22 ใบงานที่5 วิชา การพัฒนาอย่างยั่งยืน ชื่อเรื่อง สืบค้นข้อมูลการสืบสานแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้า รัชกาลที่ 10 ชื่อ…………………….………………………………….ระดับชั้น…….........… เลขที่……… กลุ่ม....................... จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives) 1.สืบค้นข้อมูลการสืบสานแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ 10 ได้ แหล่งเรียนรู้ 1.หนังสือเรียน หนังสืออางอิง หนังสืออานประกอบ และวารสารเกี่ยวกับโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดำริ 2.เว็บไซตที่เกี่ยวของทางอินเทอรเน็ต เครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์ (Tools, materials and equipment) - ลำดับขั้นการทำกิจกรรม (Step of Activity) 1.ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3–4 คน แบ่งหน้าที่รับผิดชอบในกลุ่ม 2.สืบค้นข้อมูลสืบค้นข้อมูลการสืบสานแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 3.สมาชิกกลุ่มจับคู่เพื่อปฏิบัติกิจกรรม ตามประเด็นที่กำหนด เมื่อปฏิบัติกิจกรรมเสร็จเรียบร้อย แล้ว สมาชิกกลุ่มแต่ละคู่เขียนรายละเอียดของข้อมูล 4.แต่ละกลุ่มรวบรวมข้อมูลจากข้อ 3 ของสมาชิกกลุ่มทุกคน แล้วร่วมกันลงสรุปเป็นข้อมูลของ กลุ่ม รวมทั้งออกแบบรูปแบบการนำเสนอให้น่าสนใจ เช่น ทำเป็นแผนที่ความคิดหรือ infographic พิมพ์เป็นโปสเตอร์ หรือนำเสนอด้วยโปรแกรมนำเสนอข้อมูลของคอมพิวเตอร์ 5.ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลงานและร่วมแสดงความคิดเห็นกับกลุ่มอื่น ผลการสืบค้นข้อมูล ............................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................................................. .......................................
1 แผนการจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นสมรรถนะอาชีพ ที่ 7 หน่วยที่ 4 . ชื่อวิชา การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) รหัสวิชา 20001 – 1002 ท–ป–น (1-2-2) . สัปดาห์ที่ 7 . สอนครั้งที่ 7(19-21) . ชื่อหน่วย โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การพัฒนาอาชีพ เพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม . จำนวนชั่วโมง 3 ชม. 1.ผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับหน่วยการเรียน ประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 2.อ้างอิงมาตรฐาน / เชื่อมโยงกลุ่มอาชีพ - 3.สาระการเรียนรู้ 1)โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลดความ เหลื่อมล้ำในสังคม 2)พันธุ์ปลาพระราชทาน 3)พันธุ์พืชพระราชทาน 4)โคนมพระราชทาน 4.สมรรถนะประจำหน่วย 1)แสดงความรูเกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 2)ใช้หลักคิดจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต 5.จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ด้านความรู้(Knowledge) 1)อธิบายความรู้เกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ ด้านทักษะ/กระบวนการ (Process) - คุณลักษณะที่พึงประสงค์ (Attitude) 1)มีเจตคติที่ดีในการปฏิบัติตามศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
2 2)มีวินัย ความรับผิดชอบ ความเชื่อมั่นในตนเอง ความสนใจใฝ่รู้ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใน การเรียน ด้านการประยุกต์ใช้(Apply) 1)ประยุกตใชความรูเกี่ยวกับศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในการพัฒนาตนเองและ งานอาชีพ 6.กิจกรรมการเรียนการสอน 6.1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน(Warm up) ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน 1) ผู้สอนให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วย การเรียนรู้ที่ 4 ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 2) ผู้สอนให้ผู้เรียนดูวิดีทัศน์เกี่ยวกับการเลี้ยงโคนม เป็นอาชีพ พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่มาของวีดิทัศน์ https://youtu.be/uzFZu6933mM จากนั้นตั้งคำถามกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน เพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาต่อไป เช่น (1)“ผู้เรียนคิดว่า” สาระสำคัญของวีดิทัศน์คือ อะไร (2)สิ่งที่ผู้เรียนได้รับรู้จากวีดิทัศน์นี้จะช่วยพัฒนา อาชีพ ขจัดปัญหาความยากจนของประชาชน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้หรือไม่ อย่างไร ผู้เรียนร่วมกันแสดงความเห็นเกี่ยวกับสาระที่ได้ จากวีดิทัศน์ รวมทั้งแสดงความคิดเห็น/อภิปราย ร่วมกัน เพื่อตอบคำถามที่ผู้สอนกำหนดให้ 6.2ขั้นการสอน/ การนำเสนอ (Presentation) ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน 1) ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ที่เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน ผ่าน การลงมือปฏิบัติกิจกรรมโดยใช้การพูด ฟัง อ่าน ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
3 ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน เขียน และสะท้อนคิด เน้นทักษะกระบวนการคิด วิเคราะห์และนำไปประยุกต์ใช้โดยชี้ให้เห็นถึง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนา อาชีพเพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลดความ เหลื่อมล้ำในสังคม โดยผู้สอนอธิบายความหมาย ของความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ดังต่อไปนี้ ความยากจน (poverty) โดยทั่วไปจะ หมายถึงความยากจนในเชิงเศรษฐกิจซึ่งพิจารณา ที่ระดับรายไดหรือฐานะทางเศรษฐกิจของ บุคคลวามีรายไดไมเพียงพอกับการดํารงชีพตาม มาตรฐานขั้นต่ำหรือมีรายไดต่ำกวามาตรฐาน คุณภาพชีวิตขั้นต่ำที่ยอมรับไดในแตละสังคม ความยากจนคือปญหาสําคัญที่สงผลในแงลบ ตอการพัฒนาประเทศ อีกทั้งยังเปนปญหาที่ สงผลกระทบโดยตรงตอความมั่นคงและคุณภาพ ชีวิตของมนุษย เนื่องจากจะสงผลกระทบต่อ ความสามารถในการซื้อหาสินคาและบริการขั้น พื้นฐานที่เพียงพอตอการดํารงชีพ ซึ่งสงผลกระ ทบตอการพัฒนาประเทศทั้งทางดานเศรษฐกิจ และสังคม ทําใหเกิดความไมมั่นคงทางเศรษฐกิจ เนื่องจากคนจนมักจะมีรายไดไมเพียงพอตอการ ดํารงชีพและมีสภาพความเปนอยูต่ำกว่า มาตรฐาน ทําใหผลผลิต รายไดการบริโภค ตลอดจนการออมของประเทศมีนอย ทําใหการ เติบโตของเศรษฐกิจของประเทศเปนไปอยาง เชื่องชาและไมมั่นคง ทั้งนี้คนจนจะเปนภาระต่อ สังคม เนื่องจากเปนภาระของภาครัฐในการแก ปญหาเลี้ยงดูและใหความชวยเหลือ ทําใหเป็น อุปสรรคตอการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ รวมทั้งแสดงความคิดเห็นและอภิปรายซักถาม เกี่ยวกับความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ในส่วน ที่สงสัย เพื่อสร้างความเข้าใจ ผู้เรียนศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือเรียนการพัฒนา อย่างยั่งยืน หน้า 66-72
4 ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน ความยากจนจะทําใหเกิดปญหาสังคมตามมา เชน การใชแรงงานเด็ก การดอยโอกาสใน การศึกษาและการฝกอบรม และปญหา อาชญากรรม ความเหลื่อมล้ำ (Inequality) หมายถึง ความไม่เสมอภาค ความแตกต่างกัน แบ่งแยก มีช่องว่างระหว่างกลุ่มชนชั้นมักจะเป็นการ กล่าวถึงความไม่เท่าเทียมกันระหว่าง “ผู้มี โอกาส” กับ “ผู้ขาดโอกาส” ซึ่งในที่นี้เรียกว่า “ประชากรกลุ่มเปราะบาง” อันหมายถึง ประชากรที่มีความอ่อนแอ หรืออ่อนด้อยในการ รับมือกับปัญหาที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำทาง สังคม เปรียบเสมือนสิ่งของที่เปราะบางเสียหาย ง่ายทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเปราะบางของ ประชากรประกอบด้วยลักษณะทางธรรมชาติ และสุขภาพ การเป็นชนกลุ่มน้อย การถูกจองจำ หรือจำกัดอิสรภาพ ความยากจน และความไม่ เป็นธรรมเชิงโครงสร้าง ซึ่งประชากรเหล่านี้มัก ไม่ได้รับการปฏิบัติตามหลักการสิทธิมนุษยชน ผลที่เกิดขึ้นคือ ศักยภาพหรือ ความสามารถที่แฝงเร้นอยู่ในประชากรกลุ่มนี้มัก ไม่ได้แสดงออกมา เพราะไม่มีโอกาสหรือไม่มีพลัง หรือเพราะเสี่ยงเกินไปที่จะริเริ่มสิ่งใหม่ ความ เหลื่อมล้ำจึงทำลายทั้งศักยภาพของบุคคลของ กลุ่มต่างๆและของสังคมประเทศชาติโดยรวม ดังนั้นเราจึงต้องแก้ไขความเหลื่อมล้ำด้วยการ ปฏิบัติต่อประชากรอย่างเสมอภาคบนหลักสิทธิ มนุษยชนเพื่อเป็นการปลดปล่อยพลังการผลิต ของสังคมออกมา
5 ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือเรียน การพัฒนาอย่างยั่งยืน หน้า 66-72 6.3 ขั้นฝึกฝน/ลงมือปฏิบัติ (Practice) ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน 1) ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มพร้อมทั้งให้ผู้เรียนปฏิบัติ กิจกรรม ตามใบงานที่ 1 เพื่อสืบค้นข้อมูล โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนา อาชีพเพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลดความ เหลื่อมล้ำในสังคม โดยร่วมกันวิเคราะห์แนวคิด เหตุผลและความจำเป็นของการดำเนินโครงการ ต่อไปนี้ (1)พันธุ์ปลาพระราชทาน (2)พันธุ์พืชพระราชทาน (3)โคนมพระราชทาน ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม ๆ ละประมาณ 3-4 คน ร่วมกัน ปฏิบัติกิจกรรมตามใบงานที่ 1 เพื่อสืบค้นข้อมูล เพื่อสืบค้นข้อมูลโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยปฏิบัติดังนี้ 1)สืบค้นข้อมูลเพื่อสืบค้นข้อมูลโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อ ขจัดปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำใน สังคม โดยร่วมกันวิเคราะห์แนวคิด เหตุผลและ ความจำเป็นของการดำเนินโครงการต่อไปนี้ (1)พันธุ์ปลาพระราชทาน (2)พันธุ์พืชพระราชทาน (3)โคนมพระราชทาน 2)สมาชิกกลุ่มจับคู่เพื่อปฏิบัติกิจกรรม ตามประเด็นที่กำหนด เมื่อปฏิบัติกิจกรรมเสร็จ เรียบร้อยแล้ว สมาชิกกลุ่มแต่ละคู่เขียน รายละเอียดของข้อมูล 3)แต่ละกลุ่มรวบรวมข้อมูลจากข้อ 2 ของ สมาชิกกลุ่มทุกคน แล้วร่วมกันลงสรุปเป็นข้อมูล สมาชิกกลุ่มทุกคน แล้วร่วมกันลงสรุปเป็นข้อมูล ของกลุ่ม รวมทั้งออกแบบรูปแบบการนำเสนอให้ น่าสนใจ เช่น ทำเป็นแผนที่ความคิดหรือ
6 ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน infographic พิมพ์เป็นโปสเตอร์ หรือนำเสนอ ด้วยโปรแกรมนำเสนอข้อมูลของคอมพิวเตอร์ 4)ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลงานและร่วมแสดง ความคิดเห็นกับกลุ่มอื่น 6.4 ขั้นประยุกต์ใช้(Production) ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน 1) ผู้สอนเสนอแนะวิธีการนำความรู้และหลักคิดจาก โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การ พัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลด ความเหลื่อมล้ำในสังคม (พันธุ์ปลาพระราชทาน พันธุ์พืชพระราชทานและโคนมพระราชทาน) ไป ประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาและชีวิตประจำวัน ผู้เรียนประยุกต์ใช้ความรู้และหลักคิดจาก โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การ พัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลด ความเหลื่อมล้ำในสังคม (พันธุ์ปลาพระราชทาน พันธุ์พืชพระราชทานและโคนมพระราชทาน)ไป ประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาและชีวิตประจำวัน ตามประเด็นที่ผู้สอนกำหนดให้ 6.5 ขั้นสรุป/ประเมินผล (Wrap up) ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน 1) ผู้สอนสรุปความคิดรวบยอด(สาระสำคัญ)ของ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การ พัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลด ความเหลื่อมล้ำในสังคม (พันธุ์ปลาพระราชทาน พันธุ์พืชพระราชทานและโคนมพระราชทาน) ผู้เรียนร่วมกับผู้สอนในการสรุปความคิดรวบยอด (สาระสำคัญ) โครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ : การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม(พันธุ์ ปลาพระราชทาน พันธุ์พืชพระราชทาน และโคนมพระราชทาน) 2) ผู้สอนประเมินผลสรุปรวมเรื่องโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดำริ : การพัฒนาอาชีพเพื่อ ขจัดปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำใน สังคม (พันธุ์ปลาพระราชทาน พันธุ์พืช พระราชทานและโคนมพระราชทาน) โดยให้ ผู้เรียนทำใบกิจกรรมที่ 4.1 ผู้เรียนทำใบกิจกรรมที่ 4.1
7 7. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อสิ่งพิมพ์ 1)หนังสือเรียน วิชา การพัฒนาอย่างยั่งยืน ของสำนักพิมพ์เอมพันธ์ 7.2 สื่อโสตทัศน์ 1)PowerPoint ประจำหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 7.3 สื่อออนไลน์ คลิปวีดิทัศน์สื่อเสริมการเรียนรู้ 7.4 สื่อจำลองหรือของจริง 1) - 7.5 อื่น ๆ 1) – 8. หลักฐาน/เอกสารประกอบการเรียนรู้ (เช่น ใบความรู้ ใบงาน ใบมอบหมายงาน ชิ้นงาน ฯลฯ) 8.1บันทึกการสอน 8.2ผลงาน 8.3แผนจัดการเรียนรู้ 8.4ใบความรู้เรื่องความเหลื่อมล้ำ – ประชากรกลุ่มเปราะบาง – สิทธิมนุษยชน 8.5ใบงานที่ 1 สืบค้นข้อมูลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัด ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม(พันธุ์ปลาพระราชทาน พันธุ์พืชพระราชทาน และโคนมพระราชทาน) 8.6ใบเช็คชื่อเข้าห้องเรียน 9.การวัดและการประเมินผล 9.1วิธีวัดและการประเมินผล 1)สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 2)ตรวจกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ 3)ตรวจแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ 4)ประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม 5)สังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม
8 9.2 เครื่องมือวัดและการประเมินผล 1)แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 2)แบบประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม (โดยครู) 3)แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม (โดยผู้เรียน) 4)กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ 5)แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ 9.3 เกณฑ์วัดและการประเมินผล 1)เกณฑ์ผ่านการสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องไม่มีช่องปรับปรุง 2)เกณฑ์ผ่านการประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50 % ขึ้นไป) 3)เกณฑ์ผ่านการสังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ขึ้นไป) 4)ตอบคำถามในกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์การประเมิน มีเกณฑ์ 4 ระดับ คือ 4= ดีมาก, 3 = ดี, 2 = พอใช้, 1= ควรปรับปรุง 5)แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้มีเกณฑ์ผ่าน 50% 6)แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนขึ้นอยู่กับ การประเมินตามสภาพจริง 10. การบูรณาการกลุ่มอาชีพ หรือความสัมพันธ์กับวิชาอื่น ทุกกลุ่มอาชีพ ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2567 11. บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ 11.1 ผลการจัดการเรียนรู้ตามแผนการสอน 1) วัน เดือน ปี ...............สอนครั้งที่ ....... สาขา/ชั้นปี .....................จำนวนผู้เรียน..........คน มาเรียนปกติ...........คน ขาดเรียน............คน ลาป่วย............คน ลากิจ...........คน มาสาย...........คน 2) หัวข้อเรื่อง/เนื้อหา สาระ : …………………….……………………………………………………………………..…………................................... ........................................................................................................................ .......................................... ❑ สอนครบตามหัวข้อเรื่องในแผนฯ ❑ สอนไม่ครบเนื่องจาก........................................ 3) กิจกรรม/วิธีการสอน ❑ ครูแนะนำและบอกจุดประสงค์ ❑ ครูอธิบาย/ถาม-ตอบ/สาธิต/. ❑ ทำแบบทดสอบก่อนเรียน ❑ ทำแบบทดสอบหลังเรียน
9 ❑ ทำแบบฝึกหัด/โจทย์ปัญหา ❑ ทำใบกิจกรรม/ใบงาน ❑ อื่น ๆ (ระบุ)............................................................................................................. 4) สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้ : …..……………………………………………………………………………… ............................................................................................................................. ..................................... 11.2 ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน/ผลการสอนของครู/ปัญหาที่พบ 1) การวัดผลและประเมินผล/ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน : ……………………………………………………….. ............................................................................................................................. ...................................... 2) สมรรถนะที่ผู้เรียนได้รับ : ................................................................................................ .......... ............................................................................................................................. ...................................... 3) สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม : ..………………………………………………………………… ……………........................................................................................................................ ........................... 4) ผลการสอนของครู : ..……………………………………………………………………………………..…………… ……………........................................................................................................................ ........................... 5) ปัญหาที่นำไปสู่การวิจัย : ..…………………………………………………............................................... ............................................................................................................................. ..................................... 11.3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการสอน/แก้ปัญหา 1) ผลการใช้และปรับปรุงแผนการสอนครั้งนี้ : .………………………………………………………................ ……………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2) แนวทางพัฒนาคุณภาพวิธีสอน/สื่อ/การวัดผล/เอกสารช่วยสอน ……………........................................................................................................................ .................. ……………........................................................................................................................ .................. ลงชื่อ (.........................................................) ครูผู้สอน ………./…………/…………
10 ใบความรู้ เรื่อง ความเหลื่อมล้ำ – ประชากรกลุ่มเปราะบาง – สิทธิมนุษยชน วรภัทร วีรพัฒนคุปต์ ที่มา: http://ucl.or.th/?p=3495 บทคัดย่อ ความเหลื่อมล้ำ (Inequality) หมายถึง ความไม่เสมอภาค ความแตกต่างกัน แบ่งแยก มี ช่องว่างระหว่างกลุ่มชนชั้นมักจะเป็นการกล่าวถึงความไม่เท่าเทียมกันระหว่าง “ผู้มีโอกาส” กับ “ผู้ขาด โอกาส” ซึ่งในที่นี้ ผู้เขียนให้ความสำคัญต่อผู้ขาดโอกาสที่ขอเรียกว่า “ประชากรกลุ่มเปราะบาง” อัน หมายถึงประชากรที่มีความอ่อนแอ หรืออ่อนด้อยในการรับมือกับปัญหาที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำทาง สังคม เปรียบเสมือนสิ่งของที่เปราะบางเสียหายง่ายทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเปราะบางของประชากร ประกอบด้วยลักษณะทางธรรมชาติและสุขภาพ การเป็นชนกลุ่มน้อย การถูกจองจำหรือจำกัดอิสรภาพ ความยากจน และความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้าง ซึ่งประชากรเหล่านี้มักไม่ได้รับการปฏิบัติตาม หลักการสิทธิมนุษยชน ผลที่เกิดขึ้นคือ ศักยภาพหรือความสามารถที่แฝงเร้นอยู่ในประชากรกลุ่มนี้มักไม่ได้แสดงออกมา เพราะไม่มีโอกาสหรือไม่มีพลังหรือเพราะเสี่ยงเกินไปที่จะริเริ่มสิ่งใหม่ ความเหลื่อมล้ำจึงทำลายทั้ง ศักยภาพของบุคคลของกลุ่มต่างๆและของสังคมประเทศชาติโดยรวม ดังนั้นเราจึงต้องแก้ไขความเหลื่อม ล้ำด้วยการปฏิบัติต่อประชากรอย่างเสมอภาคบนหลักสิทธิมนุษยชนเพื่อเป็นการปลดปล่อยพลังการผลิต ของสังคมออกมา ในที่นี้ ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่าการจะเสริมความเข้มแข็งให้ประชากรกลุ่มเปราะบาง ต้องเริ่มที่ การทำสวัสดิการของรัฐให้เป็น “สิทธิ”ที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าถึงอย่างเสมอหน้า ไปพร้อมกับการใช้ ระบบ “ภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้า” เพื่อคืนกำไรส่วนเกินมาเป็นสิทธิของประชากรระดับชั้นรองลงมา ที่มีฐานะเป็นทั้งแรงงานการผลิตและเป็นผู้บริโภค นอกจากนี้ยังต้องลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองหลวงกับท้องถิ่นต่างจังหวัด ด้วยการกระจาย อำนาจทางการเงินภาษีให้เข้าท้องถิ่นเป็นหลัก เพื่อให้ท้องถิ่นมีอำนาจจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่บริบท ของท้องถิ่น ไปพร้อมกับการปฏิรูปโครงสร้าง ลดขนาดราชการส่วนภูมิภาคเท่าที่จำเป็น พร้อมกับจัดตั้ง สภาพลเมืองเพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการกำหนดคุณภาพชีวิตตนเองอย่างเสมอหน้า นอกจากนี้เรายังต้องส่งเสริมค่านิยมการมองคนอย่างเสมอภาคและตระหนักในสิทธิของตนเอง ผ่านการจัดการศึกษาเพื่อความเป็นพลเมือง (Civic Education) ไปพร้อมๆกับการแก้ไขโครงสร้างระบบ กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม หรือเปิดช่องเอื้อต่อการเลือกปฏิบัติ ละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งปวง
11 ทั้งหมดนี้เพื่อให้ประชากรกลุ่มเปราะบางมีพลัง มีความเข้มแข็ง หลุดพ้นจากภาวะความกลัวทั้ง ปวงเพื่อเป็นไปตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน(Sustainable Development Goals/SDGs) ปฐมบท : “ความเหลื่อมล้ำ” นำมาซึ่งการละเมิดสิทธิมนุษยชน “ความเหลื่อมล้ำ” (Inequality) อันหมายถึงความไม่เสมอภาค ความแตกต่างกัน แบ่งแยก มี ช่องว่างระหว่างกลุ่มชนชั้น คือบริบทที่อยู่คู่กับสังคมโลกมาช้านาน เป็นปัญหาระดับโลกที่ทำให้องค์การ สหประชาชาติ(United Nations) ต้องหยิบยกมาเป็นวาระสำคัญของประชาคมโลก ในนามของ “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Sustainable Development Goals หรือ SDGs) (องค์การ สหประชาชาติประจำประเทศไทย, ออนไลน์, ม.ป.ป.) ทั้งหมด 17 เป้าหมาย เป้าหมายลำดับที่ 10 ของ SDGs คือ “ลดความเหลื่อมล้ำทั้งภายในและระหว่างประเทศ” เพื่อ ย้ำถึงความสำคัญว่า “ความเหลื่อมล้ำ” อันเป็นรากเหง้าของปัญหาต่างๆที่กลายมาเป็นเป้าหมายพึงต้อง แก้ไขให้ลุล่วงอีก 17 เป้าหมาย จากความหมายของคำว่า “ความเหลื่อมล้ำ” ที่ผู้เขียนได้อธิบายคำนิยามไว้ข้างต้น เราสามารถ ขยายรายละเอียดต่อไปได้อีกว่า ความเหลื่อมล้ำมักจะเป็นการกล่าวถึงความไม่เท่าเทียมกันระหว่าง “ผู้มี โอกาส” กับ “ผู้ขาดโอกาส” ซึ่งคำว่า “โอกาส” ในที่นี้ เราหมายถึงความสามารถในการเข้าถึงการมี อำนาจต่อรอง มีสิทธิในการจัดการทรัพยากรต่างๆในสังคม ความเหลื่อมล้ำนั้น บางครั้งอาจเป็น “เหตุ” และอาจเป็น “ผล” ในตัวเอง กล่าวคือ ความ เหลื่อมล้ำนั้นเป็นเหตุแห่งความไม่เท่าเทียมทางสังคม และในอีกทางหนึ่ง ก็กล่าวได้ว่า เพราะมนุษย์เกิด ขึ้นมาโดยไม่มีความเท่าเทียมกัน จึงก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นมา รูปแบบความเหลื่อมล้ำนั้น สามารถสรุปภาพรวมหลักๆได้ ดังนี้ 1) ความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งและรายได้ (Wealth and Income Inequality) ซึ่งเกิด จากการพัฒนาที่มีลักษณะไม่สมดุลหรือกระจุกตัวในบางพื้นที่หรือบางสาขาการผลิต ส่งผลให้ประโยชน์ ที่เกิดขึ้นจากการพัฒนากระจายไปไม่ทั่วถึงในเชิงพื้นที่และเชิงบุคคล 2) ความเหลื่อมล้ำด้านการกระจายโอกาส (Opportunity Inequality) ในการเข้าถึง โครงสร้างและบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ ทั้งในด้านการศึกษา การเข้าถึงสวัสดิการสังคม และการ เข้าถึงแหล่งทุนหรือปัจจัยการผลิต 3) ความเหลื่อมล้ำด้านอำนาจ (Power Inequality) ทั้งด้านสิทธิทางการเมือง อำนาจ ต่อรองในการเข้าถึงทรัพยากร และการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและทิศทางในการพัฒนาทั้งใน
12 ระดับประเทศและในระดับท้องถิ่น ส่งผลให้การจัดทรัพยากรเป็นไปอย่างไม่เท่าเทียม และอาจเกิดการ เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ต่อกลุ่มที่มีอำนาจในสังคมน้อย (อติวิชญ์ แสงสุวรรณ, 2558, หน้า 2) ทั้งนี้ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ยังเคยสรุปเรื่องความเหลื่อมล้ำไว้ ประกอบด้วย ความ เหลื่อมล้ำด้านรายได้ ด้านสิทธิ ด้านโอกาส ด้านอำนาจ และด้านศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทั้ง 5 มิตินี้มี ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันเพราะความเหลื่อมด้านหนึ่งก็อาจนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำด้านอื่นๆด้วย (สำนักงานปฏิรูป สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, 2555, หน้า14) เมื่อเกิดความเหลื่อมล้ำขึ้น ย่อมมีประชาชนที่ไม่ได้รับการปฏิบัติที่เสมอภาคและเป็นธรรม อย่าง ที่พึงสมควรจะได้รับตามหลักการในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights หรือ UDHR) ที่เราอาจเรียกประชากรเหล่านี้ได้ว่าเป็น “กลุ่มเปราะบางทางสังคม” ที่ ขาดโอกาส ไร้อำนาจต่อรองทางสังคม หรือมีสถานะเป็น “คนชายขอบ” (Marginal People) ทั้งนี้เราอาจจะสรุปความได้ว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมนั้น เป็นผลพวงจากโครงสร้าง สังคมไทยที่ไม่คำนึงในหลักการสิทธิมนุษยชนตั้งแต่ระดับแนวนโยบายสาธารณะ การบริหารราชการ แผ่นดินของภาครัฐ ที่เอื้อต่อระบบทุนแบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก อำนาจของท้องถิ่นที่จะจัดการ ผลประโยชน์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจท้องถิ่น การจัดสรรงบประมาณรายจังหวัดที่ขาดความเป็นธรรม ภายใต้อำนาจราชการรวมศูนย์จากส่วนกลาง มาจนเรื่องมายาคติ ค่านิยมของสังคมในหมู่ประชาชน ด้วยกันเอง ทั้งการกดขี่ แบ่งแยกด้วยเหตุแห่งความยากจน แบ่งแยกด้วยเหตุแห่งความเป็นกลุ่มชนที่ไร้ อำนาจต่อรอง อันหมายถึงกลุ่มเปราะบางทางสังคม ดังจะกล่าวถึงในบทถัดไป สภาวะสังคมที่เหลื่อมล้ำอย่างมากนั้นจะทำลายศักยภาพ หรือความสามารถที่แฝงเร้นอยู่ไม่ให้ ได้แสดงออกมา เพราะไม่มีโอกาสหรือไม่มีพลังหรือเพราะเสี่ยงเกินไปที่จะริเริ่มสิ่งใหม่ ความเหลื่อมล้ำจึง ทำลายทั้งศักยภาพของบุคคลของกลุ่มต่างๆและของสังคมประเทศชาติโดยรวม การจะปฏิรูปสังคมที่เหลื่อมล้ำจึงต้องมุ่งปลดปล่อยพลังการผลิตของสังคม ซึ่งไม่ได้หมายเพียง การผลิตด้านสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเท่านั้น แต่รวมถึงการผลิตสิ่งที่เป็นคุณค่า เช่น ศิลปะ วิชาความรู้ สติปัญญาและด้านจิตวิญญาณของสังคมด้วย (สำนักงานปฏิรูป สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพ แห่งชาติ, 2555, หน้า15) “ประชากรกลุ่มเปราะบาง” ผู้ถูกปฏิบัติโดยละเลย/ละเมิดสิทธิมนุษยชน ภายใต้บริบทสังคมไทยเหลื่อมล้ำ ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวถึง “ความเหลื่อมล้ำ” ไว้ดังข้างต้น ในบทนี้ ผู้เขียนขอให้ความสำคัญมุ่ง ประเด็นไปที่กลุ่มประชากร ที่ผู้เขียนขอเรียกว่า “ประชากรกลุ่มเปราะบาง” เนื่องด้วยเป็นกลุ่มที่ถูก แบ่งแยก กดทับ ละเลยและถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุดในสังคมที่เหลื่อมล้ำ การนิยามประชากรผู้ไร้อำนาจในสังคมที่เหลื่อมล้ำว่าเป็น “กลุ่มเปราะบาง” น่าจะเป็นการ
13 นิยามที่เข้าใจง่ายและชัดเจนที่สุด เพราะคำว่าเปราะบาง เมื่อเราเอามาใช้อธิบายสภาพสิ่งของ ก็จะเห็น ภาพว่าสิ่งของนั้นไม่ทนต่อสิ่งที่มากระทบ เสียหายแตกหักง่าย เมื่อเอาคำว่า “เปราะบาง” มาอธิบายเป็นนิยามลักษณะของประชากรโดยนัยทางสังคมศาสตร์ ความเปราะบางก็คือสภาพที่ทำให้ประชากรอ่อนแอ หรืออ่อนด้อย ไม่มีกำลังและความสามารถมาก พอที่จะรับมือกับปัญหาที่เข้ามากระทบ รวมทั้งไม่สามารถจะคาดการณ์หรือวางแผนล่วงหน้าได้อย่างมี ประสิทธิภาพว่าเมื่อเกิดปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นจะจัดการอย่างไร และเมื่อได้รับผลกระทบจาก ปัญหาจนอยู่ในสภาพที่เสียหลักล้มหรือ “บอบช้ำ” แล้ว จะสามารถ “ลุกขึ้น” และกลับคืนสู่สภาพที่เป็น ปกติได้อย่างไร (สถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล, 2560, หน้า 156) ทั้งนี้มีปัจจัยที่ทำให้มีประชากรกลุ่มเปราะบาง ดังต่อไปนี้ 1. ลักษณะทางธรรมชาติและสุขภาพร่างกาย ในหลายกรณี ความเปราะบางอาจเนื่องมาจาก ธรรมชาติของชีวิต ซึ่งหลีกเลี่ยงได้ยาก หรือไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย ในแง่นี้คนที่มีความเปราะบางอาจจะ เป็นเด็ก ผู้พิการแต่กำเนิด ผู้สูงอายุ ผู้หญิง และกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ(LGBT+) มากกว่า คนที่อยู่ในสถานภาพอื่น แต่ก็มีไม่น้อยที่ความเปราะบางเกิดเหตุการณ์ที่บุคคลได้ประสบ เช่น อุบัติเหตุ หรือการเจ็บป่วยที่ทำให้พิการทางกายและทางจิต รวมถึงการติดเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อเอชไอวี (HIV) ซึ่งอาจทำให้บุคคลถูกตีตราได้รับการปฏิบัติเสมือนเป็นคนชายขอบ 2. การเป็นชนกลุ่มน้อย ต่างเชื้อชาติ ต่างวัฒนธรรม ไปจากประชากรส่วนใหญ่ในสังคม ซึ่ง ประชากรในนิยามนี้อาจหมายถึงชาวเขา ชาวเล ชนชาติพันธุ์ ผู้อพยพมาจากประเทศอื่น แรงงานต่าง ด้าว โดยเฉพาะที่หนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ผู้อพยพหนีภัยความเดือดร้อนในถิ่นเดิมของตนเข้ามาใน ประเทศไทยรวมถึงคนที่เกิดบนแผ่นดินไทยแต่กลับมีสถานะเป็นบุคคลไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ไม่มีสถานะ ประชากรในทางกฎหมายกลุ่มชนเหล่านี้มักถูกแบ่งแยก กีดกัน เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ทำให้ไม่ได้ รับบริการสาธารณะในมาตรฐานเดียวกับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ 3. การถูกจำกัดอิสรภาพ หรือกักขังจองจำ ซึ่งนอกจากทำให้บุคคลสูญเสียอิสรภาพแล้ว ยัง เสียสิทธิบางอย่าง และขาดโอกาสที่จะเข้าถึงบริการที่เคยได้รับเหมือนคนปกติทั่วไป อีกทั้งมักถูกมอง ด้วยความรู้สึกแบ่งแยก ด้วยสภาพเช่นนี้ คนใน “ทัณฑสถาน” จึงมีความเปราะบาง และบางครั้งแม้จะ พ้นโทษ หรือได้รับพระราชทานอภัยโทษไปแล้ว แต่คนเหล่านี้ก็สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ยาก เพราะถูก สังคมตีตรา แบ่งแยก รังเกียจกีดกันไปแล้ว 4. ความยากจน ความยากจนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนจำนวนมากตกอยู่ในสภาพเปราะบาง ทั้งนี้เพราะความยากจนเป็นต้นเหตุของความอ่อนด้อยหลายด้าน ครอบครัวยากจนมักจะมีชีวิตอยู่ใน บ้านเรือนและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ถูกสุขลักษณะ สุขภาพไม่ดี เด็กที่เกิดในครอบครัวยากจนส่วนมากได้รับ
14 การศึกษาน้อย มีโอกาสที่จะได้รับการฝึกทักษะอาชีพน้อยกว่า ต้องทำงานที่หนักและเสี่ยงต่อสุขภาพ มากกว่า มีรายได้น้อยกว่า มีปัญหาสุขภาพมากกว่า และเมื่อเติบโตขึ้น เด็กจากครอบครัวยากจนมี โอกาสมากที่จะเป็นคนยากจนเหมือนรุ่นพ่อแม่ เพราะโดยมากแล้ว ความยากจนมักถูก “ส่งต่อ” จากคน รุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง โดยนัยนี้ ความยากจนก็มีโอกาสที่จะถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้เช่นเดียวกัน ในประเทศ ส่วนมาก รวมทั้งประเทศไทยด้วย คนยากจนคือคนกลุ่มเปราะบางที่ใหญ่ที่สุด และเป็นประชากร ส่วนมากของประเทศ 5. โครงสร้างสังคมที่ไม่เป็นธรรม โครงสร้างสังคมในกรณีนี้อาจเปรียบได้เหมือนฐานที่รองรับ ทุกอย่างในสังคม ฐานรองรับนี้มีหลายส่วนที่ประกอบกันอยู่ ที่สำคัญได้แก่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำมา หากิน(เศรษฐกิจ) ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดระบบความสัมพันธ์พึ่งพากันของผู้คน ส่วนที่เกี่ยวกับระบบ การดูแลรักษาสุขภาพ การเข้าถึงการศึกษา และอื่นๆอีกหลายส่วน โครงสร้างแต่ละส่วนที่ว่านี้หากไม่มี ความเป็นธรรมจะเกิดผลกระทบมากมาย หนึ่งในนั้นคือจะทำให้คนบางกลุ่มมีสถานะที่ได้เปรียบ ขณะที่ กลุ่มคนที่เหลือกลายเป็นผู้เสียเปรียบในทุกด้าน เช่น ถ้าโครงสร้างส่วนที่เกี่ยวกับระบบการทำมาหากิน ไม่เป็นธรรม ผลของการพัฒนาที่รัฐลงทุนไป ก็มีโอกาสที่จะไปตกอยู่กับกลุ่มที่ได้เปรียบกว่ากลุ่มอื่นๆ ใน เรื่องการศึกษาก็เช่นเดียวกัน โครงสร้างระบบการศึกษาที่ไม่เป็นธรรม ทำให้คนกลุ่มเปราะบางได้รับ การศึกษาที่ดีและเพียงพอได้ยากลำบากกว่ากลุ่มอื่น เมื่อเป็นเช่นนั้นกลุ่มที่อยู่ล่างสุดที่มีความได้เปรียบ น้อยก็จะกลายเป็นกลุ่มเปราะบาง เพราะสาเหตุนี้โดยมาก ก็คือ “ความยากจน” นั่นเอง (สถาบันวิจัย ประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล, 2560, หน้า156-157) ทั้งนี้ผู้เขียนขอลงรายละเอียดเพิ่มเติมเป็นพิเศษในเรื่องของความยากจน อันเป็นทั้งเหตุต้นและ ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดของ “ความเหลื่อมล้ำ” อันเป็นประเด็นหลักในการเขียนบทความนี้ เมื่ออ้างอิงจาก รายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย จะพบว่า ไทยมีความเหลื่อมล้ำอยู่ในระดับสูง โดยปี 2558 อยู่ที่ ร้อยละ 38 แม้จะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2534 ที่อยู่ระดับร้อยละ 46 แต่ความแตกต่างของรายได้กลุ่มที่มี รายได้สูงที่สุดกับกลุ่มที่มีรายได้ต่ำที่สุดอยู่ที่ 10.3 เท่า ซึ่งกลุ่มรายได้สูงสุดมีรายได้รวมกันเกินร้อยละ 50 ของประชากรไทย (ชุตินันท์สงวนประสิทธิ์, ออนไลน์, 2562) แปลความได้ว่า กลุ่มประชากรที่ร่ำรวยที่สุดลำดับต้นๆของประเทศ มีรายได้รวมกันแล้ว มากกว่ารายได้รวมกันของประชากรร้อยละ 50 ของประเทศที่มีฐานะระดับล่างลงมา และจากการจัดกลุ่มสาเหตุแห่งความ “เปราะบาง” ทั้ง 5 ข้อ เป็นสาเหตุที่ทำให้มีประชากร กลุ่มเปราะบางเกิดขึ้นหลายกลุ่ม ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้หญิง เด็ก คนเร่ร่อน/คนไร้บ้าน กลุ่มผู้มีความ หลากหลายทางเพศผู้พิการทางกายและจิต คนที่มีปัญหาทางพฤติกรรมและการเรียน ชนกลุ่มน้อย
15 กลุ่มชาติพันธุ์คนที่มีปัญหาสถานะบุคคล คนไร้รัฐไร้สัญชาติ คนพลัดถิ่น ผู้ต้องขังใน ทัณฑสถาน คน ยากจน และแรงงานต่างด้าว(สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล, 2560, หน้า 157) ความเหลื่อมล้ำที่มีหลายด้านอันเชื่อมโยงสัมพันธ์ส่งผลต่อกัน ยังส่งผลให้บางคนอาจเป็น ประชากรกลุ่มเปราะบางในบริบทที่ทับซ้อนกันได้อีก เช่น เป็นผู้หญิงข้ามเพศ (Trans Women)ที่ ประกอบอาชีพพนักงานบริการทางเพศ (Sex Worker) เป็นต้น นอกจากสภาวะความเปราะบางที่ทับซ้อนให้บุคคลคนหนึ่งมีความเปราะบางได้หลายปัจจัย แล้ว ความเหลื่อมล้ำแต่ละด้านก็สามารถเชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ เช่น การเป็นบุคคลข้ามเพศ (Transgender) ที่ทำให้โอกาสทางการงานไม่เท่าเทียมบุคคลที่มีเพศสภาพตรงกับเพศกำเนิด การเป็น ชาวเลที่ไม่มีสถานะพลเมืองไทยทำให้ไม่สามารถถือครองที่ดิน รับบริการจากรัฐ ไม่มีธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อ จ้างงานชาวเลด้วยกัน การที่เพศหญิงถูกผู้ชายกระทำความรุนแรงในครอบครัวสุ่มเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า เกิดภาระค่ารักษาพยาบาล สูญเสียรายได้จากการต้องหยุดงานหรือความสามารถในการผลิตลดลงใน การทำงาน การมีกฎหมายปราบปรามการค้าประเวณีที่ทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจที่รัฐพึงได้หายไปเพราะ การถูกเจ้าหน้าที่รัฐหาประโยชน์กับพนักงานบริการทางเพศ (Sex Worker) การถูกกีดกันทางสังคมของ ผู้เคยต้องโทษจำคุกทำให้ไม่สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วต้องกลับสู่วงจรอาชญากรภาวะยากจนที่ทำให้ เกิดคนไร้บ้าน การเข้าไม่ถึงทรัพยากรที่ดินที่ทำให้เกษตรกรต้องเช่าที่ดินเป็นภาระต้นทุนเพิ่มสูงแต่ รายได้ต่ำหรือต้องยอมเข้าสู่ภาวะเสียเปรียบในระบบเกษตรพันธสัญญา นโยบายป่าไม้ที่ทำให้ชนชาติ พันธุ์ไม่สามารถใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากป่าไปพร้อมกับการอนุรักษ์ตามวิถีภูมิปัญญาของตน นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ทำให้เกษตรกรผู้ผลิตอาหารธรรมชาติไม่สามารถดำรงวิถีการ ผลิตส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) หรือต้องมีภาระการรักษาพยาบาลความเจ็บป่วย อันเป็นผลจากมลภาวะ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกลับมาที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมทั้งสิ้น ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องแก้โครงสร้างทางสังคมที่เหลื่อมล้ำ เพื่อให้ประชากรกลุ่มเปราะบาง สามารถปลดปล่อยศักยภาพของตนออกมาได้อย่างเต็มที่ และมีอำนาจต่อรองทางสังคมอย่าง เสมอหน้า อันจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและความปรองดอง สันติสุขของสังคม ก้าวข้าม “ไทยเหลื่อมล้ำ” สู่ “ไทยเสมอหน้า” การพัฒนาต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผู้เขียนเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปสังคมไทยด้วยข้อเสนอดังต่อไปนี้ 1)รัฐสวัสดิการเพื่อสังคมเสมอหน้า บ่อยครั้งที่เราพูดถึงการดำเนินนโยบายสำหรับประชากรกลุ่มเปราะบาง เรามักจะนึกถึงการ “สงเคราะห์”ในรูปแบบที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นไปในลักษณะแนวดิ่ง โดยผู้รับ คือผู้อยู่เบื้อง ล่าง แต่การเป็น “รัฐสวัสดิการ” (Welfare State) นั้นคือสิ่งที่มากกว่าการดูแลคุณภาพชีวิตประชาชน
16 อย่างครบวงจรตั้งแต่มนุษย์อยู่ในครรภ์จนวันที่สิ้นลมหายใจ แต่ยังหมายถึง การมีสวัสดิการสังคมเป็น หลักรองรับแก่ประชาชนทุกคน ไม่ว่ายากดีมีจน บนฐานคิดที่ว่ารัฐต้องดูแลมนุษย์ทุกคน เป็น “สิทธิ” ขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนมีโอกาสใช้ร่วมกันได้ทันทีที่เป็นมนุษย์ตั้งแต่ในครรภ์ เติมเต็ม ต้นทุนมนุษย์ให้เต็มเพียงพอแก่การที่จะสามารถพัฒนาศักยภาพตนเองเพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการ ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อความเป็นคนที่เท่าเทียมเสมอหน้ากัน ทั้งนี้ผู้เขียน ขอเสนอว่าควรดำเนินการจัดสวัสดิการโดยอ้างอิงหลักทางการทางสังคมสงเคราะห์ ศาสตร์ให้จัดสวัสดิการสังคมในรูปแบบสวัสดิการแบบพหุลักษณ์ (Pluralism Model) คือการจัด สวัสดิการที่คำนึงถึงความหลากหลายความต้องการของมนุษย์ ซึ่งต้องเชื่อมโยงงานต่างๆให้สัมพันธ์กับวิถี ชีวิตของมนุษย์อย่างเป็นองค์รวม ความหลากหลายของวิธีการทำงาน รวมทั้งความหลากหลายเจ้าภาพ อาทิ บริการสวัสดิการสังคมที่จัดโดยภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน นอกจากนี้ยังมีการ ผสมผสานความหลากหลายของสหวิชาชีพ หน่วยงาน องค์การ และภาคีทุกภาคส่วนให้เข้ามาร่วมคิด ร่วมแก้ไขปัญหา บนความสัมพันธ์เสมอภาคในรูปแบบหุ้นส่วนการพัฒนา (จิตติ มงคลชัย อรัญญา, ชิน ชัย ชี้เจริญ และ พงษ์เทพ สันติกุล ,2549, หน้า6) อีกหลักคิดสำคัญ คือการทำงานบนหลักการ “Help Them to Help Themselves” หรือการ ช่วยเหลือเพื่อให้ผู้รับบริการสามารถช่วยเหลือตนเองได้ และอาจยกระดับมาเป็นเครือข่ายในการร่วม พัฒนาช่วยเหลือผู้อื่นได้ต่อไปอีก โดยใช้การเสริมพลัง (Empowerment) เปลี่ยนจากผู้ต้องรับการ สงเคราะห์ในแนวดิ่งมาเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาในความสัมพันธ์แนวราบ ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบของการมา เป็นเครือข่ายสนับสนุนประคับประคองประชากรกลุ่มปัญหาเดียวกัน ไปจนถึงการเป็นคณะกรรมการใน การกำกับนโยบายในสัดส่วนที่มีเสียงเพียงพอในการต่อรองกับภาครัฐได้ ทั้งนี้ผู้เขียนอาจกล่าวได้ว่าประเทศไทย มีตัวอย่างรูปธรรมของสวัสดิการถ้วนหน้าที่เป็นรูปธรรม ความสำเร็จในการทำลายกำแพงแห่งความไม่เท่าเทียมระหว่างชนชั้น เช่น ระบบหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ(บัตรทองรักษาทุกโรค) อันได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ นอกจากนี้ผู้เขียนยังสนับสนุน ข้อเสนอสวัสดิการที่ภาคประชาชนกำลังร่วมกันเสนออย่างแข็งขัน อาทิ กองทุนบำนาญแห่งชาติฉบับ ประชาชน(บำนาญถ้วนหน้าและไม่ต่ำกว่าเส้นความยากจน) เงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า (ปัจจุบัน นโยบายนี้ดำเนินการอยู่โดยมีระบบคัดกรองความยากจน) เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐยังพึงควรสนับสนุนการจัดสวัสดิการสังคมของชุมชนหรือภาคประชาสังคมให้มี ความเข้มแข็งเพื่อเป็นแนวร่วมสนับสนุนรัฐ เช่น กองทุนสัจจะออมทรัพย์ เป็นต้น ทั้งนี้บทเรียนของประเทศสวีเดน การเป็นรัฐสวัสดิการ หาได้ทำให้ประชาชนเกียจคร้าน ตรงกัน ข้ามประชาชนมีความตั้งใจทำงานเพื่อมีเงินจ่ายภาษี หากตกงานก็มีเงินอุดหนุนเพียงพอจนกว่าจะมี
17 อาชีพใหม่ (มีเงื่อนไขกำหนด) ผู้คนจึงมีความกล้าที่จะคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ไม่กลัวความล้มเหลว เพราะมีโครงข่ายรองรับทางสังคมที่ประชาชนรู้สึกอุ่นใจ จนสวีเดนนับเป็นประเทศประสบความสำเร็จใน การส่งเสริมเกิดธุรกิจสตาร์ทอัพ 2)ลดช่องว่างทางรายได้ โอกาส ทรัพยากร เมื่อเรานึกถึงประเทศที่เป็นต้นแบบรัฐสวัสดิการของโลก สิ่งที่ต้องพูดถึงโดยขาดไม่ได้ ก็คือ เรื่อง “ภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้า” ซึ่งแน่นอนว่าคือการหาเงินมาเพื่อทำสวัสดิการของรัฐ ซึ่ง ประสบการณ์ของประเทศที่มีระบบภาษีแบบนี้ก็สามารถทำสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรจากครรภ์ มารดาถึงเชิงตะกอนออกมาได้ดีแต่เจตนารมณ์ที่แท้จริงของระบบภาษีแบบนี้ คือการ “ลดความเหลื่อม ล้ำ” โดยตั้งอยู่บนฐานคิดว่าประชากรทุกคนมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ผู้ใช้แรงงาน เป็นทุนมนุษย์ที่มีคุณค่าไม่ด้อยไปกว่านายทุนเจ้าของเงิน จึงเป็นการเหมาะสมที่จะแบ่งส่วนต่างกำไรใน มือนายทุนมาคืนเป็น “สิทธิ” ของประชากรผู้ที่เป็นทั้งแรงงานและผู้บริโภค กระจายความมั่งคั่งอย่าง ชอบธรรม ที่ประเทศสวีเดน หนึ่งในประเทศต้นแบบรัฐสวัสดิการของโลก มีบทเรียนน่าสนใจเรื่องการใช้ กลไกภาษีอัตราก้าวหน้าอยู่ตรงที่คนที่เสียภาษีมากที่สุดในสวีเดนก็คือชนชั้นกลางทั่วไป ไม่ใช่เพียงแค่ นักธุรกิจร้อยล้านที่อยู่บนยอดสุดของพีรามิด ในทางกลับกันคนรวยก็ยังคงใช้สิทธิประโยชน์ในการเข้าถึง การศึกษาที่มีคุณภาพ ระบบบริการสุขภาพ และศูนย์ดูแลเด็กที่ดี นอกจากนี้ภาษีถูกจ่ายไปให้ท้องถิ่น ก่อนเป็นหลัก ซึ่งเป็นผู้จัดสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุข และการคมนาคม เพราะฉะนั้นคนสวีดิ ชจึงมีความสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่นของตัวเองอย่างมาก (เกตน์สิรี ทศพลไพศาล, ออนไลน์, 2562) นอกจากนี้ หากนำภาษีอัตราก้าวหน้ามาปรับใช้กับเรื่องของการถือครองที่ดิน นอกจากได้เงิน เข้ารัฐแล้ว ก็ยังจะนำไปสู่การกระจายการถือครอง “ที่ดิน” อันเป็นปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิตและ เป็น “ปัจจัยการผลิต”สำคัญในทางเศรษฐศาสตร์ ลดแรงจูงใจในการสะสมที่ดินไว้เก็งกำไรของกลุ่มทุน ซึ่งสำหรับประเทศไทยที่ทุกวันนี้มีหน่วยงาน “สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)” อยู่แล้ว หากเร่งเปลี่ยนผ่านสู่การจัดตั้ง “ธนาคารที่ดิน” ตามหลักการที่ภาคประชาชนวางไว้แต่แรก เรา จะสามารถจัดหาที่ดินที่ถูกถือครองโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ มาจัดสรรให้คนไร้ที่ดินสามารถถือครองร่วมกัน แล้วกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ได้รับการจัดสรรที่ดินต้องใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจในเชิงสร้างสรรค์ เช่น ต้อง ทำเกษตรอินทรีย์ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ เป็นต้น 3)คืนอำนาจให้ท้องถิ่น เดินหน้า “จังหวัดจัดการตนเอง” ดังที่ผู้เขียนได้หยิบยกประสบการณ์การลดความเหลื่อมล้ำของสวีเดนมาอ้างอิงในข้อเสนอข้อที่ 2 ว่า เรื่องการจัดการภาษีนั้น สวีเดนลำดับความสำคัญให้ท้องถิ่นเป็นลำดับแรกนั้น นี่คือการลดความ
18 เหลื่อมล้ำระหว่างเมืองหลวงกับท้องถิ่นนอกเขตเมืองหลวงอย่างมีนัยยะสำคัญ ด้วยการให้อำนาจในการ เก็บเงินภาษีที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น เป็นอำนาจในมือของท้องถิ่นเพื่อการจัด สวัสดิการสังคมได้สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่นซึ่งหากมาปรับใช้กับประเทศไทย ก็จะเป็นการกระจาย อำนาจให้เกิดท้องถิ่นรูปแบบพิเศษในนาม “จังหวัดจัดการตนเอง” จังหวัดจัดการตนเอง หมายถึง การ ที่ประชาชนในจังหวัดมีส่วนร่วมในการตัดสินใจกำหนด ทิศทางการพัฒนา การบริหารจัดการจังหวัดของ ตนเองในทุกด้าน ทั้งด้านการเมืองเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สุข ภาวะทางร่างกาย จิตใจ สังคมปัญญา ที่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของประชาชน เมื่อเกิด ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสังคม ก็สามารถจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆในท้องถิ่นได้ด้วยตนเองและ เท่าทันกับสถานการณ์ ซึ่งการกระจายอำนาจให้ลงไปถึงประชาชนอย่างแท้จริงนั้นจะต้องมีการปฏิรูป โครงสร้างอำนาจโดยการกระจายอำนาจบริหารจัดการจากรัฐบาลไปสู่ท้องถิ่น และกระจายอำนาจของ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นไปสู่ประชาชน ชุมชน และภาคประชาสังคม ซึ่งรูปแบบโครงสร้างการ กระจายอำนาจดังกล่าวจะนำไปสู่รูปแบบ “จังหวัดปกครองตนเอง” อันเป็นโครงสร้างการปกครอง ท้องถิ่นสองระดับ ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับบน คือ “จังหวัดปกครองตนเอง” และองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ระดับล่าง คือ “เทศบาล” และ “องค์การบริหารส่วนตำบลที่มีเขตพื้นที่การ ปกครองบางส่วนของจังหวัด”(ศรัณย์ จิระพงษ์สุวรรณ, ออนไลน์, ม.ป.ป.) นอกจากนี้ ควรเพิ่มการมีส่วนร่วมของคนท้องถิ่นในรูปแบบ “สภาพลเมือง” ในท้องถิ่นทุกระดับ เพื่อยกระดับประชาชนในการจัดการอนาคตท้องถิ่นของตนเอง ถ่วงดุลฝ่ายบริหาร รวมถึงการกำหนด ผลประโยชน์ที่ท้องถิ่นพึงควรได้รับจากการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นของ ตน และที่สำคัญคือ เพื่อการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มภาคภูมิ 4)การศึกษาที่ส่งเสริมความเป็นพลเมือง (Citizenship) ภาครัฐ และภาคประชาสังคม และชุมชน ควรมีบทบาทร่วมกันในการจัด “การศึกษาเพื่อสร้าง ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย” (Civic Education) เพื่อให้ประชากรของเรามีสำนึกความ เป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย(Citizenship) ที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนบนโลกพึงมี เท่ากันโดยมิอาจละเมิดได้ยอมรับในเกียรติภูมิความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น ยอมรับความแตกต่าง หลากหลายของบุคคลและมีเคารพตนเองตระหนักในสิทธิ และหน้าที่ที่ตนพึงมีต่อสังคม 5)แก้ไขความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง สู่ความเป็นสังคมคนไทยที่เท่าเทียม อีกประการสำคัญคือ เราต้องทำงานกับการเปลี่ยนแปลงตัวบทกฎหมายที่ทำให้คนไม่เท่ากัน กฎหมายที่ปิดกั้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า กฎหมายที่ทำให้ประชากรกลุ่มเปราะบางไม่สามารถปกป้อง สิทธิของตนได้ เป็นต้นว่า การขับเคลื่อนแก้ไขกฎหมายที่ผู้เขียนกำลังให้ความสนใจอันเกี่ยวข้องกับ
19 ข้อเสนอของผู้เขียนนั้น มีทั้งเรื่องการคัดค้านความพยายามที่จะแก้กฎหมายที่จะนำไปสู่การผูกขาดเมล็ด พันธุ์พืชไว้ในมือกลุ่มทุนใหญ่ ลิดรอนสิทธิการเก็บเมล็ดพันธุ์ของประชาชน การเรียกร้องยกเลิกกฎหมาย ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีที่เป็นช่องทางให้ผู้มีอิทธิพลในเครื่องแบบหาประโยชน์จาก พนักงานบริการทางเพศ (Sex Worker) การผลักดันกฎหมายรับรองเพศสภาพ เพื่อให้บุคคลสามารถใช้ คำนำหน้านามได้ตามเพศวิถีอันหมายถึงการที่บุคคลเพศทางเลือกจะไม่ถูกกีดกันเลือกปฏิบัติในการ เข้าถึงบริการสาธารณะ การสมัครงาน โอกาสการเติบโตในหน้าที่การงาน การดำเนินการคืนสัญชาติให้ คนไทยพลัดถิ่น ฯลฯ และเรื่องหนึ่งที่รัฐไทยได้ดำเนินการเป็นรูปธรรมแล้วในปี พ.ศ.2562 ที่ผ่านมา คือ การคุ้มครอง สิทธิให้บุคคลที่พ้นโทษคุมขังสามารถประกอบอาชีพหมอนวดแผนไทยได้ทันทีที่ได้รับโทษครบตาม กำหนดแล้วโดยไม่ต้องรอเว้นระยะเวลา 1 ปี ก็นับเป็นตัวอย่างรูปธรรมที่ดีในข้อเสนอนี้ ด้วยเป็นการลด ความเหลื่อมล้ำที่เกิดกับบุคคลที่ถูกกีดกันออกจากสังคมด้วยเหตุที่เคยต้องโทษคุมขัง อีกประการสำคัญที่สังคมไทยจำเป็นต้องเร่งดำเนินการ นั่นคือเรื่องของการปฏิรูปกระบวนการ ยุติธรรมทั้งระบบ อันเป็นอีกวาระสำคัญที่เป็นความเหลื่อมล้ำฝังรากในสังคมไทยมาช้านาน จนกระทั่งมี คำเปรียบไว้ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” ด้วยที่ผ่านมาได้ปรากฏข่าวคดีความต่างๆมากมายที่ทำให้สังคมไทย ตั้งคำถามถึง “มาตรฐาน” ของกระบวนการยุติธรรมที่ใช้ดำเนินการในคดีของคนรวยกับคนจน ข้อครหา ในเรื่องมาตรฐานการทางคดีที่ใช้กับคดีความขัดแย้งทางการเมืองในรอบ 10 กว่าปีมานี้ ยังไม่นับถึงการ ละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดโดยเชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นเป็นใจหรือเป็นผู้กระทำเสียเอง ทั้งการซ้อม ทรมานบุคคลเพื่อให้รับสารภาพในข้อกล่าวหาที่ถูกยัด การบังคับบุคคลให้บุคคลหายสาบสูญที่เกิดขึ้นต่อ ประชาชนที่เป็นคู่ขัดแย้งของรัฐ รวมถึงการข่มขู่ คุกคาม แม้กระทั่งใช้กลไกการฟ้องร้องคดีเพื่อคุกคาม นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรมที่มักเกิดกับคนจนผู้มี อำนาจต่อรองทางสังคมน้อย อันพึงจะต้องได้รับการแก้ไข ปรับปรุงระบบกฎหมายทั้งระบบเพื่อขจัด ปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป ปัจฉิมบท: หยุดความเหลื่อมล้ำ = ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน การแก้ไขความเหลื่อมล้ำลำดับแรกสุดคือเรื่องความมั่งคั่งและรายได้ เราไม่อาจหวังการอำนวย ให้กลุ่มทุนใหญ่สะสมความมั่งคั่งให้ได้มากที่สุดแล้วมาดึงกลุ่มชนชั้นล่างทางเศรษฐกิจขึ้นไปได้อย่างที่เคย เชื่อกันมา แต่เราต้องหาทางนำกำไรส่วนเกินที่มีมากเกินไป กลับมากระจายคืนเป็น “สิทธิ” ที่ประชาชน ระดับล่างผู้ซึ่งเป็นทั้งแรงงานและผู้บริโภค ให้เข้าถึงการเติมต้นทุนมนุษย์ส่วนที่พร่องลงไปให้เต็ม ให้ ประชากรกลุ่มเปราะบางเพราะความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสามารถเข้าถึงโอกาสทางสังคมอย่าง เพียงพอในฐานะพลเมือง ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการมุ่งกระจายทรัพยากรขั้นพื้นฐานที่มนุษย์พึงมี อย่าง
20 “ที่ดิน” ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องความเป็นธรรมแล้ว นี่ยังเป็นโอกาสในการส่งเสริมศักยภาพการเป็น ประเทศผู้ผลิตของไทย กระจายความเติบโตของเศรษฐกิจจากที่ถูกผูกขาดโดยคนไม่กี่กลุ่มไม่กี่ตระกูล ให้มีหลากหลายกลุ่มหลากหลายขนาด หลายรูปแบบธุรกิจดังเช่นประเทศสวีเดน ขณะเดียวกันเรายังมีความเหลื่อมล้ำในด้านโอกาสและอำนาจ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐและภาคประชา สังคมต้องรวมพลังในการทำงานเพื่อแก้ไข ด้วยการส่งเสริมการเป็นเครือข่ายของประชากรกลุ่ม เปราะบางให้เชื่อมร้อยสนับสนุนกัน พร้อมองค์ความรู้ในการทำงานพิทักษ์สิทธิโดยอาศัยพลังของ “สห วิชาชีพ” และยกระดับสู่การรณรงค์เปลี่ยนแปลงค่านิยมที่แบ่งแยก ยอมรับความชอบธรรมของภาวะ เหลื่อมล้ำ ผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง นโยบาย กฎหมาย บนหลักการสิทธิมนุษยชน เป้าหมายสูงสุดที่เราจะต้องไปให้ถึงคือสังคมที่คนเสมอหน้ากันทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงโอกาสของประชากรกลุ่มเปราะบางทุกกลุ่มที่จะสามารถมีชีวิตที่มั่นคง หลุดพ้นจากภาวะกลัว ความอดอยากหิวโหย เจ็บป่วย ความไม่เป็นธรรมทั้งปวง เด็กไทยทุกคนต้องเติบโตพร้อมโอกาสที่จะ พัฒนาตนเองตามศักยภาพเฉพาะตนที่มีอยู่อย่างหลากหลาย รวมถึงเลือกเพศวิถีได้ด้วยตนเอง เมื่อเติบ ใหญ่เข้าสู่การเป็นแรงงานก็ได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม ผู้ที่ต้องการเป็นผู้ประกอบการรายย่อยรุ่นใหม่ต้อง สามารถเริ่มความฝันได้โดยไม่ต้องกลัวการล้มเพราะมีระบบสวัสดิการสังคมที่พร้อมรองรับ คนที่ค้นพบ เพศวิถีของตนต้องสามารถรับสิทธิบริการทางสาธารณสุขเพื่อการมีเพศสภาพตรงตามวิถีของตนได้ มี สถานะทางกฎหมายตรงตามเพศวิถี มีสิทธิในการจัดตั้งครอบครัวเสมอชายหญิง แรงงานสตรี/ผู้มีความ หลากลายทางเพศต้องได้รับค่าตอบแทนและโอกาสในการเจริญก้าวหน้าทางงานเสมอกับบุรุษเพศ คน วัยเกษียณได้รับการดูแลจากรัฐอย่างเหมาะสม สังคมสงบสุขด้วยกระบวนการยุติธรรมที่ยึดหลักสิทธิ มนุษยชน รวมไปถึงการที่สังคมท้องถิ่นต้องมีอำนาจในการกำหนดอนาคตของตนเอง และที่สำคัญคือ ประเทศไทยจะต้องบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ให้ครบ 17เป้าหมายให้จงได้ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่วางไว้ในคำปรารภในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน “…ปฏิญญาสูงสุดของสามัญชน ได้แก่ความต้องการให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกด้วยอิสรภาพใน การพูดและความเชื่อถือและอิสรภาพพ้นจากความหวาดกลัว และความต้องการ” (สำนักงาน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, 2550, หน้า 4) เอกสารอ้างอิง เกตน์สิรี ทศพลไพศาล. (2562). รัฐสวัสดิการสวีเดน ความอุ่นใจในชีวิต ที่ช่วยให้คนผลักดันประเทศ ไปข้างหน้า. สืบค้น 8 มิถุนายน 2563, จาก https://workpointtoday.com/sweden
21 welfare-tax/ โครงการสุขภาพคนไทย. (2560). เสริมพลังกลุ่มเปราะบาง สร้างสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน. สุขภาพคนไทย 2560 (น.156-157). นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล. จิตติ มงคลชัยอรัญญา, ชินชัย ชี้เจริญ และ พงษ์เทพ สันติกุล. (ม.ป.ป.). แผนยุทธศาสตร์ 5 ปี สร้าง สวัสดิการสังคมไทย ความหวังใหม่เพื่อสังคมไทยอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.) ชุตินันท์ สงวนประสิทธิ์. (2562). ตีแผ่ปัญหาเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เป็นไปได้แค่ไหนที่จะลดช่องว่าง ระหว่างคนจนและคนรวย. สืบค้น 5 มิถุนายน 2563, จาก https://thestandard.co/thaiinequality/ แนวทางการปฏิรูปประเทศไทย ข้อเสนอต่อพรรคการเมืองและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (พิมพ์ครั้งที่ 2). (2555). (น 14-.15). นนทบุรี: สำนักงานปฏิรูป สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ. ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน. (2550). (น. 4). กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ. ศรัณย์ จิระพงษ์สุวรรณ. (ม.ป.ป.). จังหวัดจัดการตนเอง. สืบค้น 12 มิถุนายน 2563, จาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=จังหวัดจัดการตนเอง องค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย. (ม.ป.ป.). เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ ไทย. สืบค้น 1 มิถุนายน 2563, จาก https://www.un.or.th/globalgoals/th/the-goals/ อติวิชญ์ แสงสุวรรณ. (ม.ป.ป.). ความเหลื่อมล้ำ. กรุงเทพฯ: รัฐสภาไทย. สืบค้น 1 มิถุนายน 2563, จาก https://library2.parliament.go.th/ebook/content-issue/2558/hi2558-052.pdf
22 ใบงานที่1 วิชา การพัฒนาอย่างยั่งยืน ชื่อเรื่อง สืบค้นข้อมูลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความ ยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ชื่อ…………………….………………………………….ระดับชั้น…….........… เลขที่……… กลุ่ม....................... จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives) 1.สืบค้นข้อมูลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความ ยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม แหล่งเรียนรู้ 1.หนังสือเรียน หนังสืออางอิง หนังสืออานประกอบ และวารสารเกี่ยวกับโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดำริ 2.เว็บไซตที่เกี่ยวของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทางอินเทอรเน็ต เครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์ (Tools, materials and equipment) - ลำดับขั้นการทำกิจกรรม (Step of Activity) 1.ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3–4 คน แบ่งหน้าที่รับผิดชอบในกลุ่ม 2.สืบค้นข้อมูลเพื่อสืบค้นข้อมูลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัด ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยร่วมกันวิเคราะห์แนวคิด เหตุผลและความจำเป็น ของการดำเนินโครงการต่อไปนี้ 1)พันธุ์ปลาพระราชทาน 2)พันธุ์พืชพระราชทาน 3)โคนมพระราชทาน 3.สมาชิกกลุ่มจับคู่เพื่อปฏิบัติกิจกรรมตามประเด็นที่กำหนด เมื่อปฏิบัติกิจกรรมเสร็จเรียบร้อย แล้ว สมาชิกกลุ่มแต่ละคู่เขียนรายละเอียดของข้อมูล 4.แต่ละกลุ่มรวบรวมข้อมูลจากข้อ 3 ของสมาชิกกลุ่มทุกคน แล้วร่วมกันลงสรุปเป็นข้อมูล สมาชิกกลุ่มทุกคน แล้วร่วมกันลงสรุปเป็นข้อมูลของกลุ่ม รวมทั้งออกแบบรูปแบบการนำเสนอให้ น่าสนใจ เช่น ทำเป็นแผนที่ความคิดหรือ infographic พิมพ์เป็นโปสเตอร์ หรือนำเสนอด้วยโปรแกรม นำเสนอข้อมูลของคอมพิวเตอร์
23 5.ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลงานและร่วมแสดงความคิดเห็นกับกลุ่มอื่น ผลการสืบค้นข้อมูล ............................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................................................. ......................................
1 แผนการจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นสมรรถนะอาชีพที่ 8 หน่วยที่ 4 . ชื่อวิชา การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) รหัสวิชา 20001 – 1002 ท–ป–น (1-2-2) . สัปดาห์ที่ 8 . สอนครั้งที่ 8(22-24) . ชื่อหน่วย โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การพัฒนาอาชีพ เพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม(ต่อ) . จำนวนชั่วโมง 3 ชม. 1.ผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับหน่วยการเรียน ประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 2.อ้างอิงมาตรฐาน / เชื่อมโยงกลุ่มอาชีพ - 3.สาระการเรียนรู้ 5)โครงการหลวง 6)มูลนิธิพระดาบส 4.สมรรถนะประจำหน่วย 1)แสดงความรูเกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 2)ใช้หลักคิดจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต 5.จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ด้านความรู้(Knowledge) 1)อธิบายความรู้เกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ ด้านทักษะ/กระบวนการ (Process) - คุณลักษณะที่พึงประสงค์ (Attitude) 1)มีเจตคติที่ดีในการปฏิบัติตามศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2)มีวินัย ความรับผิดชอบ ความเชื่อมั่นในตนเอง ความสนใจใฝ่รู้ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใน การเรียน
2 ด้านการประยุกต์ใช้(Apply) 1)ประยุกตใชความรูเกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 6.กิจกรรมการเรียนการสอน 6.1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน(Warm up) ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน 1) ผู้สอนใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) โดยการทบทวนความรู้เดิมจาก ครั้งที่ผ่านมา ในเรื่องโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม พันธุ์ปลาพระราชทาน พันธุ์พืชพระราชทาน และโคนมพระราชทาน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความ พร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ของตน โดยครูตั้งคำถามกระตุ้นความสนใจของ ผู้เรียน เพื่อเชื่อมโยงสู่เนื้อหาต่อไป ดังนี้ 1.ความยากจนและความเหลื่อมล้ำคืออะไร เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างไร 2.พันธุ์ปลาพระราชทาน พันธุ์พืช พระราชทาน และโคนมพระราชทานเกี่ยวของกับ ความยากจนและความเหลื่อมล้ำอย่างไร ผู้เรียนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพ เพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ ในสังคมตามประสบกาณ์เดิมที่ผ่านมา รวมทั้ง แสดงความคิดเห็น/อภิปรายร่วมกันเพื่อตอบ คำถามที่ผู้สอนกำหนดให้
3 6.2ขั้นการสอน/ การนำเสนอ (Presentation) ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน 1) ผู้สอนใช้เทคนิควิธีสอนแบบใช้โสตทัศนวัสดุ (Audio-Visual Meterial of Instruction Method) โดยโสตทัศน์วัสดุที่ใช้ได้แก่Power Point เพื่อประกอบการอธิบายโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อ ขจัดปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำใน สังคม โดยผู้สอนทบทวน (1)ความหมายของความยากจนและความ เหลื่อมล้ำ (2)แนวคิด เหตุผลและความจำเป็นของการ ดำเนินโครงการพันธุ์ปลาพระราชทาน พันธุ์พืช พระราชทานและโคนมพระราชทาน) ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม รวมทั้งแสดงความคิดเห็นและอภิปรายซักถาม เกี่ยวกับความยากจนและความเหลื่อมล้ำ แนวคิด เหตุผลและความจำเป็นของการดำเนินโครงการ พันธุ์ปลาพระราชทาน พันธุ์พืชพระราชทานและ โคนมพระราชทาน) ในส่วนที่สงสัย เพื่อสร้าง ความเข้าใจ 2) ผู้สอนใช้เทคนิควิธีสอนแบบใช้โสตทัศนวัสดุ (Audio-Visual Meterial of Instruction Method) โดยโสตทัศน์วัสดุที่ใช้ได้แก่Power Point เพื่อประกอบการอธิบายโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อ ขจัดปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำใน สังคม โดยผู้สอนนำเสนอเหตุผลและความเป็นมา ของการดำเนินการโครงการหลวงและมูลนิธิพระ ดาบส โดยให้ผู้เรียนศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือเรียน การพัฒนาอย่างยั่งยืน หน่วยที่ 4 หน้า 73-76 ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องโครงการหลวงและมูลนิธิพระ ดาบส รวมทั้งแสดงความคิดเห็นและอภิปราย ซักถามเกี่ยวกับเหตุผลและความเป็นมาของการ ดำเนินการโครงการหลวงและมูลนิธิพระดาบสใน ส่วนที่สงสัย เพื่อสร้างความเข้าใจ ผู้เรียนศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือเรียนการพัฒนา อย่างยั่งยืน หน่วยที่ 4 หน้า 73-76
4 6.3 ขั้นฝึกฝน/ลงมือปฏิบัติ (Practice) ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน 1) ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มพร้อมทั้งให้ผู้เรียนปฏิบัติ กิจกรรม ตามใบงานที่ 2 เพื่อสืบค้นข้อมูล โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนา อาชีพเพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลดความ เหลื่อมล้ำในสังคม โดยร่วมกันวิเคราะห์แนวคิด เหตุผลและความจำเป็นของการดำเนินโครงการ ต่อไปนี้ (1)โครงการหลวง (2)มูลนิธิพระดาบส ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม ๆ ละประมาณ 3-4 คน ร่วมกัน ปฏิบัติกิจกรรมตามใบงานที่ 1 เพื่อสืบค้นข้อมูล เพื่อสืบค้นข้อมูลโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยปฏิบัติดังนี้ 1)สืบค้นข้อมูลเพื่อสืบค้นข้อมูลโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อ ขจัดปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำใน สังคม โดยร่วมกันวิเคราะห์แนวคิด เหตุผลและ ความจำเป็นของการดำเนินโครงการต่อไปนี้ (1)โครงการหลวง (2)มูลนิธิพระดาบส 2)สมาชิกกลุ่มจับคู่เพื่อปฏิบัติกิจกรรม ตามประเด็นที่กำหนด เมื่อปฏิบัติกิจกรรมเสร็จ เรียบร้อยแล้ว สมาชิกกลุ่มแต่ละคู่เขียน รายละเอียดของข้อมูล 3)แต่ละกลุ่มรวบรวมข้อมูลจากข้อ 2 ของ สมาชิกกลุ่มทุกคน แล้วร่วมกันลงสรุปเป็นข้อมูล สมาชิกกลุ่มทุกคน แล้วร่วมกันลงสรุปเป็นข้อมูล ของกลุ่ม รวมทั้งออกแบบรูปแบบการนำเสนอให้ น่าสนใจ เช่น ทำเป็นแผนที่ความคิดหรือ infographic พิมพ์เป็นโปสเตอร์ หรือนำเสนอ ด้วยโปรแกรมนำเสนอข้อมูลของคอมพิวเตอร์ 4)ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลงานและร่วมแสดง ความคิดเห็นกับกลุ่มอื่น
5 6.4 ขั้นประยุกต์ใช้(Production) ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน 1) ผู้สอนเสนอแนะวิธีการนำความรู้และหลักคิดจาก โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การ พัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลด ความเหลื่อมล้ำในสังคม(โครงการหลวงและ มูลนิธิพระดาบส) ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา และชีวิตประจำวัน ผู้เรียนประยุกต์ใช้ความรู้และหลักคิดจาก โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การ พัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลด ความเหลื่อมล้ำในสังคม (โครงการหลวงและ มูลนิธิพระดาบส) ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา และชีวิตประจำวัน ตามประเด็นที่ผู้สอน กำหนดให้ 6.5 ขั้นสรุป/ประเมินผล (Wrap up) ลำดับ ผู้สอน ผู้เรียน 1) ผู้สอนสรุปความคิดรวบยอด(สาระสำคัญ)ของ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การ พัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลด ความเหลื่อมล้ำในสังคม(โครงการหลวงและ มูลนิธิพระดาบส) ผู้เรียนร่วมกับผู้สอนในการสรุปความคิดรวบยอด (สาระสำคัญ) โครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ : การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม (โครงการหลวงและมูลนิธิพระดาบส) 2) ผู้สอนประเมินผลสรุปรวมเรื่องโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดำริ : การพัฒนาอาชีพเพื่อ ขจัดปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำใน สังคม(โครงการหลวงและมูลนิธิพระดาบส) โดย ให้ผู้เรียนทำใบกิจกรรมที่ 4.2 และแบบฝึกหัด ท้ายหน่วยที่ 4 ผู้เรียนทำใบกิจกรรมที่ 4.2 และแบบฝึกหัดท้าย หน่วยที่ 4 3) ผู้สอนให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยที่ 4 (สแกนคิวอาร์โค้ด หน้า 80 ) ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยที่ 4 (สแกนคิวอาร์โค้ด หน้า 80 ) 7. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อสิ่งพิมพ์ 1)หนังสือเรียน วิชา การพัฒนาอย่างยั่งยืน ของสำนักพิมพ์เอมพันธ์ 7.2 สื่อโสตทัศน์
6 1)PowerPoint ประจำหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 7.3 สื่อออนไลน์ คลิปวีดิทัศน์สื่อเสริมการเรียนรู้ 7.4 สื่อจำลองหรือของจริง 1) - 7.5 อื่น ๆ 1) – 8. หลักฐาน/เอกสารประกอบการเรียนรู้ (เช่น ใบความรู้ ใบงาน ใบมอบหมายงาน ชิ้นงาน ฯลฯ) 8.1บันทึกการสอน 8.2ผลงาน 8.3แผนจัดการเรียนรู้ 8.4ใบงานที่ 2 สืบค้นข้อมูลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัด ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม (โครงการหลวงและมูลนิธิพระดาบส) 8.5ใบเช็คชื่อเข้าห้องเรียน 9.การวัดและการประเมินผล 9.1วิธีวัดและการประเมินผล 1)สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 2)ตรวจกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ 3)ตรวจแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ 4)ประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม 5)สังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม 9.2 เครื่องมือวัดและการประเมินผล 1)แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 2)แบบประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม (โดยครู) 3)แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม (โดยผู้เรียน) 4)กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ 5)แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้
7 9.3 เกณฑ์วัดและการประเมินผล 1)เกณฑ์ผ่านการสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องไม่มีช่องปรับปรุง 2)เกณฑ์ผ่านการประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50 % ขึ้นไป) 3)เกณฑ์ผ่านการสังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ขึ้นไป) 4)ตอบคำถามในกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์การประเมิน มีเกณฑ์ 4 ระดับ คือ 4= ดีมาก, 3 = ดี, 2 = พอใช้, 1= ควรปรับปรุง 5)แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้มีเกณฑ์ผ่าน 50% 6)แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนขึ้นอยู่กับ การประเมินตามสภาพจริง 10. การบูรณาการกลุ่มอาชีพ หรือความสัมพันธ์กับวิชาอื่น ทุกกลุ่มอาชีพ ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2567 11. บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ 11.1 ผลการจัดการเรียนรู้ตามแผนการสอน 1) วัน เดือน ปี ...............สอนครั้งที่ ....... สาขา/ชั้นปี .....................จำนวนผู้เรียน..........คน มาเรียนปกติ...........คน ขาดเรียน............คน ลาป่วย............คน ลากิจ...........คน มาสาย...........คน 2) หัวข้อเรื่อง/เนื้อหา สาระ : …………………….……………………………………………………………………..…………................................... ........................................................................................................................ .......................................... ❑ สอนครบตามหัวข้อเรื่องในแผนฯ ❑ สอนไม่ครบเนื่องจาก........................................ 3) กิจกรรม/วิธีการสอน ❑ ครูแนะนำและบอกจุดประสงค์ ❑ ครูอธิบาย/ถาม-ตอบ/สาธิต/. ❑ ทำแบบทดสอบก่อนเรียน ❑ ทำแบบทดสอบหลังเรียน ❑ ทำแบบฝึกหัด/โจทย์ปัญหา ❑ ทำใบกิจกรรม/ใบงาน ❑ อื่น ๆ (ระบุ)............................................................................................................. 4) สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้ : …..……………………………………………………………………………… ............................................................................................................................. ..................................... 11.2 ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน/ผลการสอนของครู/ปัญหาที่พบ 1) การวัดผลและประเมินผล/ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน : ………………………………………………………..
8 ............................................................................................................................. ...................................... 2) สมรรถนะที่ผู้เรียนได้รับ : ................................................................................................ .......... ............................................................................................................................. ...................................... 3) สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม : ..………………………………………………………………… ……………........................................................................................................................ ........................... 4) ผลการสอนของครู : ..……………………………………………………………………………………..…………… ……………........................................................................................................................ ........................... 5) ปัญหาที่นำไปสู่การวิจัย : ..…………………………………………………............................................... ............................................................................................................................. ..................................... 11.3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการสอน/แก้ปัญหา 1) ผลการใช้และปรับปรุงแผนการสอนครั้งนี้ : .………………………………………………………................ ……………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2) แนวทางพัฒนาคุณภาพวิธีสอน/สื่อ/การวัดผล/เอกสารช่วยสอน ……………........................................................................................................................ .................. ……………........................................................................................................................ .................. ลงชื่อ (.........................................................) ครูผู้สอน ………./…………/…………
9 ใบงานที่2 วิชา การพัฒนาอย่างยั่งยืน ชื่อเรื่อง สืบค้นข้อมูลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความ ยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ชื่อ…………………….………………………………….ระดับชั้น…….........… เลขที่……… กลุ่ม....................... จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives) 1.สืบค้นข้อมูลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความ ยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม(โครงการหลวงและมูลนิธิพระดาบส)ได้ แหล่งเรียนรู้ 1.หนังสือเรียน หนังสืออางอิง หนังสืออานประกอบ และวารสารเกี่ยวกับโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดำริ 2.เว็บไซตที่เกี่ยวของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทางอินเทอรเน็ต เครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์ (Tools, materials and equipment) - ลำดับขั้นการทำกิจกรรม (Step of Activity) 1.ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3–4 คน แบ่งหน้าที่รับผิดชอบในกลุ่ม 2.สืบค้นข้อมูลเพื่อสืบค้นข้อมูลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัด ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยร่วมกันวิเคราะห์แนวคิด เหตุผลและความจำเป็น ของการดำเนินโครงการต่อไปนี้ 1)โครงการหลวง 2)มูลนิธิพระดาบส 3.สมาชิกกลุ่มจับคู่เพื่อปฏิบัติกิจกรรมตามประเด็นที่กำหนด เมื่อปฏิบัติกิจกรรมเสร็จเรียบร้อย แล้ว สมาชิกกลุ่มแต่ละคู่เขียนรายละเอียดของข้อมูล 4.แต่ละกลุ่มรวบรวมข้อมูลจากข้อ 3 ของสมาชิกกลุ่มทุกคน แล้วร่วมกันลงสรุปเป็นข้อมูล สมาชิกกลุ่มทุกคน แล้วร่วมกันลงสรุปเป็นข้อมูลของกลุ่ม รวมทั้งออกแบบรูปแบบการนำเสนอให้ น่าสนใจ เช่น ทำเป็นแผนที่ความคิดหรือ infographic พิมพ์เป็นโปสเตอร์ หรือนำเสนอด้วยโปรแกรม นำเสนอข้อมูลของคอมพิวเตอร์ 5.ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลงานและร่วมแสดงความคิดเห็นกับกลุ่มอื่น
10 ผลการสืบค้นข้อมูล ............................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................................................. ..
1 แผนการจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นสมรรถนะอาชีพที่ 9 หน่วยที่ 1-4 . ชื่อวิชา การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) รหัสวิชา 20001 – 1002 ท–ป–น (1-2-2) . สัปดาห์ที่ 9 . สอนครั้งที่ 9(25-27) . ชื่อหน่วย วัดและประเมินผลกลางภาคเรียน . จำนวนชั่วโมง 3 ชม. 1.ผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับหน่วยการเรียน - 2.อ้างอิงมาตรฐาน / เชื่อมโยงกลุ่มอาชีพ - 3.สาระการเรียนรู้ 1)แนวคิดศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2)ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 3)โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 4)โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหาความยากจน ลดความ เหลื่อมล้ำในสังคม 4.สมรรถนะประจำหน่วย 1)แสดงความรูเกี่ยวกับศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2)แสดงความรู้เกี่ยวกับโครงการพัฒนาดอยตุง 3)แสดงความรูเกี่ยวกับศาสตร์พระราชาและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 4)แสดงความรู้เกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การพัฒนาอาชีพเพื่อขจัดปัญหา ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 5)ใช้หลักคิดจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต 5.จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ด้านความรู้(Knowledge) 1)มีความรู้ เข้าใจตามตัวชี้วัดพุทธพิสัย และทักษะตามสาระการเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 1-4 ด้านทักษะ/กระบวนการ (Process) - คุณลักษณะที่พึงประสงค์ (Attitude) 1)มีเจตคติที่ดีต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
2 2)มีวินัย ความรับผิดชอบ ความเชื่อมั่นในตนเอง ความสนใจใฝ่รู้ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใน การเรียน ด้านการประยุกต์ใช้(Apply) 1)ประยุกตใชความรูเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในการพัฒนาตนเองและงานอาชีพ 6.กิจกรรมการเรียนการสอน กรรมการคุมสอบให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบปลายภาคเรียน ตามเวลาที่กำหนด 7.การวัดและการประเมินผล 7.1วิธีวัดและการประเมินผล 1) ทดสอบกลางภาคเรียน 7.2 เครื่องมือวัดและการประเมินผล 1) แบบทดสอบกลางภาคเรียน 7.3 เกณฑ์วัดและการประเมินผล 1) เกณฑ์การทดสอบกลางภาคเรียน คะแนนผ่านไม่ต่ำกว่า 80% 8. บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ 8.1 ผลการจัดการเรียนรู้ตามแผนการสอน 1) วัน เดือน ปี ...............สอนครั้งที่ ....... สาขา/ชั้นปี .....................จำนวนผู้เรียน..........คน มาเรียนปกติ...........คน ขาดเรียน............คน ลาป่วย............คน ลากิจ...........คน มาสาย...........คน 2) หัวข้อเรื่อง/เนื้อหา สาระ : …………………….……………………………………………………………………..…………................................... ........................................................................................................................ .......................................... ❑ สอนครบตามหัวข้อเรื่องในแผนฯ ❑ สอนไม่ครบเนื่องจาก........................................ 3) กิจกรรม/วิธีการสอน ❑ ครูแนะนำและบอกจุดประสงค์ ❑ ครูอธิบาย/ถาม-ตอบ/สาธิต/. ❑ ทำแบบทดสอบก่อนเรียน ❑ ทำแบบทดสอบหลังเรียน ❑ ทำแบบฝึกหัด/โจทย์ปัญหา ❑ ทำใบกิจกรรม/ใบงาน ❑ อื่น ๆ (ระบุ)............................................................................................................. 4) สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้ : …..……………………………………………………………………………… ............................................................................................................................. .....................................
3 8.2 ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน/ผลการสอนของครู/ปัญหาที่พบ 1) การวัดผลและประเมินผล/ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน : ……………………………………………………….. ............................................................................................................................. ...................................... 2) สมรรถนะที่ผู้เรียนได้รับ : ............................................................................................... ........... ............................................................................................................................. ...................................... 3) สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม : ..………………………………………………………………… ……………........................................................................................................................ ........................... 4) ผลการสอนของครู : ..……………………………………………………………………………………..…………… ……………........................................................................................................................ ........................... 5) ปัญหาที่นำไปสู่การวิจัย : ..…………………………………………………............................................... ............................................................................................................................. ..................................... 8.3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการสอน/แก้ปัญหา 1) ผลการใช้และปรับปรุงแผนการสอนครั้งนี้ : .………………………………………………………................ ……………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2) แนวทางพัฒนาคุณภาพวิธีสอน/สื่อ/การวัดผล/เอกสารช่วยสอน ……………........................................................................................................................ .................. ……………........................................................................................................................ .................. ลงชื่อ (.........................................................) ครูผู้สอน ………./…………/…………