The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติศาสตร์ชาติไทย (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by พรพิมล สนาคินิตร, 2020-02-20 00:39:07

ประวัติศาสตร์ชาติไทย (1)

ประวัติศาสตร์ชาติไทย (1)

(ครองราชย ์ 2112–33)

ปกครองกรุงศรอี ยุธยาในฐานะเจา้ ประเทศราช
อาณาจกั รออ่ นแอลงจนถกู กมั พูชาถอื โอกาสบุกเขา้ มากวาดตอ้
นผคู ้ นถงึ 6 ครงั้ ในรอบสองทศวรรษ[5]:156

พระนเรศวรทรงแสดงพระปรชี าสามารถทางทหารในการตอ่ สกู ้ บั
กมั พูชา และเสด็จไปรว่ มปราบรฐั ฉานกบั กองทพั พม่า[5]:157–8
หลงั จากนั้น

พระนเรศวรถกู ลอบปองรา้ ยจากราชสานักพม่าจงึ ยกทพั กลบั บา้

นเกดิ
ทรงรบป้ องกนั บา้ นเมอื งจากพม่าและกมั พูชาสามครงั้ ในชว่ งปี

2128–30[5]:158 ในปี 2135

พระมหาอปุ ราชาของพม่ายกทพั มาทางกาญจนบรุ ี
สมเด็จพระนเรศวร (ครองราชย ์ 2133–48)
ยกทพั ไปรบั ศกึ ทหี่ นองสาหรา่ ยและชนชา้ งชนะพระมหาอปุ ราชา
ผลของศกึ ทาใหก้ รุงศรอี ยธุ ยาเป็ นอสิ ระมน่ั คง[5]:158–9
หลงั จากสมเด็จพระนเรศวรยดึ หวั เมอื งชายทะเลของพม่าและกมั

พูชา และไดล้ า้ นนามาอยู่ในอานาจแลว้

พระองคท์ รงทาสงครามลกึ เขา้ ไปในแผน่ ดนิ พม่าอกี ตลอดรชั กาล
และสวรรคตขณะทรงยกทพั ไปตรี ฐั ฉานเพอื่ ชงิ ตดั หนา้ การรวบรว

มอานาจของพม่าใหม่[5]:163

หลงั จากนั้น
การคา้ ต่างประเทศของกรงุ ศรอี ยุธยาเจรญิ รงุ่ เรอื งขนึ้ เป็ นลาดบั

สาเหตุเพราะมคี วามสมั พนั ธอ์ นั ดกี บั โปรตุเกส ฟิ ลปิ ปิ นส ์
(ในการปกครองของสเปน) จนี ญปี่ ่ นุ และรวี กวี
และควบคมุ เมอื งตะนาวศรแี ละทวายฝ่ังอา่ วเบงกอล[5]:163–4

สมเด็จพระเอกาทศรถ (ครองราชย ์ 2148–53)
ทรงเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั ต่างชาติ
ทรงส่งทตู ไปฮอลนั ดาเป็ นคณะแรกในปี 2151
และไปเมอื งกวั ของโปรตเุ กสในอนิ เดยี ในปี 2149[5]:171
สมเด็จพระนารายณ์ (ครองราชย ์ 2199–2231)
ทรงขนึ้ ครองราชยไ์ ดด้ ว้ ยความชว่ ยเหลอื ของคนตา่ งดา้ ว[5]:175
ในรชั กาลของพระองคท์ รงอนุญาตใหเ้ ผยแผ่ศาสนาครสิ ต ์
และมคี ณะเยซอู ติ มาชว่ ยเหลอื ราชสานักอยธุ ยาในดา้ นการชา่ ง
ทรงส่งทตู ไปยงั ราชสานักของพระเจา้ หลยุ ส ์

33

ที่ 14 แหง่ ฝรง่ั เศสในปี 2223[5]:179 และคอนสแตนตนิ
ฟอลคอนซงึ่ มพี นื้ เพเป็ นนักแสวงโชคชาวกรกี ค่อย ๆ
ไตเ่ ตา้ ตาแหน่งราชการในพระคลงั
จนสุดทา้ ยเป็ นสมุหนายกซงึ่ เป็ นตาแหน่งสงู สดุ ของขนุ นางฝ่ ายพ
ลเรอื น[5]:177,180 ในปี 2231
เกดิ การปฏวิ ตั เิ นื่องจากอทิ ธพิ ลของฟอลคอนในราชสานักและคว
ามประพฤตเิ สอื่ มเสยี ของคนตา่ งดา้ วทมี่ อี ยนู่ านแลว้
สดุ ทา้ ยสมเด็จพระเพทราชา (ครองราชย ์ 2231–48)
เถลงิ ราชสมบตั แิ ทน[5]:185–6
ผลทาใหบ้ าทหลวงครสิ ตถ์ กู จาคกุ
และชาวครสิ ตถ์ กู ปฏบิ ตั อิ ย่างโหดรา้ ย
แต่ชาตอิ นื่ ทมี่ ใิ ชฝ่ รง่ั เศสยงั อยูก่ นั ปกติ
และไม่นานบาทหลวงฝรง่ั เศสกม็ อี สิ ระในการเผยแผศ่ าสนาอกี คร ั้
ง[5]:186

ในรชั กาลสมเด็จพระเจา้ ทา้ ยสระ (ครองราชย ์ 2251–75)
ชาวจนี เรมิ่ มอี ทิ ธพิ ลทางเศรษฐกจิ และการเมอื งเพมิ่ ขนึ้ [5]:196–
7 หลงั สนิ้ รชั กาล
เกดิ การแกง่ แย่งราชสมบตั ซิ งึ่ สมเด็จพระเจา้ อยู่หวั บรมโกศ

(ครองราชย ์ 2275–2301) ไดค้ รองราชบลั ลงั ก ์

ทรงพยายามแกไ้ ขปัญหาดุลอานาจระหวา่ งพระมหากษตั รยิ ก์ บั เจ ้

านายและขนุ นางผใู ้ หญ่ กล่าวคอื
เพมิ่ ตาแหน่งเจา้ ทรงกรมเพอื่ ใหม้ ไี พรท่ บี่ งั คบั นอ้ ยลง

ผลทาใหก้ ารควบคมุ คนเกดิ ความแตกแยก[5]:198–9

คนรนุ่ หลงั ยกใหร้ ชั กาลสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั บรมโกศเป็ นยคุ ทอง

เพราะทรงทานุบารุงศาสนาพทุ ธ

และส่งสมณทตู ไปลงั กาหลายคณะ[5]:200
และทรงทาใหก้ รงุ ศรอี ยุธยามบี ทบาทในระดบั นานาชาตอิ กี ครง้ั
ทรงแทรกแซงกมั พูชาจนยกเจา้ ทนี่ ิยมอยุธยาเป็ นพระมหากษตั รยิ ์

ไดส้ าเรจ็ และรบั ผอู ้ พยพชาวมอญหงสาวด[ี 5]:201

ในทศวรรษสดุ ทา้ ย
เกดิ การแขง่ ขนั ชงิ อานาจกนั มโหฬารระหวา่ งตระกลู ขนุ นางทตี่ อ้ ง

การขยายอานาจในกจิ การการคา้ ระหวา่ งประเทศและกาลงั คน[5]

:204–5 ในปี 2300
ราชวงศโ์ กน้ บองของพม่าฟื้นฟูอานาจหลงั ตองอถู กู มอญพชิ ติ ไป
กอ่ นหนา้ นี้ พระเจา้ อลองพญา (ครองราชย ์ 2295–2303)

ทรงยกทพั มาตอี าณาจกั รอยธุ ยาแตล่ ม้ เหลวเพราะสวรรคตกลาง
คนั [5]:208–9 สมเด็จพระทนี่ ่ังสรุ ยิ าศนอ์ มรนิ ทร ์(ทรงราชย ์

2301–10) ทรงสนองต่อ

34
การขอความชว่ ยเหลอื จากเชยี งใหม่ดว้ ยการส่งกาลงั เล็ก ๆ
ไปชว่ ยเหลอื แต่ไปไมท่ นั ในปี 2308 พระเจา้ มงั ระ (ครองราชย ์
2306–19) ทรงส่งกองทพั ใหญม่ าตกี รุงศรอี ยุธยาเป็ นสองทาง
สมเด็จพระทนี่ ่ังสรุ ยิ าศนอ์ มรนิ ทรท์ รงใชย้ ุทธศาสตรต์ ง้ั รบั ในกรงุ แ
ละรอฤดูน้าหลากเป็ นหลกั
แตพ่ ม่าสามารถเตรยี มการรบั มอื ไดจ้ งึ ไม่ไดล้ า่ ถอยไป
หลงั การลอ้ มกรุงนานปี กวา่
สุดทา้ ยกรุงศรอี ยุธยาจงึ เสยี เป็ นครง้ั ทสี่ องเมอื่ ปี 2310

อาณาจกั รธนบุรี

อาณาจกั รธนบุรเี ป็ นอาณาจกั รทมี่ รี ะยะเวลาสน้ั ทสี่ ดุ ของไทย
คอื ระหวา่ ง พ.ศ. 2310 - 2325 ระยะเวลา 15 ปี
มพี ระมหากษตั รยิ ป์ กครองเพยี งพระองคเ์ ดยี ว คอื
สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบุรี

ภายหลงั อาณาจกั รอยุธยาลม่ สลายไปพรอ้ มกบั การเสยี กรุงศรอี ยุ
ธยาครงั้ ทสี่ อง ทวา่ ในเวลาตอ่ มา
สมเด็จเจา้ พระยามหากษตั รยิ ศ์ กึ ไดป้ ราบดาภเิ ษกขนึ้ เป็ นพระมห
ากษตั รยิ ์
และทรงยา้ ยเมอื งหลวงไปยงั ฝ่ังตะวนั ออกของแม่นา้ เจา้ พระยา คอื
กรงุ เทพมหานครในปัจจบุ นั

35

การกอบกเู ้ อกราช

เมอื่ ครง้ั สมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบรุ รี บั ราชการเป็ นพระยาตากในระห
วา่ งสงครามการเสยี กรงุ ศรอี ยุธยาครง้ั ทสี่ อง[1]
พระยาตากไดถ้ อนตวั จากการป้ องกนั พระนครพรอ้ มกบั ทหารจา
นวนหนึ่งเพอื่ ไปตง้ั ตวั โดยนาทพั ผา่ นบา้ นโพสามหาร
บา้ นบางดง หนองไมท้ รงุ เมอื งนครนายก เมอื งปราจนี บรุ ี พทั ยา
สตั หบี ระยอง โดยกลมุ่ ผสู ้ นับสนุนพระยาตากไดย้ กยอ่ งใหเ้ ป็ น
"เจา้ "[2] และตจี นไดเ้ มอื งจนั ทบรุ แี ละตราด เมอื่ เดอื นมถิ นุ ายน
พ.ศ. 2310[3]

ในเวลาใกลเ้ คยี งกนั
ฝ่ ายกองทพั พม่าไดค้ งกาลงั ควบคมุ ในเมอื งหลวงและเมอื งใกลเ้ คี
ยงประมาณ 3,000 คน โดยมสี ุกเี้ ป็ นนายกอง
ตง้ั คา่ ยอยทู่ บี่ า้ นโพธสิ ์ ามตน้ พรอ้ มกนั นนั้
พม่าไดต้ ง้ั นายทองอนิ ใหไ้ ปเป็ นผดู ้ แู ลรกั ษาเมอื งธนบรุ ไี ว ้
อย่างไรกต็ าม ถงึ แมว้ า่ อาณาจกั รอยธุ ยาจะสนิ้ สภาพลงไปแลว้
แตย่ งั มหี วั เมอื งอกี เป็ นจานวนมากทไี่ ม่ไดร้ บั ความเสยี หายจากศกึ
สงคราม

หวั เมอื งเหล่านั้นจงึ ต่างพากนั ตง้ั ตนเป็ นใหญใ่ นเขตอทิ ธพิ ลของต

สว่ นทางดา้ นพระยาตากเองกส็ ามารถรวบรวมกาลงั ไดจ้ นเทยี บไ
ดก้ บั หนึ่งในชมุ นุมทงั้ หลายน้ัน โดยมจี นั ทบุรเี ป็ นฐานทมี่ น่ั

ตอ่ มา พระยาตากจงึ นากาลงั ทรี่ วบรวมประมาณ 5,000 คน
ตเี มอื งธนบุรแี ละอยุธยาคนื จากขา้ ศกึ
เสรจ็ แลว้ จงึ สถาปนาตนเองขนึ้ เป็ นพระมหากษตั รยิ แ์ ห่งกรุงศรอี ยุ
ธยา[4] และทรงสรา้ งเมอื งหลวงใหม่ คอื
กรงุ ธนบุรกี ารรวมชาตแิ ละการขยายตวั ครน้ั เมอื่ พระเจา้ มงั ระแห่ง
อาณาจกั รพม่าทรงทราบขา่ วเรอื่ งการกอบกเู ้ อกราชของไทย
พระองคจ์ งึ มพี ระบรมราชโองการใหเ้ จา้ เมอื งทวายคมุ กองทพั มา
ดูสถานการณใ์ นดนิ แดนอาณาจกั รอยุธยาเดมิ เมอื่ ปลาย พ.ศ.
2310 แตก่ ็ถกู ตแี ตกกลบั ไปโดยกองทพั ธนบรุ ี
ซงึ่ สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบรุ ที รงนาทพั มาดว้ ยพระองคเ์ อง[6]

ตอ่ มา
สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบรุ จี งึ โปรดใหจ้ ดั เตรยี มกาลงั เพอื่ ทาลายคแู่
ขง่ ทางการเมอื ง เพอื่ ใหเ้ กดิ การรวมชาตอิ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
ในปี พ.ศ. 2311 ทรงมุ่งไปยงั เมอื งพษิ ณุโลก

36

เป็ นแห่งแรก ทวา่ กองทพั ธนบรุ พี ่ายต่อกองทพั พษิ ณุโลก ณ
ปากน้าโพ จงึ ตอ้ งเลอื่ นการโจมตอี อกไปกอ่ น
แตภ่ ายหลงั เจา้ พษิ ณุโลกถงึ แกพ่ ริ าลยั
ชมุ นุมพษิ ณุโลกออ่ นแอลงและตกอยภู่ ายใตอ้ ทิ ธพิ ลของเจา้ พระ
ฝางแทน

สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบรุ ไี ดเ้ ปลยี่ นเป้ าหมายไปยงั ชมุ นุมเจา้ พมิ าย
เนื่องจากทรงเห็นวา่ ควรจะปราบชมุ นุมขนาดเล็กเสยี กอ่ น
กรมหมนื่ เทพพพิ ธิ สไู ้ ม่ได ้ ทรงจบั ตวั มายงั กรุงธนบุรี
และถกู ประหารระหวา่ งเดอื นตลุ าคม-เดอื นพฤศจกิ ายน พ.ศ.
2311[7] เมอื่ ขยายอานาจไปถงึ หวั เมอื งลาวแลว้
สมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ที รงพยายามใชพ้ ระราชอานาจของพระอ
งคช์ ว่ ยให้ นักองราม เป็ นกษตั รยิ ก์ มั พูชา โดยพระองคโ์ ปรดให้
กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาท เป็ นแมท่ พั ไปตกี มั พูชา
แต่ไม่สาเรจ็ [8]

ในปี พ.ศ. 2312
สมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ที รงมศี ภุ อกั ษรไปยงั สมเด็จพระนารายณ์
ราชา เจา้ กรงุ เขมร
โดยใหส้ ่งเครอื่ งราชบรรณาการมาถวายตามประเพณี
แตส่ มเด็จพระนารายณร์ าชาปฏเิ สธ
พระองคท์ รงขดั เคอื งจงึ ใหจ้ ดั เตรยี มกองกาลงั ไปตเี มอื งเสยี มราฐ
และเมอื งพระตะบอง
อนั เป็ นชว่ งเวลาเดยี วกบั ทพี่ ระองคไ์ ดส้ ง่ พระยาจกั รนี ากองทพั ไป
ปราบเจา้ เมอื งนครศรธี รรมราช
เมอื่ ทรงทราบขา่ วทพั พระยาจกั รไี ปตดิ ขดั ทไี่ ชยา
จงึ ทรงสง่ ทพั หลวงไปชว่ ย จนตเี มอื งนครศรธี รรมราชไดเ้ มอื่ เดอื น
10 ฝ่ ายแม่ทพั ธนบรุ ใี นเขมรไม่ไดข้ า่ วพระเจา้ แผน่ ดนิ มานาน
จงึ เกรงวา่ บา้ นเมอื งจะไม่สงบ
รบี ยกกองทพั กลบั บา้ นเมอื งเสยี กอ่ น
และทาใหก้ ารโจมตเี ขมรถกู ระงบั เอาไว ้

ในปี พ.ศ. 2313
สมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ที รงยกกองทพั ขนึ้ ไปปราบชมุ นุมเจา้ พระ
ฝาง โดยตไี ดเ้ มอื งพษิ ณุโลก
และตามไปตชี มุ นุมเจา้ พระฝางเมอื งสวางคบรุ ไี ด ้ และทรงประทบั
ณ เมอื งสวางคบรุ ี เพอื่ สมโภชการสาเรจ็ ศกึ
และจดั การการปกครองและคณะสงฆห์ วั เมอื งฝ่ ายเหนือใหม่ตลอ
ดฤดนู ้า 2 เดอื นเศษ
ซงึ่ นับเป็ นชมุ นุมอสิ ระสดุ ทา้ ยหลงั เสยี กรงุ ศรอี ยุธยาครงั้ ที่ 2
โดยเฉพาะอย่างยงิ่ การศกึ ปราบชมุ นุมกก๊ เจา้ พระฝางไดน้ ัน้

37

นับเป็ นการพระราชสงครามสดุ ทา้ ยที่
ทาใหส้ มเด็จพระเจา้ กรุงธนบุรที รงบรรลพุ ระราชภารกจิ สาคญั
ในการรวบรวมพระราชอาณาเขตใหเ้ ป็ นปึกแผน่ หนึ่งเดยี วดงั เดมิ
หลงั ภาวะจลาจลเสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยาแกพ่ ม่า ในปี พ.ศ. 2310
และทาใหส้ นิ้ สดุ สภาพจลาจลการแยกชมุ นุมอสิ ระภายหลงั การเสี
ยกรงุ ศรอี ยธุ ยาครง้ั ทสี่ อง
และนับเป็ นการสถาปนากรุงธนบุรไี ดอ้ ย่างเบ็ดเสรจ็ สมบรู ณ์
เมอื่ สาเรจ็ ศกึ ปราบชมุ นุมกก๊ เจา้ พระฝาง ในปี พ.ศ. 2313[

ส่วนนีร้ อเพมิ่ เตมิ ขอ้ มูล คณุ สามารถชว่ ยเพมิ่ ขอ้ มูลส่วนนีไ้ ด ้

หลกั ฐานส่วนใหญ่กลา่ ววา่
เกดิ เหตจุ ลาจลในปลายรชั กาลของสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหารา
ช คอื พระยาสรรคไ์ ดต้ ง้ั ตวั เป็ นกบฏ
ไดบ้ ุกมาแลว้ บงั คบั ใหพ้ ระองคผ์ นวช ขณะน้ัน
สมเด็จเจา้ พระยามหากษตั รยิ ศ์ กึ ทรงทาศกึ อยทู่ กี่ มั พูชา

ทรงทราบขา่ วจงึ ไดเ้ สด็จกลบั มายงั กรุง ไดป้ ราบปรามจลาจลแลว้
สบื สวนหารอื ควรสาเรจ็ โทษสมเด็จพระเจา้ กรุงธนบรุ ี
สมเด็จเจา้ พระยามหากษตั รยิ ศ์ กึ ไดป้ ราบดาภเิ ษกขนึ้ เป็ นพระบา
ทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลกมหาราช
ปฐมกษตั รยิ แ์ หง่ ราชวงศจ์ กั รี
และโปรดเกลา้ ใหย้ า้ ยราชธานีมายงั ฝ่ังตะวนั ออกของแม่น้าเจา้ พร
ะยา และในตอ่ มาไดพ้ ระราชทานนามใหม่วา่ กรุงรตั นโกสนิ ทร ์
สมเด็จพระมหาอปุ ราช เจา้ ฟ้ ากรมขนุ อนิ ทรพทิ กั ษ ์
พระราชโอรสพระองคโ์ ตในสมเด็จพระเจา้ กรุงธนบรุ ี
ถกู สาเรจ็ โทษดว้ ยท่อนจนั ทนเ์ ชน่ กนั

38
กรุงธนบรุ แี ละกรุงรตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้
การรวมแผ่นดนิ
หลงั กรงุ ศรอี ยุธยาแตกในปี 2310
บา้ นเมอื งตกอย่ใู นภาวะอนาธปิ ไตย
พม่าทตี่ ดิ พนั ในการสงครามกบั จนี จงึ เหลอื กองทหารเล็ก ๆ
ไวร้ กั ษากรงุ เกา่ เท่านั้น บา้ นเมอื งแต

ออกเป็ น 5 ชมุ นุม ไดแ้ ก่ ชมุ นุมเจา้ พมิ ายทนี่ ครราชสมี า
ชมุ นุมเจา้ พษิ ณุโลก ชมุ นุมเจา้ พระฝางทเี่ มอื งสวางคบรุ ี (ฝาง)

ชมุ นุมเจา้ นครศรธี รรมราช และชมุ นุมเจา้ ตาก
เจา้ ตากเรมิ่ สรา้ งฐานอานาจทจี่ นั ทบรุ แี ลว้ ใชเ้ วลาไม่ถงึ ปี ขยายอา
นาจทว่ั ภาคกลางของประเทศไทยปัจจบุ นั [5]:220–1

สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบุรี (ครองราชย ์ 2310–25)

หลงั ปราบดาภเิ ษกแลว้
ทรงเลอื กกรุงธนบุรเี ป็ นราชธานีซงึ่ มที าเลเหมาะแกก่ ารคา้ ทางทะเ


ทรงใชเ้ วลาอกี สามปี รวบรวมหวั เมอื งทเี่ คยขนึ้ กบั กรุงศรอี ยุธยาเป็
นหนึ่งอกี ครง้ั [5]:223

พระองคย์ งั ทรงขยายอทิ ธพิ ลไปยงั ดนิ แดนใกลเ้ คยี ง
หวั เมอื งมลายูตรงั กานูและปตั ตานีสง่ เครอื่ งราชบรรณาการใหก้ รงุ
ธนบรุ ี ทรงผลกั ดนั เจา้ กมั พูชาใหข้ นึ้ ครองราชย ์

และทรงใหค้ วามชว่ ยเหลอื แกพ่ ระเจา้ กรุงเวยี งจนั ในการสงคราม
นอกจากนี้ ยงั ทรงขบั ทหารพม่าออกจากลา้ นนาไดใ้ นปี 2319
ทาใหล้ า้ นนาเป็ นประเทศราชของกรงุ ธนบรุ นี ับแตน่ ั้น[5]:224–5
จากน้ันโปรดใหย้ กทพั ไปปราบหวั เมอื งตะวนั ออก

โดยนครเวยี งจนั ถกู ตแี ตกในปี 2321

และมกี ารอญั เชญิ พระแกว้ มรกตมาประดษิ ฐาน[5]:227–8

ในชว่ งปลายรชั กาล
มบี นั ทกึ วา่ พระองคม์ พี ระสตฟิ ่ันเฟื อนเพราะบงั คบั ใหพ้ ระสงฆก์ รา
บไหวแ้ ละสง่ั ลงโทษพระสงฆท์ ไี่ ม่ยอมตาม อยา่ งไรกด็ ี
น่าจะเป็ นเรอื่ งแต่งเตมิ เพราะพระองคเ์ ป็ นคนนอกไมม่ พี นื้ เพเป็ นต

ระกลู ผดู ้ เี กา่ กรุงศรอี ยธุ ยามากกวา่ [5]:229–30 ปลายปี 2324

กลมุ่ ชนชน้ั นาตา่ งคดิ เห็นวา่ ควรปลดสมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบุรเี สยี
ครนั้ ปี 2325 เกดิ กบฏพระยาสรรค ์
เจา้ พระยาจกั รที กี่ าลงั ยกทพั ไปปราบกบฏในกมั พูชาในปีเดยี วกนั
จงึ ยกทพั กลบั มารกั ษาความสงบในกรุง
และสาเรจ็ โทษสมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี
39

อาณาจกั รรตั นโกสนิ ทร ์

ราชอาณาจกั รรตั นโกสนิ ทร ์
เป็ นราชอาณาจกั รทสี่ ใี่ นยคุ ประวตั ศิ าสตรข์ องไทย
เรมิ่ ตงั้ แต่การยา้ ยเมอื งหลวงจากฝ่ังกรุงธนบรุ ี

มายงั กรงุ เทพมหานคร
ซงึ่ ตงั้ อยทู่ างตะวนั ออกของแม่นา้ เจา้ พระยา
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจฬุ าโลกมหาราช
ปฐมกษตั รยิ แ์ หง่

ราชวงศจ์ กั รี เสด็จขนึ้ ครองราชสมบตั ิ เมอื่ วนั ที่ 6 เมษายน พ.ศ.
2325
40
ครงึ่ แรกของสมยั นีเ้ ป็ นการเพมิ่ พูนอานาจของอาณาจกั ร
ถกู ขดั จงั หวะดว้ ยความขดั แยง้ เป็ นระยะกบั พม่า เวยี ดนามและลาว
ส่วนครงึ่ หลงั นั้นเป็ นการเผชญิ กบั ประเทศเจา้ อาณานิคม
องั กฤษและฝรง่ั เศส
จนทาใหไ้ ทยเป็ นเพยี งประเทศเดยี วในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตท้ ไี่
ม่ตกเป็ นอาณานิคมของตะวนั ตก ผลกระทบจากภยั คกุ คามน้ัน

นาใหอ้ าณาจกั รพฒั นาไปสรู่ ฐั ชาตสิ มยั ใหม่ทรี่ วมอานาจเขา้ สูศ่ ู
นยก์ ลาง โดยมพี รมแดนทกี่ าหนดรว่ มกบั ชาตติ ะวนั ตก
สมยั นีม้ พี ฒั นาการทางเศรษฐกจิ และสงั คมทสี่ าคญั
ดว้ ยการเพมิ่ การคา้ กบั ตา่ งประเทศ การเลกิ ทาส
และการขยายการศกึ ษาแกช่ นชน้ั กลางทเี่ กดิ ขนึ้ อยา่ งไรกต็ าม
ไม่มกี ารปฏริ ปู ทางการเมอื งอย่างแทจ้ รงิ กระทง่ั ระบอบสมบรู ณาญ
าสทิ ธริ าชถกู แทนทดี่ ว้ ยระบอบราชาธปิ ไตยภายใตร้ ฐั ธรรมนูญ
ในการปฏวิ ตั สิ ยาม พ.ศ. 2475

ชอื่ "รตั นโกสนิ ทร"์ ยงั คงใชม้ าจนถงึ ปัจจบุ นั
แตบ่ ทความนีจ้ ะกล่าวถงึ เหตกุ ารณจ์ นถงึ พ.ศ. 2475 เท่าน้ัน

กรุงเทพมหานคร

พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลก (ครองราชย ์ 2325–
52) ปราบดาภเิ ษกเป็ นปฐมกษตั รยิ แ์ หง่ ราชวงศจ์ กั รี
และทรงยา้ ยเมอื งหลวงมายงั กรุงเทพมหานคร
ฝ่ังตะวนั ออกของแม่น้าเจา้ พระยา
โดยมกี ารขนยา้ ยอฐิ กาแพงกรงุ ศรอี ยธุ ยาเดมิ มาสรา้ งเป็ นกาแพง

พระนครแหง่ ใหม่ดว้ ย[5]:233–4
พระองคท์ รงใหป้ ฏริ ูปการปกครองคณะสงฆ ์ มกี ารออกกฎคณะ

41

สงฆ ์ สงั คายนาพระไตรปิ ฏก
ทรงใหฟ้ ื้นฟูขนบธรรมเนียมอย่างกรงุ ศรอี ยธุ ยาซงึ่ ถอื เป็ นยคุ ทอง
โปรดใหจ้ ดั ทาประมวลกฎหมาย ชอื่ กฎหมายตราสามดวง
ซงึ ใชก้ นั ในกรงุ รตั นโกสนิ ทรต์ ่อมาอกี หนึ่งศตวรรษ[5]:234–5
ในปี 2328 พระเจา้ ปดงุ (ครองราชย ์ 2324–62)
แต่งทพั ออกเป็ น 9 ทพั ยกมาตกี รุงเทพมหานคร 5 ทศิ ทาง เรยี ก
สงครามเกา้ ทพั
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลกทรงใชย้ ุทธศาสตรก์ ระจ
ายกาลงั ไปรบั ศกึ นอกพระนครไดเ้ ป็ นผลสาเรจ็
พม่ายกทพั มาอกี ครง้ั ในปลายปี 2328 และตน้ ปี 2329 เรยี ก
สงครามท่าดนิ แดง แตก่ ็ถกู ตกี ลบั ไปเชน่ กนั [5]:240–5
กรงุ เทพมหานครยงั ส่งทพั ไปชว่ ยลา้ นนาจากพม่าไดส้ ามครงั้ [5]:
246–7 ทรงใหพ้ ระยากาวลิ ะ (ต่อมาเป็ นพระเจา้ กาวลิ ะ)
ตน้ ราชวงศเ์ จา้ เจด็ ตน
เป็ นเจา้ ครองลา้ นนาในฐานะประเทศราชของกรงุ เทพมหานครสบื
ต่อไป[5]:251–2
พระยากาวลิ ะรวบรวมผคู ้ นเพอื่ มาตง้ั รกรากในเชยี งใหมท่ ถี่ กู ปลอ่
ยทงิ้ รา้ งไวอ้ กี ครง้ั
และขยายอาณาเขตไปทางทศิ เหนือจนตไี ดเ้ ชยี งแสนและหวั เมอื ง
แถบลมุ่ แม่นา้ โขงตอนบน
นับไดว้ า่ สามารถฟื้นฟูอาณาจกั รลา้ นนาโบราณไดส้ าเรจ็ [5]:25

2–3
กรุงเทพมหานครยงั พยายามขยายอทิ ธพิ ลเขา้ ไปในกมั พูชาและล
าว โดยใชว้ ธิ แี บ่งแยกและปกครอง คอื
แบ่งลา้ นชา้ งออกเป็ นอาณาจกั รเล็ก ๆ
เพอื่ ทาใหอ้ อ่ นแอจนไม่สามารถแขง่ ขนั กบั กรุงเทพมหานครได[้ 5
]:257
แยกสงขลาออกจากเจา้ นครศรธี รรมราชแลว้ สง่ ขนุ นางส่วนกลาง
ไปปกครองโดยตรง
กบั ทง้ั ลดฐานะของเจา้ นครศรธี รรมราชเป็ นเจา้ เมอื ง
และแบง่ แยกกลนั ตนั และตรงั กาน

รชั กาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั (ครองราชย ์
2352–67) ถอื เป็ นยคุ ทองแหง่ ศลิ ปะ
และสงบสขุ เกอื บตลอดรชั กาล
กมั พูชากลายเป็ นสนามรบระหวา่ งกรุงเทพมหานครและเวยี ดนาม
สดุ ทา้ ยเวยี ดนามครอบงากมั พูชาอยูห่ ลายสบิ ปี หลงั ปี 2356
แต่กรงุ เทพมหานครเขา้ ควบคุมพนื้ ทกี่ วา้ งขวางขนึ้ ในกมั พูชา[5]
:257–9
หลงั จากอทิ ธพิ ลขององั กฤษในภมู ภิ าคเพมิ่ ขนึ้ จากการไดม้ ะละก
า เกาะหมาก (ปี นัง) และสงิ คโปร ์

42

ในปี 2364 ขา้ หลวงใหญ่องั กฤษประจาอนิ เดยี สง่ จอหน์
ครอวเ์ ฟิ รด์ เขา้ มาเจรจาคา้ ขาย
แต่ไม่ไดอ้ ะไรเป็ นชนิ้ เป็ นอนั กลบั ไป

ในรชั กาลพระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจา้ อย่หู วั (ครองราชย ์
2367–94) รฐั บาลองั กฤษในอนิ เดยี ส่งเฮนรี
เบอรน์ ีเขา้ มาเจรจากบั กรงุ เทพมหานคร
โดยขอใหส้ ง่ เสบยี งชว่ ยเหลอื หรอื ไม่กว็ างตนเป็ นกลางในสงคราม
องั กฤษ–พม่าครงั้ ทหี่ นึ่ง (2367–9)
องั กฤษกลายมามอี าณาเขตตดิ ตอ่ กบั กรงุ เทพมหานครหลงั ยดึ ดิ
นแดนทางตะวนั ออกเฉียงใตข้ องพม่าไวไ้ ด[้ 5]:279–80
ราชสานักยอมตกลงสนธสิ ญั ญาเบอรน์ ีในปี 2369
หลงั มขี า่ ววา่ องั กฤษชนะพม่า เนือ้ หาของสนธสิ ญั ญา
องั กฤษยอมรบั อานาจของกรุงเทพมหานครเหนือไทรบรุ ี กลนั ตนั
ตรงั กานูและปตั ตานี
แลกกบั ทกี่ รุงเทพมหานครยอมรบั อสิ รภาพของเปรกั และสลงั งอร ์
และลดการเกบ็ ภาษจี านวนมากกบั วาณิชตา่ งประเทศเหลอื ค่าธรร
มเนียมปากเรอื อย่างเดยี ว[5]:281 ในปี 2376

สหรฐั ส่งทตู เขา้ มาทาสนธสิ ญั ญาโรเบริ ต์
ซงึ่ นับเป็ นสนธสิ ญั ญาแรกระหวา่ งสหรฐั กบั ชาตเิ อเชยี ฝ่ ายเจา้ อนุ
วงศ ์ (ครองราชย ์ 2348–71) แหง่

43

เวยี งจนั หลงั ทราบขา่ วกรุงเทพมหานครเตรยี มรบั ศกึ องั กฤษ
กห็ มายฉวยโอกาสโจมตกี รงุ เทพมหานครเพอื่ กวาดตอ้ นผคู ้ นไป
ไวใ้ นราชอาณาจกั ร ในปี 2369
กอ่ กบฏโดยยกทพั เขา้ มายดึ นครราชสมี า
ฝ่ ายกรงุ เทพมหานครหยดุ ยง้ั การบกุ เอาไวไ้ ด ้
และส่งกองทพั ไปตกี รงุ เวยี งจนั ไดส้ าเรจ็ [5]:283–4
แต่พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจา้ อย่หู วั ยงั ไม่พอพระทยั ทจี่ บั เจา้ อ
นุวงศไ์ ม่ได ้ และมพี ระราชประสงคใ์ หท้ าลายเวยี งจนั ใหส้ นิ้ ซาก
ในปี 2370
มกี ารสง่ กองทพั อกี กองหนึ่งขนึ้ ไปตกี รุงเวยี งจนั ทเี่ จา้ อนุวงศต์ กี ลั
บคนื ไปไดอ้ กี ครง้ั
ครงั้ นีม้ กี ารทาลายอาคารบา้ นเรอื นทง้ั หมดจนสนิ้ ซาก
และกวาดตอ้ นผคู ้ นมาอยูใ่ นแถบภาคกลางของประเทศไทยปัจจบุ ั


คณะสารวจฝรง่ั เศสอกี สสี่ บิ ปี ถดั มาบนั ทกึ วา่ เวยี งจนั ยงั เป็ นเมอื งร ้
าง[5]:284–5 หลงั จากน้ันอกี หลายสบิ ปี
กรุงเทพมหานครยงั กวาดตอ้ นชาวลาวเขา้ มาตงั้ รกรากในทรี่ าบสู
งโคราช ผลทาใหห้ วั เมอื งลาวอสี านเพมิ่ ขนึ้ ประมาณ 40
เมอื งซงึ่ เกดิ จากชาวลาวทกี่ วาดตอ้ นมา[5]:285–6

ฝ่ ายมลายทู างใต ้

กรุงเทพมหานครปรบั นโยบายเป็ นใหเ้ จา้ มลายปู กครองกนั เองหลั
งเกดิ กบฏขนึ้ 2 ครง้ั ในปี 2374 และ 2381
จากนั้นในภมู ภิ าคดงั กล่าวก็มรี ะเบยี บและความมน่ั คงพอสมควร[

5]:287–9 ฝ่ ายทางตะวนั ออก
กรุงเทพมหานครรบกบั เวยี ดนามเพอื่ แยง่ ชงิ อทิ ธพิ ลเหนือกมั พูชา
อกี ครง้ั เรยี ก อานัมสยามยุทธ (2376–90)
สุดทา้ ยทง้ั สองตกลงกนั โดยใหเ้ จา้ กมั พูชาสง่ เครอื่ งราชบรรณาก
ารใหท้ งั้ สองอาณาจกั ร

44

หลงั จากสงครามฝิ่นครง้ั ทหี่ นึ่งในจนี (2382–5)
ชาตติ ะวนั ตกเรมิ่ กา้ วรา้ วมากขนึ้ และระหวา่ งปี 2392–3

มคี ณะทตู จากองั กฤษและสหรฐั เขา้ มาเรยี กรอ้ งใหก้ รงุ เทพมหาน
ครยกเลกิ ขอ้ กดี กนั ทางการคา้ และตงั้ ศาลกงสลุ แต่ถกู ปัดกลบั ไป
สาเหตจุ ากประจวบกบั ชว่ งทกี่ าลงั มคี วามกงั วลเรอื่ งการแกง่ แย่งร

าชสมบตั [ิ 5]:301–2 อย่างไรกด็ ี
พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงตระหนักถงึ ภยั คุกคามข
องชาตติ ะวนั ตก ดงั ทมี่ กี ระแสพระราชดารสั กอ่ นเสด็จสวรรคตวา่

"การศกึ สงครามขา้ งญวนขา้ งพม่ากเ็ ห็นจะไมม่ แี ลว้
จะมอี ยกู่ ็แตพ่ วกขา้ งฝรง่ั "

การเผชญิ หนา้ กบั มหาอานาจตะวนั ตก

การปฏริ ูปและการรวมอานาจเขา้ สศู่ นู ยก์ ลาง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั (ครองราชย ์ 2394–
2411)
ทรงไดร้ บั การยกใหข้ นึ้ ครองราชสมบตั พิ รอ้ มกบั พระบาทสมเดจ็
พระปิ่นเกลา้ เจา้ อยู่หวั เพอื่ เกลยี่ อานาจของพระอนุชา[5]:310–1
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงตระหนักถงึ ความขดั เคื
องของทตู องั กฤษทกี่ ลบั ไปมอื เปล่าในชว่ งปลายรชั กาลกอ่ น
จงึ ทรงตดิ ต่อฮอ่ งกง[5]:311 ตน้ ปี 2398
รฐั บาลสหราชอาณาจกั รในกรุงลอนดอนสง่ คณะทตู ซงึ่ มเี ซอรจ์ อ
หน์ เบาวร์ งิ เป็ นหวั หนา้ เขา้ มาเจรจา
มกี ารบรรลุสนธสิ ญั ญาเบาวร์ งิ [b] ในเวลาสองสปั ดาหถ์ ดั มา
มเี นือ้ หาจากดั พกิ ดั ภาษีขาเขา้
ใหค้ นต่างดา้ วพานักและเป็ นเจา้ ของทดี่ นิ รอบ ๆ พระนครได ้
การใหส้ ทิ ธสิ ภาพนอกอาณาเขต
และการยกเลกิ การผกู ขาดการคา้ ของราชการ[5]:311–3
ภายในหนึ่งทศวรรษหลงั จากน้ัน
กรงุ เทพมหานครยงั ลงนามสนธสิ ญั ญาทานองเดยี วกนั กบั อกี 12
ประเทศ
เป็ นการรเิ รมิ่ ความสมั พนั ธแ์ บบพหุภาคเี พอื่ หวงั ใหช้ าตเิ หล่าน้ันถ่
วงดุลอานาจกนั เอง ปรมิ าณการคา้ โดยรวมเพมิ่ ขนึ้ จาก 5.6
ลา้ นบาทในปี 2393 เป็ น 10 ลา้ นบาทในปี 2411

กรุงเทพมหานครเปลยี่ นโฉมโดยมกี ารสรา้ งโรงงานอตุ สาหกรรม
และตดั ถนนใหมพ่ ระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงรเิ รมิ่ ก
ารปฏริ ปู ตงั้ แต่การ
45
พมิ พร์ าชกจิ จานุเบกษา ทรงเลกิ ธรรมเนียมโบราณ
ทรงใหร้ าษฎรถวายฎกี า และใหผ้ หู ้ ญงิ เลอื กคเู่ องได ้
และเรมิ่ จา้ งชาวต่างประเทศในงานพเิ ศษบางอยา่ ง ทงั้ นี้
พระองคท์ รงตระหนักดวี า่ การเปลยี่ นแปลงจะตอ้ งเป็ นไปอย่างชา้


หากพระองคจ์ ะไดร้ บั ความรว่ มมอื จากขนุ นางผใู ้ หญท่ กี่ มุ อานาจใ
นระบบราชการเป็ นเวลาหลายชว่ั คนแลว้

หลงั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั เสด็จสวรรคตกระทนั หั
นดว้ ยโรคมาลาเรยี พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั
(ครองราชย ์ 2411–53) จงึ สบื ราชสมบตั ทิ งั้ ทยี่ งั ไม่บรรลุนิตภิ าวะ
โดยมมสี มเด็จเจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ ์ (ชว่ ง บุนนาค)

เป็ นผสู ้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค ์ หลงั บรรลนุ ิตภิ าวะแลว้
ทรงรเิ รมิ่ การปฏริ ูปเป็ นชดุ
โดยมกี ารตง้ั ศาลพเิ ศษเพอื่ ชาระคดขี องศาลกรมตา่ ง ๆ ทคี่ า้ งอยู่
ทรงรวมศนู ยอ์ านาจการจดั ทางบประมาณและสมั ปทานคา้ ฝิ่นและ
บ่อนเบยี้ ทรงตง้ั สภาทปี่ ฤกษาราชการแผ่นดนิ และปรวี เี คานซ์ ลิ
ซงึ่ สมาชกิ สว่ นใหญ่เป็ นคนหนุ่มหรอื คูแ่ ขง่ ตระกลู บนุ นาค
ทรงออกกฎหมายคอ่ ย ๆ
ลดการมที าสเพอื่ ทาลายระบบการควบคมุ คนและเศรษฐกจิ ของช
นชนั้ ขนุ นาง ใน

ปี 2417
ความพยายามปฏริ ปู ทาใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ กบั อานาจเกา่ อยา่ งห
นัก
เกดิ ความขดั แยง้ กบั วงั หนา้ อยา่ งรนุ แรงจนเกอื บเกดิ สงครามกลาง
เมอื ง[c] สุดทา้ ยพระบาทสมเด็จ

46

พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสามารถจากดั อานาจของวงั หนา้ ไ
ดแ้ ตท่ รงยอมยตุ กิ ารปฏริ ปู ไปกอ่ น[5]:331–3
พระองคท์ รงเรมิ่ ใชว้ ธิ สี ่งขา้ หลวงตา่ งพระองคไ์ ปปกครองหวั เมอื งเ
หนือ หวั เมอื งตะวนั ออกเฉียงเหนือและหวั เมอื งใตเ้ รมิ่ ตง้ั แต่ปี
2413 เพอื่ พยายามทาใหด้ นิ แดนเหลา่ น้ันเป็ นสว่ นหนึ่งของสยาม

ในชว่ งนีฝ้ รง่ั เศสมคี วามพยายามแสวงหาดนิ แดนใหม่เพมิ่ ขนึ้
เรมิ่ จากการทาสญั ญากบั สยามในปี 2410
ใหก้ มั พูชาเป็ นรฐั ในอารกั ขาของฝรง่ั เศสและเรมิ่ ส่งคณะสาเรจ็ ไป
ล่มุ แมน่ ้าโขง[5]:337 ในปี 2430

มกี ารปรบั คณะรฐั บาลโดยใหต้ งั้ กรมขนึ้ มา 12
กรมทมี่ ฐี านะเทา่ กนั ตามอย่างรฐั บาลสหราชอาณาจกั ร

ซงึ่ มกี ารยกฐานะเป็ นกระทรวงในปี 2432[5]:347 ชว่ งปี 2430–
6 ฝรง่ั เศสพยายามขยายอทิ ธพิ ลเหนือลาว ในปี 2436

เกดิ วกิ ฤตการณ์ ร.ศ. 112 คอื
มเี หตกุ ารณไ์ ลต่ วั แทนฝรง่ั เศสออกจากหลวงพระบาง
มกี ารเรยี กรอ้ งเอาดนิ แดนลาวฝ่ังตะวนั ออกของแม่นา้ โขง
และเมอื่ กองทพั สยามในพนื้ ทตี่ อ่ สูท้ หารฝรง่ั เศสทพี่ ยายามเขา้ คว
บคุมพนื้ ทนี่ ัน้ รฐั บาลฝรง่ั เศสสบชอ่ งจะประกาศสงครามกบั สยาม
และส่งเรอื รบมายงั ปากแม่น้าเจา้ พระยา
สุดทา้ ยพระเจา้ อยหู่ วั ทรงยอมตามคาขาดของฝรง่ั เศส

เชน่ เดยี วกบั การจา่ ยค่าปรบั และการยกบางส่วนของแควน้ น่านแล
ะจนั ทบรุ ใี หฝ้ รง่ั เศส[5]:352–5 ในปี 2439
ฝรง่ั เศสและบรเิ ตนตกลงใหส้ ยามมเี อกราชและเป็ นรฐั กนั ชนระหว่
างพม่าของบรเิ ตนและอนิ โดจนี ของฝรง่ั เศสในทศวรรษสดุ ทา้ ยขอ

งการครองราชย ์

สยามพยายามใหพ้ จิ ารณาสนธสิ ญั ญาไม่เป็ นธรรม
แต่ผลเป็ นไปอย่างเชอื่ งชา้

โดยตอ้ งมกี ารลงนามสญั ญาอกี หลายฉบบั ในปี 2446–9
เพอื่ ใหฝ้ รง่ั เศสถอนทหารออกจากจนั ทบรุ แี ละตราด

เชน่ เดยี วกบั การทาสญั ญากบั บรเิ ตนในปี 2452
เพอื่ แลกหวั เมอื งประเทศราชมลายูแกบ่ รเิ ตนกบั การเลกิ สทิ ธสิ ภา

พนอกอาณาเขตของคนในบงั คบั บรเิ ตน[5]:358–9 ในปี 2436

สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ
เสนาบดมี หาดไทยในขณะนนั้

ทรงรเิ รมิ่ ระบบมณฑลเทศาภบิ าลทนี่ ครราชสมี าเป็ นทแี่ รก

แลว้ ส่งขา้ หลวงจากส่วนกลางไปปกครองโดยตรง

47

แทนผปู ้ กครองสบื ทอดในหวั เมอื ง
มกี ารสรา้ งทางรถไฟไปภาคอสี านและภาคเหนือ

การปรบั ปรุงกฎหมายสยามโดยยดึ ตามประมวลกฎหมายนโปเลยี
นของฝรง่ั เศส[5]:363–5 อย่างไรกด็ ี ในปี 2445
เกดิ กบฏขนึ้ ในราชอาณาจกั ร 3 ครง้ั
เพอื่ ตอ่ ตา้ นการโอนอานาจเขา้ สศู่ ูนยก์ ลาง[5]:372–3 ในปี

2448 มกี ารปฏริ ูปแบบค่อยเป็ นคอ่ ยไป
จนสามารถแทนทรี่ ะบบการเกณฑแ์ รงงานแบบเกา่ มาใชร้ ะบบเงนิ
รชั ชปู การและการเกณฑท์ หารสมยั ใหม่แทน[5]:365–6
ผลของการเลกิ ระบบไพรท่ าใหร้ าษฎรทาการเกษตรเพมิ่ ขนึ้
ปรมิ าณการสง่ ออกขา้ วของสยามเพมิ่ ขนึ้ จากไม่ถงึ 1
ลา้ นเกวยี นในครสิ ตท์ ศวรรษ 1850 เป็ นกวา่ 11
ลา้ นเกวยี นในปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 19[5]:375 ในปี 2441
เรมิ่ มกี ารตง้ั โรงเรยี นในหมู่บา้ นต่าง ๆ
โดยใชต้ าราเรยี นและหลกั สตู รเดยี วกนั ทสี่ ว่ นกลางกาหนดแทนก

ารศกึ ษาในวดั แบบเดมิ
นับเป็ นการเรมิ่ หล่อหลอมใหเ้ กดิ รฐั ชาตทิ มี่ เี อกภาพ[5]:378–9
นอกจากนี้ ชาวจนี ยงั มจี านวนเพมิ่ ขนึ้ ในชว่ งนีด้ ว้ ย
โดยจานวนชาวจนี เพมิ่ ขนึ้ จาก 230,000 คนในปี 2368 เป็ น

792,000 คนในปี 2453

ชาวจนี เหล่านีป้ ระสมประสานวฒั นธรรมกลายเป็ นสว่ นหนึ่งของส
ยาม และมบี ทบาทในเศรษฐกจิ สมยั ใหม่ของอาณาจกั ร

รฐั ชาตสิ มยั ใหม่

การพฒั นาราชอาณาจกั รสยามในรชั กาลที่ 5
ไม่ไดเ้ ป็ นไปอยา่ งสม่าเสมอ คอื
สงั คมเขา้ สสู่ มยั ใหม่เรว็ ชา้ ไมเ่ ท่ากนั
ทาใหเ้ กดิ ชอ่ งวา่ งทางสงั คม[5]:393
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั (ครองราชย ์ 2453–68)
ทรงสรา้ งใหเ้ กดิ สานึกความเป็ นชาตอิ ย่างนอ้ ยกใ็ นหมู่ชนชน้ั นา
ในปี 2454
ทรงตง้ั กองเสอื ป่ าซงึ่ สมาชกิ หลดุ พน้ จากกรอบราชการและนับถอื
ประมุข[5]:396–7 ในปี เดยี วกนั
เกดิ เหตุการณค์ ณะนายทหารชน้ั ผนู ้ อ้ ยคบคดิ กนั เพอื่ เปลยี่ นแปล
งการปกครองโดยมแี นวคดิ ต่อตา้ นสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย ์
แตย่ งั ไม่ทนั วางแผนเสรจ็ กถ็ กู จบั ไดเ้ สยี กอ่ น[5]:397,399
พระองคท์ รงตอบโตด้ ว้ ยการแต่งตง้ั เสนาบดซี งึ่ เป็ นขา้ ราชการทไี่
ดร้ บั การศกึ ษาในทวปี ยุโรป
ทรงตง้ั คณะกรรมการแกไ้ ขปัญหางบประมาณขาดดลุ และทรงใช ้
วธิ ปี ระชาสมั พนั ธแ์ ละโฆษณาชวนเชอื่ ซงึ่ ใชม้ าจนสิ้

48

รชั กาล[5]:400–2 คอื
ทรงใชพ้ ระปรชี าทางวรรณศลิ ป์ เผยแพรพ่ ระราชนิพนธท์ างสอื่ ต่า
ง ๆ โดยยา้ แนวคดิ สาคญั สง่ เสรมิ วถิ ชี วี ติ แบบตะวนั ตก
ทรงรเิ รมิ่ ธรรมเนียมอย่างตะวนั ตก เชน่ นามสกลุ

กฬี าทเี่ ลน่ เป็ นหมูค่ ณะโดยเฉพาะอย่างยงิ่ ฟุตบอล

ธรรมเนียมผวั เดยี วเมยี เดยี ว ทรงส่งเสรมิ การศกึ ษาแผนใหม่

โดยสถาปนาจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ในปี 2459

และทรงใหก้ ารศกึ ษาระดบั ประถมเป็ นภาคบงั คบั [5]:402–3
ทง้ั ยงั ทรงเผยแพรแ่ นวคดิ ชาตนิ ิยมทางการเมอื งและชาตนิ ิยมทาง
เศรษฐกจิ ทปี่ ระสงคใ์ หก้ าจดั อทิ ธพิ ลของชาวจนี ในเศรษฐกจิ สยา

ม[5]:404

ทรงพยายามส่งเสรมิ ใหร้ าษฎรรจู ้ กั สมาคมกนั โดยไม่แบง่ วรรณะ

รจู ้ กั ตดั สนิ โดยยดึ หลกั เสยี งขา้ งมาก
และกระตนุ ้ การอภปิ รายสาธารณะในสอื่ ตา่ ง ๆ[5]:406
ดา้ นกจิ การทหาร ทรงจดั หาเรอื รบทที่ นั สมยั และในปี 2460
ราชสานักเล็งเห็นวา่ การเขา้ รว่ มสงครามโลกครงั้ ทหี่ นึ่งอาจกอ่ ให้

เกดิ ประโยชนใ์ นการเลกิ สนธสิ ญั ญาไม่เป็ นธรรม
จงึ ประกาศสงครามกบั ฝ่ ายมหาอานาจกลางในวนั ที่ 22

กรกฎาคม 2460[5]:407

ผลทาใหช้ าตติ ะวนั ตกยอมแกไ้ ขสนธสิ ญั ญาในชว่ งปี 2463–9

ใหส้ ยามไดร้ บั อสิ ระในการจดั เก็บภาษอี ากรและยกเลกิ สทิ ธสิ ภาพ

นอกอาณาเขต[5]:408–9

พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเห็นวา่ การเรยี กรอ้ งใ

หม้ กี ารปฏริ ปู การปกครองจะทาใหส้ ยามพนิ าศล่มจมจงึ ปฏเิ สธขอ้
เสนอแนะใหใ้ ชร้ ะบอบรฐั ธรรมนูญเสยี ทกุ ครง้ั [5]:412

ในดา้ นเศรษฐกจิ
รายไดข้ องรฐั ทลี่ ดลงจากราคาผลผลติ การเกษตรทตี่ กต่า
และรายจา่ ยส่วนพระองคท์ เี่ พมิ่ ขนึ้ เป็ นลาดบั
งบประมาณจงึ ขาดดลุ เชน่ นีไ้ ปจนสนิ้ รชั กาล

ทาใหต้ อ้ งมกี ารกเู ้ งนิ ต่างประเทศมาเป็ นระยะรชั กาลพระบาทสมเด็
จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (ครองราชย ์ 2468–78)
บา้ นเมอื งเต็มไปดว้ ยความไม่สงบและปัญหาเศรษฐกจิ
ความพยายามลดงบประมาณทาใหเ้ กดิ การทะเลาะกนั ในหมู่ขา้ รา
ชการทาใหเ้ กดิ ภาพไรป้ ระสทิ ธภิ าหนังสอื พมิ พส์ ะทอ้ นความคดิ เ
ห็นของมหาชนวพิ ากษว์ จิ ารณร์ ฐั บาล พระองค ์

ทรงเรง่ สถาปนาอภริ ฐั มนตรสี ภาเพอื่ แกไ้ ขปัญหาเศรษฐกจิ เฉพาะ
หนา้ พระองคย์ งั ทรงมแี นวคดิ ทดลองประชาธปิ ไตยในสยาม
อย่างไรกด็ ี ความพยายามใหท้ ดลองการปกครอง

49

ตนเองระดบั เทศบาลมผี ลเล็กนอ้ ยจนมกี ารเปลยี่ นแปลงการปกคร
อง[5]:421 ชว่ งครสิ ตท์ ศวรรษ 1920
มกี ลมุ่ นักเรยี นตา่ งประเทศซงึ่ มแี นวคดิ ตอ้ งการเปลยี่ นแปลงการป
กครอง ทโี่ ดดเดน่ ไดแ้ ก่ ปรดี ี พนมยงค ์ และแปลก ขตี ตะสงั คะ
เรมิ่ พบปะกนั อย่างลบั ๆ
เมอื่ เกดิ ภาวะเศรษฐกจิ ตกตา่ ครง้ั ใหญ่ในปี 2472
ผลสะเทอื นถงึ สยามทาใหร้ าคาขา้ วตกลง รฐั เสยี รายได ้
และเกดิ วกิ ฤตค่าเงนิ บาท[5]:426–7 ในปี 2475
รฐั บาลดาเนินมาตรการ เชน่ ปลดขา้ ราชการออกจานวนมาก
ระงบั การเลอื่ นขนั้ และเพมิ่ การเกบ็ ภาษี
ผลทาใหเ้ กดิ ชนชนั้ กลางไดร้ บั ผลกระทบมากเมอื่ เทยี บกบั คนจนี
ชนชนั้ สงู และเจา้ และเกดิ ความไม่พอใจ[5]:428
พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพจิ ารณาความเป็ นไปไ
ดข้ องรฐั บาลจากการเลอื กตง้ั มกี ารทูลเกลา้ ฯ

ถวายรฐั ธรรมนูญฉบบั รา่ งโดยเนือ้ หามใี จความวา่
จะใหโ้ อนอานาจบรหิ ารเป็ นของนายกรฐั มนตรจี ากการแต่งตงั้
มสี ภานิตบิ ญั ญตั คิ วบคมุ ตรวจสอบโดยมสี มาชกิ มาจากการเลอื ก
ตง้ั และแตง่ ตง้ั อยา่ งละกงึ่ หนึ่ง อย่างไรก็ดี
เจา้ นายในคณะอภริ ฐั มนตรสี ภาคดั คา้ นรา่ งรฐั ธรรนนูญดงั กลา่ ว
จงึ ไม่ไดด้ าเนินการอย่างไรต่อ

ราชาธปิ ไตยภายใตร้ ฐั ธรรมนูญ

การปฏวิ ตั ิ พ.ศ. 2475 และรฐั บาลพระยาพหลพลพยุหเสนา

วนั ที่ 24 มถิ นุ ายน 2475
กลุ่มบุคคลทเี่ รยี กคณะราษฎรกอ่ การปฏวิ ตั เิ ปลยี่ นแปลงรูปแบบก
ารปกครอง ผลทาใหร้ ะหวา่ งปี 2478–2500
เป็ นชว่ งเวลาทพี่ ระมหากษตั รยิ ไ์ ม่ไดป้ กครอง
และพระมหากษตั รยิ ท์ รงไมม่ บี ทบาททางสงั คมอกี จนพน้ ชว่ งดงั ก
ล่าว[5]:440
คณะราษฎรเรมิ่ วางแผนปฏริ ปู การเมอื งแต่เป็ นไปอย่างชา้
ๆ[5]:442–3 หลงั จากน้ัน คณะราษฎรเกดิ ขดั แยง้ กนั เอง
โดยฝ่ ายพลเรอื นมอี านาจนอ้ ยกวา่ ฝ่ ายทหาร
คณะราษฎรแตกกนั เป็ น 5 ฝ่ าย และหลงั เกดิ วกิ ฤต 3 ครง้ั ในปี
2476 สุดทา้ ยฝ่ ายทหารหนุ่มชนะ[5]:444–5 เดอื นตลุ าคม
2476 พระวรวงศเ์ ธอ
พระองคเ์ จา้ บวรเดชทรงนาทหารในตา่ งจงั หวดั กบฏ
แตก่ อ่ การไม่สาเรจ็
ไม่ปรากฏวา่ พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ วั มี

50

สว่ นเกยี่ วขอ้ ง อยา่ งไรก็ตาม
มคี วามขดั แยง้ ระหวา่ งพระองคก์ บั รฐั บาลเพมิ่ ขนึ้ เรอื่ ย ๆ
และหลงั จากรฐั บาลปฏเิ สธการต่อรองเพอื่ ปรบั เปลยี่ นพระราชอา
นาจและรูปแบบการปกครอง พระองคท์ รงสละราชสมบตั ใิ นวนั ที่
2 มนี าคม 2477 (นับแบบเกา่ )[5]:448
รฐั บาลกราบบงั คมทูลพระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ อานันทมหดิ ล
(ตอ่ มาเป็ นพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหดิ ล
พระอฐั มรามาธบิ ดนิ ทร, ครองราชย ์ 2478–89)
ขณะยงั ทรงพระเยาวแ์ ละกาลงั ศกึ ษาในประเทศสวสิ เซอรแ์ ลนด ์
เป็ นพระมหากษตั รยิ แ์ ละแตง่ ตงั้ คณะผูส้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค ์

คณะรฐั มนตรใี นชว่ งแรก ๆ
สน่ั คลอนแตอ่ ย่รู ว่ มกนั ไดเ้ พราะบคุ ลกิ ของพระยาพหลพลพยหุ เส
นา (พจน์ พหลโยธนิ ) และในปี 2478
รฐั บาลสามารถเจรจาจนสยามมอี านาจอธปิ ไตยอยา่ งสมบูรณ์

จอมพล ป. พบิ ลู สงครามและสงครามโลกครงั้ ทสี่ อง
สงครามโลกครงั้ ท2ี่

ทางดา้ นเอเชยี ญปี่ ่ ุนประกาศสงครามกบั สมั พนั ธมติ ร เมอื่ วนั ที่ 7
ธนั วาคม พ.ศ. 2484 ต่อมา วนั ที่ 8 ธนั วาคม พ.ศ. 2484
กองทหารญปี่ ่ นุ ก็เขา้ เมอื งไทย ทางสงขลา ปัตตานี

50

ประจวบครี ขี นั ธ ์ นครศรธี รรมราช สรุ าษฎร ์และ สมุทรปราการ
ขณะเดยี วกนั ญปี่ ่ ุนก็เขา้ โจมตเี กาะฮาวาย,
ฟิ ลปิ ปิ นสแ์ ละสง่ ทหารขนึ้ บกทมี่ ลายูและโจมตสี งิ คโปรท์ างเครอื่ ง
บนิ

สงครามโลกครงั้ ทสี่ องเกดิ ขนึ้ ในเดอื นกนั ยายน พ.ศ. 2482
(ค.ศ. 1939)ในรชั สมยั ของรชั กาลที่ 8
(ขณะนั้นเสด็จประทบั อยูใ่ นประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด)์
หลวงพบิ ูลสงคราม(จอมพล ป. พบิ ูล สงคราม)เป็ นนายกรฐั มนตรี
เมอื่ เรมิ่ สงครามนั้นไทยประกาศตนเป็ นกลาง แต่ในวนั ที่ 8
ธนั วาคม พ.ศ. 2484
ญปี่ ่ นุ นาเรอื รบบกุ ขนึ้ ชายทะเลภาคใตข้ องไทยโดยไม่ทนั รตู ้ วั
รฐั บาลตอ้ งยอมใหญ้ ปี่ ่ นุ ผ่าน ทาพธิ เี คารพเอกราชกนั และกนั
กลุม่ คนไทยบางสว่ นโดยเฉพาะในต่างประเทศไทยไดจ้ ดั ตงั้ ขบวน
การเสรไี ทย (Free Thai Movement)
ดาเนินชว่ ยเหลอื ฝ่ ายสมั พนั ธมติ ร
จงึ ชว่ ยใหไ้ ทยรอดพน้ จากการแพส้ งคราม ซงึ่ ในวนั ที่ 25
มกราคม พ.ศ. 2485 (ค.ศ.
1942)ไทยไดป้ ระกาศสงครามกบั องั กฤษและอเมรกิ า
แต่ทตู ไทยในสหรฐั อเมรกิ า ทนี่ าโดยหม่อมราชวงศเ์ สนีย ์
ปราโมช ไม่ยอมรบั ทราบในการกระทาของรฐั บาล

จงึ ไดร้ ว่ มมอื กนั ตงั้ เสรไี ทยขนึ้ ตดิ ต่อกบั นายปรดี ี พนมยงค ์
ในเมอื งไทย เมอื่ สงครามสงบในวนั ที่ 16 สงิ หาคม พ.ศ. 2488
ไทยประกาศสงครามเป็ นโมฆะ ซงึ่ สหรฐั อเมรกิ ารบั รอง
ต่อมาไทยไดเ้ จรจาเลกิ สถานะสงครามกบั องั กฤษ เมอื่ วนั ที่ 1
มกราคม พ.ศ. 2489 และกบั ฝรง่ั เศสเมอื่ วนั ที่ 17 พฤศจกิ ายน
พ.ศ. 2489
ความมุ่งหวงั ทญี่ ปี่ ่ ุนจะอาศยั ประเทศไทยเป็ นทางผา่ นไปยงั พม่าเพื่
อยดึ ครองอนิ เดยี
กอ่ ใหเ้ กดิ โศกนาฏกรรมครงั้ ยงิ่ ใหญ่ขนึ้ เหนือแม่น้าแคว
จงั หวดั กาญจนบรุ ี
เมอื่ เรมิ่ สรา้ งทางรถไฟสายมรณะในเดอื นกนั ยายน พ.ศ. 2485
ทงั้ คนงานและเชลยศกึ จานวนหมนื่ ถกู เกณฑม์ าสรา้ งทางรถไฟยา
ว 415 กโิ ลเมตร ตอ้ งโหมทางานตลอดวนั ตลอดคนื
บุกเบกิ เขา้ ไปในป่ ากวา้ งทเี่ ตม็ ไปดว้ ยสตั วร์ า้ ยและโรคภยั
คนงานและเชลยศกึ เหล่านน้ั มที ง้ั พม่า ชวา มลายู องั กฤษ
ออสเตรเลยี ฮอลแลนด ์ ตอ้ งประสบความทกุ ขท์ รมาน
เจบ็ ปวดลม้ ตายเป็ นจานวนมาก
ทางรถไฟพงั ทลายเพราะนา้ เซาะคนั ดนิ และสะพานขา้ มแมน่ ้าแคว
ถกู ระเบดิ

51

ครงั้ แลว้ ครงั้ เล่า จนถงึ วนั ที่ 25 ธนั วาคม พ.ศ. 2486
กองทพั ญปี่ ่ นุ จงึ ไดท้ าพธิ เี ปิดทางรถไฟสายนีอ้ ยา่ งเป็ นทางการ

สาเหตทุ ไี่ ทยเขา้ รว่ มสงครามโลกครง้ั ทสี่ อง

เหตเุ พราะเรามกี าลงั นอ้ ยเมอื่ ญปี่ ่ ุนบุกจงึ ไมส่ ามารถตอ่ ตา้ นได ้
และเพอื่ ป้ องกนั มใิ หต้ กอยใู่ ตอ้ ทิ ธพิ ลของญปี่ ่ นุ ในดา้ นเศรษฐกจิ แ
ละการเมอื ง

ผลของสงครามต่อไทย คอื

1.ไทยตอ้ งสง่ ทหารไปชว่ ยญปี่ ่ ุนรบ

2.ไดด้ นิ แดนเชยี งตุง
และสจี่ งั หวดั ภาคใตท้ ตี่ อ้ งเสยี แกอ่ งั กฤษกลบั มา
แต่ตอ้ งคนื ใหเ้ จา้ ของเมอื่ สงครามสงบลง

3.เกดิ ขบวนการเสรไี ทย ซงึ่ ใหพ้ น้ จากการยดึ ครอง

4.ไทยไดร้ บั เกยี รตเิ ป็ นสมาชกิ องคก์ ารสหประชาชาติ

สาหรบั ประเทศไทยนั้น เราไดเ้ ขา้ รว่ มสงครามโลกครงั้ ทสี่ อง
เป็ นเพยี งประเทศเดยี วในทวปี เอเชยี และแปซฟิ ิ กไม่นับรวมญปี่ ่ ุน
ทเี่ ขา้ รว่ มกบั พวกอกั ษะ สาเหตกุ ารเขา้ รว่ มนั้น
สบื เนื่องมาจากการล่าอาณานิคมของชาตติ ะวนั ตกในสมยั
รชั กาลที่ 5 ทกุ ประเทศในฝ่ังทะเลแปซฟิ ิ กและทะเลอนั ดามนั
ถกู เป็ นเมอื งขนึ้ กนั หมด เหลอื แต่ไทยและญปี่ ่ นุ เทา่ นั้น
และจากการทสี่ ยามโดนยดึ ดนิ แดนรอบนอกส่วนตา่ งๆ
(ซงึ่ เดมิ เป็ นของไทย)เชน่ เขมร ลาว บางสว่ นของพม่า
บางสว่ นของจนี และสว่ นเหนือของมาเลเซยี
ทคี่ รงั้ หนึ่งเคยเป็ นของสยาม ทาใหเ้ กดิ ความรูส้ กึ ชาตนิ ิยมขนึ้ มา
ประกอบกบั เผด็จการจอมพล ป. พบิ ูลสงคราม
ทตี่ อ้ งการนาสว่ นทเี่ คยเสยี ไปกลบั คนื มา
จงึ ทาใหเ้ ราโจมตอี นิ โดจนี ของฝรง่ั เศส

เราจงึ รว่ มกบั ฝ่ ายญปี่ ่ ุนมุมมองของญปี่ ่ นุ ตอ่ ไทยสมยั นน้ั
ถอื วา่ เราเป็ นเมอื งทคี่ ่อนขา้ งเจรญิ
และไม่เคยถกู ชาวตา่ งชาตคิ รอบงาเหมอื นประเทศหลายๆประเทศ
ในแถบนี้ จงึ

52

ตอ้ งการใหไ้ ทยเขา้ รว่ มกบั ฝ่ ายอกั ษะ เพราะนโยบายของญปี่ ่ นุ คอื
ตอ่ ตา้ นและขบั ไลช่ าวตะวนั ตก
ใหอ้ อกไปจากแผ่นดนิ เอเชยี ใหห้ มด
ประเทศต่างๆทเี่ ป็ นเมอื งขนึ้ จงึ ถกู โจมตี

ในปี 2481 จอมพล แปลก พบิ ูลสงคราม ไดเ้ ป็ นนายกรฐั มนตรี
เขาจดั การความนิยมของรฐั บาลดว้ ยการควบคุมสอื่ และตรวจพจิ
ารณา
มกี ารจบั นักโทษการเมอื งและเคลอื่ นไหวตอ่ ตา้ นราชวงศ[์ 5]:455,
457 ภายในปี แรก
รฐั บาลออกกฎหมายตอ่ ตา้ นชาวจนี หลายฉบบั
และสงวนบางอาชพี ใหเ้ ฉพาะชาวไทยซงึ่ เป็ นความคดิ ชาตนิ ิยมท
างเศรษฐกจิ ออกรฐั นิยม 12 ประการ
รวมทงั้ การเปลยี่ นชอื่ ประเทศเป็ นไทย
และควบคมุ วถิ ชี วี ติ ประจาวนั ตา่ ง ๆ
โดยอา้ งวา่ เพอื่ ใหต้ า่ งประเทศมองวา่ ไทยเป็ นประเทศสมยั ใหม่

ในเดอื นพฤศจกิ ายน 2483
53
ไทยสง่ กาลงั รุกเขา้ ไปในลาวและกมั พูชา
ถงึ แมจ้ ะแพใ้ นยทุ ธนาวเี กาะชา้ ง แต่ทางบกสามารถยดึ ดนิ แดนได ้
จนญปี่ ่ ุนเขา้ มาเป็ นตวั กลาง
โดยมกี ารบรรลุอนุสญั ญายกดนิ แดนลาวและกมั พูชาบางส่วนใหไ้
ทย[5]:462 หลงั จากนั้นประเทศไทยเตรยี มรบั ศกึ ญปี่ ่ ุน

แต่ชาตมิ หาอานาจองั กฤษและสหรฐั ต่างไม่สามารถชว่ ยรกั ษาคว
ามมน่ั คงของไทยได ้

วนั ที่ 8 ธนั วาคม 2484 ญปี่ ่ นุ เคลอื่ นทพั ผา่ นประเทศไทย
มกี ารปะทะกบั ญปี่ ่ ุนหลายจดุ จอมพล ป.
เห็นวา่ การขดั ขนื เปล่าประโยชน์ จงึ สง่ั หยดุ ยงิ
ยนิ ยอมใหก้ องทพั ญปี่ ่ นุ เดนิ ทางผา่ นประเทศไทยโดยแลกกบั ให้
ญปี่ ่ ุนยอมรบั เอกราชของไทย[5]:463,465
ตอ่ มารฐั บาลเห็นญปี่ ่ ุนไดช้ ยั ตามสมรภูมติ า่ ง ๆ
กเ็ ชอื่ วา่ ญปี่ ่ นุ จะชนะสงคราม
จงึ เขา้ เป็ นพนั ธมติ รกบั ญปี่ ่ นุ และประกาศสงครามต่อสหรฐั และสห

ราชอาณาจกั ร ฝ่ ายเสนีย ์ ปราโมช
เอกอคั รราชทตู ไทยประจาสหรฐั ในเวลาน้ัน
ปฏเิ สธยนื่ คาประกาศสงครามไปยงั สหรฐั
และกอ่ ตง้ั ขบวนการเสรไี ทย เดอื นพฤษภาคม 2485

รฐั บาลนากาลงั เขา้ ยดึ ครองรฐั ฉาน สถาปนาเป็ นสหรฐั ไทยเดมิ
ขณะเดยี วกนั ญปี่ ่ นุ ยงั มอบดนิ แดนมลายทู ยี่ กใหบ้ รเิ ตนในปี

2452 แกไ่ ทยดว้ ย[5]:466–7 อยา่ งไรก็ดี
ญปี่ ่ นุ เรมิ่ เป็ นฝ่ ายเพลยี่ งพลา้ ในปี 2487

ไทยประสบปัญหาขาดแคลนสนิ คา้ จาเป็ น
การเพมิ่ ภาษแี ละเงนิ เฟ้ อทพี่ ่งุ สูง
ทง้ั ยงั เผชญิ กบั การทงิ้ ระเบดิ ทางอากาศของฝ่ ายสมั พนั ธมติ ร[5]:

467–8 เดอื นกรกฎาคม 2487 จอมพล ป.

พบิ ลู สงครามแพม้ ตใิ นสภาผแู ้ ทนราษฎรจงึ ลาออกจากตาแหน่ง
ทง้ั นี้ เหตผุ ลหนึ่งคอื ส.ส.

ตอ้ งการพฒั นาความสมั พนั ธก์ บั ฝ่ ายสมั พนั ธมติ รและเห็นวา่ จอม

พล ป. คอื สายสมั พนั ธใ์ นอดตี กบั ญปี่ ่ ุน และเลอื กควง
อภยั วงศเ์ ป็ นนายกรฐั มนตรแี ทน[5]:470 ชว่ งปลายสงคราม
รฐั บาลพยายามอย่างยงิ่ ทจี่ ะใหร้ อดพน้ จากขอ้ เรยี กรอ้ งของฝ่ ายสั
มพนั ธมติ ร
โดยพยายามเสนอขบวนการเสรไี ทยในประเทศใหฝ้ ่ ายสมั พนั ธมิ
ตรใชเ้ พอื่ ต่อตา้ นญปี่ ่ นุ
และไทยพงึ่ ความสมั พนั ธก์ บั รฐั บาลสหรฐั [5]:472–3
54

หลงั ญปี่ ่ นุ ยอมจานนในเดอื นสงิ หาคม 2488 ปรดี ี พนมยงค ์
ผสู ้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค ์
ใหเ้ หตุผลวา่ การประกาศสงครามตอ่ สหรฐั และสหราชอาณาจกั รไ
ม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
และปฏเิ สธขอ้ ตกลงทง้ั หมดระหวา่ งรฐั บาลจอมพล ป. กบั ญปี่ ่ นุ
ดา้ นควง
อภยั วงศล์ าออกจากตาแหน่งนายกรฐั มนตรเี พราะไปมสี ว่ นกบั ญี่

ป่ นุ ระหวา่ งสงคราม[5]:473–4
รฐั บาลสหราชอาณาจกั รมขี อ้ เรยี กรอ้ งยดื ยาวตอ่ ไทย
แต่ถกู รฐั บาลสหรฐั ใชอ้ ทิ ธพิ ลขม่ ไว ้ สดุ ทา้ ย
มกี ารตกลงความตกลงสมบูรณแ์ บบซงึ่ ใหไ้ ทยคนื ดนิ แดนทไี่ ดม้ า
ระหวา่ งสงครามแกเ่ จา้ ของเดมิ และการขายขา้ วใหส้ หราชอาณาจั
กรเพอื่ แลกกบั การไดร้ บั เสยี งสนับสนุนใหเ้ ขา้ เป็ นสมาชกิ สหประ
ชาชาตเิ ท่าน้ัน ในปี 2489 ศาลฎกี ายตุ คิ ดจี อมพล ป.
ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั สงคราม และวนั ที่ 9 มถิ นุ ายน
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหดิ ลตอ้ งพระแสงปืนส
วรรคตอย่างมปี รศิ นา[5]:467–8 พระวรวงศเ์ ธอ
พระองคเ์ จา้ ภมู พิ ลอดุลเดชสบื ราชสมบตั เิ ป็ นพระบาทสมเด็จพระ
มหาภมู พิ ลอดุลยเดช (ครองราชย ์ 2489–2559) ทาใหใ้ นชว่ งปี
2489–2490
รฐั บาลฝ่ ายทสี่ นับสนุนปรดี เี สอื่ มอานาจอยา่ งรวดเรว็

วนั ที่ 8 พฤศจกิ ายน 2490 คณะทหารรฐั ประหาร
มกี ารถอนรากถอนโคนฝ่ ายซา้ ย
โดยเฉพาะผสู ้ นับสนุนของปรดี [ี 5]:480 รฐั บาลจอมพล ป.
หวนคนื สู่อานาจอกี ครง้ั ในปี

55

2491 และใชน้ โยบายปราบปรามชาวจนี มลายู
และนักการเมอื งภาคอสี าน เดอื นเมษายน 2491
เกดิ เหตุการณช์ มุ นุมประทว้ งของชาวบา้ นดุซงญอ
จงั หวดั นราธวิ าส
ซงึ่ รฐั บาลใชก้ าลงั ปราบปรามอย่างหนัก[5]:486

หลงั จากเหตุการณก์ บฏแมนฮตั ตนั ในปี 2494 พลตรี เผา่
ศรยี านนท ์ อธบิ ดกี รมตารวจ และ พลตรี สฤษดิ ์ ธนะรชั ต ์

รฐั มนตรชี ว่ ยวา่ การกระทรวงกลาโหม ค่อย ๆ
มอี านาจมากขนึ้ แทนจอมพล ป.[5]:488,490
บทบาทของสหรฐั ในเวลานนั้ มองวา่ ไทยเป็ นรฐั ทตี่ อ้ งไดร้ บั การปก
ป้ องเพอื่ กนั การแผข่ ยายของลทั ธคิ อมมวิ นิสต ์

ประเทศไทยเขา้ รว่ มรบในสงครามเกาหลใี นปี 2497

เป็ นประเทศหลกั ในองคก์ ารสนธสิ ญั ญาป้ องกนั ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวั

นออกเฉียงใต ้
ประเทศไทยไดร้ บั เงนิ อดุ หนุนเพอื่ สรา้ งโครงสรา้ งพนื้ ฐาน

ความชว่ ยเหลอื ทางเทคนิค

และการปรบั ปรุงกองทพั และตารวจจากสหรฐั [5]:493–4 ชว่ งปี

2498–2500 จอมพล ป.
เรมิ่ ผ่อนปรนการควบคมุ การเมอื งอย่างเขม้ งวดและใหจ้ ดทะเบยี น

พรรคการเมอื งได ้ จอมพล ป. ยงั มุง่ ลดอานาจของ พล.ต.อ. เผ่า
การเลอื กตงั้ ทว่ั ไปในเดอื นกมุ ภาพนั ธ ์ 2500 พรรคของจอมพล
ป. ชนะการเลอื กตงั้ ถลม่ ทลาย แต่เป็ นทขี่ นึ้ ชอื่ วา่ เป็ น
"การเลอื กตงั้ ทสี่ กปรกทสี่ ดุ "
จอมพลสฤษฎไิ ์ ดร้ บั การสนับสนุนจากประชาชนเนื่องจากลาออก
จากคณะรฐั มนตรใี นเดอื นสงิ หาคม 2500 จนในวนั ที่ 13
กนั ยายน จอมพลสฤษฎนิ ์ ากองทพั รฐั ประหาร

ระบอบสฤษดแิ ์ ละยคุ ถนอม-ประภาส

หลงั รฐั ประหารปี 2500 พลเอก ถนอม กติ ตขิ จร

เป็ นนายกรฐั มนตรี

แตร่ ฐั บาลถกู คา้ นในสภาผแู ้ ทนราษฎรอยา่ งหนักจนไม่สามารถ
ทางานอยา่ งราบรนื่
จอมพลฤษฎดมิ ์ คี วามเห็นวา่ พฤตกิ รรมของสมาชกิ สภาผูแ้ ทนรา
ษฎร สอื่ มวลชนทขี่ าดการควบคมุ

และขอ้ พพิ าทแรงงานและการประทว้ งลว้ นบอ่ นทาลายประเทศ[5]:
508–9 ในปี 2501
เขายกเลกิ รฐั ธรรมนูญและออกคาสง่ั สภาปฏวิ ตั ิ
และสง่ั จบั ผวู ้ จิ ารณร์ ฐั บาลหลายรอ้ ยคน
เขาตอกยา้ ภาพความสะอาดและความเป็ นระเบยี บ
โดยจดั การปัญหาอาชญากรรมอย่างเฉียบขาด

สงั คมไทยหลายภาคส่วนยอมรบั ผนู ้ าเบด็ เสรจ็ แบบดงั กล่าว[5]:5
10 เขายงั เปลยี่ นจาก

56

ความจงรกั ภกั ดตี ่อรฐั และรฐั ธรรมนูญมาเป็ นความภกั ดตี อ่ พระม
หากษตั รยิ ์
ซงึ่ ยอ่ มทาใหร้ ฐั บาลในพระมหากษตั รยิ ม์ คี วามชอบธรรมตามไปด ้

วย[5]:511
เขาฟื้นฟูบทบาททางสงั คมของสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์

และยงั พยายามสรา้ งความชอบธรรมตามวถิ ปี ระชาธปิ ไตยดว้ ยกา

รดาเนินนโยบายพฒั นาชนบท
สง่ เสรมิ การลงทนุ ของเอกชนและตา่ งชาตเิ พอื่ ยกฐานะทางเศรษฐ
กจิ ของประเทศ[5]:513–4
หลงั ขบวนการปะเทดลาวซงึ่ เป็ นคอมมวิ นิสตค์ อ่ ย ๆ
มอี านาจเพมิ่ ขนึ้ ในลาว

รฐั บาลยอมรบั ขอ้ ตกลงของสหรฐั ในการคมุ ้ ครองไทย
และใหส้ หรฐั เขา้ มาตง้ั ฐานทพั ในประเทศหลงั จอมพลสฤษฎถิ ์ งึ แก่

อสญั กรรมในปี 2506

มกี ารสบื ทอดตาแหน่งผนู ้ าประเทศเขา้ สยู่ คุ ถนอม-ประภาส
ประเทศไทยเขา้ ไปเกยี่ วขอ้ งในสงครามเวยี ดนามมากขนึ้

อย่างไรกต็ าม

วยั อาจระบวุ า่ ไม่ใชว่ า่ ประเทศไทยสละความเป็ นกลางหรอื ความเป็

นอสิ ระในนโยบายตา่ งประเทศ
แตป่ ระเทศไทยใชป้ ระโยชนจ์ ากความสมั พนั ธก์ บั สหรฐั เพอื่ บรรลุเ
ป้ าหมายของตนคอื สรา้ งมติ รกบั ฝ่ ายทไี่ ม่ใชค่ อมมวิ นิสตใ์ นลาวแ

ละกมั พูชา
และตอ่ ตา้ นอทิ ธพิ ลของเวยี ดนามในสองประเทศนี[้ 5]:523–4
เมอื่ รฐั บาลไทยและสหรฐั เขา้ ไปตอบโตป้ ฏบิ ตั กิ ารของเวยี ดนามใ

นลาวและกมั พูชา

เวยี ดนามเหนือและจนี ตอบโตด้ ว้ ยการสง่ เสรมิ การต่อตา้ นรฐั บาล

ในประเทศไทย[5]:524 ระหวา่ งปี 2507–11
มกี ารสง่ ทหารอเมรกิ นั เขา้ มาในประเทศไทยอยา่ งต่อเนื่องจนมเี จา้
หนา้ ทเี่ กอื บ 45,000 คน มเี ครอื่ งบนิ รบเกอื บ 600 ลา[5]:524

จนถงึ ปี 2510
ไทยสง่ กองทพั ครบทงั้ สามเหล่าทพั เขา้ รว่ มปฏบิ ตั กิ ารในเวยี ดนา

มใต ้ โดยในปี 2512 มที หารไทยในเวยี ดนาม 11,000
นายซงึ่ คดิ เป็ นรอ้ ยละ 14 ของกาลงั พลทง้ั หมด[5]:525
ผลกระทบของการเขา้ มาของทหารอเมรกิ นั นีย้ งั เปลยี่ นความสมั

พนั ธข์ องชาวนาในชนบท
และสรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผูน้ ากองทพั กบั ผนู ้ าธรุ กจิ เชอื้ สาย

ไทย-จนี คนหนุ่มสาวในชนบทเขา้ เมอื งเพอื่ หางานทา
เรง่ โอกาสทางการศกึ ษาและการเขา้ ถงึ สอื่ มวลชน[5]:526–7
นอกจากนี ้
ชาวนาในชนบทยงั เกดิ สานึกเรอื่ งความไม่เสมอภาคทา

57

ใหเ้ กดิ ความไม่พอใจรฐั บาล ปลายปี 2507
เรมิ่ เกดิ การกอ่ การกาเรบิ คอมมวิ นิสตเ์ รมิ่ จากภาคอสี าน
แลว้ ลามไปภาคเหนือและใต ้

ในชว่ งเดยี วกนั จานวนประชากรไทยเพมิ่ ขนึ้ อย่างกา้ วกระโดด
และเศรษฐกจิ ของประเทศเรมิ่ เปลยี่ นจากเกษตรกรรมมาเป็ นอตุ ส
าหกรรม
จานวนคนหนุ่มสาวทไี่ ดร้ บั การศกึ ษาดมี เี พมิ่ ขนึ้ นาไปสกู่ ารขยาย
ชนชน้ั กลางทเี่ ป็ นกลุม่ คนกลมุ่ ใหญข่ องประเทศ
ชนชน้ั กลางเหลา่ นีม้ อี ตั ลกั ษณข์ องตนเองโดยมลี กั ษณะอนุรกั ษนิ
ยมทางการเมอื ง
พรอ้ มกบั ยดึ ถอื ค่านิยมทเี่ นน้ เสรภี าพอยา่ งตะวนั ตก[5]:537
การทรี่ ฐั บาลเขา้ ไปมอี านาจในหมู่บา้ นชนบททาใหเ้ กดิ ความไม่พ
อใจ เพราะชาวบา้ นถกู ทหารและตารวจขม่ เหง
หรอื ถกู ขา้ ราชการฉอ้ โกง
มกี ารตอ่ ตา้ นรฐั บาลควบคู่ไปกบั การดาเนินงานของสหภาพชาว
นาและกรรมกร[5]:539–40ในปี 2511
ท่ามกลางแรงกดดนั จากนักศกึ ษาในประเทศและสหรฐั
จอมพลถนอมจงึ ประกาศรฐั ธรรมนูญฉบบั ใหม่ทมี่ สี ภาผูแ้ ทนราษ

ฎรจากการเลอื กตงั้ คู่กบั วฒุ สิ ภาทมี่ าจากการแตง่ ตง้ั
จอมพลถนอมชนะการเลอื กตง้ั ในปี 2512
และไดต้ ง้ั รฐั บาลอกี สมยั แตค่ วามขดั แยง้ ในสภา
และกจิ กรรมทางการเมอื งทเี่ กดิ จากการผ่อนปรนการจากดั การแ
สดงออก
ทาใหร้ ฐั บาลตนื่ ภยั วา่ อาจเป็ นความลม่ สลายของความสามคั คใี น
ชาติ
เชน่ เดยี วกบั ฐานะของจอมพลถนอมและประภาสในกองทพั ทมี่ อี น
าคตไม่แน่นอน เดอื นพฤศจกิ ายน 2514
จอมพลถนอมยุบสภาและยกเลกิ พรรคการเมอื ง
นาประเทศกลบั สยู่ คุ กองทพั ครอบงาอกี ครงั้ [5]:540–1
จอมพลถนอมใชว้ ธิ สี รา้ งผนู ้ าใหเ้ ขม้ แขง็ ทเี่ คยใชไ้ ดผ้ ลมากอ่ น
แตใ่ นชว่ งนั้นชนชน้ั กลางและชาวนาตอ้ งการสว่ นแบ่งอานาจทาง
การเมอื งมากขนึ้ เหตกุ ารณใ์ นเดอื นตลุ าคม 2516
ทมี่ กี ารจบั กมุ นักศกึ ษาทแี่ จกใบปลวิ ต่อตา้ นรฐั บาล
ทาใหม้ กี ารเดนิ ขบวนใหญท่ มี่ ผี เู ้ ขา้ รว่ มนับแสนคนในกรุงเทพมห
านคร รฐั บาลใชก้ าลงั เขา้ ปราบปรามจนมผี เู ้ สยี ชวี ติ 77 คน
สุดทา้ ยจอมพลถนอมและประภาสถกู บบี ใหล้ าออกจากลภี้ ยั ออก
นอกประเทศ

58

ประชาธปิ ไตยลุ่ม ๆ ดอน ๆ

ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยตงั้ แต่ปี 2516 ถงึ 2544
เป็ นชว่ งทปี่ ระชาธปิ ไตยไม่มเี สถยี รภาพ

กองทพั กลบั เขา้ ปกครองประเทศอกี ครงั้ หลงั รฐั ประหารในปี

2519"ยุคประชาธปิ ไตยเบง่ บาน" เหตุการณใ์ นเดอื นตุลาคม

2516 เป็ นการปฏวิ ตั กิ ารเมอื งไทย
เป็ นครง้ั แรกทชี่ นชนั้ กลางในเมอื งซงึ่ มนี ักศกึ ษาเป็ นผนู ้ าคดั คา้ น

คณะผยู ้ ดึ อานาจปกครอง

และดเู หมอื นไดร้ บั ความเห็นชอบของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ั
วในการเปลยี่ นผา่ นส่ปู ระชาธปิ ไตย

หวั หนา้ รฐั บาลทหารถกู บบี ใหล้ าออก
ทงั้ หมดลภี้ ยั ไปยงั สหรฐั ไม่ก็ไตห้ วนั อยา่ งไรก็ดี
ประเทศไทยยงั ไม่มชี นชน้ั การเมอื งทสี่ ามารถดาเนินการประชาธิ
ปไตยใหม่นีอ้ ย่างราบรนื่ ผลการเลอื กตง้ั ในเดอื นมกราคม 2518

ไมม่ พี รรคการเมอื งพรรคใดครองเสยี งขา้ งมากในสภา
และการเลอื กตงั้ ในเดอื นเมษายน 2519
กไ็ ดผ้ ลลพั ธอ์ ยา่ งเดยี วกนั นักการเมอื งผคู ้ วา่ หวอด

หม่อมราชวงศเ์ สนีย ์ ปราโมช และนอ้ งชาย
หม่อมราชวงศค์ กึ ฤทธิ ์ ปราโมช สลบั กนั ครองอานาจ
แต่ไม่สามารถดาเนินการโครงการปฏริ ูปทสี่ อดคลอ้ งกนั
ราคานา้ มนั ทเี่ พมิ่ ขนึ้ อย่างรวดเรว็ ในปี 2517

นาไปสู่ภาวะเศรษฐกจิ ถดถอยและภาวะเงนิ เฟ้ อ
ซงึ่ บน่ั ทอนความมน่ั คงของรฐั บาล
ความเคลอื่ นไหวของรฐั บาลพลเรอื นทไี่ ดร้ บั ความนิยมคอื การเรยี

กรอ้ งใหถ้ อนกาลงั อเมรกิ นั ออกจากประเทศไทย

การกอ่ การกาเรบิ คอมมวิ นิสตค์ อ่ ย ๆ
มคี วามเคลอื่ นไหวมากขนึ้ ในชนบท

โดยเป็ นพนั ธมติ รกบั ปัญญาชนและนักศกึ ษาในเมอื งเวยี ดนามใต ้

ลาว และกมั พูชากลายเป็ นคอมมวิ นิสตใ์ นปี 2518
ภยั คุกคามคอมมวิ นิสตใ์ นประเทศเพอื่ นบา้ นทาใหป้ ระชาชนตนื่ ต
ระหนก การสถาปนาระบอบคอมมวิ นิสตต์ ดิ กบั ชายแดนไทย
การเลกิ สถาบนั พระมหากษตั รยิ ล์ าวอายุ 600 ปี
การไหลบา่ ของผลู ้ ภี้ ยั จากประเทศลาวและกมั พูชาหนั มตมิ หาชน
ไปเขา้ กบั ฝ่ ายขวา
และฝ่ ายอนุรกั ษนิยมควา้ ทนี่ ่ังมากขนึ้ ในการเลอื กตง้ั ปี
2519ปลายปี 2519
ความเห็นของชนชนั้ กลางสายกลางในเมอื งหนั ออกจากการเคลื่
อนไหวของนักศกึ ษา
ซงึ่ มคี วามเห็นเอยี งไปทางฝ่ ายซา้ ยมากยงิ่ ขนึ้
กองทพั และพรรคการเมอื งฝ่ ายขวาเรมิ่ สงครามโฆษณาชวนเชอื่

59

ต่อลทั ธเิ สรนี ิยมของนักศกึ ษาโดยกล่าวหาวา่ นักศกึ ษาเป็ นคอมมิ
วนิสตแ์ ละฆา่ นักศกึ ษาเหลา่ นีผ้ ่านองคก์ ารกงึ่ ทหารทางการอยา่ ง
ลูกเสอื ชาวบา้ นและกระทงิ แดง

สถานการณส์ ุกงอมในเดอื นตุลาคม 2519 เมอื่ จอมพลถนอม
อดตี ทรราช
เดนิ ทางกลบั ประเทศไทยโดยจาพรรษาทวี่ ดั บวรนิเวศราชวรวหิ าร
ซงึ่ เป็ นวดั ประจาราชวงศ ์
ความตงึ เครยี ดระหวา่ งคนงานและเจา้ ของโรงงานดเุ ดอื ดยงิ่ ขนึ้
เมอื่ ขบวนการสทิ ธพิ ลเมอื งมคี วามเคลอื่ นไหวมากขนึ้ ตง้ั แต่ปี
2516
อดุ มการณส์ งั คมนิยมและฝ่ ายซา้ ยไดร้ บั ความนิยมในหมู่ปัญญา

ชนและชนชน้ั แรงงาน
บรรยากาศการเมอื งมคี วามตงึ เครยี ดมากขนึ้

พบศพคนงานถกู แขวนคอในจงั หวดั นครปฐมหลงั ประทว้ งเจา้ ของ

โรงงาน

ผปู ้ ระทว้ งนักศกึ ษาใชพ้ นื้ ทมี่ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรแ์ ละจดั การ

ประทว้ งต่อการเสยี ชวี ติ อยา่ งรนุ แรงของคนงานและจดั การแสดงล ้
อแขวนคอ ซงึ่ มกี ารกล่าวหาวา่ คนหนึ่งคลา้ ยกบั มกฎุ ราชกมุ าร
วนั รุง่ ขนึ้ หนังสอื พมิ พบ์ างฉบบั รวมทง้ั บางกอกโพสต ์
พมิ พภ์ าพถา่ ยฉบบั ดดั แปลงซงึ่ แนะวา่ ผปู ้ ระทว้ งหมนิ่ พระบรมเดช

านุภาพ ฝ่ ายขวาและอนุรกั ษนิยมประณามผปู ้ ระทว้ ง
และปลุกป่ันวธิ กี ารรนุ แรงเพอื่ ปราบปราม
จนลงเอยดว้ ยการสงั หารหมู่ทมี่ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร ์6

ตลุ าคม 2519

เปรม ตณิ สลู านนทด์ ารงตาแหน่งนายกรฐั มนตรใี นชว่ ง 2523-
2531 การเมอื งเขา้ สรู่ ะบบ "ประชาธปิ ไตยครงึ่ ใบ"
ทหี่ มายถงึ การประนีประนอมระหวา่ งการเมอื งระบบรฐั สภากบั อาน

าจเผด็จการ
หลงั จากน้ันการเมอื งไทยอยูใ่ นระบบรฐั สภายกเวน้ ระบอบทหารช่
วงสน้ั ๆ ระหวา่ งปี 2534 ถงึ 2535เผด็จการฝ่ ายขวา

เย็นวนั เดยี วกนั คณะทหารกอ่ การรฐั ประหาร
ประกาศใหร้ ฐั บาลผสมทมี่ พี รรคประชาธปิ ตั ยเ์ ป็ นแกนนาสนิ้ สดุ ลง
กองทพั ตงั้ ธานินทร ์กรยั วเิ ชยี ร
อดตี ผพู ้ พิ ากษาทมี่ คี วามคดิ อนุรกั ษน์ ิยมอยา่ งยงิ่
เป็ นนายกรฐั มนตรแี ละกวาดลา้ งมหาวทิ ยาลยั สอื่

และขา้ ราชการพลเรอื น นักศกึ ษา
ปัญญาชนและฝ่ ายซา้ ยหลายพนั คนหนีออกจาก

60

กรงุ เทพมหานครและลภี้ ยั กบั พรรคคอมมวิ นิสตแ์ หง่ ประเทศไทยใ
นภาคเหนือและภาคอสี าน บางส่วนหนีออกนอกประเทศ เชน่ ดร.
ป๋ วย องึ๊ ภากรณ์
นักเศรษฐศาสตรผ์ มู ้ ชี อื่ เสยี งและอธกิ ารบดมี หาวทิ ยาลยั ธรรมศา
สตร ์เศรษฐกจิ กป็ ระสบปัญหารา้ ยแรงเชน่ กนั
เนื่องจากนโยบายของธานินทรส์ ่วนหนึ่งทาใหน้ ักลงทนุ ตา่ งชาตหิ
วาดกลวั

รฐั บาลใหม่ไดร้ บั การพสิ จู นแ์ ลว้ วา่ ไม่มเี สถยี รภาพเชน่ เดยี วกบั กา
รทดลองประชาธปิ ไตยทเี่ คยปฏบิ ตั มิ า ในเดอื นตุลาคม 2520
กองทพั อกี สว่ นหนึ่งกอ่ รฐั ประหารอกี ครง้ั
และเปลยี่ นตวั นายกรฐั มนตรจี ากธานินทรเ์ป็ นพลเอก เกรยี งศกั ดิ ์
ชมะนนั ทน์ ในปี 2521
รฐั บาลเสนอนิรโทษกรรมแกค่ อมมวิ นิสตไ์ ทย
และยงั เสนอทอี่ ยอู่ าศยั
การรวมญาตแิ ละความปลอดภยั จนถงึ บดั นี้
กองทพั ไทยจาตอ้ งรบั มอื กบั สถานการณอ์ นั เกดิ จากการบกุ ครอง
กมั พูชาของเวยี ดนาม มกี ารไหลบา่ ของผูล้ ภี้ ยั อกี ระลอก
โดยกาลงั เวยี ดนามและเขมรแดงขา้ มเขา้ มาในเขตแดนไทยเป็ นร
ะยะ ทาใหเ้ กดิ การปะทะตามแนวชายแดน
การเดนิ ทางเยอื นประเทศจนี ในปี 2522 ทาใหเ้ ตงิ้
เสยี่ วผงิ ตกลงยตุ กิ ารสนับสนุนขบวนการคอมมวิ นิสตข์ องไทย

เพอื่ แลกกบั ทางการไทยใหท้ พี่ กั ปลอดภยั แกก่ าลงั เขมรแดงทหี่ ล
บหนีกมั พูชาเขา้ มาในประเทศ
การเปิ ดเผยอาชญากรมของเขมรแดงหลงั แพส้ งครามกลางเมอื ง
ลดเสน่หด์ งึ ดดู ของลทั ธคิ อมมวิ นิสตต์ อ่ สาธารณชนไทย
ไม่นานฐานะของพลเอกเกรยี งศกั ดกิ ์ ร็ บั ไมอ่ ยู่และถกู บบี ใหล้ งจาก
ตาแหน่งในเดอื นกมุ ภาพนั ธ ์ 2523 ในชว่ งปัญหาเศรษฐกจิ
พลเอก เปรม ตณิ สูลานนท ์ ผบู ้ ญั ชาการทหารบก
สบื ตาแหน่งต่อมา
เขาเป็ นพวกนิยมเจา้ อย่างเหนียวแน่นและมชี อื่ เสยี งเรอื่ งความซอื่
สตั ยร์ ะหวา่ งปี 2522 ถงึ 2531
กาลงั ยดึ ครองเวยี ดนามในกมั พูชารุกลา้ เขา้ มาในเขตแดนไทย
โดยอา้ งวา่ มองหากองโจรกบฏทซี่ อ่ นอยูใ่ นคา่ ยผลู ้ ภี้ ยั ซงึ่ มผี ลู ้ ภี้ ยั
ชาวลาวและเวยี ดนามอาศยั อยจู่ านวนมาก
เกดิ การรบปะทะประปรายตามแนวชายแดนระหวา่ งปี 2528 ถงึ
2531 เมอื่ ทหารเวยี ดนามตโี ฉบฉวยขา้ มชายแดนเป็ นระยะ ๆ
เพอื่ กวาดลา้ งค่ายตามชายแดนของเขมรแดง
ซงึ่ มจี นี เป็ นผูส้ นับสนุนหลกั
บางทกี ารโจมตนี ีถ้ กู กองทพั ไทยขบั กลบั ไป

61

"ยุคประชาธปิ ไตยครงึ่ ใบ"

ส่วนใหญข่ องครสิ ตท์ ศวรรษ 1980
เห็นกระบวนการทาใหเ้ ป็ นประชาธปิ ไตยทพี่ ลเอกเปรมเป็ นผคู ้ วบ
คุมดูแล

ยุคพลเอกเปรม

ในเดอื นเมษายน 2524 มนี ายทหารชน้ั ผูน้ อ้ ยซงึ่ เรยี ก "ยงั เตริ ก์ "

พยายามรฐั บาลโดยยดึ กรุงเทพมหานคร

คณะรฐั ประหารยุบสภานิตบิ ญั ญตั แิ หง่ ชาติ
และสญั ญาการเปลยี่ นแปลงทางสงั คมอยา่ งกวา้ งขวาง
แตก่ บฏลม้ เหลวอยา่ งรวดเรว็ เมอื่ พลเอกเปรมรบั รองพระบรมวงศา

นุวงศไ์ ปยงั นครราชสมี า
เมอื่ การสนับสนุนพลเอกเปรมของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ป

รากฏชดั เจน กาลงั ฝ่ ายรฐั บาลภายใตพ้ ลเอก อาทติ ย ์ กาลงั เอก
เขา้ ควบคมุ เมอื งหลวงไดโ้ ดยไม่เสยี เลอื ดเนือ้

การเมอื งบทนีย้ งิ่ เพมิ่ เกยี รตภิ มู ขิ องพระมหากษตั รยิ ย์ งิ่ ขนึ้

และส่งเสรมิ สถานภาพของพลเอกเปรมวา่ ค่อนขา้ งมลี กั ษณะสาย
กลาง ฉะน้ันจงึ มกี ารประนีประนอมกนั

การกอ่ การกาเรบิ คอมมวิ นิสตย์ ตุ ลิ งและกองโจรส่วนใหญไ่ ดร้ บั นิ

รโทษกรรม ในเดอื นธนั วาคม 2525

ผบู ้ ญั ชาการทหารสูงสดุ รบั ธงพรรคคอมมวิ นิสตแ์ หง่ ประเทศไทยใ
นพธิ กี ารทมี่ กี ารเผยแพรอ่ ยา่ งกวา้ งขวาง
นักรบคอมมวิ นิสตแ์ ละผูส้ นับสนุนสง่ มอบอาวธุ และสวามภิ กั ดติ ์ ่อร ั

ฐบาลขณะเดยี วกนั
มกี ารประกาศใชร้ ฐั ธรรมนูญฉบบั ใหม่ซงึ่ ตง้ั วฒุ สิ ภาซงึ่ มาจากกา
รแตง่ ตงั้ เพอื่ คานกบั สภาผแู ้ ทนราษฎรซงึ่ สมาชกิ มาจากการเลอื ก
ตงั้ มกี ารจดั การเลอื กตง้ั ในเดอื นเมษายน 2526

ทาใหพ้ ลเอกเปรมในคราบนักการเมอื งพลเรอื น
ไดท้ นี่ ่ังฝ่ ายขา้ งมากในสภาผูแ้ ทนราษฎร
(เป็ นขอ้ ตกลงทตี่ ่อมาเรยี ก "เปรมาธปิ ไตย")

พลเอกเปรมยงั เป็ นผรู ้ บั ผลประโยชนจ์ ากการปฏวิ ตั ทิ างเศรษฐกจิ
อย่างรวดเรว็ ซงึ่ แผไ่ ปทว่ั เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต ้

หลงั ภาวะเศรษฐกจิ ถดถอยในกลางครสิ ตท์ ศวรรษ 1970
เรมิ่ มกี ารเตบิ โตทางเศรษฐกจิ
เป็ นครง้ั แรกทปี่ ระเทศไทยเป็ นประเทศอตุ สาหกรรมทสี่ าคญั

62

และสนิ คา้ ผลติ อย่างชนิ้ ส่วนคอมพวิ เตอร ์
สงิ่ ทอและรองเทา้ เป็ นสนิ คา้ สง่ ออกหลกั แทนขา้ ว

ยางพาระและดบี กุ
เมอื่ สงครามอนิ โดจนี และการกอ่ การกาเรบิ คอมมวิ นิสตย์ ุติ
การทอ่ งเทยี่ วมกี ารพฒั นาอย่างรวดเรว็ และกลายเป็ นรายไดส้ าคั

ญ ประชากรเมอื งยงั เตบิ โตอยา่ งรวดเรว็
แตป่ ระชากรโดยรวมเรมิ่ เตบิ โตชา้ ลง
ทาใหม้ าตรฐานการครองชพี สงู ขนึ้ แมแ้ ตใ่ นพนื้ ทชี่ นบท
แมว้ า่ ภาคอสี านยงั คงตามหลงั ภาคอนื่
แมป้ ระเทศไทยไม่ไดเ้ ตบิ โตเรว็ เท่ากบั สเี่ สอื แหง่ เอเชยี
แตก่ ็มกี ารเตบิ โตอยา่ งตอ่ เนื่อง

พลเอกเปรมดารงตาแหน่งนายกรฐั มนตรี 8 ปี
โดยชนะการเลอื กตง้ั ทว่ั ไปอกี สองครง้ั ในปี 2526 และ 2529

และยงั ไดร้ บั ความนิยม
แตก่ ารฟื้นฟูประชาธปิ ไตยทาใหม้ กี ารเรยี กรอ้ งผนู ้ าทกี่ ลา้ ไดก้ ลา้ เ
สยี มากขนึ้ ในปี 2531 ารเลอื กตงั้ ทาใหพ้ ลเอก ชาตชิ าย

ชณุ หะวณั เป็ นนายกรฐั มนตรี

พลเอกเปรมปฏเิ สธคาเชญิ ของพรรคการเมอื งใหญใ่ หด้ ารงตาแห
น่งนายกรฐั มนตรสี มยั ทสี่ าม

ผลจากเหตุการณ์ 14
ตุลาทาใหก้ ารแสดงความเห็นตา่ งทถี่ กู เกบ็ กดมาหลายสบิ ปี กลบั

มามปี ากเสยี ง เกดิ รฐั บาลพลเรอื น
และรฐั ธรรมนูญฉบบั ใหมท่ ใี่ หท้ ง้ั สมาชกิ รฐั สภามาจากการเลอื กต้ั
งทงั้ หมด
เกดิ องคก์ ารการเมอื งและการดาเนินกจิ กรรมอยา่ งทไี่ มเ่ คยมมี าก่
อน เกดิ การประทว้ งของกรรมกรและชาวนาไปทว่ั
การแสดงความคดิ เห็นในทสี่ าธารณะมอี สิ ระ

งานเขยี นของปัญญาชนฝ่ ายซา้ ยไดร้ บั ความนิยม
สมยั นายกรฐั มนตรหี ม่อมราชวงศค์ กึ ฤทธิ ์

ปราโมชสามารถเจรจาใหส้ หรฐั ถอนฐานทพั ออกจากประเทศและ

เจรจาสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั สาธารณรฐั ประชาชนจนี [5]:544,54

6–7 อยา่ งไรก็ตาม
สถานการณใ์ นภูมภิ าคขณะนั้นประเทศลาวมกี ารเลกิ สถาบนั พระ

มหากษตั รยิ ์ และคอมมวิ นิสตช์ นะสงครามเวยี ดนาม
หลงั การเลอื กตง้ั ในปี 2519
ไดร้ ฐั บาลผสมอกี สมยั ทมี่ คี วามเปราะบาง

เกดิ ขดั แยง้ ในสภาทาใหร้ ฐั บาลแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ไดน้ อ้ ย
และนักศกึ ษาฝ่ ายซา้ ยเรมิ่ ทาใหผ้ สู ้ นับสนุนรสู ้ กึ แปลกแยก

สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์
ชนชน้ั นาในเมอื งและชนชน้ั กลางจานวนมากเรมิ่ หนั มาสนับสนุน

กลมุ่ ฝ่ ายขวาตา่ ง ๆ เชน่ นวพล ลกู เสอื ชาวบา้ น กลุ่ม

63

กระทงิ แดง

เพราะมองวา่ นักศกึ ษาถกู ลทั ธคิ อมมวิ นิสตช์ กั นา[5]:547–8
ในชว่ งนีก้ ลมุ่ นักศกึ ษาฝ่ ายซา้ ยถกู ตอบโตด้ ว้ ยความรนุ แรง ในปี
2519 จอมพลถนอมทบี่ วชเป็ นสามเณรเดนิ ทางกลบั ประเทศ
โดยมสี มาชกิ ราชวงศเ์ สด็จไปเยยี่ มทวี่ ดั [5]:548
เกดิ การประทว้ งขนึ้ รายวนั ในมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร ์

ยา่ งเขา้ เดอื นตลุ าคม 2519

ฝ่ ายขวามปี ฏกิ ริ ยิ าตอ่ การประทว้ งโดยการปลกุ ระดมใส่รา้ ยนักศึ

กษาวา่ เป็ นคอมมวิ นิสต ์
จนสุดทา้ ยมกี ารสงั หารหมูน่ ักศกึ ษาทมี่ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร ์
กองทพั เขา้ มาครอบงาการเมอื งอกี ครงั้
และการแสดงออกถกู ปิ ดกนั้ [5]:549 พอล แฮนดล์ ยี เ์ ขยี นวา่

ต่อมาสมเด็จพระบรมโอรสาธริ าชฯ
สยามมกฎุ ราชกมุ ารพระราชทานรางวลั แก่บคุ ลากรฝ่ ายขวาทกี่ อ่
การน้ันดว้ ย หลงั รฐั ประหารในปี 2519
มรี ฐั บาลขวาจดั ทใี่ ชอ้ านาจควบคมุ อย่างเขม้ งวด
นักเคลอื่ นไหวฝ่ ายซา้ ยหนีเขา้ ป่ าและออกนอกประเทศจานวนมา
ก รฐั บาลเรมิ่ เสยี การสนับสนุนจากกองทพั
จนมกี ารเปลยี่ นตวั นายกรฐั มนตรใี นปี 2520[5]:552–3
รฐั บาลใหม่พลเอก เกรยี งศกั ดิ ์ ชมะนันทน์

ลดความรุนแรงของฝ่ ายขวาและพยายามนาผหู ้ ลบหนีออกจากป่
า ในชว่ งนั้นเกดิ เหตุการณเ์ วยี ดนามบกุ กมั พูชา
ทาใหช้ ายแดนตะวนั ออกของประเทศมผี ลู ้ ภี้ ยั เขา้ มานับแสนคน

และกลมุ่ ตดิ อาวธุ บางกลมุ่ พยายามโจมตขี า้ มชายแดนเขา้ มา


Click to View FlipBook Version