38 Tomas (1976: 6320) ได้ทดลองสอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัย โดยใช้วิธีการสอน โดยแบ่งนักศึกษาออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกครูจัดสอนเป็นรายบุคคลและใช้ชุดฝึกทักษะ ผลปรากฏ ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน กรอบแนวคิดการวิจัย จากการที่ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยมีตัวแปรต้นและตัวแปรตาม ดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพที่ 1 กรอบแนวคิด กิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้แบบฝึกทักษะ 1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน 2. ประสิทธิภาพของกระบวนการและผลลัพธ์ (E1/E2 ) ของแบบฝึกทักษะ
39 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกทักษะ มีการจัดการเรียนการสอนดังขั้นตอนต่อไปนี้ ภาพที่ 2 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นสอน ขั้นสรุป ขั้นฝึกทักษะ ครูทบทวนความรู้เดิมจากคาบที่ ผ่านมาและแจ้งจุดประสงค์ใน การเรียนให้นักเรียนทราบ ครูนำเสนอเนื้อหาในการเรียน การสอน พร้อมกับแสดงตัวอย่าง ครูและนักเรียนร่วมกันสรุป ความรู้ที่ได้เรียนในคาบนี้ ครูให้นักเรียนทำแบบฝึกทักษะ แบบฝึก ทักษะ
บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาแบบฝึกทักษะทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้น ขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัยได้นำเสนอวิธีการศึกษาตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนการทดลอง 3. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 ห้องเรียน จำนวน 47 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งนักเรียนในแต่ ละห้องเรียนเป็นแบบคละความสามารถ (เก่ง ปานกลาง อ่อน) 2. กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 12 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ที่ได้มาจากการสุ่มแบบ แบ่งกลุ่ม แบบแผนการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) กลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน (One Group Pretest – Posttest Design) ดังภาพ 01 x 02 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง 01 แทน การทดสอบก่อนเรียน x แทน ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ 02 แทน การทดสอบหลังเรียน
41 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกทักษะ จำนวน 6 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 6 ชั่วโมง 2. แบบฝึกทักษะ เรื่อง เส้นขนาน ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ผู้ศึกษากำหนดรายละเอียดของการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือฯ ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ แบบฝึกทักษะ ผู้ศึกษาได้ดำเนินการสร้าง ดังนี้ 1.1 ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ 1.2 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ คู่มือครูหนังสือเรียนวิชาคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่จัดทำ โดยกระทรวงศึกษาธิการ 1.3 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 1.4 สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหา บทที่ 3 1.5 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการ/สื่อนวัตกรรม จำนวน 6 แผน รวม 6 ชั่วโมง 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน เป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสอนวิชาคณิตศาสตร์ด้านหลักสูตรและการสอน การวิจัย และการวัดผลประเมินผลตรวจสอบ ความถูกต้องเหมาะสม ความสอดคล้องและความเป็นไปได้ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้และการวัดผลประเมินผล โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ตรวจสอบ ให้คะแนนดังนี้ - ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นเหมาะสมและสอดคล้อง - ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบเหมาะสมและสอดคล้อง - ให้คะแนนเป็น –1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นไม่เหมาะสมและสอดคล้อง แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item – Objective Congruence : IOC) ระหว่างองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ จะต้องได้ค่าดัชนีความสอดคล้องของทุก องค์ประกอบตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item – Objective Congruence : IOC) ระหว่างองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ได้ 0.50 ขึ้นไปทุกแผนการจัดการเรียนรู้ 1.7 ปรับปรุง และแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ
42 1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลังเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม ปีการศึกษา 2565 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย และ ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 4 คน (ทดลองเดี่ยว) ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนที่มีความสามารถอยู่ ในระดับ สูง 1 คน ปานกลาง 2 คน และต่ำ 1 คน เพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องและปรับปรุงแก้ไข เกี่ยวกับการใช้สำนวนภาษา 1.9 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลังเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม ปีการศึกษา 2565 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยและ ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 12 คน (ทดลองกลุ่มเล็ก) ประกอบด้วยนักเรียนที่มีความสามารถ อยู่ในระดับสูง 3 คน ปานกลาง 6 คน และต่ำ 3 คน เพื่อหาข้อบกพร่องเกี่ยวกับเวลา สื่อการสอน ปริมาณเนื้อหาและกิจกรรมในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้แล้วปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ 1.10 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง เพื่อ ตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขเป็นฉบับสมบูรณ์ที่ใช้ในการทดลองภาคสนาม 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบมี 4 ตัวเลือก มีขั้นตอนในการสร้างและหา ประสิทธิภาพดังนี้ 2.1 ศึกษาทฤษฎีวิธีสร้าง เทคนิคการเขียนข้อสอบแบบเลือกตอบ คู่มือการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง เส้นขนาน ตามหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 2.2 สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหา 2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ มี 4 ตัวเลือก จำนวน 32 ข้อ ให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระและผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 2.4 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน การสอนวิชาคณิตศาสตร์การวิจัยและด้านการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิง เนื้อหา โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ซึ่งให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ตรวจสอบ โดยมีเกณฑ์การให้ คะแนนดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดได้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดได้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดไม่สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 2.5 นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อ คำถามของแบบทดสอบกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยหาค่า IOC ซึ่งมีต้องมีค่าไม่น้อยกว่า 0.50 ซึ่ง
43 ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ผลปรากฏว่าทุกข้อมีค่าดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แล้วคัดเลือกข้อสอบจำนวน 20 ข้อ 2.6 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลังเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม ปีการศึกษา 2565 ที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ผ่านมาแล้ว และไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย จำนวน 20 คน แล้วนำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (P) และหาค่าอำนาจจำแนก (r) เป็นรายข้อซึ่งมีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20 - 0.80 มีค่าอำนาจ จำแนกไม่น้อยกว่า 0.20 ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) มีค่าอยู่ระหว่า 0.20 – 0.80 ทุกข้อ และมีค่าอำนาจจำแนก 0.20 ขึ้นไปทุกข้อ 2.7 นำข้อสอบที่คัดเลือกแล้วจำนวน 30 ข้อ ไปทดสอบเพื่อหาค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้สูตรของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (KR-20) ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.70 ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับได้เท่ากับ 0.70 ขึ้นไป 2.8 นำแบบทดสอบที่ได้ไปวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการทดลองภาคสนามต่อไป 3. แบบฝึกทักษะ เรื่อง เส้นขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้ศึกษาได้ ดำเนินการสร้าง ดังนี้ 3.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิเคราะห์หลักสูตรมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด เรื่อง เส้น ขนานและศึกษาคู่มือครูรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ของสถาบันส่งเสริมการ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้ รูปแบบและขั้นตอนการสร้าง แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3.2 สร้างแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เส้นขนาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 ชุด ได้แก่ ชุดที่ 1 เส้นขนานและมุมภายใน, ชุดที่ 2 เส้นขนานและมุมแย้ง และ ชุดที่ 3 เส้น ขนานและมุมภายนอกกับมุมภายใน 3.3 สร้างแบบประเมินคุณภาพของแบบฝึกทักษะ สำหรับเสนอผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามวิธีของลิเคอร์ท (Likert) โดยกำหนดเกณฑ์การประเมินคุณภาพ ด้านความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะและเกณฑ์การแปลความหมาย ดังนี้ เกณฑ์การให้คะแนน เหมาะสมมากที่สุด ตรวจให้ 5 คะแนน เหมาะสมมาก ตรวจให้ 4 คะแนน เหมาะสมปานกลาง ตรวจให้ 3 คะแนน
44 เหมาะสมน้อย ตรวจให้ 2 คะแนน เหมาะสมน้อยที่สุด ตรวจให้ 1 คะแนน เกณฑ์การแปลความหมาย ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 แปลความว่า เหมาะสมมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 แปลความว่า เหมาะสมมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 แปลความว่า เหมาะสมปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 แปลความว่า เหมาะสมน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 แปลความว่า เหมาะสมน้อยที่สุด 3.4 นำแบบฝึกทักษะ พร้อมแบบประเมินความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะ เสนอ ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ทำการประเมินเพื่อตรวจคุณภาพความเหมาะสมและตรวจสอบความถูกต้อง โดยรวมแบบฝึกทักษะทั้ง 3 ชุด ด้านเนื้อหาและการนำเสนอ รวมถึงการใช้ภาษาและสัญลักษณ์ทาง คณิตศาสตร์ การคิดคำนวณและด้านการพิมพ์ 3.5 นำแบบฝึกทักษะที่ได้แก้ไขและปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว ไปทดลองใช้เพื่อ หา ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ โดยนำไปทดลองกับนักเรียนกลุ่มเดี่ยว จำนวน 3 – 4 คน พบว่าใน โจทย์ของแบบฝึกทักษะมีการพิมพ์มุมสลับตำแหน่งกัน และนำไปแก้ไขเพื่อไปทดลองใช้จริงต่อไป 3.6 จัดพิมพ์แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ ทั้ง 3 ชุด เป็นฉบับ สมบูรณ์ให้เพียงพอ และนำไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 12 คน ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างตามลำดับดังนี้ 1. ก่อนการทดลองให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นจำนวน 6 แผน โดยให้นักเรียนเรียนปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ตามขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลองสอนแล้ว นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ชุดเดิมไปทดสอบนักเรียนอีกครั้ง จากนั้นนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป
45 การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เส้นขนาน โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัยดำเนินการโดยใช้โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ตาม ขั้นตอนดังนี้ 1. ศึกษาประสิทธิภาพของกระบวนการและผลลัพธ์ของแบบฝึกทักษะ เรื่อง เส้นขนาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน ใช้ค่าเฉลี่ย (X̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทาง สถิติ 2. สถิติที่ใช้ในการศึกษาคุณภาพของเครื่องมือในการวิจัย 2.1 ดัชนีความสอดคล้องที่ใช้ตรวจสอบความเที่ยงตรงของเครื่องมือในการวิจัยดังสูตร IOC = N R เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหา หรือระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 2.2 ค่าความยากง่าย (p) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.3 ค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.4 ค่าความเชื่อมั่น (rtt) ของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน 2.5 ประสิทธิภาพของกรพบวนการและผลลัพธ์ (E1/E2) สูตร E1 = ∑ X N A ×100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ
46 ∑ แทน ผลรวมของคะแนนที่ได้จากการทำแบบฝึกทักษะหรือแบบทดสอบย่อยใน ระหว่างเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกทักษะหรือแบบทดสอบย่อย N แทน จำนวนนักเรียน สูตร E2 = ∑ Y N A ×100 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑ แทน ผลรวมของคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน N แทน จำนวนนักเรียน 3. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐาน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทาง สังคมศาสตร์SPSS for Windows ด้วยสถิติที่ใช้ทดสอบหลังเรียนเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ด้วยการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (t – test for One Sample) และทดสอบความแตกต่างของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน คือ การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test dependent)
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากการดำเนินการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของ กระบวนการและผลลัพธ์ของแบบฝึกทักษะ เรื่อง เส้นขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2) เพื่อ ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน โดยใช้ แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน ผู้วิจัยได้นำเสนอผล การวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ที่ เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตารางที่1 แสดงประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ที่เรียนด้วย กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 จำนวน 12 คน จำนวน นักเรียน คะแนนทดสอบระหว่างเรียน 3 ชุด (30 คะแนน) คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียน (20 คะแนน) ประสิทธิภาพ E1/E2 คะแนน เต็ม คะแนน ที่ได้ ค่าเฉลี่ย E1 คะแนน เต็ม คะแนน ที่ได้ ค่าเฉลี่ย E2 12 360 308 25.67 85.56 240 189 15.75 78.75 85.56/78.75 จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนเฉลี่ยของคะแนนจากการทำแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 85.56 และคะแนนเฉลี่ยจากการทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 78.75 แสดงว่าแบบฝึกทักษะวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.56/78.75 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 70/70
48 ตอนที่ 2 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ที่เรียนด้วย กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลคะแนนของผู้เรียนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง เส้นขนาน ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดังแสดงผลการวิเคราะห์ในตารางที่ 2 ตารางที่ 2 คะแนนที่ได้ ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นรายบุคคล คนที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 1 3 15 14 70 2 4 20 14 70 3 5 25 18 90 4 5 25 15 75 5 6 30 16 80 6 2 10 14 70 7 3 15 18 90 8 4 20 14 70 9 5 25 18 90 10 6 30 17 85 11 5 25 17 85 12 4 20 14 70 ค่าเฉลี่ย (X) 4.33 21.67 15.75 78.75 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.23 1.76 จากตารางที่ 2 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ที่ เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้คะแนน เฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 4.33 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 21.67 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.75 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 78.75
49 ตอนที่ 3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ที่เรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างหลัง เรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ผู้วิจัยได้นำคะแนนของผู้เรียนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียนเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ด้วยการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (t – test for One Sample) ดังแสดงผลการวิเคราะห์ในตารางที่ 3 ตารางที่ 3 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบทีแบบกลุ่ม โดย เปรียบเทียบกับคะแนนสอบหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่ม คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ t - test กลุ่มทดลอง 15.75 1.76 78.75 3.44** จากตารางที่ 3 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ที่ เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้คะแนน เฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.61 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 78.75 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ผลปรากฏ ว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ตอนที่ 4 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ที่เรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อน เรียนกับหลังเรียน ผู้วิจัยได้นำคะแนนของผู้เรียนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียนเปรียบเทียบกัน ด้วยการทดสอบที แบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Sample) ดังแสดงผลการวิเคราะห์ในตารางที่ 4 ตารางที่ 4 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบทีแบบไม่อิสระ โดย เปรียบเทียบกับคะแนนเฉลี่ยระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน ผลการทดลอง คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ t - test ก่อนเรียน 4.33 1.23 21.67 24.39** หลังเรียน 15.75 1.76 78.75 หมายเหตุ **มีนัยสำคัญที่ระดับ .01 จากตารางที่ 4 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ที่ เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้คะแนน เฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 4.33 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 21.67 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.75 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 78.75 เมื่อเปรียบเทียบด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Sample) ผลปรากฏว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาแบบฝึกทักษะทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้จัดนำเสนอการสรุปผล และข้อเสนอแนะ ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของกระบวนการและผลลัพธ์ของแบบฝึกทักษะ เรื่อง เส้นขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน โดยใช้แบบฝึก ทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน สมมติฐานของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน 1. ประสิทธิภาพของกระบวนการและผลลัพธ์ (E1/E2) ของแบบฝึกทักษะ เรื่อง เส้นขนาน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ไม่น้อยกว่า 70/70 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง เส้นขนาน มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนคณิตศาสตร์หลังเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน โดยใช้แบบฝึกทักษะ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน วิธีการดำเนินการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 ห้องเรียน จำนวน 47 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งนักเรียนในแต่ ละห้องเรียนเป็นแบบคละความสามารถ (เก่ง ปานกลาง อ่อน)
51 2. กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 12 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ที่ได้มาจากการสุ่มแบบ แบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ แบบฝึกทักษะ จำนวน 6 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 6 ชั่วโมง 2. แบบฝึกทักษะ เรื่อง เส้นขนาน ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ก่อนการทดลองให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นจำนวน 6 แผน โดย ให้นักเรียนเรียนปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ตามขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลองสอนแล้ว นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ชุดเดิมไปทดสอบนักเรียนอีกครั้ง จากนั้นนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เส้นขนาน โดยใช้แบบฝึก ทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัยดำเนินการโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับ ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ตามขั้นตอนดังนี้ 1. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของกระบวนการและผลลัพธ์ของแบบฝึกทักษะ เรื่อง เส้นขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน โดยใช้แบบฝึก ทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน
52 สรุปผลการวิจัย 1. คะแนนเฉลี่ยของคะแนนจากการทำแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 85.56 และคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 78.75 แสดงว่าแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้น ขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.56/78.75 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง กว่าเกณฑ์ 70/70 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการ สอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.75 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 78.75 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ผลปรากฏว่า คะแนนเฉลี่ยหลัง เรียนไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการ สอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 4.33 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 21.67 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.75 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 78.75 เมื่อเปรียบเทียบกันด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Sample) ผล ปรากฏว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 อภิปรายผลการวิจัย การพัฒนาแบบฝึกทักษะทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 สามารถอภิปรายผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. คะแนนเฉลี่ยของคะแนนจากการทำแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 85.56 และคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 78.75 แสดงว่าแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้น ขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.56/78.75 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง กว่าเกณฑ์ 70/70 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการที่นักเรียนทำแบบฝึก ทักษะที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งผ่านกระบวนการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ซึ่งในแบบฝึกทักษะ ที่นักเรียนได้ใช้นั้นเป็นเรื่องที่นักเรียนได้เรียนมาแล้ว ไม่ยากหรือไม่ง่ายเกินไป เหมาะสมกับ ความสามารถของนักเรียน แบบฝึกทักษะในแต่ละชุดจะมีคําชี้แจงสั้น ๆ ที่ทำให้นักเรียนเข้าใจได้ง่าย ขึ้น พร้อมทั้งตัวอย่างการทำแบบฝึกหัดให้นักเรียนได้ดู ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของจำเนียร แซ่เล่า (2561) ได้ศึกษาการพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การ คูณสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การ คูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.62/82.31 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์
53 มาตรฐาน 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เท่ากับ 0.6666 หรือร้อยละ 66.67 สูงกว่า 0.50 หรือร้อยละ 50 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ สอดคล้องกับงานวิจัยของสอนนุชาติ (2562) ได้ศึกษาการพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกําลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า1) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกําลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าได้สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 78.97/74.60 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนการจัดการเรียนการสอนโดย ใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกําลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้น ได้ คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผลการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน โดยแบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกําลัง ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5 มีผลการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ (ร้อยละ 70) อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับงานวิจัยของจันตรา ธรรมแพทย์ (2560) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะ การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ต่ำ ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ที่ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ต่ำ มีประสิทธิภาพ 80.52/79.84 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ กำหนดไว้ 2) ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ที่มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ต่ำ หลังใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์สูงกว่า ก่อนใช้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ต่ำ หลังการใช้แบบฝึกทักษะการ แก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์สูงกว่าร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สอดคล้องกับ งานวิจัยของปาริชาติ สุพรรณกลาง (2560) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาสมการ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะวิชา คณิตศาสตร์ เรื่องโจทย์ปัญหาสมการ มีประสิทธิภาพ 86.00/84.95 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาสมการ ค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบ หลังการใช้แบบฝึกทักษะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบก่อนใช้แบบฝึกทักษะ อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 และค่าเฉลี่ยระดับความพึงพอใจที่มีต่อแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้โจทย์ ปัญหาสมการ โดยรวมเท่ากับ 4.59 ซึ่งอยู่ในระดับพอใจมากที่สุด 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการ สอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.75 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 78.75 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ผลปรากฏว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนไม่
54 ต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 และหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2 และ ข้อที่ 3 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของวันนิสา คลังคนเก่า (2563) ได้ศึกษาการใช้ชุดฝึกทักษะเรื่องการคูณที่มี ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า การใช้ชุดฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่องการคูณทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงขึ้น ดูจากผลการทดสอบก่อน เรียนจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ได้คะแนนเฉลี่ย 12 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 6.89 คิดเป็นร้อยละ 60 ผลการทดสอบหลังเรียนจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ได้คะแนนเฉลี่ย14.09 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 9.49 คิดเป็นร้อยละ 74.81 เพิ่มขึ้น ร้อยละ 14.09 ซึ่งพบว่า ผลการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่า ผลการเรียนรู้ก่อนเรียน เมื่อนําไปคํานวณหาค่า T ใน ตารางนั้น คะแนนทดสอบหลังเรียนมีค่า มากกว่าทดสอบก่อนเรียน มีค่าสถิติที่ได้เท่ากับ 1.147 สอดคล้องกับงานวิจัยของมยุรี พรสุวรรณ (2560) ที่ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 78.11/77.67 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 ที่ตั้งไว้ และ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการ สอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับ งานวิจัยของสุภวัฒน์ นามเจริญ (2560) ที่ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 84.39/85.59 สูงกว่าเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะสูงกว่าก่อน เรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะทั่วไป 1. ในการจัดทำแบบฝึกทักษะ ข้อสอบระหว่างเรียนควรทำข้อสอบให้มีคะแนนเท่ากัน 2. แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เป็นสิ่งจําเป็นในกระบวนการจัดการเรียนการสอนซึ่งส่งผลให้ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น ดังนั้นครูผู้สอนควรนําแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ไปใช้ในการ จัดการเรียนการสอนให้มากขึ้น 3. ในการจัดการเรียนการสอน ครูต้องมีการกระตุ้นและเสริมแรงนักเรียนอยู่เสมอ เพื่อที่จะให้ นักเรียนได้เกิดการเรียนรู้ที่ดี และพร้อมที่จะเรียนรู้
55 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรพัฒนาแบบฝึกทักษะทางการเรียนคณิตศาสตร์กับเนื้อหาคณิตศาสตร์เรื่องอื่น ๆ ในชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 และชั้นเรียนอื่น ๆ เนื่องจากปัจจุบันเด็กไม่ค่อยสนใจที่จะทำแบบฝึกทักษะ 2. ควรมีการศึกษาการจัดการเรียนรู้ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะทางการเรียนคณิตศาสตร์ในตัว แปรอื่น เช่น ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ความคงทนในการเรียนรู้ ทักษะกระบวนการทาง คณิตศาสตร์ 3. ควรมีการศึกษาการจัดการเรียนรู้ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะทางการเรียนคณิตศาสตร์กับ รูปแบบการสอนอื่น ๆ เช่น 5E STAD STEM การจัดการเรียนแบบใช้คําถามเป็นต้น
56 เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560). กรุงเทพฯ : กระทรวงฯ. กฤตววณ คำสม. (2557). จิตวิทยาสำหรับครู. อุดรธานี : คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุดรธานี กัญญาภัค ธรรมสุข. (2563). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ หลักสูตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยลัยราชภัฏรำไพพรรณี. กัลยา แข็งแรง. (2559). หลักการสร้างแบบฝึก (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น. จารุวรรณ สิทธิชัย. (2561). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๔ (ป.ปัญญาฐาปนกิจอปถัมภ์) จังหวัดนครปฐม. วิทยานิพน์ หลักสูตร มหาบัณฑิตสาขาวิชาคณิตศาสตร์ศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง. จันตรา ธรรมแพทย์. (2560) การพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ สำหรับ นักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ต่ำ. วิทยานิพนธ์ปริญญา ครุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏ จันทรเกษม. จำเนียร แซ่เล่า. (2561). การพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. นครศรีธรรมราช. ทองจันทร์ ปะสีรัมย์. (2555). ผลการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกและการลบ เศษส่วน สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตร์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราช ภัฏบุรีรัมย์. นิตยา สอนนุชาติ. (2562). การพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23. ประภาพร ถิ่นอ่อง. (2560). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการบวกการลบ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา. ปาริชาติ สุพรรณกลาง. (2560). การพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหา สมการสำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. โรงเรียนนางรอง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์.
57 มยุรี พรสุวรรณ. (2560). การพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. มวลทรัพย์ ปาละวงศ์. (2554). การพัฒนาแบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่อง เซต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี วันนิสา คลังคนเก่า. (2563). การใช้ชุดฝึกทักษะเรื่องการคูณที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. พระนครศรีอยุธยา. สมชาย วรกิจเกษมสกุล. (2553). ระเบียบวิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. อุดรธานี : อักษรศิลป์การพิมพ์. อิงค์วราพัชร อาทิตย์เจริญชัย. (2560). การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เซต และความพึงพอใจต่อวิชา คณิตศาสตร์ที่เรียนด้วยชุดการสอนโดยใช้กระบวนการกลุ่มกับ การสอนแบบปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดห้วยจระเข้วิทยาคม. วิทยานิพนธ์ หลักสูตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร. อรุณี รุจิราพาณิชย์. (2562). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน เรื่อง ความน่าจะเป็น โดยใช้แบบฝึกทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านศรี บุญเรือง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขา คณิตศาสตร์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้. Lowery, Eleanor Blodwyn. (1978). The Effects of Four Drills and Practice Time Units on the Decoding Performances of Student with Specific Learning Disabilities. Dissertation Abstracts International. 39, 02 (1978): 817-A. Romain, S T. (1975). A study of Differences in Creative Writing of Children Under Varying Stimuli. Dissertation Abstracts International. 36: 244. Thomas, Kenneth. (1976). Conflict and Conflict Management in Marvin D. Dunnette (ed), Handbook of Industrial and Organization Psychology. Chicago : Rand McNally.
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย
60 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ที่ประเมินแผนการจัดการเรียนรู้และ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีรายนามดังต่อไปนี้ 1. นางละอองดาว เพ็งสา ครูชำนาญการพิเศษ วิชาคณิตศาสตร์ หัวหน้าหมวดวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 2. นางสาวจุฬารักษ์ บุญชัย ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 3. นางสาวจีรนันท์ วิบูลย์กุล ครูชำนาญการ วิชาภาษาอังกฤษ หัวหน้าฝ่ายวิชาการ โรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
ภาคผนวก ข แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ
62 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือผู้เชี่ยวชาญการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เส้นขนาน (Index of Item Objective Congruence: IOC) คำชี้แจง ขอให้ท่านพิจารณาประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ในแต่ละรายการประเมิน โดยทำเครื่องหมาย ในช่องผลการประเมินตามเกณฑ์การพิจารณาดังนี้ + 1 หมายถึง รายการประเมินนั้นสอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่ารายการประเมินนั้นสอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ - 1 หมายถึง รายการประเมินนั้นไม่สอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ พร้อมให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม รายการประเมิน ผลการประเมิน ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 1. แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญ ครบถ้วนและสัมพันธ์กัน 2. เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ 3. กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ 4. กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน 5. กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง 6. กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น 7. สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ 8. สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และ ความสามารถนักเรียน 9. วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม
63 รายการประเมิน ผลการประเมิน ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 10. เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุม ทั้งด้านความรู้ทักษะ และเจตคติ ข้อเสนอแนะอื่น ๆ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ลงชื่อ...........................................................ผู้ประเมิน ( ) วันที่............เดือน...............................พ.ศ......................
64 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน (Index of Item Objective Congruence : IOC) คำชี้แจง ขอให้ท่านพิจารณาประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ในแต่ละรายการประเมิน โดยทำเครื่องหมาย ในช่องผลการประเมินตามเกณฑ์การพิจารณาดังนี้ +1 หมายถึง รายการประเมินนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่ารายการประเมินนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระ - 1 หมายถึง รายการประเมินนั้นไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระ พร้อมให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อแนะนำ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 1 นักเรียนสามารถอธิบายบทนิยามของ เส้นขนานและมุมภายในได้ 1. ข้อใดไม่ใช่สิ่งที่มีลักษณะของเส้นขนาน ก. ทางม้าลาย ข. รางรถไฟ ค. ขอบกระดานดำ ง. ใบพัดลม 2. ข้อใดเป็นการขนานกันของเส้นตรงสองเส้นที่อยู่บน ระนาบเดียวกัน ก. เมื่อเส้นตรงทั้งสองเส้นนั้นไม่ตัดกันและมีระยะห่าง เท่ากันเสมอ ข. เมื่อต่อปลายเส้นตรงทั้งสองไปพบกันที่จุดหนึ่งได้ ค. เมื่อเส้นตรงทั้งสองเส้นตัดกัน ง. เมื่อเส้นตรงเส้นหนึ่งตัดกับเส้นตรงอีกเส้นหนึ่งแล้วทำ ให้เกิดมุมแย้งเท่ากัน
65 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อแนะนำ +1 0 -1 3. จากรูป AB⃡ และ CD⃡ มี AB = CD ขนานกันหรือไม่ เพราะ เหตุใด ก. ขนานกัน เพราะ AB⃡ และ CD⃡ มีระยะห่างเท่ากันเสมอ ข. ขนานกัน เพราะขนาดของมุมภายในที่อยู่บนข้าง เดียวกันของเส้นตัดกันเท่ากับ 180 องศา ค. ไม่ขนานกัน เพราะขนาดของมุมภายในที่อยู่บนข้าง เดียวกันของเส้นตัดรวมกันไม่เท่ากับ 180 องศา ง. ไม่ขนานกัน เพราะเส้นตรงสองเส้นยาวไม่เท่ากัน 4. มุมภายในที่อยู่บนข้างเดียวกันของเส้นตัดรวมกันได้ กี่ องศา ก. 170 องศา ข. 180 องศา ค. 190 องศา ง. 200 องศา 5. บทนิยาม เส้นขนาน คืออะไร ก. เส้นตรงหนึ่งเส้นที่อยู่บนระนาบเดียวกันขนานกันเมื่อ เส้นทั้งสองนี้ไม่ตัดกัน ข. เส้นตรงสองเส้นที่ไม่อยู่บนระนาบเดียวกันขนานกัน เมื่อเส้นทั้งสองนี้ตัดกัน ค. เส้นตรงสองเส้นที่อยู่บนระนาบเดียวกันขนานกันเมื่อ เส้นทั้งสองนี้ไม่ตัดกัน ง. เส้นตรงหนึ่งเส้นที่อยู่บนระนาบเดียวกันขนานกันเมื่อ เส้นทั้งสองนี้ตัดกัน
66 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อแนะนำ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 2 นักเรียนสามารถนำสมบัติของมุม ภายในบนข้างเดียวกันไปใช้ในการแก้ปัญหาเมื่อกำหนดให้ เส้นตรงเส้นหนึ่ง 6. จากรูป ถ้า มุม 1+2 = 180° จะสรุปได้ว่าอย่างไร ก. มุม 1 = 90° ข. มุม 2 = 90° ค. เส้นตรง MN // PQ ง. เส้นตรง MN = PQ 7. จากรูปที่กำหนดให้ ถ้าเส้นตรงสองเส้นนั้นขนานกัน a มีค่า เท่ากับข้อใด ก. 20° ข. 80° ค. 100° ง. 120° 8. จากรูป ถ้า AB//CD แล้ว x มีค่าเท่าใด ก. 30° ข. 60° ค. 80° ง. 100°
67 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อแนะนำ +1 0 -1 9. จากรูป x มีค่าเท่าใด ก. 110° ข. 100° ค. 95° ง. 90° 10. จากรูป กำหนดให้ AB//CD แล้ว x มีค่าเท่าใด ก. 50° ข. 60° ค. 70° ง. 80° จุดประสงค์ข้อที่ 3 นักเรียนสามารถบอกได้ว่าเมื่อเส้นตรง เส้นหนึ่งตัดเส้นตรงคู่หนึ่ง เส้นตรงคู่นั้นขนานกัน ก็ต่อเมื่อ มุมแย้งมีขนาดเท่ากัน 11. จากรูป ถ้า มุม 2 = 3 จะสรุปได้ว่าอย่างไร ก. มุม 1 = 2 ข. มุม 2 + 3 = 180° ค. เส้นตรง MN // PQ ง. เส้นตรง MN = PQ
68 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อแนะนำ +1 0 -1 12. จากรูป กำหนดให้ AB กับ CD ขนานกันหรือไม่ ก. ไม่ขนานกัน เพราะเส้นตรงสองเส้นยาวไม่เท่ากัน ข. ไม่ขนานกัน เพราะเส้นตรงสองเส้นมีระยะห่างไม่ เท่ากัน ค. ขนานกัน เพราะมุมแย้งมีขนาดไม่เท่ากัน ง. ขนานกัน เพราะมุมแย้งมีขนาดเท่ากัน 13. จากรูป x มีค่าเท่าใด ก. 60° ข. 57° ค. 50° ง. 44° 14. จากรูป x มีค่าเท่าใด ก. 50° ข. 60° ค. 70° ง. 80°
69 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อแนะนำ +1 0 -1 15. จากรูป x มีค่าเท่าใด ก. 53° ข. 63° ค. 73° ง. 83° จุดประสงค์ข้อที่ 4 นักเรียนสามารถบอกได้ว่ามุมคู่ใดเป็น มุมแย้ง เมื่อกำหนดให้เส้นตรงเส้นหนึ่งตัดเส้นตรงคู่หนึ่ง 16. จากรูป ข้อใดถูกต้อง ก. มุม 1 และ มุม 3 เป็นมุมแย้ง ก. มุม 2 และ มุม 4 เป็นมุมแย้ง ก. มุม 1 และ มุม 4 เป็นมุมแย้ง ก. มุม 5 และ มุม 3 เป็นมุมภายใน 17. จากรูป มุมคู่ใดเป็นมุมแย้ง ก. มุม 1 กับ มุม 4 ข. มุม 2 กับ มุม 6 ค. มุม 5 กับ มุม 7 ง. มุม 3 กับ มุม 6
70 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อแนะนำ +1 0 -1 18. จากรูป มุมคู่ใดเป็นมุมแย้ง ก. มุม 1 กับ มุม 4 ข. มุม 1 กับ มุม 2 ค. มุม 3 กับ มุม 4 ง. มุม 1 กับ มุม 3 19. จากรูป มุมคู่ใดเป็นมุมแย้ง ก. มุม 3 กับ มุม 8 ข. มุม 4 กับ มุม 7 ค. มุม 5 กับ มุม 4 ง. มุม 1 กับ มุม 4 20. จากรูป ข้อใดถูกต้อง ก. มุม 3 และ มุม 1 เป็นมุมแย้ง ข. มุม 2 และ มุม 1 เป็นมุมแย้ง ค. มุม 3 และ มุม 2 เป็นมุมแย้ง ง. มุม 3 และ มุม 5 เป็นมุมแย้ง
71 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อแนะนำ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 5 นักเรียนสามารถบอกได้ว่าเมื่อเส้นตรง ของเส้นขนานกันและมีเส้นตัด แล้วมุมภายนอกและมุม ภายในที่อยู่ตรงข้ามบนข้างเดียวกันของเส้นตัดมีขนาด เท่ากัน 21. จากรูปขนาดของมุม GHD เท่ากับเท่าใด ก. 40 องศา ข. 45 องศา ค. 50 องศา ง. 60 องศา 22. จากรูป มุม a มีขนาดกี่องศา ก. 180° ข. 160° ค. 120° ง. 60° 23. จากรูป ถ้า AB//CD แล้ว x มีค่าเท่าใด ก. 30° ข. 60° ค. 80° ง. 100°
72 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อแนะนำ +1 0 -1 24. จากรูป ถ้า PQ//RS แล้ว a มีค่าเท่าใด ก. 30° ข. 60° ค. 80° ง. 100° 25. จากรูป ขนาดของ x และ y จามลำดับเป็นเท่าใด ก. 75°, 75° ข. 75°, 105° ค. 105°, 70° ง. 70°, 100° จุดประสงค์ข้อที่ 6 นักเรียนสามารถระบุมุมภายนอกและ มุมภายในที่เกิดจากเส้นตรงตัดเส้นขนานได้ 26. จากรูปมุมใดบ้างที่มีขนาดเท่ากับมุม 1 ก. 4, 6, 8 ข. 2, 3, 4 ค. 5, 6, 7 ง. 4, 5, 8
73 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อแนะนำ +1 0 -1 27. จากรูปมุมใดบ้างที่มีขนาดเท่ากับมุม 6 ก. 1, 4, 7 ข. 2, 4, 8 ค. 5, 7, 8 ง. 1, 4, 8 28. จากรูป ข้อใดเป็นมุมภายในทั้งหมด ก. 1, 2, 4, 5 ข. 2, 4, 6, 8 ค. 1, 2, 3, 4 ง. 5, 6, 7, 8 29. จากรูป ข้อใดเป็นมุมภายนอกทั้งหมด ก. 1, 2, 4, 5 ข. 2, 4, 6, 8 ค. 1, 2, 3, 4 ง. 5, 6, 7, 8
74 จุดประสงค์/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อแนะนำ +1 0 -1 30. จากรูป ถ้า MN//PQ แล้วมุม 5 มีค่าเท่ากับมุมใด ก. มุม 3 ข. มุม 6 ค. มุม 2 ง. มุม 4 ลงชื่อ...........................................................ผู้เชี่ยวชาญ ( ) วันที่............เดือน...............................พ.ศ......................
75 แบบประเมินคุณภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง เส้นขนาน คำชี้แจง ขอให้ท่านพิจารณาประเมินคุณภาพแบบฝึกทักษะในแต่ละรายการประเมิน โดยทำ เครื่องหมาย ในช่องผลการประเมินตามเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้ เกณฑ์การให้คะแนน เหาะสมมากที่สุด ตรวจให้ 5 คะแนน เหมาะสมมาก ตรวจให้ 4 คะแนน เหมาะสมปานกลาง ตรวจให้ 3 คะแนน เหมาะสมน้อย ตรวจให้ 2 คะแนน เหมาะสมน้อยที่สุด ตรวจให้ 1 คะแนน รายการ ระดับความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ 1 2 3 4 5 1. เนื้อหา 1.1 นวัตกรรมมีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ และเนื้อหา 1.2 เนื้อหาครอบคลุมหลักสูตร 1.3 การนําเสนอเนื้อหาเรียงลำดับจากง่ายไปยาก 1.4 เนื้อหามีความเหมาะสมกับผู้เรียน 2. ภาษา สัญลักษณ์ และการคิดคํานวณ 2.1 ภาษาที่ใช้ สื่อความได้ชัดเจน 2.2 ใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ถูกต้อง เหมาะสม 2.3 แสดงวิธีทำตามลำดับขั้นตอนได้ชัดเจน 2.4 การคิดคํานวณ 3. การพิมพ์ 3.1 ตัวอักษรชัดเจน 3.2 เว้นวรรคได้ถูกต้อง 3.3 รูปเล่มและขนาดพอเหมาะต่อการนําไปใช้ รวม ลงชื่อ...........................................................ผู้เชี่ยวชาญ ( ) วันที่............เดือน...............................พ.ศ......................
ภาคผนวก ค ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ
77 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) เรื่อง เส้นขนาน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21 เรื่อง เส้นขนานและมุมภายใน ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญ ครบถ้วนและสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุม ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้
78 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) เรื่อง เส้นขนาน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 22 เรื่อง เส้นขนานและมุมภายใน (2) ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญ ครบถ้วนและสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุม ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้
79 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) เรื่อง เส้นขนาน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 23 เรื่อง เส้นขนานและมุมแย้ง ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญ ครบถ้วนและสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุม ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้
80 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) เรื่อง เส้นขนาน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 เรื่อง เส้นขนานและมุมแย้ง (2) ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญ ครบถ้วนและสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุม ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้
81 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) เรื่อง เส้นขนาน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 เรื่อง เส้นขนานและมุมภายนอกกับมุมภายใน ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญ ครบถ้วนและสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุม ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้
82 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) เรื่อง เส้นขนาน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 เรื่อง เส้นขนานและมุมภายนอกกับมุมภายใน (2) ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 1 แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญ ครบถ้วนและสัมพันธ์กัน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 2 เนื้อหา/สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 3 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหาและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 4 กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย เหมาะสมและ สอดคล้องกับความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 5 กิจกรรมการเรียนรู้เน้นทักษะกระบวนการคิด การลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 6 กิจกรรมการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับ ระดับชั้น +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 7 สื่อ/แหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมและ วัตถุประสงค์ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 8 สื่อหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วัย และความสามารถนักเรียน +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 9 วิธีการวัดผลและเครื่องมือสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และกิจกรรม +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้ 10 เกณฑ์การประเมินผลชัดเจน ครอบคลุม ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติ +1 +1 +1 1.00 ใช้ได้
83 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เส้นขนาน ข้อที่ ผลการประเมินผู้เชี่ยวชาญ รวม IOC แปลผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1 +1 +1 +1 1 1.00 ใช้ได้ 2 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 3 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 4 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 5 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 6 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 7 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 8 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 9 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 10 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 11 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 12 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 13 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 14 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 15 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 16 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 17 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 18 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 19 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 20 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 21 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 22 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 23 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 24 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 25 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
84 ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง เส้นขนาน ข้อที่ ผลการประเมินผู้เชี่ยวชาญ รวม IOC แปลผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 26 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 27 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 28 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 29 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 30 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ หมายเหตุ การแปลผลค่า IOC ใช้เกณฑ์ ดังนี้ IOC < หมายถึง ข้อสอบไม่สอดคล้องกับเนื้อหา ควรตัดข้อสอบนั้นทิ้งไป IOC > หมายถึง ข้อสอบสอดคล้องกับเนื้อหา สามารถใช้ข้อสอบข้อนั้นได้
85 ผลการประเมินคุณภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง เส้นขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยผู้เชี่ยวชาญ รายการ ระดับความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ X̅ ระดับความ เหมาะสม 1 2 3 1. เนื้อหา 1.1 นวัตกรรมมีความสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหา 5 4 5 4.67 มากที่สุด 1.2 เนื้อหาครอบคลุมหลักสูตร 5 5 5 5.00 มากที่สุด 1.3 การนําเสนอเนื้อหาเรียงลำดับจากง่ายไปยาก 4 5 5 4.67 มากที่สุด 1.4 เนื้อหามีความเหมาะสมกับผู้เรียน 5 5 5 5.00 มากที่สุด 2. ภาษา สัญลักษณ์ และการคิดคำนวณ 2.1 ภาษาที่ใช้ สื่อความได้ชัดเจน 5 5 5 5.00 มากที่สุด 2.2 ใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ถูกต้องเหมาะสม 5 5 5 5.00 มากที่สุด 2.3 แสดงวิธีทำตามลำดับขั้นตอนได้ชัดเจน 4 4 5 4.33 มาก 2.4 การคิดคำนวณ 5 4 4 4.33 มาก 3. การพิมพ์ 3.1 ตัวอักษรชัดเจน 5 5 4 4.67 มากที่สุด 3.2 เว้นวรรคได้ถูกต้อง 5 5 5 5.00 มากที่สุด 3.3 รูปเล่มและขนาดพอเหมาะต่อการนําไปใช้ 5 5 5 5.00 มากที่สุด รวม
86 แสดงผลประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อนำมาใช้ทดลองกับนักเรียนกลุ่มเดี่ยว นักเรียน คนที่ ชุดที่ 1 (10) ชุดที่ 2 (10) ชุดที่ 3 (10) คะแนนรวม (30) ก่อนเรียน หลังเรียน 1 7 8 9 24 5 16 2 9 8 9 26 3 17 3 8 8 10 26 4 18 4 8 8 8 24 6 15 5 7 9 8 24 2 16 6 8 7 8 23 5 15 7 7 9 9 25 8 14 8 7 9 10 26 6 18 9 9 9 10 28 3 19 10 7 7 9 23 4 15 11 9 10 9 28 5 17 12 7 7 7 21 6 14 รวม 298 57 194 เฉลี่ย 24.83 4.75 16.17 ร้อยละ 82.78 23.75 80.83 ประสิทธิภาพกระบวนการ E1 ประสิทธิภาพกระบวนการ E2 เกณฑ์มาตรฐาน 70 70 ผลการวิเคราะห์ 82.78 80.83 การแปรผล สูงกว่าเกณฑ์ สูงกว่าเกณฑ์
87 แสดงผลประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อนำมาใช้ทดลองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง นักเรียน คนที่ ชุดที่ 1 (10) ชุดที่ 2 (10) ชุดที่ 3 (10) คะแนนรวม (30) ก่อนเรียน หลังเรียน 1 9 8 9 26 3 14 2 8 9 9 26 4 14 3 9 9 10 28 5 18 4 8 9 8 25 5 15 5 8 9 7 24 6 16 6 8 8 7 23 2 14 7 10 10 9 29 3 18 8 7 7 8 22 4 14 9 10 9 9 28 5 18 10 10 10 9 29 6 17 11 9 9 9 27 5 17 12 6 7 7 20 4 14 รวม 308 52 189 เฉลี่ย 25.67 4.33 15.75 ร้อยละ 85.56 21.67 78.75 ประสิทธิภาพกระบวนการ E1 ประสิทธิภาพกระบวนการ E2 เกณฑ์มาตรฐาน 70 70 ผลการวิเคราะห์ 85.56 78.75 การแปรผล สูงกว่าเกณฑ์ สูงกว่าเกณฑ์