ก
คำนำ
การอา่ นคิดวเิ คราะห์เปน็ พน้ื ฐานสาคัญในการพัฒนาผู้เรยี นให้รู้จักการคิดอยา่ งเป็นระบบ
คิดอยา่ งมีเหตุผล คิดอย่างมวี ิจารณญาณ มีการไตรต่ รอง มองเห็นการณ์ไกล นาความรู้ไปใชใ้ นการ
เผชญิ สถานการณ์ได้และรจู้ ักนาความรู้ไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจาวนั ท้งั ด้านการศึกษาการประกอบ
อาชพี เป็นปจั จยั สาคัญในการพฒั นาคนให้เกดิ ความงอกงามทางสตปิ ัญญา โดยสะสมความรทู้ ่เี ปน็
ประโยชน์ตอ่ การอ่าน เพ่ือใช้แก้ปัญหาในชวี ิตจริงโดยผ่านกระบวนการคดิ วเิ คราะห์ ได้อย่างเหมาะสม
ซง่ึ สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐานพทุ ธศักราช ๒๕๕๑ แบบฝึกทักษะการอ่านคิด
วเิ คราะห์ และเขยี นสื่อความตามแนว PISA กล่มุ สาระการเรียนร้ภู าษาไทยจดั ทาขน้ึ เพอ่ื ใช้เปน็ สอื่ เสริม
ประสบการณ์ประกอบการจดั การเรยี นรู้รายวิชาภาษาไทย ๕ ท๒๓๑๐๑ เป็นเคร่อื งมือในการพัฒนา
ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียนสอ่ื ความ ให้กับนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓ เป็นนวตั กรรมทาง
การศกึ ษาท่ชี ว่ ยให้นกั เรียนเกิดทกั ษะในการอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขียนสื่อความตามแนว PISA
ชดุ น้ีมที ง้ั หมด ๙ เลม่ ดงั น้ี
เลม่ ที่ ๑ อ่านคิดวเิ คราะห์รปู แบบ PISA
เลม่ ท่ี ๒ พิจารณาข้อความนา่ รู้
เล่มท่ี ๓ ก้าวสู่โลกข่าวสาร
เลม่ ท่ี ๔ วิจารณส์ ารคดี
เลม่ ท่ี ๕ มีความรดู้ โู ฆษณา
เล่มท่ี ๖ พินิจสาระเพลงไทย
เลม่ ที่ ๗ บอกคุณค่าบทรอ้ ยกรอง
เลม่ ที่ ๘ อ่านคดิ คล่องนิทานพ้นื บ้าน
เลม่ ที่ ๙ ส่อื สารงานเขยี นจากบทความ
ในการจัดแบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นคิดวเิ คราะห์ และเขียนส่ือความตามแนว PISA กลุ่มสาระการ
เรยี นรูภ้ าษาไทย ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ เล่มท่ี ๑ อ่านคิดวิเคราะหร์ ูปแบบ PISA ผ้จู ัดทามคี วามคาดหวงั
ให้แบบฝกึ ทักษะการอา่ นคิดวิเคราะห์ และเขียนสือ่ ความตามแนว PISA เลม่ นี้เสรมิ สร้างให้เกิดการ
กระตุ้น เพ่ิมความเรา้ ใจแกน่ กั เรียนใหม้ คี วามสนใจต่อการเรียนรู้ และมเี จตคติทีด่ ตี ่อการเรยี นภาษาไทย
มากยิง่ ขึ้น ขอขอบพระคณุ นายราเมศน์ โสมแสน ผู้อานวยการโรงเรยี นโนนสุวรรณพิทยาคม และผมู้ ี
สว่ นร่วมทุกท่านทีใ่ ห้คาปรึกษา แนะนา เอื้ออานวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ จนผลงานสาเร็จลลุ ว่ ง
ดว้ ยดี ผ้จู ดั ทาหวงั เป็นอย่างยิ่งวา่ แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียนสอ่ื ความตามแนว PISA
เลม่ นจ้ี ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย สามารถนาไปบรู ณาการกับ
กลุ่มสาระการเรยี นรู้อ่ืน ๆ ได้เป็นอยา่ งดียิง่
ณฐั ธนัน วรรณสุข
ข
สารบญั
เรื่อง หนา้
คานา ....................................................................................................................................... ก
สารบญั .................................................................................................................................... ข
คาชี้แจงเกยี่ วกับแบบฝกึ ทักษะ ................................................................................................ ๑
คาชี้แจงสาหรับครู ................................................................................................................... ๒
คาชแี้ จงสาหรบั นักเรยี น .......................................................................................................... ๓
สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด (Concept) ............................................................................. ๔
มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้ีวัด ................................................................................................... ๔
จุดประสงค์การเรยี นรู้ .............................................................................................................. ๕
แบบทดสอบกอ่ นเรียน ............................................................................................................ ๗
กระดาษคาตอบแบบทดสอบก่อนเรยี น ................................................................................... ๑๒
ใบความรู้ เรอ่ื ง การอ่านข้อความ ............................................................................................ ๑๓
แบบฝกึ ทกั ษะที่ ๑ เรอ่ื ง “ความจรงิ ในชีวิต” .......................................................................... ๒๐
แบบฝกึ ทกั ษะท่ี ๒ เรื่อง “หนิ ลับมดี ” ..................................................................................... ๒๖
แบบทดสอบหลังเรยี น ............................................................................................................. ๓๔
กระดาษคาตอบแบบทดสอบหลังเรียน .................................................................................... ๓๙
บรรณานุกรม ........................................................................................................................... ๔๐
ภาคผนวก ................................................................................................................................ ๔๒
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น .................................................................................................... ๔๓
การจาแนกกลยทุ ธก์ ารอ่านตามแนว PISA แบบทดสอบก่อนเรียน ........................................ ๔๔
เฉลยแบบฝึกทักษะท่ี ๑ เรอื่ ง “ความจริงในชีวติ ” .................................................................. ๔๕
การจาแนกกลยุทธ์การอา่ นตามแนว PISA แบบฝกึ ทกั ษะที่ ๑ เร่อื ง “ความจรงิ ในชีวติ ” ...... ๕๑
เฉลยแบบฝึกทักษะที่ ๒ เร่ือง “หนิ ลับมีด” ............................................................................. ๕๒
การจาแนกกลยุทธ์การอา่ นตามแนว PISA แบบฝึกทกั ษะท่ี ๒ เรือ่ ง “หินลบั มดี ” ................. ๕๗
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น ..................................................................................................... ๕๘
การจาแนกกลยทุ ธ์การอ่านตามแนว PISA แบบทดสอบหลังเรียน ........................................ ๕๙
ประวตั ิย่อของผู้จัดทา .............................................................................................................. ๖๐
๑
คาช้ีแจงเกีย่ วกับแบบฝึกทักษะ
เอกสารแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขียนสื่อความตามแนว PISA
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓ เล่มท่ี ๒ พิจารณาข้อความน่ารู้ เล่มนี้
ใช้ประกอบการจดั การเรียนรู้ กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓
โรงเรียนโนนสวุ รรณพทิ ยาคม อาเภอโนนสวุ รรณ จงั หวดั บุรีรมั ย์ สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษา
มัธยมศึกษา เขต ๓๒ โดยมีขั้นตอนดังน้ี
๑. นกั เรยี นอ่านคาชแี้ จงการใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขยี นส่ือความ
ตามแนว PISA ให้เข้าใจ
๒. นักเรียนศึกษามาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้ีวดั ขอบข่ายของเนือ้ หา สาระสาคัญ จุดประสงค์
การเรยี นรู้ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียนและคุณลักษณะอนั พึงประสงค์
๓. นักเรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียนเพ่ือตรวจสอบความรู้พน้ื ฐาน
๔. นกั เรยี นศกึ ษาเน้ือหาโดยละเอยี ดทลี ะเรื่องตามลาดับและทาแบบฝึกทักษะ
๕. ทาแบบทดสอบหลังเรียนเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าหลงั เรียน
เกณฑ์การผา่ นการประเมนิ
๑. นักเรียนตอ้ งได้คะแนนประเมนิ ตนเองหลงั เรียนไมต่ ่ากว่าร้อยละ ๘๐
๒. ถ้าไดค้ ะแนนไมถ่ ึงร้อยละ ๘๐ ใหก้ ลบั ไปทบทวนความรเู้ พ่ิมเตมิ แล้วทาแบบทดสอบใหม่
จนกว่าจะได้คะแนน ไม่ตา่ กว่าร้อยละ ๘๐
๓. นกั เรยี นต้องได้คะแนนแบบฝกึ ทักษะท่ี ๑ แบบฝึกทักษะที่ ๒ ไม่น้อยกวา่ ร้อยละ ๘๐
๒
คาชีแ้ จงสาหรับครู
เอกสารแบบฝกึ ทกั ษะการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียนสอ่ื ความตามแนว PISA
เล่มที่ ๒ พจิ ารณาขอ้ ความน่ารู้ เลม่ นี้ ใชป้ ระกอบการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าภาษาไทย ๕ ท๒๓๑๐๑
กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย นกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๓ โรงเรียนโนนสวุ รรณพทิ ยาคม
อาเภอโนนสวุ รรณ จงั หวัดบุรรี มั ย์ สานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต ๓๒ โดยมีขั้นตอนดงั น้ี
๑. ครเู ตรยี มและศึกษาแผนการจัดการเรียนรูแ้ ละแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวเิ คราะห์
และเขียนสื่อความตามแนว PISA กลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๓
เล่มท่ี ๒ พิจารณาขอ้ ความนา่ รู้ กอ่ นทจ่ี ะให้นกั เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรม
๒. ครแู จกแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขยี นสอื่ ความตามแนว PISA
กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ เลม่ ที่ ๒ พิจารณาข้อความน่ารู้
๓. ครูชแ้ี จงการใช้แบบฝกึ ทักษะการอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขียนส่ือความตามแนว
PISA ให้นกั เรียนทราบก่อนลงมอื ปฏิบตั ิ
๔. ครใู ห้นกั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพ่ือดูวา่ นกั เรียนมีพื้นฐานความรู้
ความเข้าใจเกย่ี วกบั เรื่องนี้มากน้อยเพยี งใด
๕. ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาใบความรู้ในแบบฝกึ ทักษะการอา่ น คิดวิเคราะห์ และเขียนสื่อ
ความตามแนว PISA กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ เล่มที่ ๒ พจิ ารณาขอ้ ความ
น่ารู้ แลว้ ปฏบิ ตั ิตามแบบฝกึ ทักษะท่ี ๑ แบบฝกึ ทักษะท่ี ๒ เพ่ือใหน้ ักเรยี นได้ทบทวนและเกิดความรู้
ความเข้าใจถกู ต้อง
๖. ตระหนกั อย่เู สมอว่าในการทากจิ กรรมควรให้นกั เรียนมีส่วนรว่ มมากทสี่ ุด
เชน่ การมีสว่ นรว่ มในการทากิจกรรรม การตรวจแบบฝึกดว้ ยตนเอง การเปลยี่ นกันตรวจกบั เพ่ือน
๗. ครูใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบหลังเรยี น เพอื่ ดูว่านักเรียนมคี วามร้คู วามเข้าใจ
หลงั เรียนมากน้อยเพียงใด
๘. ครูสังเกตพฤติกรรม สมรรถนะหลักของนักเรียนและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
แลว้ บันทึกผล ตลอดจนการบันทกึ คะแนนการเปรยี บเทยี บพฒั นาการของตนเอง
๙. ครตู รวจผลงานนกั เรยี นและแบบทดสอบ บันทึกผลลงในใบเกบ็ คะแนน
๑๐. ครแู จ้งคะแนนให้นักเรียนทราบและชมเชยนกั เรียนพรอ้ มใหค้ าปรึกษา
๓
คาชแ้ี จงสาหรับนักเรยี น
เอกสารแบบฝึกทักษะการอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขียนสอื่ ความตามแนว PISA
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓ เล่มท่ี ๒ พจิ ารณาข้อความน่ารู้ เลม่ น้ี
ใชป้ ระกอบการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าภาษาไทย ๕ ท๒๓๑๐๑ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓ โรงเรยี นโนนสวุ รรณพิทยาคม อาเภอโนนสุวรรณ จงั หวัดบรุ รี มั ย์
สานักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต ๓๒ โดยมีข้ันตอนดงั น้ี
๑. ศกึ ษามาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชี้วัด จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์
๒. ทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เล่มที่ ๒ พจิ ารณาข้อความนา่ รู้ เพือ่ ประเมินความรู้พ้นื ฐาน
ของนักเรียนจานวน ๑๐ ขอ้ ใชเ้ วลา ๑๐ นาที
๓. ศกึ ษากรอบเนอ้ื หาอยา่ งละเอียดของ เลม่ ท่ี ๒ พจิ ารณาขอ้ ความนา่ รู้
๔. ทาแบบฝกึ ทักษะเล่มที่ ๑ แบบฝึกทกั ษะเล่มที่ ๒ จนครบกิจกรรมตามลาดบั
๕. ทาแบบทดสอบหลังเรียน จานวน ๑๐ ข้อ ใชเ้ วลา ๑๐ นาที เพ่ือประเมินความก้าวหน้า
ของตนเอง
๖. ตรวจคาตอบ แบบทดสอบก่อนเรยี น/แบบฝึกทักษะ/แบบทดสอบหลงั เรยี น
จากเฉลยในภาคผนวก
๗. สรปุ ผลคะแนนทไี่ ดล้ งในกระดาษคาตอบเพ่ือทราบผลการเรียนและการพฒั นา
๘. ในการศกึ ษาและทากิจกรรมใหน้ ักเรยี นทาด้วยความตั้งใจและมีความซ่ือสัตยต์ อ่ ตนเอง
โดยไมเ่ ปิดดเู ฉลยก่อน
๙. ใหน้ ักเรยี นใช้เวลาในการศึกษาใหเ้ หมาะสมและตรงตอ่ เวลา
๔
สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด (Concept)
การอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขียนสื่อความตามแนว PISA ข้อความเป็นการอ่านท่ีต้องใช้
ความสามารถในการแยกแยะส่วนยอ่ ย ๆ ของเหตุการณ์ เรื่องราวหรอื เน้ือเร่ืองตา่ ง ๆ ท่ีอ่าน
วา่ ประกอบดว้ ยอะไร มีจุดมุ่งหมายหรอื มีความประสงค์สงิ่ ใดและส่วนยอ่ ย ๆ ทีส่ าคญั น้ันแตล่ ะ
เหตกุ ารณเ์ กยี่ วพันกนั โดยการวเิ คราะห์ความ ตีความ สรุปความและตอบคาถามจากเร่ืองที่อ่าน
ทาให้ผอู้ ่านแยกแยะเรอื่ งทอ่ี ่านครอบคลุมกลยุทธ์การอา่ นทั้ง ๓ ด้านตามแนว PISA คือ กลยทุ ธ์
การเข้าถึงและคน้ คนื สาระ กลยุทธก์ ารบรู ณาการและตคี วาม กลยทุ ธก์ ารสะทอ้ นและการประเมิน
และไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจาวนั ให้เกิดประโยชน์สูงสดุ
มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชว้ี ดั
สาระท่ี ๑ การอา่ น
มาตรฐานการเรียนรู้ ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอา่ นสรา้ งความรแู้ ละความคิดเพ่ือนาไปใช้
ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดาเนินชวี ติ และมนี ิสยั รกั การอา่ น
ตัวช้ีวัด
ท ๑.๑ ม.๓/๑ อา่ นออกเสียงบทร้อยแกว้ และบทร้อยกรองได้ถูกต้องและเหมาะสม
กับเรื่องทอี่ ่าน
ท ๑.๑ ม.๓/๒ ระบุความแตกตา่ งของคาที่มีความหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั
ท ๑.๑ ม.๓/๓ ระบุใจความสาคญั และรายละเอียดของข้อมูลที่สนบั สนุนจากเรอ่ื งที่อา่ น
ท ๑.๑ ม.๓/๔ อา่ นเรอ่ื งต่างๆ แล้วเขยี นกรอบแนวคิด ผงั ความคดิ
บนั ทกึ ยอ่ ความและรายงาน
ท ๑.๑ ม.๓/๕ วเิ คราะห์ วิจารณ์ และประเมินเรอื่ ง ท่ีอ่านโดยใช้กลวธิ ี
การเปรียบเทยี บเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ดีข้ึน
ท ๑.๑ ม.๓/๖ ประเมินความถกู ตอ้ งของข้อมูล ทีใ่ ช้สนบั สนุนในเรอ่ื งท่ีอ่าน
๕
ท ๑.๑ ม.๓/๗ วิจารณค์ วามสมเหตุสมผล การลาดับความ และความเป็นไปไดข้ องเรื่อง
ท ๑.๑ ม.๓/๘ วิเคราะห์เพื่อแสดงความคิดเห็นโต้แยง้ เกย่ี วกับเร่ืองที่อา่ น
ท ๑.๑ ม.๓/๙ ตีความและประเมินคณุ คา่ และแนวคดิ ที่ได้จากงานเขยี นอยา่ งหลากหลาย
เพอื่ นาไปใช้แก้ปญั หา ในชวี ติ
ท ๑.๑ ม.๓/๑๐ มีมารยาทในการอ่าน
สาระท่ี ๒ การเขียน
มาตรฐานการเรียนรู้ ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขียนส่ือสาร เขียนเรียงความ ยอ่ ความ
และเขียนเรื่องราวในรปู แบบตา่ งๆ เขียนรายงานข้อมลู สารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ คว้าอยา่ ง
มีประสิทธภิ าพ
ตวั ช้ีวดั
ท ๒.๑ ม.๓/๒ เขียนข้อความโดยใชถ้ ้อยคาได้ถกู ต้องตามระดับภาษา
ท ๒.๑ ม.๓/๔ เขียนยอ่ ความ
ท ๒.๑ ม.๓/๖ เขยี นอธิบาย ชีแ้ จง แสดงความคิดเหน็ และโต้แยง้ อย่างมเี หตผุ ล
ท ๒.๑ ม.๓/๗ เขยี นวเิ คราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเหน็ หรือโต้แยง้
ในเรือ่ งตา่ งๆ
ท ๒.๑ ม.๓/๑๐ มมี ารยาทในการเขียน
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
๑. ดา้ นความรู้ (K - Knowledge)
๑.๑ นักเรยี นบอกความรูแ้ ละข้อคดิ ท่ีไดจ้ ากการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียนส่อื ความ
ตามแนว PISA จากภาษาข้อความทอี่ ่าน
๑.๒ นกั เรยี นอ่านขอ้ ความท่ีกาหนดใหแ้ ลว้ สามารถตอบคาถามตามแนว PISA
๒. ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P - Process)
๒.๑ นกั เรียนร่วมกนั สรปุ ความรทู้ ี่ไดจ้ ากการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขยี นส่ือความ
ตามแนว PISA
๒.๒ นกั เรียนตอบคาถามตามแนว PISA จากข้อความที่อ่านได้
๖
๓. ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม (A - Attitude)
๓.๑ นักเรียนมมี ารยาทในการอ่านและมีมารยาทในการเขยี นสามารถปฏบิ ตั ิตน
ในการอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขียนส่ือความตามแนว PISA ได้
๔. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
๔.๑ ซ่ือสัตยส์ ุจริต
๔.๒ มวี นิ ยั
๔.๓ ใฝ่เรยี นรู้
๔.๔ มุ่งมั่นในการทางาน
๔.๕ มจี ติ สาธารณะ
สวัสดคี ่ะ พขี่ อแนะนาตวั เองนะคะ พแี่ พรวากบั พจ่ี อมขวญั
วันนี้เราสองคนจะพาน้องทุกคนมาเรียนภาษาไทยค่ะ
หลังจากท่ีนอ้ งทกุ คน ศึกษาคาชีแ้ จง รายละเอียดเก่ยี วกบั
แบบฝึกทกั ษะ มาตรฐานการเรียนรู/้ ตวั ชวี้ ัด
จุดประสงค์การเรยี นรู้ เราไปศึกษาเกี่ยวกบั
แบบฝึกทกั ษะการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขยี นสื่อความ
ตามแนว PISA กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย
ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ “เลม่ ท่ี ๒ พจิ ารณาข้อความน่ารู้”
เรามาเรมิ่ ท่ีแบบทดสอบก่อนเรยี นกนั นะคะ เร่มิ กันเลยค่ะน้องๆ
๗
แบบทดสอบก่อนเรียน
เลม่ ท่ี ๒ พจิ ารณาขอ้ ความน่ารู้
คาชแ้ี จง
๑. แบบทดสอบมที ้ังหมด ๑๐ ขอ้
๒. กาหนดเวลาทาแบบทดสอบ ๑๐ นาที
๓. ใหน้ ักเรยี นเขยี นเครือ่ งหมาย (X) ทับข้อที่ถูกท่สี ุดเพียงข้อเดยี ว
การสรา้ งสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองกต็ าม มิใช่วา่ สร้างในวนั เดียว ต้องใช้เวลา
ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสยี สละ แตส่ าคัญที่สุดคอื ความอดทน คอื ไมย่ ่อท้อ
ในส่ิงทดี่ งี ามน้ัน ทามนั นา่ เบื่อ บางทเี หมือนวา่ ไม่ได้ผล ไมด่ ัง คอื ดมู นั ควรทาดนี ่ี แต่ขอรับรอง
ว่าการทาให้ควรต้องมีความอดทน เวลาขา้ งหน้าจะเหน็ ผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเขา้ เฝา้ ฯ
วนั ท่ี ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๖
๑. นักเรียนจะนาขอ้ คดิ จากพระบรมราโชวาทนม้ี าใชใ้ นเร่ืองใดจึงเหมาะสมถูกต้องดังกระแส
พระราชดารสั วา่ “เวลาขา้ งหน้าจะเหน็ ผลแนน่ อนในความอดทนของตนเอง”
ก. การสนทนาผ่านเครือขา่ ยอินเทอร์เนต็ อย่างขะมักเขมน้
ข. การซ้อื ของขวัญให้คนที่แอบชอบอยา่ งขะมกั เขม้น
ค. การอดอาหารอย่างจรงิ จังเพ่อื ลดความอว้ น
ง. การศึกษาเล่าเรียนอยา่ งท่มุ เท
๘
ใชแ้ ผนภาพตอ่ ไปนี้ตอบคาถาม ขอ้ ๒ – ๓
(ทีม่ า : http://www.ocpb.go.th/show_news.asp?id=๒๙๗.สาธารณสขุ . กระทรวง กินตามแม่
กรงุ เทพฯ เปรยี ว. ๒๕๕๖)
๒. จากถอ้ ยความ ทาไมผู้เขยี นจึงเริม่ ต้นดว้ ยคาถาม
ก. เพราะผ้เู ขยี นต้องการรคู้ าตอบ
ข. เพอ่ื บอกถึงการกินผกั ให้ปลอดภยั
ค. เพ่อื บอกถึงอันตรายของการบริโภค
ง. เพื่อให้ผูอ้ า่ นสนใจติดตามรายละเอยี ดในเรื่องนั้น
๙
๓. จากข้อความท่วี ่า “กินผกั อย่างไรใหป้ ลอดภัยจากสารเคมแี ละยาฆา่ แมลง?”
นักเรียนมีวธิ กี ารเลอื กรับประทานผกั อย่างไร
ก. กินผกั หวานและมะระข้ีนก
ข. กินผกั ทมี่ ีรอยแมลงเล็กน้อย
ค. กนิ ผกั คะนา้ และผักชี
ง. กนิ ผักตาลงึ และขิง
อ่านข้อความที่กาหนดให้แลว้ ตอบคาถาม ข้อ ๔ - ๕
“ พระสอนว่า หวั ใจเศรษฐี คือ ขยนั ประหยัด อดทน ”
๔. พฤตกิ รรมของใครสอดคล้องกบั คาสอนน้ีได้ถูกต้อง
ก. แดง ชอบอ่านหนังสือพิมพ์
ข. ดา ชอบเทยี่ วห้างสรรพสนิ คา้
ค. ดาว ชอบเที่ยวกลางคนื
ง. ดนิ ชอบกินอาหารราคาแพง
๕. ข้อความนม้ี งุ่ สอนให้ทาความดีพฤตกิ รรมของใครไม่ถูกต้อง
ก. มะลิประหยัด อดออม ไม่ฟมุ่ เฟือย
ข. หนดู ีมคี วามอดทนต่อความยากลาบาก
ค. ชมพูสร้างฐานะตนเองดว้ ยการโกงคนอน่ื
ง. มะขามเอาชนะใจตนเองเสมอเม่ือต้องการของที่ไมจ่ าเป็น
๑o
อา่ นขอ้ ความทก่ี าหนดใหแ้ ล้วตอบคาถาม ขอ้ ๖ - ๗
“ปัจจบุ ันมีผตู้ ดิ ยาเสพตดิ เปน็ จานนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนจะติดมากกวา่
คนกลุม่ อ่นื และทีน่ ่าเปน็ ห่วงกาลังแพรร่ ะบาดสเู่ ด็กนกั เรียนวัย ๙-๑๐ ปี สาเหตุอาจเป็นเพราะ
ถูกเพอ่ื นชกั จงู ใหล้ องเสพ อยากรู้ อยากลอง ถูกลอ่ ลวง และสาเหตุสาคัญอกี ประการหนง่ึ คอื
การขาดความอบอุน่ ในครอบครัว ปญั หาพอ่ แม่หย่าร้างกัน ผูใ้ หญ่ไม่ไดส้ นใจดูแลหรอื เป็นทีพ่ ่งึ
ของเด็กได้ เดก็ เกดิ ความวา้ เหวไ่ มร่ ้จู ะปรึกษาใคร เลยหันไปหายาเสพตดิ ”
๖. ผปู้ กครองควรปฏิบตั ิต่อเด็กอยา่ งไร เพ่ือไมใ่ ห้เด็กติดยาเสพติด
ก. ร้จู ักเลือกคบเพื่อนท่ดี ี
ข. ใช้เวลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์
ค. ใหค้ วามอบอุน่ ให้คาปรึกษา
ง. เชอ่ื ฟังคาส่ังสอนของพ่อแม่
๗. จดุ มงุ่ หมายของผเู้ ขียนข้อความคือสงิ่ ใด
ก. เพ่อื ให้รู้ถงึ สาเหตุที่ทาใหว้ ัยรุน่ ตดิ ยาเสพตดิ
ข. ใช้เวลาวา่ งให้เกิดประโยชน์
ค. ใหค้ วามอบอนุ่ ใหค้ าปรึกษา
ง. บอกวัตถปุ ระสงค์ในการใช้ยา
อย่าลืมอ่านข้อความก่อนตอบนะคะ
๑๑
อ่านขอ้ ความตอ่ ไปนแี้ ล้วตอบคาถามข้อ ๘ - ๑๐
“คณุ ครูคะ วันน้ีตอนเดินมาโรงเรยี นหนูเหน็ คนตาบอดเดนิ ถือไม้เทา้ คลาทางมา ตรงทางม้าลาย
กาลังจะข้ามถนน เขาเดนิ เซไปเซมาเหมือนจะล้มลงค่ะ หนูจงึ เขา้ ไปประคองแลว้ จงู มือ
เขาชว่ ยพาเดินขา้ มถนนและเขาขอบใจหนดู ว้ ยค่ะ”
๘. เหตใุ ดคนเราจงึ ต้องทาความดี
ก. ความดนี าชวี ิตไปส่แู นวทางที่ดี
ข. ความดีทาให้เราฉลาด
ค. ความดที าให้จิตใจสงบสขุ
ง. ความดเี ป็นทพี่ ่ึงแหง่ ตน
๙. คุณธรรมขอ้ ใดสอดคล้องกับความหมายของขอ้ ความนีม้ ากทส่ี ุด
ก. ความโอบอ้อมอารี
ข. ความเอื้อเฟื้อเผ่อื แผ่
ค. ความเมตตากรุณา
ง. ความวริ ิยะอตุ สาหะ
๑๐. “เป็นมนุษยส์ ุดนิยมเพียงลมปาก จะไดย้ ากหวิ โหยเพราะชิวหา” คาท่ีเส้นใต้มีความหมาย
ตรงกบั ข้อใด
ก. ฟนั
ข. ปาก
ค. พูด
ง. ลนิ้
เกง่ มากค่ะน้อง ๆ
เราไปศกึ ษาหวั ข้อต่อไปนะคะ..
ไปกนั เลยค่ะ
๑๒
กระดาษคาตอบแบบทดสอบกอ่ นเรียน
เลม่ ท่ี ๒ พิจารณาข้อความน่ารู้
ชอ่ื -สกลุ ...................................ช้ัน...............................เลขท่.ี .................
ข้อ ก ขคง
๑
๒ สรุปคะแนน
๓ คะแนนที่ได้
๔
๕ .......................................................................
๖
๗
๘
๙
๑๐
คะแนนเตม็
รวม ๑๐ คะแนน
๑๓
เป็นไงบา้ งคะ น้อง ๆ ยากกันไหม น้เี ปน็ เพียง
การสอบก่อนเรียนอยา่ งพึง่ เครยี ดกนั นะคะ
พ่แี พรวากบั พจี่ อมขวญั จะพาน้อง ๆ เข้าสปู่ ระตูความรู้
“เลม่ ที่ ๒ พิจารณาข้อความนา่ รู้”
พร้อมกนั แล้วใช่ไหม...ไปกนั เลยทกุ คน
ใบความรู้ เร่อื งการอ่านข้อความ
ความสาคญั ของการอ่านข้อความ
การอ่านข้อความมีความสาคัญต่อชีวติ มนุษย์ตง้ั แต่เกดิ จนโต และจนกระทัง่ ถงึ วัยชรา การอา่ น
ขอ้ ความทาให้รู้ขา่ วสารขอ้ มูลตา่ ง ๆ ทัว่ โลก ซึ่งปัจจบุ นั เป็นโลกของข้อมูลขา่ วสารต่าง ๆ ทัว่ โลก
ทาใหผ้ ู้อา่ น มีความสุข มีความหวัง และมคี วามอยากรู้อยากเหน็ อนั เปน็ ความต้องการของมนุษยท์ กุ คน
การอา่ นข้อความมีประโยชน์ในการพฒั นาตนเอง คือ พฒั นาการศึกษา พฒั นาอาชีพพัฒนาคณุ ภาพชวี ิต
ทาให้เป็นคนทนั สมยั ทันต่อเหตกุ ารณ์ และมคี วามอยากรู้อยากเห็น การทีจ่ ะพัฒนาประเทศ
ใหเ้ จรญิ รุง่ เรืองกา้ วหน้าได้ต้องอาศัยประชาชนท่มี ีความรูค้ วามสามารถ ซึ่งความรูต้ า่ ง ๆ ก็ไดม้ าจาก
การอ่านขอ้ ความนัน่ เอง
(ฉวีวรรณ คหู าภนิ นท์. ๒๕๔๕: ๑๑)
๑๔
ความหมายของการอ่านข้อความ
การอา่ นขอ้ ความ คือ กระบวนการท่ผี ู้อ่านรับรสู้ ารซึ่งเปน็ ความรู้ ความคิด ความรู้สึก
และความคิดเห็นท่ผี เู้ ขยี นถา่ ยทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร การที่ผู้อา่ นจะเข้าใจสารไดม้ ากนอ้ ย
เพยี งไร ข้นึ อยู่กับประสบการณ์และความสามารถในการใช้ความคดิ (มณรี ตั น์ สุกโชติรตั น์, ๒๕๔๙: ๑๘)
จดุ มุ่งหมายของการอา่ นขอ้ ความ
กระทรวงศกึ ษาธิการ.(๒๕๔๖: ๙) จดุ มงุ่ หมายของการอ่านข้อความ มีดังน้ี
๑. อา่ นเพื่อความรู้ ไดแ้ ก่ การอ่านข้อความจากหนงั สอื ตาราทางวชิ าการ สารคดีทางวิชาการ
การวจิ ัยประเภทตา่ ง ๆ หรือการอ่านข้อความผา่ นส่ืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ ควรอา่ นอยา่ งหลากหลาย
เพราะความรใู้ นวชิ าหน่ึง อาจนาไปชว่ ยเสริมในอีกวชิ าหนงึ่ ได้
๒. อ่านเพ่ือความบนั เทงิ ไดแ้ ก่ การอา่ นข้อความจากหนงั สือประเภท
สารคดที อ่ งเทยี่ ว นวนยิ าย เรือ่ งส้นั เร่อื งแปล การ์ตนู บทประพนั ธ์ บทเพลง แม้จะเปน็ การอ่าน
ข้อความเพ่ือความบันเทงิ แต่ผู้อา่ นจะได้ความรู้ทีส่ อดแทรกอยใู่ นเร่ืองดว้ ย
๓. อา่ นเพ่ือทราบข่าวสารความคดิ ได้แก่ การอ่านขอ้ ความจากหนงั สือประเภทบทความ
บทวิจารณ์ ขา่ ว รายงานการประชุม ถา้ จะให้เกดิ ประโยชนอ์ ย่างแท้จรงิ ตอ้ งเลอื กอา่ นใหห้ ลากหลาย
ไมเ่ จาะจงอ่านเฉพาะสื่อ ท่นี าเสนอตรงกับความคดิ ของตน เพราะจะทาใหไ้ ด้มุมมอง ที่กว้างขน้ึ ชว่ ยให้
มีเหตุผลอนื่ ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วเิ คราะหไ์ ดห้ ลายมุมมองมากขึ้น
๔. อ่านเพ่ือจุดประสงคเ์ ฉพาะทางแตล่ ะคร้งั ได้แก่ การอ่านขอ้ ความท่ีไมไ่ ด้เจาะจง แตเ่ ป็น
การอา่ นขอ้ ความในเรื่องท่ีตนสนใจหรืออยากรู้ เช่น การอ่านขอ้ ความประกาศต่าง ๆ การอา่ นข้อความ
โฆษณา แผ่นพับ ประชาสัมพันธ์ สลากยา ขา่ วสงั คม ข่าวบันเทิง ข่าวกีฬา การอ่านข้อความประเภทน้ี
มักใชเ้ วลาไมน่ าน สว่ นใหญ่เป็นการอา่ นขอ้ ความเพื่อให้ได้ความรู้และนาไปใช้ หรือนาไปเป็นหัวข้อ
สนทนา เชือ่ มโยง การอ่านข้อความ สู่การวิเคราะห์ และคดิ วิเคราะห์ บางครง้ั ก็อา่ นเพื่อใช้เวลาว่าง
ให้เกดิ ประโยชน์
๑๕
ประโยชนข์ องการอา่ นขอ้ ความ
ศรรี ตั น์ เจิงกลน่ิ จันทร์. (๒๕๔๒: ๖) ประโยชน์ของการอ่านขอ้ ความมีดังน้ี
๑. เปน็ การสนองความตอ้ งการของมนุษย์
๒. ทาให้มนุษย์เกดิ ความรู้ ทักษะต่าง ๆ ตลอดจนความก้าวหนา้ ทางวชิ าชีพ
๓. ทาให้มนษุ ย์เกดิ ความคิดสรา้ งสรรคค์ วามเพลิดเพลนิ บันเทงิ ใจและเกิดความบันดาลใจ
๔. เปน็ การใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์
๕. ทาใหม้ นษุ ย์ทนั ต่อเหตุการณค์ วามเคล่ือนไหวต่าง ๆ ของโลก
๖. เปน็ การส่งเสริมสุขภาพของมนษุ ย์
๗. ชว่ ยให้มนษุ ย์แก้ปัญหาสงั คม การเมือง เศรษฐกจิ และปัญหาสว่ นตัว
คุณสมบัติของนักอา่ นท่ีดี
ศวิ กานท์ ปทุมสตู ิ. (๒๕๔๐: ๑๗ - ๑๘) คุณสมบัติของนักอ่านทดี่ ีมดี ังน้ี
๑. มนี สิ ัยรักการอา่ นขอ้ ความ
๒. มีจิตใจกวา้ งขวางพร้อมที่จะอา่ นหนงั สือทดี่ ีมีคุณค่าไดท้ ุกประเภท
๓. มีเจตคตทิ ดี่ ตี ่อการอา่ นข้อความและเรื่องที่อา่ น
๔. หมัน่ หาเวลาหรอื จัดเวลาสาหรับการอ่านข้อความให้กับตนเองทุกวันอยา่ งสมา่ เสมอ
๕. เป็นคนรกั หนงั สือและแสวงหาหนงั สือทด่ี ีอ่านอยูเ่ สมอ
๖. มีความสามารถในการเลอื กหนงั สือท่ีดีอ่าน
๗. มีความอดทน มอี ารมณห์ รือมีสมาธิในการอ่านข้อความ
๘. มสี ขุ ภาพกาย สขุ ภาพจติ ท่ีสมบูรณ์
๙. มคี วามเบกิ บาน แจม่ ใส และปลอดโปร่งอยู่เสมอ
๑๐. มนี สิ ัยใฝห่ าความรู้ ความคดิ และประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
๑๑. มที ักษะในการอา่ นข้อความสรุปความ วิเคราะห์ความ และวนิ ิจฉยั ความ
๑๒. มคี วามคิดหรอื มวี จิ ารณญาณท่ดี ีต่อเรื่องท่ีอ่านสามารถท่ีจะแยกแยะข้อเทจ็ จริง
ความถกู ตอ้ ง ความเหมาะสมต่าง ๆ และสามารถเลอื กนาไปใชป้ ระโยชน์
๑๓. มนี สิ ัยชอบจดบันทึกเรอ่ื งราวต่าง ๆ ที่พบในการอ่านข้อความและเหน็ ว่ามีคุณค่า
๑๖
๑๔. มีความจาดี รจู้ กั หาวธิ ชี ่วยจา และเพมิ่ ประสทิ ธิภาพของการจา
๑๕. มีนสิ ยั ชอบเขา้ รา้ นหนังสือและห้องสมดุ
๑๖. มีโอกาสหรือหาโอกาสพูดคยุ กบั ผรู้ กั การอ่านข้อความดว้ ยกันอยู่เสมอ
เพอ่ื แลกเปลยี่ นทรรศนะในการอ่านข้อความให้แตกฉานย่ิงข้ึน
๑๗. มนี สิ ัยหมน่ั ทบทวน ตดิ ตาม คน้ คว้าเพม่ิ เตมิ
วธิ อี ่านหนังสอื ทด่ี ี
วิธกี ารอ่านขอ้ ความหนงั สอื ท่ดี ี มีขัน้ ตอนดงั น้ี (ฉวีลกั ษณ์ บุณยะกาญจน, ๒๕๔๗: ๑๑๒ - ๑๑๓) ดังนี้
๑. อา่ นทง้ั ย่อหนา้ การฝึกอ่านทงั้ ยอ่ หนา้ ควรปฏิบตั ิ ดงั นี้
๑.๑ พยายามจบั จุดสาคญั ของเน้ือหาในย่อหนา้ นน้ั
๑.๒ พยายามถามตวั เองวา่ สามารถตัง้ ช่อื เรื่องแต่ละย่อหนา้ ไดห้ รือไม่
๑.๓ ดรู ายละเอยี ดนนั้ ว่ามอี ะไรบ้างทส่ี ัมพันธ์กบั จุดสาคัญ มีอะไรบ้างที่ไม่เก่ียวข้อง
และอะไรบ้างท่เี ก่ยี วข้องกนั อยา่ งไร
๑.๔ แตล่ ะเร่อื งติดต่อกนั หรือไม่ และทราบได้อยา่ งไรวา่ ตดิ ต่อกนั
๑.๕. วธิ ีการเขียนของผู้เขยี นมอี ะไรบา้ งทีเ่ สรมิ จดุ สาคัญเข้ากับจุดยอ่ ย
๒. สารวจตารา หรอื หนงั สือนั้น ๆ ก่อนท่จี ะทาการอ่านข้อความจรงิ ดังน้ี
๒.๑ ดูสารบัญ คานา เพอ่ื ทราบวา่ ในเลม่ นน้ั ๆ มเี นอ้ื หาอะไรบา้ ง
๒.๒ ตรวจดูบททีจ่ ะอ่านว่ามีหัวขอ้ อะไรบ้าง
๒.๓ อา่ นคานาของหนงั สอื และบทนาในแตล่ ะบทดว้ ย
๒.๔ พยายามตง้ั คาถามแลว้ ค้นหาคาตอบอยา่ งครา่ ว ๆ
๑๗
๓. อา่ นเป็นบท ๆ
หลังจากไดท้ าการสารวจหนังสือแล้ว ผูอ้ ่านจะได้ความรู้เกย่ี วกบั ผู้แตง่ ภมู ิหลัง
ตลอดจนความมุ่งหมายในการแตง่ หนังสือแล้วจงึ เริ่มอา่ นหนังสอื เป็นบท ๆ โดยปฏิบัติ ดังน้ี
๓.๑ อา่ นทีละบทโดยไม่หยุดจนจบบท อาจจะหยดุ เพอ่ื จดบันทึก
ใจความสาคัญบ้าง ในบางคร้ังกไ็ ด้
๓.๒ อา่ นบทเดิมอีกครงั้ เลือกอ่านเฉพาะหวั ข้อและประโยคแรกของแต่ละย่อหน้า
ถ้าอา่ นแลว้ ยงั ไม่เขา้ ใจ ก็อ่านขอ้ ความในแตล่ ะย่อหน้าใหม่ ถ้าอา่ นประโยคแรกแล้ว ไดใ้ จความ
เนอ้ื ความอะไรบา้ งท่ีผ่านไปยังย่อหน้าอื่นได้
๓.๓ จดบนั ทกึ เพ่ือตอบคาถามท่ตี ้ังไวต้ อนแรก
๔. การอา่ นข้อความแบบขา้ มหรืออ่านแบบคร่าว ๆ
การอา่ นข้อความแบบข้ามหรืออา่ นแบบคร่าว ๆ มิได้ใหค้ วามเข้าใจอะไรมากนัก จะใช้ได้ดี
ต่อเม่ือ
๔.๑ ต้องการทราบข้อความบางอยา่ งเท่านน้ั เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ความหมาย
ของคาใดคาหนึ่ง
๔.๒ ต้องการทราบวา่ ควรอา่ นท้ังหมดหรอื ไม่ ชว่ ยใหท้ ราบคร่าว ๆ วา่ ในแตล่ ะบท
เปน็ อยา่ งไร เพราะเป็นการอา่ นข้อความเฉพาะหวั ข้อหรอื ข้อสรปุ เทา่ นน้ั
๕. สะสมประสบการณ์และคาศัพท์ใหม้ ากท่ีสุด
การท่ผี ู้อ่านจะเข้าใจเร่อื งที่อา่ นได้ดนี ัน้ จาเปน็ ต้องอาศยั ประสบการณเ์ ดมิ และความรู้เกย่ี วกับ
คาศัพทท์ ีส่ ะสมไว้ เม่ืออ่านเร่ืองใหม่จึงสามารถนาเอาความรู้เดมิ มาถา่ ยโยงสมั พนั ธ์กบั ความร้ใู หม่
เพือ่ เพิ่มความเข้าใจในเร่ืองที่อา่ นได้ดยี ่งิ ขึน้ การสะสมประสบการณค์ วามรู้และคาศัพท์นั้นสามารถทาได้
โดยการอ่านข้อความ ปทานุกรม พจนานุกรม เพ่ือรศู้ ัพท์ต่าง ๆ และอา่ นให้มาก ๆ เพ่ือสะสม
ประสบการณ์และเพิม่ พนู ความรูอ้ ยูต่ ลอดเวลา
๑๘
วิธกี ารอา่ นขอ้ ความท่เี หมาะสม
การอ่านขอ้ ความมหี ลายระดับและมวี ธิ กี ารตา่ ง ๆ ตามความม่งุ หมายของผู้อา่ นและประเภท
ของส่ือการอ่านข้อความ การอา่ นข้อความเพื่อการศึกษา ค้นคว้าและเขียนรายงาน อาจใชว้ ิธอี ่านตา่ ง ๆ
เชน่ การอ่านข้อความสารวจ การอ่านข้อความขา้ ม การอ่านข้อความผา่ น การอ่านข้อความจบั ประเด็น
การอา่ นข้อความสรปุ ความ และการอา่ นข้อความวเิ คราะห์ ซ่ึงมีรายละเอียดดงั น้ี
๑. การอา่ นขอ้ ความสารวจ คือ การอา่ นข้อความข้อเขยี นอย่างรวดเรว็ เพอื่ รูล้ ักษณะ
โครงสรา้ งของขอ้ เขียน สานวนภาษา เนื้อเรอ่ื งโดยสังเขป เปน็ วิธีอา่ นทเ่ี ป็นประโยชนอ์ ย่างยิ่ง
ในการเลอื กสรรสง่ิ พิมพ์ สาหรบั ใชป้ ระกอบการค้นคว้า หรือการหาแนวเร่ืองสาหรับเขยี นรายงาน
และรวบรวมบรรณานุกรมในหวั ขอ้ ทเ่ี ขียนรายงาน
๒. การอา่ นข้อความขา้ ม เป็นวิธีอา่ นอยา่ งรวดเร็วเพ่ือเข้าใจเนอื้ หาของข้อเขยี น โดยเลอื กอา่ น
ข้อความบางตอน เชน่ การอา่ นขอ้ ความคานา สาระสังเขป บทสรปุ และการอา่ นข้อความเนอ้ื หาเฉพาะ
ตอนท่ีตรงกบั ความตอ้ งการ เปน็ ต้น
๓. การอา่ นขอ้ ความผ่าน เป็นการอา่ นขอ้ ความแบบกวาดสายตา (Scanning Reading)
โดยผู้อา่ นจะทาการกวาดสายตาอย่างรวดเร็วไปยงั ส่งิ ท่ีเปน็ เปา้ หมายในข้อเขยี น เชน่ คาสาคญั
ตวั อกั ษร หรอื สัญลักษณ์ แล้วอ่านรายละเอียดเฉพาะทีเ่ กี่ยวกับส่ิงทต่ี อ้ งการ เชน่ การอ่านข้อความ
เพ่อื ค้นหาช่ือในพจนานกุ รม และการอ่านข้อความแผนที่
๔. การอา่ นขอ้ ความจับประเดน็ หมายถงึ การอา่ นข้อความเรอ่ื งหรือข้อเขียน โดยทาความ
เขา้ ใจสาระสาคัญในขณะที่อ่าน มักใชใ้ นการอา่ นข้อความข้อเขยี นที่ไมย่ าวนัก เช่น บทความ การอ่าน
ข้อความเร็วๆ หลายคร้ังจะชว่ ยให้จบั ประเดน็ ได้ โดยการอ่านข้อความมีเทคนคิ คอื ต้องสงั เกตคาสาคญั
ประโยคสาคญั ท่ีมคี าสาคญั และทาการย่อสรุปบันทึกประโยคสาคญั ไว้ เพ่ือใชป้ ระโยชนต์ ่อไป
๑๙
๕. การอ่านข้อความสรปุ ความ หมายถงึ การอ่านขอ้ ความโดยสามารถตคี วามหมายสง่ิ ทอี่ า่ นได้
ถูกต้องชดั เจน เขา้ ใจเรื่องอยา่ งดี สามารถแยกส่วนทีส่ าคัญหรือไม่สาคญั ออกจากกัน รู้วา่ สว่ นใด
เปน็ ข้อเท็จจรงิ หรอื ข้อคดิ เห็น ส่วนใดเป็นความคดิ หลัก ความคิดรอง การอ่านข้อความสรุปความมสี อง
ลักษณะคือ การอา่ นสรปุ แต่ละยอ่ หน้าหรือแตล่ ะตอน และสรุปจากทั้งเร่อื งหรือท้งั บท การอา่ นข้อความ
สรุปความควรอย่างคร่าว ๆ คร้งั หนงึ่ พอให้รู้เรอ่ื ง แลว้ อ่านละเอียดอีกคร้งั เพ่ือเข้าใจเรื่องอยา่ งดี
หลักจากน้ันต้งั คาถามตนเองในเรอื่ งท่ีอ่านวา่ เก่ียวกับอะไร มีเรอ่ื งราวอย่างไร แล้วเรียบเรียงเนอื้ หา
เป็นสานวนภาษาของผู้สรุป
๖. การอา่ นข้อความวเิ คราะห์ การอ่านขอ้ ความเพือ่ คน้ คว้าและเขยี นรายงานโดยทั่วไป
ตอ้ งมีการวิเคราะหค์ วามหมายของข้อความ ท้ังน้ีเพราะผู้เขียนอาจใช้คาและสานวนภาษาในลกั ษณะ
ตา่ ง ๆ อาจเป็นภาษาโดยตรงมีความชดั เจนเข้าใจง่าย ภาษาโดยนัยท่ีต้องทาความเขา้ ใจ และภาษาท่ีมี
ความหมายตามอารมณแ์ ละความรู้สกึ ของผู้เขียน ผู้อ่านทมี่ ีความร้เู รื่องคาศัพทแ์ ละสานวนภาษาดี
มปี ระสบการณ์ ในการ อ่านมากและมีสมาธใิ นการอ่านข้อความดี ยอ่ มสามารถวเิ คราะหไ์ ดต้ รง
ความหมายท่ผี ูเ้ ขียนตอ้ งการสื่อ และสามารถเขา้ ใจเรอื่ งที่อ่านไดด้ ี
เป็นอยา่ งไรบา้ งคะน้อง ๆ เข้าใจกันแล้วใชไ่ หมคะ
ถ้าอยา่ งน้ันพแ่ี พรวากับพีจ่ อมขวญั ว่าเรามาลองทา
แบบฝกึ ทกั ษะท่ี ๑ นะคะ
๒o
แบบฝกึ ทักษะที่ ๑ เรื่องความจรงิ ในชวี ิต
การท่เี ราจะคบหาหรอื รจู้ ักใครสกั คน ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตามสิ่งหนึง่
ท่คี วรท่องควรจาไว้อยเู่ สมอก็คอื “คน” เปน็ ส่ิงมีชวี ติ ท่ีมีทั้งดา้ นบวกและด้านลบอยู่ในนน้ั
เปน็ ส่ิงมชี วี ิตที่มีทง้ั ด้านบวกและด้านลบอยู่ในน้นั
อย่าตัง้ ใจกับคนหน่งึ คนมากเกินไป เพราะไม่มใี คร
อยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว อยา่ คาดหวงั กบั คนหน่ึงคนมากเกินไป
เพราะไม่มใี ครสามารถเป็นทุกอย่างที่ทุกคนอยากใหเ้ ป็น
อยา่ ใหเ้ วลากับคนหน่ึงคนมากเกินไป
เพราะไม่วา่ ใครก็อยากมมี ีชว่ งเวลาของความเป็นสว่ นตวั คนเดยี ว
อย่าพยายามเปลย่ี นแปลงคนหนงึ่ คนมากเกนิ ไป
เพราะนัน่ จะทาใหเ้ ขาไมห่ ลงเหลอื ความเป็นตัวของตัวเอง
อย่าควบคุมชีวิตคนหนึ่งคนมากเกนิ ไป
เพราะมนุษย์มักจะหาวิธกี ารแทรกตวั เพื่อออกมาจากกฎท่ีถูกกาหนด
อย่าบีบบงั คบั คนหนง่ึ คนมากไปกว่าน้ี
เพราะถ้าคน ๆ นัน้ หลดุ จากภาวะบบี บงั คับมาได้
คณุ จะกลายเป็นคนทถ่ี ูกหันหลังใหใ้ นทนั ที
เธอลองมองดฉู ันดี ๆ ฉนั มลี มหายใจ ไมใ่ ชภ่ าพวาดที่สวยงาม อยู่ตลอดเวลา ฉนั เองกเ็ ปน็
“คน” เป็นส่ิงมชี ีวติ ท่ีมีสองด้านเช่นกัน อยากรจู้ ักใครสักคนตอ้ งหัดเรยี นรู้ ไมใ่ ชเ่ ปลย่ี นแปลง
(อ้างอิงจาก : http://fat๑๐๘๑๐๐๙, spaces,live.com, Blog/cns!๔๒FD๗๗๖!๒๖๗.entey)
๒๑
คาส่งั จงทาเครือ่ งหมายกากบาท (×) ทับอักษรหน้าตวั เลือกที่เปน็ คาตอบท่ีถกู ต้อง
ทส่ี ุด (๕ คะแนน)
คาถามที่ ๑ “การทีเ่ ราจะคบหาหรือรู้จกั ใครสกั คน ไม่ว่าจะฐานะอะไรก็ตาม
สงิ่ หนงึ่ ทคี่ วรท่องจาไว้อย่เู สมอกค็ ือ “คน” เป็นสง่ิ มีชีวติ ท่ีมที ั้งด้านบวก
และดา้ นลบ” ข้อความน้มี คี วามหมายอย่างไร
ก. เพราะคนเรามีทั้งดีและไม่ดี การทจี่ ะคบหาหรอื ทาความรู้จกั ใครก็ตามจะต้องศึกษา
เรยี นรูพ้ น้ื ฐานพฤติกรรมของแตล่ ะคนใหด้ ีเสยี กอ่ น
ข. เพราะคนเรามที ้ังดแี ละไม่ดี เราควรคบหาแต่คนดีและจะต้องศกึ ษาเรยี นรู้พ้นื ฐาน
พฤติกรรมของแตล่ ะคนใหด้ เี สยี กอ่ น
ค. เพราะเราต้องเลือกคบหาหรือทาความรจู้ ักใครกต็ ามจะตอ้ งศึกษาเรยี นรู้พนื้ ฐาน
พฤติกรรมของแต่ละคนให้ดเี สียก่อนจึงค่อยคบเปน็ เพ่อื น
ง. เราไมค่ วรคบใครเพราะคนเรามีทัง้ ดแี ละไมด่ ี การทจ่ี ะคบหาหรอื ทาความร้จู กั ใคร
กต็ ามจะต้องศึกษาเรยี นรู้พ้นื ฐานพฤติกรรมของแตล่ ะคนให้ดีเสยี ก่อน
คาถามท่ี ๒ ผเู้ ขยี นเสนอแนะผอู้ ่านว่าไมค่ วรกระทาในสิ่งใด
ก. ถ้าจะคบใครต้องดูท่ีฐานะและความเป็นอย่กู ารศึกษาเรียนรพู้ นื้ ฐานพฤตกิ รรม
ของแตล่ ะคนให้ดเี สยี ก่อน
ข. จงตงั้ ใจและจงคาดหวงั ใหเ้ วลาเปล่ยี นแปลงใจคนและพยายามอย่าให้เกดิ
ความล้มเหลวหรือความผดิ หวังในชวี ิต
ค. อย่าต้งั ใจคาดหวังใหเ้ วลาเปลีย่ นแปลง ควบคมุ และบงั คับบุคคลใดบุคคลหน่ึง
โดยเฉพาะ เพราะอาจต้องประสบกบั ความล้มเหลวหรือผิดหวงั ได้ในที่สุด
ง. คนเราอยา่ หวงั อะไรมากในชีวติ เพราะชีวติ มกี ารเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
และตอ้ งเข้มแขง็ ยอมรับว่าชีวิตของคนเราต้องมีทงั้ ดีและไม่ดี
๒๒
คาถามที่ ๓ หากมนุษย์ถูกบบี บงั คบั มาก ๆ จะส่งผลใหเ้ กิดส่งิ ใดตามมา
ก. หาวิธีการทจี่ ะหลกี เลยี่ งการปฏบิ ตั ิ
ข. หาแนวทางให้ชวี ติ ประสบความสาเรจ็
ค. ควบคมุ และบงั คบั บุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ง. ชีวิตต้องประสบกับความลม้ เหลวหรือผิดหวงั ไดใ้ นท่ีสดุ
คาถามท่ี ๔ เรื่องนี้สะทอ้ นให้เหน็ ว่า มนุษยต์ ้องการส่ิงใดมากท่สี ดุ
ก. อย่าพยายามเปลยี่ นแปลงคนหน่งึ คนมากเกนิ ไป
ข. ไมว่ ่าใครก็อยากมีช่วงเวลาของความเปน็ ส่วนตัว
ค. มนุษยม์ กั จะหาวธิ ีการแทรกตวั เพ่ือออกมาจากกฎท่ีกาหนด
ง. ความเปน็ ตัวของตัวเอง ไม่ถูกบีบบังคับมากเกนิ ไป ให้อย่ใู นความเหมาะสมพอดี
ตามสถานะศักยภาพของบุคคล
คาถามท่ี ๕ “เธอลองมองดูฉันดี ๆ ฉันมลี มหายใจ ไม่ใชภ่ าพวาดท่ีสวยงาม
อยากรจู้ ักใครสักคน ต้องหัดเรียนรู้ ไมใ่ ชเ่ ปลย่ี นแปลง” ข้อความน้ี
เปน็ จรงิ หรอื ไม่
ก. จรงิ ไม่ควรคิดวา่ สิง่ ทคี่ าดหวงั นน้ั ต้องประสบผลสาเร็จเสมอ หากจะครองใจคนได้
ตอ้ งเรียนรลู้ ักษณะของคน และคาดหวังในความเป็นไปได้บนพ้ืนฐานแห่งความ
เป็นจรงิ
ข. จรงิ ไม่ควรคดิ ว่า สงิ่ ทค่ี าดหวงั น้ันต้องประสบผลสาเร็จเสมอ ไม่วา่ เวลาจะ
เปลี่ยนไปนานเทา่ ไรคนเราต้องมคี วามหวังในชีวิต
ค. ไม่จริง คนเราควรคิดว่า สงิ่ ท่ีคาดหวังน้ันต้องประสบผลสาเรจ็ เสมอ หากจะครองใจ
คนได้ ตอ้ งเรียนรลู้ ักษณะของคน และคาดหวงั ในความเปน็ ไปได้บนพื้นฐาน
แห่งความเป็นจรงิ
ง. ไม่จรงิ ควรคดิ วา่ สง่ิ ทีค่ าดหวงั นั้นต้องประสบผลสาเร็จเสมอ ไมว่ า่ เวลาจะ
เปล่ียนไปนานเท่าไรคนเราต้องมีความหวังในชีวิต
๒๓
คาถามท่ี ๖ จากถ้อยคาข้างตน้ ข้อความต่อไปน้ี เปน็ ความจริง หรอื ไม่เปน็ ความจริง
(๕ คะแนน)
ข้อความ เปน็ ความจรงิ จงเขียนเครื่องหมาย (X) ในช่อง “ใช่”
ขอ้ ความ ไม่เป็นความจรงิ จงเขยี นเคร่ืองหมาย (X) ในชอ่ ง “ไมใ่ ช่”
ข้อ ข้อความ ใช่ ไม่ใช่
๑. ชีวิตท่มี ที ง้ั ด้านบวกและด้านลบ
๒. การที่เราจะคบหาหรือร้จู ักใครสักคนไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตามสิ่งหนงึ่
ท่ีควรทอ่ งควรจาไว้อยเู่ สมอก็คอื “คน” เปน็ สง่ิ มชี วี ติ ท่มี ีทงั้ ดา้ นบวก
และด้านลบอยู่ในน้นั
๓. จงใหเ้ วลากับคนหนึ่งคนมากใหม้ าก
๔. “คน” เป็นสิง่ มชี วี ิตท่ีมสี องด้าน
๕. มนุษย์มักจะหาวธิ กี ารแทรกตัวเพอื่ อกมาจากกฎทถี่ กู กาหนด
๖. จงพยายามเปลี่ยนแปลงคนหนึง่ คนใหม้ ากและมคี วามแตกต่างกัน
๗. อย่าควบคุมชวี ิตคน ๑ คนมากเกนิ ไปเพราะมนุษยม์ ักจะหาวิธกี ารแทรกตัว
เพือ่ ออกมาจากกฎท่ีถกู กาหนด
๘. เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความลม้ เหลว
๙. “ความจริงในชีวติ ” เปน็ คาไทยแทท้ ง้ั หมด
๑๐. ในโลกนี้มีคนชั่วมากกว่าคนดีคิดเปน็ ร้อยละ๘๐
๒๔
คาถามที่ ๗
ความจรงิ ในชวี ติ ข้อความน้มี ีลักษณะใด
ให้นักเรียนเขียนคาตอบลงในตารางให้สัมพนั ธ์กบั ข้อความทก่ี าหนดให้ (๒ คะแนน)
ที่ ข้อความ คาตอบ
๑. การที่เราจะคบหาหรือรจู้ ักใครสักคนไมว่ า่ จะในฐานะอะไร
กต็ ามส่งิ หน่ึงทคี่ วรท่องควรจาไว้อย่เู สมอกค็ ือ คาวา่ .............................................
.............................................
.............................................
๒. ชื่อขอ้ ความเรื่องนี้ .............................................
.............................................
.............................................
.............................................
เมอื่ น้อง ๆ เรียนมาถงึ นแี้ ล้ว..เหน่อื ยกนั บา้ งไหมคะ.
ถา้ ใครเหนื่อยก็พกั ได้นะคะแต่พี่แพรวากบั พ่จี อมขวญั ว่า
น้อง ๆไม่เหนือ่ ยกนั หรอกค่ะเพราะทุกคนมแี ต่คนเกง่ ๆ
ถ้าอยา่ งนนั้ ...เราไปคาถามต่อไปนะคะ...ไปกันเลย
๒๕
คาถามท่ี ๘ "มนุษยเ์ ปน็ สตั วป์ ระเสริฐไดก้ ด็ ว้ ยการฝกึ "
นักเรียนคิดอยา่ งไรกับคาพูดข้างต้น ทาไมจงึ คิดเชน่ น้นั ให้เหตุผลประกอบคาอธิบาย (๕ คะแนน)
๑. ให้นกั เรียนเลือกทาเคร่ืองหมาย วงกลมล้อมรอบ ข้อความข้างลา่ งนี้เพียง ๑ ข้อความ
ความคดิ เหน็ คลอ้ ยตาม ความคดิ เหน็ โต้แย้ง ความคดิ เหน็ คลอ้ ยตามและโต้แย้ง
๒. ใหน้ กั เรยี นเขียนอธิบายเหตผุ ล จานวน ๒ ขอ้ ท่สี อดคล้องความคดิ การเลือกในข้อ ๑
ความคิดเห็นคลอ้ ยตาม ความคดิ เห็นโต้แย้ง
๑.………………………………………………………………… ๑. …………………………………………………………………
…………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………..
…………………………………………………………………… ……………………………………………………………………
๒.………………………………………………………………… ๒. …………………………………………………………………
…………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………..
…………………………………………………………………… ……………………………………………………………………
…………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………..
…………………………………………………………………… ………………………………………………………………………
๒๖
แบบฝึกทกั ษะที่ ๒ เร่อื ง หนิ ลับมดี
หนิ ลบั มีดก็คลา้ ยกับยางลบ คลา้ ยกนั ตรงท่ีมีคู่กรณีจงึ จะมคี วามหมาย ถา้ หนิ ลบั มไี ม่มีมดี
มนั กค็ งไมร่ จู้ ะลบั อะไร อาจกลายร่างไปเป็นหินทับกระดาษ หินยันประตู หนิ ปาหัวสุนขั ไปแทน
แตเ่ พราะโลกนม้ี ีมดี จงึ มีหินลับมดี เกดิ ข้นึ
หินลับมีดเปน็ สิ่งของทม่ี ีหน้าตาธรรมดา เป็นกอ้ นสเ่ี หลี่ยมดา ๆ ไมน่ ่าพิสมัยอะไรคงไม่มใี ครเอา
หินลับมดี ไปวางโชว์ในหอ้ งรบั แขกหรือแขวนไวห้ น้าบา้ นคู่กับกระถาง คุณนายตนื่ สาย มันมกั จะถูก
ซอ่ นไว้ในพื้นท่ีท่ไี ม่มีใครมองเห็น แมไ้ ม่อยากใหใ้ ครเห็น แต่ทุกบ้านท่ีทาครวั ย่อมมีหินลบั มีด บา้ นใดไม่มี
มดี ย่อมไม่คม เมื่อมีดไม่คม แล้วจะหัน่ ผักหั่นปลามาทาอาหารใหอ้ รอ่ ยได้อย่างไร
หากเปรยี บการทางานเป็นการหน่ั การเฉือน หนิ ลับมีดย่อมเปน็ อปุ กรณ์ท่คี อยเตือนเรา
ใหห้ ยดุ พกั ไม่ใชง้ านมีดหนกั จนเกนิ ไป มดี ที่นี้หมายถึง สมอง ความคิด และฝีมือ เพราะถา้ ใช้มาก ๆ
อาจจะทือ่ เอาได้ มดี ทุกเลม่ ย่อมมีความคมเป็นคุณสมบัติ แตพ่ อตัดไปมาก ๆ แลว้ อาจตัดไมข่ าด
เฉอื นไมอ่ อกทาให้ต้องออกแรงเยอะ เวลาทจี่ ะใชม้ ดี เลม่ นนั้ มิควรรอใหถ้ ึงเวลานนั้ พ่อครวั ท่ดี คี วรลบั มดี
อยู่เสมอ
การใชม้ ีดทด่ี ีคือการบริหารเวลาระหวา่ งการใช้มีดและการลบั มีดให้สมดลุ ไมเ่ อยี งไปขา้ งใด
ข้างหน่ึง หากมวั แต่น่ังลับมีดจนไม่ทางานก็คงจะไม่มีอาหารกินกนั แนน่ อนวา่ เวลาทแ่ี บ่งไปใชก้ ับการลับ
มดี ให้คมขน้ึ นัน้ ไมไ่ ด้นามาซึ่งผลผลติ ใด ๆ ไม่ว่าจะเปน็ ผลงานหรือการเงิน การลบั มีดย่อมมใิ ช่
การทาอาหารการน่ังอา่ นหนังสือยอ่ มไมใ่ ช่การเขียนการเรียนภาษาย่อมไม่ใช่การทางาน ทว่ากิจกรรมนน้ั
ล้วนแล้วแต่ทาใหม้ ีดคมขึน้ เม่ือมดี คมก็ใชง้ านได้ดี คลอ่ งแคล่วข้ึนและสนกุ ขึ้น พ่อครัวทกุ คนย่อมรดู้ ีว่า
การมมี ีดท่ือ ๆ อย่ใู นมือน้ันมันว่าอึดอัดขนาดไหน
๒๗
เมื่อมดี ยังต้องการลับ สมองของเราย่อมต้องการเหลาและขัดเกลาเชน่ กนั
ในวันท่ีทางานหนัก ควรแบ่งเวลาพกั มาลับมีดบา้ ง การลบั มีดนน้ั ไมต่ ้องกระทาอยา่ งจรงิ จัง
เอาเปน็ เอาตาย สามารถแบบสบาย ๆ ลบั ไปผิวปากไปกย็ ังได้ หินลับสมองมีอย่ทู ่ัวไป
ทง้ั ประสบการณใ์ หม่ แรงบันดาลใจใหม่ จากสถานที่ใหม่ ๆ ท่ยี งั ไม่เคยไป ไมเ่ คยเหน็
หนังสือหลายเล่มทร่ี อเราเปดิ อา่ น หนงั ดี ๆ หลายเร่อื งทร่ี อเราไปดู เพลงหลายเพลงทร่ี อ
ไหลเข้าสู่รูหูของเรา พิพธิ ภณั ฑท์ น่ี า่ สนใจมากมายที่ต้ังเรียงรายทงั้ ในเมือง นอกเมืองและเมือง
นอก กิจกรรมสมั มนาน่าสนุกที่เชิญวิทยากรผู้มีประสบการณม์ าเลา่ ขานสู่กนั ฟัง รายการทีวดี ี ๆ
มสี าระ ดวี ดี สี ารคดีเกี่ยวกับเร่ืองท่เี ราสนใจ เวบ็ ไซตค์ ุณภาพท่มี เี นื้อหาน่าอา่ น
รวมไปถึงบทสนทนาดี ๆ จากผ้คู นรอบ ๆ ตัว หนิ ลบั สมองก็เช่นเดยี วกันกับหนิ ลับมดี
มนั วางอยขู่ า้ ง ๆ ตวั วางอยใู่ นครวั ใกล้มอื อย่ทู ีเ่ ราจะมีเวลาหยิบมนั ขนึ้ มาลบั หรือไม่
เป็นไงบ้างคะน้อง ๆ อา่ นข้อความเรอื่ ง “หนิ ลบั มดี ”
เสร็จแลว้ ..เรามาทาแบบฝึกทักษะที่ ๒ กนั ตอ่ นะคะ
๒๘
คาสั่ง จงทาเครือ่ งหมายกากบาท (×) ทับอักษรหนา้ ตัวเลือกที่เปน็ คาตอบท่ีถกู ต้องทส่ี ุด
(๕ คะแนน)
คาถามที่ ๑ ขอ้ ใดคอื จุดประสงคห์ ลักของเร่อื ง
ก. แสดงใหเ้ หน็ ความสาคัญของหนิ ลบั มดี
ข. เสนอให้รจู้ ักการแบ่งเวลาให้เหมาะสม
ค. แนะนาให้หาแรงบันดาลใจในการทางาน
ง. เชิญชวนให้หาความบนั เทงิ ใหแ้ ก่ชวี ติ
คาถามที่ ๒ จากเนอ้ื เรื่องข้อใดสรปุ ได้ถูกต้อง
ก. หนิ ลับมีดเป็นอปุ กรณก์ ารทาครัวพนื้ ฐานที่ทุกบ้านต้องมี
ข. การลับมีดใหม้ ีความคมอย่เู สมอมีผลกบั การทาอาหารให้อรอ่ ย
ค. การพยายามพาตวั ให้พน้ จากสภาพความจาเจเป็นการลับสมอง
ง. สมองตอ้ งการการพักผอ่ นและผ่อนคลายจากภาวะตึงเครียด
คาถามที่ ๓ ไกรพลตอ้ งการนาความรู้ทไี่ ด้จากการอ่านไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตจรงิ
ไกรพลควรปฏบิ ตั ิตามข้อใด
ก. เชิญผู้เขียนบทความมาบรรยายแนวคิดให้เพื่อน ๆ ฟัง
ข. ติดตอ่ บรษิ ัททวั รเ์ พื่อวางแผนการทอ่ งเทีย่ วในวนั หยุด
ค. ชวนวิเชยี รไปดูภาพยนตร์หลงั จากการทางานมาตลอดวัน
ง. ทบทวนตารางการทางานและจัดสรรเวลาว่างให้กับชีวิต
๒๙
คาถามท่ี ๔ ข้อความข้างตน้ มคี วามโดดเด่นในการเรียบเรยี งอย่างไร
ก. ลาดับความสาคัญของเนื้อหาไดอ้ ย่างเป็นระบบทาให้เขา้ ใจง่าย
ข. เนอ้ื หาสะท้อนใหเ้ หน็ สัจธรรมของชวี ิตและสรา้ งให้เกิดกาลงั ใจ
ค. นาเสนอแนวทางในการสร้างพลงั ให้แกช่ ีวติ ด้วยการคลายเครยี ด
ง. ใช้ภาษาที่เป่ยี มไปด้วยสญั ลกั ษณ์ต้องอาศัยการตคี วามอยา่ งลกึ ซึ้ง
คาถามที่ ๕ บทอ่านขา้ งตน้ ให้คณุ ค่าทางวรรณคดีด้านใดมากท่สี ุด
ก. คณุ คา่ ทางสงั คม
ข. คณุ คา่ ทางจติ ใจ
ค. คุณค่าทางปญั ญา
ง. คุณค่าทางกาย
เหนือ่ ยกนั ไหมคะ..ถา้ ใครเหน่ือยกห็ ยดุ พกั ก่อนไดค้ ่ะ
แลว้ คอ่ ยไปทาต่อจา้ ......
๓o
คาถามท่ี ๖ จากถ้อยคาข้างตน้ ตอ่ ไปนี้เปน็ ความจริงหรือไมเ่ ป็นความจรงิ (๕ คะแนน)
ข้อความเปน็ ความจรงิ จงเขียนเคร่ืองหมาย X ในช่อง “ใช่”
ขอ้ ความไม่เป็นความจรงิ จงเขียนเครื่องหมาย X ในชอ่ ง “ไมใ่ ช่”
ข้อ ขอ้ ความ ใช่ ไมใ่ ช่
๑. หนิ ลับมีดกค็ ลา้ ยกับยางลบ คลา้ ยกนั ตรงท่ีมคี ู่กรณจี ึงจะมีความหมาย
๒. การลบั มีดถ้าไม่มีหินลบั มีด มีดกอ็ าจกลายเป็นเพยี งเหลก็ ธรรมดา
๓. หินลับมีดเปน็ สิ่งของทมี่ ีหนา้ ตาธรรมดา ๆ เปน็ ก้อนกลม ๆ ดา ๆ น่าพิสมัย น่าค้นหา
๔. หนิ ลบั สมองก็เช่นเดยี วกนั กับหินลับมีด มันวางอยขู่ ้าง ๆ ตัว วางอยู่ในครัวใกลม้ ือ
อย่ทู ่ีเราจะมีเวลาหยบิ มันขึน้ มาลบั หรอื ไม่
๕. เมื่อมีดยังต้องการลบั สมองของเราย่อมต้องการเหลาและขัดเกลาเชน่ กนั
๖. การลับมดี นัน้ ต้องกระทาอยา่ งจรงิ จงั เอาเป็นเอาตายสามารถแบบสบาย ๆ
๗. หากมวั แต่นงั่ ลบั มีดจนไม่ทางานก็คงจะไมม่ ีอาหารกินกันแน่นอนวา่ เวลาท่แี บ่งไปใช้
กบั การลับมีดให้คมขึน้ นั้นไมไ่ ด้นามาซึ่งผลผลติ ใด ๆ
๘. ทุกบ้านที่ทาครัวไม่จาเปน็ ต้องมหี ินลับมีด บ้านใดไม่มหี นิ ลับมดี มดี กส็ ามารถคมได้
๙. การใช้มดี ท่ดี ีคอื การบรหิ ารเวลาระหวา่ งการใชม้ ดี และการลบั มีดให้สมดุล
ไมเ่ อยี งไปขา้ งใดข้างหน่ึง
๑๐. เมอ่ื มดี ไม่คม แลว้ จะห่ันผักหั่นปลามาทาอาหารให้อร่อยได้อย่างไร
๓๑
คาถามที่ ๗ ให้นักเรียนเขยี นคาตอบลงในตารางใหส้ มั พนั ธ์กับข้อความทกี่ าหนด
(๓ คะแนน)
ที่ ขอ้ ความ คาตอบ
๑. “หากเปรยี บการทางานเป็นการหนั่ การเฉอื น หนิ ลับมีด ตอบ............................................
.......................................................
ย่อมเป็นอุปกรณท์ ีค่ อยเตือนเราให้หยุดพกั ไมใ่ ช้งานมดี ......................................................
หนกั จนเกินไป”จากขอ้ ความนี้ มดี หมายถึง ......................................................
ตอบ............................................
๒. หินลับมีดมลี กั ษณะอยา่ งไร .......................................................
......................................................
๓. ทาไมไมเ่ อาหินลับมดี มาวางโชวใ์ นห้องรับแขกหรอื หน้า ......................................................
บ้าน ตอบ............................................
.......................................................
......................................................
......................................................
เป็นอยา่ งไรบา้ งทุกคน...ยงั ไหวอยู่นะ.....สๆู้ นะคะ
พี่แพรวากับพี่จอมขวัญเปน็ กาลังใจใหจ้ ้า
๓๒
คาถามท่ี ๘ จากคาถามต่อไปน้ีใหน้ กั เรียนบอกเหตผุ ล โดยใช้ข้อมลู จากเรื่องสนบั สนุน
คาตอบ (๖ คะแนน)
ท่ี ข้อความ เหตผุ ล
๑. เหตุใดจงึ กล่าววา่ “หนิ ลับมดี กค็ ล้ายกบั ยางลบ” ตอบ……………………………………………………
…………………………………………………………..
๒. บอกข้อคิดที่ไดจ้ ากเรื่อง หนิ ลับมีด …………………………………………………………..
…………………………………………………………..
…………………………………………………………..
…………………………………………………………..
ตอบ………………………………………………………
…………………………………………………………..
…………………………………………………………..
…………………………………………………………..
…………………………………………………………..
…………………………………………………………..
นอ้ ง ๆ คะพี่แพรวากบั พ่จี อมขวัญวา่ หลงั จากท่เี ราทาแบบ
ฝึกทกั ษะมาหลายขอ้ แล้ว...เปน็ อย่างไรบ้างคะ
ไม่ยากกนั เลยใช่ไหม....
๓๓
คาถามที่ ๙ นักเรียนมีความคิดเหน็ อยา่ งไรกับคาพดู ขา้ งตน้ ทาไมถึงคิดเชน่ น้ัน
ใช้เหตุผลประกอบคาอธบิ าย (๙ คะแนน)
ครจู นิ ตนา : นักเรียนคะ หลังจากอ่านเร่ือง หนิ ลบั มีดแล้ว
นกั เรยี นเกิดแรงบันดาลใจเก่ยี วกบั ขอ้ ความนีว้ ่าอยา่ งไร
“เรยี นรู้รอบตัว สคู่ วามคิดสอนตนเอง”
๑. ใหน้ ักเรียนเลือกทาเครื่องหมาย วงกลมล้อมรอบ ข้อความข้างล่างน้ี เพียง ๑ ข้อความ
ความคดิ เหน็ คล้อยตาม ความคดิ เหน็ โตแ้ ย้ง ความคิดเห็นคล้อยตามโตแ้ ยง้
๒. ใหน้ กั เรยี นเขียนอธบิ ายเหตุผล จานวน ๒ ขอ้ ท่สี อดคล้องความคิดการเลือกในข้อ ๑
ความคิดเห็นคล้อยตาม ความคิดเหน็ โตแ้ ย้ง
๑. ………………………………………………………………… ๑. …………………………………………………………………
…………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………..
…………………………………………………………………… ……………………………………………………………………
…………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………..
…………………………………………………………………… ………………………………………………………………………
๒. ………………………………………………………………… ๒. …………………………………………………………………
…………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………..
…………………………………………………………………… ……………………………………………………………………
…………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………..
…………………………………………………………………… ………………………………………………………………………
๓๔
แบบทดสอบหลังเรยี น
เล่มท่ี ๒ พิจารณาข้อความน่ารู้
คาช้แี จง
๑. แบบทดสอบมที ้ังหมด ๑๐ ข้อ
๒. กาหนดเวลาทาแบบทดสอบ ๑๐ นาที
๓. ใหน้ กั เรยี นเขียนเคร่ืองหมาย (X) ทับข้อท่ีถูกที่สดุ เพียงข้อเดยี ว
อ่านขอ้ ความทก่ี าหนดใหแ้ ล้วตอบคาถาม ข้อ ๑ - ๒
“ปจั จบุ ันมีผตู้ ดิ ยาเสพติดเปน็ จานนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนจะตดิ มากกวา่
คนกลมุ่ อ่นื และทน่ี ่าเป็นห่วง กาลังแพร่ระบาดสู่เด็กนักเรียนวยั ๙-๑๐ ปี สาเหตุอาจเปน็
เพราะถูกเพื่อนชักจูงให้ลองเสพ อยากรู้ อยากลอง ถูกล่อลวง และสาเหตสุ าคัญอกี ประการ
หน่ึง คอื การขาดความอบอุ่นในครอบครัว ปญั หาพ่อแม่หย่ารา้ งกัน ผ้ใู หญไ่ มไ่ ด้สนใจดูแลหรอื
เปน็ ท่พี งึ่ ของเดก็ ได้ เด็กเกดิ ความวา้ เหว่ไม่รู้จะปรึกษาใครเลย หันไปหายาเสพติด”
๑. ผู้ปกครองควรปฏบิ ัติตอ่ เด็กอยา่ งไร เพ่ือไมใ่ หเ้ ด็กตดิ ยาเสพติด
ก. ใหค้ วามอบอ่นุ ให้คาปรกึ ษา
ข. รู้จักเลอื กคบเพ่ือนท่ดี ี
ค. ใช้เวลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์
ง. เชือ่ ฟงั คาส่งั สอนของพ่อแม่
๓๕
๒. จดุ มุ่งหมายของผู้เขียนข้อความคือสง่ิ ใด
ก. ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
ข. ใหค้ วามอบอนุ่ ใหค้ าปรึกษา
ค. บอกวตั ถุประสงค์ในการใช้ยา
ง. เพื่อใหร้ ู้ถึงสาเหตุทท่ี าใหว้ ัยรุน่ ตดิ ยาเสพติด
อ่านขอ้ ความตอ่ ไปนแ้ี ลว้ ตอบคาถามขอ้ ๓ - ๕
“คณุ ครคู ะ วนั น้ีตอนเดินมาโรงเรยี นหนูเห็นคนตาบอดเดนิ ถือไม้เทา้ คลาทางมา ตรงทางม้าลาย
กาลังจะข้ามถนน เขาเดินเซไปเซมาเหมือนจะล้มลงค่ะ หนูจงึ เขา้ ไปประคองแล้วจงู มือเขา
ชว่ ยพาเดนิ ขา้ มถนนและเขาขอบใจหนดู ว้ ยค่ะ”
๓. เหตใุ ดคนเราจงึ ต้องทาความดี
ก. ความดีทาใหจ้ ติ ใจสงบสุข
ข. ความดที าให้เราฉลาด
ค. ความดีเป็นที่พึ่งแหง่ ตน
ง. ความดีนาชีวิตไปสู่แนวทางทดี่ ี
๔. คณุ ธรรมข้อใดสอดคล้องกับความหมายของข้อความนี้มากทีส่ ดุ
ก. ความวริ ิยะอุตสาหะ
ข. ความเมตตากรณุ า
ค. ความเอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่
ง. ความโอบอ้อมอารี
๓๖
๕. “เปน็ มนุษยส์ ดุ นยิ มเพยี งลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชวิ หา” คาท่เี ส้นใต้มีความหมาย
ตรงกับข้อใด
ก. พูด
ข. ลิน้
ค. ฟนั
ง. ปาก
อา่ นขอ้ ความท่ีกาหนดให้แล้วตอบคาถาม ข้อ ๖ - ๗
“ พระสอนว่า หวั ใจเศรษฐี คือ ขยัน ประหยดั อดทน ”
๖. พฤติกรรมของใครสอดคล้องกับคาสอนน้ีไดถ้ ูกต้อง
ก. ดนิ ชอบกินอาหารราคาแพง
ข. ดา ชอบเทย่ี วหา้ งสรรพสินค้า
ค. ดาว ชอบเทย่ี วกลางคนื
ง. แดง ชอบอ่านหนังสือพิมพ์
๗. ข้อความนี้ม่งุ สอนให้ทาความดพี ฤติกรรมของใครไม่ถูกต้อง
ก. แพรวาประหยัด อดออม ไมฟ่ มุ่ เฟือย
ข. หนูดมี คี วามอดทนต่อความอยากลาบาก
ค. ชมพูสร้างฐานะตนเองดว้ ยการโกงคนอืน่
ง. มะขามเอาชนะใจตนเองเสมอเม่ือต้องการของที่ไม่จาเป็น
๓๗
การสรา้ งสรรคต์ นเอง การสร้างบ้านเมืองกต็ าม มิใช่วา่ สร้างในวนั เดยี ว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร
ต้องใชค้ วามอดทน เสียสละ แตส่ าคัญทส่ี ุดคือความอดทน คือ ไมย่ ่อท้อในสงิ่ ที่ดีงามนน้ั ทามนั นา่ เบ่อื
บางทเี หมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดมู นั ควรทาดนี ี่ แต่ขอรับรองว่าการทาใหค้ วรต้องมีความอดทน
เวลาขา้ งหน้าจะเหน็ ผลแนน่ อนในความอดทนของตนเอง
พระบรมราโชวาท พระราชทานแกน่ กั เรยี น นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝา้ ฯ
วนั ที่ ๒๗ ตลุ าคม ๒๕๑๖
๘. นักเรียนจะนาขอ้ คดิ จากพระบรมราโชวาทน้ีมาใช้ในเร่ืองใดจึงเหมาะสมถูกต้องดงั กระแส
พระราชดารสั ว่า “เวลาข้างหน้าจะเหน็ ผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง”
ก. การศกึ ษาเล่าเรียนอย่างทุ่มเท
ข. การอดอาหารอย่างจริงจังเพื่อลดความอว้ น
ค. การซอื้ ของขวัญใหค้ นทแี่ อบชอบอยา่ งขะมกั เขมน้
ง. การสนทนาผ่านเครอื ข่ายอินเทอรเ์ น็ตอยา่ งขะมักเขมน้
ใช้แผนภาพต่อไปน้ตี อบคาถาม ขอ้ ๙ - ๑๐
(ที่มา : http://www.ocpb.go.th/show_news.asp?id=๒๙๗.สาธารณสขุ .
กระทรวง กินตามแม่ กรุงเทพฯ เปรียว. ๒๕๕๖)
๓๘
๙. จากถ้อยความ ทาไมผู้เขียนจงึ เร่ิมต้นดว้ ยคาถาม
ก. เพราะผู้เขยี นต้องการรคู้ าตอบ
ข. เพ่ือบอกถึงการกนิ ผกั ให้ปลอดภยั
ค. เพ่ือบอกถงึ อนั ตรายของการบริโภค
ง. เพือ่ ให้ผ้อู ่านสนใจตดิ ตามรายละเอียดในเรอ่ื งนัน้
๑๐. จากข้อความทวี่ ่า “กินผักอย่างไรใหป้ ลอดภัยจากสารเคมแี ละยาฆ่าแมลง?”
นักเรยี นมีวธิ กี ารเลอื กรบั ประทานผกั อย่างไร
ก. กินผักหวานและมะระขน้ี ก
ข. กนิ ผักทม่ี ีรอยแมลงเล็กนอ้ ย
ค. กินผกั คะน้าและผักชี
ง. กนิ ผกั ตาลงึ และขิง
สุดยอดมากเลยทุกคน เราเรียนจบกนั แลว้
นะคะ...มาดคู ะแนนกนั วา่ ใคร
ได้ก่ีคะแนนเอย่ .....พีแ่ พรวากับพีจ่ อมขวญั
เชอ่ื วา่ นอ้ ง ๆ ไดเ้ ตม็ ทุกคนแน่นอน
๓๙
กระดาษคาตอบแบบทดสอบหลงั เรยี น
เล่มที่ ๒ พจิ ารณาขอ้ ความน่ารู้
ชื่อ-สกุล...................................ช้ัน...............................เลขที่..................
ขอ้ ก ข คง
๑
๒ สรปุ คะแนน
๓ คะแนนท่ีได้
๔
๕ .......................................................................
๖
๗
๘
๙
๑๐
คะแนนเต็ม
รวม ๑๐ คะแนน
๔o
บรรณานุกรม
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (๒๕๔๖). การศกึ ษาสภาพการอ่านของนักเรียนและการจัดกจิ กรรมส่งเสรมิ
การอา่ นในโรงเรียน. (ออนไลน)์ . เขา้ ถงึ ได้จาก: http//www.Thicdrescarch.Org/
(๑๘ Feb ๒๐๐๕).
. (๒๕๔๖). กิจกรรมสง่ เสรมิ การอา่ น. (พมิ ครง้ั ท่ี ๓). กรงุ เทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว.
กุสุมา รกั ษ์มณแี ละคณะ. (ม.ป.ป.). ทักษะสื่อสาร๑. กรุงเทพฯ: บริษทั ไทยรม่ เกล้าจากัด
ความจริงของชีวติ . อา้ งอิงจาก: http://fat๑๐๘๑๐๐๙, spaces, live. com, Blog/cns!๔๒FD๗๗๖!
๒๖๗.Entey สืบคน้ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๘.
โครงการ PISA ประเทศไทย สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี (๒๕๕๗).
ผลการประเมนิ PISA คณติ ศาสตร์ การอา่ น และวิทยาศาสตร์ นักเรยี นร้อู ะไร
และทาอะไรได้บ้าง. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท)
. ๒๕๕๕). ตัวอย่างขอ้ สอบการประเมนิ ผลนานาชาติ PISA ๒๐๐๙: การอา่ น (เพิ่มเติม).
พิมพ์ครง้ั ที่ ๒. กรุงเทพฯ : สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.).
. ๒๕๕๗). ผลการประเมิน PISA ๒๐๑๒ คณติ ศาสตร์ การอา่ น และวทิ ยาศาสตร์ นักเรยี นรู้
อะไรและทาอะไรได้บ้าง. กรงุ เทพฯ: สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
(สสวท.).
. (๒๕๕๗). “แผน่ พับประชาสมั พนั ธโ์ ครงการ PISA ๑”. โครงการ PISA. สถาบนั สง่ เสรมิ
การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.).เขา้ ถึงได้จาก http://pisathailand.ipst.ac.th/
. (๒๕๕๗). “แผน่ พบั ประชาสัมพนั ธ์โครงการ PISA ๒”. โครงการประเมนิ ผลนักเรยี นร่วมกับ
นานาชาติ.สถาบนั ส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.).เข้าถึงได้จาก
http://docs.google.com/file/d/๐BwqFSk๕b๗zSaGVTnlkNXVLb๒s/edit.
ฉววี รรณ คูหาภนิ นท์ .(๒๕๔๕). การอ่านและการส่งเสริมการอา่ น. พิมพค์ ร้ังที่ ๒ กรุงเทพฯ:
โสภณการพิมพ์.
ฉวีลกั ษณ์ บุณยะกาญจน. (๒๕๔๗). จติ วทิ ยาการอ่าน. กรงุ เทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.
๔๑
ธตรฐ ตุลาพงษ์พิพัฒน์. (๒๕๕๘). เอกสารประกอบการพัฒนาครูภาษาไทย โครงการเร่งรัดคณุ ภาพ
การอ่านร้เู รื่องและส่ือสารไดส้ กู่ ารเรยี นการสอน กจิ กรรมทักษะการอ่าน คิดวเิ คราะห์ และ
เขียนสอื่ ความหมาย แนวทางการประเมนิ ผลนักเรียนรว่ มกับนานาชาติ (PISA).
เอกสารอัดสาเนา.
. (๒๕๕๘). การอา่ นร้เู ร่อื งตามแนว PISA (Reading Literacy). เอกสารอดั สาเนา.
ทศิ นา แขมมณีและคณะ. (๒๕๔๙). “การนาเสนอรูปแบบเสริมสร้างทกั ษะการคดิ ขนั้ สูง
ของนิสติ นักศึกษาครรู ะดับปริญญาตรสี าหรบั หลกั สตู รครุศึกษา”. เอกสารอดั สาเนา.
พลังงานทางเลือกไทยอยูท่ ี่ไหน. อ้างองิ จาก: http://www.eppo.go.th/power๒๕๕๔.pdf.
สืบค้น ๖ สงิ หาคม ๒๕๕๘.
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเขา้ เฝา้ ฯ. อา้ งอิงจาก
http://king.kapook.com/royal_words_๐๕.php. Entey สบื ค้น ๖ สิงหาคม ๒๕๕๘.
พัชรนิ ทร์ อารมณ์สาวะ. (๒๕๕๗). การประเมนิ การรู้เร่ืองการอา่ นของ PISA ๒๐๑๕.
นติ ยสาร สสวท.๔๒ (๑๘๙),๔๔ - ๔๘.
เพญ็ ศรี จันทรด์ วง. (๒๕๔๖). วรรณสารศึกษา เล่ม ๑ ม.๔. กรุงเทพฯ: แม็ค.
มณรี ัตน์ สุกโชตริ ัตน.์ (๒๕๔๙). อา่ นเปน็ : เรียนก่อนสอนเก่ง. กรุงเทพฯ.
วเิ คราะหข์ ้อสอบ O - NET กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ สพป.บุรีรมั ย์ เขต ๑.
(๒๕๕๖). หินลบั มีด. อ้างองิ จาก http://www.slideshare.net/kita.
สืบค้น ๖ สงิ หาคม ๒๕๕๘.
ศรรี ตั น์ เจิงกลิน่ จนั ทร์. (๒๕๔๒). การอ่านและการสรา้ งนสิ ัยรกั การอ่าน. กรุงเทพมหานคร:
ไทยวฒั นาพานิช.
ศิวกานท์ ปทุมสตู .ิ (๒๕๔๐). กลวิธีสอนเดก็ ให้เรียนเขียนกว.ี บรษิ ัทตน้ อ้อแกรมมี่จากดั พิมพ์คร้งั ที่ ๒.
๔๒
สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน.
กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๕๕). รา่ งชุดฝกึ อบรมเตรยี มความพร้อมผู้เรยี นสกู่ ารประเมินผล
นักเรียนนานาชาติ PISA. การอบรมเตรยี มความพรอ้ มผ้เู รียนสู่การประเมินผล
การนกั เรียนนานาชาติ PISA ๒๐๑๒. (หน้า ๑ - ๑๒๖). กรงุ เทพฯ: สานกั งานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน.
สานักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน.
กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๕๘). คมู่ อื การเรียนการสอน การอา่ น คดิ วเิ คราะห์
ตามแนวทางประเมนิ ประเมินผลการนักเรียนนานาชาติ (PISA). กรงุ เทพฯ:
สานกั งานคณะกรรมการ การศึกษาขนั้ พื้นฐาน.
เอกรนิ ทร์ อชั ชะกลุ วสิ ทุ ธิ์. (๒๕๕๗). “การประเมินดา้ นการแก้ปัญหาแบบร่วมมือของ PISA ๒๐๑๕”,
นติ ยาสาร สสวท. ๔๓(๑๙๑),๓๗ - ๔๑.
๔๓
ภาคผนวก
๔๔
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน
ขอ้ คาตอบ
๑. ง
๒. ง
๓. ข
๔. ก
๕. ค
๖. ข
๗. ก
๘. ค
๙. ข
๑๐. ง
๔๕
การจาแนกกลยุทธก์ ารอ่านแนว PISA
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
กลยุทธ์
ขอ้ ท่ี การเขา้ ถึงและค้นคนื สาระ การบูรณาการและตีความ การสะท้อนและ
ประเมนิ
๑X
๒X
๓X
๔X
๕X
๖X
๗X
๘X
๙X
๑๐ X
เหนอ่ื ยเราก็ไมเ่ หน่ือย………….
เมื่อยเราก็ไม่เม่ือยเราเรยี นไปเรอื่ ย ๆ จา้
๔๖
เฉลยแบบฝึกทักษะที่ ๑ เรื่องความจรงิ ในชีวิต
คาสัง่ จงทาเครือ่ งหมายกากบาท (×) ทับอักษรหน้าตัวเลือกท่เี ป็นคาตอบที่ถูกต้องทีส่ ดุ (๕ คะแนน)
คาถามที่ ๑ “การทีเ่ ราจะคบหาหรอื รู้จักใครสกั คน ไม่ว่าจะฐานะอะไรก็ตาม ส่ิงหนึง่ ทคี่ วร
ทอ่ งจาไว้อยู่เสมอก็คือ “คน” เป็นสง่ิ มชี วี ิต ทีม่ ีท้งั ดา้ นบวกและดา้ นลบ”
ขอ้ ความนมี้ คี วามหมายอย่างไร
ก. เพราะคนเรามีท้ังดีและไม่ดี การทจ่ี ะคบหาหรือทาความรจู้ กั ใครก็ตามจะตอ้ งศึกษา
เรียนรูพ้ นื้ ฐานพฤตกิ รรมของแตล่ ะคนให้ดเี สียก่อน
ข. เพราะคนเรามีทง้ั ดีและไม่ดี เราควรคบหาแต่คนดแี ละจะต้องศกึ ษาเรยี นรู้พื้นฐาน
พฤติกรรมของแตล่ ะคนให้ดีเสียกอ่ น
ค. เพราะเราต้องเลือกคบหาหรือทาความร้จู ักใครก็ตามจะตอ้ งศึกษาเรยี นรู้พน้ื ฐาน
พฤติกรรมของแต่ละคนใหด้ เี สยี กอ่ นจงึ ค่อยคบเป็นเพือ่ น
ง. เราไม่ควรคบใครเพราะคนเรามที ั้งดแี ละไม่ดี การที่จะคบหาหรอื ทาความร้จู ักใคร
กต็ ามจะต้องศกึ ษาเรยี นรู้พน้ื ฐานพฤติกรรมของแต่ละคนให้ดีเสยี ก่อน
กลยุทธ์การอา่ น : การเข้าถึงและค้นคืนสาระ
รูปแบบการตอบ : แบบเลอื กตอบ
คาถามที่ ๒ ผู้เขียนเสนอแนะผู้อา่ นว่าไม่ควรกระทาในส่งิ ใด
ก. ถา้ จะคบใครต้องดทู ่ฐี านะและความเป็นอยู่การศึกษาเรียนรพู้ ้นื ฐานพฤติกรรม
ของแตล่ ะคนใหด้ เี สยี ก่อน
ข. จงตงั้ ใจและจงคาดหวังให้เวลาเปลี่ยนแปลงใจคนและพยายามอย่าใหเ้ กิด
ความล้มเหลวหรอื ความผิดหวังในชวี ติ
ค. อยา่ ตง้ั ใจคาดหวงั ให้เวลาเปล่ียนแปลง ควบคมุ และบังคับบุคคลใดบุคคลหนึง่
โดยเฉพาะ เพราะอาจต้องประสบกบั ความล้มเหลวหรือผิดหวงั ไดใ้ นทส่ี ดุ
ง. คนเราอย่าหวังอะไรมากในชวี ิตเพราะชีวิตมกี ารเปลีย่ นแปลงไปตามเวลา และตอ้ ง
เข้มแขง็ ยอมรบั ว่าชีวิตของคนเราต้องมที ้ังดีและไม่ดี
กลยทุ ธ์การอ่าน : การบูรณาการและตีความ
รูปแบบการตอบ : แบบเลือกตอบ
๔๗
คาถามที่ ๓ หากมนษุ ยถ์ กู บีบบงั คับมาก ๆ จะส่งผลให้เกิดสงิ่ ใดตามมา
ก. หาวิธกี ารที่จะหลกี เล่ียงการปฏบิ ัติ
ข. หาแนวทางใหช้ วี ติ ประสบความสาเร็จ
ค. ควบคุมและบังคบั บคุ คลใดบุคคลหน่ึงโดยเฉพาะ
ง. ชวี ิตต้องประสบกับความล้มเหลวหรือผดิ หวงั ไดใ้ นท่สี ุด
กลยทุ ธก์ ารอ่าน : การเข้าถงึ และคน้ คนื สาระ
รูปแบบการตอบ : แบบเลือกตอบ
คาถามที่ ๔ เร่ืองนี้สะทอ้ นให้เห็นว่า มนุษยต์ อ้ งการสิง่ ใดมากที่สดุ
ก. อยา่ พยายามเปลีย่ นแปลงคนหนึ่งคนมากเกนิ ไป
ข. ไมว่ า่ ใครก็อยากมชี ่วงเวลาของความเปน็ ส่วนตัว
ค. มนษุ ย์มกั จะหาวิธกี ารแทรกตัวเพ่ือออกมาจากกฎที่กาหนด
ง. ความเปน็ ตวั ของตัวเอง ไม่ถูกบบี บงั คบั มากเกนิ ไป ใหอ้ ยู่ในความเหมาะสมพอดี
ตามสถานะศักยภาพของบุคคล
กลยทุ ธก์ ารอา่ น : การบูรณาการและตีความ
รปู แบบการตอบ : แบบเลอื กตอบ