอนของสถานศกษามีประสทธิภาพสงสด อันจะสงผลให้การพัฒนาคณภาพ





ผู้เรียนบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่ก าหนดไว้ในระดับชาต ิ





สถานศึกษามีหน้าที่สาคญในการพัฒนาหลกสตรสถานศกษา การวางแผนและดาเนินการ










ใชหลกสตร การเพิ่มพูนคณภาพการใชหลกสตรดวยการวิจยและพัฒนา การปรับปรุงและพัฒนา








หลกสตร จดทาระเบียบการวัดและประเมินผล ในการพัฒนาหลกสตรสถานศกษาตองพิจารณาให้


ี่
สอดคลองกับหลกสตรแกนกลางการศกษาขั้นพื้นฐาน และรายละเอียดทเขตพื้นทการศกษา หรือ
ี่



หน่วยงานต้นสังกัดอื่นๆ ในระดับท้องถิ่นได้จัดท าเพิ่มเติม รวมทงสถานศึกษาสามารถเพิ่มเติมในสวนท ี่

ั้
เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และความต้องการของผเรียน โดยทกภาค

ู้
ส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา

ในการนิเทศการพัฒนาหลกสตรสถานศกษาและการน าหลกสตรสถานศกษาไปใชใน






ี่

การพัฒนาผเรียนเพื่อให้เกิดผลสาเร็จ มีประสทธิภาพและประสทธิผล จาเป็นอย่างยิ่งทจะตอง
ู้




ดาเนินการตามลาดบขั้นตอนอย่างตอเนื่องกัน ซึ่งนักการศกษาหลายทานไดน าเสนอกระบวนการ









นิเทศ เช่น สงัด อุทรานันท (2530 : 10) ไดเสนอแนะกระบวนการนิเทศการสอนทสอดคลองกับสภาพ

ี่


สงคมไทย ประกอบดวย 5 ขั้นตอน ซึ่งเรียกว่า “PIDRE” คอ การวางแผน (P-Planning) ให้ความรู้




ก่อนดาเนินการนิเทศ (Informing-I) การดาเนินการนิเทศ (Doing-D) การสร้างเสริมขวัญก าลงใจแก่
ู้
ผปฏิบัตงานนิเทศ (Reinforcing-R) การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating-E) ในสวนของวัชรา


เลาเรียนด (2550 : 18 - 19) ไดเสนอกระบวนการนิเทศการสอน 7 ขั้นตอน คอ 1.วางแผนร่วมกัน





2




ระหว่างผู้นิเทศและผู้รับนิเทศ 2.เลือกประเด็นหรือเรื่องที่สนใจจะปรับปรุงพัฒนา 3.น าเสนอโครงการ

ู้


พัฒนาและขั้นตอนการปฏิบัตให้ผบริหารโรงเรียนไดรับทราบเพื่ออนุมัตดาเนินการ 4.ให้ความรู้หรือ







แสวงหาความรู้จากเอกสารตางๆและจดฝกอบรมเชงปฏิบัตการเกี่ยวกับเทคนิคการสงเกตการสอน
ในชนเรียน และความรู้เกี่ยวกับวิธีการสอนและนวัตกรรมใหม่ๆ ทสนใจ 5.จดทาแผนการนิเทศ
ี่


ั้

ก าหนดวัน เวลา ทจะสงเกตการสอน ประชมปรึกษาหารือ เพื่อแลกเปลยนความคดเห็นและ
ี่


ี่
ประสบการณ 6. ดาเนินการตามแผนโดยครูและผนิเทศ (แผนการจดการเรียนรู้และการนิเทศ
ู้



7.สรุปและประเมินผลการปรับปรุงและพัฒนา รายงานผลส าเร็จ นอกจากนี้ยังได้มีการน าวงจรคณภาพ


ั่


(PDCA) หรือโดยทวไปนิยมเรียกกันว่า PDCA มาใชเป็นกระบวนการนิเทศการสอน ซึ่งสมศกดิ์ สนธุระ

ี่
เวชญ์ (2542 : 188) กลาวถึง จดหมายทแทจริงของวงจรคุณภาพ (PDCA) ว่าเป็นกิจกรรมพื้นฐาน


ในการบริหารคุณภาพนั่นมิใชเพียงแค่การปรับแก้ผลลัพธ์ที่เบี่ยงเบนออกไปจากเกณฑ์มาตรฐานให้กลบมา





อยู่ในเกณฑ์ทตองการเทานั้น แตเพื่อก่อให้เกิดการปรับปรุงในแตละรอบของ PDCA อย่างตอเนื่อง
ี่





ี่
เป็นระบบและมีการวางแผน PDCA ทม้วนไตสงขึ้นเรื่อย ๆ 4 ขั้นตอน คอ ขั้นท 1 การวางแผน (Plan - P)
ี่
ขั้นที่ 2 การด าเนินตามแผน (Do - D) ขั้นที่ 3 การตรวจสอบ (Check - C) ขั้นที่ 4 การแก้ไขปัญหา (Act - A)
นอกจากนี้จากการศกษาการวิจยของเกรียงศกด สงข์ชย (2552) เกี่ยวกับการพัฒนา
ิ์





ี่
รูปแบบการนิเทศครูวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาศักยภาพนักเรียนทมีแววความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งใช้รูปแบบการนิเทศทเรียกว่า APFIE Model มีกระบวนการด าเนินงาน 5 ขั้นตอน คอ ขั้นตอนท 1
ี่
ี่



ี่

การศกษาสภาพปัจจบันและความตองการจาเป็น (Assessing needs : A) ขั้นตอนท 2 จดการให้


ความรู้ก่อนการนิเทศ (Providing information : P) ขั้นตอนท 3 การวางแผนการนิเทศ (Formation
ี่
Plan : F) ขั้นตอนท 4 ปฏิบัตการนิเทศ (Implementation : I) ซึ่งประกอบดวยกระบวนการนิเทศ


ี่
ั้

4 ขั้นตอน คอ 1 ขั้นเตรียมการก่อนสอนและการนิเทศ 2) สงเกตการสอนในชนเรียน 3) ขั้นประชม


ให้ข้อมูลย้อนกลบ หลงสงเกตการสอน 4) ประเมินผลการนิเทศ ตดตาม ดแล และขั้นตอนท 5

ี่





ประเมินผลการนิเทศตลอดภาคเรียน (Evaluating : E) และวชิรา เครือคาอ้าย (2552) เสนอรูปแบบ
ี่






การนิเทศนักศกษา ฝกประสบการณ วิชาชพครู เพื่อพัฒนาสมรรถภาพการจดการเรียนรู้ทสงเสริม



ื่

การคดของนักเรียนประถมศกษา มีชอว่า รูปแบบ การนิเทศดบเบิ้ลพีไออี (PPIE) ประกอบดวย
4 ขั้นตอน คอ 1 ขั้นเตรียมความรู้/เทคนิควิธีการจดการเรียนรู้ 2) ขั้นวางแผนการนิเทศ


3) ขั้นด าเนินการนิเทศการสอน 4) ขั้นประเมินผลการนิเทศ ส่วนยุพิน ยืนยง (2553) เสนอรูปแบบ
ั้
การนิเทศแบบหลากหลายวิธีการ เพื่อสงเสริมสมรรถภาพการวิจยในชนเรียน มีชอว่า ซีไอพีอี (CIPE
ื่



Model) ซึ่งมี 4 ขั้นตอน คอ ขั้นตอนท 1 Classifying : C การคดกรองระดบความรู้ ความสามารถ

ี่

ุ่

ทักษะที่ส าคัญเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้และการวิจัยในชั้นเรียน เพื่อจดกลมครูและเลอกวิธีการนิเทศ

ี่
ทเหมาะสมสาหรับครูแตละกลม ขั้นตอนท 2 Informing : I การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ ขั้นตอนท 3
ี่

ุ่
ี่



Proceeding : P การดาเนินงานไดแก่ 3.1 การประชมก่อนการสงเกตการสอน (Pre conference)




3.2 การสงเกตการสอน (Observation) 3.3 การประชมหลงการสงเกตการสอน (Post conference)


ขั้นตอนที่ 4 Evaluating : E การประเมินผลการนิเทศ และธัญพร ชนกลน (2553) ไดเสนอการพัฒนา
ื่
ิ่


รูปแบบการโค้ช เพื่อพัฒนาสมรรถนะการจดการเรียนรู้ของอาจารย์พยาบาลทสงเสริมทกษะการคด

ี่




อย่างมีวิจารณญาณของนักศกษาพยาบาลในสงกัดสถาบันพระบรมราชชนกกระทรวงสาธารณสข


ี่

พบว่า การพัฒนารูปแบบโคช พีพีซีอี (PPCE Coaching Model) คอ ระยะท 1 ระยะการเตรียมการ

3




(Preparing Phase : P) ระยะท 2 ระยะวางแผนการโค้ช (Planning Phase : P) ระยะที่ 3 ระยะการ
ี่
ี่

ปฏิบัตการโคช(Coaching Phase : C) ระยะท 4 ระยะเวลาการประเมินผลการโคช (Evaluating


Phase : E)


ี่

การออกแบบการเรียนการสอนเป็นกระบวนการหนึ่งทสาคญในการจดกิจกรรมการเรียนรู้

ให้แก่ผเรียน โดยการน าวิธีการเชงระบบ (System Approach) มาใชในการดาเนินงานให้เกิด

ู้





ประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ซึ่งในการออกแบบนั้น มีนักการศกษาหลายทานไดเสนอคานิยาม
ที่ผู้เกี่ยวข้องกับการออกแบบ สามารถยึดถือเป็นหลักการในการปฏิบัติงาน โดยปรับใช้ให้เหมาะสมกับ


ปัญหาและสถานการณซึ่งดิกค์ แคเรย์ และแคเรย์ (Dick Carey and Carey, 2005) ไดเสนอขั้นตอน


การออกแบบระบบการเรียนการสอนไว้ 9 ขั้นตอน คอ 1) ก าหนดเปูาหมายวัตถุประสงคการเรียน
ู้
การสอน 2) วิเคราะห์สภาพการเรียนการสอนวิเคราะห์ผเรียนและบริบท 3) ก าหนดเปูาหมาย





จดประสงคเชงปฏิบัต 4) พัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผล 5) พัฒนาหรือเลอกยุทธวิธีการเรียน
การสอน 6) พัฒนาเลือกสื่อวัสดุการเรียนการสอน 7) ออกแบบและประเมินผล เพื่อปรับปรุงการเรียน


การสอน 8) ออกแบบและ ประเมินสทธิภาพการจดการเรียนการสอน 9) การปรับปรุงการเรียน

การสอน และครูสซ์ (Kruse 2004) ไดเสนอขั้นตอนการออกแบบระบบการเรียนการสอนให้มี



ประสทธิผลและมีความเหมาะสม โดยใชแนวคด “ADDIE Model” ประกอบดวย 5 ขั้นตอน คอ


1) ขั้นวิเคราะห์ (Analysis) 2) ขั้นออกแบบ (Design) 3) ขั้นพัฒนา (Development) 4) ขั้นน าไปใช้
(Implement) และ 5) ขั้นประเมินผล (Evaluation)



ดงนั้นกลมนิเทศ ตดตาม และประเมินผลการจดการศกษา สงกัดสานักงานเขตพื้นท ี่


ุ่




ื่
การศกษาประถมศกษาลาปาง เขต 1 จงมีแนวทางขับเคลอนการพัฒนาหลกสตรสถานศกษาและ




การน าหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน โดยใชกระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE


Model) คอ 1. A (Assessing Need) การศกษาสภาพและความตองการ 2. P (Planning)


การวางแผนการนิเทศ 3. I (Informing) การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ 4. C (Coaching) การนิเทศ
แบบโค้ช และ5. E (Evaluating) การประเมินผลการนิเทศ

วัตถุประสงค์ของการนิเทศ
เพื่อนิเทศ ติดตามการพัฒนาหลักสูตรสถานศกษาและการน าหลกสตรสถานศกษาไปใชใน






ู้
ั้
การพัฒนาผเรียน ทงดานการบริหารจดการของผบริหารสถานศกษา และการจดการเรียนรู้ของ



ู้
ครูผู้สอน โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)

เป้าหมายของการนิเทศ
เป้าหมายเชิงปรมาณ



เพื่อนิเทศ ติดตามการพัฒนาหลักสูตรสถานศกษาและการน าหลกสตรสถานศกษาไปใชใน



ู้
การพัฒนาผเรียนทงดานการบริหารจดการของผบริหารสถานศกษา และการจดการเรียนรู้
ู้


ั้


ของครูผู้สอน จ านวน 94 โรงเรียน

4




เป้าหมายเชิงคุณภาพ



ู้

1. ผบริหารสถานศกษาการบริหารจดการการพัฒนาหลกสตรสถานศกษาและการน า

ู้
หลักสูตรสถานศึกษาไปใชในการพัฒนาผเรียน เป็นไปตามบริบทของสถานศกษา และเป็นไปอย่างมี


ประสิทธิภาพ


2. ครูผสอนจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการน าหลกสตร
ู้
สถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน เป็นระบบมีคุณภาพตามตัวชี้วัดและมาตรฐานการเรียนรู้

5




ส่วนที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง








การนิเทศ ตดตามงานการพัฒนาหลกสตรสถานศกษาและการน าหลกสตรสถานศกษา

ุ่






ไปใชในการพัฒนา เพื่อยกระดบคณภาพการศกษา กลมนิเทศ ตดตามและประเมินผลการจด




การศึกษา ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกษาลาปาง เขต 1 จงดาเนินการนิเทศ ตดตาม โดย

ใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) ดังนี้
2.1 ทฤษฎี และแนวคิดที่เกี่ยวข้อง
2.1.1 การนิเทศการสอน
(1) ความหมายของการนิเทศการสอน

(2) จดมุ่งหมายของการนิเทศการสอน
(3) ความจ าเป็นนิเทศการสอน
(4) กิจกรรมการนิเทศการสอน
(5) ทักษะการนิเทศการสอน
(6) กระบวนการการนิเทศการสอน
(7) เทคนิคการสังเกตการสอน
2.1.2 การนิเทศแบบโค้ช

(1) การโค้ชเพื่อการรู้หนังสอและการอ่าน (Literacy Coaching or Reading Coaching)
(2) การโค้ชเพื่อเน้นนักเรียนเป็นส าคัญ (Student Centered Coaching)
2.1.3 ทฤษฎีเกี่ยวกับการนิเทศการสอน
(1) ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง
(2) ทฤษฎีแรงจูงใจ
(3) ทฤษฎีการสื่อสาร

(4) ทฤษฎีมนุษย์สัมพันธ์
(5) ทฤษฎีภาวะผู้น า
(6) ทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่
2.1.4 แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบ

(1) ความหมายของรูปแบบ
(2) ประเภทของรูปแบบ
(3) ลักษณะของรูปแบบที่ด ี
(4) แนวคิดการออกแบบและพัฒนารูปแบบ

2.1.5 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ
2.2 นโยบายและยุทธศาสตร ์
2.2.1 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564)

2.2.2 นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564)

6




2.2.3 แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2560 - 2579) ของส านักงานเลขาธิการสภา
การศึกษา

2.2.4 แผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 -
2564)
2.2.5 แผนปฏิบัติราชการประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของส านักงาน

คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2.3 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการน าหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนา

ผู้เรียน


2.1 ทฤษฎี และแนวคิดที่เกี่ยวข้อง
2.1.1 การนิเทศการสอน
(1) ความหมายของการนิเทศการสอน


ิ่
การนิเทศการสอน มีความส าคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากศาสตร์ในเรื่องนี้มีสงตางๆ

ี่



มากมายที่จะต้องด าเนินการอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนการทางานทชดเจน ซึ่งไดมีนักการศกษาตางๆ

ได้ให้ความหมายของการนิเทศการสอนไว้หลายท่าน สรุปได้ดังนี้




สงัด อุทรานันท (2530 : 7), กิตมา ปรีดดลก (2532 : 262), วไรรัตน์ บุญสวัสดิ์

(2538 : 3), ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2548 : 48), ชาญชัย อาจินสมาจาร (ม.ป.ป), วัชรา เลาเรียนดี



(2550 : 3) ไดให้ความหมายเกี่ยวกับการนิเทศการสอนทสอดคลองกันไว้ว่า การนิเทศการสอน คอ
ี่

กระบวนการบริหารจัดการศึกษาที่สร้างสรรค์ไม่หยุดนิ่ง เพื่อชี้แนะให้ความชวยเหลอ ให้ความร่วมมือ

ี่
ี่

กับครูผู้สอน และบุคลากรต่างๆ ทเกี่ยวข้องกับการศกษาหรือในเรื่องอื่นๆ ทตองอาศยการนิเทศจาก


ผู้รู้ ผู้ที่มีความสามารถเฉพาะเรื่อง โดยเป็นกระบวนการด าเนินงานที่จะต้องท าร่วมกันระหว่างผนิเทศ
ู้
ู้
กับผู้รับการนิเทศ ตลอดจนให้การช่วยเหลือ แนะน า และให้ความร่วมมือกับครูผสอนในการปรับปรุง

ั้

และพัฒนาคณภาพการจดกิจกรรมการเรียนรู้ทเน้นนักเรียนเป็นสาคญทงในเรื่องของการวิเคราะห์


ี่
ื่



นักเรียน การวางแผนการทางาน การผลตสอการเรียนการสอน การวิเคราะห์ สรุปผลการปฏิบัตงาน


ตลอดจนการรายงานการปฏิบัตงานในภาพรวม และในประเด็นที่มีความสาคัญในแตละเรื่อง

นอกจากนี้ Burton, William H. and Bruecker, Lee J. (1955 : 7), Spears,
Harold (1967 : 16), Harris, Ben M. (1985 : 10, Oliva, Peer F. (1989 : 8), Glickman, Card.


ี่
D., Stephen P. Gordon and Jovita M. Ross-Gordon (2004 : 8) ไดให้ความหมายทสอดคลอง

ู้
สรุปไดว่า การนิเทศการสอน หมายถึง เป็นการชวยเหลอสนับสนุนให้ผบริหาร ครู และบุคลากรท ี่



เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงการเรียนการสอนทงในเรื่องหลกสตร การจดการเรียนการสอน สอการ
ื่
ั้




เรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และสิ่งอ านวยความสะดวกตางๆ เพื่อพัฒนาการทางานของ
ครูให้มีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อคุณภาพของนักเรียน
ี่
ู้
สรุปการนิเทศการสอนเป็นกระบวนการสร้างสรรคทไม่หยุดนิ่งระหว่างผนิเทศ

กับผู้รับการนิเทศ เพื่อมุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนาคณภาพการศกษาทสงผลตอพัฒนาการเรียนรู้

ี่



ของนักเรียน โดยเน้นการให้บริการ การให้ความร่วมมือ และการให้ความชวยเหลอ สนับสนุนแก่



7







ผู้บริหาร ครู และบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านการพัฒนาหลกสตร การจดการเรียนการสอน การวัด

และประเมินผล และการจดกิจกรรมเสริมอื่นๆ เน้นความร่วมมือกัน ความเป็นประชาธิปไตย
ให้บริการช่วยเหลือสนับสนุนมากกว่าการบังคับให้ปฏิบัติตาม
(2) จุดมุ่งหมายของการนิเทศการสอน

การนิเทศการสอนแตละครั้งจะตองมีการก าหนดจดมุ่งหมาย เพื่อเป็นแนวทาง





ี่

ี่

ในการปฏิบัตและแนวทางในการดาเนินการนิเทศการสอนทชดเจน เพื่อจะให้เกิดผลทตองการดงท ี่


นักการศกษาหลายทานไดก าหนดจดมุ่งหมายของการนิเทศการสอนไว้อย่างสอดคลองกัน ดงนี้




วัชรา เลาเรียนด (2550 : 8), ปรียาพร วงศอนุตรโรจน์ (2548 : 20), วไลรัตน์



บุญสวัสดิ์ (2538 : 7) มีความเห็นสอดคล้องกันว่า จุดมุ่งหมายของการนิเทศการสอนเป็นการปรับปรุง

กระบวนการสอนและกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน สร้างขวัญและก าลงใจ และสร้างความสมพันธ์

ี่




ทดระหว่างบุคคลทเกี่ยวข้องในการทางานร่วมกัน โดยอาศยการนิเทศชวยเหลอ แนะน า ให้ความรู้
ี่

และการฝึกปฏิบัติด้านการพัฒนาหลักสูตร เทคนิควิธีการเรียนการสอนใหม่ ๆ การใชและการสร้างสอ

ื่


ั้
นวัตกรรมด้านการสอนและการทาวิจยในชนเรียน เพื่อให้ครูสามารถปรับปรุงและพัฒนาการจดการ






เรียนการสอนหรืองานในวิชาชพของตนเองอย่างตอเนื่อง มีประสทธิภาพและเกิดประสทธิผลสงสด





ตามเปูาหมาย ส่วน กิตมา ปรีดดลก (2532 : 264) ไดสรุปจดมุ่งหมายการนิเทศการสอนไว้ เพื่อชวย


ให้ครูค้นหาและรู้วิธีการท างานด้วยตนเอง รู้จักแยกแยะ วิเคราะห์ปัญหาของตนเองโดยให้ครูรู้ว่าอะไร

ที่เป็นปัญหาที่ก าลังเผชิญอยู่และจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร รู้สกมั่นคงในอาชพ และมีความเชอมั่น

ื่


ุ้
ในความสามารถของตน คนเคยกับแหลงวิทยาการ และสามารถน าไปใชในการเรียนการสอนได้


เผยแพร่ให้ชมชนเข้าถึงแผนการจดการศกษาของโรงเรียนและให้การสนับสนุนโรงเรียน ตลอดจน




เข้าใจปรัชญาและความตองการทางการศกษา นอกจากนี้ ยุพิน ยืนยง (2553 : 38) ; เกรียงศกดิ์



สงข์ชย (2552 : 71) ยังกลาวว่าการนิเทศการสอน มีจดมุ่งหมาย คอ การชวยเหลอ แนะน า และ






ี่

สนับสนุนให้ครูไดรับการพัฒนางานในวิชาชพของตนเองให้มีประสทธิภาพและประสทธิผล อันทจะ

ส่งผลต่อการพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของนักเรียน
ส าหรับส านักงานคณะกรรมการการประถมศกษาแห่งชาต (2547 : 180-181) ไดสรุป





จดมุ่งหมายของการนิเทศการสอนไว้ว่า 1) เพื่อให้สถานศกษามีศกยภาพในการพัฒนาคณภาพการเรียนรู้



ของนักเรียนให้สอดคลองกับมาตรฐานหลกสตรและให้เป็นไปตามแนวทางของพระราชบัญญัต ิ


ี่
ี่
การศกษาแห่งชาต พ.ศ. 2542 และทแก้ไขเพิ่มเตม (ฉบับท 2 พ.ศ. 2545) 2) เพื่อให้สถานศกษา







สามารถบริหารและจดการเรียนรู้ไดอย่างมีคณภาพ 3) เพื่อพัฒนาหลกสตรและจดการเรียนรู้ให้มี






ี่



ประสทธิภาพสอดคลองกับความตองการของชมชน สงคม ทนตอการเปลยนแปลงทกด้าน 4) เพื่อให้




บุคลากรสถานศกษาไดเพิ่มความรู้ ทกษะและประสบการณในการจดกิจกรรมการเรียนรู้และ



การปฏิบัติงาน รวมทั้ง ความต้องการในวิชาชีพ 5) เพื่อส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาปฏิรูประบบบริหาร





โดยให้ทกคนมีสวนร่วมคด ร่วมทา ร่วมตดสนใจ และร่วมรับผดชอบ ชนชมในผลงาน 6) เพื่อให้เกิด
ื่



การประสานงานและความร่วมมือในการพัฒนาคณภาพการศกษาระหว่างผเกี่ยวข้อง ไดแก่ ชมชน
ู้




สงคม และวัฒนธรรม 7) เพื่อพัฒนาบุคลกภาพทดแก่ครูในดานความเป็นผน าทางวิชาการและ


ี่

ู้




ความคด ความมีมนุษย์สมพันธ์ ความคดสร้างสรรค และความมุ่งมั่น มีอุดมการณทจะอบรมนักเรียน
ี่



ให้เป็นผมีคณภาพชวิตทดตามความตองการของสงคมประเทศชาต 8) เพื่อพัฒนาวิชาชพครูและ
ู้



ี่



8




เสริมสร้างสมรรถภาพด้านการสอนให้แก่ครูในด้านการวิเคราะห์และปรับปรุงจุดประสงค์ในการเรียนรู้




วิธีการศกษาพื้นฐานความรู้ของนักเรียน การเลอกและปรับปรุงเนื้อหาการสอนการดาเนินการจด
กิจกรรมการเรียนการสอนเหมาะสม ประเมินผลการเรียนการสอนและปรับปรุงกระบวนการวัดผล
ุ่
ไดอย่างมีประสทธิภาพ 9) เพื่อพัฒนากระบวนการทางานของครู โดยใชกระบวนการกลมในดาน







การร่วมมือกันจดกิจกรรมการเรียนการสอนและแก้ปัญหาการสอนการร่วมมือกันทางานอย่างเป็น

ขั้นตอน มีระบบ ระเบียบ การร่วมมือกันทางานดวยความเข้าใจกัน เห็นอกเห็นใจกัน ยอมรับซึ่งกัน




และกัน การร่วมมือกันท างานที่มีเหตุผลในการพัฒนาหลักสูตร สามารถปฏิบัตไดถูกตองและก้าวหน้า
ู้
เกิดประโยชน์สงสด เป็นภาระหน้าทของผบริหารสถานศกษา รองผบริหารสถานศกษา หัวหน้าฝาย


ี่

ู้


วิชาการ และคณะครู อาจารย์ ภายในสถานศกษาทจะตองมีหน้าทดาเนินการนิเทศกันเอง



ี่
ี่
ี่

ู้

มีการประสานความร่วมมือระหว่างการนิเทศครูผทาหน้าทนิเทศและแหลงวิทยาการตางๆ ให้บริการ


ี่


ช่วยเหลืองานวิชาการของสถานศึกษาอย่างมีประสทธิภาพและคล่องตัว มีความสมพันธ์ทดระหว่างครู
ด้วยกัน ได้รับขวัญและก าลังใจจากผู้บริหารและการยอมรับในความรู้ ความสามารถของผู้ให้การนิเทศ

ั้

ู้

รวมทงผรับการนิเทศจะตองให้การสนับสนุนดวย และมีกระบวนการพัฒนาศกยภาพของบุคลากร
ในโรงเรียนที่จะส่งผลให้โรงเรียนพัฒนาตนเอง และ 10) เพื่อสร้างขวัญและก าลงใจแก่ครูในดานการ






สร้างความมั่นใจและความถูกตองในการใชหลกสตรและการสอน สร้างความสบายใจในการทางาน

ร่วมกันและความก้าวหน้าในต าแหน่งทางวิชาชีพครู
สรุปจุดมุ่งหมายของการนิเทศการสอน คือ การพัฒนาคน พัฒนาครูให้มีความรู้ ความสามารถ
ในการพัฒนางานดานหลกสตร การจดกิจกรรมการเรียนรู้ ตลอดจนสงเสริมความเจริญก้าวหน้า





ในวิชาชีพครูที่ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพของนักเรียน โดยอาศัยการนิเทศ ช่วยเหลอ แนะน า




อันจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียนให้เป็นอย่างมีประสทธิภาพและประสทธิผล มีคณลกษณะ

ที่พึงประสงค์ตามเปูาหมายของหลักสูตร
(3) ความจ าเป็นในการนิเทศการสอน
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ประสบความส าเร็จได้นั้น จะตองอาศยกระบวนการ





นิเทศการสอนเป็นองคประกอบดวย ทงนี้เพราะการนิเทศการสอนเป็นกระบวนการของการทางาน
ั้
ร่วมกับครูเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนในชั้นเรียนให้มีประสิทธิผล


ดังที่ กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 263) ไดให้ความเห็นว่าในปัจจบันการนิเทศการสอน

ี่

มีความจ าเป็นต่อกระบวนการเรียนการสอนเป็นอย่างมากดวยเหตผลทว่า 1) การศกษาเป็นกิจกรรม

ี่

ทซับซ้อนและยุ่งยาก จาเป็นจะตองมีการนิเทศ 2) การนิเทศการสอนเป็นงานทมีความจาเป็นตอ

ี่






ความเจริญงอกงามของครู 3) การนิเทศการสอนมีความจาเป็นตอการชวยเหลอครูในการเตรียม




การสอน 4) การนิเทศการสอนมีความจาเป็นตอการทาให้ครูเป็นบุคคลททนสมัยอยู่เสมอ
ี่
อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มีอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับกรองทอง


จิรเดชากุล (2550 : 4) ทไดกลาวถึงความจาเป็นของการนิเทศการสอนไว้ว่า การนิเทศการสอนเป็น

ี่
ู้

ู่
การปรับปรุงคุณภาพของการจัดการศึกษา การพัฒนาสถานศกษา ครู และผเกี่ยวข้องเข้าสมาตรฐาน

การศึกษา รวมทั้งเปนการประสานงานให้เกิดการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในสถานศึกษา ทั้งนี้เนื่องจาก


สังคมมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ ด้านตลอดเวลา นอกจากนี้ ชาญชัย อาจนสมาจาร (ม.ป.ป.) ยังกลาวว่า
การนิเทศการสอนมีความจ าเป็น กล่าวคือ

9





1. การนิเทศการสอนมีความจาเป็นในการให้บริการทางวิชาการ การศกษาเป็น

กิจกรรมทซับซ้อน และยุ่งยาก เพราะมันเกี่ยวข้องกับบุคคล การนิเทศการสอนเป็นการให้บริการ
ี่


ี่



แก่ครูจานวนมากทมีความสามารถตาง ๆ กัน อีกประการหนึ่งการศกษาไดขยายตวไปอย่างมาก
เมื่อไม่นานมานี้ สิ่งเหล่านี้ต่าง ๆ ก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากการนิเทศทั้งนั้น
2. การนิเทศการสอนมีความจ าเป็นต่อความเจริญงอกงามของครู แม้ว่าครูจะไดรับ








การฝกฝนมาแลวเป็นอย่างดก็ตาม แตครูจะตองปรับปรุงการฝกฝนอยู่เสมอในขณะทางาน
ในสถานการณ์จริง
3. การนิเทศการสอนมีความจ าเป็นต่อการช่วยเหลือครูในการตระหนักเตรียมการสอน


เนื่องจากครูตองปฏิบัตงานในกิจกรรมตาง ๆ กัน และจะตองเผชญกับภาวะทคอนข้างหนัก


ี่





ครูจงไม่อาจสละเวลาไดมากเพียงพอตอการตระเตรียมการสอน การนิเทศการสอนจงสามารถ

ลดภาระของครูได้ในกรณี ดังกล่าว




4. การนิเทศการสอนมีความจาเป็นตอการทาให้ครูเป็นบุคคลททนสมัยอยู่เสมอ
ี่
ี่


ั้
จากการเปลยนแปลงทางสงคม ทาให้เกิดพัฒนาการทางการศกษาทงทางทฤษฎีและทางปฏิบัต ิ


ี่

ข้อแนะน าทไดจากการวิเคราะห์และจากการอภิปราย จากการคนพบของการวิจยมีความจาเป็น


ต่อความเจริญเติบโตดังกล่าว ซึ่งการนิเทศการสอนสามารถให้บริการได ้
5. การนิเทศการสอนมีความจาเป็นตอภาวะผน าทางวิชาชพแบบประชาธิปไตย


ู้


การนิเทศการสอน สามารถให้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค นอกจากนี้ยังสามารถรวมพลงของทกคน



ร่วมอยู่ในกระบวนการทางการศกษาด้วย


สรุปการนิเทศการสอนมีความจาเป็นตอการจดการศกษาอย่างยิ่ง เพราะเป็น






การชวยเหลอสนับสนุน สงเสริมให้ครูมีความสามารถในการพัฒนางานในวิชาชพของตนเองให้มี
ประสิทธิภาพและประสทธิผล อันจะชวยให้ครูเจริญก้าวหน้าในวิชาชพ รวมทงสงผลถึงนักเรียนและ
ั้




คุณภาพการศึกษาโดยภาพรวมในที่สุด
(4) กิจกรรมการนิเทศการสอน


ู้

ี่
กิจรรมการนิเทศการสอน เป็นวิธีการนิเทศทผนิเทศจะตองพิจารณาเลอกใชให้

เหมาะสมกับสถานการณ์หรือสภาพปัญหาของสถานศกษา และให้คานึงถึงหลกเกณฑ์ในการเลอกใช ้



ู้
ี่


กิจกรรม แตละชนิดอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาถึงจดประสงคของการนิเทศ และประโยชน์ทผรับ

การนิเทศจะได้รับเป็นส าคัญ
Harris et al. (1985 : 71-86) ; ปรียาพร วงศอนุตรโรจน์ (2548 : 20) ; วัชรา

เล่าเรียนดี (2550 : 14 - 16) ได้เสนอกิจกรรมการนิเทศ ดังนี้
1. การบรรยาย (Lecturing) เป็นกิจกรรมทเน้นการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ
ี่
ของผู้นิเทศไปสู่ผู้รับนิเทศ ใช้เพียงการพูดและการฟังเท่านั้น
2. การบรรยายโดยใชสอประกอบ (Visualized lecturing) เป็นการบรรยายทใชสอเข้ามาชวย



ื่
ื่
ี่
เช่น สไลด์ แผนภูมิ แผนภาพ ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ฟังมีความสนใจมากยิ่งขึ้น
3. การบรรยายเป็นกลุ่ม (Panel Presenting) เป็นกิจกรรมการให้ข้อมูลเป็นกลุ่ม
ที่มีจุดเน้นที่การให้ข้อมูลตามแนวความคิดหรือแลกเปลี่ยนความคดเห็นซึ่งกันและกัน


10




ี่




4. การให้ดภาพยนตร์หรือโทรทศน์ (Viewing film or Television) เป็นการใชเครื่องมือทเปน



ื่
ู้


สอทางสายตา ไดแก่ ภาพยนตร์ โทรทศน์ วีดทศน์ เพื่อทาให้ผรับการนิเทศไดรับความรู้และ

เกิดความสนใจมากขึ้น

5. การฟังคาบรรยายจากเทปวิทยุและเครื่องบันทกเสยง (Listening to tape,





Radio recordings) เป็นการใช้เครื่องบันทกเสยงเพื่อน าเสนอแนวความคดของบุคคลหนึ่งไปสู่ผู้ฟังอื่น

6. การจัดนิทรรศการเกี่ยวกับวัสดและเครื่องมือตางๆ (Exhibiting Materials and

Equipment’s) เป็นกิจกรรมที่ช่วยในการฝึกอบรมหรือเป็นกิจกรรมส าหรับงานพัฒนาสื่อต่างๆ

7. การสังเกตในชั้นเรียน (Observing in Classroom) เป็นกิจกรรมททาการสงเกต

ี่
การปฏิบัติงานในสถานการณ์จริงของบุคลากร เพื่อวิเคราะห์สภาพการปฏิบัตงานของบุคลากร ซึ่งจะ








ชวยให้ทราบจดดหรือจดบกพร่องของบุคลากร เพื่อใชในการประเมินผลการปฏิบัตงานและใชใน
การพัฒนาบุคลากร
8. การสาธิต (Demonstrating) เป็นกิจกรรมการให้ความรู้ทมุ่งให้ผอื่นเห็นกระบวนการและ
ู้
ี่
วิธีด าเนินการ
ี่



9. การสมภาษณแบบมีโครงสร้าง (Structured Interviewing) เป็นกิจกรรมสมภาษณทก าหนด

จุดประสงค์ชัดเจนเพื่อให้ได้ข้อมูลตาง ๆ ตามต้องการ




10. การสมภาษณเฉพาะเรื่อง (Focused Interview) เป็นกิจกรรมสมภาษณแบบ

ู้
กึ่งโครงสร้างโดยจะทาการสมภาษณเฉพาะโรงเรียนทผตอบแบบสอบถามมีความสามารถจะตอบได ้
ี่



เท่านั้น

11. การสมภาษณแบบไม่ชน า (Non-directive Interview) เป็นการพูดคยและ


ี้
อภิปรายหรือการแสดงความคิดของบุคคลที่สนทนาด้วย ลักษณะของการสมภาษณจะสนใจกับปัญหา


และความในใจของผู้รับการสัมภาษณ ์
ี่
12.. การอภิปราย (Discussing) เป็นกิจกรรมทผนิเทศและผรับการนิเทศปฏิบัตร่วมกัน

ู้
ู้
ซึ่งเหมาะสมกับกลุ่มขนาดเล็ก มักใช้ร่วมกับกิจกรรมอื่นๆ

ี่


13. การอ่าน (Reading) เป็นกิจกรรมทใชมากกิจกรรมหนึ่ง สามารถใชไดกับคน
จ านวนมาก เช่น การอ่านข้อความจากวารสาร มักใช้ผสมกับกิจกรรมอื่น
14. การวิเคราะห์ข้อมูลและการคดคานวณ (Analyzing and Calculating)


ี่
เป็นกิจกรรมทใชในการตดตามประเมินผล การวิจยเชงปฏิบัตการและการควบคมประสทธิภาพ







การสอน
ี่

15. การระดมสมอง (Brainstorming) เป็นกิจกรรมทเกี่ยวข้องกับการเสนอแนวคด
วิธีแก้ปัญหาหรือใช้ข้อเสนอแนะน าต่างๆ โดยให้สมาชิกแต่ละคนแสดงความคิดโดยเสรี ไม่มีการวิเคราะห์
หรือวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใด



16. การบันทกวีดทศน์และการถ่ายภาพ (Videotaping and Photographing)


วีดทศน์เป็นเครื่องมือทแสดงให้เห็นรายละเอียดทงภาพและเสยงสวนการถ่ายภาพมีประโยชน์มาก


ี่
ั้
ในการจัดนิทรรศการ กิจกรรมนี้มีประโยชน์ในการประเมินผลงานและการประชาสัมพันธ์
17. การจัดท าเครื่องมือและข้อทดสอบ (Instrumenting and Testing) เป็นการใช ้
แบบทดสอบและแบบประเมินต่างๆ

11




18. การประชุมกลุ่มย่อย (Buzz Session) เป็นกิจกรรมการประชุมกลุ่ม เพื่ออภิปราย
ให้หัวข้อเรื่องที่เฉพาะเจาะจง มุ่งเน้นการปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่มมากที่สุด

ี่



19. การจดทศนศกษา (Field Trip) เป็นกิจกรรมการเดนทางไปสถานทแห่งอื่น
เพื่อศึกษาและดูงานที่สัมพันธ์กับงานที่ตนปฏิบัต ิ

ี่
20. การเยี่ยมเยือน (Intervisiting) เป็นกิจกรรมทบุคคลหนึ่งไปเยี่ยมและสงเกต
การท างานของอีกบุคคลหนึ่ง
ี่


21. การแสดงบทบาทสมมต (Role Playing) เป็นกิจกรรมทสะทอนให้เห็น






ู้
ความรู้สกนึกคดของบุคคล ก าหนดสถานการณขึ้นแลวให้ผทากิจกรรมตอบสนองหรือปฏิบัตตนเอง
ไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น
22. การเขียน (Writing) เป็นกิจกรรมทใชเป็นสอกลางในการนิเทศเกือบทกชนิด

ื่
ี่

เช่น การเขียนโครงการนิเทศ การบันทึกข้อมูล การเขียนรายงาน การเขียนบันทึก ฯลฯ

23. การปฏิบัตตามคาแนะน า (Guided Practice) เป็นกิจกรรมทเน้นการปฏิบัติ

ี่
ในขณะที่ปฏิบัติมีการดูแลช่วยเหลือ มักใช้กับรายบุคคลหรือกลุ่มขนาดเล็ก

ู้



ี่
24. การประชมปฏิบัตการ (Workshop) เป็นการประชมทเน้นให้ผเข้าประชมมีความรู้

ความเข้าใจและทักษะทางด้านทฤษฎีและด้านปฏิบัติอย่างแท้จริง โดยสามารถน าไปพัฒนางานให้มีคณภาพ

ู้
25. การศกษาเอกสารทางวิชาการ เป็นการมอบหมายเอกสารให้ผรับการนิเทศ
ไปศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วน าความรู้มาถ่ายทอดให้แก่คณะครู
26. การสนทนาทางวิชาการ เป็นการประชมครูหรือกลมผสนใจในเรื่องราว ขาวสาร

ู้

ุ่
เดียวกัน โดยก าหนดให้มีผู้น าสนทนาคนหนึ่ง น าสนทนาในเรื่องที่กลุ่มสนใจ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจ
ี่
แนวทางในการปฏิบัติงาน เทคนิควิธีการแก่คณะครูในสถานทศึกษา


27. การสัมมนา เป็นการประชุมและเปล่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องท่สนใจ
เพื่อสรุปข้อคดเห็น และหาแนวทางในการปฏิบัตงานร่วมกัน



ุ้

28. การอบรม เป็นการให้ครูเข้าศกษาหาความรู้เพิ่มเตมในวิชาชพ เพื่อเป็นการกระตน

ี่


ให้ครูมีความตื่นตัวทางวิชาการ และน าความรู้ความสามารถทไดจากการอบรมไปใชพัฒนาการจดการเรียน

การสอนให้มีคณภาพ


ู้
ู้
29. การให้คาปรึกษาแนะน า เป็นการพบปะกันระหว่างผนิเทศกับผรับการนิเทศ






ั้
เพื่อช่วยแก้ปัญหาทงดานสวนตวและการปฏิบัตงาน หรือชวยแนะน าสงเสริมให้การปฏิบัตงาน



ประสบความสาเร็จยิ่งขึ้น การให้ค าปรึกษาแนะน าสามารถดาเนินการไดทั้งเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม


ี่

30. การสงเกตการสอน เปนการจัดให้บุคคลทมีความรู้ความเขาใจในเรื่องการเรียน

การสอนมาสงเกตพฤตกรรมของครูในขณะททาการสอน เพื่อให้ครูสามารถพัฒนาหรือปรับปรุงการสอน


ี่

ให้มีประสิทธิภาพ โดยใช้ข้อมูลย้อนกลับจากการสังเกตการสอนของผู้นิเทศ






สรุปกิจกรรมนิเทศการศกษาในแตละกิจกรรมจะมีจดเดน จดดอย และลกษณะ


ี่






การน าไปใชทแตกตางกัน การเลอกใชกิจกรรมการนิเทศ จงมีความสาคญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งใน
การเลอกใชกิจกรรมการนิเทศในแตละครั้ง ควรคานึงถึงจดประสงคของการนิเทศ จานวนผรับ
ู้







ี่
การนิเทศ และประโยชน์ที่ผู้รับการนิเทศจะได้รับ ตลอดจนสอดคล้องกับสภาพปัญหาทพบในโรงเรียน

และความตองการของผู้รับการนิเทศ

12




(5) ทักษะการนิเทศการสอน


ในการนิเทศการสอน เพื่อพัฒนาคณภาพการศกษาและปรับปรุงคณภาพการเรียน

การสอนให้บรรลุผลส าเร็จตามวัตถุประสงค์นั้น



ี่


วัชรา เลาเรียนด (2550 : 18-19) ไดกลาวถึง ทกษะทจาเป็นในการนิเทศ









ไว้สอดคลองกันคอ ทกษะดานเทคนิค ทกษะดานมนุษย์สมพันธ์ และทกษะดานการจดการ


รายละเอียดแต่ละด้าน ดังนี้




1. ทกษะดานเทคนิค (Technical Skills) เปนความสามารถในการใชความรู้ วิธีการ
ี่

และเทคนิคที่จ าเป็นและทเกี่ยวข้องกับการนิเทศ ซึ่งในการนิเทศแตละครั้งผนิเทศหรือผทาหน้าทนิเทศ
ี่
ู้

ู้
จะต้องมีความรู้ ความสามารถเฉพาะอย่าง ต้องมีความรู้ความเข้าใจเทคนิควิธี และสามารถใชเทคนิค


วิธีเหลานั้นได เชน เทคนิคการนิเทศแบบพัฒนาการ เทคนิคการนิเทศแบบคลนิก เทคนิคการนิเทศ




สังเกตการสอนและการจัดประชุมให้ข้อมูลย้อนกลับ รวมทงตองมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิค
ั้
วิธีสอนแบบต่างๆที่ส าคัญ และสามารถสาธิตแนะน าให้กับครูได ้


2. ทกษะดานมนุษย์สมพันธ์ (Human Relation Skills) เป็นความสามารถใน

ุ่
การปฏิบัตงานอย่างมีประสทธิภาพและประสทธิผลภายในกลม และสามารถสร้างความร่วมมือ




ให้เกิดขึ้นระหว่างสมาชิกภายในกลม รวมถึงความสามารถในการจงใจและการมีอิทธิพลเหนือคนอื่น
ุ่

การไดรับความร่วมมืออย่างจริงใจ สามารถพัฒนากลมงานให้มีประสทธิภาพและสร้างการยอมรับ
ุ่

ในการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น


3. ทักษะด้านการจดการ (Managerial Skills) เป็นความสามารถในการทจะจดให้
ี่

ี่
และคงไว้ซึ่งสภาพเงื่อนไขทจะเป็นการสนับสนุนการทางานของหน่วยงาน หรือกลไกในการรักษาไว้
และท าให้องค์กรดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบด้วยทักษะในการจัดการต่อไปนี้
3.1 ความสามารถในการรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคลกับหน่วยงาน
ี่

ี่




3.2 ความสามารถในการทจะมองเห็นความสมพันธ์ของปัจจยตางๆทสาคญ
ที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานในองค์กรหรือโรงเรียน
3.3 ความสามารถในการที่จะสร้างองค์กรที่มีคุณภาพ
3.4 ความสามารถในการสร้างและคงไว้ซึ่งสมรรถภาพขององค์กร



ี่


สรุปไดว่า ทกษะทจาเป็นในการนิเทศทสาคญก็คอ 1) ทักษะดานเทคนิค


ี่




(Technical Skills) 2) ทกษะดานมนุษย์สมพันธ์ (Human Relation Skills) และ 3) ทกษะดาน


การจดการ (Managerial Skills) ซึ่งทกษะทงสามดานจะตองผสมผสานกันในการน าไปใชใน
ั้




การปฏิบัติการนิเทศ
(6) กระบวนการนิเทศการสอน

ในการนิเทศการสอนเพื่อให้เกิดผลสาเร็จ มีประสทธิภาพและประสทธิผล จาเป็น



อย่างยิ่งที่จะต้องด าเนินการตามล าดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่องกัน ซึ่งนักการศกษาหลายทานไดน าเสนอ



กระบวนการนิเทศไว้ดังนี้


สงัด อุทรานันท (2530 : 10) ไดเสนอแนะกระบวนการนิเทศการสอนทสอดคลองกับ

ี่
สภาพสังคมไทย ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ซึ่งเรียกว่า “PIDRE” คือ

13




ี่
ู้
ู้
1. การวางแผน (P-Planning) เป็นขั้นตอนทผบริหาร ผนิเทศและผรับการนิเทศ
ู้



ี่



จะทาการประชม ปรึกษาหารือ เพื่อให้ไดมาซึ่งปัญหาและความตองการจาเป็นทตองมีการนิเทศ
รวมทั้งวางแผนถึงขั้นตอนการปฏิบัติเกี่ยวกับการนิเทศที่จัดขึ้น
2. ให้ความรู้ก่อนดาเนินการนิเทศ (Informing-I) เป็นขั้นตอนของการให้ความรู้


ี่
ิ่

ความเข้าใจถึงสงทจะดาเนินการว่าตองอาศยความรู้ ความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีขั้นตอน


ในการด าเนินการอย่างไร และจะด าเนินการอย่างไรให้ผลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ ขั้นตอนนี้จาเป็น


ทุกครั้งส าหรับเริ่มการนิเทศที่จัดขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเปนเรื่องใดก็ตาม และเมื่อมีความจาเป็นสาหรับงาน

ี่


ี่

นิเทศทยังเป็นไปไม่ไดผล หรือไดผลไม่ถึงขั้นทพอใจ ซึ่งจาเป็นทจะตองทบทวนให้ความรู้
ี่

ในการปฏิบัติงานที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง

3. การดาเนินการนิเทศ (Doing-D) ปะกอบดวยการปฏิบัตงาน 3 ลกษณะ คอ การปฏิบัตงาน





ของผรับการนิเทศ (ครู) การปฏิบัตงานของผให้การนิเทศ (ผนิเทศ) การปฏิบัตงานของผสนับสนุนการนิเทศ
ู้
ู้
ู้

ู้

(ผู้บริหาร)


4. การสร้างเสริมขวัญก าลงใจแก่ผปฏิบัตงานนิเทศ (Reinforcing-R) เป็นขั้นตอน
ู้
ของการเสริมแรงของผบริหาร ซึ่งให้ผรับการนิเทศมีความมั่นใจและบังเกิดความพึงพอใจใน
ู้
ู้
ู้


การปฏิบัติงานขั้นนี้อาจดาเนินไปพร้อม ๆ กับผรับการนิเทศทก าลงปฏิบัตงานหรือการปฏิบัตงานได ้
ี่


เสร็จสิ้นแล้วก็ได ้
ี่
ู้

5. การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating-E) เปนขั้นตอนทผนิเทศน าการประเมินผล



ี่
การด าเนินงานทผานไปแลวว่าเปนอย่างไร หลงจากการประเมินผลการนิเทศ หากพบว่ามีปัญหาหรือ

มีอุปสรรคอย่างใดอย่างหนึ่ง ททาให้การดาเนินงานไม่ไดผล สมควรทจะตองปรับปรุง แก้ไข
ี่


ี่





ี่
ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขอาจทาไดโดยการให้ความรู้เพิ่มเตมในเรื่องทปฏบัตใหม่อีกครั้ง ในกรณีทผลงาน
ี่



ี่
ยังไม่ถึงขั้นน่าพอใจ หรือไดดาเนินการปรับปรุงการด าเนินงานทงหมดไปแลว ยังไม่ถึงเกณฑ์ทตองการ

ั้


สมควรที่จะต้องวางแผนร่วมกันวิเคราะห์หาจุดที่ควรพัฒนาหลังใช้นวัตกรรมด้านการเรียนรู้เข้ามานิเทศ

วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 18-19) ได้เสนอกระบวนการนิเทศการสอน ประกอบดวย
7 ขั้นตอน คือ
1. วางแผนร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับนิเทศ (ครูและคณะครู)
2. เลือกประเด็นหรือเรื่องที่สนใจจะปรับปรุงพัฒนา

3. น าเสนอโครงการพัฒนาและขั้นตอนการปฏิบัตให้ผบริหารโรงเรียนไดรับทราบ

ู้
เพื่ออนุมัติด าเนินการ


4. ให้ความรู้หรือแสวงหาความรู้จากเอกสารตางๆและจดฝกอบรมเชงปฏิบัตการ



เกี่ยวกับเทคนิคการสังเกตการสอนในชั้นเรียน และความรู้เกี่ยวกับวิธีการสอนและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สนใจ
5. จัดท าแผนการนิเทศ ก าหนดวัน เวลา ทจะสงเกตการสอน ประชมปรึกษาหารือ

ี่

เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์
6. ด าเนินการตามแผนโดยครูและผู้นิเทศ (แผนการจัดการเรียนรู้และการนิเทศ)
7. สรุปและประเมินผลการปรับปรุงและพัฒนา รายงานผลส าเร็จ

Harris et al. (1985 : 13-15) ไดเสนอกระบวนการนิเทศการสอนประกอบดวย

6 ขั้นตอน คือ

14





1. ประเมินสภาพการท างาน (Assessing) เปนกระบวนการศึกษาถึงสถานภาพต่างๆ
ี่
รวมทั้งข้อมูลที่จ าเป็นเพื่อจะน ามาเป็นตัวก าหนดถึงความต้องการจาเป็น เพื่อก่อให้เกิดความเปลยนแปลง

ซึ่งประกอบด้วยงานต่อไปนี้คือ


1.1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการศกษาหรือพิจารณาธรรมชาต และความสมพันธ์

ของสิ่งต่าง ๆ
1.2 สังเกตสิ่งต่าง ๆ ด้วยความรอบคอบถี่ถ้วน
1.3 ทบทวนและตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง
1.4 วัดพฤติกรรมการท างาน

1.5 เปรียบเทียบพฤติกรรมการท างาน

2. จดลาดบความสาคญของงาน (Prioritizing) เป็นกระบวนการก าหนด เปูาหมาย





จุดประสงค และกิจกรรมต่าง ๆ ตามล าดับความส าคัญ ประกอบด้วย

2.1 ก าหนดเปาหมาย
2.2 ระบุจุดประสงค์ในการท างาน
2.3 ก าหนดทางเลือก

2.4 จัดล าดับความสาคัญ
3. ออกแบบการท างาน (Designing) เป็นกระบวนการวางแผนหรือก าหนดโครงการ
ต่าง ๆ เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยประกอบด้วย
3.1 จัดสายงานให้ส่วนประกอบต่างๆ มีความสัมพันธ์กัน
3.2 หาวิธีการน าเอาทฤษฎีหรือแนวคิดไปสู่การปฏิบัต ิ
3.3 เตรียมการต่างๆ ให้พร้อมที่จะท างาน

3.4 จัดระบบการท างาน
3.5 ก าหนดแผนในการท างาน

4. จดสรรทรัพยากร (Allocating Resources) เป็นกระบวนการก าหนดทรัพยากร
ต่างๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการท างาน ซึ่งประกอบด้วยงานต่อไปนี้คือ
4.1 ก าหนดทรัพยากรที่ต้องใช้ตามความต้องการของหน่วยงานต่างๆ
4.2 จัดสรรทรัพยากรไปให้หน่วยงานต่างๆ

4.3 ก าหนดทรัพยากรที่จ าเป็นจะต้องใช้ส าหรับจดมุ่งหมายบางประการ
4.4 มอบหมายบุคลากรให้ท างานในแต่ละโครงการหรือแต่ละเปูาหมาย

5. ประสานงาน (Coordinating) เป็นกระบวนการทเกี่ยวข้องกับคน เวลา วัสดอุปกรณ์
ี่


ิ่
และสงอ านวยความสะดวกทกๆ อย่างเพื่อจะให้การเปลยนแปลงบรรลผลสาเร็จงานในกระบวนการ
ี่

ประสานงาน ได้แก่
5.1 ประสานการปฏิบัติงานในฝุายต่าง ๆ ให้ด าเนินงานไปด้วยกันด้วยความราบรื่น
5.2 สร้างความกลมกลืนและความพร้อมเพียงกัน
5.3 ปรับการท างานในส่วนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพให้มากที่สุด
5.4 ก าหนดเวลาในการท างานในแต่ละช่วง

5.5 สร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้น

15





ั่

6. การอ านวยการหรือการสงการ (Directing) เป็นกระบวนการทมีอิทธิพลตอการปฏิบัตงาน


เพื่อให้เกิดสภาพที่เหมาะสมอันจะสามารถบรรลุผลแห่งการเปลี่ยนแปลงให้มากที่สดซึ่งได้แก่
6.1 การแต่งตั้งบุคลากร
6.2 ก าหนดแนวทางหรือกฎเกณฑ์ในการท างาน
6.3 ก าหนดระเบียบแบบแผนเกี่ยวกับเวลา ปริมาณหรืออัตราเร็วในการท างาน
6.4 แนะน าและปฏิบัติงาน
6.5 ชี้แจงกระบวนการท างาน
6.6 ตัดสินใจเกี่ยวกับทางเลือกในการปฏิบัติงาน

Allen (อ้างในสงัด อุทธานันท, 2530 : 76-79) กลาวถึงกระบวนการนิเทศการสอนว่า




ประกอบด้วยกระบวนการหลัก 5 กระบวนการซึ่งนิยมเรียกกันง่าย ๆ ว่า “POLCA” โดยย่อมาจากคาศพท ์
ต่อไปนี้คือ
P = Planing Processes (กระบวนการวางแผน)
O = Organizing Processes (กระบวนการจัดสายงาน)
L = Leading Processes (กระบวนการน า)
C = Controlling Processes (กระบวนการควบคุม)

A = Assessing Processes (กระบวนการประเมินผล)
1. กระบวนการวางแผน (Planing Processes) กระบวนการวางแผนในทศนะ

ของ Allen มีดังนี้
1.1 คิดถึงสิ่งทจะท าว่ามีอะไรบ้าง
ี่
1.2 ก าหนดแผนงานว่าจะท าสิ่งไหน เมื่อไหร่

1.3 ก าหนดจุดประสงค์ในการท างาน
1.4 คาดคะเนผลที่จะเกิดจากการท างาน
1.5 พัฒนากระบวนการท างาน

1.6 วางแผนในการท างาน


2. กระบวนการจดสายงาน (Organizing Processes) กระบวนการจดสายงานหรือ
จัดบุคลากรต่าง ๆ เพื่อท างานตามแผนงานที่วางไว้มีกระบวนการดังนี้
2.1 ก าหนดเกณฑ์มาตรฐานในการท างาน


2.2 ประสานงานกับบุคลากรตางๆ ที่จะปฏิบัติงาน
2.3 จัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ส าหรับการด าเนินงาน
2.4 มอบหมายงานให้บคลากรฝุายต่างๆ

ู้
2.5 จัดให้มีการประสานงานสัมพันธ์กันระหว่างผท างาน
2.6 จัดทาโครงสร้างในการปฏิบัติงาน


2.7 จัดทาภาระหน้าที่ของบุคลากร
2.8 พัฒนานโยบายในการท างาน

3. กระบวนการน า (Leading Processes) กระบวนการน าบุคลากรตางๆ ให้งานนั้น
ประกอบด้วยการดาเนินงานต่อไปนี้คอ



16




3.1 ตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ

3.2 ให้คาปรึกษาแนะน า
3.3 สร้างนวัตกรรมในการท างาน
3.4 ท าการสื่อสารเพื่อความเข้าใจในคณะท างาน

3.5 สร้างแรงจูงใจในการท างาน
3.6 เร้าความสนใจในการทางาน

3.7 กระตุ้นให้ท างาน
3.8 อ านวยความสะดวกในการท างาน

3.9 ริเริ่มการท างาน
3.10 แนะน าการท างาน
3.11 แสดงตัวอย่างในการท างาน
3.12 บอกขั้นตอนการท างาน

3.13 สาธิตการท างาน


4. กระบวนการควบคม (Controlling Processes) กระบวนการควบคมประกอบดวย

การด าเนินงานในสิ่งต่อไปนี้
4.1 น าให้ทางาน 4.2 แก้ไขการท างานที่ไม่ถูกต้อง

4.3 ว่ากล่าวตักเตือนในสิ่งที่ผิดพลาด
4.4 เร่งเร้าให้ท างาน 4.5 ปลดคนที่ไม่มีคุณภาพให้ออกจากงาน
4.6 สร้างกฎเกณฑ์ในการท างาน
4.7 ลงโทษผู้กระท าผิด


5. กระบวนการประเมินสภาพการทางาน (Assessing Processes) กระบวนการ
ประเมินสภาพการท างาน ประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้

5.1 การพิจารณาตัดสินเกี่ยวกับการปฏิบติงาน
5.2 วัดพฤติกรรมในการท างาน
5.3 จัดการวิจัยผลงาน
Glickman et al. (1995 : 324-328) ไดน าเสนอกระบวนการนิเทศการสอน

ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ

1. การประชมร่วมกับครูก่อนการสงเกตการสอน (Preconference with teacher)



ผู้นิเทศเข้าร่วมประชุมกับครูเพื่อพิจารณารายละเอียดก่อนการสังเกตการสอนของครูเกี่ยวกับจดมุ่งหมาย
ของการสังเกตต้องการให้เน้นการสงเกตในประเดนใดเป็นพิเศษวิธีการและรูปแบบการสงเกตทจะน าไปใช ้

ี่


เวลาที่ใช้ในการสังเกต และก าหนดเวลาที่ใช้ในการประชุมหลังการสังเกต

ั้
2. การสังเกตการสอนในชนเรียน (Observation of Classroom) เป็นการตดตาม


ั้
พฤตกรรมการสอนของครูในชนเรียน เพื่อให้เกิดความเข้าใจสอดคลองกับหลกการและรายละเอียด

ต่างๆที่ก าหนด ผู้สังเกตอาจใช้วิธีสังเกตเพียงวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีก็ได้


3. การวิเคราะห์และตดตามผลการสงเกตการสอน และพิจารณาวางแผนการประชม

ร่วมกับครู (Analyzing and interpreting observation and determining conference approach)

17






ู้


ผนิเทศหลงจากไดสงเกตการสอนและไดรับข้อมูลของครูมาแลว ให้วิเคราะห์ข้อมูล โดยใชการนับ



ความถี่ตัวแปรบางตัวที่ได้ก าหนดไว้ จ าแนกตัวแปรหลักที่เกิดขึ้น รวมทงคนหาตวแปรบางตวทเกิดขึ้น

ี่

ั้



ู้
ี่
ใหม่จากการปฏิบัตหรือบางตวทไม่เกิดขึ้น ในการวิเคราะห์ข้อมูลให้ผนิเทศวางตวเป็นกลาง และ
ให้ด าเนินการแปลความหมายของข้อมูล


4. ประชุมร่วมกับครูภายหลงการสงเกตการสอน (Post conference with teacher)
ผู้นิเทศจัดประชุมครูเพื่อเป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับและร่วมกันอภิปราย ซึ่งผลที่ได้รับจากการอภิปราย
ร่วมกัน ครูผู้สอนสามารถน าไปใช้ในการวางแผนปรับปรุงการสอนได้
5. การวิพากษ์วิจารณ์ผลที่ได้รับจากขั้นตอนทง 4 ขั้นตอน (Critique of previous four
ั้
ี่

steps) ซึ่งกระบวนการนิเทศการสอนทสอดคลองกับกระบวนการนิเทศของ Copeland and Boyan (1978 :





23) ไดเสนอการนิเทศการสอนไว้ 4 ขั้นตอน คอ 1) การประชมก่อนการสงเกตการสอน 2) การสงเกต
การสอน 3) การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสังเกตการสอน และ 4) การประชุมหลังการสังเกตการสอน

ั่
การน าวงจรคุณภาพ (PDCA) หรือโดยทวไปนิยมเรียกกันว่า PDCA มาใชเป็นกระบวนการนิเทศ


การสอน ซึ่งสมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2542 : 188) กลาวถึง จดหมายทแทจริงของวงจรคุณภาพ (PDCA)

ี่




ว่าเปนกิจกรรมพื้นฐานในการบริหารคุณภาพนั่นมิใชเพียงแคการปรับแก้ผลลพธ์ทเบี่ยงเบนออกไปจาก
ี่



เกณฑ์มาตรฐานให้กลบมาอยู่ในเกณฑ์ทตองการเทานั้น แตเพื่อก่อให้เกิดการปรับปรุงในแตละรอบ


ี่
ของ PDCA อย่างต่อเนื่องเป็นระบบและมีการวางแผน PDCA ที่ม้วนไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ 4 ขั้นตอน คอ ขั้นท 1

ี่
การวางแผน (Plan-P) ขั้นท 2 การดาเนินตามแผน (Do-D) ขั้นท 3 การตรวจสอบ (Check-C) ขั้นท 4
ี่

ี่
ี่
การแก้ไขปัญหา (Act-A)
ภาพที่ 2.1 กระบวนการ PDCA
ก าหนดปัญหา
อะไร

วิเคราะห์ปัญหา
วางแผน(Plan-P)
ท าไม หาสาเหต ุ

อย่างไร วางแผนร่วมกัน



ปฏิบัต (Do-D) น าไปปฏิบัต ิ

ตรวจสอบ (Check-C) ยืนยันผลลัพธ์

แก้ไข (Act-A) ท ามาตรฐาน

ที่มา : สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2542 : 188)

18







ี่
ขั้นตอนท 1 การวางแผน (Plan) การวางแผนงานจะชวยพัฒนาความคดตาง ๆ เพื่อน าไปส ู่
รูปแบบท่เป็นจริงขึ้นมาในรายละเอียดให้พร้อมในการเริ่มต้นลงมือปฏิบัติ แผนท่ดีควรมีลักษณะ


5 ประการ ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
1. อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง (realistic)
2. สามารถเข้าใจได (understandable)


3. สามารถวัดได (measurable)


4. สามารถปฏิบัตได (behavioral)


5. สามารถบรรลผลส าเร็จได (achievable)



วางแผนทดควรมีองคประกอบ ดงนี้
ี่
1. ก าหนดขอบเขตปัญหาให้ชดเจน


2. ก าหนดวัตถุประสงคและเปูาหมาย
3. ก าหนดวิธีการทจะบรรลุถึงวัตถุประสงค์และเปูาหมายให้ชัดเจนและถูกต้อง
ี่
ี่

ี่

แม่นย าทสดเทาทเป็นไปได ้
ขั้นตอนที่ 2 ปฏิบัติ (Do) ประกอบด้วยการท างาน 3 ระยะ
1. การวางแผนก าหนดการ
1.1 การแยกกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องการกระท า
1.2 ก าหนดเวลาที่คาดว่าต้องใชในกิจกรรมแต่ละอย่าง

1.3 การจัดสรรทรัพยากรต่างๆ


2. การจดการแบบแมทริกซ์ (matrix management) การจดการแบบนี้สามารถ
ช่วยดึงเอาผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงจากแหล่งต่าง ๆ มาได้ และเป็นวิธีช่วยประสานระหว่างฝุายต่างๆ
ู้
3. การพัฒนาขีดความสามารถในการท างานของผร่วมงาน
3.1 ให้ผร่วมงานเข้าใจถึงงานทงหมดและทราบเหตผลทตองกระท า
ั้

ี่

ู้
ี่


3.2 ให้ผร่วมงานพร้อมในการใชดลพินิจทเหมาะสม
ู้
3.3 พัฒนาจตใจให้รักการร่วมมือ


ขั้นตอนท 3 การตรวจสอบ (Check) การตรวจสอบทาให้รับรู้สภาพการณของงาน

ี่
ที่เป็นอยู่เปรียบเทียบกับสิ่งที่วางแผน ซึ่งมีกระบวนการ ดังนี้
1. ก าหนดวัตถุประสงค์ของการตรวจสอบ
2. รวบรวมข้อมูล

ี่





3. การทางานเปนตอนๆ เพื่อแสดงจานวน และคณภาพของผลงานทไดรับในแตละ
ขั้นตอนเปรียบเทียบกับที่ได้วางแผนไว้
4. การรายงานจะเสนอผลการประเมิน รวมทั้งมาตรการปูองกันความผดพลาดหรือ

ความล้มเหลว
4.1 รายงานเป็นทางการอย่างสมบูรณ ์
4.2 รายงานแบบอย่างไม่เป็นทางการ

19




ขั้นตอนที่ 4 การแก้ไขปัญหา (Act) ผลของการตรวจสอบหากพบว่าเกิดข้อบกพร่อง




ขึ้นท าให้งานที่ได้ไม่ตรงตามเปูาหมายหรือผลงานไม่ไดมาตรฐาน ให้ปฏบัตการแก้ไขปญหาตามลกษณะ

ี่
ปัญหาทค้นพบ
1. ถ้าผลงานเบี่ยงเบนไปจากเปูาหมายต้องแก้ไขที่ต้นเหต ุ





2. ถ้าพบความผดปกตใดๆ ให้สอบสวนคนหาสาเหตแลวทาการปูองกัน เพื่อมิให้


ความผิดปกตนั้นเกิดขึ้นซ้ าอีก


ในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ผลงานไดมาตรฐานอาจใช้มาตรการดังตอไปนี้
1. การย้ านโยบาย
2. การปรับปรุงระบบหรือวิธีการท างาน
3. การประชุมเกี่ยวกับกระบวนการท างาน
จะเห็นไดว่าวงจรคณภาพ (PDCA) ประกอบดวย การวางแผน (Plan) การดาเนิน




ตามแผน (Do) การตรวจสอบ (Check) และการปรับปรุงแก้ไข (Act) โดยการวางแผน การลงมือ
ี่


ี่




ปฏิบัตตามแผน การตรวจสอบผลลพธ์ทได และหากไม่ไดผลลพธ์ตามทคาดหมายไว้ จะตองทา




การทบทวนแผนการโดยเริ่มตนใหม่และทาตามวงจรคณภาพซ้ าอีก เมื่อวงจรคณภาพหมุนซ้ าไป





ี่


เรื่อย ๆ จะท าให้เกิดการปรับปรุงงานและระดบผลลพธ์ทสงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหลกการดงกลาวหากน ามา
ปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาจะช่วยพัฒนาบุคลากรและนักเรียนให้มีคุณภาพ





ี่
จากกระบวนการนิเทศการสอนดงกลาว สรุปไดว่า กระบวนการนิเทศทสาคญๆ
ประกอบดวยขั้นตอนการวางแผน ขั้นตอนการดาเนินงานนิเทศ และขั้นตอนการวัดและประเมินผล



การนิเทศ ดังนั้นรูปแบบการนิเทศ จงเรียกว่า เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) โดยมี 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพ และความต้องการ (Assessing Need = A)
การศึกษาสภาพ และความต้องการเป็นสิ่งที่มีความส าคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะได ้
ทราบสภาพจริงและความต้องการในการรับการนิเทศของครูผู้สอนในเรื่องตาง ๆ เนื่องจากบริบทของ

ั้


แต่ละโรงเรียนไม่เหมือนกัน มีความแตกตางกันทงในเรื่องของการจดการเรียนการสอน ความพร้อม


ู้
ของครูและนักเรียน ดงนั้นในขั้นตอนนี้จงมีความสาคญทผนิเทศจะตองมีการศกษาสภาพจริง
ี่




ู้

ทครูผสอนปฏิบัต และความตองการในการชวยเหลอในการแก้ปัญหาการเรียนการสอน ผวิจยน า
ู้


ี่


แนวคดมาจากรูปแบบจาลองการออกแบบการสอน The ADDIE Model ของ : Kevin Kruse




ี่

ี่

(2007 : 1) ทกลาวว่า ขั้นตอนท 1 เป็นขั้นของการวิเคราะห์ความตองการจาเป็น และแนวคด


แบบจาลองการออกแบบการสอนเชงระบบของ Dick et al. (2005 : 1-8) ในการวิเคราะห์ ความ



ู้

ตองการจาเป็น การวิเคราะห์การเรียนการสอน การวิเคราะห์นักเรียนและบริบทซึ่งผวิจยไดศกษา

ี่


กระบวนการนิเทศของ Harris et al. (1985 : 13-15) ทกลาวว่า การนิเทศการสอนตองมีการศกษา

ี่
ข้อมูลเบื้องต้น วิเคราะห์ความสัมพันธ์ตาง ๆ ทมีอยู่ในองคกร เพื่อพิจารณาถึงการเปลยนแปลง และ

ี่



เป็นไปตามแนวคดของ Acheson, Keith A. and Gall, Meredith D. (1997 : 90), วัชรา เลาเรียนดี
ู้
ู้


(2550 : 527-528) ทกลาวว่า ผนิเทศตองวิเคราะห์การสอนของครูผสอนและการเรียนของนักเรียน
ี่

เปิดโอกาสให้ผรับการนิเทศน าเสนอความตองการ ประเดนทสนใจจะปรับปรุงและพัฒนา
ี่
ู้

และสอดคล้องรูปแบบการนิเทศของเกรียงศักดิ์ สังข์ชัย (2552 : 37)

20




ขั้นตอนที่ 2 วางแผนการนิเทศ (Planning = P)


ี้
การวางแผนการนิเทศเป็นขั้นของการเตรียมการในการก าหนดตวชวัดความสาเร็จ
สอการนิเทศ เครื่องมือการนิเทศ และปฏิทนการนิเทศการจดกิจกรรมและประเมินการอ่าน คด


ื่




ู้

วิเคราะห์ และเขียน ผวิจยไดศกษาแนวคดเกี่ยวกับกระบวนการนิเทศของ Harris et al. (1985 : 23

ี่

ิ์
อ้างถึงใน วไลรัตน์ บุญสวัสด, 2538 : 40) ทกลาวว่าการนิเทศภายในโรงเรียนตองมีการวางแผน
(Planning) ไดแก่ การคดและการตงวัตถุประสงค ขั้นตอนการดาเนินงาน วางแผนโครงการ และ




ั้
ู้
สอดคล้องกับแนวคดของ Lucio, William H., and McNiel, John D (1979 : 24) ทกลาวว่าผนิเทศ


ี่
ตองรู้จกการวางแผน และตองมีการวางแผนการปฏิบัตงานของตนเอง นอกจากนี้ในกระบวนการ






นิเทศการสอนของ Glatthorn, Allan A. (1984 : 2), วัชรา เลาเรียนด (2550 : 27), สงัด



ิ์
อุทรานันท์ (2530 : 84-85), เกรียงศกด สงข์ชย (2552 : 37), ธัญพร ชนกลน (2553 : 28) ยังไดให้

ื่
ิ่
ความส าคัญเกี่ยวกับการวางแผน และไดน าขั้นตอนการวางแผนการนิเทศ เป็นสวนหนึ่งของรูปแบบ


การนิเทศ และกระบวนการนิเทศการสอนที่ได้พัฒนาขึ้น
ขั้นตอนที่ 3 การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ (Informing = I)

การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ เป็นขั้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการจดกิจกรรมและ




ู้
ประเมินการอ่าน คดวิเคราะห์ และเขียน ผวิจยไดศกษาแนวคดเกี่ยวกับรูปแบบและกระบวนการ


นิเทศการสอนของนักวิชาการในศาสตร์การนิเทศ เช่น Glatthorn et al. (1984 : 2),วัชรา เลาเรียนดี

(2550 : 27), สงัด อุทรานันท (2530 : 86) พบว่า นักวิชาการดงกลาวมีความคดเห็นสอดคลอง







ตรงกันว่าในการนิเทศการสอนนั้นมีความจาเป็นตองให้ความรู้ทสาคญ เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนา
ี่

ด้วยการประชุม สัมมนาเชิงปฏิบัติการต่างๆ การสื่อสารทั้งการพูดและการเขียน ตลอดจนการแสวงหา
ความรู้จากเอกสาร
ขั้นตอนที่ 4 ปฏิบัติการโค้ช (Coaching = C)


ู้



การปฏิบัตการนิเทศแบบโคช (Coaching) ผวิจยไดศกษาแนวคด รูปแบบและ



กระบวนการนิเทศของวัชรา เลาเรียนด (2556 : 313-317), Sandvold, A (2008 อ้างถึงใน วัชรา
เลาเรียนด, 2556 : 314), Sweeney, Diane (2011 : 9) ธัญพร ชนกลน (2553 : 28-29) เนื่องจาก
ิ่
ื่





ี่

แนวคดของนักวิชาการทกลาวถึงมุ่งเน้น การแก้ปัญหาการรู้หนังสอและการอ่านการคดอย่างเป็น



ี่

ระบบ เน้นให้ครูผู้สอนน าความรู้และทักษะที่สาคญของการจดการเรียนการสอนไปจดกิจกรรมทเน้น
นักเรียนเป็นสาคญ มีขั้นตอนทสาคญ คอ 1) ระบุจดประสงคการเรียนรู้ของนักเรียนทสมพันธ์







ี่

ี่
กับมาตรฐานการเรียนรู้ 2) วัดและประเมินผลนักเรียนก่อนเรียน 3) จดการเรียนการสอนทตอบสนอง

ี่
ความต้องการของนักเรียน 4) วัดและประเมินผลหลังเรียน นอกจากนี้การนิเทศแบบโคช ผนิเทศและ

ู้
ผู้รับการนิเทศมีความใกล้ชิดกัน ร่วมกันคิดใน เชิงสร้างสรรค และแลกเปลยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็น

ี่
ระบบและต่อเนื่อง
ขั้นตอน ที่ 5 การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating = E)
การประเมินผลการนิเทศ เป็นขั้นทผวิจยน ามาใชเป็นขั้นตอนสดทาย เพื่อสรุปผล


ี่
ู้


การนิเทศในแต่ละขั้นตอนที่ได้ด าเนินการไป เพื่อให้เห็นผลการดาเนินงานทกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ


ซึ่งสอดคล้องกับกระบวนการนิเทศของสงัด อุทรานันท (2530 : 87-88) , วัชรา เลาเรียนด (2550 : 28)



เกรียงศักดิ์ สังข์ชัย (2552 : 37-38), ยุพิน ยืนยง (2553 : 25-26), ธัญพร ชื่นกลิ่น (2553 : 29)

21




(7) เทคนิคการสังเกตการสอน



เนื่องจากการสังเกตการสอนเป็นเครื่องมือสาคญในการนิเทศการสอน ผลจากการสงเกต
การสอนช่วยในการวิเคราะห์การสอนของครู ดังนั้นการสังเกตการสอนจะตองสงเกตและบันทกข้อมูล



ตรงตามความจริงและให้ตรงตามจุดมุ่งหมายมากที่สุด
Acheson et al. (1997 : 23) ไดให้ข้อเสนอแนะในการนิเทศการสอน


ซึ่งประกอบด้วย เทคนิควิธีการ การก าหนดวัตถุประสงค์ และการวางแผนการสงเกตการสอน เทคนิค


วิธีการสงเกตการสอนในชนเรียน เทคนิคการบันทกการสงเกตการสอนโดยใชเครื่องมือแบบตางๆ


ั้



เทคนิคการประชมเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลบ และเทคนิคการนิเทศชแนะ แนะน าเพื่อชวยเหลอครู


ี้


ี่
ให้เกิดการเปลยนแปลงและพัฒนา เทคนิคการสงเกตการสอนนั้นประกอบดวย วิธีการสงเกตและ







ี่
ู้
การบันทกโดยเลอกใชเครื่องมือทเหมาะสม (ผสงเกตและครูร่วมกันเลอก) เพราะก่อนมีการสงเกต
ู้



ู้

การสอนทกครั้งจะตองมีการตกลงร่วมกันก่อนระหว่างครูกับผนิเทศหรือผสงเกต และหลงจาก
การสงเกตการสอนอาจจะร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลจากการสงเกตการสอนก่อนทจะให้ข้อมูลย้อนกลบ
ี่



แก่ครู เพื่อร่วมกันในการพิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงหรือพัฒนาการเรียนการสอนตอไป

ี่
ี่
ี่
ดงนั้น ผนิเทศ ผทาหน้าทนิเทศ หรือผททาหน้าทนิเทศการสอนจะตองมีความรู้ มีความเข้าใจ

ู้



ู้
ู้
พอสมควรเกี่ยวกับวิธีการสงเกตการสอน เทคนิควิธีการสงเกตการสอน และการบันทกเครื่องมือ






สังเกตการสอน การสร้างและการประยุกต์ใช้เครื่องมือสงเกตการสอนจงจะชวยให้การนิเทศการสอน
ประสบผลส าเร็จตามเปูาหมาย




การสงเกตการสอนและการบันทกการสอนจาแนกไดหลายลกษณะ เชน Oliva,


Peer F. and Pawlas, George E. (1997 : 26-28) ได้จ าแนกการสังเกตเป็น 2 ประเภท
1. การสงเกตแบบกว้าง ๆ ทวไป (Global Observation) เปนการสงเกตในภาพรวม



ั่




ไม่เฉพาะเจาะจงในพฤตกรรมประเภทใดประเภทหนึ่ง โดยปกตจะเป็นการสงเกตหรือวิธีการสงเกต
ี่
ทผู้บริหารหรือผู้นิเทศนิยมใช้ เมื่อตองการสังเกตพฤติกรรมการสอนทั่ว ๆ ไป เป็นการสังเกตโดยภาพรวม

ของการปฏิบัตการสอนของครู และมักจะใชผลการสงเกตและการบันทก ดวยวิธีการดงกลาวใน







การประเมินประสทธิภาพการสอนของครูดวย เชน แบบสงเกตและบันทกแบบตรวจสอบรายการ





(Checklist) และแบบมาตราส่วนประมาณคา (Rating scale) เป็นต้น



2. การสงเกตแบบเฉพาะเจาะจง (Specific Observation) เปนการสงเกตและบันทก






เฉพาะพฤติกรรม เฉพาะเหตุการณ์ เฉพาะเรื่อง หรือเฉพาะประเดน เชน การสงเกตบันทกพฤตกรรม

ปฏิสัมพันธ์ทางวาจาระหว่างครูกับนักเรียนเป็นต้น
นอกจากนี้ Glickman et al. (1995 : 36 ) ไดจาแนกการสงเกตการสอนเปน




2 ประเภท คือ

1. การสงเกตเชงปริมาณ (Quantitative Observation) เป็นวิธีการวัดเหตการณ ์




ิ่

และพฤตกรรมตางๆ และสงตางๆ ในห้องเรียน ทสามารถสงเกตเห็นได วัดได เป็นจานวนครั้ง หรือ




ี่

ความถี่ของเหตุการณ์ หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่ท าการสังเกตและบันทึกดวยเครื่องมือหรือวิธีการสงเกต

ด้วยปริมาณ เช่น
1.1 เครื่องมือสังเกตการสอนแบบนับจานวนความถี่ (Categorical Frequency

Instrument)

22







1.2 เครื่องมือสงเกตการสอนแบบระบุพฤตกรรมตามกระบวนการจดการเรียน
การสอนในรูปแบบต่างๆ (Performance Indicator Instrument)
1.3 เครื่องมือสังเกตการสอนที่จัดเตรียมฟอร์มที่เป็นแผนผัง (Diagram)
1.4 เครื่องมือสังเกตและบันทึกตรวจสอบรายการ (Check list)

1.5 เครื่องมือสังเกตและบันทึก แบบเลือกประเภทของค าพูดหรือการพูด จด และ
บันทึกข้อมูลค าพูดนั้น ค าต่อค าตามเวลาที่ก าหนด (Selective Verbatim Recording)


1.6 เครื่องมือสังเกตและบันทกปฏิสมพันธ์ทางวาจาระหว่างครูกับนักเรียนของ
Ned Flanders FIAC (Flanders’s Interaction Analysis Category)





2. การสงเกตเชงคณภาพ (Qualitative Observation) การสงเกตดวยวิธีนี้เป็น

ี่



ู้
วิธีสงเกตและบันทกทจะใชเมื่อผสงเกตหรือผนิเทศไม่ทราบว่าจะสงเกตหรือบันทกอะไรบ้าง


ู้


ในชั้นเรียน หรือผู้นิเทศสังเกตรายละเอียดพฤตกรรมในการจดการเรียนการสอนของครูและนักเรียน







การสงเกตเชงคณภาพ การสงเกตเหตการณและพฤตกรรมตาง ๆ ตลอดจนสภาพทางกายภาพ



ในชั้นเรียน เช่น การจดบันทึก การจัดบอร์ด สออุปกรณตาง ๆ โดยทาการบันทกแบบพรรณนาความ


ื่
โดยไม่ใส่อารมณ์ความรู้สึกของตนเองลงไปด้วย ประกอบด้วยเครื่องมือหรือวิธีการสังเกตดังต่อไปนี้
2.1 การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Detached-open Narrative)
2.2 การสังเกตบันทึกข้อมูลการพูดเฉพาะอย่าง (Save Verbatim Recording)
2.3 การสังเกตบันทึกโดยใช้ V.D.O. (Audio record)
2.4 การสังเกตและบันทึกแบบสั้นๆ (Anecdotal Record)

2.5 การสังเกตและบันทึกแบบมีสวนร่วม (Participant Observation)
2.6 การสังเกตบันทึกตามประเด็นค าถาม (Focused Questionnaire Observation)
2.7 การสังเกตและบันทึกแบบบันทึกการปฏิบัติงานของตนเอง (Journal Writing)
2.8 การวิจารณ์ทางการศึกษา (Educational Criticism)
2.9 การสังเกตบันทึกแบบเฉพาะเหตุการณ์ (Tailored Observation System)

การสังเกตการสอนต้องมีเครื่องมือสงเกตการสอน (Observation Instrument) ซึ่ง


เครื่องมือสังเกตการสอนหมายถึง เครื่องมือที่ใช้ในการสังเกตและบันทึกการเรียนการสอน เชน ดนสอ








ปากกา กระดาษ เครื่องใชอิเลกทรอนิกสตางๆ เชน เทปบันทกเสยง กลองถ่ายวีดโอ คอมพิวเตอร์


ขนาดเล็ก รวมถึงแบบฟอร์มการสงเกตและบันทกทผนิเทศและผรับการนิเทศสร้างขึ้นเองหรือมีผอื่น
ู้
ู้

ี่
ู้



สร้างขึ้น และเป็นทยอมรับและรู้จกแพร่หลาย เชน แบบฟอร์มการสงเกต – บันทกของ Acheson
ี่


ี่
et al. (1997 : 69-71) ซึ่งเป็นเครื่องมือการสงเกตการสอนทไดจากการสร้างและพัฒนาทดลองใช ้


ี่


จนแน่ใจว่าสามารถน าไปใช้ได้อย่างมีประสทธิภาพและประสทธิผล แตมักจะเป็นเครื่องมือทสร้างขึ้น


โดยเฉพาะงานวิจยทเกี่ยวกับพฤตกรรมการสอนของครูทมีประสทธิภาพหรือเพื่อใชในการประเมิน
ี่

ี่

ประสทธิภาพการสอนของครู เพื่อจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน




ี่
โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเครื่องมือทคอนข้างจะละเอียดซับซ้อน ผทจะน าไปใชตองมี
ู้
ี่
ุ้
ความสามารถ ความคนเคยและความชานาญในการใชมากพอสมควร จงขอแนะน าว่า ควรจะ



ประยุกต์และปรับใช้เป็นเครื่องมือสังเกตการสอนอย่างง่าย สะดวกต่อการฝึกและการใช้ในสถานการณ ์

23






ี่



จริงจะเหมาะสมกว่า ดงทกลาวมาแลว และใชวิธีการสงเกตให้สอดคลองกับพฤตกรรมการสอนทมี


ี่
ประสิทธิภาพของ Acheson et al. (1997 : 69-71)
ในการนิเทศการสอนเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการสอนนั้น ครูควรจะไดมีการสงเสริม



และพัฒนาให้มีความสามารถในการวิเคราะห์การสอนของตนเองได ซึ่งมีการสงเกตและการวิเคราะห์

ตนเองอย่างง่าย ๆ คือ
1. การวิเคราะห์ตนเองโดยใช้เครื่องมือช่วย เช่น การฟังเสียงการพูดของตนเองจาก
เทปบันทึกเสียง การสังเกตตนเองจากการดูวีดีโอเทปที่บันทึกการปฏิบัติงานของตนเองไว้ และการรับ


ู้
ฟังข้อมูลย้อนกลบจากการสงเกตพฤตกรรมการสอนของผนิเทศ หรือผทาหน้าทนิเทศ หรือจากเพื่อน
ู้
ี่


หรือจากนักเรียน

ี่
2. การเยี่ยมชั้นเรียนซึ่งกันและกัน เพื่อแลกเปลยนความรู้ ความคดเห็นซึ่งกันและ
ุ่

กัน อาจท าการเยี่ยมชั้นเรียนเป็นกลุ่ม หรือคณะ เพื่อสังเกตการสอนและให้สมาชกภายในกลมชวยกัน



ให้ข้อมูลย้อนกลบ ซึ่งจะชวยให้มองเห็นการสอนของผอื่นและการสอนของตนเองชดเจนยิ่งขึ้น
ู้

ด้วยการเปรียบเทียบกับการสอนของตนเอง

3. ให้จับคู่เพื่อนที่สนิทสนมและผลัดกันสงเกตการสอนซึ่งกันและกันให้ข้อมูลย้อนกลบ




จากการสังเกตการสอนในดานตาง ๆ ทก าหนด ชวยกันคดและวิเคราะห์จดทเป็นปัญหา เพื่อหาทาง

ี่
ี่

แก้ไขปรับปรุงต่อไป

ี่
4. ใช้เทคนิคแบบคลินิก (Clinical Supervision) ซึ่งเป็นกระบวนการทตองมีการวางแผน

การสังเกตการสอน มีการบันทกข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ แลวให้ข้อมูลย้อนกลบ จะชวย



ี่


ให้ทราบปัญหาข้อบกพร่องตางๆทจะตองแก้ไขปรับปรุง ซึ่งการนิเทศแบบคลนิกเป็นการนิเทศ

ี่


ทมีจดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาปรับปรุงการสอนและทกษะการสอนโดยเฉพาะ และทสาคญทสดจะตอง
ี่


ี่


ด าเนินการโดยการมีการร่วมมือกันอย่างจริงจังระหว่างผู้นิเทศกับครู หรือผู้ท าหน้าที่นิเทศกับครู


ี่




ในการสงเกตการสอนตองมีวิธีการบันทกการสงเกตการสอนทด จะบันทกอย่างไร




ดวยวิธีใด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงคของการสงเกต ประเภทของการสงเกตการสอน และการเลอกใช ้




ี่

เครื่องมือทเหมาะสม เชน เป็น การสงเกตการสอนเชงปริมาณ (Qualitative Observation) จะตองระบุ


วัตถุประสงคชดเจนว่า จะสงเกตพฤตกรรมอะไรบ้าง อย่างไร ใชเครื่องมือแบบใดจงเหมาะสม










เชนเดยวกับการสงเกตการสอนเชงคณภาพ (Qualitative Observation) จะตองระบุวัตถุประสงค ์
ี่




ชดเจน วิธีการบันทกและเครื่องมือทเหมาะสม ดงนั้น เครื่องมือสงเกตการสอน นอกจากจะเป็น
ี่

แบบฟอร์มลกษณะตาง ๆ ทมีผสร้างและพัฒนาขึ้น และเผยแพร่ให้ใชแลว ซึ่งอาจจะเปนการจดหรือ


ู้





เขียนบันทกเหตการณ์หรือพฤตกรรมดวยกระดาษ ดนสอ ปากกา (Written record) ใชการบันทกเสยง





(Audio record) หรือดวยการบันทกภาพ (Videotaping) ประกอบการสงเกตและบันทกดวยวิธีการอื่นๆ






ด้วยดังตัวอย่างวิธีการสังเกตบันทกการสอน ดังนี้
1. การบันทึกแบบพรรณนาความ (Descriptive of Narrative Record)
2. การบันทกสนๆ ไม่เป็นความคดหรือการประเมินผลใดๆ (Anecdotal Record

ั้

or Note king)


3. การบันทึกเสียงและการบันทกภาพเหตการณทกอย่างในห้องเรียน (Audio taping


Videotaping)

24









ี่



ี่
4. การจดบันทกคาพูด คาตอคา ประโยคตอประโยค ทก าหนด หรือคาพูดทเลอก
จะบันทึก (Selective Verbatim Recording)
5. การบันทึกแบบบันทึกการปฏิบัติงานของตนเอง (Journal Writing)
6. การบันทึกตามประเด็นค าถามที่ก าหนด (Focused Questionnaire)
7. การบันทึกโดยท าตารางบันทึกความถี่ (Frequency Tabulation)
8. การบันทึกโดยใช้แผนผังที่นั่งเตรียมไว้ (Seating Chart)
9. การบันทึกพฤติกรรมภาพที่ปรากฏโดยใช้แบบตรวจสอบรายการ (Check list)
10. การบันทึกพฤติกรรมที่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale)
11. การบันทึกพฤติกรรมโดยใช้แบบบันทึกที่ระบุพฤติกรรมบ่งชี้ (Performance
Indicator Recording)
อย่างไรก็ตาม การสังเกตการสอนจะบันทึกด้วยเครื่องมือหรือวิธีการใดก็ตาม การน า








เครื่องมือประเภทเครื่องอิเลกทรอนิกสตางๆ เชน เครื่องบันทกเสยง บันทกภาพ และฟิลมตางๆ



ี่
มาใชประกอบ จะชวยให้การบันทกตางๆในห้องเรียนมีความเทยงตรง ครบถ้วนและชดเจนมากขึ้น




ี่
ื่


ี่


เพราะภาพทบันทกจะแสดงการเคลอนไหว และการใชภาษาทสงเกตและบันทกดวยวิธีอื่นๆ

ี่



ทไดบันทกไว้ดวย ซึ่งข้อมูลตางๆ ดงกลาวจะมีประโยชน์ตอการน าไปชวยในการวิเคราะห์ผล





ี่

ี่
การสงเกตการสอนไดละเอียดยิ่งขึ้น ทสาคญการสงเกตการสอนนั้น เป็นการสงเกตทมีจดมุ่งหมาย






ดงนั้น ผทาการสงเกตหรือผนิเทศจะตองรู้ว่าจะสงเกตการสอนครูในเรื่องใด ดานใด หรือพฤตกรรม





ู้

ู้


ู้

อะไร ดังนั้น นอกเหนือจากเทคนิควิธีการ และทกษะในการสงเกตการสอนแลว ผนิเทศหรือผสงเกต
ู้




การสอนจะตองมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องทจะสงเกตการสอนเป็นอย่างด เชน เทคนิควิธีการสอนตางๆ
ี่


ี่
ทกษะการสอน รูปแบบการสอนทมีประสทธิภาพ นวัตกรรมตางๆรวมทงพฤตกรรมการสอนทมี
ั้
ี่





ประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ ของครูด้วย (วัชรา เล่าเรียนด, 2544 : 24)



การวิจยในครั้งนี้ผวิจยไดมีการสงเกตการสอนและบันทกผลการนิเทศ เชน บันทก


ู้



ข้อมูลทพบระหว่างการนิเทศ การถ่ายภาพการจดกิจกรรมของครูผสอน การเรียนรู้และสบข้อมูล
ู้
ี่



ของนักเรียน แล้วน าข้อมูลมาตรวจสอบสรุปผลการนิเทศทั้งในภาพรวม และผลการสงเกตตามตวชวัด
ี้
ื่
ี่
ของการอ่านคดวิเคราะห์ และเขียน คอ 1) การอ่าน และการหาประสบการณจากสอทหลากหลาย



ี่

2) การอ่าน และการจบประเดนสาคญ ข้อเทจจริง ความคดเห็นจากเรื่องทอ่าน 3) การอ่าน และ





การเปรียบเทยบแง่มุมตางๆ 4) การอ่าน และการแสดงความคดเห็นตอเรื่องทอ่าน โดยมีเหตผล


ี่



ประกอบ 5) การอ่าน และการถ่ายทอดความคิดเห็น ความรู้สึก จากเรื่องที่อ่าน โดยการเขียน
2.1.2 การนิเทศแบบโค้ช (Coaching)


ี่

การนิเทศแบบโคช เป็นกระบวนการหนึ่งทมีความสาคญในการชวยเหลอให้


ั้
การจดการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคณภาพ ผทมีบทบาทสาคญ คอ ศกษานิเทศก์ รวมทงเครือข่าย





ี่
ู้




ี่

การนิเทศทเข้ามามีสวนร่วมในการนิเทศการสอน การดาเนินการเพื่อเพิ่มศกยภาพในการจด



การเรียนรู้ให้แก่ครูและผบริหารสถานศกษา ให้สามารถจดการเรียนรู้ไดอย่างมีคณภาพและ
ู้


ได้มาตรฐาน ตลอดจนสามารถเสริมสร้างการพัฒนาระบบการประกันคณภาพภายในของสถานศกษา




ให้เข้มแข็ง การน าเทคนิคการนิเทศแบบโคช (Coaching) มาใชในการนิเทศการสอน จงเป็นวิธีการ
หนึ่งที่จะช่วยในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

25





การนิเทศแบบโคช (Coaching) เป็นวิธีการพัฒนาสมรรถภาพการทางานของครู


ี่
โดยเน้นไปที่การท างานให้ได้ตามเปูาหมายของงาน หรือการชวยให้สามารถน าความรู้ความเข้าใจทมี






ู่
อยู่และหรือไดรับการอบรมมา ไปสการปฏิบัตไดอย่างมีประสทธิภาพ การโคชมีลกษณะเป็นกระบวนการ


ี่
มีเปูาหมายทตองการไปให้ถึง 3 ประการ คอ การแก้ปัญหาในการทางาน การพัฒนาความรู้ ทกษะ




ั้
ี่
หรือความสามารถในการท างาน และการประยุกต์ใช้ทักษะหรือความรู้ในการทางาน ทตงอยู่บนหลกการ
ของการเรียนรู้ร่วมกัน (Co-Construction) โดยยึดหลกว่าไม่มีใครรู้มากกว่าใคร จงตองเรียนไปพร้อมกัน




เพื่อให้คนพบวิธีการแก้ไขปัญหาดวยตนเอง (สานักทดสอบทางการศกษา สานักงานคณะกรรมการ




การศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2553 : 2-7)
(1) การโค้ชเพื่อการรหนังสือและการอ่าน (Literacy Coaching or Reading
ู้
Coaching)



คาว่า Literacy Coaching หมายถึง การโคชเพื่อชวยให้มีความรู้ มีความสามารถ
ในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น การโค้ชเพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน (Reading Coaching) ซึ่งค า 2 ค านี้มีการน าไปใช ้


แพร่หลายในโรงเรียนตาง ๆ ซึ่งในดานการศึกษา Literacy Coaching อาจหมายถง การปฏิบัตงาน




หลายอย่าง เพื่อพัฒนาคณภาพการศึกษาหรือเพื่อการพัฒนาคณภาพการเรียนการสอนในหลายวิชาๆ
เป็นต้น
การโค้ชเพื่อช่วยครูพัฒนาทักษะการอ่านแก่นักเรียน ผู้ท าหน้าทโคชอาจจะทาหน้าท ี่


ี่

สอนครูเกี่ยวกับยุทธวิธีการอ่าน การใช้แผนภูมิ แผนภาพ หรือกิจกรรมการสอนที่ช่วยให้นักเรียนเขาใจ



ในบทอ่านมากขึ้น ถ้าผู้ท าหน้าที่โค้ชเพื่อพัฒนาการรู้หนังสอ อาจะมีความรับผดชอบ โดยการชวยนักเรียน



พัฒนาทักษะการเขียน และทักษะการอ่านในทกวิชา อาจทาหน้าทโดยโคชครูบ่อยครั้งหรือไม่ทาการ

ี่



โคชเลยก็ได โคชเพื่อการพัฒนาการอ่าน (Reading Coaching) อาจทาหน้าทครูปฏิบัตดานการสอน

ี่


ั้
แก่นักเรียนหรือประเมินผลการเรียนของนักเรียน การโคชทง Literacy Coaching และ Reading








ี่
Coaching อาจจะใชสลบกันทาหน้าทโคช แตบทบาทของโคชเพื่อพัฒนาการรู้หนังสอกับโคช

ี่

ั้

เพื่อพัฒนาการอ่านคอนข้างชดเจนทงตวครู บทบาทและหน้าท เชน ในยุคศตวรรษท 21 Literacy

ี่



ี่

ั้

Coaching คอ โคชทมาหน้าทชวยพัฒนาความรู้จะตองมีทงความรู้ ความสามารถดานการอ่าน และ
ี่

การอ่านออกเขียนได้ด้วยวิธีต่างๆ เป็นต้น (วัชรา เล่าเรียนด, 2556 : 111-112)

นอกจากนี้ การโค้ชเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านออกเขียนได (Literacy

Coaching) หรือการรู้หนังสือด าเนินการ ดังนี้
1. การแลกเปลยนข้อมูล (Sharing Information) ระหว่างโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ
ี่
ี่


ู้


2. การเตรียมความพร้อม สาหรับการโคช คอ ผทาหน้าทโคช ครูผรับการโคช


ู้

ี่
จดประสงคสาคญจากการโคช ก็คอ ผลการเรียนรู้ดานการอ่านของนักเรียนทมาจากการสอนทมี

ี่





ี่
ี่
ประสทธิภาพ (Expert Teaching) ของครูทไดรับการโคช การโคชจงมีจดประสงคเพื่อพัฒนา ความเชยวชาญ







ด้านการสอน โดยมีแนวคิดเชิงระบบง่ายๆ ดังนี้

Literacy Coaching Expert Teaching Student Achievement

ี่
3. การเลอกโคชทเหมาะสม โคชตองมีความรู้ความสามารถสง โดยเฉพาะ





ี่


ถ้าจะต้องพัฒนาทกษะดานใดดานหนึ่ง วิธีใดวิธีหนึ่งโดยเฉพาะ เชน โคชทจะทาการโคช เพื่อพัฒนา






26




ี่
ู้

ี่

สมรรถนะการสอนอ่านให้เป็นผเชยวชาญการอ่านให้แก่ครูจะตองมีความเชยวชาญดานการอ่านจริง
และเป็นที่ยอมรับ


ู้

4. พัฒนาความรู้สกเป็นเจาของ การพัฒนาในวิชาชพระหว่างผร่วมโครงการ

ถ้าผู้มีส่วนร่วมมีความเต็มใจ ตั้งใจ กระตือรือร้น ในการเริ่มตนในการพัฒนาอย่างจริงจง เปนการเริ่มตน



บนรากฐานที่ดีในการพัฒนาต่อไป
5. ก าหนดความรับผดชอบและความสมพันธ์ตอกันทชดเจน เพราะเมื่อใด


ี่


ที่ผู้บริหาร ครู และโค้ชท างานร่วมกัน ผลการเรียนของนักเรียนต้องมีการพัฒนาขึ้น
6. โค้ชต้องติดต่อปฏิสัมพันธ์กับโรงเรียนตลอดเวลา การพบปะพูดคยกันระหว่าง

ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทุกสัปดาห์ หรือ สองสัปดาห์ต่อครั้งอย่างต่อเนื่อง
7. โค้ชต้องรู้ว่าแหล่งความรู้มีอะไรบ้าง และเข้าถึงได้อย่างไร เช่น เว็บไซต์ต่างๆ
ศูนย์สื่อต่าง ๆ ที่โรงเรียนจะเข้าถึงได ้
8. การพูดจาภาษาเดียวกัน ผู้มีส่วนร่วมทุกคนต้องพูดอธิบายในเรื่องเดียวกันได้เข้าใจ




9. การประเมินความก้าวหน้า (Assess Progress) การตดตามดแลชวยเหลอ

ความก้าวหน้าของครูในการใช้หลักสตรการสงเสริมการอ่าน หรือยุทธวิธีสอนจะตองมีการเก็บบันทก



ข้อมูล ครูผู้สอนและโค้ช ก็ต้องได้รับการฝึกอบรม และมีการประเมินผลความก้าวหน้า
10. มีการวางแผนเพื่อพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
(2) การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ (Student Centered Coaching)
1. แนวคิด
การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ (Student Centered Coaching) เป็นอีกแนวคด




หนึ่งในการพัฒนาการจดการเรียนการสอนของครู เพื่อให้ความสาคญกับนักเรียนและยึดนักเรียน
เป็นสาคญก่อนเป็นอันดบแรก ถึงแม้ว่าเปูาหมายหลกสาคญของการนิเทศในปัจจบันหรือการโคช










ี่
ทกรูปแบบจะเน้นพัฒนาการของการเรียนรู้ของนักเรียนก็ตาม การโคชทเน้นนักเรียนเป็นสาคญ






เป็นแนวคิดและงานของ Diane Sweeney (2011 อ้างถึงใน วัชรา เลาเรียนด, 2556 : 323) จดเดน
ี่





ี่

และลกษณะสาคญของการโคชทเน้นนักเรียนเป็นสาคญ คอ เป็นการดาเนินการโคชทโรงเรียน



ี่
โดยความร่วมมือของโค้ชผู้บริหาร และครู เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นส าคัญ เป็นโคชทมี


วัตถุประสงค คอ ผลการเรียนรู้ของนักเรียนมากกว่าการมุ่งปรับปรุงการปฏิบัตการสอนของครู


การโคช แนวทางการโคช มุ่งสพัฒนาการของผลการเรียนรู้ของนักเรียนทเกิดขึ้น ซึ่งตองวัดได และ


ี่


ู่
ประเมินได้ชัดเจน
2. สาระส าคัญของการโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ

ี่

2.1 การโคชทเน้นนักเรียนเป็นสาคญ ก าหนดเปูาหมายเฉพาะ คอ พัฒนา


นักเรียน เป็นการร่วมมือกันของโคช ผู้บริหาร และครูผู้สอน

2.2 ผบริหารมีบทบาทสาคญยิ่งในการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียน
ู้


ในโรงเรียน ซึ่งต้องมีส่วนร่วมอย่างจริงจงในการโค้ชและการพัฒนาคุณภาพของนักเรียน

ี่
2.3 เป็นการวัดและประเมินผลกระทบโดยตรงทเกิดขึ้นกับนักเรียน
อันเนื่องมาจากการโค้ช

27






2.4 การพัฒนาวิชาชพด้วยการโคชภายในโรงเรียนมีหลายรูปแบบ หลายวิธีการ



ปฏิบัติใช้กันแพร่หลายต่อเนื่อง และประสบผลสาเร็จ แตการโคชทเน้นนักเรียนเปนสาคญจะชวยยืนยัน



ี่




ไดว่าการโคชเป็นการพัฒนาวิชาชพอย่างตอเนื่องของครูและบุคลากรในโรงเรียน สงผลถึงพัฒนาการ


ของผลการเรียนรู้ของนักเรียนจริง




2.5 การโคชทเน้นนักเรียนเป็นสาคญ มีลกษณะและการปฏิบัตทชดเจน
ี่


ี่


ู้
ของการโคชในโรงเรียน โดยบุคลากรในโรงเรียน เนื่องจากผบริหารตองให้ความสาคญและให้ความ


ร่วมมือ เพื่อการพัฒนาคุณภาพของนักเรียน โดยตรง
3. บทบาทของผู้บริหารในการโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ


ี่

3.1 ทาความเข้าใจหลกการ แนวคด แนวปฏิบัต ของการโคชทเน้นนักเรียน



เป็นส าคญ พร้อมกับโคชหรือผทาหน้าทโคช เพราะผบริหารเป็นบุคคลทจะสร้างความร่วมมือให้เกิด
ู้

ี่
ู้

ี่

ขึ้นกับคณะครูในโรงเรียน ไม่ใช่โค้ช

3.2 ผบริหารตองสร้างวัฒนธรรมของการเรียนรู้ร่วมกันให้เกิดขึ้นในโรงเรียน
ู้


ี่

บุคลากรทกคนในโรงเรียนหรือครูทกคน และผบริหาร เป็นนักเรียนทตองเรียนรู้ตลอดเวลา เพื่อ
ู้
ตอบสนองต่อความต้องการของนักเรียน





ู้
3.3 ผบริหารต้องมีสวนร่วมในการโคชทกขั้นตอนของการโคช คาถาม และ

ู้


การอภิปรายร่วมกันระหว่างผบริหาร โคช และครู คอ เราตองการให้นักเรียนของเราเรียนรู้และพัฒนา

เรื่องใด เราจะรู้ไดอย่างไรว่านักเรียนของเราเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตามเปาหมาย เราจะชวยนักเรียน


ี่



ทมีปัญหาในการเรียนดวยวิธีใหม่ ๆ อย่างไร การเปลยนแปลงกระบวนทศน์และจดเน้น การโคชจาก
ี่

การปรับปรุงพัฒนาครูให้ไดตามมาตรฐานการจดการเรียนรู้ ให้เป็นการปรับปรุงพัฒนานักเรียน



เป็นส าคัญเป็นเรื่องใหม่ โค้ชท าหน้าที่โค้ชโดยล าพังไม่ได โรงเรียนตองมีผน าเคยงข้างร่วมมือตลอดเวลา

ู้

จึงจะท าให้การพัฒนาผลการเรียนของนักเรียนเพื่อนักเรียนโดยโรงเรียนประสบผลส าเร็จ
4. ขั้นตอนการโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ


4.1 ร่วมกันระบุจดประสงคการเรียนรู้ หรือวิเคราะห์ข้อมูลการเรียนรู้ของ
นักเรียนที่สัมพันธ์กับมาตรฐานการเรียนรู้


4.2 วัดและประเมินผลนักเรียนก่อนเรียน โดยเปรียบเทยบกับจดประสงค์
การเรียนรู้
4.3 จัดการเรียนการสอนที่ตอบสนองต้องความต้องการของนักเรียน



4.4 วัดและประเมินผลหลงเรียน เพื่อตรวจสอบตดสนว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้
ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ก าหนดหรือไม่

ู้
การนิเทศแบบโคช ซึ่งเป็นการนิเทศทผวิจยไดน ามาใชในการพัฒนารูปแบบ



ี่
การนิเทศการจัดกิจกรรมและประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน เนื่องจากว่าการนิเทศแบบโคช

ู้
ู้
ี่




ู้
ผททาการนิเทศและผรับการนิเทศไดมีโอกาสใกลชดกันมากกว่าการนิเทศในรูปแบบอื่นๆ ผรับ




ู้

ี่
การนิเทศไดมีโอกาสพูดแสดงความคดเห็นอย่างเตมท สวนใหญ่ผนิเทศจะเป็นฝายรับฟังมากกว่าพูด


มีการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น ซักถามพูดคยในประเดนทนิเทศ นอกจากนี้ในเรื่องของการอ่าน
ี่


คดวิเคราะห์ และเขียน เพื่อพัฒนาความสามารถการจดกิจกรรมและประเมินของครูผสอน สงเสริม

ู้

28







ความสามารถทางดานภาษา (literacy) ความสามารถทางดานเหตผล (Reasoning Abilities)
ี่
โดยเน้นนักเรียนเป็นส าคัญ การนิเทศที่เหมาะสมทสุด คือ การนิเทศแบบโค้ช
2.1.3 ทฤษฎีเกี่ยวกับการนิเทศการสอน

ู้
ู้
การนิเทศการสอน เป็นกระบวนการปฏิบัตงานร่วมกันระหว่างผนิเทศกับผรับ

การนิเทศเพื่อทจะพัฒนาปรับปรุงคณภาพการจดการศกษา และจดการเรียนการสอนของครูเพื่อให้
ี่




ได้มาซึ่งประสิทธิผลในการเรียนของนักเรียน กลาวโดยสรุปไดว่า ในการนิเทศการสอนมีความจาเป็น




อย่างมากทจะตองน าทฤษฎีเกี่ยวกับการนิเทศการสอนมาเป็นฐานคดในการพัฒนาระบบของ
ี่
ี่


ั้
ั้
การนิเทศการสอน ทงนี้ เนื่องจากการนิเทศการสอนเป็นพฤตกรรมทเป็นทงศาสตร์และศลป์และ


มีความเกี่ยวข้องกับพฤตกรรมของมนุษย์โดยตรง ดงนั้น จงมีความจาเป็นทตองศกษาทฤษฎีตางๆ
ี่





ที่เกี่ยวข้องกับการนิเทศการสอน เพื่อที่จะน ามาพิจารณาถึงความสอดคล้องเหมาะสมในการพัฒนาครู

ให้ตรงกับสภาพและความตองการในการพัฒนาเทคนิคการนิเทศการสอน จากการศกษาแนวคด


ทฤษฎีทเกี่ยวข้องกับการนิเทศการสอนของนักคด นักการศกษา และนักจตวิทยา สามารถสรุป
ี่



สาระส าคัญของทฤษฎีต่าง ๆ ดังนี้
(1) ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง
การนิเทศการสอนมีเปูาหมาย เพื่อการเปลยนแปลงพฤตกรรมโดยการชวยเหลอ


ี่

ี่


สนับสนุน สงเสริมให้เกิดการเปลยนแปลงพฤตกรรมและการปฏิบัตงานของครู และบุคลากร



ี่

ทเกี่ยวข้อง ให้สงผลถึงคณภาพของนักเรียนและคณภาพของการศกษาเป็นสาคญ ดงนั้นใน




ี่
การพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอนในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีการเปลยนแปลง
ของนักคด นักการศกษา และนักจตวิทยา เพื่อเป็นพื้นฐานทจะน าไปประกอบกับเทคนิคและทกษะ


ี่



ในการนิเทศ อาทเชน Bennis, Warren G., Benne and Chin R. (1969 : 34-35), วัชรา เลาเรียนด ี


(2550 : 33-34) ไดเสนอยุทธวิธีทวไปของการเปลยนแปลงไว้ 3 ยุทธวิธี คอ 1) ยุทธวิธีการใชหลก
ี่


ั่


ื่




เหตผลและข้อมูลเชงประจกษ์ โดยมีความเชอว่า มนุษย์สามารถจะทาตามความสนใจของตนเอง
ให้ปรากฏชัดเจนได้การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้น จากที่ตัวบุคคล กลุ่มบุคคลรู้ดว่าตนเองมีความประสงค ์

และเห็นว่ามีผลดีตามความสนใจของตนเอง 2) ยุทธวิธีการให้การศกษาใหม่หรือให้ความรู้ใหม่ โดยมี

ื่
ความเชอว่า มนุษย์มีแรงจงใจทแตกตางกัน ยึดความเป็นเหตผล และความฉลาดของมนุษย์ โดยท ี่

ี่




แบบแผนการปฏิบัตใดๆจะไดรับการสนับสนุนหรือเป็นผลมาจากบรรทดฐานทางสงคมทบุคคลนั้น


ี่




ยอมรับและยึดเปนแนวปฏบัต และ 3) ยุทธวิธีในการใชอ านาจและการควบคม กลาวคอ เปนการใช ้





ี่




ี่
อิทธิพลของตาแหน่งหน้าทและใชข้อมูลทไม่สามารถคดคานหรือปฏเสธได นอกจากนี้กระบวนการ

ี่
เปลี่ยนแปลงยังประกอบดวย 3 ขั้น คอ 1) ขั้นละลายความเคยชน 2) ขั้นการเปลยนแปลง 3) ขั้นทาให้อยู่








ี่

อย่างมั่นคง นอกจากนี้ปัจจยทสงผลกระทบตอการเปลยนแปลงมาจาก 2 สาเหต คอ สาเหตจากภายนอก

ี่
ี่

ี่


ี่
และสาเหตจากภายใน ซึ่งการเปลยนแปลงทมาจากภายนอกอาเปนเหตการณทเกิดขึ้นอย่างชาๆ สะสม


จนท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ี่

จากลกษณะทสาคญของทฤษฎี สรุปไดว่า ทฤษฎีการเปลยนแปลงมีลกษณะของ




ี่



ี่
การผสมผสานกัน ดงนั้นการเลอกใชทฤษฎี หลกการในการเปลยนแปลงสาหรับการนิเทศ จาเป็น



จะตองรู้และเข้าใจเกี่ยวกับการเปลยนแปลงในทกองคประกอบ ทงนี้ เพื่อปฏิบัตหน้าทในการนิเทศ
ี่
ั้



ี่

ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด

29




(2) ทฤษฎีแรงจูงใจ




ทฤษฎีแรงจงใจทไดรับการยอมรับและกลาวขวัญกันคอ ทฤษฎีแรงจงใจของ Maslow
ี่







ี่
และทฤษฎีแรงจงใจของ Herzberg, F. โดยท Maslow ไดจาแนก ความตองการของมนุษย์เรียงลาดบ
จากความต้องการพื้นฐานจนถึงความตองการสดยอด 5 ประการ คือ


1. ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological Needs)
2. ความต้องการความปลอดภัย หรือสวัสดิภาพ (Safety Needs)

3. ความตองการความรักและการเปนสวนหนึ่งของหมู่คณะ (Belongingness and


love Needs)
4. ความต้องการได้รับความนับถือจากผู้อื่น (Esteem Needs)
ี่
5. ความตองการความเป็นตวตนเองอันแทจริงของตนเอง และตองการทจะพัฒนา









ตนเองอย่างเตมศกยภาพ (Self-actualization Needs) เป็นความตองการขั้นสดทาย ซึ่งเป็น




ความตองการขั้นสงสดของมนุษย์ ความตองการของมนุษย์ทง 5 ประเภทนี้อาจจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน
ั้

ในบางประเภท เช่น ความต้องการทางสังคม และความสาเร็จในตวเอง หรือความตองการทางกาย และ


ความต้องการทางสังคม



ในทานองเดยวกัน Herzberg at el. (1959 อ้างถึงใน วัชรา เลาเรียนด, 2550 : 68)


ไดเสนอทฤษฎีแรงจงใจสององคประกอบ คอ องคประกอบดานแรงจงใจ (Motivation Factors) ไดแก่







โอกาสและความเป็นไปใน การเจริญก้าวหน้า การไดเลอนระดบหรือความก้าวหน้าในหน้าทการงาน


ื่
ี่




การไดรับการยกย่อง ยอมรับ การไดรับมอบหมายให้รับผดชอบ และผลสาเร็จหรือการประสบผลสาเร็จ




ส่วนองค์ประกอบด้านสุขภาพศาสตร์ (Hygiene Factors) ประกอบดวย เงินเดอนคาจาง สภาพการทางาน


ความปลอดภัยหรือสวัสดิการในการท างาน ชีวิตส่วนตัว นโยบายของโรงเรียนและการบริหาร การนิเทศและ
เทคนิควิธีการนิเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในหน่วยงาน และฐานะหรือสถานภาพของบุคคล


สวน Mc Gregor, Douglas (1960 อ้างถึงใน วัชรา เลาเรียนด, 2550 : 68) ไดเสนอ








ั่
ข้อสมมตเกี่ยวกับมนุษย์ใน 2 ลกษณะ คอ ทฤษฎี X กลาวว่า มนุษย์ทวไปมีนิสยประจาตวก็คอ ไม่อยาก




ี้

ี่

ี่



ทางานและพยายามทจะหลกเลยงงานเทาทจะทาได ตองมีการบังคบควบคมชแนะ และขู่เข็ญ
ี่

ด้วยการลงโทษ รวมทั้งไม่ชอบที่จะถูกชี้แนะ ปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ มีความทะเยอทะยาน



น้อย มีความต้องการความปลอดภัยมากที่สุด และทฤษฎี Y กลาวคอ การใชความพยายามทางดานร่างกาย

และจิตใจในการท างานเป็นเรื่องธรรมชาติ การควบคุมภายนอกและการทาให้หวาดกลวโดยการลงโทษไม่ใช ่








เป็นวิธีการทาให้บรรลวัตถุประสงคขององคกรการมีข้อผกมัดกับจดประสงคในการทางานเป็นวิธีการให้


รางวัลชนิดหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับความสาเร็จ มนุษย์สามารถเรียนรู้ไดภายใตภาวการณทเหมาะสม
ี่






ความสามารถในการใช้จิตนาการ ความจริงใจ ความคดสร้างสรรค เพื่อแก้ไขปัญหาภายในองคกรจะเป็นไป

อย่างกว้างขวาง ไม่ใช่ภายในขอบเขตจ ากัด


จากการศกษาทฤษฎีแรงจงใจ สรุปไดว่า ในการนิเทศงานจาเป็นตองคานึงถึง





ู้
ธรรมชาติของมนุษย์ที่แท้จริง และความต้องการของผรับการนิเทศ หรือครูตามความตองการพื้นฐาน
ในขั้นความตองการทจะรู้สกว่าตวเองมีคา และความตองการทรู้จกตนเองอย่างแทจริงและ




ี่

ี่








ความตองการทจะพัฒนาตนเองอย่างเตมศกยภาพ ซึ่งตองอาศยทฤษฎีแรงจงใจตางๆ มาประกอบกับ

ี่
การปฏิบัติงานนิเทศด้วย โดยมุ่งเน้นทั้งด้านงานและจิตใจ รวมทั้งการสร้างบรรยากาศในการปฏิบัติงานด้วย

30




(3) ทฤษฎีการสื่อสาร


ื่


การตดตอสอสารมีความจาเป็นและสาคญตอการนิเทศการสอน เพราะการนิเทศ



ี่


ื่

การสอนเป็นการปฏิบัตงานเพื่อชวยครูในการสอนทตองอาศยการตดตอสอสารซึ่งกันและกัน






การติดต่อสื่อสารเกิดขึ้นในทกองคกรอย่างหลกเลยงไม่ได เนื่องจากกระบวนการพูด มีองคประกอบ
ี่





ู้

ู้

ู้

ี่

ู้
ี่
ทสาคญ คอ 1) ผพูด 2) คาพูด 3) ผฟัง คอ ผพูด คาพูด ผฟัง มีจดเน้นทการกระทาของ
ี่
ี่
ู้
ู้
ผสงและผรับซึ่งทาหน้าทอย่างเดยวกันและเปลยนบทบาทกันไปมาในการเข้ารหัสสาร การแปล



ความหมาย และการถอดรหัสสาร

ื่

นอกจากนั้น วัชรา เลาเรียนด (2550 : 165) กลาวว่าการสอสาร เป็นการสอ
ื่

ความหมายระหว่างกัน ในการนิเทศการสอนจึงเป็นเรื่องส าคัญ เพราะผู้นิเทศนั้นจะต้องท างานร่วมกับ
ั้

ครู ตองพูดคยปรึกษาหารือกัน ทงเป็นแบบทางการและไม่เป็นทางการอยู่ตลอดเวลา มีจดเน้น


ู้

ี่

ู้
ี่

ี่
ทกระทาของผสงและผรับซึ่งทาหน้าทอย่างเดยวกัน และเปลยนบทบาทกันไปมาในการเข้ารหัส

ื่


การแปลความหมาย และการถอดรหัส ซึ่งในการสอสารนั้นจะตองตอบคาถามตอไปนี้ให้ได คอ ใคร





พูดอะไร โดยวิธีการและชองทางใด ไปยังใคร ดวยผลอะไร จากคาถามดงกลาว สรุปว่าการพัฒนา



ทฤษฎีการสื่อสารโดยมีประเด็นที่พิจารณาว่าผู้ส่งจะส่งสารอย่างไร และผู้รับจะแปลความหมาย และมี
ู้
การโตตอบสารนั้นอย่างไร เรียกว่าทฤษฎี S M C R ประกอบดวย ผสง (Source) ข้อมูลข่าวสาร



(Message) ชองทางในการสง (Channel) ผรับ (Receiver) อันเป็นองคประกอบสาคญของการ
ู้





สื่อสาร
ื่
จากการศกษาทฤษฎีการสอสาร สรุปไดว่า ในการนิเทศการสอนในโรงเรียนนั้น




บรรยากาศโรงเรียนแบบเปิด วัฒนธรรมโรงเรียนทเอื้อตอการเรียนรู้ การปฏิบัตงานร่วมกัน
ี่

ื่

การยอมรับซึ่งกันและกัน มีความส าคัญต่อการนิเทศให้บรรลุผลสาเร็จ รวมทงการตดตอสอสารตอกัน


ั้
ที่มีประสิทธิผล ย่อมสร้างความเข้าใจตรงกันที่ส าคัญที่สุด คือ การสื่อสารที่ดีต่อกัน
(4) ทฤษฎีมนุษย์สัมพันธ์





นักคดนักการศกษา และนักจตวิทยาไดกลาวถึง ทฤษฎีมนุษย์สมพันธ์ของ Elton




Mayo (อ้างถึงใน Sergiovanni and Stratt 1988 : 8-10) ไดศกษาถึงพฤตกรรมของมนุษย์


ในการทางานทไม่ไดขึ้นอยู่กับปัจจยทางดานเศรษฐกิจหรือการจงใจทางดานการเงินเทานั้น




ี่

แต่ยังขึ้นอยู่กับความต้องการทางด้านจิตใจ หรือเรื่องราวทางด้านสังคมที่ไม่ได้เกี่ยวกับการเงินโดยตรง


ดวยและยังศกษาถึง “Hawthorne Studies” ในประเดนปัจจยดานปทศถานทางสงคม พฤตกรรม






ของคนถูกก าหนดตามสัมพันธภาพในกลุ่ม และผู้น าอย่างไม่เป็นทางการ
สวน Maslow (1954 อ้างถึงใน Glickman, Gordon and Ross-Gordon 1995 :


ี่

156) มีแนวคดทมุ่นเน้นกระบวนการในการจงใจ (Process Theory of Motivation)

ี่




เพื่อหาค าตอบว่าจะมีวิธีการจงใจอย่างไรทจะทาให้คนมีพฤตกรรมตามทเราตองการได ซึ่งน ามาเป็น
ี่






หลกทางดานมนุษย์สมพันธ์ ตามทฤษฎีลาดบความตองการของ Maslow’s Hierarchy of Needs


ิ่


Theory บนสมมตฐาน 3 ข้อ คอ 1) บุคคลคอสงมีชวิตทมีความตองการ 2) ความตองการ


ี่

ี่
ถูกเรียงลาดบตามความสาคญจากความตองการพื้นฐานไปจนถึงความตองการทซับซ้อน









และ3) บุคคลจะก้าวสความตองการในระดบตอไปเมื่อความตองการระดบตาลงมาไดรับ


ู่

การตอบสนองแล้ว

31




(5) ทฤษฎีภาวะผู้น า
ู้
ู้

ในการนิเทศการสอน ผนิเทศจะตองใชภาวะผน าในการนิเทศอย่างเหมาะสม




เพื่อให้การนิเทศประสบผลสาเร็จและบรรลตรงตามเปูาหมาย ดงนั้น ผนิเทศจะตองรู้และเข้าใจ

ู้
เกี่ยวกับภาวะผน า ประเภทผน า และการใชภาวะผน าในการสงเสริมเปลยนแปลงพฤตกรรม
ู้

ู้
ี่


ู้
ี่

การปฏิบัติงานของครู ให้ส่งผลถึงคุณภาพของนักเรียนมากทสด เกี่ยวกับเรื่องนี้ Mc Gregor, Douglas
ู้





(1960 อ้างถึงใน วัชรา เลาเรียนด, 2550 : 58) ไดกลาวถึงลกษณะของผน า ตามแนวทฤษฎี X และ



ั่
ทฤษฎี Y และได้เสนอข้อสมมตฐานเกี่ยวกับมนุษย์ใน 2 ลกษณะ คอ ทฤษฎี X กลาวว่า มนุษย์ทวไป



ี่



มีนิสัยประจ าตัวก็ คอ ไม่อยากทางานและพยายามทจะหลกเลยงงานเทาทจะทาได ตองมีการบังคบ


ี่

ี่
ี่
ี่
ั้
ี้

ควบคมชแนะ และขู่เข็ญดวยการลงโทษ รวมทงไม่ชอบทจะถูกชแนะ ปรารถนาทจะหลกเลยง

ี่

ี้
ความรับผดชอบ มีความทะเยอทะยานน้อย มีความตองการความปลอดภัยมากทสด และทฤษฎี Y

ี่






กลาวคอ การใชความพยายามทางดานร่างกายและจตใจในการทางานเปนเรื่องธรรมชาต การควบคม








ภายนอกและการทาให้หวาดกลวโดยการลงโทษไม่ใชเป็นวิธีการท าให้บรรลวัตถุประสงคขององคกร





การมีข้อผกมัดกับจดประสงคในการทางานเป็นวิธีการให้รางวัลชนิดหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ





ความสาเร็จ มนุษย์สามารถเรียนรู้ไดภายใตภาวการณทเหมาะสม ความสามารถในการใชจนตนาการ
ี่









ความจริงใจ ความคดสร้างสรรค เพื่อแก้ไขปญหาภายในองคกรจะเปนไปอย่างกว้างขวาง ไม่ใชภายใน
ขอบเขตจ ากัด


นอกจากนั้น Hersey P. and Blanchard K. (1977 อ้างถึงใน วัชรา เลาเรียนด,
2550 : 65) ไดเสนอรูปแบบภาวะผน า 4 แบบ ซึ่งเน้นพฤตกรรมการทางาน (Task Behavior) กับ


ู้


พฤตกรรมความสมพันธ์ระหว่างบุคคล (Relationship Behavior) คอ 1) ให้ความสาคญกับงานสง







และให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่ า จัดเป็นการใช้ภาวะผู้น าแบบเผด็จการ 2) ให้ความสาคญกับงาน






และให้ความสมพันธ์ระหว่างบุคคลสง จดเป็นการใชภาวะผน าแบบประชาธิปไตย 3) ให้ความสาคญ
ู้





กับความสมพันธ์ระหว่างบุคคลสง และความสาคญกับงานตา และ4) ให้ความสาคญกับงานและให้


ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่ า จัดเป็นการใช้ภาวะผู้น าแบบปล่อยปละละเลย

ี่
จะเห็นไดว่าทฤษฎีทเกี่ยวข้องกับความสาเร็จของการนิเทศ ย่อมขึ้นอยู่กับ

ุ้
ู้
ิ่


ความสามารถ และรูปแบบของความเป็นผน า โดยการรู้จกในสงจงใจเป็นเครื่องกระตน
ี่
ในการปฏิบัตงาน การให้ความร่วมมือ ดงนั้น ภาวะผน า จงเป็นเทคนิคหนึ่งทจาเป็นของผน าและ



ู้

ู้
ผู้นิเทศจะต้องเลือกใช้ทั้งรูปแบบภาวะผู้น าให้เหมาะสมกับคนและกลุ่มคน
(6) ทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ ่
ู้
พัฒนาการของผใหญ่ในดานการเรียนรู้และความเจริญก้าวหน้านั้น เป็นไป

ตามลาดบขั้นตอน โดยเฉพาะการเปลยนแปลงการเรียนรู้ของผใหญ่จาเป็นตองคานึงถึงการ


ี่

ู้


ู้

เปลี่ยนแปลงลักษณะของความรู้ ความสามารถ ความสมพันธ์ของผใหญ่กับสภาพแวดลอมดวย และ



ผู้ใหญ่แต่ละคนจะมีระดับความคดรวบยอดทแตกตางกันตามลาดบ เกี่ยวกับเรื่องนี้ วัชรา เลาเรียนดี


ี่



ู้


(2550 : 38) ไดให้แนวคดในการพัฒนาความคดรวบยอดของผใหญ่ ดงนี้ คอ 1) ความคดรวบยอด




ิ่
ี่


ี่



ระดบตาเป็นบุคคลทมีความสามารถในการคดทเป็นรูปธรรม เชน สามารถประเมินสงตางๆ ดวย




เกณฑ์ธรรมดาง่ายๆ ไม่สามารถนิยามปัญหาได้ จาเป็นตองแสดงวิธีทาให้ดหรือแสดงวิธีการแก้ปัญหา


ี่


ให้ดเป็นตวอย่าง 2) ความคดรวบยอดระดบปานกลาง เป็นบุคคลทมีความสามารถในการคด


32






เชิงนามธรรมได้มากขึ้น ได้แก่ อธิบายหรือนิยามปัญหาได้ และคิดวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมไดในจานวน

ที่จ ากัด แต่ยังไม่มีการวางแผนแก้ปัญหาที่ชัดเจน 3) ความคิดรวบยอดระดบสง เป็นบุคคลทมีลกษณะ
ี่





เป็นนักคดทละเอียดลออ สามารถคดเชงนามธรรมระดบสง เป็นตวของตวเอง เชอมั่นในตวเอง

ี่
ื่




มีความรู้ มีความยืดหยุ่น และมีความสามารถในการบูรณาการเรื่องต่างๆ เข้าด้วยกันได ้




ู้
ี่
กลาวโดยสรุป ผใหญ่ทมีความคดรวบยอดระดบสงจะมีลกษณะการเรียนรู้

ที่แตกต่างกันจากผู้ใหญ่ที่มีความคิดรวบยอดระดับต่ า โดยเฉพาะในประเด็นกระบวนการจัดการเรียนรู้

ู้
ี่

และเทคนิควิธีการทใชในการจดการเรียนรู้ นอกจากนั้นการเรียนรู้ของผใหญ่ ยังมีความสมพันธ์

เกี่ยวโยงกับการนิเทศและผู้นิเทศโดยตรง ดงนั้นหากผนิเทศทมีความรู้เกี่ยวกับผใหญ่ พัฒนาการของ
ู้
ู้
ี่

ู้
ู้

ผใหญ่และแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ของผใหญ่ ก็จะชวยให้การนิเทศการสอนของครู

เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนการสอนให้มีคณภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคลองกับการนิเทศแบบ

ี่


พัฒนาการของ Glickman at el. (2004 อ้างในวัชรา เลาเรียนด, 2550 : 36-37) ทให้ความสาคญ


กับครู และการเลือกใช้วิธีการนิเทศที่เหมาะสมกับครูแต่ละแบบ
ู้
ู้
ในการนิเทศการสอนความรู้เกี่ยวกับผใหญ่และแนวทางการพัฒนาผใหญ่



ู้


หากผนิเทศมีความรู้ เกี่ยวกับผทจะทาการชวยเหลอแนะน าหรือร่วมปฏิบัตงานดวย ก็จะชวยทาให้

ี่

ู้

การด าเนินการนิเทศเป็นไปได้ง่าย และมีแนวโน้มจะประสบผลสาเร็จมากกว่าการไม่มีความรู้เกี่ยวกับ
ผู้ใหญ่หรือครูเลย นอกจากนั้นยังเป็นการส่งเสริมให้ครูมีความก้าวหน้า มีการพัฒนาการ และสงผลถึง



ผลการเรียนรู้ของนักเรียน ซึ่งวัชรา เลาเรียนด (2550 : 37, 141-142), Glickman at el. (1995 :


80-81), ชดชงค ส.นันทนาเนตร (2549 : 94-96), Wiles, Jon and Joseph B. (2004 : 152 – 153),
Knowles, M.S., Holtion and Swanson (1998 : 64-68) ไดสรุปหลกการสงเสริมและพัฒนาการ



เรียนรู้ของผู้ใหญ่ ดังนี้



1) ตองคานึงถึงความตองการทจะรู้หรือความตองการเรียนรู้ของผใหญ่แตละ
ู้
ี่


บุคคลเป็นหลัก

ั่

ี่
2) การเรียนรู้ของผใหญ่ อาศยความรู้เดมและประสบการณทไดสงสมมาเป็น

ู้

พื้นฐานในการเรียนรู้
3) สภาพแวดล้อมและความพร้อมในการเรียนรู้ ผู้ใหญ่ตองการความสะดวกสบาย

เหมาะสม ตลอดจนได้รับความไว้วางใจและการให้เกียรติผู้เรียน

4) ความคดรวบยอดเกี่ยวกับตนเอง ผใหญ่มองตนเองว่าเป็นบุคคลทมี
ู้
ี่
ความรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง
ู้
5) เปูาหมายการเรียนรู้ของผใหญ่ ผใหญ่จะมีแนวโน้มจะมุ่งเปูาหมายการเรียนรู้
ู้
ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเพื่อการแก้ปัญหา
6) การเรียนรู้ของผู้ใหญ่เกิดจากแรงจูงใจภายในมากกว่าแรงจูงใจภายนอก

ู้

ู้
จากหลักการส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ของผใหญ่ สรุปไดว่า ผใหญ่มีลาดบของ

การเรียนรู้จากรูปธรรมไปสนามธรรม ดงนั้นในการนิเทศการสอนจงตองอาศยความรู้ ความเข้าใจ



ู่

ู่
ู้
ู้
ในเรื่องการเรียนรู้ของผใหญ่และการพัฒนาการของผใหญ่ควบคไปกับการให้ความรู้ทเกี่ยวกับ
ี่
การนิเทศ

33




2.1.4 แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบ
ผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบ และการพัฒนารูปแบบ ดังนี้
(1) ความหมายของรูปแบบ


ี่




คาศพทในภาษาอังกฤษทใชเรียกรูปแบบมี 2 คา คอ Model และ Paradigm

ซึ่งสงัด อุทรานันท (2530 : 11) ไดอธิบายว่า ทง 2 คานี้ น าไปใชแตกตางกัน โดยคาว่า Model
ั้






ใชกับทฤษฎีหรือสงทเกิดขึ้นครั้งแรก แตหากเป็นการน าไปประยุกตใช หรือดดแปลงจากของเดม

ิ่

ี่



เรียกว่า Paradigm แต่ในปัจจุบันนิยมใช้ค าว่า Model ทั้งในกรณีทฤษฎีหรือสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรก และ
ในกรณีการน าไปประยุกต์ใช้ ค าว่ารูปแบบหรือ Model ตามพจนานุกรมของ Webster (1970 : 913)




ี่

ไดให้ความหมายแบ่งออกเป็น 4 ประการดวยกัน ไดแก่ 1) แบบจาลองทลอกเลยนแบบย่อสวนจาก


ิ่
ึ้
ี่
วัตถุของจริง ตัวต้นแบบ รูปแบบแรกเริ่ม แบบสมมุต หุ่นจาลอง หุ่นขี้ผง 2) บุคคลหรือสงของทไดรับ


ี่
การยกย่องให้เป็นมาตรฐานของความยอดเยี่ยม 3) วิถีทางหรือแบบแผน 4) บุคคลทเป็นแบบให้แก่


ศลปิน ชางภาพ หรือนางแบบแสดงเครื่องแตงกาย คานี้ในภาษาไทยมีคาอื่น ๆ ทใชเรียก




ี่






ในความหมายเดยวกันกับรูปแบบ เชน ตนแบบ ตวแบบ แบบจาลอง ซึ่งนักวิชาการทางการศกษา

หลายทานได้อธิบายความหมายรูปแบบ ดังนี้



รูปแบบ หมายถึง แผนผง แผนภูมิหรือหุ่นจาลอง ซึ่งมีลกษณะการจาลองสภาพ

ความเป็นจริงของปรากฏการณ์ เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนขององค์ประกอบหรือปรากฏการณ์
ตาง ๆ เพื่อให้เข้าใจไดง่ายขึ้น (สงัด อุทรานันท (2530 : 11), วิชย วงษ์ใหญ่ (2537 : 41), Stoner,





ี่
Jame A. F. and Wankel, Charles. (1986 : 12) รูปแบบจงเป็นรูปธรรมทางความคดทเป็นนามธรรม

ี่
มีลักษณะเป็นโครงสร้างทางความคิด ที่แสดงองค์ประกอบและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทสาคญ



ิ่

ิ่

ของสงทศกษา หรือสงทบุคคลใชในการหาคาตอบ ความรู้ และความเข้าใจในปรากฏการณตางๆ

ี่

ี่
วิจิตรา ปัญญาชัย (2543 : 74), ทิศนา แขมมณี (2545 : 1)


สรุปว่า รูปแบบหมายถึง โครงสร้างของความคดทแสดงองคประกอบตางๆ และ

ี่
ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบเหล่านั้น
(2) ประเภทของรูปแบบ
Keeves (1988, อ้างถึงใน วิจตรา ปัญญาชย 2543 : 74) จาแนกประเภท



รูปแบบทางการศึกษาและสังคมศาสตร์ ออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. รูปแบบเชิงเทียบเคียง (Analogue Model) เป็นรูปแบบที่ใช้ในการอุปมาอุปไมย
ี่



เทยบเคยง ในการอธิบายปรากฏการณทเป็นนามธรรม เพื่อสร้างความเข้าใจเชงรูปธรรม โดยใช ้


ี่



หลกการเทยบเคยงโครงสร้างของรูปแบบให้สอดคลองกับลกษณะข้อมูลหรือความรู้ทมีอยู่

ซึ่งองค์ประกอบของรูปแบบต้องมีความชัดเจน สามารถน าไปทดสอบข้อมูลเชิงประจักษ์ได ้
2. รูปแบบเชิงข้อความ (Semantic Model) เป็นรูปแบบที่ใช้ภาษาเป็นสื่อ


ี่
ในการบรรยาย หรืออธิบายปรากฏการณทศกษาดวยภาษา แผนภูมิ หรือรูปภาพ เพื่อให้เห็น

โครงสร้างทางความคิด องค์ประกอบและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของปรากฏการณ์นั้นๆ
3. รูปแบบเชิงคณิตศาสตร์ (Mathematical Model) เป็นรูปแบบที่ใช้สมการทาง
คณิตศาสตร์ แสดงความสัมพันธ์ของตัวประกอบหรือตัวแปร

34




4. รูปแบบเชิงสาเหตุ (Causal Model) เป็นรูปแบบที่พัฒนามาจากการวิเคราะห์

ี่
เส้นทาง (path analysis) ร่วมกับหลักการสร้างรูปแบบเชิงข้อความ โดยอาศยทฤษฎีทเกี่ยวข้องหรือ
งานวิจัยที่มีมาแล้ว น ามาแสดงความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลระหว่างตัวแปร ซึ่งสามารถทดสอบได ้
(3) ลักษณะของรูปแบบที่ด ี


Keeves (1988 อ้างถึงใน วิจตรา ปัญญาชย, 2543 : 75) ไดสรุปลกษณะของ



รูปแบบที่ดี ดังนี้
1. ประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างตัวแปรแต่ละตัว
2. น าไปสู่การท านายผล ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์



3. อธิบายโครงสร้างความสมพันธ์เชงเหตผลไดอย่างชดเจน สามารถพยากรณ์


และอธิบายปรากฏการณ์ได้ด้วย
4. น าไปสู่การสร้างแนวคิดใหม่ หรือความสัมพันธ์ใหม่ในเรื่องที่ศึกษา
5. ลักษณะรูปแบบของเรื่องใด ๆ ควรขึ้นกับกรอบทฤษฎีของเรื่องนั้นๆ
(4) แนวคิดการออกแบบและพัฒนารูปแบบ
การออกแบบระบบการเรียนการสอน เป็นกระบวนการหนึ่งที่ส าคัญ โดยการน า



วิธีการเชงระบบ (System Approach) มาใชในการดาเนินงานให้เกิดประสทธิภาพและประสทธิผล




สูงสุด ทั้งนี้เนื่องจาก“ระบบ”ช่วยให้การด าเนินงานต่างๆ เกิดสมฤทธิผลตามเปาหมาย (ทศนา แขมมณ,



ุ่
ู่
ื่
ี่

2550 : 197) ระบบเป็นกลมองคประกอบทเชอมโยงซึ่งกันและกัน มุ่งไปสจดหมายเดยวกัน ดงนั้น




การน าวิธีเชงระบบไปใชกับการออกแบบจะชวยทาให้เกิดประสทธิภาพในการน าไปสจดมุ่งหมาย



ู่


ี่



ู่
ทางการศกษาไดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การตรวจสอบข้อมูลทปูอนกลบสระบบเป็นการควบคม
การทางานของระบบทาให้การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเกิดขึ้นอย่างคลองตวและราบรื่น Kruse





ี่
ู้

ี่



(2007 : 1) แบบจาลองทใชในการออกแบบทางการศกษามีอยู่มากมาย ในทนี้ผวิจยไดทบทวน
แบบจ าลองเชิงระบบ 2 ระบบ ดังนี้
1. แบบจ าลองการออกแบบระบบการเรียนการสอน The ADDIE Model
เป็นแบบจ าลองที่ใช้วิธีการเชิงระบบ ประกอบด้วย ขั้นตอนต่าง ๆ 5 ขั้นตอน Kruse (2007 : 1) คือ

1.1 ขั้นตอนการวิเคราะห์ (Analysis) วิเคราะห์ความตองการจาเป็น และ

ขอบเขตในการจัดการเรียนการสอน
1.2 ขั้นตอนการออกแบบ (Design) ระบุกิจกรรมการเรียนรู้ การประเมิน
การเรียนรู้ การเลือกสื่อ และวิธีการจัดการเรียนการสอน
1.3 ขั้นตอนการพัฒนา (Development) พัฒนาแผนการจดการเรียนรู้ การพัฒนา

นวัตกรรมที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้และพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผล

1.4 ขั้นตอนการน าไปใช (Implementation) เป็นการน าแผนการจด

การเรียนรู้ นวัตกรรม และเครื่องมือวัดผลการเรียนไปใช้ในสถานการณ์จริง

1.5 ขั้นตอนการประเมินผล (Evaluation) ประเมินแผนการจดการเรียนรู้
ทุกระดับส าหรับการน าไปใช้ในครั้งต่อไป

35




แผนภาพที่ 2.2 แบบจ าลอง The ADDIE Model


Analysis Design Development Implementation Evaluation


ที่มา : Kevin Kruse. Instruction to Instructional Design and the ADDIE Model. (Online). Accessed
19 June 2007. Available from http : www.elearninggurn.com/articles/art1_1.htm.

2. แบบจาลองการออกแบบระบบการสอนของ Dick et al. (2005 : 56)
ประกอบด้วยองค์ประกอบส าคัญทั้งสิ้น 10 องค์ประกอบ คือ
2.1 ก าหนดเปูาหมายการเรียนการสอน (Identify Instructional Goals)
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแรกของการออกแบบในแบบจ าลองนี้ เป็นการก าหนด

ว่าตองการให้นักเรียนสามารถทาอะไรไดบ้างเมื่อเรียนจบบทเรียนแลว เปูาหมายการเรียนการสอน






อาจไดมาจากบัญชรายการเปูาหมาย ไดมาจากการวิเคราะห์การปฏิบัตงาน (Performance



analysis) การวิเคราะห์ความตองการจาเป็น (Needs Assessment) จากประสบการณ์
การปฏิบัติงานที่พบว่าเป็นเรื่องยากส าหรับนักเรียน หรือเป็นความต้องการในการเรียนรู้ในสิ่งใหม่
2.2 วิเคราะห์การเรียนการสอน (Analyze Instruction)
หลังจากการก าหนดเปูาหมายการเรียนการสอนแล้ว เป็นขั้นที่ต้องวิเคราะห์


ว่าจะตองดาเนินการตอไปอย่างไร หากก าหนดเปูาหมายไว้เชนนั้น ดวยการวิเคราะห์ไปทละลาดบ







ขั้นตอน และในขั้นตอนสุดท้ายของการวิเคราะห์การเรียนการสอน เป็นการก าหนดว่า ทกษะ ความรู้
ื่
และเจตคตทรู้จกกันในชอว่า พฤตกรรมน าเข้า (Entry Behavior) อะไรบ้างทนักเรียนตองสามารถ

ี่
ี่



ท าได้ก่อนที่จะเริ่มการเรียนการสอนครั้งนี้
2.3 วิเคราะห์นักเรียนและบริบท (Analyze learners and Contexts)
นอกจากการวิเคราะห์เปูาหมายการเรียนการสอนแล้ว ยังมีการวิเคราะห์ท ี่
ต้องด าเนินการไปแบบคู่ขนาน คือ การวิเคราะห์นักเรียนและบริบท ที่จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้



ทักษะและบริบทต่าง ๆ ที่จะต้องใช้ ลักษณะตาง ๆ เชน ทกษะ ความชอบ เจตคตของนักเรียนจะถูก



ี่






ก าหนดด้วยคุณลักษณะของสถาบัน และแหลงฝกทกษะ ข้อมูลทสาคญเหลานี้จะมีผลตอความสาเร็จ
ในแต่ขั้นตอนของแบบจ าลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นการพัฒนากลยุทธ์การสอน
2.4 เขียนวัตถุประสงค์เชิงปฏิบัติ (Write Performance Objective)
ั้
ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับขนการวิเคราะห์การเรียนการสอน และพฤติกรรมน าเข้าท ี่
ระบุไว้ เป็นการเขียนระบุให้ชัดเจนว่า นักเรียนจะสามารถท าอะไรได้บ้างในด้านความรู้และการปฏิบัต ิ
ิ้



ี่

ี่
เมื่อสนสดการเรียนการสอนแลว ข้อความทเขียนขึ้นนี้ไดมาจากทกษะทระบุไว้ในขั้นการวิเคราะห์

การเรียนการสอน ขั้นตอนนี้จงเป็นการระบุทกษะทตองเรียนรู้ เงื่อนไขทตองปฏิบัตในการพัฒนา

ี่

ี่


ทักษะ และเกณฑ์ที่บ่งชี้การบรรลุความส าเร็จ

36




2.5 พัฒนาเครื่องมือประเมินผล (Develop Assessment Instrument)
ขั้นตอนการพัฒนาเครื่องมือประเมินผลนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ได้ก าหนดไว้
เครื่องมือที่พัฒนาขึ้นต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ดังกล่าว คือสามารถวัดความสามารถของนักเรียน




ี่



ี่


ไดตรงตามความตองการ จดเน้นหลก คอ ทกษะทระบุในวัตถุประสงคกับทกษะทตองการประเมิน
มีความสอดคล้องกัน
2.6 พัฒนากลยุทธ์การสอน (Develop Instructional Strategy)
เป็นการก าหนดกลยุทธ์ที่ต้องใช้ในการสอน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ กลยุทธ์


จะเป็นองค์ประกอบของการสงเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน ไดแก่ 1) กิจกรรมก่อนเรียน 2) การน า


เสนอเนื้อหา 3) การมีสวนร่วมของนักเรียน และ 4) การประเมินผลและตดตามกิจกรรมการเรียน

ื่

กลยุทธ์ควรอยู่ภายใตทฤษฎีการเรียนรู้ และผลการวิจยเกี่ยวกับการเรียนรู้ ลกษณะของสอ อุปกรณ ์


การเรียนที่ต้องใช้ในการจัดการเรียนการสอน เนื้อหาที่จะสอน และลกษณะของนักเรียน สงเหลานี้ใช ้

ิ่





ส าหรับ การพัฒนา การเลอกใชวัสดอุปกรณและแผนการสร้างปฏิสมพันธ์ในห้องเรียน สอการสอน
ื่
การเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี เช่น เว็ปไซด์ หรือหน่วยการเรียนต่างๆ
2.7 พัฒนาและเลือกสื่อการเรียนการสอน (Develop and select Instructional
materials)
เป็นขั้นตอนของการใชกลยุทธ์การสอนในการก าหนดการจดการเรียน


ื่
ู่
ื่
การสอน อันประกอบดวย คมือนักเรียน สอการเรียนการสอน และการประเมินผล (สอการเรียน




ู่

ื่
การสอน รวมถึงสอทกชนิด เชน คมือครู หน่วยการเรียนรู้ เครื่องฉายภาพข้ามศรษะ วีดโอเทป


คอมพิวเตอร์ เว็บเพจ ส าหรับการเรียนทางไกล ฯลฯ) การตดสนใจเลอกสอขึ้นอยู่กับชนิดของผลลพธ์


ื่
การเรียนรู้และการเข้าถึงสื่อเหล่านั้น
2.8 ออกแบบและประเมินผลระหว่างการเรียนการสอน (Design and
Conduct Formation Evaluation of Instruction)



หลงจากการออกแบบการสอนเรียบร้อยแลว จงเป็นขั้นของการประเมินผล
โดยการรวบรวมข้อมูลที่ใช้เพื่อระบุวิธีการปรับปรุงการเรียนการสอน การประเมินผลระหว่างการเรียน
การสอนนี้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ การประเมินผลรายบุคคล การประเมินกลมย่อย และ
ุ่
การประเมินผลการทดสอบภาคสนาม (Field-trial Evaluation) แตละประเภทของการประเมินผล

ท าให้ผู้ออกแบบต้องเตรียมแบบประเมินที่แตกต่างกันออกไปส าหรับใช้ในการปรับปรุงการเรียนรู้
2.9 ทบทวนการจัดการเรียนการสอน (Revise Instruction)
ขั้นตอนสุดท้ายของการออกแบบและกระบวนการพัฒนา (และเป็นขั้นแรก



ของการเริ่มตนใหม่ของกระบวนการ) คอ ขั้นการทบทวนการจดการเรียนการสอน ข้อมูลจาก


การประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ถูกสรุปและตีความเพื่อระบุประสบการณทแตกตางกันของนักเรียน
ี่

ี่


ในการบรรลวัตถุประสงค และบ่งบอกถึงปัจจยททาให้การจดการเรียนการสอนไม่มีประสทธิภาพ




ี่
ื่

เสนทลากเชอมไปยังขั้นตอนตาง ๆ ซึ่งข้อมูลจากการประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนไม่ได ้

น าไปใชเพียงการปรับปรุงการสอนเทานั้น แตยังใชสาหรับการตรวจสอบซ้ าถึงความเชอถือไดของ


ื่







การวิเคราะห์การเรียนการสอน แตเป็นข้อสมมตฐานเกี่ยวกับพฤตกรรมน าเข้า และคณลกษณะของ


37





นักเรียนและอาจจาเป็นตอการตรวจสอบซ้ าเกี่ยวกับวัตถุประสงคเชงพฤตกรรมและการจด





แบบทดสอบ
2.10 ออกแบบและการประเมินผลภายภายหลังการเรียนการสอน (Design
and Conduct Summative Evaluation)
แม้ว่าการประเมินผลภายหลังการเรียนการสอน เป็นการรวบรวมการประเมิน
ประสิทธิภาพของการเรียนการสอน แต่โดยทั่วไปไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการออกแบบขั้นตอน

ิ้

นี้เป็นการประเมินค่า หรือคณคาของการเรียนการสอน และปรากฏเฉพาะหลงจากการสอนเสร็จสน

และได้ประเมิน เพื่อการพัฒนาการเรียนการสอนในระหว่างกระบวนการเรียนการสอนเรียบร้อยแลว

และเป็นการทบทวนการบรรลุถึงมาตรฐานที่ผู้ออกแบบได้ก าหนดไว้

แผนภาพที่ 2.3 แบบจ าลองการออกแบบระบบการเรียนการสอน


แบบจ าลองการออกแบบระบบการเรยนการสอน


การทบทวน

การจัดการเรยน

การ
วิเคราะห ์ การสอน
การเรยน

การสอน

การก าหนด การเขยน การพัฒนา การพัฒนากล การพัฒนาและ การออกแบบ

ื่

ื่


เปาหมาย วัตถ ุ เครองมอ ื ยุทธ์การสอน เลอกสอการ และประเมนผล



การเรยน ประสงค์ ประเมนผล เรยน ระหว่าง




การสอน เชงปฏิบัต ิ การสอน การเรยน
การวิเคราะห์ การสอน
ผู้เรยนและ


บรบท
การออกแบบ
และ

การระเมนผล

หลังการเรยน
การสอน
th
ที่มา Dick et al., The Systematic of Instruction 6 ed. (Boston : Pearson, 2005)

2.1.5 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ
มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายเกี่ยวกับความพึงพอใจ ดังนี้
ศภสริ โสมเกต (2544 : 49) ; สพจน์ ศรนารายณ (2548 : 5) กลาวว่า ความพึงพอใจ









หมายถึง ความรู้สกนึกคดหรือเจตคตสวนบุคคลทมีตอการทางานหรือการปฏิบัตกิจกรรมในเชงบวก




ี่


38








ดงนั้นความพอใจในการเรียนรู้ จงหมายถึง ความรู้สกพอใจ ชอบใจในการร่วมปฏิบัตกิจกรรม

การเรียนการสอนและตองการดาเนินกิจกรรมนั้นๆ จนบรรลผลสาเร็จ อันมีผลสบเนื่องมาจาก











องคประกอบหรือปัจจยอื่น ๆ ในการปฏิบัตงาน เชน ลกษณะงาน สภาพแวดลอมในการทางาน
ประโยชน์ ค่าตอบแทนและอื่นๆ ถ้าองค์ประกอบต่างๆ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของบุคคล
ไดเหมาะสมก็จะมีผลให้เกิดความพึงพอใจ บุคคลจะมีความพึงพอใจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ

ความต้องการของแต่ละบุคคล และองค์ประกอบที่เป็นสิ่งจูงใจในที่มีอยู่ในงานนั้นด้วย นอกจากนี้แล้ว
Applewhite P.B. (1965 : 6), Good C.V. (1973 : 13), Wolman B.B. (1973 : 384) กลาวว่า



ี่
ี่
ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจทเป็นผลมาจากความสนใจ และเป็นความสขทไดรับจาก



สภาพแวดลอมทางกายภาพในการทางาน ความสขในการทางานร่วมกับเพื่อน การมีทศนคตทดตอ





ี่
งานและความพอใจเกี่ยวกับรายได้ซึ่งเป็นเจตคติของบุคคล

ี่
สรุปความพึงพอใจ คอ สภาพความรู้สกนึกคดหรือเจตคตในทางทดของบุคคลทมี




ี่

ี่



ต่อการให้บริการด้านใดด้านหนึ่ง เป็นพฤตกรรมทางดานอารมณของมนุษย์ทเกิดขึ้นจากภายในจตใจ




ี่
ิ่

ของบุคคล ไดแก่ ความชอบ ความสบายใจ ความสขใจตอการไดรับสงทตองการ มีความพอใจ
มีความกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การด าเนินกิจกรรมนั้นบรรลุผลส าเร็จ

2.2 นโยบายและยุทธศาสตร ์
2.2.1 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564)




ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงคมแห่งชาตไดจดทาแผนพัฒนา


เศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาต ฉบับท 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) สาหรับใชเป็นแผนพัฒนาประเทศไทย
ี่


ในระยะ 5 ปี ซึ่งเป็นการแปลงยุทธศาสตร์ชาตระยะ 20 ปีสการปฏิบัตอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเตรียม

ู่

ความพร้อมและ วางรากฐานในการยกระดบประเทศไทยให้เป็นประเทศทพัฒนาแลว มีความมั่นคง

ี่

มั่งคั่ง ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาประเทศในระยะแผนพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 -2564)

ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ประกอบดวย 10 ยุทธศาสตร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 6 ยุทธศาสตร์ สรุปได้ ดังนี้

ี่

ยุทธศาสตร์ท 1 การเสริมสร้างและพัฒนาศกยภาพทนมนุษย์ให้ความสาคญกับการ


ั้


ี่
วางรากฐาน การพัฒนาคนให้มีความ สมบูรณเริ่มตงแตกลมเดกปฐมวัยทตองพัฒนาให้มีสขภาพกาย

ุ่


และใจที่ดี มีทักษะทางสมอง ทักษะการเรียนรู้ และทักษะชวิตเพื่อให้เตบโตอย่างมีคณภาพ ควบคกับ

ู่




การพัฒนาคนไทยในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดีมีสุขภาวะที่ดีมีคณธรรมจริยธรรมมีระเบียบวินัยมีจตสานึก


ี่








ทดตอสงคมสวนรวมมีทกษะความรู้และความสามารถปรับตวเทาทนกับการเปลยนแปลงรอบตว
ี่


ทรวดเร็ว บนพื้นฐานของการมีสถาบันทางสงคมทเข้มแข็งทงสถาบันครอบครัวสถาบันการศกษา
ี่
ั้
ี่

สถาบันศาสนาสถาบันชุมชน และภาคเอกชนที่ร่วมกันพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีคุณภาพสูงอีกทั้งยังเป็นทน
ทางสังคมส าคัญ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ

ี่

ยุทธศาสตร์ท 2 การสร้างความเป็นธรรมลดความเหลอมลาในสงคม ให้ความสาคญ
ื่





กับการดาเนินการยกระดบคณภาพบริการทางสงคมให้ทวถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งดานการศกษาและ



ั่

สาธารณสุขรวมทั้งการปิดช่องว่างการคุ้มครองทางสังคมในประเทศไทยซึ่งเป็นการดาเนินงานตอเนื่อง

39




ี่

ี่

ื่


จากทไดขับเคลอนและผลกดนในชวงแผนพัฒนาฯ ฉบับท 11 และมุ่งเน้นมากขึ้นในเรื่องการเพิ่ม


ทักษะแรงงานและการใชนโยบายแรงงานทสนับสนุนการเพิ่มผลตภาพแรงงานและเสริมสร้างรายได ้
ี่

สูงขึ้น และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสงคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนในเรื่องการสร้าง
ื่


ี่


อาชพ รายไดและให้ความชวยเหลอทเชอมโยง การเพิ่มผลตภาพสาหรับประชากรกลมร้อยละ 40


ุ่
รายได้ต่ าสุด ผู้ด้อยโอกาส สตรีและผู้สูงอายุ อาทิการสนับสนุนธุรกิจขนาดเลก ขนาดกลาง และขนาด

ย่อม วิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม การพัฒนาองคกรการเงิน ฐานรากและการเข้าถึงเงินทน


เพื่อสร้างอาชีพ และการสนับสนุนการเข้าถึงปัจจัยการผลิตคุณภาพดีที่ราคาเป็นธรรม เป็นตน และใน

ี่


ขณะเดยวกันก็ตองเพิ่มประสทธิภาพการใชงบประมาณเชงพื้นทและบูรณาการเพื่อการลดความ



เหลื่อมล้ า
ี่
ิ่
ี่
ยุทธศาสตร์ท 4 การเตบโตทเป็นมิตรกับสงแวดลอมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน


ประเดนทาทายทตองเร่งดาเนินการในชวงแผนพัฒนาฯ ฉบับท 12 ไดแก่ การสร้างความมั่นคงของ

ี่





ี่



ี่


ิ่
ฐานทรัพยากรธรรมชาตและยกระดบคณภาพสงแวดลอม เพื่อสนับสนุนการเตบโตทเป็นมิตรกับ
ิ่
ี่

สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน เร่งแก้ไขปัญหาวิกฤตสงแวดลอมเพื่อลดมลพิษทเกิดจาก

การผลต และการบริโภคพัฒนาระบบบริหารจดการทโปร่งใสเป็นธรรม สงเสริมการผลตและการ

ี่



บริโภคทเป็นมิตรกับสงแวดลอมเป็นวงกว้างมากขึ้น ตองเร่งเตรียมความพร้อมในลดการปลอยก๊าซ

ี่


ิ่
ี่


เรือนกระจกและเพิ่มขีดความสามารถ ในการปรับตวตอการเปลยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทง
ั้
บริหารจัดการเพื่อลดความเสี่ยงด้านภัยพิบัติทางธรรมชาต ิ
ู่

ี่
ยุทธศาสตร์ท 5 การเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาตเพื่อการพัฒนาประเทศ สความ

ี่
มั่งคั่งและยั่งยืน ให้ความสาคญตอการฟื้นฟูพื้นฐานดานความมั่นคงทเป็นปัจจยสาคญตอการพัฒนา








ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสนตขอ ผมีความเห็นตาง

ู้

ทางความคดและอุดมการณบนพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์



เป็นประมุขและการเตรียม การรับมือกับภัยคกคามข้ามชาตซึ่งจะสงผลกระทบอย่าง มีนัยยะสาคญ




ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะ 20 ปีข้างหน้า
ยุทธศาสตร์ท 6 การบริหารจดการในภาครัฐการปูองกันการทจริตประพฤตมิชอบ
ี่



และธรรมาภิบาลในสังคมไทย เป็นช่วงเวลาส าคัญที่ต้องเร่งปฏิรูป การบริหารจดการภาครัฐให้เกิดผล



ี่





สัมฤทธิ์อย่างจริงจง เพื่อให้เป็นปัจจยสนับสนุนสาคญทจะชวยสงเสริมการพัฒนาประเทศในทกดาน


ให้ประสบผลส าเร็จบรรลุเปูาหมาย ทั้งการบริหารจัดการภาครัฐให้โปร่งใส มีประสทธิภาพ รับผดชอบ



ตรวจสอบไดอย่างเป็นธรรม และประชาชนมีสวนร่วม มีการกระจายอ านาจ และแบ่งภารกิจ

รับผิดชอบที่เหมาะสมระหว่างส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น และวางพื้นฐานเพื่อให้บรรลตามกรอบ
เปูาหมายอนาคตในปี 2579
ี่
ยุทธศาสตร์ท 8 การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีวิจย และนวัตกรรมให้






ความสาคญกับการใชองคความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ผลงานวิจยและพัฒนา ความก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยีนวัตกรรมและความคดสร้างสรรคอย่างเข้มข้นทงในภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชา

ั้

ั้

ั้



ี่
สงคม รวมทงให้ความสาคญกับการพัฒนาสภาวะแวดลอมหรือปัจจยพื้นฐานทเอื้ออ านวยทงการ




ลงทนดานการวิจยและพัฒนา การพัฒนาบุคลากรวิจย โครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และ


เทคโนโลยีและการบริหารจัดการเพื่อช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้ก้าวสู่เปูาหมายดังกลาว

40




2.2.2 นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564)

นโยบายความมั่นคงแห่งชาตก าหนดขึ้นเพื่อเป็นกรอบในการดาเนินการดานความ


มั่นคงของภาครัฐในระยะ 7 ปี แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 นโยบายเสริมสร้างความมั่นคงที่เป็นแก่นหลักของชาต ิ
ส่วนที่ 2 นโยบายความมั่นคงแห่งชาตทวไป โดยก าหนดกรอบความคดหลกจากการ


ั่

ก าหนดนโยบายได้ค านึงถึงค่านิยมหลักของชาติ 12 ประการดังนี้
วิสัยทัศน์ “ชาติมีเสถียรภาพและเป็นปึกแผ่น ประชาชนมีความมั่นคงในชีวิต ประเทศ
มีการพัฒนาอย่างตอเนื่องปลอดภัยจากภัยคกคามข้ามพรมแดน พร้อมเผชญวิกฤตการณมีบทบาท







เชงรุกในประชาคมอาเซียนและดาเนินความสมพันธ์กับนานาประเทศอย่างมีดลยภาพ” นโยบาย


ความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีดังนี้
สวนท 1 นโยบายสาคญเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทเป็นแก่นหลกของชาติ


ี่


ี่
กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักเกี่ยวข้องใน 3 นโยบาย
นโยบายที่ 1 เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติและการปกครองระบอบ
ี่
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจทถูกตอง

เกี่ยวกับสถาบันชาติศาสนา พระมหากษัตริย์
นโยบายที่ 2 สร้างความเป็นธรรม ความปรองดอง และความสมานฉันท์ในชาต ิ
โดยการสงเสริมให้ประชาชนเกิดความรู้สกเป็นสวนหนึ่งของชาตอยู่ร่วมกันอย่างสนตสข มีความรัก








ความภาคภูมิใจในความเป็นชาติและเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่เขมแข้ง
นโยบายที่ 3 ปูองกันและแก้ไขการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต ้






โดยการเสริมสร้างสนตสขและการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยใชกระบวนการมีสวนร่วมของทกภาค
สวนเป็นพลงในการเข้าถึงประชาชนโดยในสวนของสานักงานคณะกรรมการการศกษาขั้นพื้นฐาน





มียุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องมีดังนี้


3.1 ยุทธศาสตร์ดานความมั่นคง ไดแก่ 1) การเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบัน
ื่
หลกของชาต 2) การสร้างความปรองดองและสมานฉันท 3) การขับเคลอนการแก้ไขปัญหาจงหวัด




ชายแดนภาคใต้ 4) การปูองกัน ปราบปราม และบ าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด


3.2 ยุทธศาสตร์ดานการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไดแก่
1) การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล 2) การส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม



3.3 ยุทธศาสตร์ดานการพัฒนาและเสริมสร้างศกยภาพคน ไดแก่ 1) การพัฒนา
ศักยภาพคนตามช่วงวัย 2) การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

3.4 ยุทธศาสตร์ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลอมลาและสร้างการ
ื่
เติบโตจากภายใน ได้แก่ การส่งเสริมการด าเนินงานตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ี่



3.5 ยุทธศาสตร์ดานการจดการน้ าและสร้างการเตบโตบนคณภาพชวิตทเป็นมิตร


กับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ได้แก่ การบริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม


3.6 ยุทธศาสตร์ดานการปรับสมดลและพัฒนาระบบบริหารจดการภาครัฐ ไดแก่


การปูองกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ

41







2.2.3 แผนการศกษาแห่งชาต (พ.ศ. 2560 - 2579) ของสานักงานเลขาธิการ
สภาการศึกษา






สานักงานเลขาธิการสภาการศกษาไดจดทาแผนการศกษาแห่งชาต พ.ศ. 2560 -



ี่

2579 เพื่อใชเป็นแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวสาหรับหน่วยงานทเกี่ยวข้องกับการศกษาของประเทศ
ั้
ได้น าไปใช้เป็นกรอบและแนวทางการพัฒนาการศึกษาและเรียนรู้สาหรับพลเมืองทกชวงวัยตงแตแรก




ี่



เกิดจนตลอดชีวิต โดยจุดมุ่งหมายทสาคญของแผน คอ การมุ่งเน้นการประกันโอกาสและความเสมอ
ภาคทางการศกษาและการศกษาเพื่อการมีงานทาและสร้างงานไดภายใตบริบทเศรษฐกิจและสงคม






ี่
ื่
ั้

ของประเทศและของโลกทขับเคลอนดวยนวัตกรรมและความคดสร้างสรรครวมทงความเป็นพลวัตร



ี่
เพื่อให้ประเทศไทยสามารถ ก้าวข้ามกับดกประเทศทมีรายไดปานกลาง ไปสประเทศทพัฒนาแลว
ี่
ู่









ซึ่งภายใตกรอบแผนการศกษาแห่งชาต พ.ศ. 2560 - 2579 ไดก าหนดสาระสาคญสาหรับบรรล ุ
เปูาหมายของการพัฒนาการศกษาใน 5 ประการ ไดแก่การเข้าถึงโอกาสทางการศกษา (Access)



ความเท่าเทียมทางการศกษา (Equity) คณภาพการศกษา (Quality) ประสทธิภาพ(Efficiency) และ




ตอบโจทย์บริบทที่เปลี่ยนแปลง (Relevancy) ในระยะ 15 ปีข้างหน้า ยุทธศาสตร์ ที่เกี่ยวข้อง คือ
1. การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาต ิ

2. การผลตและพัฒนาก าลงคน การวิจย และนวัตกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถ


ในการแข่งขันของประเทศ
3. การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
4. การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษา
5. การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
6. การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษา
ี่
2.2.4 แผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับท 12 (พ.ศ. 2560 - 2564)
กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดท าแผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศกษาธิการ ฉบับที่


12 (พ.ศ. 2560 - 2564) โดยไดน้อมน าหลกปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกตใชเป็นกรอบ



ในการด าเนินงาน และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศในชวงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงคม


แห่งชาตฉบับท 12 (พ.ศ.2560 - 2564) โดยมีเปูาหมายหลกของแผนพัฒนาการศกษา



ี่
ของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564)



ุ้


1. คณภาพการศกษาของไทยดขึ้น คนไทยมีคณธรรมจริยธรรม มีภูมิคมกันตอการ
เปลี่ยนแปลง และการพัฒนาประเทศในอนาคต
2. ก าลังคนได้รับการผลิตและพัฒนา เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศ
3. มีองค์ความรู้เทคโนโลยีนวัตกรรม สนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
4. คนไทยได้รับโอกาสในเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต



5. ระบบบริหารจัดการการศึกษามีประสิทธิภาพ และทุกภาคสวนมีสวนร่วมตามหลก
ธรรมาภิบาล

42




ตัวชี้วัดตามเปูาหมายหลัก
1. ผลคะแนนสอบ PISA ในแต่ละวิชา


2. ร้อยละที่เพิ่มขึ้นของคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาหลกระดบการศกษา

ขั้นพื้นฐานจากการทดสอบระดับชาต ิ
3. ร้อยละคะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนที่มีคุณธรรมจริยธรรม
4. ร้อยละคะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนทุกระดับการศึกษามีความเป็นพลเมืองและพลโลก
5. สัดส่วนผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายประเภทอาชีวศึกษาต่อสายสามัญ
6. จ านวนปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทยอายุ 15 - 59 ปี

7. ร้อยละของก าลังแรงงานที่ส าเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นขึ้นไป

8. ร้อยละของนักเรียนต่อประชากรวัยเรียนระดบมัธยมศกษาตอนปลาย อายุ15 - 17 ปี

9. สัดส่วนผู้เรียนในสถานศึกษาทุกระดับของรัฐต่อเอกชน
10. จ านวนภาคีเครือข่ายที่เข้ามามีส่วนร่วมในการจัด/พัฒนาและส่งเสริมการศึกษา

ยุทธศาสตร์
1. ยุทธศาสตร์พัฒนาหลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล
2. ยุทธศาสตร์ผลิต พัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา



ี่

ั้
3. ยุทธศาสตร์ผลิตและพัฒนาก าลังคน รวมทงงานวิจยทสอดคลองกับความตองการ
ของการพัฒนาประเทศ
4. ยุทธศาสตร์ขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการศกษาและการเรียนรู้อย่าง

ต่อเนื่องตลอดชีวิต
5. ยุทธศาสตร์ส่งเสริมและพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา
6. ยุทธศาสตร์พัฒนาระบบบริหารจัดการและส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการ
จัดการศึกษา
2.2.5 แผนปฏิบัตราชการประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของสานักงานคณะกรรมการ



การศึกษาขั้นพื้นฐาน




นโยบายและยุทธศาสตร์ทางดานการพัฒนาคณการศกษา ของสานักงาน



คณะกรรมการการศกษาขั้นพื้นฐาน แนวทางหลกการดาเนินงาน และโครงการสาคญของ




กระทรวงศึกษาธิการ โดยยึดกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน ที่เป็นจุดเน้นสาคญและเกี่ยวข้องกับหน่วย
ศึกษานิเทศก์ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 ด้านการจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคง
นโยบายที่ 1 ด้านการจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคง
กลยุทธ์ ข้อท 1 เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลกและการปกครองในระบอบ

ี่
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข



แนวทาง น้อมน าแนวพระราชดาริสบสานพระราชปณธานและพระบรมราโชบาย
ด้านการศึกษา หรือ “ศาสตร์พระราชา” มาใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้อย่างยั่งยืน


ี้
ตวชวัดความสาเร็จ ร้อยละ 100 ของสถานศกษามีการบูรณาการ “ศาสตร์

พระราชา” มาใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้อย่างยั่งยืน

43




ี่

ี่
กลยุทธ์ ข้อท 3 พัฒนาการจดการศกษาโรงเรียนในเขตพื้นทพิเศษให้เหมาะสมตาม

บริบทของพื้นท ี่

แนวทาง พัฒนาการจดการศกษาโรงเรียนในเขตพื้นทพิเศษให้เหมาะสมตามบริบท

ี่
ี่
ของพื้นท เช่น เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขตระเบียงเศรษฐกิจ เขตสามเหลยม
ี่
มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เขตพื้นที่ชายแดน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
ตัวชี้วัดความส าเร็จ ร้อยละ 80 ของสถานศึกษาในเขตพื้นที่พิเศษแตละประเภทมีการ

พัฒนาการจัดการศึกษาตามบริบทของพื้นท ี่
ู้
ี่




ยุทธศาสตร์ท 2 พัฒนาคณภาพผเรียน และสงเสริมการจดการศกษาเพื่อสร้าง
ขีดความสามารถในการแข่งขัน
ี่



ู้


นโยบายท 2 ดานพัฒนาคณภาพผเรียน และสงเสริมการจดการศกษาเพื่อสร้าง
ขีดความสามารถในการแข่งขัน

ู้

กลยุทธ์ ข้อที่ 1 เสริมสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาผเรียนอย่างมีคณภาพดวยการ
ปรับหลักสูตร การวัดและประเมินผลที่เหมาะสม โดยมีแนวทาง ดังนี้

1.1 ปรับปรุงหลักสูตรในระดับปฐมวัย และหลกสตรแกนกลางการศกษาขั้นพื้นฐาน


และน าหลกสตรไปสการปฏิบัตให้เกิดประสทธิภาพและจดการเรียนรู้ให้สอดคลองกับหลกสตร ตาม







ู่

ความจ าเป็นและความต้องการของผู้เรียน ชุมชน ท้องถิ่น ละสังคม


1.2 การพัฒนา ปรับปรุงหลักสูตร การเรียนการสอน คอ 1) หลกสตรมีความยืดหยุ่น

ี้



ชมชนทองถิ่นสามารถออกแบบหลกสตรเองได 2) ปรับปรุงตวชวัด 3 กลมสาระการเรียนรู้
ุ่



(คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์)
ตวชวัดความสาเร็จ ร้อยละ 100 ของสถานศกษาน าหลกสตรระดบปฐมวัยและ

ี้





หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน และน าไปสการปฏิบัตให้เกิดประสทธิภาพ และร้อยละ 100

ู่







ของสถานศกษาจดการเรียนรู้สอดคลองกับหลกสตร ตามความจาเป็นและความตองการของผเรียน
ู้

ชุมชน ท้องถิ่น และสังคม
กลยุทธ์ที่ 2 พัฒนาคุณภาพกระบวนการเรียนรู้ โดยมีแนวทาง ดังนี้


ี่
สงเสริมการจดการการเรียนรู้ทให้ผเรียนไดเรียนรู้ผานกิจกรรมปฏิบัตจริง (Active
ู้




Learning) เน้นทกษะกระบวนการให้เกิดทกษะการคดวิเคราะห์ คดแก้ปัญหา และคดสร้างสรรค





ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน

ี้
ตวชวัดความสาเร็จ ร้อยละ 70 ของผเรียนมีทกษะการคดวิเคราะห์ คดแก้ปัญหา




ู้
และคิดสร้างสรรค์ผ่านกิจกรรมการปฏิบัติจริง (Active Learning)
กลยุทธ์ที่ 3 สร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน




สงเสริมการเรียนรู้เชงบูรณาการแบบสหวิทยากร เชน สะเตมศกษา

(ScienceTechnology Engineering and Mathematics Education : STEM Education) เพื่อพัฒนา
กระบวนการคิดและการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสอดคล้องกับประเทศไทย 4.0
ี่

ตัวชี้วัดความส าเร็จ ร้อยละ 100 ของสถานศกษาทจดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเตม




ศึกษา STEM Education) มีนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลคาเพิ่มสอดคลองกับประเทศไทย 4.0

44




ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการส่งเสริม พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
นโยบายที่ 3 ส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา


กลยุทธ์ ข้อที่ 1 พัฒนาครูและบุคลากรทางการศกษาให้สามารถจดการเรียนรู้อย่างมี
คุณภาพในรูปแบบที่หลากหลาย
พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สามารถจัดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพทั้งระบบ
ื่
ื่
เชอมโยงกับการเลอนวิทยฐานะในรูปแบบทหลากหลาย เชน TEPE Online ( Teachers and
ี่

Educational Personnel’s Enhancement Based on Mission and Functional Areas as

Majors) ชุมชนแห่งการเรียนรู้ วิชาชพ (Professional Learning community : PLC ) การเรียนรู้
ผ่านกิจกรรมการปฏิบัติจริง (Active learning)
ตัวชี้วัดความสาเร็จ ร้อยละ 80 ของครูและบุคลากรทางการศกษาเข้ารับการพัฒนา


ี่
ผ่านสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสอสารททนสมัย และร้อยละ 80 ของครูและบุคลากรทางการ

ื่
ศึกษาได้รับการพัฒนาการจัดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพในรูปแบบที่หลากหลาย
ดังนั้นเพื่อให้งานนโยบายส าคัญแห่งรัฐ กระทรวงศึกษาธิการ และส านักงานคณะกรรมการ

ี้



ุ่

การศกษาขั้นพื้นฐานเป็นไปตวชวัดความสาเร็จ กลมนิเทศ ตดตามและประเมินผลการจดการศกษา

ื่



ี่


สานักงานเขตพื้นทการศกษาประถมศกษาลาปาง เขต 1 จงขับเคลอนการดาเนินงาน โดยใช ้

กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) ทั้งในด้านการบริหารจัดการ และการจดการเรียนรู้

ของสถานศึกษา

2.3 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการน าหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน

กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกราช 2544 ให้เป็น
หลกสตรแกนกลางของประเทศ โดยก าหนดจดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเปูาหมายและ





ู้




ี่
กรอบทศทางในการพัฒนาคณภาพผเรียนให้เป็นคนด มีปัญญา มีคณภาพชวิตทดและมี ขีด




ความสามารถในการแข่งขันในเวทระดบโลก (กระทรวงศกษาธิการ, 2544) พร้อมกันนี้ไดปรับ



กระบวนการพัฒนาหลกสตรให้มีความสอดคลองกับเจตนารมณแห่งพระราชบัญญัตการศกษา



ี่

ี่

แห่งชาต พ.ศ. 2542 และทแก้ไขเพิ่มเตม (ฉบับท 2) พ.ศ. 2545 ทมุ่งเน้นการกระจายอ านาจ
ี่

ทางการศกษาให้ทองถิ่นและสถานศกษาไดมีบทบาทและมีสวนร่วมในการพัฒนาหลกสตร เพื่อให้






สอดคล้องกับสภาพ และความต้องการของท้องถิ่น (ส านักนายกรัฐมนตรี, 2542)






จากการวิจย และตดตามประเมินผลการใชหลกสตรในชวงระยะ 6 ปีทผานมา (สานัก


ี่
วิชาการและมาตรฐานการศกษา, 2546 ก., 2546 ข., 2548 ก., 2548 ข.; สานักงานเลขาธิการสภา


การศกษา, 2547; สานักผตรวจราชการและตดตามประเมินผล, 2548; สวิมล ว่องวาณช และ
ู้







นงลกษณ วิรัชชย, 2547; Nutravong, 2002; Kittisunthorn, 2003) พบว่า หลกสตรการศกษา







ขั้นพื้นฐาน พุทธศกราช 2544 มีจดดหลายประการ เชน ชวยสงเสริมการกระจายอ านาจทาง



การศกษาทาให้ทองถิ่นและสถานศกษามีสวนร่วมและมีบทบาทสาคญในการพัฒนาหลกสตร










ู้
ให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น และมีแนวคิดและหลักการในการสงเสริมการพัฒนาผเรียน

แบบองครวมอย่างชดเจน อย่างไรก็ตาม ผลการศกษาดงกลาวยังไดสะทอนให้เห็นถึงประเดนทเป็น






ี่



ปัญหาและความไม่ชดเจนของหลกสตรหลายประการทงในสวนของเอกสารหลกสตร กระบวนการ



ั้


45










น าหลักสูตรสู่การปฏิบัติ และผลผลตทเกิดจากการใชหลกสตร ไดแก่ ปัญหาความสบสนของผปฏิบัต ิ
ี่
ู้
ในระดับสถานศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สถานศกษาสวนใหญ่ก าหนดสาระและผลการ



ี่



เรียนรู้ทคาดหวังไว้มาก ทาให้เกิดปัญหาหลกสตรแน่น การวัดและประเมินผลไม่สะทอนมาตรฐาน
ั้

ส่งผลต่อปัญหาการจัดท าเอกสารหลักฐานทางการศึกษาและการเทยบโอนผลการเรียน รวมทงปัญหา



ู้


ี่
คณภาพของผเรียนในดานความรู้ ทกษะ ความสามารถและคณลกษณะทพึงประสงคอันยังไม่เป็น

ที่น่าพอใจ


นอกจากนั้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงคมแห่งชาต ฉบับท 10 ( พ.ศ. 2550 – 2554)
ี่


ี่
ี้



ไดชให้เห็นถึงความจาเป็นในการปรับเปลยนจดเน้นในการพัฒนาคณภาพคนในสงคมไทยให้มี
ั้






คณธรรม และมีความรอบรู้อย่างเทาทน ให้มีความพร้อมทงดานร่างกาย สตปัญญา อารมณ และ

ู่

ศีลธรรม สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อน าไปสสงคมฐานความรู้ไดอย่างมั่นคง แนวการพัฒนา
คนดงกลาวมุ่งเตรียมเดกและเยาวชนให้มีพื้นฐานจตใจทดงาม มีจตสาธารณะ พร้อมทงมีสมรรถนะ




ั้
ี่



ี่

ทกษะและความรู้พื้นฐานทจาเป็นในการดารงชวิต อันจะสงผลตอการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน





(สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสงคมแห่งชาต, 2549) ซึ่งแนวทางดงกลาวสอดคลองกับนโยบายของ





ี่
ู้
กระทรวงศกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาตเข้าสโลกยุคศตวรรษท 21 โดยมุ่งสงเสริมผเรียน

ู่

มีคุณธรรม รักความเป็นไทย ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค มีทกษะดานเทคโนโลยี สามารถ





ทางานร่วมกับผอื่น และสามารถอยู่ร่วมกับผอื่นในสงคมโลกไดอย่างสนต (กระทรวงศกษาธิการ,



ู้
ู้

2551)








จากข้อคนพบในการศกษาวิจยและตดตามผลการใชหลกสตรการศกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศกราช 2544 ทผานมา ประกอบกับข้อมูลจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงคมแห่งชาติ

ี่


ี่



ฉบับท 10 เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาคนในสงคมไทย และจดเน้นของกระทรวงศกษาธิการ
ู่
ี่

ในการพัฒนาเยาวชนสศตวรรษท 21 จงเกิดการทบทวนหลกสตรการศกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกราช








ี่
ู่
2544 เพื่อน าไปสการพัฒนาหลกสตรแกนกลางการศกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกราช 2551 ทมีความ
ู้

ั้


เหมาะสม ชดเจน ทงเปูาหมายของหลกสตรในการพัฒนาคณภาพผเรียน และกระบวนการน า


หลกสตรไปสการปฏิบัตในระดบเขตพื้นทการศกษาและสถานศกษา โดยไดมีการก าหนดวิสยทศน์

ี่





ู่



ู้


จุดหมาย สมรรถนะสาคญของผเรียน คณลกษณะอันพึงประสงค มาตรฐานการเรียนรู้และตวชวัด



ี้
ี่


ทชดเจน เพื่อใชเป็นทศทางในการจดทาหลกสตร การเรียนการสอนในแตละระดบ นอกจากนั้น











ั้

ุ่
ไดก าหนดโครงสร้างเวลาเรียนขั้นตาของแตละกลมสาระการเรียนรู้ในแตละชนปีไว้ในหลกสตร


แกนกลาง และเปิดโอกาสให้สถานศกษาเพิ่มเตมเวลาเรียนไดตามความพร้อมและจดเน้น อีกทงได ้
ั้



ู้


ปรับกระบวนการวัดและประเมินผลผเรียน เกณฑ์การจบการศกษาแตละระดบ และเอกสารแสดง


หลกฐานทางการศกษาให้มีความสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรู้ และมีความชดเจนตอการน าไป




ปฏิบัต ิ


เอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ จดทาขึ้นสาหรับทองถิ่น



และสถานศกษาไดน าไปใชเป็นกรอบและทศทางในการจดทาหลกสตรสถานศกษาและจดการเรียน















การสอนเพื่อพัฒนาเดกและเยาวชนไทยทกคนในระดบการศกษาขั้นพื้นฐานให้มีคณภาพดานความรู้
และทักษะที่จ าเป็นส าหรับการด ารงชีวิตในสงคมทมีการเปลยนแปลง และแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนา

ี่
ี่
ตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต

ี้

มาตรฐานการเรียนรู้และตวชวัดทก าหนดไว้ในเอกสารนี้ ชวยทาให้หน่วยงานทเกี่ยวข้อง
ี่

ี่
ู้
ี่




ี่
ในทกระดบเห็นผลคาดหวังทตองการในการพัฒนาการเรียนรู้ของผเรียนทชดเจนตลอดแนว ซึ่งจะ

46








ี่

สามารถช่วยให้หน่วยงานทเกี่ยวข้องในระดบทองถิ่นและสถานศกษาร่วมกันพัฒนาหลกสตรไดอย่าง

มั่นใจ ท าให้การจัดท าหลักสูตรในระดับสถานศึกษามีคณภาพและมีความเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น อีกทงยัง
ั้



ชวยให้เกิดความชดเจนเรื่องการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และชวยแก้ปัญหาการเทยบโอน



ั่
ระหว่างสถานศึกษา ดังนั้นในการพัฒนาหลักสูตรในทุกระดับตั้งแต่ระดับชาติจนกระทงถึงสถานศกษา

ี่


จะตองสะทอนคณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้และตวชวัดทก าหนดไว้ในหลกสตรแกนกลาง



ี้

ู้




การศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทงเป็นกรอบทศทางในการจดการศกษาทกรูปแบบ และครอบคลมผเรียน
ั้
ทุกกลุ่มเปูาหมายในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน





การจดหลกสตรการศกษาขั้นพื้นฐานจะประสบความสาเร็จตามเปูาหมายทคาดหวังได

ี่



ทุกฝุายทเกี่ยวข้องทงระดบชาต ชมชน ครอบครัว และบุคคลตองร่วมรับผดชอบ โดยร่วมกันทางาน



ั้
ี่

อย่างเป็นระบบ และตอเนื่อง ในการวางแผน ดาเนินการ สงเสริมสนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจน


ปรับปรุงแก้ไข เพื่อพัฒนาเยาวชนของชาติไปสู่คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่ก าหนดไว้

วิสัยทัศน์


ู้


ั้


หลกสตรแกนกลางการศกษาขนพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผเรียนทกคน ซึ่งเปนก าลงของชาตให้เปน



มนุษย์ทมีความสมดลทงดานร่างกาย ความรู้ คณธรรม มีจตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเปน

ั้


ี่


พลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และ







ั้

ี่
ทกษะพื้นฐาน รวมทง เจตคต ทจาเป็นตอการศกษาตอ การประกอบอาชพและการศกษาตลอดชวิต



โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองไดเตมตาม
ศักยภาพ

หลักการ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่ส าคัญ ดังนี้



1. เป็นหลกสตรการศกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาต มีจดหมายและมาตรฐาน




การเรียนรู้เป็นเปูาหมายสาหรับพัฒนาเดกและเยาวชนให้มีความรู้ ทกษะ เจตคต และคณธรรม



บนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล
2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ทประชาชนทกคนมีโอกาสไดรับการศกษาอย่างเสมอภาค



ี่
และมีคุณภาพ

3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอ านาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศกษา
ให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น


ี่
ั้


4. เป็นหลกสตรการศกษาทมีโครงสร้างยืดหยุ่นทงดานสาระการเรียนรู้ เวลาและการจด

การเรียนรู้
5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ

6. เป็นหลกสตรการศกษาสาหรับการศกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศย





ครอบคลุมทุกกลุ่มเปูาหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์


Click to View FlipBook Version