The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือพระสัทธรรมปุณฑริกสูตร
ธรรมะปัญญา ดร. ฟ้าลดา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Fahlada Innovation, 2020-07-30 22:15:40

หนังสือพระสัทธรรมปุณฑริกสูตร

หนังสือพระสัทธรรมปุณฑริกสูตร
ธรรมะปัญญา ดร. ฟ้าลดา

1

2

บทท่ี 1 ธรรมนำทำงพระสทั ธรรมปุณฑริกสตู ร
สมยั หนงึ่ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ท่ีภูเขาคิชฌกูฎ ในเมืองราชคฤห์ พร้อมด้วยพระภิกษุ

สงฆ์จานวนมาก คือพระภิกษุ 12,000 รูป ท้ังหมดเป็นพระอรหันต์ มีจิตและปัญญาหลุดพ้นแล้ว
พระมหาสาวกเหลา่ นนั้ มีช่อื ว่า พระอัญญาโกณฑัญญะ พระมหากัสสปะ พระศารบี ตุ ร พระนทีกัสส
ปะ พระมหาโมคลลานะ พระมหากัจจายนะ พระอานนท์ พระสุภูตและพระราหุล อาทิ ท่าน
อานนท์ผู้เป็นเสขบุคคล พร้อมด้วยพระภิกษุอื่นอีก 2000 รูป บางรูปเป็นพระเสขะ บางรูปเป็น
พระอเสขะ ภิกษุณี 6000 รูป มพี ระนางมหาประชาบดีเป็นประมุข และท่านภิกษุณีอโศธรา ผู้เป็น
พระมารดาของพระราหุล รวมท้ังบริวารด้วย กับพระโพธิสัตว์ 80000 องค์ ทุกองค์เป็นผู้ไม่
หว่ันไหว มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดเพียงชาติเดียว เป็นผู้ได้ธารณียินดีในการสอนการตรัสรู้อัน
ประเสริฐยิ่ง เป็นผู้ดารงอยู่ มีมหาปฎิภานย่ิง ผู้ได้เข้าใกล้ พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ ที่ได้
หมุนธรรมจักรให้เคลื่อนไป ผู้มีกุศลมูล ที่ได้ทากับพระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ ผู้ได้สดุดี
พระพุทธเจ้านบั แสนพระองค์มาแล้ว ผู้มีกายและจิตอันเป่ียมด้วยเมตตา ผู้มีสายสกุลสืบต่อปัญญา
ของพระตถาคต มปี ัญญามาก เขา้ ถงึ คติแห่งปรัชญาปารมิตา เป็นท่ีรู้จักในหลายแสนโลกธาตุ และ
เป็นผู้ช่วยเหลือสัตว์จานวนหลายหม่ืนโกฎิ เหมือนอย่างพระโพธิสัตว์มัญชุศรี โพธิสัตว์พระอวโลกิ
เตศวร พระมหาสถามปราปต์ พระไภษัชยราช พระวยุหราช พระสตตสมิตาภิยุกตะ พระปัทม
ศรี พระนักษัตรราช พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เมตไตรยเป็นต้น กับสัตบุรุษ 16 คน พร้อมกับพระ
โพธิสัตว์ 80,000 องค์ ซึ่งท่านที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นผู้นาพร้อมด้วยท้าวสักกะ จอมแห่งทวย
เทพ ซึ่งมีเทพบุตร 20,000 องค์เป็นบริวาร และเทพบุตร 10,000 องค์ ซึ่งมีเทพที่กล่าวมาแล้ว
เป็นผู้นา และพร้อมทั้งมหาราชทั้ง 4 ซึ่งมีเทพบุตร 30,000 องค์ เป็นบริวาร คือมหาราชวิรูต
กะ มหาราชวิรูปากษะ มหาราชธฤตราษฎระ และมหาราชไวศรวณะ และเทพบุตร
อีศวร เทพบุตรมเหศวร ซ่ึงทั้งสองมีเทพบุตร 30,000 องค์เป็นบริวาร และพร้อมทั้งสหามบดี
พรหม ซึ่งมเี ทพบตุ รรูปพรหม 12,000 องค์เป็นบริวาร ได้แก่ ศิบิพรหม และชโยติษประภาพรหม
เป็นต้น พร้อมด้วยเทพบุตรรูปพรหม 12,000 องค์ ซ่ึงมีพรหมที่กล่าวนามมาแล้วเป็นผู้นา พร้อม
ด้วยพญานาคราชท้ังแปด ซึ่งมีพญานาคราชหลายแสนโกฏิเป็นบริวาร มีจอมอสูรท้ังสี่ ซึ่งมีอสูร
หลายแสนโกฏิเป็นบริวาร มีจอมครุฑท้ังส่ี ซึ่งมีครุฑหลายแสนโกฏิเป็นบริวาร คือจอมครุฑมหา
เตชะ จอมครุฑมหากายะ จอมครุฑมหาปูรณะ จอมครุฑมหาฤทธิปราปตะ รวมท้ังพระเจ้า
อชาตศตั รรู าชาแหง่ มคธนคร ผูเ้ ปน็ โอรสของพระนางเทวีดว้ ย

สมยั น้นั พระผ้มู ีพระภาค ซงึ่ มีพทุ ธบริษัทสี่ แวดลอ้ ม ถวายความเคารพ บูชา และนอบ
นอ้ มแลว้ หลงั จากได้ตรสั พระสูตรธรรมบรรยายที่ช่ือวา่ “มหานริ เทศ” อันเปน็ คาสอนท่ีไพบูลย์ย่ิง

3

เป็นคาสอนที่ทรงแสดงแก่พระโพธิสัตว์และเป็นคาสอนท่ีเกื้อหนุนต่อพระพุทธเจ้าท้ังหลาย แล้ว
ทรงประทับนัง่ บนธรรมาสนใ์ หญ่น้ัน น่ันแล ทรงเข้าสมาธิที่เรียกว่า “อนันตนิรเทศประดิษฐาน” มี
พระวรกายนิ่ง จิตสงบ ก็ในขณะที่พระผู้มีพระภาค ทรงเข้าสมาธินั้น สายฝน ดอกไม้ทิพย์จานวน
มาก คือดอกมณฑารพ ดอกมหามณฑารพ ดอกมัญชูษกะ และดอกมหามัญชูษกะ ได้โปรยลง
เหมอื นสายฝนตกต้องทพ่ี ระผูม้ พี ระภาค และบริษัททั้งสี่ ทาให้พุทธเกษตรท้ังปวง สั่นสะเทือนเป็น
หกจังหวะคือ เคลื่อนไป-เคลื่อนมา ฟูขึ้น-ยุบลง โคลงไป-โคลงมา นัยว่า สมัยน้ัน ภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์และอมนุษย์
ท้ังหลาย ซ่ึงอยู่ในท่ีประชุมนั้น ท้ังพระราชา พระจักรพรรดิผู้มีพลัง ท่ีครองนครทั้งหลายและ
จักรพรรดิผู้ครองทวีปทั้งสี่ ซึ่งประทับน่ังอยู่ที่น้ัน ท้ังหมดพร้อมด้วยบริวาร ได้พากันมองมาท่ี
พระพทุ ธเจา้ ดว้ ยใจเดยี ว และได้ถึงความประหลาดใจ อศั จรรยใ์ จไปตามๆกนั

ก็ในเวลานั้นแล รัศมีดวงหนึ่งได้ฉายออกมาจากพระอุณาโลมสีขาว (พระโลมารูป
วงกลม) ระหว่างพระขนงของพระผู้มีพระภาค พระรัศมีนั้นแผ่คลุมไปทั่ว 18,000 พุทธเกษตร ใน
ทิศบรู พา และพุทธเกษตรท้ังหมดนั้น ได้ปรากฏ สว่างไสวไปด้วยแสงรัศมีน้ัน จนถึงอเวจีมหานรก
และจรดจุดสูงสุดของขอบจักรวาล อนึ่งในพุทธเกษตรเหล่าน้ัน สัตว์ท้ังหลายทั้งปวง ท่ีมีอยู่ใน
โลกธาตุท้ังหก ก็เห็นกันโดยถ้วนทั่ว และในพุทธเกษตรเหล่าน้ัน พระพุทธเจ้าท้ังหลายทั้งปวง ที่
ทรงประทับยืน น่ัง และดาเนินไปอยู่ ก็ได้เห็นกันท่ัว พระธรรมท้ังหมด ที่พระผู้พุทธเจ้าทั้งหลาย
แสดงธรรมกไ็ ดย้ ินกนั อยา่ งท่ัวถงึ ในพทุ ธเกษตรเหลา่ น้ัน ภิกษุ ภกิ ษณุ ี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ฝึกโยคะ
ผู้บรรลุ และยังไม่ได้บรรลุผลวิเศษทุกคนก็ได้เห็นกันถ้วนทั่ว ในพุทธเกษตรเหล่าน้ันท้ังหมดที่
ประพฤติปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ ด้วยความฉลาดในอุบาย อันมีการฟัง การยึดมั่นและการน้อมใจ
เชื่อเป็นเหตุต่างๆ มิใช่น้อย ก็ได้ปรากฏให้เห็นในพุทธเกษตรท้ังหลายเหล่านั้น พระพุทธเจ้า
ท้ังหลายทั้งปวงที่ปรินิพพานแล้ว ก็มาปรากฏให้เห็นในพุทธเกษตรเหล่าน้ันแม้พระสถูปท่ีบรรจุ
พระบรมสารีรกิ ธาตทุ ั้งหลายทงั้ ปวง ทีส่ ร้างด้วยรัตนะต่างๆ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าท้ังหลาย ผู้ดับ
ขันธปรนิ พิ พานนานแลว้ ก็ปรากฏใหเ้ ปน็ เช่นกัน

ขณะนั้นแล พระโพธิสัตว์เมตไตรย ได้ทรงทราบความวิตกแห่งจิตของบริษัทส่ีด้วยจิต
เช่นกันและตนเองก็สงสัยในธรรม จึงได้ถามพระโพธิสัตว์มัญชุศรีในเวลานั้นว่า ข้าแต่พระมัญชุศรี
ณ ที่นอ่ี ะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ที่ทาให้เกิดปรากฏการณ์แห่งฤทธ์ิของพระผู้มีพระภาค ที่เป็น
มหัศจรรย์ถึงเพียงน้ีและพุทธเกษตร 18000 เหล่านี้ ท่ีมีพระตถาคตซ่ึงปรินิพพานแล้ว และพระ
ตถาคตท่ีกาลังส่ังสอนศาสนาธรรมอยู่ ปรากฏให้เห็นเป็นวิจิตรสวยงามน่าดูเป็นอย่างย่ิง ครั้งนั้น
พระมัญชุศรี ได้ตรัสกับพระเมตไตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ และหมู่พระโพธิสัตว์ทั้งปวงว่า ดูก่อน

4

กุลบุตรทั้งหลาย วันน้ี พระตถาคตทรงมีพระประสงค์ทาให้ฝน คือหลักธรรมตกลงมา ทาการตี
กลองหลักธรรม ทาการชักธงหลักธรรม ทาการจุดประทีปหลักธรรมให้สว่างไสว ข้าพเจ้าจาได้ว่า
สมัยอดีตกาล หลายกัลป์จนนับไม่ได้ นานเกินกว่าท่ีจะนับ คานวณก็ไม่ได้ คิดก็ไม่ได้ ประมาณก็
ไม่ได้ กาลสมัยน้ันพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าสุริยจันทรประทีปได้อุบัติขึ้นในโลก พระองค์ทรง
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ดูก่อนกุลบุตรท้ังหลาย ก็แลหลังจากพระพุทธเจ้าสุริยจันทร
ประทปี พระองค์น้นั แล้ว ได้มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ทรงอุบัติข้ึนใน
โลก มีพระนามว่า พระสุริยจันทรประทีปเช่นกัน ดูก่อนอชิตะ ในกาลลาดับต่อมานั้น ได้มี
พระพุทธเจา้ จานวน 20,000 องค์ ทม่ี พี ระนามว่า สุริยจันทรประทีปซ่ึงมีนามเรียกขานตระกูลและ
โคตรเป็นนามเดียวกัน เหมือนท่ีมีพระพุทธเจ้าท้ังหลาย ที่มีพระนามว่า ภารัทวาช ซึ่งตระกูลและ
โคตรเป็นนามเดียวกัน ดกู อ่ นอชิตะ บรรดาพระตถาคต 20,000 องค์เหล่านั้น เร่ิมแต่พระองค์แรก
จนถงึ พระองค์สดุ ทา้ ย มพี ระนามวา่ จันทรสูรยประทีป เป็นพระพุทธเจ้า ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและ
จรณะเป็นพระสุคต เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ท้ังหลาย พระองค์ได้ทรงแสดง
ธรรมอันงามในเบ้ืองต้น ท่ามกลางและท่ีสุด ได้ประกาศพรหมจรรย์ มีเนื้อความงาม มีพยัญชนะ
งามอันบริสุทธิ์บริบูรณ์ สะอาดหมดจดโดยส้ินเชิง กล่าวคือ พระองค์ได้ทรงแสดงธรรม มีอริยสัจส่ี
พร้อมกับปฏิจจสมุปบาท โดยลาดับ ตั้งแต่ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะโศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
และอุปายาส จบลงดว้ ยนิพพาน แก่พระสาวกทั้งหลาย สาหรับพระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น พระองค์
ได้ทรงแสดงธรรมอันซึ่งประกอบด้วย บารมีหก เร่ิมจากสัมมาสัมโพธิ และจบลงด้วย พระ
สัพพญั ญตุ ญาณ

พระพทุ ธเจ้าสรุ ิยจันทรประทปี องค์สดุ ทา้ ย ขณะทย่ี ังทรงเป็นราชกุมาร ยังมิได้ทรงสละราช
สมบัตกิ อ่ นออกผนวช ได้ทรงมพี ระโอรส 8 พระองค์ พระราชกุมารผเู้ ป็นพระโอรสของตถาคตพระ
นามว่า จันทรสรู ยประทีป ทงั้ 8 พระองคเ์ หล่าน้นั ทรงมีฤทธ์มิ าก แต่ละพระองค์ได้ทรงปกครอง 5
มหาทวีป และทกุ พระองค์ได้ทรงครองราชย์ดว้ ย พระราชกุมารทั้งหมด เหล่าน้ัน คร้ันทรงทราบว่า
พระผูม้ ีพระภาค (พระบิดา) ได้สละราชสมบัติ ทรงออกผนวชและทรงสดับว่าพระองค์ได้ตรัสรู้พระ
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ได้สละราชสมบัติและการปกครองท้ังปวง ผนวชตามพระบิดาท่ี
เป็นพระผู้มีพระภาคนั้น ทุกพระองค์ทรงสาเร็จพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณและประกาศธรรม
พระราชกุมารเหล่านั้นทรงเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์และได้ทรงสร้างบุญกุศลไว้ในพระพุทธเจ้า
หลายแสนพระองคใ์ นอดตี กาลที่ผ่านมา

โดยสมัยน้ัน ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระองค์น้ัน ได้มีพระโพธิสัตว์องค์หน่ึงมีนาม
ว่า “วรประภา” ซึ่งมีศิษยานุศิษย์ 800 องค์ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ได้ทรงออกจาก

5

สมาธิแล้ว ทรงปรารภถึง วรประภาโพธิสัตว์นั้นจึงทรงแสดงธรรมบรรยายที่ชื่อว่า “สัทธรรม
ปณุ ฑรกิ สตู ร” พระองค์ทรงประทับนั่ง ณ ทปี่ ระทับ แห่งเดียว โดยมีพระวรกายไม่ไหวติง และทรง
มีพระหทัยจิตตงั้ มนั่ แสดงธรรมน้นั อยู่เปน็ เวลา 60 กัลป์บริบูรณ์ บริษัทท้ังหมดท่ีนั่งอยู่ ณ อาสนะ
เดียวน้นั ได้ฟงั ธรรมอยู่ใกลๆ้ พระองค์ตลอด 60 กัลป์ ความเหน็ดเหนอื่ ยเมื่อยล้ากายและใจ จะได้
มีแก่ใครสักคนหน่ึง ในท่ีประชุมน้ัน ก็หาไม่ต่อมา พระพุทธเจ้าสุริยจันทรประทีป ทรงแสดงธรรม
บรรยายสัทธรรมปุณฑริกสูตร อันเป็นสูตรท่ีมีเนื้อความกว้างขวาง เป็นคาสอน ที่เหมาะแก่พระ
โพธิสัตว์ และเป็นที่ยึดถือของพระพุทธเจ้าท้ังปวง เป็นเวลาถึง 60 กัลป์แล้ว ในช่ัวขณะน้ัน ก็ได้
ทรงประกาศพระนิพพานเบ้ืองหน้าประชาชน พร้อมท้ังเทพ มาร พรหม และสมณะพราหมณ์
พร้อมด้วยเทวดา มนุษย์และอสูรว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ในมัชฌิมยาม คืนน้ีแล ตถาคตจะดับ
ขันธปรนิ พิ พาน โดยอนุปาทิเสสนพิ พานแล

พระพุทธเจ้าสุริยจันทรประทีป นั้น ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า “ศรี
ครรภ” ไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วได้ตรัสกับบริษัทท้ังปวงว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ศรี
ครรภ นี้ จักบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณต่อจากเรา เป็นพระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม
วา่ “วมิ ลเนตร”ดังนี้ พระพทุ ธเจ้านามว่าสุรยิ จนั ทรประทีป ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน โดยอนุปาทิ
เสสนิพพานในมัชฌิมยาม คืนน้ันแล และพระโพธิสัตว์มหาสัตว์วรประภานั้น ได้ทรงจาธรรม
บรรยายท่ีชอ่ื ว่า “สัทธรรมปุณฑรกิ สตู ร” นน้ั ไว้ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์วรประภาน้ัน ได้ทรงจา และ
ไดป้ ระกาศคาสอนของพระผมู้ ีพระภาคน้ันเป็นเวลา 80 กัลป์ ในขณะนั้น พระโอรสทั้ง 8 พระองค์
ของพระผู้มพี ระภาคนน้ั ซ่งึ มีพระราชกุมารมติเป็นประมุข ก็ได้เป็นโอรสของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์
วรประภานน่ั เอง ทา่ นเหล่าน้นั ได้สัง่ สมบารมเี พ่ือตรสั รพู้ ระอนตุ ตรสมั มาสัมโพธิญาณ และหลังจาก
น้ันท่านเหล่าน้ันได้ทรงเห็นและทรงสักการะพระพุทธเจ้าหลายหม่ืนแสนโกฏิ ก็แลท่านเหล่านั้น
ทั้งหมด ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าน้ัน
พระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย คือพระทีปังกรพุทธเจ้าบรรดาโอรสท้ัง 8 องค์นั้น พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง
เป็นผหู้ นกั ในลาภสกั การะ สรรเสรญิ และยศ มากย่ิงเหลือประมาณ บทและพยัญชนะท้ังหลาย ท่ี
แสดงแล้วแสดงอีกแก่ท่าน ท่านก็ทาให้ลบเลือนหายไป ท่านมิได้ทรงจาบทและพยัญชนะเหล่านั้น
ฉะน้ัน ท่านจึงถูกขนานนามว่า “ยศัสกาม” ด้วยกุศลมูลท่ีท่านได้เล่ือมใสพระพุทธเจ้าหลายหม่ืน
แสนโกฏิพระองค์ และเม่ือเล่ือมใสแล้วท่านได้สักการะ เคารพ นบนอบ บูชา นับถือและยกย่อง
พระพุทธเจ้าหลายหม่ืนแสนโกฏิ เหล่าน้ัน ดูก่อนอชิตะ ท่านคงสงสัย คลางแคลง ลังเลใจว่า โดย
กาลสมัยนั้น ยังจะมีพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้แสดงธรรม นามว่า วรประภา องค์อื่นอีกหรือ ? ก็แล
ท่านไม่ควรคิดเห็นเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรเล่า ? เพราะโดยกาลสมัยนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์

6

ผู้สอนธรรม นามว่า วรประภา น้นั คอื เราเอง สว่ นพระโพธิสัตว์ผู้เกียจคร้านนามว่า ยศัสกาม นั้นก็
คอื ตวั ทา่ นน่ันเอง ด้วยการบรรยายนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นปุพพนิมิตนั้น ของพระผู้มีพระภาคเหมือนกับ
รัศมีที่แผ่ซ่านไปอย่างนี้ จึงอนุมานว่า พระผู้มีพระภาคทรงปรารถนาจะตรัสพระสูตร ธรรม
บรรยายช่ือว่า สัทธรรมปุณฑริกสูตร นั้นซ่ึงเป็นสูตรที่ไพบูลย์ยิ่ง เหมาะแก่การศึกษาของพระ
โพธิสัตว์ และเป็นท่ียอมรับของพระพุทธเจ้าท้ังหลาย ว่าด้วยบทธรรมนาทาง ในธรรมบรรยาย
“พระสัทธรรมปุณฑรกิ สูตร” อันประเสรฐิ มเี พยี งเทา่ นี้
*********

บทที่ 2 ธรรมกุศโลบำย ว่ำด้วยควำมฉลำดในอุบำย(กุศลโลบำย)
ครงั้ นน้ั หลังจากทีพ่ ระผ้มู ีพระภาค ผูท้ รงมีพระสติและปัญญา ทรงออกจากสมาธิคร้ันออก

แล้ว ได้ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า พุทธญาณ เป็นส่ิงซ่ึงลึกซ้ึงเข้าใจยากและรู้ยาก เป็นส่ิงที่พระ
สาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงก็เข้าใจยาก แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้รู้แล้ว ข้อนั้นเพราะ
เหตุไร? เพราะว่าพระพุทธเจ้าท้ังหลาย ได้บูชาสักการะพระพุทธเจ้าจานวนมากหลายหมื่นแสน
โกฏิมาแล้ว ได้ประพฤติธรรมมากับพระพุทธเจ้าหลายหม่ืนแสนโกฏิ ถึงพร้อมในอนุตตรสัมมา
สัมโพธิญาณ ไดท้ าความเพียร จนบรรลุธรรมอนั น่าอศั จรรยแ์ ละเป็นจริง เป็นผถู้ ึงพร้อมด้วยธรรมท่ี
รูไ้ ดย้ ากและเขา้ ใจธรรมท่เี ขา้ ใจได้ยาก

การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นส่ิงที่เข้าใจได้ยาก เพราะเหตุไร ? เพราะว่า
พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงประกาศธรรมท้ังหลายที่เป็นเฉพาะพระองค์ เพ่ือให้สัตว์ผู้ข้องอยู่ในสิ่ง
ต่างๆ หลุดพ้นไปด้วยกุศโลบายต่าง ๆ คือ ด้วยญาณทัศนะ การแสดงเหตุผล อารมณ์ และการทา
ให้เข้าใจ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้ฉลาดในอุบายอันย่ิงใหญ่ ญาณทัศนะ
และพระบารมีจึงสูงย่ิง เพราะทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชาและจะระนะ ด้วยความรู้ท่ีไม่มีผู้ใด
ขัดข้องได้ด้วยทัศนะ ด้วยพลัง ด้วยความแกล้วกล้า ด้วยธรรมอันวิเศษ อินทรีย์พละ โพชฌงค์
ฌาน วิมตุ ติ สมาธิ สมาบตั ิ และธรรมอื่นๆ ทรงเป็นผ้ปู ระกาศธรรมนานปั การ

ครง้ั นัน้ แล ในทีป่ ระชุมไดม้ ีพระอรหันต์มหาสาวกจานวน 1200 องค์ ซ่ึงมี พระอัญญาโกณ
ฑัญญะ เป็นประมุข ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกาทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติในสาวกยาน และ(ชน
อ่ืนๆ) ผู้ต้ังอยู่ในปัจเจกพุทธยาน ทั้งหมดน้ัน ได้มีความคิดอย่างน้ีว่า อะไรหนอเป็นเหตุ ที่ทาให้
พระผูม้ ีพระภาค ตรสั สรรเสรญิ อบุ ายโกศลของพระตถาคตท้งั หลาย เป็นอย่างยิ่ง ตรัสว่า ธรรมอัน
ลึกซ้ึงน้อี ันเรา (ตถาคต) ได้ตรัสร้แู ล้ว และตรัสว่า อันพระสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้าท้ังปวง พึง
ทราบได้โดยยาก เพราะพระผู้มีพระภาคตรัสความหลุดพ้นอย่างเดียวเท่านั้น แม้เราทั้งหลายได้รับ

7

พุทธธรรม ก็จักบรรลุพระนิพพาน เราท้ังหลายไม่เข้าใจความหมายพระดารัส ที่พระผู้มีพระภาค
เจ้าตรัสครั้งนี้ พระสารีบุตรทราบความลังเลใจ ความสงสัยของบริษัทส่ีเหล่าน้ัน และเข้าใจความ
วิตกที่เกิดขึ้นในจิตของบริษัทส่ีเหล่านั้นด้วยจิต แม้ตนเองก็มีความสงสัยในธรรม จึงทูลกับพระผู้มี
พระภาค ในเวลานั้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยท่ีทาให้พระผู้มีพระ
ภาค ทรงสรรเสริญอุบายโกศลญาณทัศนะ และการแสดงธรรมของพระตถาคตท้ังหลายบ่อยๆนัก
และพระผู้มีพระภาค ย่อมตรัสเสมอว่า เราได้ตรัสรู้ธรรมอันลึกซึ้ง และธรรมของพระตถาคต เป็น
สิ่งที่เข้าใจยากยิ่ง ก็ข้าพระองค์ ไม่เคยฟังธรรมบรรยายเช่นนี้ ในที่ใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคมาก่อน
เลย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ก็แลบริษัทส่ีเหล่าน้ีมีความลังเลใจ และสงสัยย่ิงนัก ดังข้าพระองค์จะ
ขอโอกาสพระตถาคต พระตถาคตทรงประสงค์สิง่ ใดจงึ ตรัสสรรเสริญธรรมของพระตถาคตซ่ึงลึกซ้ึง
บอ่ ยๆ ขอพระผูม้ ีพระภาค โปรดทรงชแ้ี จงสง่ิ นน้ั ด้วยเถดิ

คร้นั ทรงทราบคาทลู ของรอ้ งของท่านพระสารีบุตรตลอดท้ังสามวาระแล้ว พระผู้มีพระภาค
ได้ตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร ณ บัดนี้เน่ืองจากเธอขอร้องเราถึงสามครั้ง เราจะกล่าวอะไรกะเธอ ผู้
ขอรอ้ งอยู่ เธอจงฟัง จงต้ังใจใหด้ ี จงใส่ใจให้ดี เราจะกล่าวแก่เธอ เม่ือพระผู้มีพระภาค ตรัสถ้อยคา
นี้จบลง ลาดับน้ันภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก และอบุ าสกิ า ทม่ี ีอภิมานะประมาณ 5,000 ในที่ประชุมนั้น
ได้ลุกจากที่นั่งของตนๆ ก้มลงกราบพระบาทท้ังสองของพระผู้มีพระภาค แล้วหลีกออกไปจากท่ี
ประชุมนัน้ เพราะเกิดมีอภิมานะและทา่ นเหลา่ น้นั คดิ ว่าตนจะตอ้ งทกุ ขท์ รมาน จงึ ออกไปเสียจากท่ี
ประชมุ นัน้ และพระผ้มู ีพระภาคก็ทรงยอมรบั โดยดุษณภี าพ

ครง้ั นั้นพระผู้มพี ระภาคเจา้ ได้ตรัสกะพระสารีบุตรว่า ที่ประชุมของเราได้ว่างจากสิ่งท่ีไร้ค่า
พ้นจากส่ิงท่ีไร้ประโยชน์ ต้ังม่ันอยู่แล้วในศรัทธาสาระ ดีละ ผู้มีอภิมานะเหล่านี้ ได้หนีไปแล้ว ถ้า
อย่างน้ัน เราจะกล่าวข้อความน้ัน บางคร้ังเท่าน้ัน ที่ตถาคตแสดงพระธรรมเทศนาอย่างนี้ ดอก
มะเดื่อย่อมปรากฏเป็นบางครั้ง ฉันใด ตถาคต ย่อมแสดงธรรมอย่างน้ี เป็นบางคร้ัง ฉันน้ัน เธอจง
เชื่อเรา เราย่อมกล่าวคาสัตย์ พูดแต่ความจริง วาจาของพระตถาคตนั้น เข้าใจได้ยากเราได้
ประกาศธรรม ด้วยกุศโลบายร้อยพันอย่าง ที่มีการชี้แจง อธิบาย และยกตัวอย่างด้วยศัพท์ต่างๆ
พระสัทธรรมน้ัน เป็นตถาคตญาณ ไม่เป็นไปด้วยเหตุและผลของตรรกะ พระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นมา
ในโลก ดว้ ยกรณียกจิ ทพี่ ึงกระทาอยา่ งหนึง่ ซง่ึ เป็นกรณียกิจที่ย่ิงใหญ่มาก พระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นใน
โลก ด้วยกจิ ทพ่ี ึงกระทาอยา่ งหนง่ึ คือ แสดงนิมิตที่เปน็ เหตใุ ห้สตั ว์ไดเ้ ขา้ ถึงตถาคตญาณทัศนะ น้ีคือ
กรณียกจิ ท่ีควรกระทาอยา่ งหนึง่ เปน็ มหากรณยี กิจทมี่ ปี ระโยชน์ฝ่ายเดียวซึ่งเกิดขึ้นยากในโลก เรา
เองได้บรรลุตถาคตญาณทศั นะ ไดแ้ สดงตถาคตญาณทัศนะ ได้กา้ วลงสูต่ ถาคตญาณทัศนะ ได้รู้แจ้ง
ตถาคตญาณทัศนะ และได้ก้าวลงสู่แนวทางของตถาคตญาณทัศนะ เราอาศัยยานเดียวเท่านั้น

8

แสดงธรรมแก่สัตว์ท้ังหลาย ยานนี้ก็คือ”พุทธยาน” ยานที่สองหรือท่ีสามใดๆนั้นไม่มี นี้เป็น
ธรรมดาทุกท่ีในโลกทั้งสิบทิศ พระพุทธเจ้าท้ังหลายได้มีแล้วในอดีตกาล ในโลกธาตุท้ังหลาย ท่ีนับ
ไมไ่ ดก้ าหนดไม่ได้ในสิบทิศ เพื่อประโยชน์แก่ชนจานวนมาก เพ่ือความสุขแห่งชนจานวนมาก เพื่อ
การอนุเคราะห์ชาวโลกและเพ่ือประโยชน์แก่หมู่ชนส่วนใหญ่ เพ่ือประโยชน์ เพ่ือความสุขของ
เทวดาและมนุษย์ท้งั หลาย พระผูม้ ีพระภาคทง้ั หลายเหล่าใด ทรงทราบอารมณ์ต่างๆ (กายและจิต)
ของสัตว์ท้ังหลาย ผู้มีความสนใจมีอารมณ์ต่างๆกัน ได้ทรงแสดงธรรมด้วยอุบายท่ีฉลาด คือด้วย
อภนิ หิ ารต่างๆ การช้แี จงแสดงเหตุผลตา่ งๆ และด้วยการอธิบายที่มาของคา ดูก่อนสารีบุตร พระผู้
มีพระภาคท้ังปวงแม้เหล่านั้น ได้อาศัยยานเดียวเท่าน้ัน ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ท้ังหลาย น่ันก็คือ
พุทธยาน อันมีการรสู้ ่งิ ทั้งปวงเปน็ ที่สุด และน่นั กค็ ือพระผูม้ ีพระภาคทง้ั ปวง ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์
ท้ังหลายท่ีเป็นเหตุให้ได้รับญาณทัศนะแห่งตถาคต เป็นเคร่ืองสอนญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็น
เคร่ืองเปิดเผยญาณทัศนะแห่งตถาคต ท่ีเป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะแห่งตถาคต ท่ีเป็นเคร่ืองช้ี
ทางแห่งญาณทัศนะแห่งตถาคต สัตว์แม้เหล่าใดได้ฟังพระสัทธรรมจากท่ีใกล้แห่งพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย สตั วเ์ หล่าน้นั ทงั้ หมด กจ็ กั ถงึ การตรสั รู้อนุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณ

ดูก่อนสารีบุตร ในอนาคตกาลพระพุทธเจ้าจักมีในโลกธาตุท้ังหลาย ซ่ึงมีจานวนที่นับไม่ได้
ทก่ี าหนดไม่ได้ในสบิ ทิศ เพ่ือประโยชน์แก่ชนจานวนมาก เพ่ือความสุขแห่งชนจานวนมาก เพื่อการ
อนุเคราะหช์ าวโลก เพ่อื ประโยชนแ์ ก่หม่ชู นจานวนมากและเพ่ือประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดา
และมนุษย์ท้ังหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใด ทรงทราบอารมณ์ต่างๆ ของสัตว์ท้ังหลาย ผู้มี
ความสนใจมีอารมณ์ต่างๆ จักทรงแสดงธรรมด้วยอุบายท่ีฉลาด คือด้วยอภินิหารต่างๆ การชี้แจง
แสดงเหตุผลต่างๆ และด้วยการอธิบายท่ีมาของคา พระผู้มีพระภาคทั้งปวงแม้เหล่าน้ัน ได้อาศัย
ยาน เดียวเท่านั้น ทรงแสดงธรรม น่ันก็คือ พุทธยานมีการรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นท่ีสุด และน่ันก็คือ
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าท้ังปวง จักทรงแสดงธรรมที่เป็นเหตุให้ได้รับญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่
เป็นเครื่องสอนญาณทัศนะแห่งตถาคต ท่ีเป็นเคร่ืองเปิดเผยญาณทัศนะแห่งตถาคต ท่ีเป็นเหตุให้
เข้าใจญาณทัศนะแหง่ ตถาคต ท่เี ปน็ เครือ่ งชีท้ างแห่งญาณทศั นะแห่งตถาคต แก่สตั ว์ทง้ั หลาย

ดูก่อนสารีบุตร สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดจักฟังธรรมน้ันจากที่ใกล้พระพุทธเจ้าท้ังหลาย ใน
อนาคตน้ัน สัตว์เหล่าน้ันทั้งหมด ก็จักถึงการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในปัจจุบันนี้
พระพุทธเจา้ ท้งั หลาย สถิตดารง ทรงอยู่ ทรงแสดงธรรมอยู่ในโลกธาตุ มีจานวนทน่ี ับไม่ได้ในสิบทิศ
เพ่ือประโยชน์แก่ชนเป็นจานวนมาก เพ่ือความสุขแห่งชนจานวนมาก เพ่ือการอนุเคราะห์ชาวโลก
เพื่อประโยชน์แก่หมู่ชนส่วนมาก และเพื่อประโยชน์ เพ่ือความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าเหล่าน้ัน ทรงทราบอารมณ์ต่างๆ ของสัตว์ท้ังหลาย ผู้มีความสนใจมีอารมณ์ต่างๆกัน

9

ย่อมทรงแสดงธรรมด้วยอุบายที่ฉลาด คือด้วยอภินิหาร การช้ีแจง แสดงเหตุผลต่างๆ การอธิบาย
ที่มาของคา พระพุทธเจ้าท้ังปวงเหล่าน้ัน ได้ทรงอาศัยเพียงยานเดียวเท่านั้น ทรงแสดงธรรมแก่
สัตว์ท้ังหลาย น่ันคือพุทธยาน ที่มีการรู้สิ่งท้ังปวงเป็นท่ีสุด กล่าวคือพระผู้มีพระภาคพุทธท้ังปวง
ยอ่ มทรงแสดงธรรมทเ่ี ปน็ เหตุให้ได้รับญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเคร่ืองเปิดเผยญาณทัศนะของ
ตถาคต ท่ีเป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะของตถาคต ท่ีเป็นเคร่ืองช้ีทางแห่งญาณทัศนะของตถาคต
แก่สัตว์ทั้งหลาย ดูก่อนศาริบุตร สัตว์ท้ังหลายเหล่าใด ได้ฟังธรรมอยู่ ณ ที่ใกล้ของพระตถาคต
อรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ในปัจจบุ ัน สัตว์เหล่าน้ันทั้งหมดจกั ไดอ้ นตุ ตรสมั มาสัมโพธญิ าณ
แม้เม่ือใด พระพุทธเจ้าท้ังหลาย อุบัติข้ึนในกัลป์ท่ีหม่นหมอง หรือสรรพสัตว์หม่นหมอง หรือว่าใน
สมัยทม่ี ีความหมน่ หมองเพรากิเลส หม่นหมองเพราะทิฏฐิ หม่นหมองเพราะอายุ เม่ือสัตว์ทั้งหลาย
จานวนมาก ผู้มีกุศลมูลเพียงเล็กน้อย เดือดร้อนใจและหม่นหมองในกัลป์ถึงปานน้ี ดูก่อนสารีบุตร
เมื่อนั้นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมแสดงพุทธยานเพียงหน่ึงเดียว โดยแยกแสดงเป็น 3 ยาน ด้วย
อุบายที่ฉลาด ณ ที่นั้น ชนเหล่าใด ซึ่งเป็นสาวกอรหันต์หรือเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ฟัง ไม่
ไตร่ตรอง ไมเ่ ข้าใจกริ ิยานี้ ท่ีเปน็ เหตใุ ห้ถงึ พทุ ธยานของตถาคต ทุกคนควรทราบเถดิ วา่ ชนเหล่านั้น
ไม่ใช่สาวกของตถาคต ไม่ใช่พระอรหันต์ ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าหากภิกษุหรือภิกษุณีผู้ใดผู้
หนงึ่ พึงปฏญิ าณความเปน็ อรหันตพ์ งึ กลา่ ววา่ ข้าพเจ้าได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เป็น
ผู้ตัดขาดแล้วจากพุทธยาน (และ) พึงกล่าว ถึงพระนิพพานว่า เป็นชาติสุดท้ายของเราเช่นน้ี พึงรู้
เถิดว่าเขาผู้น้ันเป็นผู้มีอภิมานะ เพราะไม่ใช่ฐานะและเป็นไปไม่ได้ที่ภิกษุหรือพระอรหันต์ ท่ีส้ินอา
สวะแล้ว ฟังธรรมนี้จากพระตถาคต ผู้อยู่เบ้ืองหน้าแล้ว ไม่มีศรัทธาเช่ือถือ นอกจากพระตถาคต
ปรินิพพานไปแล้วเทา่ นน้ั เพราะว่าเมือ่ พระตถาคตปรินพิ พานแล้ว ในกาลสมัยนั้น สาวกท้ังหลายก็
จะไม่อาจทรงจา หรือแสดงพระสูตรทั้งหลายเห็นปานนี้ได้ เขาเหล่านั้นจะหมดความสงสัย ก็
ต่อเม่ือมีพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าอ่ืน (อุบัติข้ึนมา) ท่านจงเช่ือในพุทธธรรมท้ังหลายเหล่าน้ีของ
เรา จงทาความคุ้นเคยและเข้าใจพุทธธรรมเหล่านี้เถิด เพราะว่าตถาคตไม่ได้พูดโกหก มียานอยู่
ชนดิ เดยี วเทา่ น้นั คือพทุ ธยาน
*********

บทท่3ี ธรรมอุปมำกำรเปรียบเทยี บ
ครงั้ น้นั พระสารีบตุ รมคี วามปราโมทยป์ ีติโสมนัสเล่ือมใส กราบทูลว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาค

ขา้ พระองคไ์ ด้ฟังพระสุรเสียงที่ใกล้พระผู้มีพระภาคแล้ว มีความอัศจรรย์ใจและยินดีเป็นอย่างมาก
ข้าพระองค์ได้ฟังธรรมไดเ้ ห็นพระโพธสิ ัตวท์ ัง้ หลายเหลา่ อื่น และได้ยนิ ว่าพระโพธิสัตว์เหล่าน้ี จะได้

10

เปน็ พระพุทธเจา้ ในอนาคตด้วยแล้วยิ่งดีใจเป็นท่ีสุด และขัดเคืองใจท่ีผิดหวังจาการรู้เห็นวิสัยญาณ
ของพระตถาคต ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บ่อยครั้ง เม่ือใดท่ีข้าพระองค์เดินไปตามซอกเขา ป่าลึก
สวนท่ีสวยงาม ที่ฝ่ังแม่น้าและที่โคนต้นไม้ เพื่อจะพักผ่อนในเวลากลางวัน ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
ข้าพระองค์ย่อมพักด้วยอาการอย่างน้ีเป็นส่วนมากแต่พระองค์ได้มอบ หินยาน ให้แก่พวกข้า
พระองค์ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แต่ว่าขณะนี้ข้าพระองค์สานึกได้แล้วว่า น่ันเป็นความผิดของพวก
ข้าพระองค์เอง ไม่ใชค่ วามผดิ ของพระผู้มีพระภาคข้อนน้ั เปน็ เพราะเหตุไร เพราะว่า ถ้าข้าพระองค์
ท้งั หลาย ได้พบพระผู้มีพระภาคตอนท่ีทรงแสดงพระธรรมเทศนาอันประเสริฐ ปรารภอนุตรสัมมา
สัมโพธิญาณอยู่ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ท้ังหลาย ก็จะได้ชื่อว่า พระองค์ได้ประทาน
ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นให้แล้ว เม่ือพระโพธิสัตว์ท้ังหลายไม่อยู่ด้วย เพราะข้าพระองค์ท้ังหลายไม่
เข้าใจคาสอนอันลึกซ้ึงของพระผู้มีพระภาค ฟังธรรมเทศนาของพระตถาคต ที่ทรงแสดงเบื้องต้น
เท่าน้ัน ก็ด่วนยึดถือ ทรงจาไว้ เจริญสติและกระทาไว้ในใจ ข้าพระองค์นั้นจึงให้เวลาท้ังกลางคืน
และกลางวนั โดยสว่ นใหญ่ใหล้ ว่ งไปด้วยการตาหนิตนเองอยู่เสมอ วันนี้ข้าพระองค์ได้ถึงความสงบ
แล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาควันน้ีข้าพระองค์หลุดพ้นแล้ว วันนี้ข้าพระองค์ได้บรรลุอรหัตผลแล้ว
วันนีข้ ้าพระองคเ์ ปน็ บตุ รผู้ประเสริฐของพระตถาคต ผู้เกิดแล้ว ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระ
ภาค คือผู้เกิดจากธรรม ผู้ได้รับการนิรมิตจากธรรม ผู้เป็นธรรมทายาท และผู้สมบูรณ์อยู่ในธรรม
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค วันนี้ข้าพระองค์ได้ฟังธรรมอันประเสริฐท่ียังไม่เคยฟังมาก่อน ของพระผู้มี
พระภาคไดเ้ ปน็ ผหู้ มดความรุม่ รอ้ นแล้ว

เมื่อพระสารีบุตรกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระสารีบุตรว่า เราขอ
ประกาศแก่เธอต่อหน้าชาวโลก พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม ต่อหน้าประชาชนพร้อมทั้งสมณะ
พราหมณ์ท้ังหลาย ดูก่อนสารีบุตร เราได้อบรมเธอให้พร้อมในอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ท่ี ใกล้
พระพุทธเจ้าท้ังหลาย จานวนย่ีสิบหมื่นแสนโกฏิ เธอได้ศึกษา(คาสอน) ของเรามาเป็นเวลาช้านาน
แล้ว เธอนั้นได้มาเกิดในศาสนาของเราในโลกน้ี โดยการปรึกษาหารือและเห็นพ้องของพระ
โพธสิ ัตว์ทัง้ หลาย โดยการอธฐิ านของพระโพธิสัตว์ เธอจึงมิได้ระลึกถึงประณิธานแห่งการประพฤติ
ธรรมในอดีตของเธอ การปรึกษาหารือและการเห็นพ้องต้องกันของพระโพธิสัตว์ เธอเข้าใจว่า เธอ
ดับสนิทแล้ว ใคร่จะให้เธอระลึกถึงประณิธานแห่งการประพฤติกรรม และการรู้ธรรม ในอดีต จึง
ขอประกาศ พระสูตรท่ีสมบูรณ์และย่ิงใหญ่ ช่ือ สัทธรรมปุณฑริกสูตร ธรรมบรรยายน้ี ซ่ึงเป็น
โอวาทของพระโพธิสัตว์ และเปน็ ขอ้ ปฏิบัตขิ องพระพุทธเจ้าทัง้ ปวง แก่สาวกท้ังหลาย

ในอนาคตกาล เมอื่ เธอได้ธารงพระสัทธรรมปุณฑริกสูตรของพระตถาคตหลายหม่ืนแสนโกฏิ
ด้วยจานวนกลั ป์ท่ีนบั ไมไ่ ด้ ได้ทาการบชู าตา่ งๆ ท้ังประพฤตขิ ้อปฏิบตั ิของพระโพธสิ ตั ว์นใี้ ห้สมบูรณ์

11

จักไดเ้ ปน็ พระพุทธเจา้ นามว่า ปัทมประภา ท่ีถงึ พรอ้ มด้วยวชิ ชาและจรณะเปน็ ผ้รู ู้แจ้งโลก และเป็น
ผู้จาแนกธรรมสมัยน้ันแล พุทธเกษตรของพระตถาคตปัทมประภา มีช่ือว่า วิรชะ เป็นสถานที่
บรสิ ทุ ธ์ิ เปน็ แดนเกษตรอดุ มสมบูรณด์ ว้ ยภักษา มหี มชู่ นมากมาย ท้ังชายหญิง เต็มไปด้วยทวยเทพ
มีแก้วไพฑูรย์ เป็นสถานท่ีต่อเน่ืองกันเป็นตาหมากรุก มีแนวเป็นทอง และในตาหมากรุกเหล่าน้ัน
ดารดาษไปดว้ ยตน้ รัตนพฤกษ์ทง้ั หลาย ซึ่งผลติ ดอกออกผล เป็นรตั นะ 8 ประการ อยา่ งไมข่ าดสาย

ดกู ่อนสารีบตุ รพระพุทธเจ้าปัทมประภา พระองค์น้ัน อาศัยยานท้ังสามนั้นแล้ว จักประกาศ
พระธรรม พระตถาคตนั้นไม่บังเกิดในกัลป์ที่เส่ือมโทรมก็จริง ถึงกระนั้น (พระองค์) ก็จักแสดง
ธรรมด้วยอานาจแห่งประณิธาน กัลป์นั้นมีชื่อว่า มหารัตนบัณฑิต พระโพธิสัตว์ท้ังหลาย ในพุทธ
เกษตร ถูกเรียกว่า รัตนะ ในสมันน้ัน มีพระโพธิสัตว์จานวนมากจนประมาณไม่ได้ เพราะฉะน้ัน
กัลป์นั้นจึงเรียกว่า มหารัตนบัณฑิต พระโพธิสัตว์ท้ังหลายในพุทธเกษตรนั้น ได้ก้าวไปบนดอกบัว
แก้วทุกก้าว ก็พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น มิใช่เป็นผู้เร่ิมต้นการทากรรม แต่เป็นผู้มีกุศลมูล
สะสมมาแลว้ เป็นเวลาช้านาน ได้ประพฤติพรหมจรรย์กับพระพุทธเจ้าจานวนหลายแสงองค์ ได้รับ
การสรรเสริญจากพระตถาคต เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยพุทธญาณ เป็นผู้รู้มหาอภิญญาบริกรรมฉลาด
ในธรรมทั้งปวง มีความช่ือตรงและมีสติ โดยมากพุทธเกษตรจะเต็มไปด้วยพระโพธิสัตว์ท้ังหลาย
เช่นนี้ ดกู อ่ นสารบี ตุ ร พระตถาคต ปัทมประภา นน้ั จะมีพระชนมายุ 12 กัลป์ ส่วนสัตว์ท้ังหลายจะ
มีอายุ 8 กัลป์ พระตถาคตปัทมประภานั้นพระสัทธรรมของพระองค์จะดารงอยู่ต่อไปถึง 32 กัลป์
และเมื่อพระสัทธรรมของพระองค์ส้ินไป สัทธรรมปฏิรูปก็จะดารงอยู่ได้ถึง 32 กัลป์ในขณะนั้นแล
บริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ
กนิ นร พญานาค มนษุ ย์ และอมนุษยท์ ้ังหลาย ได้ยินคาพยากรณ์

ณ เบ้ืองพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค พระสารีบุตรจะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
พากันช่ืนชม ยินดี ปราโมทย์ เกิดปิติโสมนัส ได้ทอดผ้าของตนไปยังพระผู้มีพระภาค และ ท้าว
สักกะ จอมเทพ พระพรหม พร้อมท้ังสหัมบดีพรหม และเทพบุตรจานวนหลายแสนโกฏิ ก็ได้ทอด
ผ้าทิพย์ไปยังพระผู้มีพระภาค และโปรยปรายดอกมันทารพน้อยใหญ่อันเป็นทิพย์ ทั้งได้ทอดผ้า
ทิพย์เป็นสายยาวเหยียด พากันประโคมดนตรีทิพย์หลายแสนชนิด ดีกลองไม่ขาดระยะ ทาให้ฝน
คือดอกไมจ้ านวนมาก โปรยปรายลงมา แลว้ เปล่งถ้อยคาวาจาว่า คร้งั แรก พระผู้มีพระภาค ได้ทรง
ยังพระธรรมจกั รใหห้ มุนไป ท่ีป่าอสิ ิปตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี ก็แล บัดนี้ พระผู้มีพระภาคได้
ทรงยงั พระธรรมจักร อนั ประเสรฐิ ใหห้ มนุ ไป เปน็ ครง้ั ท่ีสอง

คร้ังนั้นแล พระสารีบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคข้าพระองค์
หมดข้อสงสัย คลางแคลงใจแล้ว เพราะได้ฟังคาพยากรณ์เรื่องพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ของ

12

ตน (ที่พระองค์ตรัส) ณ เบื้องพระพักตร์อันใกล้ชิดพระองค์ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แต่ว่า พระ
อรหันต์ 1200 รูป ท่ีพระองค์ทรงสถาปนาไว้ในเสขะภูมิ ทรงโอวาทและตรัสสอนในกาลก่อนว่า
"ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย พระธรรมวินัยของเราได้ส้ินสุดลง ด้วยเร่ืองนี้ คือ การเข้าถึงพระนิพพานที่
ล่วงพ้นชาติ ชรา พยาธิ มรณะ และโศกะ" ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ก็แลภิกษุ 2,000 รูป แห่งสาวก
ของพระผมู้ ีพระภาค ทงั้ ท่ีเป็นพระเสขะและอเสขะท้ังหมด พวกเราได้ตั้งอยู่ในภูมิแห่งพระนิพพาน
แล้ว ดังน้ี ภิกษุเหล่าน้ัน คร้ันได้ฟังธรรมซึ่งไม่เคยฟังมาก่อนเห็นปานนี้จากที่ใกล้พระผู้มีพระภาค
ได้เกิดความสงสยั ข้นึ แลว้ ดลี ะ ขอพระผมู้ ีพระภาค ไดโ้ ปรดตรัสเพ่อื บรรเทาความกังวลใจของภิกษุ
เหล่าน้ี โดยประการท่ีบรษิ ทั ส่ี พงึ เป็นผู้หมดความสงสัย ความคลางแคลงใจด้วยเถดิ

เม่ือพระสารีบุตรกราบทูลอย่างน้ันแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับพระสารีบุตรว่า
ดูก่อนสารีบุตร เราเคยบอกแก่เธอแล้วมิใช่หรือว่า พระพุทธเจ้ารู้อุปนิสัยและอารมณ์ของสัตว์
ทั้งหลาย จึงแสดงธรรมด้วยอุบายที่ฉลาด คือด้วยอภินิหารต่างๆ การชี้แจงเหตุผลต่างๆ และด้วย
การอธิบายท่ีมาของคา พระตถาคตปรารภอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณจึงอบรมให้พระโพธิสัตว์
ท้ังหลาย มีอุปนิสัยแก่กล้า ด้วยธรรมเทศนา ทั้งปวง ดูก่อนสารีบุตร เพ่ือกระทาความข้อน้ีให้แจ่ม
แจ้งย่ิงขึ้น เราจะเปรียบเทียบให้ท่านฟัง ข้อน้ัน เป็นเพราะเหตุไร เพราะว่า ด้วยการเปรียบเทียบ
คนที่มีความรู้ดี ย่อมเข้าใจเน้ือความของคา ที่เรากล่าวนั้นได้ดี มีคหบดีคนหนึ่ง ในหมู่บ้าน เมือง
นคิ ม ชนบท สถานท่ี อันเป็นสว่ นชนบท แควน้ หรอื ราชธานีแห่งหน่ึง แต่เป็นคนแก่เฒ่า หง่อมชรา
มีอายุมาก เป็นผู้ร่ารวยมีทรัพย์มาก มีโภคะมาก บ้านของเขาสูงใหญ่โต กว้างขวาง สร้างมานาน
แล้ว และเก่าคร่าคร่า เป็นทีอาศัยของคนได้ถึง 200 คน 300 คน 400 คน หรือ 500 คน ก็แล
บ้านหลังนั้นมีประตูเดียว มุ่งด้วยหญ้า หรืออาคารก็ส่ันคลอน โคนเสาก็ผุ ปูนฉาบฝากะเทาะหลุด
ออก วันหน่ึง บ้านหลังนั้น ถูกไฟไหม้อยู่รอบๆ อย่างรวดเร็ว คหบดีคนน้ัน มีลูกหลายคนจะเป็น 5
คน 10 คน 20 คนกต็ าม (อยูใ่ นบา้ น) ส่วนเขาอยนู่ อกบา้ น

คร้ังนน้ั แล คหบดีผูน้ น้ั เห็นบา้ นของตนกาลงั ถกู กองไฟใหญ่ไหม้อยู่โดยรอบ ตกใจ สะดุ้งกลัว
หวาดผวา คิดว่า เรามีพลังมาก สามารถจะวิ่งออกจาก บ้านหลังน้ี ซ่ึงกองไฟใหญ่กาลังลุกไหม้อยู่
ได้อย่างเร็วและปลอดภัย ทางประตูบ้าน แต่ลูกเล็กทั้งหลายเหล่านี้ของเราสิ ขณะท่ีบ้านถูไฟไหม้
อยู่ กาลังเล่นสนุกสนาน เพลิดเพลินกับของเล่นอยู่ ไม่คิดและไม่เฉลียวใจว่าไฟกาลังไหม้บ้าน
อยู่ และกม็ ิไดใ้ สใ่ จความทกุ ขน์ นั้ เลย พวกเขา ไมไ่ ดค้ ิดถงึ แม้แตก่ ารจะหนอี อกมา

บุรุษผู้นั้นได้บอกเด็กเหล่านั้นว่า ดูก่อนกุมารผู้เจริญท้ังหลาย เธอทั้งหลาย จงมาทางน้ี
ขอให้เธอท้ังหลายออกมาข้างนอก ไฟกาลังไหม้บ้านอยู่ เธอท้ังหลาย จะถูกไฟกองใหญ่น้ีครอกถึง
แก่ความตาย แต่ว่าเด็กเหล่านั้น ไม่เข้าใจคาพูดของบุรุษผู้หวังดีน้ัน และไม่กลัว ไม่คิดว่ิงออกไป

13

ทั้งนี้เพราะเด็กเหล่านั้น ไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าไฟไหม้คืออะไร ตรงกันข้าม เด็กเหล่านั้นกลับวิ่งไปมา
มองดูบิดาคร้ังแล้วคร้ังเล่า เป็นเพราะความโง่เขลานั่นเองบุรุษนั้นคิดว่าบ้านหลังน้ีถูกไฟไหม้อย่าง
หนกั ขออย่างใหเ้ ราและเดก็ ๆ ตอ้ งถึงความพินาศเพราะกองไฟใหญน่ ีเ้ ลย อย่างไรกต็ าม เราจะต้อง
นาพวกเด็กเหล่าน้ีออกจากบ้านให้ได้ด้วยกุศโลบายสักอย่างหน่ึง บุรุษนั้นเป็นผู้รู้อัธยาศัย ใจคอ
ของเด็กเหล่าน้ันเป็นอย่างดี จึงได้พูดกับเด็กๆว่า พวกเธอจงมาเอาของเล่นท้ังหลาย อันมีสีสรร
สวยงามมากมาย น่าชมยิ่งนัก มีทั้งเกวียนเทียมโค เกวียนเทียมแพะ และเกวียนเทียมกวาง เราได้
วางไวภ้ ายนอกประตู เพื่อให้พวกเธอได้เลน่ กัน กุมารผู้เจริญท้ังหลาย จงพากันรีบออกมานอกบ้าน
น้ันเถิด เราจะให้เลน่ ของเล่น ท่ีพวกเธออยากได้กัน จงว่ิงออกมาเอาของเล่นกันเร็วๆ เด็กเหล่านั้น
เพราะอยากไดข้ องเล่นได้พยายามพากนั วิง่ ออกจากบา้ นท่ีไฟไหม้อย่างรวดเร็ว

คร้ันบุรุษน้ัน เห็นกุมารทั้งหลายเหล่าน้ัน วิ่งออกมาข้างนอกอย่างปลอดภัย ทราบว่าเขา
เหล่านั้นปลอดภัย จึงออกมานอกหมู่บ้านมีจิตใจปลาบปลื้ม ปรีดาปราโมทย์ หมดความข้องใจ ไร้
ความเคลือบแคลงสงสัยและหวาดกลัว ก็แลกุมารเหล่านั้นได้เข้าไปหาบุรุษ ผู้เป็นบิดาน้ันจนถึงท่ี
(บิดานั่ง) คร้ันเข้าไปหาแล้ว จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่บิดา ขอบิดาให้ของเล่นคือเกวียนเทียมโค
เกวียนเทยี มแพะ และเกวียนเทียมกวางต่างๆ ที่สวยงามเหล่าน้ันแก่ลูกๆเถิด หลังจากนั้น บุรุษน้ัน
ได้ให้เกวียนเทียมโคท้ังหลาย ดูก่อนศาริบุตร เธอมีความคิดเห็นในเรื่องน้ีเป็นอย่างไร บุรุษนั้น
เป็นผู้กล่าวเท็จหรือไม่ โดยท่ีตอนแรกนั้น เขาได้ช้ีให้กุมารดูเกวียนสามชนิด แต่ภายหลังเขาให้
เกวยี นใหญ่ที่สวยงามชนิดเดียว แกเ่ ด็กท้ังหมดนั้น

พระสารีบตุ ร กราบทูลวา่ ข้าแต่พระผูม้ ีพระภาค หามิไดบ้ ุรุษนนั้ ไมเ่ ป็นผกู้ ลา่ วเท็จ ด้วยเหตุนี้
เพราะว่า นั่นเป็นกุศโลบายท่ีบุรุษน้ันให้เด็กออกมาจากเรือน ท่ีกาลังไฟไหม้อยู่ได้ และเป็นการ
ป้องกันชีวิตเด็กด้วย ข้อน้ัน เป็นเพราะอะไร ข้อแต่พระผู้มีพระภาค เพราะว่า เด็กได้ทั้งชีวิต และ
ของเล่นทุกอย่างแล้วข้าแต่พระผู้มีพระภาค ถ้าว่าบุรุษน้ัน ไม่ให้เกวียนสักเล่มแก่เด็กท้ังหลาย ข้า
แตพ่ ระผู้มีพระภาค เขาก็ไมเ่ ป็นผกู้ ลา่ วเท็จเพราะว่า ครั้งแรกบุรุษนั้นคิดว่า เราจะปลดเปล้ืองพวก
เดก็ ใหพ้ น้ จากกองทกุ ข์อันยงิ่ ใหญ่ ดว้ ยกุศโลบายด้วยเหตุน้คี าพดู ของเขา จึงไมเ่ ป็นคาเทจ็

ครัน้ พระสารีบตุ รกราบทลู อย่างน้ีแล้ว พระผู้มพี ระภาคได้ตรัสวา่ ดีละ ดีละ ข้อนั้นเป็นอย่าง
ท่ีเธอกล่าวนั่นแล พระพุทธเจ้า เป็นผู้พ้นจากภัยท้ังปวงแล้ว พ้นแล้วจากความท้อแท้ ความ
ตรอมใจ อปุ สรรค ทกุ ข์ โทมนสั และเครื่องกัน้ คือความมดื มน กล่าวคอื อวิชชาทั้งปวง โดยประการ
ท้ังปวง และทุกเม่ือ พระตถาคตถึงพร้อมแล้วด้วยพลังแห่งพระญาณ ความแกล้วกล้าและพุทธ
ธรรมอันวิเศษ มีพลังเกินกว่าพลังแห่งฤทธ์ิ เป็นบิดาของชาวโลก มีบารมีคือความรู้ในกุศโลบายที่
ยงิ่ ใหญ่ มมี หากรุณาธิคุณ มีจิตใจผ่องใสเป็นผู้มุ่งประโยชน์ และอนุเคราะห์ชนท้ังปวง พระตถาคต

14

อุบัติข้ึนมาในไตรโลกธาตุ อันเช่นกับ ที่อยู่อาศัย อันคร่าคร่า ผุพัง กาลังถูกเผาด้วยกองทุกข์และ
โทมนัส อนั ใหญ่หลวง ดว้ ยประสงคจ์ ะปลดเปลอื้ งสัตวท์ ัง้ หลาย โดยให้เข้าให้ถึงอนุตรสัมมาสัมโพธิ
ญาณ

พระตถาคตเห็นว่า เรามีพลังญาณและพลังฤทธิ์อยู่เรากล่าวสอนญาณ พละและความแกล้ว
กลา้ แห่งตถาคต แกส่ ัตวท์ ง้ั หลายเหล่าน้ี โดยไม่มีอุบาย(ในการกล่าวสอน) แล้ว สัตว์ทั้งหลายจะไม่
พ้นทุกข์ด้วยธรรมเหล่านี้ ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร เพราะว่า สัตว์เหล่านี้ ยังข้องอยู่ในกามคุณห้า
เพราะความยินดีในไตรโลก ยังไม่หลุดพ้นไปจากชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนสั อุปยาส เขาทง้ั หลายยังถูกเผาไหม้อยู่ ยังไม่ว่ิงออกจากไตรโลกธาตุ อันเปรียบเสมือนเรือน
ท่มี หี อ้ งเก่าคร่าครา่ ทถี่ ูกไฟไหม้ จะบรรลพุ ทุ ธญาณได้อยา่ งไร

อนั เปรยี บเหมอื นเรือนที่มีห้องเกา่ ครา่ ครา่ ทกี่ าลงั ถูกไฟไหม้ให้ได้ จึงแสดงยานสาม คือสาวก
ยาน ปัจเจกพุทธยาน และโพธิสัตว์ยาน ด้วยความเข้าใจในกุศโลบาย พระตถาคตให้สัตว์ท้ังหลาย
ปรารถนายานท้ังสามนั้น และตถาคตก็กล่าวกับสัตว์ทั้งหลายว่า ท่านท้ังหลายจงอย่ายินดีใน
โลกธาตุท้ังสาม อันเช่นกับเรือนท่ีกาลังถูกไฟไหม้ในรูป เสียง กล่ิน รส และสัมผัสที่เลว เพราะว่า
เม่ือท่านท้งั หลายยนิ ดีแลว้ ในโลกธาตทุ ั้งสาม กจ็ ะถกู เผาไหม้ดว้ ยตัณหาท่มี าคู่กับ กามคุณห้า ซ่ึงจะ
ทาใหเ้ ดอื ดร้อนอยูเ่ สมอ ท่านท้งั หลายจงหนีออกจากโลกธาตุท้ังสามน้ีเสีย จงยึดเอายานสามน้ี คือ
สาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และโพธิสัตว์ยาน เราเป็นประกันในเร่ืองนี้ เราจะให้ยานท้ังสามเหล่านี้
ท่านทัง้ หลาย จงพยายามหนีออกจากโลกธาตุทั้งสามเถิด เราได้พูดปลอบใจเขาเหล่านั้นว่า ดูก่อน
สรรพสัตว์ผู้เจริญ ยานท้ังสามเหล่านี้ เป็นสิ่งท่ีพระอริยเจ้าสรรเสริญ เป็นส่ิงท่ีน่าร่ืนรมย์ยิ่ง ท่าน
ทั้งหลาย จักสนุกสนานรื่นเริงพอใจกับยานเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ ท่านทั้งหลาย จักได้รับความยินดี
มากมาย ด้วยส่ิงเหล่าน้ีคือ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ ญาณ วิโมกข์ สมาธิและสมาบัติ ท่านทั้งหลาย
จะได้รับความสขุ โสมนัส อยา่ งยงิ่ ใหญ่

สัตว์เหล่าใดเป็นผู้มีปัญญา ชาญฉลาด สัตว์เหล่าน้ัน ย่อมศรัทธาต่อพระตถาคต ผู้เป็นบิดา
ของชาวโลก และคร้ันมีศรัทธาแล้ว ย่อมพอใจ กระทาความเพียรพยายามในคาสอนของตถาคต
บรรดาสัตว์เหล่าน้ัน สัตว์พวกหน่ึง หวังจะฟังคาสอนอันประเสริฐสุด พอใจปฏิบัติตามคาสอนของ
ตถาคต เพื่อบรรลุอริยสัจส่ี อันเป็นเหตุแห่งการได้พระนิพพาน สัตว์เหล่านั้นช่ือว่า เป็นผู้มุ่งหวัง
สำวกยำน แล้ววิ่งออกจากโลกธาตุท้ังสามเหมือนเด็กท่ีปรารถนาเกวียนเทียมกวาง พากันว่ิง
ออกมาจากเรือนท่ไี ฟกาลงั ไหม้น้นั สัตวจ์ าพวกหน่ึง หวงั จะไดญ้ าณและความสงบสุข อันปราศจาก
ผเู้ ป็นครูอาจารย์ พยายามปฏิบัติตามคาสอนของพระตถาคต เพ่ือรู้เหตุและปัจจัยท้ังหลาย เพราะ
เหตุท่ีจะทาให้ตนบรรลุพระนิพพาน สัตว์เหล่านั้นเรียกว่า เป็นผู้มุ่งหวังปัจเจกพุทธยำน อันเป็น

15

ญาณท่ีปราศจากครูผู้สอน พยายามปฏิบัติตามคาสอนของพระตถาคต เพ่ือรู้ญาณพละและความ
แกล้วกล้าแห่งพระตถาคต เพราะเหตุที่ทาให้สัตว์ท้ังปวงบรรลุพระนิพพาน เพ่ือประโยชน์แก่ชน
หมู่มาก เพือ่ ความสขุ แกช่ นหมมู่ าก เพ่อื อนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของชนหมู่
ใหญ่ รวมทง้ั เทวดาและมนษุ ย์ พระพทุ ธเจา้ ประภูตทราบว่า ตนเปน็ คลงั แห่งญาณอันย่ิงใหญ่ พละ
และความแกล้วกล้ามากมาย ทั้งยังทราบว่า สัตว์ทั้งปวงเป็นบุตรของตน จึงให้สัตว์เหล่านั้น
นิพพาน (ดับ) ด้วยพุทธยานเท่าน้ัน พระตถาคตจะให้สัตว์ทั้งหมด ปรินิพพาน ด้วยนิพพานของ
ตถาคต ท่ีเป็นมหาปรินิพพาน ดูก่อนสารีบุตร สัตว์เหล่านั้น เป็นผู้พ้นแล้วจากไตรโลกธาตุพระ
ตถาคตใหข้ องเล่นทั้งหลาย ทวี่ เิ ศษในรูปของฌาน โมกษะ สมาธิ และสมาบัติ ที่น่ารื่นรมย์และเป็น
บรมสขุ (แต)่ ของเล่นเหล่าน้นั ทงั้ หมด เป็นชนดิ เดียวกนั ธรรมอุปมำกำรเปรยี บเทียบ
ในธรรมบรรยำย “พระสทั ธรรมปณุ ฑริกสูตร” อนั ประเสรฐิ มเี พยี งเทำ่ นี้
*********

บทท่ี4 ธรรมควำมเช่อื ควำมเขำ้ ใจ
"กาลครั้งนั้นพระสุภูติผู้มีปัญญาและอาวุโส พระมหากัจจายนะ พระมหากัสสปะ และพระ

มหาโมคคัลลานะ ได้ฟังธรรมอันไม่เคยมีมาก่อน และคาพยากรณ์การบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิใน
อนาคตของพระสารีบุตร เกิดความประหลาดใจและมีความปล้ืมปิติด้วยเป็นอย่างย่ิง จึงจัดผ้า
เฉวียงบ่าเข้าถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า"พวกข้าพระองค์น้ันได้รับคาสั่งสอน
จากพระองค์และปฏิบัติตามจนแน่ใจว่าตนได้ถึงซึ่งความสาเร็จและถึงการนิพพานแล้ว ประกอบ
กบั มอี ายมุ ากแล้ว จงึ มีความเกียจคร้าน อยู่เฉยเพียงแต่นึกถึงความว่าง ความไร้รูป เร่ืองของความ
ไมม่ ีอะไรกระทาการ แต่ในเรื่องของโพธิสัตว์ธรรม การแสดงอันพิสดารของพวกเขา การทาพุทธะ
เกษตรใหบ้ รสิ ุทธิ์ การทาสรรพสัตว์ให้สมบรู ณ์พวกเราไม่เคยคิดถึง เพราะพวกเราคิดเสียว่าพระผู้มี
พระภาคเจ้าได้ช่วยให้พวกเราหนีรอดจากโลกท้ัง 3 แล้ว บรรลุนิพานแล้วและพวกเราก็ชราเกิน
กาลแล้ว เกินกว่าจะคิดถึงอนุตรสัมมาสัมโพธิแล้ว "บัดน้ีพวกเราต่อหน้าพระพักตร์ได้ยินว่า สาวก
ไดร้ ับคาพยากรณ์แหง่ การบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิ จิตใจของพวกเรามีความปิติยินดียิ่ง ได้รับส่ิงท่ี
ไม่เคยคิดมาก่อน ไม่เคยประสบมาก่อน โดยมิได้คิดหวังพวกเราจู่ๆ ก็ได้ฟังธรรมอันหายากนี้พวก
เราต้องขอแสดงความยินดีกับตัวเองอย่างสุดซึ้ง ต่อการได้รับคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่มณีอันล้าค่า
โดยปราศจากการแสวงหาข้าพระองค์ขอโอกาสการอุปมาอุปไมยเพ่อื ทาความเข้าใจใหง้ ่ายเข้าดังน้ี"
ขา้ พระองคท์ ั้งหลาย ไมม่ ีความปรารถนาพทุ ธธรรม พทุ ธเกษตรของพระโพธิสัตว์ หรืองานของพระ
ตถาคต ข้อน้ันเป็นเพราะเหตุไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เพราะว่า ข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นผู้แก่

16

เฒ่าแลว้ มคี วามเช่อื ว่าขา้ พระองค์ทงั้ หลาย พ้นแล้วจากโลกทง้ั สาม ถงึ พระนิพพานแล้ว ข้าแต่พระ
ผู้มีพระภาค เพราะว่าข้าพระองค์ท้ังหลายได้กล่าวสอนและแนะนาพระโพธิสัตว์อื่นไว้ในอนุตตร
สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แต่จิตของข้าพระองค์ทั้งหลาย มิได้สัมผัสกับการ
บรรลุญาณแม้แต่นอ้ ย

ขา้ แตพ่ ระผมู้ พี ระภาค ขอ้ พระองค์ทง้ั หลาย ไดย้ นิ ได้ฟังมาวา่ เหล่าพระสาวกก็จะได้รับพุทธ
พยากรณ์ ในอนตุ ตรสัมมาสัมโพธิญาณจากพระผู้มีพระภาค จึงเกิดอัศจรรย์ใจ และนับว่าเป็นลาภ
อันใหญ่หลวง ข้าแต่พระผู้มีพระภาค วันน้ีข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ฟังพระสุรเสียงของพระตถาคต
ซ่ึงไม่เคยฟงั อย่างน้มี าก่อนเลย นับว่า (ขา้ พระองค)์ ได้รัตนะอันยิง่ ใหญ่ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค การ
ได้รัตนะนั้น ไม่มีส่ิงใดจะเปรียบได้ เป็นรัตนะใหญ่ที่ได้มาอย่างไม่ต้องแสวงหา ไม่ได้คาดหวังและ
ไม่ได้ปรารถนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บัดน้ีเป็นที่กระจ่างแจ้งแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว ข้าแต่
พระสุคต บดั น้เี ป็นทก่ี ระจ่างแจ้งแกข่ า้ พระองคท์ ้ังหลายแลว้

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อน้ันก็เหมือนกับบุรุษผู้หน่ึงท่ีจากบิดาไป คร้ันไปแล้ว ไปอยู่ที่ใน
ชนบทอนื่ และอยู่ท่ีนัน่ หลายปี คือ 20 ปี 30 ปี 40 ปี หรือ 50 ปี ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สมัยก่อน
เขาเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ แต่ขณะน้ี เขากลายเป็นคนยากจน เขาแสวงหางาน จึงเที่ยวไปทุกสารทิศ
เพ่ือให้ได้อาหารและเคร่ืองนุ่งห่มดารงชีพ และเขาเท่ียวไปในชนบทอ่ืนๆ อีกต่อไป ส่วนบิดาของ
เขา ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านอื่น จนร่ารวย มีทรัพย์จานวนมาก เงินทองสาหรับใช้สอย มีทาสทาสี
กรรมกร และคนใช้จานวนมากมีบริวารมากมาย และเป็นผู้มีทรัพย์มากกว่าใครในชนบทท้ังหลาย
เขาทากจิ กรรมมากมาย ท้ังทางเกษตรและทางพาณชิ ย์

ขา้ แตพ่ ระผู้มีพระภาค ขณะนนั้ บรุ ุษผู้ยากจนผนู้ ั้น เทีย่ วไปแสวงหาอาหารและเครื่องนุ่งห่ม
ในหมู่บ้าน นคร นิคม ชนบท เมืองใหญ่และราชธานี จนถึงนครท่ีบิดาของเขา บิดาของบุรุษนั้น
เป็นผู้มีทรัพย์สินเงินทอง และยุ้งฉางมากอยู่ในนครนั้น (เขา) คิดถึงบุตรชายผู้ท่ีจากไป เป็นเวลา
50 ปี อยู่ตลอดเวลา บุรุษผู้ยากจนผู้นั้นกาลังเดินแสวงหาอาหารและเคร่ืองนุ่งห่มอยู่ ได้เดินเข้า
ไปสูบ่ ้านของบุรษุ ผูบ้ ดิ า บุรษุ ยากจนนั้น ไดเ้ หน็ บิดาของตนเอง นง่ั อยู่ใกลป้ ระตูบ้าน ด้วยความสง่า
งาม แวดล้อมด้วยชนจานวนมาก กาลังทาการค้าขายอยู่ บุรุษผู้ยากไรนั้น คร้ันเห็นแล้วก็ต่ืน
ตระหนกตกใจกลัว เราจะรอชา้ อยู่ไม่ได้ มิฉะนนั้ เราจะถกู จับขัง หรอื ไม่ก็จะได้รบั โทษอยา่ งอน่ื

บุรุษผู้เป็นบิดานั้น กระวนกระวายใจปรารถนาจะพบบุตรมาก จึงส่งชายมีฝีเท้าเร็วหลาย
คน ดูกอ่ นสหายทง้ั หลายพวกท่านจงรีบไปนาชายผู้น้ันมาเร็ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขณะนั้น ชาย
เหล่านั้นว่ิงไปโดยเร็วตามไปนาบุรุษยากจนน้ันมาในตอนนั้น บุรุษผู้ยากจน เกิดความกลัว ตัวส่ัน
งนั งก ชนลกุ ชนั ไปทวั่ ท้ังร่างกายจิตใจไม่เป็นปกติสุข เขากล่าวว่าข้าพเจ้าไม่ได้ทาความผิดอะไรต่อ

17

ท่านท้ังหลาย ขอให้เราจงอย่าถูกฆ่าเลย เขาได้เป็นลมล้มลงบนดินจนส้ินสติ บิดาของชายยากจน
นั้นยืนอยู่ ณ ที่ใกล้เขา จึงกล่าวกะชายเหล่านั้นว่า จงอย่าฉุดเขาอย่างน้ัน เขา(บิดา)เอาน้าเย็น
ประพรมบตุ รของตนแล้ว คหบดผี ูน้ ัน้ รู้ความต่าต้อยของลูกชาย และรู้ฐานะอันโอฬารของตน ท้ังที่
รู้วา่ ผนู้ น้ั เปน็ ลกู ของตน คหบดีนน้ั ใชก้ ุศโลบายของตน จึงไม่ได้บอกแก่ใครๆ ว่า นั่นคือบุตรของตน
คหบดีไดเ้ รยี กชายคนหนึง่ มาพูดว่า เธอจงไปบอกแก่ชายผู้ยากไร้นัน้ วา่ จงไปตามทางที่ต้องการเถิด
เธอมอี สิ ระแล้ว ชายผู้นนั้ ได้ฟังคหบดีกล่าวอยา่ งนัน้ แลว้ ก็เข้าไปหาชายผู้ยากไร้ คร้ันเข้าไปหาแล้ว
ได้พูดกับเขาว่า เธอมีอิสระแล้วไปได้ตามปรารถนาเถิด ชายผู้ยากไร้น้ันได้ฟังคาน้ันแล้วรู้สึก
อัศจรรย์ใจ เขาได้ลุกจากที่น้ัน แล้วเดินไปตามถนนแห่งคนยากไร้ เพื่อแสวงหาอาหารและ
เคร่ืองนุ่งห่ม เพ่ือจะดึงบุรุษผู้ยากไร้นั้นไว้ คหบดีจึงใช้กุศโลบายอย่างหน่ึง เขา จ้างชายสองคน
รูปร่างหน้าตาไม่ดีพร้อมกับส่ังว่า จงไปตามชายผู้นั้นมาท่ีน่ี ท่านทั้งสองจงให้เงินแก่เขาสองเท่า
ว่าจา้ งให้เขามาทางานในบ้านของฉนั ถ้าเขาถามว่าจะให้เขาทางานอะไร ขอให้ท่านตอบเขาว่า จะ
ให้เขากวาดขยะ หลังจากนั้นชายสองคนน้ัน ก็ออกตามหานาบุรุษยากจนนั้นมาและว่าจ้างให้
ทางานดงั กลา่ วนน้ั ตั้งแตน่ ้นั มา ชายสองคน พร้อมกับบรุ ษุ ยากจนนน้ั ก็ได้ทางานกวาดขยะในบ้าน
ของคหบดี โดยรับจา้ งจากคหบดีผู้รา่ รวยนน้ั ชายทง้ั สามคนนัน้ อาศัยอยู่ที่กระท่อมเล็กๆ ที่มุงด้วย
ฟางใกล้ๆบ้านของคหบดี บุรุษผู้ม่ังคั่งน้ัน มองดูลูกชายของตนท่ีกาลังกวาดขยะอยู่ทางหน้าต่าง
คร้นั เห็นแลว้ เขาก็เกิดความสะเทือนใจขน้ึ มาอีก
เธอต้องการสิ่งใด ก็ขอให้บอกฉันจะให้ จงคิดเสียว่าฉันเหมือนพ่อของเธอก็แล้วกัน เธอได้ช่วยงาน
ฉนั มากในการกวาดขยะ ขณะทางานอยู่ที่น่ีเธอมีความบริสุทธิ์ ฉันไม่เห็นเธอประพฤติชั่ว อย่างคน
ใชอ้ ืน่ เลย ต้งั แตน่ ีไ้ ป ขอให้เธอจงเป็นเหมือนลูกชายฉันเถดิ

คหบดนี ้นั เรยี กชายผยู้ ากจนว่าลกู และชายยากจนก็เรียกคหบดีว่าพ่อข้าแต่พระผู้มีพระภาค
คหบดีที่ปรารถนาบุตร และให้บุตรนั้นทางานกวาดขยะอยู่ถึง 20 ปี คร้ังน้ัน ชายผู้ยากจนน้ัน
สามารถเขา้ ออกภายในบ้านของเศรษฐี ไดเ้ ป็นเวลา 20 ปี แตเ่ ขาก็ยังพกั อยทู่ ่กี ระทอ่ มฟางนัน่ เอง

ต่อมาคหบดีล้มป่วยลง เขา(คหบดี) เห็นว่า มรณะกาลใกล้เข้ามาแล้ว เขาจึงพูดกับบุรุษผู้
ยากจนว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านจงมาน่ีชิ ฉันมีทองคา ทองรูปพรรณ ข้าวเปลือก ยุ้งฉาง
มากมาย ฉันไม่สบายมาก ฉันปรารถนาจะให้ทรัพย์สมบัตินี้แก่คนที่ควรรับและรักษาทรัพย์นี้ไว้
ท่านจงรับเอาท้ังหมด จงอย่าทาให้ทรัพย์น้ีสูญหายแม้แต่น้อย คร้ังนั้นชายผู้ยากจนนั้น รับเอา
ทองคาแท่ง ทองรูปพรรณ ทรัพย์ ข้าวเปลือก ยุ้ง ฉาง จานวนมาก ของคหบดีนั้นโดยปริยายนี้ แต่
ตัวเขาเองไมต่ ิดข้องในสิ่งเหล่าน้ัน เขาไม่ปรารถนาอะไร แม้เพียงข้าวสาลีกามือหนึ่ง ตัวเขาเอง ยัง
คิดวา่ ตนเป็นคนยากจนอยู่ และยงั อยูใ่ นกระท่อมมงุ ฟาง ณ ที่นน้ั น่ันแล

18

คหบดี เห็นว่าบุตร (ของตน) น้ัน เป็นผู้สามารถเก็บรักษาทรัพย์สมบัติได้ เป็นผู้ใหญ่พอควร
แล้ว เม่ือคิดถึงความทุกข์ และความยากจนท่ีมีในสมัยก่อน และรู้ว่าความเส่ือมสลายจะต้องมีแก่
ตน ครั้นเวลาใกล้จะตาย จึงเรียกชายผู้ยากไร้น้ันมา ให้อยู่ข้างหน้าหมู่พวกพ้อง พระราชา มหา
อามาตย์ ตลอดจนชาวนิคมและชาวชนบทท้ังหลาย แล้วประกาศว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงฟัง
ชายผนู้ คี้ ือบุตรท่เี กดิ จากขา้ พเจา้ ในเมอื งโน้น และเขาได้สูญหายไปจากเมืองโน้นมาเป็นเวลา 50 ปี
เขามีช่ืออย่างนั้น และแม้ข้าพเจ้าก็มีชื่ออย่างนั้น ตั้งแต่เขาสูญหายไป ข้าพเจ้าได้เที่ยวตามหาเขา
จากเมอื งนั้นจนมาถึงท่ีนี่ ผู้นี้เป็นบุตรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นบิดาของเขา ทรัพย์สินใดๆ ท้ังหมด
ที่เป็นขอข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอมอบให้แก่ชายผู้นี้ และทรัพย์สินใดๆอันเป็นของข้าพเจ้า ชายผู้น้ีก็รู้
หมดแล้ว

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในทานองเดียวกัน ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเหมือนบุตรของพระ
ตถาคต พระตถาคต ย่อมตรัสกะข้าพระองค์ท้ังหลายว่า "เธอทั้งหลายเป็นบุตรของเรา" เหมือน
อย่างคหบดี (พูดกับบุตร) ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ถูกความทุกข์ 3 ประการ
บีบค้ันแล้ว ทุกข์3ประการคือ ทุกข์ขณะเจ็บป่วย ทุกข์เกิดจากผลของกรรมในอดีต ทุกข์เกิดจาก
ความเปลี่ยนแปลง และข้าพระองค์ท้ังหลาย พิจารณาธรรมท้ังปวงมากมาย เปรียบเหมือนกอง
ขยะ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้พิจารณาธรรมทั้งปวงแล้ว พยายามอย่างต่อเน่ืองอยู่ ข้าพระองค์
ท้ังหลาย ปรารถนาพระนิพพาน ท่ีเปรียบเหมือนทรัพย์อันประเสริฐ ซ่ึงได้แสวงหาตลอดวันเวลา
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ยินดีกับพระนิพพานที่ตนได้รับแล้วนั้น และข้า
พระองค์ท้ังหลายได้พิจารณาธรรมท้ังปวงเหล่านี้ พยายามอย่างต่อเนื่องใกล้องค์พระตถาคตแล้ว
คิดว่า ตนเองได้อะไรต่างๆ จานวนมาก พระตถาคต คงทราบความคิดต่าๆ ของข้าพระองค์
ทั้งหลาย เพราะฉะน้ัน พระผู้มีพระภาค จึงทรงวางเฉย มิได้ตรัสว่า "ตถาคตญาณ จักมีแก่เธอ
ทง้ั หลาย" แต่พระผู้มีพระภาค ทรงสถาปนาทายาทในตถาคตญาณน้ี แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วย
กุศโลบาย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย พอใจในตถาคตญาณ ข้าพระองค์ท้ังหลาย
ทราบว่า พวกข้าพระองค์ ได้นิพพานอันเสมือนทรัพย์ท่ีประเสริฐ ท่ีจะจับจ่ายประจาวัน จากพระ
ตถาคต ข้อน้ันนับว่ามากยิ่งแล้วสาหรับพระองค์ท้ังหลาย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์
ทัง้ หลาย จักแสดงธรรมอันเกี่ยวกับญาณทัศนะของพระตถาคต แก่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ท้ังหลาย
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นผู้ปราศจากความอยากแล้ว จะพรรณนาแสดง
ชแ้ี จงตถาคตญาณ ข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นบุตรของพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงระลึก
ถึงความเป็นทายาทแห่งตถาคตญาณ ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้อนั้นเป็นเพราะ ข้าพระองค์

19

ท้ังหลาย เป็นบตุ รของพระตถาคตก็จริง ถึงกระนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายก็ยังเป็นผู้มีความนึกคิดต่า
อยู่ พระผู้มีพระภาคทรงทราบพลังแห่งความนึกคิดของข้าพระองค์ ทั้งหลาย แล้วทรงแสดงญาณ
ของพระโพธิสัตว์ แก่ข้าพระองค์ท้ังหลายไซร้ พระผู้มีพระภาคช่ือว่า ให้ข้าพระองค์ท้ังหลาย
ทางานสองหน้าที่ คือต่อหน้าพระโพธิสัตว์ ข้าพระองค์ท้ังหลาย เป็นผู้มีฐานะต่ากว่า แต่ข้า
พระองค์ทั้งหลายเป็นผู้สอนพวกเขา ให้เข้าถึงพระโพธิญาณอันประเสริฐ บัดนี้ พระผู้มีพระภาค
ทรงทราบพลังแหง่ ความนึกคิดของข้าพระองคท์ ง้ั หลายแล้ว ทรงมอบฐานะน้ีอีกหรือ ข้าแต่พระผู้มี
พระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลายกล่าวอย่างนี้โดยปริยายว่า ข้าพระองค์ท้ังหลาย ผู้เป็นบุตรแห่งพระ
ตถาคต ผู้ส้ินความอยาก ได้รัตนะคือความรู้ทุกอย่างท่ีไม่ได้หวังไว้ ที่ไม่ได้แสวงหา ท่ีไม่ได้
ปรารถนาและไม่ได้คิด โดยพลันน่ันเทียวว่าด้วยการน้อมใจเชื่อในธรรมบรรยาย “พระสัทธรรม
ปณุ ฑรกิ สตู ร” อนั ประเสริฐมีเพยี งเท่านี้
**********

บทที่ 5 ธรรมโอสถสมุนไพร ว่าด้วยต้นไมน้ านาพันธ์ุ
กาลครั้งน้ันพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสเรียกพระมหากัสสปะ และพระมหาสาวกเถระรูปอ่ืนๆ

มาแล้ว (ตรัสว่า) ดูก่อนมหากัสสปะ ดีละ ดีละ เป็นความดีของพวกเธอที่ได้กล่าวพรรณนาคุณอัน
แท้จริงของพระตถาคตเหล่าน้ี คือคุณอันแท้จริงของพระตถาคต มีคุณอีกมากมายจนนับไม่ได้
ประมาณไม่ได้ แม้จะกล่าวอยู่เป็นเวลาหลายกัลป์ติดต่อกันไป ก็ยากท่ีจะพรรณนาให้หมดได้ เป็น
พระราชาแห่งธรรมทั้งปวง พระตถาคตแสดงธรรมใด ณ ทีใ่ ดธรรมน้ันย่อมเป็นเช่นน้ัน พระตถาคต
ได้แสดงธรรมทั้งปวงอย่างเหมาะสม เป็นผู้มีอัธยาศัยในธรรมท้ังปวง เป็นผู้มีปรมัตถบารมีในญาณ
อันเป็นกุศโลบาย ในการวินิจฉัยธรรมท้ังปวง เป็นผู้ชี้สัพพัญญุตญาณ เป็นผู้หย่ังลงในสัพพัญญุต
ญาณ และเปน็ ผ้แู สดงสพั พญั ญุตญาณ

ดูก่อน กัสสปะ เปรียบเหมือนเมฆฝนท่ีแผ่ขยายไปเหนือสามพันโลกธาตุน้อยใหญ่ตลอดทั้ง
ต้นหญา้ ไม้เลก็ ไม้ใหญ่นานาพรรณ นานาประการ และไม้บ้าน ที่มีชื่อต่างๆ กัน ทั้งที่เกิดบนพ้ืนที่
ราบ ขนภูเขา อยู่ท่ีซอกเขา เมฆนั้น คร้ันขยายกว้างออกไป ก็คลุมพื้นท่ีโลกธาตุสามพันน้อยใหญ่
ท้ังหมด แล้วหล่ังเป็นฝนลงมาในพ้ืนที่ท้ังปวงในเวลาพร้อมกัน ดูก่อนกัสสปะ ณ ท่ีนั้นในโลกธาตุ
สามพนั นอ้ ยใหญ่นั้น ต้นหญ้า ไม้เลื้อย ไม้ใหญ่ รวมท้ังไม้อ่อนก็จะแตกหน่อ ก่ิงก้านและใบ ไม้เล็ก
ไม้ใหญ่ ท้ังหมดเหล่านั้น จะดูดน้า ที่ตกมาจากเมฆตามกาลังและความจาเป็น และด้วยน้าที่มี
สภาพเช่นเดียวกัน ซ่ึงตกมาจากเมฆน้ัน ไม้ก็จะเจริญเติบโตข้ึน ตามกาลังความสามารถของแต่ละ

20

ชนิดพันธ์ุ แล้วก็ผลิดอกออกผล และได้ชื่อต่างๆกัน แต่ละอย่าง แต่ละชนิด พันธุ์ไม้ต่างๆทั้งหมด
เหลา่ น้นั หยง่ั รากลงส่พู ืน้ ดนิ เดียวกันได้ รบั ความช่มุ ช้นื ด้วยนา้ ท่ีมสี ภาพเช่นเดยี วกนั

ดกู ่อนกสั สปะ ในทานองเดียวกัน พระพทุ ธเจา้ อุบัตขิ ึ้นในโลกซ่ึงก็เหมือนมหาเมฆบังเกิดขึ้น
พระตถาคตอุบัติขึ้นมาแล้ว ได้เตือนชาวโลก พร้อมกับเทวดา มนุษย์และอสูรให้สานึก ข้อน้ันก็
เหมือนกับเมฆใหญ่ปกคลุมโลกธาตุสามพันน้อยใหญ่ทั้งปวงไว้ ทานองเดียวกัน พระพุทธเจ้าได้
ประกาศก้อง ต่อหน้าชาวโลก เทวดา มนุษย์และอสูรว่า ดูก่อนเทวดา และมนุษย์ผู้เจริญท้ังหลาย
เราเป็นพระพุทธเจ้า เราข้าม (สงสารสาคร) ได้แล้ว ปรารถนาให้ผู้อื่นข้ามด้วย เราพ้นแล้ว
ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นด้วย เราสงบแล้ว ปรารถนาให้ผู้อื่นสงบด้วย เราเป็นผู้ดับสนิทแล้ว ปรารถนา
ให้ผู้อื่นดับสนิทด้วย เราเป็นสัพพัญญู(ผู้รู้ทุกอย่าง) เป็นสัพพวิปัสสี (ผู้เห็นทุกอย่าง) ย่อมรู้โลกน้ี
และโลกอื่น ตามความเป็นจริงด้วย ปัญญา อันชอบ ดูก่อนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลาย จงเข้ามาใกล้เรา เพื่อฟังธรรมเราเป็นผู้บอกทางแห่งความหลุดพ้น เป็นผู้ชี้ทาง เป็นผู้รู้
ทางและชานาญทาง ดูก่อนกัสสปะ ณ ที่น้ันสรรพสัตว์หลายหม่ืนแสนโกฏิ เข้ามาใกล้ๆ เพ่ือฟัง
ธรรมของพระตถาคต ครั้งนน้ั แม้พระตถาคต จะทราบประมาณมากน้อยแห่งพลังอินทรีย์ของสัตว์
ทง้ั หลาย จงึ แสดงธรรมบรรยายท้ังหลายเหล่าน้ัน ได้แสดงธรรมกถาเหล่านั้นมากมาย แตกต่างกัน
ออกไป มีท้ังเร่ืองชวนหรรษา น่ารื่นเริงบันเทิงใจ และเรื่องที่ก่อเกิดประโยชน์และความสุข สัตว์
ทั้งหลายผู้ยินดีแล้วย่อมมีความสุขในธรรม และครั้นตายไป ก็จะได้ไปบังเกิดในสุคติ อันเป็นถ่ินท่ี
เขาท้ังหลายจะได้บริโภคกาม (ความสุข) มากมาย และจะได้ฟังธรรม เม่ือฟังธรรมนั้นแล้ว ก็จะ
หลุดพ้นจากนิวรณธรรม และจะต้ังม่ันอยู่ในธรรมของพระสัพพัญญู โดยลาดับไป ตามสมควรแก่
กาลัง วสิ ัย และสถานที่

เม่ือพระตถาคตแสดงธรรมอยู่ สตั ว์ทั้งหลาย ฟัง ทรงจาและปฏิบตั อิ ยู่ (แต)่ พวกเขาไม่รู้ ไม่
เข้าใจ กาหนดไม่ได้ ซึ่งตนเอง ข้อนั้นเพราะเหตุว่า พระตถาคตเท่านั้น ย่อมรู้ว่า สัตว์ท้ังหลาย
เหล่าน้ัน เป็นเช่นไร และเพราะเหตุอะไร จึงคิด เจริญอะไร ได้รับอย่างไร และเพราะเหตุไร พระ
ตถาคตเท่าน้ันเป็นผู้เห็นประจักษ์ สัตว์ทั้งหลายเหล่าน้ัน ท้ังผู้ที่ต่าทราม ผู้สูงส่ง และผู้ระดับกลาง
เหมือนเห็นไม้เล็ก ไม้ใหญ่ ไม้เจ้าป่า ซึ่งยืนต้นอยู่บนพ้ืนดินถิ่นต่างๆ อีกประการหนึ่ง ตถาคตส่ัง
สอนสัตว์ท้ังหลายเสมอเหมือนกัน หาได้สอนต่างกันไม่ ดูก่อนกัสสปะ เหมือนแสงจันทร์และ
แสงอาทิตย์ ส่องสาดมายังโลก ส่องทั่วท้ังคนชั่วและคนดี ท่ีสูงและต่า กล่ินเหม็นและกล่ินหอม
แสงน้ันสาดส่องไปท่ัวทุกหนทุกแห่งเสมอกัน ไม่ได้แตกต่างกันเลย ในทานองเดียวกัน แสงสว่าง
ของดวงจิตที่เป็นสัพพัญญุตญาณของตถาคต และการแสดงธรรมย่อมเป็นไปเสมอกันในสัตว์
ทั้งหลายทั้งปวง ผู้เกิดในภูมิทั้งห้า ผู้อุทิศตนเพื่อ มหายาน เพื่อปัจเจกพุทธยานและเพื่อสาวกยาน

21

ตามอุปนิสัย ความหย่อนหรือความย่ิงแห่งแสงญาณของตถาคต ย่อมไม่มีเพ่ือการเข้าถึงญาณอัน
ประเสริฐน้ันแต่อย่างใด ไม่มีสามยาน แต่สัตว์ทั้งหลายประพฤติต่าง กัน ดังน้ัน จึงกล่าวกันว่ามี
สามยาน ถ้าไม่มียานท้ังสามแล้ว เพราะเหตุไร ในปัจจุบันนี้จึงกล่าวแยกเป็น สาวกยาน ปัจเจก
พุทธยาน และโพธิสัตวยาน เล่า

ครั้นเมื่อถามอย่างน้ีแล้ว พระผู้มีพระภาค กล่าวว่า "ดูก่อนกัสสปะ เหมือนายช่างหม้อ ปั้น
ภาชนะทั้งหลาย ด้วยดินเหนียวเหมือนกัน ในบรรดาภาชนะเหล่าน้ัน ภาชนะชนิดหนึ่ง ใช้ใส่
นา้ ตาล ชนิดหน่ึงใชใ้ สน่ า้ มนั เนย ชนดิ หน่ึงใช้ใส่นมเปรี้ยวและนมสด ส่วนบางชนิด ที่มีคุณภาพเลว
กใ็ ช้ใสข่ องท่ไี มส่ ะอาด ไม่มคี วามตา่ งกันของดินเหนียว แต่ความต่างกันของภาชนะทงั้ หลายปรากฏ
ขึ้น ด้วยมาตรฐานการใช้บรรจุสมบัติ ในทานองเดียวกันน่ันแล ยานมีเพียงหนึ่งเท่าน้ัน คือ พุทธ
ยาน ยานท่ีสองและยานที่สามไม่มี แม้ถ้าสัตว์ทั้งหลายผู้มีความประพฤติต่างกัน พ้นจากโลกทั้ง
สามแล้ว เขาท้ังหลายจะมีหน่ึงนิพพาน สองนิพพาน หรือสามนิพพาน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
นิพพานคือความเสมอภาคแห่งธรรมท้ังปวง ในพระโพธิญาณ ฉะน้ันนิพพานจึงมีเพียงหน่ึงเท่าน้ัน
ไม่มีสอง สามนิพพาน ถ้าเช่นน้ันเราจะเปรียบเทียบให้เธอฟัง เพราะว่าผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมรู้
เนื้อความของคาสอน ด้วยรูปแบบของการเปรียบเทียบ ข้อนั้นก็เหมือนชายตาบอดแต่กาเนิด
น่ันเอง ชายตาบอดกลา่ วอย่างน้ีวา่ รูปท้งั หลายที่สวยงามและน่าเกลียดไม่มี คนที่เห็นรูปที่สวยงาม
และน่าเกลียดไม่มี พระอาทิตย์ไม่มี พระจันทร์ไม่มี ดาวฤกษ์ท้ังหลายไม่มี ดาวพระเคราะห์
ท้ังหลายไม่มี คนเห็นดาวพระเคราะห์ไม่มี แต่คนพวกอ่ืน พึงพูดข้างหน้าคนตาบอดแต่กาเนิดน้ัน
อย่างน้ีว่า รูปท้ังหลายท่ีสวยงามและน่าเกลียดมี คนท่ีเห็นรูปที่สวยงามและน่าเกลียดมี พระ
อาทติ ยม์ ีและพระจันทร์มี ดาวฤกษ์ทั้งหลายมี ดาวเคราะห์ทั้งหลายมี คนท่ีเห็นดาวเคราะห์ก็มี แต่
ชายตาบอดแต่กาเนิดน้ันไม่เช่ือคนเหล่านั้น ไม่ยอมรับความจริงท่ีคนอ่ืนกล่าว ต่อมามีแพทย์คน
หน่ึง ซ่ึงเป็นผู้รู้โรคทุกอย่าง แพทย์ผู้นั้นมองชายตาบอดแต่กาเนิดนั้น เกิดความคิดข้ึนว่า โรคนี้
เกดิ ข้ึน เพราะกรรมช่วั ในชาตปิ างกอ่ นของชายผู้น้ัน โรคเหล่าน้ันคืออะไรบ้าง โรคที่เกิดขึ้นน้ัน มีส่ี
ชนิดด้วยกันคือ โรคไขข้อ โรคอหิวาต์ โรคเฉ่ือยชามึนซึม และโรคท่ีเกิดจากความสับสนของ
อารมณ์

คร้ังนั้น แพทย์ผู้น้ัน คิดแล้วคิดอีก ถึงอุบายท่ีจะรักษาโรคให้หาย เขามีความคิดอย่างน้ีว่า
โรคน้ีไม่สามารถรักษาได้ ด้วยยาชนิดธรรมดา แต่ที่ขุนเขาหิมพานต์มียาอยู่สี่ชนิด ยาส่ีชนิดคือ
อะไรบ้าง ยาส่ีชนิดคือ ชนิดหน่ึงชื่อว่า "สรววรณรสสถานานุคตา" (ยาเพ่ิมสีและรสท้ังปวง) ชนิดที่
สองชอื่ ว่า "สรววยาธิปรโมจน"ี (ยาแกโ้ รคทั้งปวง) ชนิดทีส่ ามมีชอ่ื ว่า "สรววษิ วินาศนี" (ยาปราบพิษ
ทั้งปวง) ชนิดท่ีส่ีช่ือว่า "ยถาสถานสถิตสุขปรทา" (ยาที่ส่งเสริมความสุขให้ดารงอยู่ตามสถานะ) นี่

22

คอื ยาส่ีชนิดทแ่ี พทย์เกิดความสงสารในชายตาบอดแต่กาเนิดน้ัน จึงคิดอุบายท่ีตนอาจไปถึงขุนเขา
หิมพานต์ พอไปถึงแล้ว แพทย์ผู้นั้น ก็เดินขึ้นเดินลงและไปตามขวางของภูเขา แสวงหายา เขา
แสวงหาอยู่อย่างนี้ก็พบยาสี่ชนิดนั้น คร้ันพบแล้ว จากยาส่ีชนิดนั้น ส่วนหนึ่งเขาเคี้ยวเสียก่อนแล้ว
จงึ ให้ ส่วนหน่ึงตาเสยี ก่อนแลว้ จึงให้ สว่ นหน่ึงผสมกบั ยาอ่นื ตม้ ให้เดือดเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหน่ึง
ผสมกับยาดิบเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งให้ด้วยการฉีดเข้าไปในร่างกาย ส่วนหนึ่งเผาไฟเสียก่อน
แล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งผสมกับวัตถุอ่ืนใส่ลงไปในน้าและอาหารแล้วจึงให้ โดยวิธีน้ีชายตาบอดแต่
กาเนิดนั้นได้จักษุกลับคืนมา เขาได้จักษุกลับคือมาแล้ว มองเห็นท้ังภายนอกภายใน ไกลและใกล้
มองเห็นแสงสว่างของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ และรูปท้ังปวง เขากล่าว
อย่างนวี้ ่า "โอ้ ขา้ พเจ้าเปน็ คนโง่เขลา เมอ่ื ชนทั้งหลายกล่าวอยู่ในคราวก่อนๆ ขา้ พเจ้าไม่เชื่อและไม่
ยอมรับส่ิงที่เขากล่าวแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพเจ้าพ้นแล้วจากความเป็นผู้บอด
ข้าพเจ้าได้จักษุคืนมา และไม่มีใครวิเศษไปกว่าข้าพเจ้า ก็ในสมัยน้ัน ฤาษีท้ังหลายผู้ได้อภิญญาห้า
ได้ทิพยจักษุ ทิพยโสต รู้จิต ของผู้อื่น ได้ปุพเพนิวาสาสุสสติญาณ มีฤทธ์ิ เป็นผู้หลุดพ้นและมีกุศล
สาม ได้กล่าวกับชายผู้น้ันอย่างนี้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านได้จักษุคืนมา แต่ท่านไม่รู้อะไร
อภิมานะของท่านเกิดจากไหน ปัญญาของท่านไม่มี ท่านยังไม่เป็นบัณฑิต ฤาษีเหล่านั้นพึงกล่าว
กบั เขาอย่างนี้อีกว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านน่ังอยู่ภายในเรือน ย่อมไม่เห็น ไม่รู้อะไรท่ีอยู่ภายนอก
ย่อมไม่รูว้ า่ สตั ว์ทง้ั หลายเป็นผ้มู ีจิตเมตตาหรือโหดร้าย ท่านย่อมไม่เข้าใจเสียงของมนุษย์ ซ่ึงยืนพูด
อยู่ภายในห้าโยชน์และจะไม่รู้ ไม่ได้ยินเสียงกล่องและสังข์ เป็นต้น ท่านไม่ยกเท้าทั้งสองแล้ว ก็ไม่
อาจเดินไดเ้ ปน็ ระยะทางหน่งึ โกรศะ (สองไมล)์ ท่านเกดิ และเจริญเติบโตในท้องมารดา ท่านจาการ
กะทาน้ันไม่ได้ ฉะนั้น ท่านจะเป็นผู้ฉลาด(บัณฑิต) ได้อย่างไร ท่านจะพูดได้อย่างไรว่า ข้าพเจ้า
เห็นทุกอย่าง ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เพราะท่านเข้าใจความมืดว่า เป็นความสว่าง เข้าใจความสว่างว่า
เป็นความมืด

ครั้นน้ัน ชายผู้นั้น ได้พูดกะฤาษีทั้งหลายว่า อุบายอะไร หรือกรรมที่งามอันใด ที่ข้าพเจ้า
กระทาแล้ว จะพึงได้ปัญญาเช่นนั้น และจะพึงได้คุณทั้งหลายเหล่าน้ัน เพราะความเล่ือมใส ท่าน
ทั้งหลาย คร้ังนั้น ฤาษีท้ังหลายกล่าวกะชายนั้นว่า ถ้าท่านปรารถนา ท่านจงไปอยู่ป่า หรือไม่ก็น่ัง
ในถ้าท่ีภูเขาทั้งหลาย พิจารณาธรรม ท่านสละละท้ิงกิเลสทั้งหลายเสีย ท่านก็จะเป็นผู้
ประกอบด้วยคุณงามความดีและบรรลุอภิญญา แล้วชายผู้นั้น ก็รับเอาคานั้น และได้บวชเป็นฤาษี
เขาอาศัยอย่ใู นป่า มีจติ อันเลศิ ตง้ั มัน่ อยูใ่ นอารมณ์เดยี ว ละตณั หาอนั เป็นโลกายตั พึงบรรลุอภิญญา
ห้า หลังจากบรรลอุ ภญิ ญาแล้ว เขาพงึ คดิ ว่า ในกาลก่อน ขา้ พเจ้า ไดก้ ระทากรรมอื่น (อันต่าทราม)

23

ฉะน้นั ข้าพเจ้าจงึ ไม่ประสบคุณความดี บัดน้ี ข้าพเจา้ ไดส้ ่งิ ท่ีขา้ พเจ้าคิดแล้ว ในกาลก่อนข้าพเจ้ามี
ปัญญาน้อย มคี วามเขา้ ใจเลก็ น้อยเป็นคนบอด

ดูก่อนกาศยปะ นี้คืออุปมาที่เรา (ตถาคต) แต่งข้ึน เพื่อให้เข้าใจความหมายน้ี เธอฟังเห็น
ความหมายดังน้ี ดูก่อนกาศยปะ คาว่า "ตาบอดแต่กาเนิด" ก็คือบรรดาสัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิดใน
ภูมิทั้งหก ท่ีไม่รู้พระสัทธรรม เพิ่มพูนความมืดคือกิเลส เป็นผู้บอดเพราะอวิชชา และผู้บอดเพราะ
อวชิ ชาน้ัน สรา้ งความคิดต่างๆ ขึ้นมา และเม่ือมีความคิด ก็ยึดติดในนามรูป ผลก็คือ ย่อมเกิดกอง
ทุกข์ อันย่ิงใหญ่แต่อย่างเดียวเท่าน้ัน สัตว์ทั้งหลาย ผู้บอดเพราะอวิชชา ดารงตนอยู่ในโลก
(สังสารวัฏ) อย่างน้ี ส่วนพระตถาคตพ้นแล้วจากโลกธาตุทั้งสาม เพราะมีความกรุณา เหมือนกับ
บิดาเกดิ ความกรณุ าในบตุ รคนเดยี วซ่ึงเป็นทร่ี กั (เรา) จงึ มาบงั เกิดในสามโลก ได้เห็นสัตว์ท้ังหลายผู้
ท่องเท่ียวไปอยู่ในวฏั ฏสงสาร และสัตว์เหล่านน้ั ไม่รู้วถิ ีทางที่จะออกจากวฏั ฏสงสาร คร้ังน้ัน พระผู้
มีพระภาคมองดูสัตว์ทั้งหลายด้วยปัญญาจักษุ และครั้นเห็นแล้วก็ทราบว่า ในกาลก่อนสัตว์เหล่าน้ี
กระทากุศลไว้แล้ว บ้างก็มีโทละเบาบางมีราคะกล้า บ้างก็มีราคะเบาบางมีโทสะกล้า บ้างก็มี
ปัญญาน้อย บ้างก็เป็นบัณฑิต บ้างก็มีความบริสุทธ์ิผุดผ่อง และบ้างก็มีมิจฉาทิฏฐิ พระตถาคตจึง
เสนอยานสามชนิดแกส่ ตั ว์เหล่านนั้ ด้วยกุศโลบาย

ณ ที่นั้น ฤาษีท้ังหลาย ผู้มีอภิญญาห้ามีจักษุหมดจดนั้นแล คือพระโพธิสัตว์ ยังโพธิจิตให้
บงั เกิดขน้ึ จนสาเร็จขันติธรรม ทีไ่ มเ่ คยเกดิ ขึ้นมากอ่ น แลว้ จึงตรสั รอู้ นุตตรสัมโพธญิ าณ

นายแพทย์ผู้ย่ิงใหญ่ในเร่ืองนี้ พึงเทียบได้กับพระตถาคตนั่นเอง ชายตาบอดแต่กาเนิดก็คือ
สัตว์ทัง้ หลายทม่ี ืดบอดเพราะโมหะ โรคลมนา้ ดี และเสลด กเ็ หมือนกบั ราคะ โทสะ และโมหะ ทิฏฐิ
หกสิบสอง พึงเห็นว่าเป็นเช่นน้ันเหมือนกัน ยาส่ีชนิด พึงเทียบได้กับ ศูนยตา (ความว่างเปล่า)
อนมิ ิตตา (ความไมย่ ดึ ถอื ) อัปปณิหิตา (ความไม่ปรารถนา) และพระนิพพาน (ความดับ) การใช้ยา
ทั้งหลาย จนสามารถระงับโรคได้ เหมือนกับสัตว์ท้ังหลาย เจริญวิโมกข์สาม คือสุญญตวิโมกข์
(หลดุ พ้นดว้ ยเหน็ ความวา่ งเปลา) อนิมิตตวิโมกข์ (หลดุ พ้นดว้ ยการไมย่ ึดติดนมิ ติ ) อัปปณิหิตวิโมกข์
(หลุดพน้ ดว้ ยไม่ทาความปรารถนา) ก็จะดับอวิชชา (ความไม่รู้) ได้ เม่ือดับอวิชชาได้ สังขาร (การ
ปรงุ แตง่ ) ก็ดับ และในทีส่ ุดก็จะดบั กองทกุ ขอ์ ันยงิ่ ใหญล่ งได้ แล้ว จิตก็จะไม่ตั้งอยู่ทั้งในความดีและ
ในความช่วั (เป็นพระอรยิ บคุ คล)

ผู้มีจักษุบอด แล้วได้สายตาดีคืนมา เปรียบได้กับผู้ควรแก่ สาวกยาน และ ปัจเจกพุทธยาน
เขาย่อมตัดกิเลสเครื่องผูกพันของสังสารวัฏเสียได้ พ้นจากกิเลสเคร่ืองผูกพัน พ้นจากภูมิท้ังหก
และโลกทัง้ สาม ฉะนน้ั ผสู้ มควรแก่สาวกยาน ย่อมรู้อย่างน้ี และกล่าวถ้อยคาอย่างน้ีว่า ธรรมอื่นท่ี
ทาให้ตรัสรู้น้ันไม่มี ข้าพเจ้าถึงพระนิพพานแล้ว ท่ีน้ัน พระตถาคตจะตรัสธรรมแก่เขาว่า บุคคลใด

24

ไม่บรรลธุ รรมทง้ั ปวงแล้ว เขาจะบรรลุพระนิพพานได้อย่างไร พระผู้มีพระภาคจึงให้เขาเข้าถึงพระ
โพธิญาณ เขา ครั้นจิตที่น้อมไปสู่พระโพธิญาณเกิดข้ึนแล้วก็จะไม่สถิตในโลก แต่ยังไม่บรรลุพระ
นิพพาน เขาครัน้ รแู้ ลว้ จะเหน็ โลกท้งั สามในท้ังสบิ ทิศว่าเป็นสง่ิ ว่างเปล่า เป็นส่ิงท่ีต้องสลายไป เป็น
มายา เป็นความฝัน เป็นพยับแดด และเป็นเหมอื นเสยี งสะท้อน เขาย่อมมองเห็นว่า ธรรมทั้งหลาย
ทั้งปวง ไม่เกิดข้ึน ไม่ดับไป ไม่ถูกผูกพัน ไม่หลุดพ้น ไม่มืดบอด และไม่สว่าง บุคคลท่ีเห็นธรรม
ทัง้ หลายลึกซึ้งอย่างนี้ ย่อมเหน็ โลกธาตุทั้งปวง เต็มไปด้วยสัตว์ ที่มีความนึกคิดและอุปนิสัยต่างกัน
เหมือนกับว่า มองไม่เห็นว่าด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ในธรรมบรรยาย “พระสัทธรรมปุณฑริกสูตร”
อันประเสริฐมีเพยี งเทา่ น้ี
**********

บทที่ 6 ธรรมคำพยำกรณ์ ว่าด้วยการพยากรณ์
คร้ันพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้แล้ว จึงตรัสกะภิกษุสงฆ์ท้ังปวงว่า ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย เราขอประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบว่า “กัสสปะ” สาวกของเราน้ี จักกระทา
สักการะ พระพุทธเจ้าหมื่นโกฏิพระองค์ จักทาการเคารพ นับถือ บูชานอบน้อม และทรงไว้ซึง
สัทธรรมของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าท้งั หลายเหล่านั้น กัสสปะนั้นในชาติสุดท้าย ในโลกธาตุ ที่ชื่อ
ว่า อวกาส ใน มหาวยหู กลั ป์ จะไดเ้ ป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "รัศมี
ประภาส" ในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นนาย
สารถีผู้ฝึกบุรุษท่ีประเสริฐ ไม่มีผู้อื่นย่ิงกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน
เป็นผู้จาแนกธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีประภาส พระองค์นั้น จักมีพระชนมายุสิบสองกัลป์
พระสัทธรรมของพระองค์ จักดารงอยู่ยี่สิบกัลป์ พุทธเกษตรของพระองค์จักบริสุทธิ์หมดจด
ปราศจากหิน กรวด ทราย หลุมบ่อ ไม่มีท่ีสกปรก เรียบเสมอ น่าร่ืนรมย์ น่าเล่ือมใส น่าดู มีแก้ว
ไพฑูรย์ ประดับตกแต่งด้วยรัตนพฤกษ์ มองดูเหมือนตาหมากรุก ซ่ึงแต่ละช่วงแบ่งด้วยเส้นด้าย
ทอง เต็มไปด้วยดอกไม้ มีพระโพธิสัตว์หลายแสนองค์อยู่ท่ีน่ัน พระสาวกอีกหลายหมื่นแสนโกฏิ
ประมาณมไิ ด้ กม็ ีอยู่ทน่ี ัน่ ณ ท่ีนนั่ มารรา้ ยไม่ได้โอกาสแสดงความชั่ว ความเมตตาของมารร้ายก็ไม่
ปรากฏ ถ้าหมู่มาร ณ ท่ีนั้น มารเหล่านั้น ก็จะได้รับพระสัทธรรม ในศาสนาของพระผู้มีพระภาค
ตถาคตสมั มาสัมพทุ ธเจา้ รัศมีประภาส พระองคน์ ั้น ในโลกธาตุนนั่ เอง

กาลคร้ังนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตน้ันของพระมหาสาวก เถระ
เหล่าน้ัน ด้วยพระมโนของพระองค์ จึงตรัสกะหมู่ภิกษุเหล่าน้ันว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย พระสุภูติ
เถระ มหาสาวกของเราน้ี จักกระทาสักการะ พระพุทธเจ้า จานวนสามหมื่นแสนโกฏิพระองค์ จัก

25

เคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา เทิดทูน จักประพฤติพรหมจรรย์ในศาสนานั้น และจักบรรลุพระ
โพธิญาณ หลังจากบรรลุพระโพธิญาณแล้ว ในชาติสุดท้าย จักได้เป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัม
พุทธเจา้ ในโลก มพี ระนามว่า "ศศเิ กตุ" ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและจรณะ เป็นผเู้ สด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้ง
โลก เปน็ นายสารถีฝึกบรุ ุษ ผู้ประเสริฐท่ีไม่มีผู้อ่ืนยิ่งกว่า เป็นครุของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็น
ผเู้ บิกบาน และเป็นผจู้ าแนกธรรม

พุทธเกษตรของพระองค์ (ศศิเกตุ) มีชื่อว่า "รัตนสมภพ" และมีกัลป์นั้นชื่อว่า "รัตนาวภาส"
พุทธเกษตรนั้น เรียบราบ น่ารื่นรมย์ สาเร็จแล้วด้วยแก้วผลิก งดงามไปด้วยรัตนพฤกษ์ ไม่มีหลุม
บ่อ และสถานที่อันสกปรก เป็นทีน่าพึงพอใจ อันดาดาษไปด้วยดอกไม้ทั้งหลายมนุษย์ ณ ที่นั้น ก็
จะอยู่แต่ในท่ีอาศัย คือกูฏาคาร (ปราสาท) พระสาวกของพระองค์ มีจานวนมากเหลือคณานับ
พระโพธิสัตว์หลายหม่ืนแสนโกฏิ ก็ประทับอยู่ท่ีพุทธเกษตรนั้น พระผู้มีพระภาค (ศศิเกตุ) มี
พระชนมายยุ ืนนานถึง 12 กัลป์ พระสัทธรรมจะดารงอยถู่ ึง 20 กัลป์ และสัทธรรมปฏิรูปก็จักดารง
อยู่ 20 กัลป์เช่นกัน พระผู้มีพระภาคพระองค์น้ัน จักทรงยืนในท้องฟ้าประกาศธรรมอยู่เนืองๆ
และทรงแนะนาพระโพธิสัตว์ และสาวกทั้งหลายหลายแสน

คร้ังนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสกับหมู่ภิกษุทั้งปวงว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เราขอแจ้งให้
ทราบ ขอประกาศให้ทราบว่า พระมหากาตยายนเถระ สาวกของเรานี้ จักกระทาสักการะ
พระพทุ ธเจา้ แปดหมน่ื แสนโกฏิ จกั เคารพ นับถอื ยกยอ่ ง บูชา เทิดทนู พระพุทธเจ้าเหล่านั้น (พระ
มหากาตยายนะ) จักสร้างสถูปของพระผู้มีพระภาคเหล่าน้ัน ท่ีนิพพานแล้ว สูงหน่ึงพันโยชน์ ฐาน
กว้างห้าสิบโยชน์ ประดับด้วยรัตนะ 7 ประการ คือ ทอง เงิน แก้วไพฑูรย์ แก้วผลึก มุกดาแดง
มรกต บศุ ราคมั เป็นทเ่ี จ็ด จะทาสักการะบูชาพระสถูปเหล่าน้ัน ด้วยดอกไม้ ธูป พวงมาลัย เคร่ือง
ลูบไล้ เจิมทา ผ้าฉัตร ธงร้ิว และธงแผ่นผ้า นอกจากนี้ ยังทาการสักการะ เคารพ นับถือ ยกย่อง
บูชา เทิดทูน พระพุทธเจ้าอีกย่ีสิบโกฏิ ในชาติสุดท้าย พระกาตยายนะน้ันเกิดเป็นมนุษย์ จักเป็น
พระอรหันตสมั มาสัมพุทธเจา้ พระนามว่า "ชามพนู ทประภาส" ในโลกเปน็ ผถู้ ึงพร้อมด้วยวิชชาและ
จรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสายสารถีฝึกบุรุษ ผู้ประเสริฐไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็น
ครูของเทวดาและมนุษย์ท้ังหลาย เป็นผู้เบิกบานและเป็นผู้จาแนกธรรม พุทธเกษตรของ
พระพุทธเจ้าชามพูนทประภาสน้ัน สะอาดบริสุทธิ์ เรียบ น่าร่ืนรมย์ สดใส น่าดู มีรัตนพฤกษ์ อัน
วิจติ รสวยงาม ซ่งึ ลว้ นสาเรจ็ ด้วยแก้วผลีก แต่ละชว่ งดด้ ดว้ ยด้ายทอง โปรยดว้ ยดอกไม้ ไม่มีสัตว์ท่ี
น่ากลัว เปรต และอสุรกาย พร่ังพร้อมด้วยมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย งดงามด้วยสาวกหลายแสน
องค์ อลังการไปด้วยพระโพธิสัตว์หลายแสนองค์ พระชนมายุของพระพุทธเจ้าชามพูนทประภาส

26

น้ัน ยืนยาวถึง 12กัลป์ พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จักดารงอยู่ยืนยาวถึง 20 กัลป์
สัทธรรมปฏริ ูป จงั คงอยู่ 20 กลั ป์เช่นกนั

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะเหล่าภิกษุอีกว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เราขอแจ้งให้
ทราบ ขอประกาศใหท้ ราบวา่ พระเมาทคลั ยายนเถระ สาวกของเราน้ี จกั เลื่อมใสพระพุทธเจ้าย่ีสิบ
แปดพันองค์ จักทาการสักการะต่างๆ แก่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น จักเคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา
เทดิ ทูนพระพุทธเจ้าเหล่าน้นั จกั สร้างพระสถูปของพระผมู้ ีพระภาคเหล่านั้นที่นิพพานแล้ว ประดับ
ด้วยรัตนะ 7 ประการ คือ ทอง เงิน แก้วไพฑูรย์ แก้วผลึก มุกดาแดง มรกต สูงพันโยชน์ กว้างห้า
ร้อยโยชน์ จักทาสักการะบูชาต่างๆ แก่พระสถูปเหล่าน้ัน ด้วยดอกไม้ ธูป พวงมาลัย เครื่องลูบไล้
เจิมทา ผ้าฉัตร ธงร้ิว และธงแผ่นผ้านอกจากนี้ ยังทาการสักการะ เคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา
เทิดทูน พระพุทธเจ้าอีกย่ีสิบโกฏิ ในชาติสุดท้ายจักเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรง
พระนามว่า "ตมาลปัตรจันทนคันธะ" ในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดี
แลว้ เปน็ ผูร้ ูแ้ จง้ โลก เปน็ นายสารถฝี กึ บุรุษผูป้ ระเสรฐิ ไมมผี ้อู ่นื ย่งิ กวา่ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์
ทง้ั หลาย เป็นผูเ้ บิกบานและเป็นผู้จาแนกธรรม พุทธเกษตรของพระองค์ ชื่อว่า มโนภิราม กัลป์ใน
สมยั ของพระองคช์ ่ือว่า "รติประปูรณะ" พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ บริสุทธิ์ ราบเรียบ
น่ารื่นรมย์ น่าเลื่อมใส มองดูงดงาม สาเร็จด้วยแก้วผลีก วิจิตย่ิงด้วยรัตนพฤกษ์ ดาดาษไปด้วย
ดอกไม้ มุกดา พร่ังพร้อมไปด้วยมนุษย์และทวยเทพ มีมุนีฤาษีจานวนแสน รวมท้ังสาวกและพระ
โพธิสัตว์ทั้งหลาย พระชนมายุของพระพุทธเจ้า ตมาลปัตรจันทนคันธะ น้ันยืนยาวถึง 24 กัลป์
พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จักดารงอยู่ยาวนานถึง 40 กัลป์ สัทธรรมปฏิรูปจาดารง
อยู่ 40 กลั ป์เช่นกัน วา่ ดว้ ยการพยากรณ์ในธรรมบรรยาย “พระสทั ธรรมปุณฑริกสูตร อันประเสริฐ
มเี พยี งเทา่ นี้
*********

บทที่ 7 ธรรมปรำสำทเนรมิต วำ่ ด้วยปพุ พโยคกรรม
ในอดีตกาล นานจนนับไม่ได้ ในกาลสมัยนั้น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "มหาภิชญาชญา

นาภภิ ู" ไดอ้ บุ ัตขิ ึ้นในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดี เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็น
ผู้จาแนกธรรม ในโลกธาตุท่ีช่ือว่า "สมภพ" ในสมัย มหารูปกัลป์ ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย พระตถาคต
พระองค์นั้น ทรงอุบัติขึ้นนานเท่าใด ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เหมือนอย่างชายคนหนึ่ง บดดินใน
โลกธาตุสามพันน้อยใหญ่ ให้เป็นผงปรมาณู ครั้นแล้ว ชายผู้น้ัน ก็หยิบเอาปรมาณูหน่ึง จาก
โลกธาตุนั้น แล้วเดินไปทางทิศตะวันออก ได้พันโลกธาตุ แล้วว่างปรมาณูหนึ่งน้ันไว้ ครั้นชายผู้นั้น

27

หยิบเอาปรมาณูที่สอง แล้วเดินไปได้พันโลกธาตุถัดไป แล้ววางปรมาณูท่ีสองไว้ ชายผู้นั้นต้องไป
วางดินทั้งหมดนัน้ ไวใ้ นทศิ ตะวันออก ดูกอ่ นภิกษทุ ัง้ หลาย เธอคิดว่า ขอ้ นัน้ เป็นไฉน สามารถนับจุด
จบ หรือท่ีสุดโลกธาตุน้ันได้หรือไม่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นไป
ไม่ได้ ข้าแต่พระสุคต เป็นไปไม่ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย แต่ว่านัก
คานวณ หรือนักคณิตศาสตร์อาจรู้จุดจบของโลกธาตุท้ังหลาย ด้วยการคานวณ โดยเขาจะเอา
ปรมาณูนั้นไปวางหรือไม่วางท่ีใดก็ตาม แต่เขาไม่อาจรู้ ท่ีสุดของเวลา หมื่นแสนโกฏิกัลป์เหล่าน้ัน
ได้ ด้วยวิธีการคานวณว่า พระผู้มีพระภาค ตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ปรินิพพานไปแล้ว
เป็นเวลานานท่ีคิดประมาณมิได้อย่างนี้ เป็นทีกัลป์กาล ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย แต่เรายังจาพระ
ตถาคตท่ีประนิพพานนานแล้วได้ เหมือนกับปรินิพพานวันนี้หรือเม่ือวานน้ี ด้วยอานาจตถาคต
ญาณทศั นะ น่นั เอง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นัยว่า พระชนมายุของพระมหาภิชญาชญานาภิภู อรหันตสัมมาสัม
พุทธเจ้านั้น มีประมาณ 54 หมื่นแสนโกฏิกัลป์ ก็แลในตอนแรก พระผู้มีพระภาคตถาคต มหา
ภิชญาชญานาภิภู ยงั ไมไ่ ด้ บรรลพุ ระสมั มาสัมโพธิญาณ ไดป้ ระทับทโี่ พธิมณฑล น่ันแล ปราบเสนา
มารทั้งปวงได้ชัยชนะ คิดว่า เราคร้ันปราบชนะเสนามารได้แล้ว จักได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ
ญาณ ดังนี้ แต่พระองค์ก็มิได้รู้แจ้งเห็นจริงธรรมท้ังหลาย พระองค์ได้ประทับที่โพธิมณฑล ณ โคน
โพธิพฤกษ์ เป็นเวลาหนึ่งกัลป์ แม้ประทับอยู่ตลอดกัลป์ที่สองก็ยังไม่ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิ
ญาณ พระองค์ประทับอยู่ทีโพธิมณฑล ณ โคนต้นโพธิพฤกษ์ตลอดกัลป์ท่ีสาม ส่ี ห้า หก เจ็ด แปด
เก้า สบิ ติดต่อกันไป เป็นคราวเดยี วกนั โดยมิได้เสด็จลุกจากที่ประทับเลย พระองค์ได้ประทับด้วย
จิตที่สงบนิ่ง พระวรกาย ไมเ่ คลอ่ื นไหว แต่ก็ยังมิได้รแู้ จง้ เหน็ จริง ธรรมท้งั หลาย

ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ครั้งน้ัน เม่ือกาลเวลาล่วงไปสิบกัลป์ พระพุทธเจ้า พระนามว่า"มหา
ภชิ ญาชญานาภิภู" ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสมั โพธญิ าณ และตอ่ มาโอรสทงั้ สบิ หกพระองค์ ซ่ึงประสูติ
แต่พระผู้มีพระภาค เมื่อครั้งยังเป็นพระกุมารอยู่นั้น ทรงทราบว่าพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว บรรดา
โอรสท้ังหลาย โอรสองคใ์ หญน่ ามว่า "ชญาณกร" ดกู อ่ นภิกษทุ ้งั หลาย กแ็ ล พระราชกุมารท้ังสิบหก
พระองค์ แต่ละพระองค์มีของเล่นนานาชนิด อันวิจิตร น่าดู น่าพอใจมาก ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย
พระราชกุมารเหล่านั้นทั้งสิบหกพระองค์ พากันละวางของเล่นนานาชนิด อันวิจิตร น่าดู น่าพอใจ
เหล่าน้ัน เมื่อทราบว่าพระผู้มีพระภาคตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ตรัสรู้
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระราชกุมารท้ังหลาย มีมารดา พี่เลี้ยง และนางนมท้ังหลาย
กรรแสงร่าไห้ห้อมล้อมไปด้วยกัน มหาจักรพรรดิหมู่ใหญ่และประชาชนหลายหมื่นโกฏิ เข้าไปเฝ้า
พระผมู้ ีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ซ่ึงประทับอยู่ที่โพธิมณฑล จนถึง

28

สถานท่ปี ระทบั ทั้งหมดเข้าไป เพ่ือสักการะ เคารพ นบนอบ บูชา ยกย่อง เทิดทูนพระผู้มีพระภาค
คร้ันเข้าไปแล้ว ได้กราบแทบพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้ากระทา
ประทักษิณพระผูม้ ีพระภาคสามคร้ัง ประนมมือ กราบทูลพระผู้มีพระภาค ณ เบื้องพระพักตร์ของ
พระองคด์ ้วยคาถาทีเ่ หมาะสมวา่

ดูกอ่ นภกิ ษุท้งั หลาย ในกาลครัง้ นัน้ พระราชกุมารทั้งสิบหกองค์ ทย่ี งั เปน็ พระกุมารผู้เยาว์วัย
อยู่ สดุดีพระพุทธเจ้า พระนามว่า อภิชญาชญานาภิภู ในเวลาน้ัน เม่ือพระพุทธเจ้า มหา
ภิชญาชญานาภิภู ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทิศท้ังสิบในห้าสิบหมื่นแสนโกฏิโลกธาตุ
ได้ แต่ละทิศ ได้สั่นสะเทือนเป็นหกจังหวะ และสว่างไสวไปด้วยแสงเจิดจ้า ในโลกธาตุทั้งปวง
เหล่านั้น โลกธาตุใดมีที่ว่าง และมีความมืดมิด แม้พระอาทิตย์และพระจันทร์ ท่ีมีฤทธิ์มาก มี
อานุภาพมาก มคี วามร่งุ โรจน์โชติช่วงมาก ไมส่ ามารถสอ่ งแสงไปถึงด้วยสีและพลังของตน แต่ท่ีว่าง
นั้นทั้งหมด ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วถึง สัตว์ทั้งหลายท่ีเกิดขึ้นในที่ว่างแห่งโลกธาตุน้ัน ย่อม
มองเห็นซึ่งกันและกันและจากันได้ แม้สัตว์ผู้เจริญเหล่าอื่น ท่ีเกิดในท่ีน่ีและในโลกธาตุท้ังปวง ภพ
ของเทพ วิมานแห่งเทพ ตลอดถึงพรหมโลก ก็สั่นสะเทือนเป็นหกจังหวะ สว่างไสวไปด้วยแสงอัน
เจิดจ้า เกินเทวานุภาพของเทพทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลในสมัยนั้น ในโลกธาตุเหล่านั้น
ได้ปรากฏแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และมีแสงสว่างโชติช่วง ในเวลาเดียวกัน ก็แลในทิศบูรพา พรหม
วิมานท้ังหลายในโลกธาตุห้าหม่ืนแสนโกฏิเหล่านั้น ส่องแสงสว่างโชติช่วงสวยงาม เจิดจ้าย่ิงนัก
ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย มหาพรหมในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้น ได้มีความคิดว่า พรหม
วิมานเหล่านี้ ไม่เคยส่องแสงโชติช่วงสวยงามเจิดจ้าอย่างน้ีมาก่อน คงจะไม่มีอะไรเป็นบุพนิมิตแน่
ดูกอ่ นภกิ ษุทงั้ หลาย ครง้ั นนั้ มหาพรหมในโลกธาตหุ า้ สบิ หมื่นโกฏทิ งั้ หมด ได้ไปยงั ทปี่ ระทับของกัน
และกันได้สนทนากัน หลังจากนั้น มหาพรหมทั้งหลายในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้น
ท้ังหมด ขึ้นสู่พรหมวิมานทิพย์ของตน แล้วถือเอาภาชนะดอกไม้ทิพย์ ใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุ
ท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสี่ จนถึงทิศตะวันตก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาพรหมท้ังหลายในโลกธาตุห้า
สิบหมื่นแสนโกฏิ ได้พบพระผู้มีพระพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ประทับบนสิงหาสน์ โคนโพธิ
พฤกษ์ ณ โพธิมณฑลนั้นมีเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์ อมนุษย์
นั่งแวดลอ้ มอยูแ่ ละมีโอรสราชกุมารทั้งสิบหกพระองค์ กาลังทูลขอให้ประกาศพระธรรมจักรอยู่ ณ
ทิศตะวนั ตกน้ัน ครนั้ พบแลว้ พรหมท้ังหลายเหล่าน้ัน ก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค จนถึงท่ีประทับ
ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้า ที่แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคน้ัน กระทา
ประทกั ษิณพระผูม้ พี ระภาคหลายแสนคร้ัง และได้บูชาพระผู้มีพระภาค ด้วยภาชนะดอกไม้นั้น ซึ่ง
ใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุ และได้โปรยดอกไม้เหล่านั้นลงที่ต้นโพธ์ิด้วย เป็นระยะทางห่างออกไป

29

ประมาณสิบโยชน์ คร้ันทาการบูชาแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่าน้ัน ได้มอบวิมานพรหม แต่พระผู้มี
พระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงรับพรหมวิมานเหล่าน้ี เพ่ืออนุเคราะห์ข้าพระองค์
ท้งั หลาย ขอพระสุคต จงใช้พรหมวมิ านเหล่านี้ เพื่ออนเุ คราะหข์ ้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด

คร้ันมหาพรหมท้ังหลาย ได้สดุดีพระพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ด้วยคาถาอันสมควร
ณ ทเ่ี บื้องพระพกั ตรน์ ั้นแลว้ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงยัง
พระธรรมจักร ให้หมุนไป ขอพระสุคต จงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ในโลก ขอพระผู้มีพระภาค
จงแสดงพระนิพพาน ขอพระผู้มีพระภาค จงยังสัตว์ให้ข้ามพ้น (ทุกข์) จงสงเคราะห์ชาวโลก ขอ
พระผูม้ ีพระภาคจงแสดงธรรม แก่ชาวโลก พรอมทั้งมาร พรหม และแก่ประชาชนพร้อมทั้งสมณะ
พราหมณ์ เทวดามนษุ ย์และอสรู ท้งั หลาย เพื่อประโยชน์แก่ชนจานวนมาก เพื่อเป็นการอนุเคราะห์
ชาวโลก เพ่ือประโยชน์และความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ท้ังหลาย

มหาพรหมได้สดุดี พระผู้พุทธเจ้ามหาภิชญาชญานาภิภู ด้วยคาถาอันไพเราะ ณ เบ้ืองพระ
พักตร์น้ันแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงยังพระ
ธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระสุคตจงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดง
พระนพิ พาน ขอพระผู้มีพระภาค ได้โปรดยงั สตั วท์ ั้งหลาย ให้ข้ามพ้นขอได้โปรดสงเคราะห์ชาวโลก
ขอพระผู้มีพระภาคจงแสดงธรรมแก่ชาวโลก พร้อมท้ังมารและพรหม และแก่ประชาชน พร้อมท้ัง
สมณะพราหมณ์ เทวดา มนษุ ย์ และอสรู ท้ังหลาย เพอื่ ประโยชน์แก่ชนจานวนมาก เพื่อความสุขแก่
ชนจานวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่เทวดา และมนุษย์
ท้ังหลาย อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้
เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะหก อายตนะหกเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็น
ปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปทาน อุปทานเป็น
ปัจจัยให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนสั และอปุ ยาส อย่างน้ี เป็นเหตุเกิดความทุกข์อันย่ิงใหญ่อย่างเดียว เพราะอวิชชาดับ สังขาร
จึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ
อายตนะหกจึงดับ เพราะอายตนะหกดับผสั สะจึงดบั เพราะผสั สะดับเวทนาจงึ ดบั เพราะเวทนาดับ
ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปทานภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับชรา
มรณะโศกะปรเิ ทวะทกุ ข์โทมนัสอุปายาสจึงดบั อย่างน้ี คือความดบั กองทกุ ข์อนั ย่งิ ใหญอ่ ย่างเดียว

สมยั นัน้ แลบรวิ ารของจักรพรรดิราชพระองค์น้ันคร่ึงหน่ึง คือ จานวนแปดสิบหม่ืนแสนโกฏิ
ได้เห็นพระราชกุมารผู้ทรงพระเยาว์ สละการครองเรือน ทรงบรรพชาเป็นสามเณร พระพุทธเจ้า
มหาภิญญาญานาภิภู ได้ทรงทราบอัธยาศัยของสามเณรทั้งหลายเหล่าน้ันแล้ว โดยกาลล่วงไปสอง

30

หมื่นกลั ป์ จงึ ไดต้ รสั พระสตู รที่มชี ่ือวา่ สัทธรรมปณุ ฑริกสตู ร อันเป็นธรรมบรรยาย ท่ีไพศาลเป็นคา
สอนพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นท่ียึดถือของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ท่ามกลางบริษัทสี่เหล่านั้น
สามเณรราชกุมารท้ังสิบหกพระองค์ ได้ทรงศึกษารับทรงจาไว้ และกระทาการบรรยาย สุภาษิต
ของพระตถาคตพระองคน์ น้ั โดยเออ้ื เฟอ้ื พระพุทธเจา้ ไดท้ รงพยากรณ์สามเณรทั้งสิบหกรูปว่า จัก
บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑริกสูตร อยู่นั้น สาวก
ทัง้ หลายได้ถึงความหลดุ พ้น

ต่อมาสามเณรสิบหกรูปเหล่าน้ัน ทรงทราบว่าพระพุทธเจ้ามหาภิญญาญานาภิภู ทรง
เข้าสมาธิจึงแยกกันประทับบนธรรมาสน์สิงหาสน์นมัสการ แล้วแสดงธรรมบรรยายชื่อ สัทธรรม
ปณุ ฑรกิ สตู รโดยพสิ ดาร ท่ามกลางบริษัทส่ีตลอดแปดหมื่นสี่พันกัลป์ ณ ที่น้ัน สามเณรแต่ละรูป ผู้
เป็นพระโพธิสัตว์ ได้ให้สัตว์มากหลายหมื่นแสนโกฏิ อันมีจานวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้าคงคา
สาเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณให้สัตว์เหล่านั้นผ่องใส ร่าเริง บันเทิง หรรษา และข้ามพ้น (ความ
ทุกข์ยาก) ตอ่ มาพระผมู้ พี ระภาค มพี ระสติทรงรู้สึกพระองค์ ทรงออกจากสมาธิ เพ่ือระยะเวลาล่วง
ไปส่ีหมนื่ กัลป์ ครน้ั เสดจ็ ลกุ ข้ึนแลว้ เสดจ็ ไปประทับนง่ั บนธรรมมาสน์ที่จัดไว้เพื่อพระองค์ สามเณร
สิบหกรปู เหลา่ น้ี ผถู้ งึ ความอัศจรรย์ มปี ัญญา เขา้ พบพระพุทธเจ้าหลายหมื่นแสนโกฏิ เข้าใกล้พุทธ
ธรรม รับเอาพุทธธรรม หยั่งลงสู่พุทธธรรมแล้ว และประกาศพุทธญาณ เธอทั้งหลายจงยกย่อง
สามเณรสบิ หกรูปเหล่าน้ีเนืองๆ ดูก่อนภิกษุท้ังหลายชนเหล่าใด ยึดม่ันในสาวกญาณก็ตาม ปัจเจก
พทุ ธญาณกต็ าม โพธิสตั วญาณก็ตาม จะไมป่ ฏิเสธ จะไม่คัดค้านธรรมเทศนาของกลุ บุตร (สามเณร)
เหล่าน้ัน เขาท้ังหมดเหล่าน้ันจักได้รับสัมมาสัมโพธิญาณโดยพลัน และจักบรรลุตถาคตญาณ ได้
ประกาศธรรมบรรยายช่ือสทั ธรรมปุณฑรกิ สูตรนี้ ในศาสนาของพระผูม้ ีพระภาคบ่อยๆ สามเณรสิบ
หกรูปเหล่าน้ัน เป็นโพธิสัตว์มหาสัตว์ แต่ละรูป ได้ส่งเสริมสัตว์หกสิบคูณด้วยหกสิบหม่ืนแสนโกฏิ
ซ่ึงมีจานวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้าคงคา เพ่ือให้เข้าถึงพระโพธิญาณ สัตว์เหล่าน้ันทั้งหมดได้
บรรพชาในชาติเหล่านั้น พร้อมกับสามเณรเหล่านั้น สัตว์เหล่าน้ันตามเห็นฟังธรรม จากสามเณร
เหล่าน้ัน สัตว์เหล่านั้นได้พบพระพุทธเจ้าสี่หม่ืนโกฏิพระองค์ บางพวกก็ยังบูชาอยู่ในขณะนี้ พระ
ราชกุมารผู้เยาว์วัยสิบหกองค์ ผู้เป็นสามเณรในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้
กล่าวธรรมทั้งหมดน้ัน เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และท้ังหมดน้ัน ยังประทับอยู่ ดารง
ชนม์อยู่ให้ชนชีพเป็นไปอยู่ในบัดนี้ ในพุทธเกษตรต่างๆทั้งสิบทิศ ยังแสดงธรรมแก่สาวก และ
โพธิสัตว์หลายหมื่นแสนโกฏิ ในสมัยใดตถาคตพิจารณาเห็นกาลเวลา จะปรินิพพานของตนเอง
และเห็นบริษัทสี่เป็นผู้บริสุทธ์ิ มีศรัทธาตั้งม่ัน ถึงคติแห่งศูนยตาธรรม มีความเพียร มีสมาธิยิ่งเมื่อ
น้ัน ตถาคตทราบว่า "น้ีคือกาลเวลา"แล้วเรียกประชุมโพธิสัตว์และสาวกท้ังหลาย แล้วประกาศให้

31

ทราบคาสอนภายหลงั วา่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในนี้ ยาน หรือปรินิพพานท่ีไม่มีสอง จะป่วยกล่าวไป
ใยถึงยานหรือนิพพานท่ีสามเล่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลายนี่คือกุศโลบายของพระตถาคตอรหันต
สัมมาสัมพทุ ธเจา้ ตถาคตทราบว่าสัตว์ท้ังหลายยังทาลายกเิ ลสไม่ได้ ฉะน้นั จงึ บอกนิพานท่ีพวกเขา
ตดิ ขอ้ งอยู่ กับพวกเขาที่ยนิ ดสี ่ิงต่าช้า ทงั้ ยงั จมอยใู่ นเปือกตมคือกามอีกดว้ ย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายที่น่ีมีตัวอย่างดังนี้ ฝูงชนหมู่ใหญ่เดินทางไปยังป่าทึบ ท่ีน่ากลัวอันมี
บรเิ วณถึง5โยชน์ เพือ่ จะไปยังรัตนทวีป ในบรรดาชนหมู่ใหญ่น้ัน คนหน่ึงเป็นคนนาทาง ซึ่งเป็นผู้มี
บริเวณทง้ั หา้ โยชน์ เพ่อื จะไปยงั รตั นทวปี ในบรรดาชนหมู่ใหญ่นั้น คนหนึ่งเป็นคนนาทางซึ่งเป็นผู้มี
ความสามารถ เป็นบัณฑิตหลักแหลม มีปัญหา คุ้นเคยทางในป่าทึบ และเข้าให้ผู้ชนน้ันเดินเข้าป่า
ทึบนั้นไป ต่อมาฝูงชนใหญ่นั้นเหน็ดเหน่ือย อ่อนเพลียและหวาดกลัว จึงพูดว่าท่านผู้นาทางท่ี
ประเสริฐ ท่านเป็นผู้นาทางของพวกเรา ขอให้ท่านทราบเถิดว่า พวกเราเหน็ดเหน่ือย อ่อนเพลีย
และหวาดกลัว อยากจะกลับป่าทึบน้ีกว้างเหลือเกิน ดูก่อนภิกษุทั้งหลายผู้นาทางนั้นเป็นผู้ฉลาด
ทราบวา่ ชนเหล่าน้ันอยากจะกลับ จึงคิดอย่างน้ีว่าไม่ควรอย่างย่ิงท่ีคนซ่ึงน่าสงสารเหล่านี้เดินทาง
ไปไม่ถึงรัตนทวีปใหญ่น้ัน เพ่ืออนุเคราะห์เขาเหล่าน้ัน ผู้นาทางจึงทาอุบาย เขาได้เนรมิตเมืองข้ึน
เมืองเหน่ึงด้วยฤทธิ์ เป็นเมืองที่กว้างใหญ่ หนึ่งร้อย สองร้อย สามร้อยโยชน์ กลางป่าทึบน้ัน แล้ว
กล่าวกับชนเหล่าน้ันว่า ท่านทั้งหลายจงอย่างกลัวเลย จงอย่างกลับเลย ชนบทใหญ่มีอยู่ ท่าน
ท้ังหลายจงพักผ่อนกันที่นี่ จงทาภาระแหละหน้าท่ีทุกอย่างขอท่าน พักผ่อนหลับนอนให้หาย
เหนื่อยก่อน เม่ือหายเหนื่อยแล้วจะได้เดินทางไปสู่รัตนทวีปต่อไป แล้วก็กล่าวกับชนเหล่านั้นว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ทุกท่านจงมา รัตนทวีปอยู่ใกล้นี้เอง ส่วนเมืองน้ีข้าพเจ้าเนรมิตขึ้น เพื่อให้
พวกท่านได้พักผ่อนเท่านั้น พวกเขาได้มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ได้ปลอดภัยแล้ว และได้ถึง
สถานท่ีสงบสุขแล้ว จากน้ัน เม่ือผู้นาทางทราบว่า ชนท้ังหลายหายเหนื่อยแล้ว จึงทาให้นครนิมิต
น้ันหายไป เม่ือทาให้หายไปแล้ว จึงกล่าวกับชนเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญท้ังหลาย จงมาเถิด เกาะ
มหารัตนทวปี นี้อยู่ไม่ไกลนกั นครนเี้ รานิรมิตขึน้ เพือ่ ใหท้ า่ นไดพ้ กั ผอ่ นเทา่ นน้ั

เพือ่ ให้สตั ว์ทง้ั หลายได้พักผ่อน เหมือนผู้นาทางน้ัน สร้างเมืองเนรมิต เมืองท่ีสาเร็จด้วยฤทธิ์
เพื่อให้ชนทงั้ หลายเหลา่ นัน้ ไดพ้ ักผ่อนกนั และแลว้ ไดบ้ อกแก่ผู้พักผ่อนเหล่าน้ันว่า น้ีเป็นเพียงเมือง
เนรมิต ณ ที่นั้น พระตถาคตก็จะแสดงอย่างน้ีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ ยังไม่ได้ทาภารกิจ
และหน้าท่ีให้แล้วเสร็จ ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย พวกเธออย่ากลัวเลย ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย พุทธญาณ
อยู่ใกล้เธอแล้วจากนี้ไป พวกเธอจงมองดูพุทธญาณ และพิจารณาว่า นิพพานของเธอ ไม่ใช่
นิพพานท่ีแท้จริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย น้ีเป็นกุศโลบายของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่ีประกาศยาน

32

เป็นสาม ธรรมปราสาทเนรมิตว่าด้วยธรรมบรรยาย”พระสัทธรรมปุณฑริกสูตร” อันประเสริฐมี
เพียงเทา่ นี้
*********

บทท่ี 8 ธรรมกำรพยำกรณภ์ กิ ษุ 500 รูป
ครั้งนั้นแล ท่านพระปุณณมันตานีบุตร ได้สดับการชี้แจงทีตรัสสรุปญาณทัศนะในอุบาย

โกศล เห็นปานน้ี อย่างใกล้ชิดจากพระผู้มีพระภาค และได้ฟังการพยากรณ์มหาสาวกเหล่านั้น
พร้อมทั้งเรื่องราวท่ีเป็นไปในอดีต ตลอดจนความย่ิงใหญ่ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ถึงความ
อัศจรรย์ใจ ประหลาดใจมีจิตผ่องใสยินดี ปรีดาปราโมทย์ มีจิต ปรีดาปราโมทย์ เป็นอย่างมาก มี
ความเคารพย่ิงในพระธรรม ลกุ ขึ้นจากท่นี ัง่ ถวายอภิวาทพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคแล้ว
กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระสุคต น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ทรงกระทาสิ่งท่ีทาได้ยากย่ิง คือทรงทาให้โลก ท่ีประกอบด้วยธาตุต่างๆน้ีหมุนไป และทรงแสดง
ธรรมแก่สัตว์ท้ังหลาย ด้วยการแสดงญาณท่ีเป็นอุบายโกศลต่างๆ ทรงปลดเปลื้องสัตว์ที่ข้องติดใน
เร่ืองต่างๆ ด้วยอุบายโกศล ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหล่าข้าพระองค์ ควรกระทาอะไรในที่น้ี พระ
ตถาคตเท่าน้ัน ทรงทราบความประสงค์และข้อปฏิบัติในกาลก่อนของเหล่าข้าพระองค์ พระปุณณ
มันตานีบุตรได้อภิวาทพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้าแล้วนมัสการ ยืน
เพง่ มองพระผู้มีพระภาค ด้วยนยั นต์ าทัง้ สองอยา่ งไมก่ ระพรบิ ณ ที่สมควรขา้ งหนงึ่

ครนั้ นนั้ แล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความประสงค์แห่งจิต ของปุณณะได้ตรัสกับภิกษุท้ัง
ปวงว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เธอท้ังหลาย จงดูปุณณะผู้น้ี เป็นผู้ที่เรายกย่องว่าเป็นเลิศทางแสดง
ธรรม ในหมภู่ ิกษุ เป็นผเู้ พยี บพร้อมดว้ ยคุณความดีท้ังหลาย เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพระสัทธรรมในศาสนา
ของเรา โดยหลากหลายประการปณุ ณะเปน็ ผู้ทท่ี าใหบ้ รษิ ัทสี่ หรรษา ต่ืนเต้น เบิกบาน ร่ืนเริง เป็น
ผไู้ มเ่ หนอื่ ยออ่ น สามารถแสดงธรรม กล่าวธรรมและปฏิบัติร่วมกับสหธรรมจารีทั้งหลาย นอกจาก
ตถาคตแล้วไม่มีใครอ่ืนเว้นปุณณะเพียงผู้เดียว ที่สามารถในการบรรยายธรรมได้ ท้ังโดยอรรถและ
โดยพยญั ชนะ ดูก่อนภกิ ษุทง้ั หลาย เธอทั้งหลายเขา้ ใจว่าปณุ ณะฯเป็นผู้ทรงจาพระสัทธรรมของเรา
อยา่ งเดียวหรือ เธอทง้ั หลายไม่ควรเขา้ ใจเช่นน้นั เคยทรงจาพระสทั ธรรมในศาสนาของพระผู้มีพระ
ภาคเก้าสิบเก้าโกฏิพระองค์ เรื่องในอดีตกาลนั้นเป็นอย่างไร บัดน้ีในศาสนาของเราก็เป็นเช่นน้ัน
ปุณณะเป็นผู้เลิศทางแสดงธรรมทุกสมัย เป็นผู้เข้าใจเร่ืองศูณยตาทุกสมัย เป็นผู้ได้ปฏิบัติ
ปฏิสัมภทิ าญาณทุกสมัย เข้าใจถึงอภิญญาแห่งพระโพธิสัตว์ทุกสมัย เป็นผู้แสดงธรรมท่ีเข้าใจยิ่งดี
แล้ว เป็นผู้แสดงธรรมที่ปราศจากข้อสงสัย เป็นผู้แสดงธรรมที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง ในศาสนาของ

33

พระผู้มพี ระภาคเหลา่ นัน้ ไดป้ ระพฤตพิ รหมจรรย์ตลอดชีพและได้นามว่า "ศราวก" ทุกสมัย ปุณณะ
ได้ทาประโยชน์แก่สัตว์ ท้ังหลายหมื่นโกฏิ ซึ่งไม่สามารถประมาณและนับจานวนได้ ด้วยอุบายน้ี
ได้อบรมสัตว์จานวนมาก ท่ีไม่อาจประมาณและนับจานวนได้ ไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้
ช่วยสัตว์ท้ังหลายด้วยพุทธกิจ ทั้งได้ชาระพุทธเกษตรของตนให้หมดจดทุกสมัย เป็นผู้อบรมสัตว์
ท้ังหลายให้มี (อุปนิสัย) แก่กล้าในธรรม ปุณณะผู้น้ีน้ันแล ท่ีเป็นเลิศทางแสดงธรรมของพระ
ตถาคตทั้ง 8 พระองค์ และเราคอื ตถาคตองคท์ ี่ 7

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอนาคตกาล ในภัทรกัลป์นี้ จักมีพระพุทธเจ้า 996 พระองค์ ใน
ศาสนาของพระพุทธเจา้ เหล่านัน้ ปุณณะผนู้ ้จี กั เป็นเลศิ ในบรรดาผแู้ สดงธรรม ผู้รักษาพระสัทธรรม
และจักทรงจาพระสทั ธรรมของพระพุทธเจา้ ทงั้ หลายท่ีมีจานวนนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ในอนาคต
จักกระทาประโยชน์แก่สัตว์ท้ังหลายมีจานวนท่ีนับไม่ได้ จักอบรมสัตว์ท้ังหลาย มีจานวนนับไม่ได้
ประมาณไม่ได้ ไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นผู้ประกอบกิจอย่างต่อเน่ือง เพื่ออบรมสัตว์ ใน
พุทธเกษตรอันบรสิ ทุ ธิ์ของตน เพ่ือให้สตั ว์มอี ปุ นิสยั แก่กล้าเมอ่ื ปฏิบตั ิจริยวัตรของโพธิสัตว์เห็นปาน
น้ีสมบูรณ์แล้ว จักบรรลุอนุตตรสัมมาโพธิญาณ ในกัลป์ท้ังหลาย อันนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ จัก
เปน็ พระพทุ ธเจา้ ทรงพระนามว่า "ธรรมประภาส" ในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็น
ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีฝึกบุรุษ ท่ีไม่มีใครเปรียบได้ เป็นคุรุของเทวดาและ
มนษุ ยท์ ัง้ หลาย เป็นผเู้ บิกบานและเปน็ ผจู้ าแนกธรรม จกั อุบัตขิ ึ้นในพุทธเกษตรน้ี

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยสมัยนั้นพุทธเกษตรหน่ึงเป็นราวกะว่ามีจานวนสามพันน้อยใหญ่
โลกธาตุ (ตรีสหัสรมหาสหัสรโลกธาตุ) ประมาณเท่ากับจานวนเมล็ดทรายในแม่น้าคงคา ท่ี
ราบเรียบดุจฝ่ามือ ตกแต่งด้วยรัตนะ 7 ประการไม่มีภูเขา เต็มไปด้วยเรือนยอด ท่ีสร้างด้วยรัตนะ
7 ประการ มีเทพวิมานสถิตอยู่บนอากาศ เทวดาและมนุษย์ ต่างก็มองเห็นซ่ึงกันและกัน พุทธ
เกษตรนี้ ไม่มีส่ิงช่ัวช้าและปราศจากสตรี สัตว์ท้ังปวงเป็นโอปปาติกะ (คือส่ิงท่ีผุดข้ึน) เป็น
พรหมจารี (ผปู้ ระพฤติพรหมจรรย)์ มีร่างกายเป็นทิพย์ มีประทีปในตัวเอง มีฤทธิ์ เคลื่อนไหวไปมา
ในอากาศ มคี วามกลา้ มีสติ มปี ัญญา มรี า่ งกายเป็นสีทอง มีรูปท่ีเพียบพร้อมด้วยมหาบุรุษลักษณะ
32 ประการ ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ในสมัยนั้นแล สัตว์ท้ังหลาย ในพุทธเกษตรนั้นมีอาหาร 2 ชนิด
อาหาร 3 ชนดิ คอื อะไรบา้ ง อาหาร 2 ชนดิ ได้แก่ ธรรมปรตี ยาหาร (อาหารคือความเอิบอิ่มในพระ
ธรรม) และธยานปรีตยาหาร(อาหารคือความเอิบอ่ิมในสมาธิ) จะมีพระโพธิสัตว์หลายหม่ืนแสน
โกฏิ ประมาณไม่ได้ นับไม่ได้ ที่ได้อภิญญาและปฏิสัมภิทา เป็นผู้ฉลาดในการสอนสรรพสัตว์
พระพุทธเจ้าธรรมประภาสน้ัน มีสาวกมากมายเหลือคณานับ ท่ีมีฤทธ์ิมาก มีอานุภาพมาก มีจิต
ม่นั คงอยใู่ นวิโมกษ์ 8 พุทธเกษตรนั้น เพียบพร้อมไปด้วยคุณงามความดีเห็นปานนี้ และกัลป์ก็จะมี

34

ชอ่ื ว่า "รัตนาวภาสกัลป"์ ส่วนโลกธาตุน้ันมีช่ือว่า "สุวิศุทธะ" อายุของพระองค์ (พระธรรมประภาส
พุทธเจ้า) นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ว่ากี่กัลป์ เมื่อพระผู้มีพระพุทธเจ้าธรรมประภาสน้ัน ปรินิพพาน
แล้วพระสัทธรรมของพระองค์ก็จักต้ังอยู่ อย่างมั่งคงยั่งยืน โลกธาตุน้ันจะดารดาษไปด้วยพระสถูป
ที่สรา้ งขึ้นด้วยรตั นะทง้ั หลาย พุทธเกษตรของพระผูม้ ีพระภาค (ธรรมประภาส) น้ัน จะเพียบพร้อม
ไปดว้ ยคณุ ความดที เี่ ปน็ อจนิ ไตรยอยา่ งนี้ พระผมู้ พี ระภาคได้ตรัสอยา่ งนี้ พระสุคตศาสดา คร้ันตรัส
ดงั นแ้ี ลว้ ได้ตรสั ใหข้ ึน้ ไปอีกว่า

พระอรหันต์ 1200 รูปเหล่านั้น ได้เกิดความคิดข้ึนว่า พวกเราอัศจรรย์และประหลาดใจว่า
พระผู้มีพระภาคตถาคตของเรา จะแยกพยากรณ์พวกเรา เหมือนกับทรงพยากรณ์มหาสาวก
ท้ังหลายเหล่าอื่นหรือไม่หนอ คร้ังนั้นแลพระผู้มีพระภาค ทรงทราบข้อวิตกแห่งจิตของมหาสาวก
ทั้งหลายเหล่าน้ัน ด้วยพระทัยของพระองค์ จึงได้ตรัสกับท่านมหากัสสปะ ว่าเราจะพยากรณ์
อรหันต์ 1200 รูปนี้ ซ่ึงพร้อมหน้ากันน้ี ณ ที่น่ี ดูก่อนกัสสปะ หลังจากพระพุทธเจ้า 62 หมื่นแสน
โกฏิล่วงไป ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหมดน้ัน พระสาวกโกณฑัญญ จักเป็นพระพุทธเจ้าในโลกทรง
พระนามว่า "สมนั ตประภาส" พระองค์เปน็ ผถู้ ึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้วเป็น
ผรู้ ูแ้ จ้งโลก เป็นสารถีฝึกบรุ ษุ ท่หี าผู้เปรียบมไิ ด้ เป็นครูของเทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลายเป็นผู้เบิกบาน
เป็นผู้จาแนกธรรม ดูก่อนกัสสปะ ในบรรดาพระตถาคตเหล่าน้ัน พระตถาคต 500 รูป จักมีนาม
อย่างเดียวกัน หลังจากนั้น พระมหาสาวกท้ังหมด อีกจานวน 500 รูป ก็จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมา
สัมโพธิญาณต่อไป พระตถาคตท้ังหมดจักมีพระนามว่า สมันตประภาส เหมือนกัน พระอรหันต์
500 รูป คร้ันได้ฟังคาพยากรณ์ (อนาคต) ของตน จากพระตถาคตแล้ว พระอรหันต์ท้ัง 500 องค์
นั้น ก็มีความยินดี พอใจ เบิกบาน เกิดปรีดีใสมนัสสูงสุด พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงท่ี
ประทับ คร้ันเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้น้อมกายถวายอภิวาทพระบาทของพระผู้มีพระภาคแล้วกราบทูล
อย่างนี้ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พวกข้าพระองค์ ท่ีแสดงธรรมอย่างน้ี เพราะเข้าใจผิดว่า จิตที่
เปน็ ไปอยา่ งต่อเนอ่ื งเช่นนี้ คือพระนพิ พานของขา้ พระองค์ พวกข้าพระองค์ส้ินทุกข์แล้ว ข้าแต่พระ
ผมู้ ีพระภาค น่คี อื สงิ่ ทพี่ วกข้าพระองค์ เป็นคนโง่ ไมฉ่ ลาด ไมร่ ้รู ะเบียบวิธี เพราะเหตุอะไรเล่า พวก
ข้าพระองค์ เป็นผู้ยินดีด้วยความรู้ท่ีมีอย่างน้ี เป็นเหตุให้พวกข้าพระองค์ สละความรู้ของพระ
ตถาคต ที่ทุกคนพึงรู้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหมือนบุรุษบางคน ที่เข้าไปสู่บ้านของมิตรแล้วเมา
หรือหลับไป มิตรคนน้ัน ได้ผูกรัตนมณีมีค่าไว้ที่ชายผ้าของเรา ด้วยคิดว่า มณีรัตนะนี้เป็นของเขา
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคบุรุษน้ัน ได้ลุกจากอาสนะแล้วเดินทางต่อไป เม่ือเขาเดินทางมาถึงชนบท
และเมืองอ่ืนๆ เข้าต้องประสบกับความลาบากในเมืองนั้นๆ เพราะต้องแสวงหาอาหารและ

35

เคร่ืองนุ่งห่ม เข้าได้รับอาหารเพียงเล็กน้อย โดยใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ก็ใครเล่าจะยินดี
ปรีดาด้วยอาหารของตนเพยี งเท่าน้ัน

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคครั้งนั้น บุรุษผู้เป็นมิตรเก่าที่เคยผูกรัตนะอันมีค่าไว้ที่ชายผ้าของเขา
ได้พบเขาอีกครั้งหน่ึง จึงกล่าวว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญทาไมท่านต้องลาบาก เพราะเหตุแห่งการ
แสวงหาอาหารและเครื่องนุ่งห่มอีกเล่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เราได้ผูกมณีรัตนะอันมีค่า ซ่ึงจะเป็น
ประโยชน์ ด้วยการอยู่อย่างมีความสุข จะบันดาลความปรารถนาทั้งปวงให้ได้ไว้ท่ีชายผ้าของท่าน
ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ มณีรัตนะนี้ ข้าพเจ้าให้แก่ท่านท่านไม่เห็นหรือว่า เพราะเหตุไรและทาไม
ข้าพเจ้าจึงผูกมณีรัตนะไว้ ท่านที่ยินดีแสวงหาอาหารและเคร่ืองนุ่งห่ม ด้วยความยากลาบากน้ัน
ควรจะเปน็ ผู้โงเ่ ขลา ทา่ นจงถอื เอามณรี ัตนะน้ี ไปสูม่ หานครแล้วขายมัน ท่านจงใช้ทรัพย์น้ัน ลงทุน
กระทากจิ การทง้ั ปวง

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในกาลก่อน คร้ังเม่ือพระตถาคตประพฤติวัตรปฏิบัติของพระ
โพธิสัตว์อยู่น้ัน ได้ยังจิตท่ีหย่ังรู้ญาณท้ังปวงให้เกิดข้ึน แก่ข้าพระองค์ท้ังหลาย แต่พวกข้าพระองค์
ท้ังหลายไม่รู้ ไม่เข้าใจญาณเหล่านั้น ข้าพระองค์เข้าใจว่า พระอรหันต์คือความสุขสูงสุดในโลกนี้
ข้าพระองค์ท้ังหลาย จึงอยู่ด้วยความลาบาก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย ย่อม
ถึงความยนิ ดีด้วยญาณท่สี ละท้ิงไป แตป่ ระณิธานในพระโพธิญาณช้ันสูงสุดท้ังปวง ยังไม่หายไป ข้า
แต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้ที่พระตถาคต ทรงแนะนาว่า ดูก่อนภิกษุ
ทงั้ หลาย เธอทงั้ หลายจงอยา่ คดิ ว่าพระนพิ พานเป็นอยา่ งนี้ ดกู ่อนภกิ ษุทั้งหลาย กุศลมูลที่เราอบรม
ใหใ้ นกาลกอ่ น ย่อมมอี ยู่ในอุปนิสัยของเธอท้ังหลาย ขณะน้ี ท่านท้ังหลายย่อมเข้าใจกุศโลบายของ
เราว่านี่เป็นพระนิพพาน ด้วยคาว่า ธรรมเทศนา ครั้นพระผู้มีพระภาคอบรมให้รู้แจ้งแล้ว จึงได้
พยากรณ์พวกข้าพระองค์ในเรื่องอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ “พระพุทธเจ้าก็ส่งเป็นเช่นเพื่อนคนน้ี
เม่ือสมัยที่พระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์ได้สอนและได้เปลี่ยนแปลงพวกเราปลุกเร้าพวกเราให้ตั้งใจ
แสวงหาปัญญาความรอบรู้แต่ต่อมาพวกเราลืมมันหมดจนไม่รู้สึกไม่รู้อะไรเลย การได้บรรลุอรหัน
ตมรรค พวกเราคิดว่าเราได้บรรลุความดับแล้วการพบกับความยากลาบากในการหาเลี้ยงชีพ พวก
เราพยายามทาใจกับส่ิงเล็กน้อยท่ีเราได้รับแต่ถึงอย่างไรพวกเราก็ยังไม่สูญส้ินความปรารถนาใน
ปัญญาความรอบรไู้ ปเสยี ทเี ดียวและในเวลานี้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงปลกุ ให้พวกเราตื่นและทาให้
พวกเราร้สู กึ ตัว ทรงตรสั ถอ้ ยคาเหล่าน้ี ภิกษุทั้งหลายส่ิงที่พวกเธอได้มาแล้วน้ันหาใช่ความดับท่ีสุด
ไม่ เปน็ เวลานานมาแลว้ เราไดท้ าใหพ้ วกเธอได้ปลูกฝังรากเหง้าแห่งความดีของพุทธะภาวะและใน
ฐานะท่ีเป็นกุศโลบายเราได้แสดงให้พวกเธอได้เห็นลักษณะภายนอกของนิพพาน แต่พวกเธอได้

36

บรรลุนิพานจริงๆแล้ว” ธรรมการพยากรณ์ภิกษุ 500 รูปในธรรมบรรยาย “พระสัทธรรมปุณฑริก
สตู ร” อันประเสรฐิ มีเพียงเท่านี้

*********

บทท่ี 9 ธรรมกำรพยำกรณพ์ ระเสขะและพระอเสขะ
ไดย้ นิ ว่าในขณะนั้น พระอานนท์ ผูม้ อี ายุ คิดว่า เราจะได้รับการพยากรณ์อย่างน้ีด้วยหรือไม่

หนอ? ครั้นคดิ ราพงึ ปรารถนาอย่างนัน้ แล้ว จงึ ลกุ จากอาสนะไปถวายอภิวาทพระบาทท้ังสอง ของ
พระผู้มีพระภาค เช่นเดียวกับพระราหุล ผู้มีอายุ ท่ีคิดราพึงอย่างเดียวกัน แล้วถวายอภิวาทพระ
บาทท้ังสองของพระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคขอให้พวกข้าพระองค์ จงมี
โอกาสอย่างน้ันบ้างเถิด เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเป็นพระบิดา เป็นผู้บันดาลที่อาศัย และเครื่อง
ป้องกันแก่พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะพวกข้าพระองค์ท้ังหลาย ได้เปล่ียนเป็นรูปต่างๆในโลก
รวมท้ังเทวดา มนุษย์ และอสูร เช่นคนเหล่าน้ีเป็นบุตร เป็นอุปัฏฐาก เป็นผู้รักษาคลังปริยัติ ของ
พระผู้มีพระภาค พึงพยากรณ์รูปเฉพาะชื่อน้ัน ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แก่พวกข้าพระองค์
โดยเร็วเถิด พระภิกษุ ผู้เป็นสาวกอ่ืนๆ อีก 2000 รูป ท้ังที่เป็นพระเสขะและอเสขะ ได้ลุกจาก
อาสนะ ครองจีวรเฉวียงบา่ ประคองอญั ชลตี ่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค เพ่งมองพระผู้มีพระ
ภาค คือถึงพุทธญาณด้วยความสงสัยว่าแม้เราทั้งหลายจะได้รับการพยากรณ์ ในอนุตตรสัมมา
สมั โพธญิ าณ หรอื ไม่หนอ?

ขณะน้ัน พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระอานนท์ ผู้มีอายุว่า ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล
เธอจักได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า มีพระนามว่า “สาครวรธารา พุทธิวิกรีฑิตาภิญญา” ผู้ถึงพร้อม
ดว้ ยวิชชาและจรณะ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้เป็นนายสารถีฝึกบุรุษ ท่ีไม่มีใครเปรียบได้ เป็น
ครขู องเทวดาและมนษุ ยท์ ้งั หลาย เปน็ ผเู้ บกิ บาน เป็นผจู้ าแนกธรรม เมื่อท่านได้ทาสักการะ เคารพ
นับถือ และบูชา แก่พระพุทธเจ้า จานวน 62 โกฏิ ได้จดจาพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
และยึดมั่นในคาสอน ก็จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เม่ือเธอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิ
ญาณแล้ว จะยังพระโพธิสัตว์จานวน พันร้อยหมื่นโกฏิ เท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้าคงคาท้ัง 20 ให้
บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เม่ือน้ัน พุทธเกษตรของเธอ จักสาเร็จเป็นแก้วมณีอันล้าค่า
โลกธาตุน้ัน จักได้ชื่อว่า อนวนามิตาไวชยันต์ พระองค์นั้นจักมีอายุนับจานวนไม่ได้ ท่ีสุดของกัลป์
ทั้งหลาย ไม่สามารถคานวณได้โดยการนับ พระสัทธรรมของพระองค์ ผู้ปรินพิ พานแล้ว จักดารงอยู่
เปน็ ทวคี ูณตราบนัน้ พระสทั ธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น จักตั้งอยู่ตราบใด พระสัทธรรม
ปฏิรปู จกั ดารงอยูเ่ ปน็ ทวีคูณตราบน้ัน ดูก่อนอานนท์ ย่ิงกว่านั้น พระพุทธเจ้าจานวนมาก พันร้อย

37

หมื่นโกฏิพระองค์เท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้าคงคา จะกล่าวถึงเกียรติยศของพระตถาคต สาครวร
ธรพุทธิวกิ รฑี ิตาภญิ ญา ทัง้ 10 ทศิ

ได้ยินว่าพระโพธิสัตว์จานวน 8,000 รูป ผู้ต้ังอยู่ในยานใหม่ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า การ
พยากรณ์อันย่ิงใหญ่ ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เราไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้วาทะเก่าๆของพระ
สาวก เราก็ไม่เคยได้ยิน อะไรหนอ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย พระผู้มีพระภาคทรงทราบความวิตกแห่ง
จิตของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ด้วยจิตของพระองค์ จึงตรัสเรียกพระโพธิสัตว์เหล่าน้ันว่า ดูก่อน
กุลบุตรท้ังหลาย เราทัดเทียมกัน คือพระตถาคตและพระอานนท์ยังจิตให้เกิดในอนุตตรสัมมา
สัมโพธิญาณ ในขณะเดียวกัน ในครู่เดียวกัน ต่อพระพักตร์ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมโพธิ
ญาณ ในขณะเดียวกัน ในครู่เดียวกัน พระอานนท์เป็นผู้ประกอบความเพียร เพื่อเป็นพหูสูต ส่วน
เรา เป็นผู้ประกอบความเพียร ฉะน้ัน เราจึงได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณก่อน ส่วนพระ
อานนทไ์ ดเ้ ป็นผู้ทรงจาคลังพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าด้วยประการฉะนี้ ดูก่อนกุลบุตรท้ังหลาย
ประณิธานนี้ของพระอานนท์ เปน็ ข้อปฏิบัตขิ องพระโพธิสัตวท์ ้ังหลาย

ขณะน้ันพระอานนท์ผู้มีอายุได้ฟังคาพยากรณ์ของตนเองในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณฟัง
กระบวนคุณในพทุ ธเกษตร และการต้ังประณธิ านในกาลกอ่ นของตน กเ็ กิดความยนิ ดี ขณะนั้นพระ
อานนท์ระลึกถงึ พระสทั ธรรมของพระพุทธเจ้าท้ังหลาย จานวนพนั ร้อยหม่ืนโกฏิ และประณิธานใน
อดีตของตนอยู่ ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระราหุล ผู้มีอายุว่า ดูก่อนราหุล ในอนาคต
เธอจักเป็นพระพุทธเจ้า มีพระนามว่า สัปตรัตนปัทมวิกรานตคามี ที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสายสารถีฝึกบุรุษที่หาผู้เปรียบมิได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์
ท้ังหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จาแนกธรรม เม่ือได้สักการะ เคารพ นบนอบ นับถือ บูชา
พระพุทธเจ้าแล้ว ซึ่งประมาณเท่ากับอะตอมของปรมาณูในโลกธาตุทั้งสิบ เธอจักเป็นบุตรคนโต
ของพระพุทธเจ้าเหล่าน้ัน เช่นเดียวกับท่ีเป็นบุตรของเรา ณ บัดน้ี ดูก่อนราหุล พระชนมายุของ
พระพุทธเจ้า สัปตรัตนปัทมวิกรานตคามี และคุณสมบัติแห่งกรรมทั้งปวง จักเป็นเช่นเดียวกับ
กระบวนการเพ่ิมขึ้นของพุทธเกษตร ที่ได้เพิ่มกรรมท้ังปวง ของพระพุทธเจ้า สาครวรธารา พุทธิวิ
กรีฑิตาภิญญา พระองค์นั้น ดูก่อนราหุล เธอจักเป็นบุตรคนโตของ พระพุทธเจ้า สาครวรธารา
พุทธิวกิ รีฑติ าภญิ ญา พระองค์นั้น หลังจากนั้น เธอจกั ตรสั รอู้ นุตตรสัมมาสมั โพธิญาณ

พระผู้มีพระภาค ได้ทอดพระเนตรพระสาวกจานวน 2000 รูปเหล่านั้น ทั้งผู้ที่เป็นพระ
เสขะและอเสขะ ที่มองดูพระผู้มีพระภาค อยู่เฉพาะพระพักตร์ ด้วยจิตเล่ือมใส อ่อนโยนและสงบ
พระผมู้ พี ระภาค จึงตรสั กบั พระอานนท์วา่ เธอจงดพู ระสาวกทัง้ ทเ่ี ป็นพระเสขะและอเสขะ จานวน
2000 รูปเหล่าน้ี พระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ย่อมเห็น ข้าแต่พระ

38

สุคต ข้าพระองค์ ย่อมเห็นพระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ พระภิกษุ 2000 รูปทั้งหมด
เหล่านี้ ยังคิดถึงวัตรปฏิบัติของพระโพธิสัตว์อยู่เสมอ พระภิกษุเหล่าน้ัน เมื่อสักการะ เคารพ นับ
ถือ ยกย่อง บูชา สรรเสริญ พระพุทธเจ้าที่มีประมาณเท่ากับปรมาณูใน 50 โลกธาตุ และทรงจา
พระสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคไว้ชาติสุดท้าย จักบรรลุ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในเวลา
เดียวกัน ครู่เดียวกัน ขณะเดียวกันในพุทธเกษตร โลกธาตุอ่ืนๆท้ังสิบทิศ ภิกษุเหล่านั้น จักได้เป็น
พระพทุ ธเจา้ ทรงพระนามว่า รัตนเกตุราช หน่ึงกัลป์จักเป็นประมาณอายุบริบูรณ์ของพระพุทธเจ้า
เหล่านั้น กระบวนคุณสมบัติของพระพุทธเกษตรเหล่านั้น ก็ทัดเทียมกัน คณะของพระสาวกกับ
คณะของพระโพธิสัตว์ มีจานวนเท่ากัน พระสาวกและพระโพธิสัตว์เหล่าน้ัน จะนิพพานพร้อมกัน
พระสทั ธรรมของพระสาวกและพระโพธิสตั ว์ จะดารงอยูไ่ ดน้ านเท่ากัน “การพยากรณ์พระอานนท์
และพระราหุล รวมท้ังภิกษุอ่ืนอีก 2000 รูปในธรรมบรรยาย “พระสัทธรรมปุณฑริกสูตร” อัน
ประเสรฐิ มีเพียงเท่าน”้ี
*********

บทที่ 10 ธรรมภำณกะ (ผกู้ ลำ่ วสอนธรรม)
ขณะน้ัน พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระโพธิสัตว์ 80,000 องค์ โดยปรารภพระโพธิสัตว์มหา

สัตว์ไภษัชยราชว่า "ดูก่อนไภษัชยราช ในบัดน้ีท่านจงมองดู เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ
กินนร มโหรคะ มนุษย์ อมนุษย์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน
และโพธสิ ตั วยาน จานวนมาก ใครเลา่ ไดฟ้ งั คาบรรยายนี้ ต่อเบ้อื งพระพกั ตรข์ องพระตถาคต (พระ
ไภษัชยราชโพธิสัตว์) กราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ย่อมเห็น ข้าแต่พระสุคต ข้า
พระองคย์ ่อมเหน็ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า "ดูก่อนไภษัชยราช ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ท้ัง
ปวง ที่อยู่ในบรษิ ทั น้ี มใี ครบ้าง ทเ่ี คยสดับแมค้ าถาหนง่ึ บทหนึ่ง หรือแม้ผู้ที่เคยอยู่มาก่อน ใครบ้าง
ท่ีได้สดับพระสูตรน้ีแล้วยังจิตดวงหนึ่ง ให้เกิดข้ึนด้วยความยินดี เราจักกระทาบริษัทสี่ เหล่าน้ี
ทั้งหมด ไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เขาทั้งหลายบางพวก จักได้สดับการบรรยายธรรมเช่นน้ี
ของบพระตถาคต ผู้เสดจ็ ปรินิพพานไปแล้ว แม้ได้ฟังเพียงคาถาเดียวแล้วยินดี ด้วยจิตท่ีเกิดข้ึนแม้
เพียงคร้ังเดียว เราจักกระทาชนเหล่านั้น ผู้เป็นกุลบุตร กุลธิดาไว้ในสัมมาสัมโพธิญาณ กุลบุตร
หรือกุลธิดาเหล่านั้น จักได้เป็นผู้บูชาพระพุทธเจ้า จานวนพันร้อยหมื่นโกฏิอย่างสมบูรณ์ กุลบุตร
หรือกุลธิดาทั้งหลายเหล่านั้น จักต้ังประณิธานต่อพระพุทธเจ้าจานวนร้อยพันหม่ืนโกฏิ เพราะ
ความอนเุ คราะห์ตอ่ สัตว์ทั้งหลายพงึ ทราบเถอะว่า เข้าเหลา่ นน้ั จะเกดิ เปน็ มนุษยใ์ นชมพูทวีปอีก ถ้า
เขาได้ทรงจา ท่อง เผยแพร่รวบรวม และจารึกไว้แม้เพียงคาถาเดียว จากธรรมบรรยายน้ี ครั้น

39

จารึกแล้วจะระลึกถึงและพิจารณาตามกาลเวลา เขาทั้งหลาย จักยังความเคารพในพระตถาคตให้
เกิดข้ึน จกั สกั การะดว้ ยความเคารพในพระศาสดา และจักทาความเคารพนบั ถือบูชาในคัมภีร์เล่มน้ี
เขาเหล่านั้นจักบูชาคัมภีร์น้ันด้วยดอกไม้ ธูป พวงมาลัย ผงลูบไล้ จีวร ฉัตร และธงปฏาก เป็นต้น
และดว้ ยกรรมคือการกราบไหว้ กุลบุตรหรือกุลธิดาเหล่าใด จักทรงจาหรือยินดีแม้เพียงคาถาเดียว
จากธรรมบรรยายน้ี เราจักกระทาซ่ึงกุลบุตรเหล่านั้นท้ังหมด ให้ดารงอยู่ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ
ญาณ

ดูก่อนไภษัชยราช หากบุรุษหรือสตรีคนใดก็ตามพึงกล่าวว่า "สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเช่นไร จัก
เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ที่บุรุษหรือสตรีนั้น พึงดูเป็นตัวอย่างคือ บุคคลใดทรงจา สวด สอนซึ่ง
คาถาที่มีเพียง 4 บท จากธรรมบรรยายนี้ ผู้น้ันเป็นผู้เคารพในคาบรรยายนี้ กุลบุตรหรือกุลธิดาน้ี
น้ันจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ท่านจงดูเถิด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะกุลบุตรหรือ
กุลธดิ าน้ัน อนั ชาวโลกรวมทัง้ เทวโลกพึงทราบว่า คือพระตถาคต บุคคลพึงสักการะต่อพระตถาคต
ด้วยประการฉะนี้ สาวกใดพึงจดจา แม้เพียงคาถาเดียวจากธรรมบรรยายนี้ ยิ่งกว่าน้ัน พระสาวก
พึงรวบรวม จดจา ท่อง เผยแพร่ ประกาศ จารึก ให้จารึกซึ่งธรรมบรรยายน้ี ที่เข้าใจแล้วท้ังหมด
(ท่ีบรรลุแล้วทั้งหมด) คร้ันจารึกแล้วพึงพิจารณาอยู่เสมอ เขาพึงทาความเคารพ สักการะ นับถือ
บูชา นอบน้อมในพระสูตรนั้น ด้วยการสักการะ ด้วยดอกไม้ ธูป ผงเครื่องลูบไล้ จีวร ฉัตร เครื่อง
ดนตรี และนอบนอ้ มด้วยการอญั ชลี ดูก่อนไภษัชยราช กุลบุตรหรือกุลธิดาเช่นนี้พึงทราบว่า เป็นผู้
สมบูรณ์ (ถงึ พรอ้ ม) ในอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ และถึงทราบว่า เป็นผู้พบเห็นพระตถาคต เขาเป็น
ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์แก่ชาวโลก จึงเกิดในชมพูทวีปน้ี ด้วยอานาจของประณิธานนั้น เพื่อ
ประกาศธรรมบรรยายน้ี แก่มนุษย์ทั้งหลาย บุคคลใด ยังมีความเอื้อเฟื้อของตน ความเอื้อเฟื้อใน
การสักการะ ต่อพระธรรมและการเข้าถึงพุทธเกษตรให้เกิดขึ้น ครั้นเม่ือ เราปรินิพพานแล้วพึง
ทราบวา่ เขาเปน็ ผเู้ ข้าถึงประโยชนเ์ ก้อื กูลของสัตว์ทั้งหลาย และอนุเคราะหป์ ระโยชน์แก่มนุษย์โลก
นี้ ดูก่อนไภษัชยราช กุลบุตรและกุลธิดาเช่นนี้ ท่ีควรทราบว่า คือ ตัวแทนของพระตถาคต ดูก่อน
ไภษัชยราช พึงทราบว่ากุลบุตรและกุลธิดาผู้นั้น เป็นผู้ได้พบพระตถาคต และได้ทาความเคารพ
พระตถาคตแล้ว ผู้ใดประกาศธรรมบรรยายนี้ ของพระตถาคตผู้ปรินิพพานแล้ว แม้กระท่ัง พึง
ประกาศหรอื กลา่ วแกส่ ัตว์เพียงบางคน ดว้ ยอาการหลบซอ่ นในท่ลี บั (ไมเ่ ปดิ เผย)

ดูก่อนไภษัชยราช ได้ยินว่าสัตว์บางคนมีจิตทราม ช่ัวและน่ากลัว กล่าวคาคล้ายกับ ดูหม่ิน
ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระตถาคต ผู้ใดพึงได้ฟังคาหยาบ จะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ตาม ของผู้สอน
ธรรม หรือผู้ทรงจาพระสูตรเหล่าน้ัน จะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม เรากล่าวว่า "การกระทา
อย่างนี้ เป็นบาปอย่างมหันต์ ดูก่อนไภษัชยราช เพราะเหตุไรเล่า เพราะพึงทราบว่า กุลบุตรหรือ

40

กุลธิดาน้ัน เป็นผู้ประดับด้วยเครื่องประดับของพระตถาคต ดูก่อนไภษัชยราช เมื่อเขานาพระ
ตถาคตไปด้วยบ่า เขาได้คัดลอกธรรมบรรยายน้ี ทาให้เป็นหนังสือนาไปด้วยบ่า เขาก้าวไปทางใด
สัตว์ทั้งหลายรวมท้ังเทวดาและมนุษย์ควรกราบไหว้เคารพ สักการะ นับถือ ยกย่อง บุชา เทิดทูน
เขา ด้วยดอกไม้ ธูป จีวร ฉัตร ดนตรี ข้าว น้า ยาน อันเลิศ และรัตนะ อันเป็นทิพย์ เขาซ่ึงเป็น
ผู้บรรยายธรรมที่ทุกคนควรสักการะเคารพนับถือบูชา กองรัตนะอันเป็นทิพย์บุคคลพึงน้อมถวาย
แก่ผู้กล่าวธรรมนั้น เพราะเหตุไร เพราะผู้ใดยังสัตว์ทั้งหลายให้ฟังธรรมบรรยายนี้ แม้เพียงครั้ง
เดียว สัตว์ท้ังหลาย ที่ประมาณไม่ได้ นับไม่ได้ จะต้ังอยู่ในพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่าง
รวดเรว็

ดูก่อนไภษัชยราช เราจะบอกเฉพาะท่านเท่าน้ัน เราได้แสดงธรรมบรรยายมาแล้วจานวน
มาก ท้ังทกี่ าลงั แสดงอยู่ และจักแสดงต่อไป ธรรมบรรยายของเราท้ังปวงน้ัน ธรรมบรรยายนี้ ย่อม
เปน็ ท่ตี ้งั แห่งการคัดค้านของชาวโลกทั้งปวง ย่อมเป็นท่ีต้ังแห่งการไม่ศรัทธาของชาวโลกท้ังปวง นี้
คือธรรมอันลึกซ้ึงทางจิตของพระตถาคต ต้องรักษาด้วยกาลังของพระตถาคต ซึ่งเป็นสถานะท่ีไม่
เคยเปิดเผย ธรรมบรรยายนี้ของพระตถาคต ผู้ดารงอยู่ประชาชนจานวนมาก ยังบอกปัด จะป่วย
กล่าวไปใยหลังพระตถาคตนิพพานแล้วเล่า ดูก่อนไภษัชยราช ได้ยินว่าพึงทราบว่า กุลบุตรกุลธิดา
เหล่านั้น ได้เป็นผู้ครองจีวรของพระตถาคต พลังแห่งกุศลมูล และพลังแห่งประณิธาน ซึ่งเป็นของ
เฉพาะตนจักมีแก่กุลบุตรกุลธิดาเหล่าน้ัน จักเป็นผู้อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน คือ วิหารของ
พระตถาคต เขาเหล่านั้นจักเป็นผู้มีศีรษะ อันฝ่าพระหัตถ์ของพระตถาคตลูบแล้ว เขาเหล่าน้ัน จัก
เชื่อ อ่าน เขียน สักการะ บูชา และยังชนกลุ่มอื่น ให้ฟังธรรมบรรยายน้ี ของพระตถาคตผู้
ปรินพิ พานไปแลว้

ดูก่อนไภษัชยราช ในแผ่นดินและประเทศใดก็ตาม ท่ีมีการบรรยาย เทศนา คัดลอก เรียน
ท่องบ่นธรรมบรรยายน้ี ในแผ่นดินและประเทศน้ัน ควรก่อสร้างเจดีย์ของพระตถาคต ให้สูงใหญ่
และประดับด้วยรัตนะอย่างเรียบง่าย ไม่จาเป็นต้องบรรจุพระสรีรธาตุของพระตถาคตไว้ในเจดีย์
นั้น เพราะเหตุไร เพราะว่าในแผ่นดินและประเทศใดก็ตาม ที่มีการบรรยาย เทศนา อ่าน ท่องจา
คัดลอก เขียน และทาเป็นคัมภีร์ ซึ่งธรรมบรรยายน้ี พระสรีรธาตุของพระตถาคต ได้รวมเป็นหน่ึง
เดยี วอย่ใู นแผ่นดินและประเทศนั้น บุคคลควรทาการสักการะเคารพ นับถือ บูชานอบน้อม ที่สถูป
นัน้ ด้วยดอกไม้ ธปู คันธมาลา ผงลูบไล้ จีวร ฉัตร ธงปฏาก และธงมาลา (ไวชยันตี) ทั้งปวง พึงทา
การบชู าด้วยเพลงขบั ดนตรี สัตว์เหลา่ ใดได้สร้างเจดีย์ของพระตถาคตไว้ เพื่อไหว้บูชาหรือชื่นชม ดู
ก่อนไภษัชยราช สัตว์เหล่านั้นท้ังปวง พึงทราบว่าเป็นผู้อยู่ใกล้ชิดอย่างย่ิง ต่ออนุตตรสัมมาสัมโพธิ
ญาณ ขอ้ นัน้ เพราะเหตุไร ดูกอ่ นไภษชั ยราช เพราะคฤหสั ถ์และบรรพชิตจานวนมาก ประพฤติวัตร

41

ของพระโพธิสัตว์ แต่ไม่ได้เห็น ฟัง เขียน หรือบูชา ธรรมบรรยายน้ี ดูก่อนไภษัชยราชตราบใด ท่ี
พวกเขาไม่ได้ฟังธรรมบรรยายน้ี พวกเขาจะไม่ฉลาดในโพธิสัตว์วัตร ตราบน้ัน ส่วนชนเหล่าใด ได้
ฟังธรรมบรรยายนี้ คร้ังฟังแล้ว ย่อมหลุดพ้น ข้าพ้น รู้แจ้ง น้อมรับไว้ ในสมัยน้ัน เขาจักยืนอยู่
ใกลช้ ดิ อนตุ ตรสัมมาสัมโพธิญาณ

ดูก่อนไภษัชยราช เหมือนบุรุษบางคน เป็นผู้ที่ต้องการน้า จึงแสวงหาน้า เขาพึงขุดบ่อเพ่ือ
นา้ ในท่ีดนิ แห้งแล้ง เขาเหน็ ทรายทขี่ ดุ ออกมานนั้ แห้งและเปน็ สแี ดงเพียงใด เข้าพึงรู้ว่าน้ายังลึกอยู่
กาลต่อมา เขาเห็นทรายท่ีขุดออกมานั้น ผสมน้า มีโคลนตม มีหยดน้าซึมออกอยู่และพึงเห็นบุรุษ
ทั้งหลายผู้ขุดบ่อ มีกายเปื้อนด้วยโคลนตม เมื่อเห็นนิมิตที่เกิดต่อหน้าอย่างน้ัน เขาจึงหมดความ
สงสัยและม่ันใจว่า ใกล้จะถึงน้าแล้ว พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ท้ังหลายเหล่านี้ ย่อมห่างไกลอนุตตร
สัมมาสัมโพธิญาณตราบเท่าที่พวกเขาไม่ได้ฟัง ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ยึดถือ ไม่เข้าใจและไม่พิจารณา
ธรรมบรรยายนี้ เมื่อใดพระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่าน้ี ได้ฟัง ปฏิบัติ ท่อง จา เข้าใจ เรียน พิจารณา
เจริญภาวนา เม่ือนั้น พวกเขาช่ือว่าอยู่ใกล้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ย่อมเกิดแก่สัตว์ท้ังหลาย
จากธรรมบรรยายนี้ เพราะเหตุไร เพราะธรรมบรรยายนี้ ได้อธิบายพระดารัสท่ีตรัสรวมอย่างลึกย่ิง
โดยพระพุทธเจา้ สถานะอันลกึ ล้าของพระธรรม พระตถาคตได้ตรัสไว้แล้ว เพื่อให้เป็นเหตุแห่งการ
บรรลขุ องพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ท้งั หลาย พระโพธิสัตว์ผู้ใดฟังตระหนกขยาด ถึงความกลัวต่อธรรม
บรรยายน้ี พึงทราบว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้นั้น เพ่ิงเข้ามาสู่ยานนี้ ถ้าบุคคลใด ผู้นับถือสาวก
ยานพึงตระหนก ขยาด และถึงความกลัวต่อธรรมบรรยายน้ี ซึ่งมีความนับถือมาก ยังเป็นบุคคล
สาวกยานอยู่

ดูก่อนไภษัชยราช พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้ใด พึงประกาศธรรมบรรยายนี้ แก่บริษัท 4 ใน
กาลสมัยสุดท้าย พระโพธิสัตว์มหาสัตว์น้ัน พึงเข้าไปสู่ท่ีประทับของพระตถาคต พึงครองจีวรของ
พระตถาคต พงึ น่ังบนอาสนะของพระตถาคต แล้วพึงประกาศธรรมบรรยายน้ีแก่บริษัท 4 วิหารคือ
ความเมตตาต่อสัตวท์ ง้ั ปวง คอื ท่ปี ระทับของพระตถาคต ในทนี่ ่นั เองที่กุลบตุ รพึงเขา้ ไป ความพอใจ
ในความอดทนท่ีใหญ่หลวง คือจีวรของพระตถาคต ส่ิงน่ันเอง ที่กุลบุตรกุลธิดาพึงได้ครอง การ
เข้าถึงศนู ยตาแห่งธรรมทงั้ ปวงคอื ธรรมาสนข์ องพระตถาคต ซึ่งกุลบุตรพึงนั่งบนธรรมาสน์นั้น คร้ัน
ได้ฟังแล้วกุลบุตรพึงประกาศธรรมบรรยายนี้แก่บริษัท 4 พระโพธิสัตว์ ผู้มีจิตไม่หว่ันไหว พึง
ประกาศธรรมบรรยายนี้แก่บริษทั 4 ที่ดารงอยู่ในโพธิสัตวยาน ต่อหน้าคณะของพระโพธิสัตว์ เราผู้
ดารงอยูใ่ นโลกธาตุอื่น จักยังบริษัททั้งหลาย ให้คล้อยตามด้วยการนิรมิตแก่กุลบุตรนั้น และเราจัก
สง่ ภกิ ษุ ภกิ ษุณี อบุ าสก อุบาสิกา ท่ีเรานิรมิตแล้วมาเพ่ือฟังธรรมชนเหล่าน้ัน จักไม่เบียดเบียน ไม่
ปฏิเสธ คาสอนของผู้บรรยายธรรมน้ัน ถ้าหากว่า กาลต่อมาเข้าไปสู่ป่า เราก็จักส่งเทวดา นาค

42

ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนรและมโหรคะ จานวนมากไปเพ่ือฟังธรรม เราผู้อยู่ในโลกธาตุอ่ืน
จักปรากกฏหน้าต่อกุลบุตรน้ันบทและพยัญชนะเหล่าใดจากธรรมบรรยายนี้ พึงตกหล่นไป เราจะ
แนะนา้ บทพยัญชนะเหลา่ น้ันแกผ่ ู้บรรยายธรรมน้นั ผู้ทบทวนอยู่ บทที่ 10 ธรรมภาณกปริวรรต ว่า
ด้วยผสู้ อนธรรม ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อนั ประเสริฐมีเพยี งเท่าน้ี
*********

บทที่ 11 ธรรมกำรปรำกฏของหอรตั นะ(พระสถูป)
กาลคร้ังนั้น พระสถูปที่ประดับด้วยรัตนะทั้ง 7 ได้ผุดข้ึนท่ามกลางบริษัท เบ้ืองหน้าท่ีพระทับ

ของพระตถาคต สถูปน้ันมีความสูง 500 โยชน์ มีความกว้างพอสมควร คร้ันผุดขึ้นแล้วสถูปน้ันได้
ต้ังตระหง่านอยู่ในอากาศ งดงาม น่าดูยิ่งนัก ประดับด้วยแท่นบูชารับดอกไม้ 5,000 แท่น ตกแต่ง
ด้วยซุ้มประตูหลายพันซุ้ม ประดับด้วยธงและมาลา จานวนหลายพัน พวงรัตนะ จานวนหลายพัน
ผ้าแพร และระฆังจานวนหลายพัน กลิ่นหอมของภาชนะผงเจิมและ ไม้จันทน์ ย่อมกระจายทั่วไป
โลกธาตุนท้ี ง้ั ปวงถูกปกคลุมด้วยกล่ินหอมน้ัน ฉัตรของสถูปน้ันประดับด้วยรัตนะทั้ง7 คือ ทอง เงิน
ไพฑูรย์ ปะการงั มรกต พลอย และเพชร ส่องแสง ประกายไปถงึ ภพของเทพมหาราชทั้ง 4 ในสถูป
ที่ผุดข้ึนน้ัน เทวบุตรทั้งหลายได้สักการะเคารพบูชารัตนสถูปนั้น ด้วยดอกมณฑารพน้อยใหญ่ อัน
เป็นทิพย์ทั้งหลายจากรัตนสถูปน้ัน มีเสียงกล่าวว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคศากยมุนี ดีละ ธรรม
บรรยาย คือสัทธรรมปุณฑริกสูตรน้ี พระองค์ตรัสดีแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระสุคต ข้อน้ัน
เปน็ อยา่ งน้ี

ขณะน้ันพุทธบริษัทส่ีที่ได้เห็นรัตนสถูปที่ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าต่างพากันยินดี มีความปีติ
ปราโมทย์ได้พากันลุกจากอาสนะยืนประคองอัญชลีอยู่ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า มหาประติ
ภาน ได้ทราบว่าชาวโลกรวมท้ังเทวดา มนุษย์ และอสูร มีความประหลาดใจ จึงได้กราบทูลถาม
ข้อความน้ัน กับพระผู้มีพระภาคว่า "อะไรหนอเป็นเหตุปัจจัย แห่งการเกิดขึ้นในโลก ของมหา
รตั นสถปู ใหเ้ หน็ ปานน้ี ข้าแต่พระผู้มีพระภาคใครเปล่งเสียงเห็นปานนี้ออกมาจากมหารัตนสถูปนี้?
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกระพระโพธิสัตว์พระมหาสัตว์ "มหาประติภาน" นั้นว่า ดูก่อน มหาประติ
ภาน อาตมภาวะซึ่งมีองคเ์ ปน็ หน่ึง ย่อมสถิตอยู่ในมหารัตนสถูปน้ี นี้คือสถูปของพระองค์ พระองค์
คอื ผเู้ ปลง่ เสียง ดูกอ่ นมหาประตภิ านยงั มโี ลกธาตุชื่อว่า รัตนวิศุทธามากกว่าพันร้อยหม่ืนโกฏิจนไม่
สามารถจะนับได้ ในทิศเบ้ืองล่าง ในท่ีนั้น มีพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ประภูตรัตนะ พระผู้มี
พระภาคพระองค์นั้น ได้มีประณิธาน ดังนี้ "เรายังไม่ได้ฟังธรรมบรรยายปุณฑรีกสูตรนี้ อันเป็นวา
ทะของพระโพธิส์ ัตว์ตราบใด เราจะปฏบิ ัติวตั รของพระโพธสิ ัตว์ตอ่ ไป จะไมก่ า้ วลงสู่อนุตตรอรหันต

43

สัมมาสัมโพธิญาณตราบน้ัน เมื่อใด เราได้ฟังธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ เมื่อนั้นเราจะ
เข้าสู่อนุตตรสัมมาสมั โพธญิ าณในภายหลงั

พระพุทธเจ้าประภูตรัตนะ ได้ตรัสไว้อย่างนี้แก่ประชาชนและสมณพราหมณ์ของชาวโลก
เทวโลก มารโลก รวมทั้งพรหมโลก ในสมัยท่ีประนิพพานว่า"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ท่าน
ทง้ั หลายพึงสร้างมหารตั นสถูปข้ึนองค์หน่ึง เพอ่ื บรรจอุ าตมภาวะของเรา ผเู้ ป็นตถาคตท่ีปรินิพพาน
แล้ว สถปู อืน่ ๆ ทเี่ หลือก็ควรสร้างอุทิศเรา ได้ยินว่าพระผู้มีพระพุทธเจ้าประภูตรัตนะน้ัน ได้ตั้งจิต
อธิษฐานว่า "สถูป อันเป็นท่ีเก็บอาตมภาวะของเรา พึงผุดข้ึนตั้งตระหง่าน ในโลกธาตุทั้งปวง
ทงั้ 10 ทิศ ที่มกี ารประกาศธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ในพุทธเกษตรท้ังมวล ในสถานท่ี
ท่พี ระผมู้ พี ระภาค ทงั้ หลายเหลา่ นนั้ แสดงธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ขอให้สถูปลอยอยู่
บนท้องฟ้าเหนือมณฑลบริษัท ขอให้สถูปอันเป็นที่บรรจุอาตมภาวะของเรานี้ พึงให้เสียงสาธุการ
แก่พระพุทธเจ้าเหล่าน้ัน ผู้แสดงธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรน้ี" ดูก่อนมหาประติภานน้ีคือ
สถูปน้ัน เป็นสถูปบรรจุพระสรีรธาตุของพระพุทธเจ้า นามว่า ประภูตรัตนะ เม่ือเราแสดงธรรม
บรรยายสัทธรรมปณุ ฑรีกสูตรในสหาโลกธาตนุ อี้ ยู่ สถูปก็ได้ผุดข้ึนในท่ามกลางมณฑลของบริษัทตั้ง
ลอยอยู่ท่ามกลางอากาศในท้องฟา้ แล้วเปล่งเสียงสาธุการ

ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า มหาประติภาน ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค"ข้าแต่
พระผ้มู ีพระภาค ข้าพระองคท์ ้ังหลาย ยอ่ มเหน็ รูปของพระตถาคต เพราะอานุภาพของพระผู้มีพระ
ภาค เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวดังน้ัน พระผู้มีพระภาค จึงตรัสกับพระโพธิสัตว์มหาประติภาน
วา่ "ดกู อ่ นมหาประติภาน พระพุทธเจ้าประภูตรัตนะ นั้นได้มีประณิธานท่ีหนักแน่น ประณิธานนั้น
ของพระองค์ที่ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อใดพระพุทธเจ้าท้ังหลาย ในพุทธเกษตร พึงแสดง
ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ เมื่อน้ันขอให้สถูปอันบรรจุอาตมภาวะ ของข้าพระองค์นี้ พึง
อยู่ในท่ีใกล้พระตถาคต เม่ือฟังธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรน้ี เมื่อพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
เหล่าน้ัน มีความปรารถนาจะเปิดเผยรูปแห่งอาตมภาวะของตนแก่บริษัทสี่ เม่ือนั้น รูปแห่งพระ
ตถาคตทงั้ หลาย ที่พระตถาคตเหล่าน้ันนิรมิตอาตมภาวะไว้ในพุทธเกษตรอ่ืนๆ ทั้งสิบทิศ ซึงมีนาม
ต่างกัน ย่อมแสดงธรรมแก่สตั ว์ท้ังหลายในพุทธเกษตรเหล่าน้ัน สถูปอันบรรจุอาตมภาวะของเรานี้
จงรวมรูปเหล่านั้นท้งั หมด กับรูปของพระตถาคตท่ีนิรมิตขึ้นจากอาตมภาวะแล้ว เปิดเผยให้บริษัท
สี่ ได้เห็น ดูก่อนมหาประติภาน เราได้นิรมิตรูปของพระตถาคตไว้จานวนมาก รูปเหล่าใด ย่อม
แสดงธรรมแก่สัตว์ท้ังหลาย ในพันโลกธาตุในพุทธเกษตรทั้งหลายเหล่าอื่นท้ังสิบทิศ ขอให้รูป
เหลา่ น้ันท้ังปวง พึงมารวมกันในท่ีน้ี

44

พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ มหาประติภาน ได้กราบทูลคานี้กับพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มี
พระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอถวายบังคม อาตมภาวะของพระตถาคต และรูปที่พระตถาคต
นิรมิตแล้วทั้งหลายเหล่าน้ัน ขณะน้ันพระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระรัศมีออกจากอุณาโกศ (พระ
อุษณีย์=อุณาโลม) เมื่อพระรัศมีถูกเปล่งออกโดยรอบ พระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ในห้าพันร้อยหมื่น
โกฏแิ หง่ โลกธาตทุ ้งั หลาย ซึ่งเทา่ กับเมลด็ ทรายในแม่น้าคงคา ในทิศตะวนั ออก กป็ รากฏให้เห็นโดย
ทั่วกัน พุทธเกษตรเหล่าน้ันซ่ึงประดับด้วยแก้ว ก็สามารถมองเห็นได้ ความวิจิตรทั้งหลายจัก
ปรากฏด้วยรัตนพฤกษ์ประดับด้วยผ้าไหมแลผ้าแพร พรั่งพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์หลายพันร้อย
พระองค์ ก้ันด้วยตาข่าย ทองเงินท้ังแปด ซ่ึงกางออกเป็นเพดาน ในพุทธเกษตรเหล่านั้น ย่อม
ปรากฏพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า กาลังแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายด้วยพระสุระเสียงอันไพเราะ
อ่อนหวาน พุทธเกษตรทั้งหลายเหล่านั้น จักปรากฏพร่ังพร้อมไปด้วยพระโพธิสัตว์หลายพันร้อย
องค์ ในทศิ ตะวันออกเฉยี งใต้ ในทิศใต้ ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในทิศตะวันตก ในทิศตะวันตกเฉียง
เหนือ ในทิศเหนือ ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ในทิศเบื้องล่างและในทิศเบื้องบน ในทิศ
ทง้ั 10 โดยรอบ ในแต่ละทิศ มีพทุ ธเกษตรจานวนพันร้อยหมื่นโกฏิเหมือนกับจานวนเมล็ดทรายใน
แม่น้าคงคา พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในโลกธาตุจานวนพันร้อยหม่ืนโกฏิ เปรียบได้กับเมล็ดทรายใน
แมน่ ้าคงคาจกั ปรากฏ

พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในสิบทิศ ได้ตรัสกับคณะพระโพธิสัตว์ของตนว่า "ดูก่อนกุลบุตร
ทั้งหลาย เราทั้งหลาย จักต้องกลับไปสู่สหาโลกธาตุอีกอันเป็นท่ีใกล้ชิดของพระพุทธเจ้าศากยมุนี
เพื่อนมัสการสถูปแห่งพระสรีรธาตุ ของพระพุทธเจ้าประภูตรัตนะ พระพุทธเจ้าท้ังหลายเหล่าน้ัน
พร้อมดว้ ย รปู แห่งตนของพระตถาคต ผมู้ ตี นเป็นที่สอง มีตนเป็นท่ีสาม ได้เสด็จมาสู่สหาโลกธาตุน้ี
อกี ในสมัยนั้น โลกธาตุน้ีทัง้ ปวง ประดับด้วยต้นรัตนพฤกษ์ สาเร็จจากแก้วไพฑูรย์ ปกคลุมด้วยตา
ข่ายแหง่ รตั นะทงั้ 8 เปล่งประกายด้วยมหารตั นะและธูปหอม กระจายด้วยดอกมณฑารพน้อยใหญ่
ประดับด้วยตาข่ายกระดิ่งเล็กๆที่เช่ือมจุดทั้ง 8 ด้วยสายทองคา ปราศจากหมู่บ้าน นคร นิคม
ชนบท เมือง (ราษฎร) และราชธานี ปราศจากภูเขาที่เกิดตามกาล ปราศจากภูเขามุจลินทรและ
มหามุจลินทร์ ปราศจากภูเขาในจักรวาลและมหาจักรวาล ปราศจากภูเขาพระสุเมรุ ปราศจาก
ภูเขาอ่ืนๆ นอกจากนั้นยังปราศจากมหาสมุทร ปราศจากนทีและมหานที ได้ตั้งอยู่โดยปราศจาก
เทพ มนษุ ยแ์ ละอสุรกาย ปราศจากนรก ดริ ัจฉานและยมโลก เพราะว่า ในสมัยน้ัน สัตว์ทั้งหลาย ผู้
เข้าถึงคติ 6 ในสหาโลกธาตุน้ี ถูกย้ายไปในโลกธาตุอ่ืนท้ังหมด ครั้นดารงอยู่แล้วจะไปบังเกิดใน
บริษัทน้ัน ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าท้ังหลาย ผู้มีอุปัฏฐากเป็นท่ีสองบ้าง เป็นท่ีสามบ้าง
ได้เสด็จมาสู่สหาโลกธาตุนี้ พระตถาคตเหล่าน้ันผู้มาแล้วๆ ได้เข้าสู่สิงหาสน์ประทับท่ีโคนรัตนพ

45

ฤกษ์ ตน้ รัตนพฤกษแ์ ตล่ ะต้นสูง 500 โยชน์ แผ่กว้างด้วยก่ิงก้านไปพอสมควร สะพร่ังด้วยดอกและ
ผล สิงหาสน์ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ แตล่ ะตน้ ทราบกันดวี ่าสงู 500 โยชน์ ประดับด้วยมหารัตนะ พระ
ตถาคตแต่ละพระองค์ มิใช่น้อยต่างน่ังขัดสมาธิที่รัตนบัลลังก์นั้น พระตถาคตทั้งหลาย ต่าง
น่ังขดั สมาธิ ทโี่ คนต้นรัตนพฤกษ์ทัง้ ปวงในโลกธาตทุ ัง้ สามพันน้อยใหญ่ (ตรีสหัสรมหาหัสรโลกธาตุ)
เหล่านี้ ทง้ั ปวงโดยปริยายนี้

ในสมัยนั้น โลกธาตุทั้งสามพันน้อยใหญ่ เนื่องแน่นไปด้วยพระตถาคตรูปนิรมิตจากอาตม
ภาวะ ของพระผ้มู พี ระภาคศากยมนุ ีตถาคตทงั้ ปวงยงั ไม่ไดม้ าแมจ้ ากทศิ าภาคหนึ่ง ได้ยินว่าพระผู้มี
พระภาคศากยมุนพี ุทธเจ้า ไดใ้ หโ้ อกาสแก่รปู พระตถาคตเหลา่ น้ันผู้มาแล้ว จากทิศท้ังแปดโดยรอบ
มีพุทธเกษตร 20 พันร้อยหม่ืนโกฏิท้ังหมดประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ ปกคลุมด้วยตาข่ายรัตนะ
ทั้ง 8 ประดับด้วยตาข่ายกระดิ่ง ดารดาษด้วยดอกมณฑารพน้อยใหญ่ กางด้วยเพดานทิพย์ ห้อย
ระยา้ ด้วยพวงดอกไม้ทิพย์ อบอวนด้วยกล่ินธูปหอมอันเป็นทิพย์ พุทธเกษตร 20 ร้อยพันหม่ืนโกฏิ
เหล่าน้ันทงั้ หมดปราศจากหมบู่ ้าน ฯลฯ พุทธเกษตรเหลา่ นั้นท้ังหมดได้สรปุ ให้เป็นพุทธเกษตรเดียว
และเป็นภูมิประเทศเดียวเท่านั้น วิจิตรด้วยต้นรัตนพฤกษ์ทั้ง 7 อันน่าร่ืนรมย์ยิ่ง ต้นรัตนพฤกษ์
เหล่านั้นแต่ละต้นสูงและกวา้ ง 500 โยชน์สมบูรณ์ด้วยกิ่งก้าน ดอก และผลพอสมควร เป็นท่ีทราบ
ว่า ท่ีโคนต้นรตั นพฤกษ์น้นั มีสิงหาสน์สูงและกว้าง 500 โยชน์ ประดับด้วยทิพยรัตนะ อันวิจิตรนา
ทัศนายิ่ง พระตถาคตท้ังหลาย ผู้มาแล้วได้ประทับนั่งขัดสมาธิ ที่สิงหาสน์ท่ีโคนต้นรัตนพฤกษ์
เหล่าน้ัน โดยปริยายนี้ พระตถาคตศากยมุนี ยังประโยชน์แห่งโอกาสให้บริสุทธิ์โดยรวม เพ่ือพระ
ตถาคตทั้งหลายผู้มาแล้วในแต่ละทิศ ตลอด 20 พันร้อยหม่ืนโกฏิโลกธาตุอ่ืนๆ อีก ในแต่ละทิศ
โลกธาตุ 20 พันร้อยหมน่ื โกฏเิ หล่านั้น ถูกจัดให้ปราศจากหมู่บ้าน ฯลฯ ปราศจากนรก กาเนิดสัตว์
ดิรัจฉาน และยมโลก สัตว์ท้ังปวงเหล่าน้ันถูกจัดไว้ในโลกธาตุอื่น พุทธเกษตรทั้งหลายเหล่าน้ัน
ประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ ฯลฯ งดงามด้วยรัตนพฤกษ์ ต้นรัตนพฤกษ์เหล่านั้น ท้ังปวงสูง
ประมาณ 500 โยชน์ สิงหาสน์ท่ีนิรมิตขึ้นสูงประมาณ 5 โยชน์ ถัดจากนั้นพระตถาคตเจ้าเหล่านั้น
ประทบั นงั่ ขดั สมาธิทส่ี ิงหาสน์ ที่โคนต้นรัตนพฤกษท์ ัง้ หลายติดตอ่ กนั (โดยไมเ่ วน้ ชอ่ งว่าง)

สมัยน้ัน ในทิศบูรพา พระตถาคต ท่ีพระผู้มีพระภาคศากยมุนีนิรมิตข้ึน ได้แสดงธรรมแก่
สตั ว์ทั้งหลาย ท่ีมาจาก 10 ทศิ ในรอ้ ยพนั หมืน่ โกฏพิ ทุ ธเกษตรซง่ึ เปรียบด้วยเมลด็ ทรายในแม่น้าคง
คา พระตถาคตผู้มาแล้ว ได้ประทับน่ังในทิศทั้ง 8 ได้ยินว่าในสมัยนั้นในทิศต่างๆ สามสิบพันร้อย
หมื่นโกฏิโลกธาตุ เนืองแน่นไปด้วยพระตถาคตโดยรอบ (ทุกด้าน) ทั้ง 8 ทิศ พระตถาคตเหล่านั้น
เสด็จไปในท่ีประทับของตน ได้ส่งอุปัฏฐากของตนไปสู่ที่ใกล้พระตถาคตศากยมุนี ได้ถวายถุงรัตน
บปุ ผา แล้วกล่าวอยา่ งน้วี ่า ทา่ นทั้งหลายจงไปสู่ภูเขาคิชกูฏ คร้ันไปถึงแล้ว จงไหว้พระผู้มีพระภาค

46

ศากยมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถามถึงพลังแห่งอาพาธความเหน็ดเหน่ือย ผัสสะ
และการเป็นอยู่ ตามคาของเรา พร้อมกับคณะพระโพธิสัตว์และคณะพระสาวก ท่านท้ังหลาย จง
กระจายกองรัตนะน้ี จงกล่าวอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคตถาคตย่อมประทาน พอใจใน
การเปิดมหาสถูปรัตนะน้ี พระตถาคตท้ังหลาย ได้ส่งไปอุปัฏฐากของตน ท้ังปวงไปด้วยประการ
ฉะนี้

คร้ันน้ัน พระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคต ทรงเห็นพระตถาคตที่พระองค์ทรงนิรมิตขึ้นมา
ทุกพระองค์ ทรงเห็นพระตถาคตผู้น่ังในสิงหาสน์ต่อๆกัน ทรงเห็นความพอใจท่ีพระพุทธเจ้า
เหล่าน้ัน ยินดีแล้ว ได้เสด็จลุกจากธรรมมาสนะ แล้วประทับยืนในท่ามกลางอากาศ บริษัทส่ี ท้ัง
ปวงเหล่าน้ัน ลกุ จากท่ีน่ัง ประคองอญั ชลี เพง่ มองพระพักตร์ของพระผมู้ ีพระภาค ได้ยินวา่ พระผู้มี
พระภาค ได้เปิดมหารัตนสถูปนั้น ท่ีลอยอยู่ในอากาศด้วยพระองคุลีแห่งพระหัตถ์ข้างขวา ณ จุด
กลาง ครั้นเปิด แล้วมหาสถูปแยกออกเป็น 2 ส่วน บานประตูใหญ่ท้ังสอง ท่ีประตูของมหานคร
ย่อมเปิดออกในเม่ือถอดกลอนฉันใด พระตถาคต ทรงเลือกเปิดมหารัตนสถูป ท่ีสถิตอยู่ในอากาศ
ณ จดุ กลางดว้ ยพระองคลุ ีแหง่ พระหัตถ์ขวาฉนั น้ัน เม่ือมหารัตนสถูปน้ัน เปิดออกโดยรอบ พระผู้มี
พระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ ได้เสด็จเข้าไปสู่สิงหาสน์ ประทับ
น่ังขดั สมาธิ พระวรกายซูบผอม ซีดขาว ปรากฏราวกับอยู่ในสมาธิ พระองค์ได้ตรัสอย่างน้ีว่า ดีละ
ดีละ พระผู้มีพระภาคศากยมุนี สัทธรรมปุณฑรีตสูตรนี้ เป็นธรรมบรรยายที่พระองค์ตรัสดีแล้ว ดี
ละ พระผมู้ ีพระภาคศากยมุนี ท่ีพระองค์ได้ตรัสธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีตสูตรน้ี ในท่ามกลาง
บริษัท ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เราเองก็เสด็จมาในท่ีน่ีเพ่ือฟังธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีตสูตรน้ี
เช่นกัน

เม่ือบริษทั สี่ เหลา่ น้ัน ได้เหน็ พระผมู้ ีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ
ผู้ปรินิพพานไปแล้ว หลายพันร้อยหม่ืนโกฏิกัลป์ กาลังตรัสอยู่อย่างนั้น ได้ถึงความมหัศจรรย์ใจ
และประหลาดใจอย่างยิ่ง ขณะน้ัน (บริษัททั้งส่ี ) ได้โปรยกองรัตนะ อันเป็นทิพย์และของมนุษย์
(เพื่อบูชา) พระพุทธเจ้าประภูตรัตนะ และพระพุทธเจ้าศากยมุนี ได้ยินว่า ขณะนั้นพระพุทธเจ้า
ประภูตรัตนะ ได้ประทานสงิ หาสนค์ รึ่งหนงึ่ บนบงั ลงั ก์นั้น แก่พระพุทธเจ้าศากยมุนี ในระหว่างแห่ง
มหารัตนสถูปน้ันเอง (พระองค์) ได้ตรัสอย่างน้ีว่า ขอพระผู้มีพระภาคศากมุนีตถาคตจงประทับน่ัง
ในที่นี่ ได้ยินว่าขณะน้ันพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตได้ประทับน่ังบนอาสนะครึ่งหนึ่งรวมกับ
พระตถาคตนั้น พระตถาคตท้ังสองพระองค์น้ันได้เสด็จเข้าไปสู่สิงหาสน์ในท่ามกลางมหารัตนสถูป
น้นั ท่ปี รากฏเด่นในฟากฟ้า

47

ได้ยินว่า ครัง้ น้นั บริษัททั้งสี่ เหล่านั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า "พวกเราอยู่ห่างไกลจากพระ
ตถาคตท้ังสองนี้ย่ิงนัก อย่าไรหนอ พวกเราพึงได้ขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ด้วยอานุภาพของพระตถาคต ได้
ยินว่าครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนี ทรงทราบความวิตกแห่งจิตของบริษัทส่ี เหล่านั้น
ด้วยจิต (ของพระองค์) น่ันเอง จึงยังบริษัทส่ีเหล่านั้นให้ดารงอยู่บนท้องฟ้าด้วยอานาจแห่งฤทธ์ิ
พระผู้มีพระภาคศากยมุนีได้ตรัสเรียกบริษัทท้ังส่ีเหล่านั้นในเวลานั้นว่า "ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย
บรรดาท่านท้ังหลาย ใครสามารถเพื่อประกาศสัทธรรมปุณฑรีตสูตรบรรยายน้ี ในสหาโลกธาตุน้ัน
คือ กาลสมัยนั้น ณ เบื้องพระพักตร์ พระตถาคต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระตถาคตได้มอบ
ธรรมบรรยายสัทธรรมปณุ ฑรีตสูตรนี้ แล้วก็ปรารถนาจะเข้าสูป่ รินพิ พาน

ได้ยินว่าคร้ังน้ัน พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับคณะของพระโพธิสัตว์ ชาวโลกรวมทั้งเทพและ
อสูรท้ังปวงว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ในกาลก่อนซ่ึงเป็นกาลเวลาแห่งอดีต เราได้แสวง สัทธรรม
ปุณฑรกี สตู ร สนิ้ กลั ปท์ ไ่ี มส่ ามารถประมาณนบั ได้ โดยเปน็ ผไู้ ม่หวน่ั ไหวและไม่เหน็ดเหนื่อย ในกาล
ก่อน เราได้เป็นพระราชา สิ้นกัลป์มิใช่น้อย สิ้นร้อยพันกัลป์มิใช่น้อย ได้ตั้งประณิธานไว้ในอนุตตร
สัมมาสัมโพธิญาณ ความประพฤติของเรา ไม่เปลี่ยนไปจากความหวังที่คิดไว้ เราได้พยายามด้วย
การยังบารมี 6 ให้สมบูรณ์ เป็นผู้ให้ทานอันประมาณมิได้ ได้บริจาคทองมณี มุกดา ไพฑูรย์ สังข์
แก้วประพาฬ เงนิ ทอง มรกต ปะการงั พลอย หมบู่ า้ น เมือง นคิ ม ชนบท ราษฎร ราชธานี ภรรยา
บุตร ธิดา ทาสี ทาสา กรรมกร บุรุษ ช้าง ม้า รถ ได้สละสรีระของตน ได้สละแขน ขา อวัยวยะ
เบอ้ื งสงู หรือศรี ษะ องคแ์ ห่งอินทรีย์ (อวัยวะเครอ่ื งสัมผัส =ตา หู จมูก ฯลฯ) และชีวิต จิตแห่งการ
ยึดมั่น แม้ครั้งหน่ึง ก็ไม่เกิดขึ้นแก่เรา ก็โดยสมัยนั้น โลกน้ียังมีอายุยืนยาว ก็เราได้สร้างราชสมบัติ
ตามความถูกต้องแห่งธรรม ตามกาล มิใช่ตามความถูกต้องตามวิสัย ด้วยชีวิตหลายร้อยพันปี ใน
ราชสมบัติแล้ว ก็พยายามแสวงหาพระธรรมอันประเสริฐทั้ง 4 ทิศ คาอย่างนี้ ได้ให้ประกาศแล้ว
ด้วย (การตี) ระฆังว่า ผู้ใดจักให้ธรรมอันประเสริฐแก่เรา หรือจักบอกส่ิงอันเป็นประโยชน์ เราจะ
ยอมเป็นทาสของผู้นั้น โดยกาลน้ัน ได้มีฤาษีตนหนึ่ง ท่านได้กล่าวคาน้ีแก่เราว่า "ข้าแต่มหาราชมี
พระสูตรหน่ึง ชื่อว่า สัทธรรมปุณฑรีกสูตร เป็นสูตรที่แสดงถึงธรรมอันประเสริฐยิ่ง ถ้าท่านจัก
เข้าถึงความเป็นทาส (ของข้าพเจ้า) ข้าพเจ้าจักให้ท่านได้ฟังพระธรรมน้ัน ข้าพเจ้าครั้นได้ฟังแล้ว
เกดิ ความพอใจยินดถี ้อยคาของฤาษนี น้ั มีใจเปน็ ของตน เกดิ ปีติโสมนสั อย่างสูง ได้เข้าไปถึงท่ีอาศัย
ของฤาษีนนั้ ครนั้ เข้าไปแล้ว ไดก้ ล่าววา่ งานใดอันทาสพึงกระทาแก่ท่าน ข้าพเจ้าจักกระทางานนั้น
เราน้ัน คร้ันเข้าถึงความเป็นทาสของฤาษีน้ันแล้ว ได้กระทางานคนรับใช้ เช่น การหาหญ้า ไม้ น้า
และผลไม้เปน็ ต้น และเราได้เป็นผู้รักษาประตูด้วย คร้ันเราทางานต่างๆ ในเวลากลางวัน กลางคืน

48

ได้ประคองเท้าของท่านผู้นอนอยู่บนเตียงความเหน็ดเหนื่อยทางกายและจิตไม่ได้มีแก่เรา งาน
อยา่ งนท้ี ่เี รากระทาอย่ถู งึ พนั ปบี ริบรู ณ์

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราคือพระราชาในสมัยนั้น ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ฤาษีในสมัยนั้น ก็คือ
ภิกษุเทวทัตนี้เอง ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เพราะว่า พระเทวทัตคือกัลยาณมิตรของเรา บารมี 6
ประการ ท่ีเราได้สมบูรณ์ได้ก็เพราะอาศัยพระเทวทัต รวมทั้งมหาไมตรี มหากรุณา มหามุฑิตา
และมหาอุเบกขา มหาบุรุษลักษณะ 32 ประการอนุพยัญชนะ 80 ผิวสีทอง พละ 10 อภิญญา 4
(ไวศารทฺย=ปัญญา) สังคหวัตถุ 4 พุทธธรรมของผู้เกล้าผม (ชฎิล) ท้ัง18 กาลังของมหาอิทธิฤทธ์ิ
การปกป้องสัตว์ในทิศทั้ง 10 ท้ังหมดนี้ ย่อมมีแก่เรา เม่ือคบกับพระเทวทัต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราจะบอกกล่าวแก่ท่านว่า ในอนาคต โดยกัลป์อันนับประมาณมิได้ ภิกษุเทวทัตน้ี จักได้เป็น
พระพุทธเจ้ามีพระนามว่า เทวราช ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้เป็นโลกวิทู
เป็นนายสารถีฝกึ บุรุษ ที่ไม่มีผู้เปรียบได้ เปน็ ครขู องเทวดาและมนุษย์ท้ังหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็น
ผู้จาแนกธรรมใน โลกธาตุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า อายุของพระเทวราชตถาคต มีประมาณ
20 กัลป์ พระองคจ์ ักไดแ้ สดงธรรมโดยพิสดาร สัตว์ทั้งหลายมีจานวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้าคงคา
จกั สาเร็จเป็นพระอรหนั ต์ ดว้ ยการละกิเลสท้ังปวง ณ เบ้ืองพระพักตร์ สัตว์มิใช่น้อย จักยกจิตขึ้นสู่
ปจั เจกโพธิญาณ สัตว์ทั้งหลาย ประมาณเท่าเมล็ดทรายในแม่น้าคงคา จักยกจิตข้ึนสู่อนุตตรสัมมา
สัมโพธิญาณ จึงถึงความอดทนท่ีไม่เปลี่ยนแปลง ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เมื่อพระตถาคตเทวราชปริ
นิพพานแล้ว พระสัทธรรมจักต้ังอยู่ส้ิน 20 กัลป์ แต่สรีระของพระองค์ จักไม่สลายตามการแตก
สลายของพระธาตุ แต่พระสรีระของพระองค์จะรวมเป็นกลุ่มเดียว เข้าไปสู่สัตตรัตนสถูป สถูปนั้น
สูง 6 พันโยชน์ กว้าง 40 โยชน์ เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงในที่น้ัน จักทาการบูชาด้วย ดอกไม้ ธูป
มาลัยหอม แป้ง(ผงลูบไล้) จีวร(ผ้า) ฉัตร ธงแถบ ธงปฏาก และคาถาท้ังหลายพวกเขา (เทวดาแล
มนษุ ย์) จักอย่บู ชู าดว้ ยวตั ถเุ หล่านนั้ ส่วนชนเหล่าใด กระทาการนอบน้อมประทักษิณสถูปนั้น บาง
พวกจาสาเรจ็ เปน็ พระอรหันต์ ซ่ึงเป็นผลสูงสุดของการสักการะนั้น บางพวกจักเข้าใกล้พระปัจเจก
โพธิญาณ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ซ่ึงมีจานวนที่คานวณไม่ได้ ประมาณไม่ได้ จักยกจิตข้ึนสู่
อนุตตรสมั มาสัมโพธญิ าณ จักเป็นผ้ไู ม่หวนกลบั มาอีก

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุสงฆ์อีกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในอนาคตกาล กุลบุตรหรือ
กลุ ธิดาบางคน จาไดฟ้ งั ความเป็นไปของสทั ธรรมปณุ ฑรีกสูตรน้ี คร้นั ฟังแล้ว จักไม่สงสัย ไม่ลังเลใจ
เปน็ ผู้มีจิตบรสิ ุทธิ์ ยอ่ มหลุดพน้ ประตูแห่งทุคติทั้งสามจะถูกปิด เขาจะไมไ่ ปเกิดในนรก กาเนิดสัตว์
เดรัจฉาน และยมโลก เขาผู้บังเกิดในพุทธเกษตรทั้ง 10 ทิศ จักได้ยินพระสูตรนี้ ทุกชาติ การถึง
ฐานะ อันประเสรฐิ จักมแี กเ่ ขา ผูเ้ กดิ ในโลกของเทวดาและมนุษย์ เม่ือเกิดในพุทธเกษตรใด เขาจัก

49

เกิดในสัตตรัตนปัทมะ ที่เกิดข้ึนเองในพุทธเกษตรนั้น เบ้ืองพระพักตร์ของพระตถาคต ได้ยินว่า
เวลานั้นพระโพธิสัตว์นามว่า ปรัชญากูฎะ ได้มาจากทิศเบ้ืองล่างพุทธเกษตรของ พระประภูติรัตน
ตถาคต พระองค์ได้กราบทูลพระประภูตรัตนตถาคตอย่างน้ีว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอให้พวก
เราทงั้ หลาย จงไปสพู่ ทุ ธเกษตรของตน ได้ยินว่า คร้ันน้ัน พระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนี ได้ตรัส
กับปรัชญากูฏโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนกุลบุตรท่านจงรอครู่หน่ึงขอให้ท่านกับพระโพธิสัตว์มัญชุศรี
ร่วมกันวินิจฉัยธรรมบางอย่างก่อน แล้วค่อยไปสู่พุทธเกษตรของตน ในภายหลัง ได้ยินว่า ในเวลา
นั้น พระมัญชุศรี ได้เสด็จข้ึนจากท่ามกลางของสมุทร อันเป็นท่ีประทับของพระสาครนาคราช ได้
ประทับนั่งบนดอกบัวที่มี 1,000 กลีบ มีขนาดเท่าล้อเกวียน แวดล้อมด้วยพระโพธิสัตว์มากมาย
เหาะขึ้นไปทางอากาศไปสู่ที่ใกล้พระผู้มีพระภาคที่ภูเขาคิชฌกูฏ คร้ังนั้น พระมัญชุศรี ได้เสด็จลง
จากดอกบัวถวายบังคมพระผู้มีพระภาคศากยมุนี และพระประภูตรัตนตถาคต ด้วยเศียรเกล้าแล้ว
เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ปรัชญาภูฏะ คร้ันเข้าไปแล้ว ได้กล่าวคาถาต่างๆ อันน่ายินดี น่าประทับใจ
ณ เบ้ืองพระพักตร์พระโพธิสัตว์ปรัชญาภูฏะ แล้วจึงประทับน่ังท่ีส่วนข้างหน่ึง ได้ยินว่า คร้ังน้ัน
พระปรัชญากฏู โพธสิ ัตว์ ได้ตรสั กะพระมัญชุศรีว่า "ข้าแต่พระมัญชุศรี ธาตุแห่งสัตว์เท่าใด ที่ท่านผู้
ไปสู่ท่ามกลางมหาสมุทรได้แนะนาแล้ว สัตว์ทั้งหลายประมาณมิได้ นับมิได้ คือไม่อาจให้รู้ได้ด้วย
วาจา และไม่อาจให้หยัง่ รู้ได้ดว้ ยจติ ดกู อ่ นกลุ บตุ รท่านจงรอครู่หน่ึง ท่านจักได้นิมิตในกาลก่อน ใน
ระหวา่ งท่ี พระมัญชุศรีตรสั อย่างนี้ ในเวลานั้นดอกบวั หลายพันดอก ได้ผุดจากท่ามกลางมหาสมุทร
ขึน้ ส่ทู อ้ งฟ้า พระโพธิสตั ว์หลายพนั พระองค์ ได้ประทับนง่ั บนดอกบวั เหลา่ นัน้

พระโพธิสัตว์เหล่าน้ัน ได้เสด็จไปสู่ภูเขาศิชฌกูฏ ทางอากาศ คร้ันขึ้นไปแล้ว ได้ประทับยืน
ปรากฏอยู่บนอากาศ พระโพธิสัตว์ท้ังปวงเหล่าน้ันเป็นผู้ท่ีพระมัญชุศรี อบรมให้ตั้งอยู่ในอนุตตร
สัมมาสัมโพธิญาณ พระโพธิสัตว์เหล่าใด ดารงอยู่ในมหายานมาก่อน พระโพธิสัตว์เหล่านั้นจัก
สรรเสริญคุณของมหายานและบารมี 6 พระโพธิสัตว์เหล่าใด เป็นสาวกยานมาก่อน พระโพธิสัตว์
เหล่านั้น จักสรรเสริญคุณของสาวกยาน แต่พระโพธิสัตว์ทั้งหมด ย่อมรู้ธรรมและคุณทั้งปวงของ
มหายานว่าเป็น ศูนยตา ได้ยินว่าคร้ังน้ัน พระมัญชุศรี ได้ตรัสกะพระโพธิสัตว์ปรัชญากูฏะว่า
ดูก่อนกุลบุตร การอบรมสัตว์ทั้งปวงน้ี อันเราได้กระทาแล้ว ขณะท่ีอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ก็
การอบรมนั้นยังปรากฏอยู่ ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์ปรัชญกูฏะได้ทูลถามพระมัญชุศรี ด้วยเพลงขับ
เป็นคาถาว่า ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ พระองค์ได้ช่ือว่าบัณฑิต เพราะปัญญาที่ใช้อบรมสัตว์ทั้งหลาย
เหล่านี้ ซ่ึงมีจานวนนับไม่ได้ ส่ิงนี้เป็นอานุภาพของใคร ข้าแต่ผู้เป็นเทพแห่งนรชน พระองค์อันข้า
พระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกเหตุนั้นเถิด ท่านได้แสดงธรรมหรือสูตรใด ท่ีช้ีทางแห่ง

50

โพธิญาณ แก่สัตว์เหล่าน้ี ท่ีได้ฟังแล้ว มีจิตน้อมไปเพ่ือโพธิญาณ จนได้ฐานะที่ม่ันคงในพระ
สพั พัญญุตญาณ

พระมัญชุศรีตรัสตอบว่า เราได้กล่าวสัทธรรมปุณฑรีกสูตรในท่ามกลางมหาสมุทรเราไม่ได้
กล่าวถึงสูตรอ่ืนใด พระปรัชญากูฎะตรัสว่า "พระสูตรนี้ลึกซ้ึง ละเอียด พิจารณาเห็นได้โดยยาก
พระสูตรอืน่ ใด ที่จะเสมอดว้ ยพระสตู รนี้ย่อมไม่มี มีสัตว์ผู้ใดบ้างละ ที่สามารถเข้าใจรัตนสูตรน้ีเพ่ือ
ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระมัญชุศรีตรัสตอบว่า ดูก่อนกุลบุตร มีพระธิดาของสาคร
นาคราช ซ่ึงมีพระชนมายุ 8 ปี มีปัญญามาก มีอินทรีย์แก่กล้า สมบูรณ์ด้วย กาย วาจา ใจ ท่ีได้
ฌานมาก่อน เป็นผู้ได้รับธารณี (มนตร์) ด้วยการเรียนท้ังพยัญชนะและอรรถ ท่ีพระตถาคตทั้งปวง
ตรัสแลว้ เปน็ ผ้สู ามารถเข้าสรรพธรรมสัตวสมาธานสมาธไิ ดจ้ านวนพัน เพียงครู่เดียว เป็นผู้น้อมจิต
ไปสู่โพธิญาณ มีปณิธานอันย่ิงใหญ่ เป็นผู้แทน ความรักของตนให้แก่สัตว์ท้ังปวง เป็นผู้สมควรใน
การยังคุณธรรมให้เกิดข้ึน พระธิดาย่อมไม่เส่ือมจากคุณธรรมเหล่านั้น พระธิดามีพระพักตร์เบิก
บาน ประดับดอกไม้ ลดา สีสวยงามย่ิงเป็นผู้มีจิตเมตตา ทรงกล่าวด้วยวาจา ท่ีประกอบด้วยความ
กรุณา พระธิดาสมควรบรรลุพระโพธิญาณ พระโพธิสัตว์ปรัชญากูฎะตรัสว่า "เราได้เห็นพระผู้มี
พระภาคตถาคตศากยมุนีผู้พยายามอยู่เพื่อพระโพธิญาณ ได้กระทาบุญมิใช่น้อย จนได้เป็นพระ
โพธิสัตว์ ความเพียรแม้เล็กน้อยก็มิได้ตกหล่น ตลอดหลายพันโกฏิ แผ่นดินและประเทศ แม้
ประมาณเมล็ดงาสรรษปะหน่ึง ย่อมไม่มีในโลกธาตุทั้งสามพันน้อยใหญ่ ท่ีพระองค์มิได้สละพระ
สรีระ เพ่ือเก้ือกูลแก่สัตว์ภายหลัง เมื่อพระองค์ทรงบรรลุโพธิญาณแล้ว ใครเล่าพึงเช่ือว่าเธอ (ผู้มี
ทุกข์) จะสามารถบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ ในครู่เดียว ได้ยินว่า ในเวลาน้ันพระธิดาของ
สาครนาคราช ประทับยืนอยู่ข้างหน้า ได้อภิวาทพระบาทของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้าแล้ว
ประทบั ยนื อยู่ ณ ท่สี มควรข้างหนงึ่

ได้ยินว่า ในเวลาน้ัน พระศาริบุตร ได้กล่าวกับธิดาของพระสาครนาคราชว่า ดูก่อนกุลบุตรี
ความคิดในพระโพธิญาณเพียงอย่างเดียวเกิดข้ึนแล้ว (แก่ท่าน) ท่านเป็นผู้มีปัญญาอันประมาณ
ไม่ได้ โดยไม่เสื่อม แต่ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้ัน เป็นส่ิงท่ีได้โดยยากยิ่ง แต่กุลสตรี ท่ีไม่
ยอมให้ความเพียรเส่ือมถอย ได้กระทาบุญสิ้นหลายร้อยกัลป์ และหลายพันกัลป์ ได้สร้างบารมี 6
ให้สมบูรณ์ แต่เธอก็ไม่บรรลุพุทธภาวะ แม้ในวันน้ี เพราะอะไร เพราะสตรีย่อมไม่ถึงสถานะ5 แม้
ในวันน้ี สถานะ 5 คืออะไรบ้าง? คือท่ี 1 สถานะของพรหม ที่2 สถานะของท้าวสักกะ ที่3 สถานะ
ของมหาราช ที4่ สถานะของพระเจา้ จักรพรรดิ และท5่ี สถานะของพระโพธิสัตว์ที่ไม่เปลย่ี นแปลง

ได้ยินว่า เวลาน้ัน พระธิดาของสาครนาคราช มีแก้วมณีดวงหนึ่ง มีค่าควรแก่หลายพัน
โลกธาตุ พระธิดาสาครนาคราช ได้ถวายแก้วมณีนั้น แด่พระผู้มีพระภาค เพื่อความอนุเคราะห์


Click to View FlipBook Version