การสกัดแทนนนิ จากเศษไม้และการประยุกตใ์ ชเ้ ป็นฟิลม์ แทนนินชวี ภาพ
เพือ่ ยบั ยั้งเช้อื Aspergillus flavus ในกระเทยี ม
Crude tannin extraction from wood wastes and the application
as tannin biological films for inhibition of
Aspergillus flavus in garlic
คณะผวู้ จิ ัย
นางสาวสภุ ัตรา กองตา รหัสนักศึกษา 60181570130
นางสาวอัจฉราพร กนั ทวงศ์ รหสั นักศึกษา 60181570153
อาจารย์ทป่ี รกึ ษา
ผศ.ดร. พรอนนั ต์ บญุ กอ่ น
หลกั สูตรครุศาสตรบณั ฑติ สาขาวิชาชวี วทิ ยา
คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ลาปาง
ปกี ารศกึ ษา 2563
การสกัดแทนนินจากเศษไม้และการประยกุ ต์ใช้เปน็ ฟลิ ์มแทนนินชีวภาพ
เพอื่ ยบั ย้ังเช้ือ Aspergillus flavus ในกระเทียม
Crude tannin extraction from wood wastes and the application as tannin
biological films for inhibition of Aspergillus flavus in garlic
คณะผวู้ ิจัย
นางสาวสภุ ตั รา กองตา รหสั นักศึกษา 60181570130
นางสาวอจั ฉราพร กนั ทวงศ์ รหสั นกั ศกึ ษา 60181570153
รายงานวิจัยฉบับน้เี ปน็ ส่วนหนึ่งของรายวิชา โครงการวจิ ยั ทางชวี วทิ ยา (4034901)
หลักสตู รครุศาสตรบัณฑติ สาขาวิชาชวี วิทยา
คณะวทิ ยาศาสตร์
คณะกรรมการสอบวิจยั
.................................................
(ผศ.ดร. พรอนันต์ บญุ ก่อน)
ประธานกรรมการ
.................................................
(อ.ดร.องั คณา เช้ือเจด็ ตน)
กรรมการ
.................................................
(ผศ.ดร. หฤทัย ไทยสชุ าติ)
กรรมการ
วันที่ 6 เดือน มนี าคม พ.ศ. 2564
ก
กติ ติกรรมประกาศ
โครงงานวิจัยคร้ังนี้สำเร็จลุล่วงได้ดว้ ยความกรุณาจากอาจารย์พรอนันต์ บุญก่อน อาจารย์ท่ีปรึกษา
โครงงานวจิ ัย ที่ได้ให้คำปรึกษาและช้แี นะในการศกึ ษาค้นควา้ รวมท้งั ตรวจสอบแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งต่าง ๆ จนงาน
เสรจ็ สมบรู ณ์ ผู้วจิ ยั จงึ ขอขอบพระคุณเปน็ อยา่ งสูงไว้ ณ โอกาสน้ี
ขอขอบพระคณุ อาจารยแ์ ละเจ้าหน้าท่คี ณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏลำปางทุกทา่ นทีอ่ ำนวย
อุปกรณ์การทดลอง เคร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์ และสถานที่ทำการทดลอง ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงที่ทำให้
โครงงานวิจัยของผ้วู จิ ยั สำเรจ็ ลลุ ว่ ง
ขอขอบพระคุณ ห้องปฏิบัติการพฤกษศาสตร์ สาขาวิชาชีววิทยาและห้องสมุดคณะวิทยาศาสตร์ที่
อำนวยสถานทีใ่ นการทำงานวิจัยจนประสบผลสำเร็จ
สดุ ท้ายน้ี ผู้วิจยั ขอขอบพระคุณ คุณพ่อคุณแม่ ที่ช่วงส่งเสริมสนับสนนุ งบประมาณและเป็นกำลังใจ
มาโดยตลอด รวมทั้งสมาชิกในกลุ่มที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการทำโครงงานวิจยั ครั้งน้ีจนกระทั่งประสบ
ความสำเรจ็ ดว้ ยดี
นางสาวสุภตั รา กองตา
นางสาวอัจฉราพร กันทวงศ์
มกราคม 2564
ข
ชอื่ โครงงานวจิ ัย การสกัดแทนนินจากเศษไม้และการประยุกตใ์ ชเ้ ปน็ ฟิลม์ แทนนนิ ชวี ภาพ
ผวู้ จิ ยั เพื่อยบั ยง้ั เชอ้ื Aspergillus flavus ในกระเทียม
นางสาวสภุ ตั รา กองตา
อาจารยท์ ป่ี รึกษา นางสาวอัจฉราพร กนั ทวงศ์
ครศุ าสตรบณั ฑติ (ชวี วิทยา)
อาจารย์พรอนันต์ บญุ กอ่ น
บทคัดยอ่
งานวิจัยน้ีมวี ตั ถุประสงค์เพือ่ ศกึ ษาตัวทำละลายและกำลังไฟท่ีเหมาะสมของไมโครเวฟตอ่ การ
สกัดแทนนินจากเศษไม้ขี้เลื่อยที่เป็นวัสดุเหลือท้ิงจากงานหัตถกรรมไม้บ้านหลุก จงั หวัดลำปาง แล้ว
นำไปศึกษาการยับย้ังเชื้อรา Aspergillus flavus สาเหตุของโรคในกระเทียมบนจานเพาะเช้ือ (in
vitro) และประยุกต์ใช้เปน็ ฟลิ ์มชีวภาพแทนนินเพื่อยืดอายกุ ารเก็บรักษากระเทียมท่ผี ่านการปลกู ด้วย
สปอร์ของเช้ือรา Aspergillus flavus (in vivo) โดยในการวิจัยได้นำเศษขี้เลื่อยมาสกัดแทนนินด้วย
ตัวทำละลายทดสอบชนิดต่าง ๆ ได้แก่ น้ำกล่ัน น้ำกลั่น : 95% ethanol (1:1 v/v) หรือ 95%
ethanol และสกัดด้วยเคร่อื งไมโครเวฟท่ีระดบั กำลงั ไฟต่าง ๆ ไดแ้ ก่ 100, 300 หรือ 450 วตั ต์ พบว่า
วิธีการสกัดที่เหมาะสมที่สุดคือการสกัดด้วยตัวทำละลายท่ีเป็นน้ำกลั่น : 95% ethanol (1:1 v/v)
ด้วยกำลังไฟ 100 วัตต์ จึงเลือกวิธีนี้มาสกัดแทนนินเพ่ือนำมาทดสอบการยับย้ังเช้ือรา Aspergillus
flavus โดยทดสอบในจานเพาะเช้ือ (in vitro) ท่ีระดับความเข้มข้นของแทนนิน 0, 2.5, 5, 10 หรือ
20 เปอร์เซ็นต์ และทดสอบการยืดอายุการเก็บรกั ษากระเทยี มภายหลงั การเกบ็ เกยี่ วโดยนำแทนนินท่ี
สกัดได้มาผสมกับฟิล์มชีวภาพท่ีทำจากเจลาติน แล้วนำไปหุ้มผิวกลีบกระเทียมที่ผ่านการปลูกด้วย
สปอร์ของเชื้อรา Aspergillus flavus ผลการวิจัยพบว่าสารละลายแทนนินความเข้มข้น 20
เปอรเ์ ซ็นต์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเส้นใยเชอื้ รา Aspergillus flavus ในจานเพาะเช้อื ได้ดกี วา่ ชุดอื่น
และเมื่อนำผงแทนนินมาผลิตเปน็ แผน่ ฟลิ ์มชีวภาพร่วมกบั เจลาตินพบว่าแผ่นฟลิ ม์ ชีวภาพท่ีผสมแทนนิ
นความเข้มข้น 20 เปอร์เซ็นต์สามารถยับยั้งการงอกของสปอร์ของเชื้อรา Aspergillus flavus ได้
ดีกวา่ การใชแ้ ทนนนิ ทร่ี ะดบั ความเข้มขน้ อืน่ ยกเวน้ ชุดท่ีเปน็ สารกำจดั เชื้อรา Benomyl
คำสำคญั : แทนนนิ , เศษไม้, ฟิลม์ แทนนนิ ชีวภาพ, Aspergillus flavus, กระเทยี ม
ค
Abstract
The research aimed on study the appropriated solvents and electrical power
of microwave for extract tannin from wood handicraft waste of Look village in
Lampang. Crude tannin was then tested for inhibition potential on garlic fungal
disease, Aspergillus flavus ( in vitro) and applied as tannin biological films for
prolonged storage life of garlic after inoculated with Aspergillus flavus spores ( in
vivo). Wood waste was extracted with distilled water, distilled water : 95% ethanol
(1:1 v/v) or 95% ethanol with electrical power of microwave at 100, 300 or 450 Watt.
It was found that the most appropriated solvent in extracting tannin was distilled
water : 95% ethanol (1:1 v/v) with 100 watt of electrical power. The tannin extracted
with this method was then tested for inhibition on Aspergillus flavus (in vitro) at the
tannin concentration of 0 , 2.5, 5, 10 or 2 0 %. Crude tannin was also mixed with
gelatin at 0, 2.5, 5, 10 or 20% for making the tannin biological films and then covered
on surface of garlic those inoculated with Aspergillus flavus spores. The result was
found that 2 0 % tannin inhibited mycelium growth of Aspergillus flavus better than
other treatments. Tannin biological films made of 2 0 % tannin was also inhibited
spores growth of Aspergillus flavus better than other treatments, except fungicide
Benomyl.
Keywords: tannin, wood waste, tannin biological films, Aspergillus flavus, garlic
ง
สารบญั
หนา้
กติ ตกิ รรมประกาศ ก
บทคัดย่อ ข
สารบัญ ง
สารบัญตาราง ฉ
สารบัญภาพ ช
บทที่ 1 บทนำ 1
1.1 ความสำคัญและที่มาของปญั หา 1
1.2 วัตถปุ ระสงคข์ องโครงการวิจัย 2
1.3 ขอบเขตของโครงการวิจัย 2
1.4 นิยามศพั ท์เฉพาะ 3
1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะไดร้ บั 3
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยทเี่ ก่ียวข้อง 4
4
2.1 แทนนิน 8
2.2 คุณสมบัติของตวั ทำละลายบางชนดิ ที่ใช้ในการสกดั แทนนินจากพชื 11
2.3 งานหตั ถกรรมบา้ นไมห้ ลุก 12
2.4 ขอ้ มูลทางพฤกษศาสตร์ของตน้ จามจรุ ี 15
2.5 ขอ้ มลู ทางพฤกษศาสตร์ของกระเทียม 16
2.6 เช้อื รา Aspergillus flavus 17
2.7 พลาสตกิ ชีวภาพ 19
2.8 งานวิจัยทเ่ี กี่ยวข้อง 23
บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนนิ งานวจิ ยั 23
3.1 อุปกรณ์ 23
3.2 เครอ่ื งมือ 24
3.3 สารเคมี 24
3.4 วิธกี ารทดลอง 24
การทดลองท่ี 1 การศกึ ษาสภาวะท่ีเหมาะสมตอ่ การสกดั แทนนนิ จากข้ีเลื่อย
โดยใชไ้ มโครเวฟ
จ
สารบัญ (ตอ่ ) หน้า
25
การทดลองท่ี 2 ผลของสารสกดั แทนนินตอ่ การยบั ยั้งเช้ือรา
Aspergillus flavusซงึ่ เปน็ เชือ้ ราก่อโรคในกระเทยี มในจานเพาะเชอื้ 27
(in vitro)
29
การทดลองที่ 3 การประยุกต์ใช้สารสกัดแทนนินมาผสมกบั 29
แผน่ ฟลิ ์มชวี ภาพเพื่อยดื อายุการเก็บรักษากระเทยี มภายหลังการเก็บเกย่ี ว 30
บทที่ 4 ผลการวจิ ยั 31
4.1.1เปอร์เซ็นต์การไดค้ ืนกลับ (% yield) ของแทนนนิ ในสารสกัดจากข้ีเลื่อย 33
4.1.2การทดสอบคณุ สมบัตเิ บ้ืองต้นของแทนนินทสี่ กัดไดจ้ ากขเ้ี ลอ่ื ย
4.1.3ปรมิ าณแทนนนิ ท่ีได้จากการสกดั ขี้เล่ือย 39
4.2 ผลการยับย้งั การเจรญิ เติบโตของเส้นใยเชือ้ รา Aspergillus flavusของ 44
แทนนินทสี่ กดั ไดบ้ นอาหารเพาะเลี้ยง
4.3 การทดสอบคณุ สมบตั ิของแผน่ ฟิล์มแทนนนิ ชวี ภาพ 46
4.4 ผลการยับยัง้ เชื้อรา Aspergillus flavus บนกระเทียมภายหลังการห้มุ 47
ด้วยแผ่นฟิลม์ แทนนนิ ชีวภาพ 50
บทท่ี 5 สรปุ ผลการวิจยั 64
เอกสารอา้ งอิง
ภาคผนวก
ประวตั ิผูว้ ิจยั
ฉ
สารบัญตาราง
ตารางที่ 4.1 แสดงผลการทดสอบคุณสมบัติทางเคมเี บือ้ งตน้ ของแทนนินท่ีสกดั ไดจ้ าก หนา้
ขี้เลื่อยในตัวทำละลายชนดิ ต่าง ๆ 30
ตารางท่ี 4.2 อุณหภูมสิ ดุ ท้ายของสารแทนนินท่สี กดั ไดจ้ ากข้ีเลอื่ ยในตวั ทำละลายชนดิ ต่าง ๆ 32
โดยใชไ้ มโครเวฟ
34
ตารางท่ี 4.3 ผลการยบั ยั้งการเจรญิ ของเสน้ ใยเช้อื รา Aspergillus flavusบนอาหารเพาะ
เลี้ยงทีม่ ีสารสกดั แทนนินความเขม้ ขน้ ต่าง ๆ เทียบกับสารฆ่าเชอื้ รา Benomyl 39
40
ตารางท่ี 4.4 ความหนาและระยะยืดของแผ่นฟลิ ์มท่ีมีความเขม้ ขน้ ของแทนนนิ ระดบั ตา่ ง ๆ 41
ตารางท่ี 4.5 ค่าสีของแผน่ ฟิลม์ ท่มี คี วามเขม้ ขน้ ของแทนนนิ ระดับตา่ ง ๆ
ตารางที่ 4.6 ลักษณะทวั่ ไปและลักษณะของฟิล์มภายใตก้ ล้องจุลทรรศนท์ ่มี ี
ความเขม้ ขน้ ของแทนนินระดบั ตา่ ง ๆ
ช
สารบญั ภาพ หนา้
4
ภาพท่ี 2.1 โครงสร้างของแทนนิน 5
ภาพที่ 2.2 โครงสร้างของไฮโดรไลซเ์ ซเบิลแทนนิน (แกลโลแทนนนิ ) 6
ภาพที่ 2.3 โครงสร้างทางเคมีของ กรดแกลลกิ และกรดแอลลาจกิ 7
ภาพที่ 2.4 โครงสร้างของคอนเดนสแ์ ทนนนิ 8
ภาพท่ี 2.5 โครงสรา้ งทางเคมีกรดแทนนกิ 8
ภาพท่ี 2.6 โมเลกลุ นำ้ 10
ภาพท่ี 2.7 พันธะไฮโดรเจนที่เช่ือมระหว่างโมเลกุลของนำ้ 11
ภาพที่ 2.8 งานหตั ถกรรมบา้ นหลุก 12
ภาพที่ 2.9 ครกที่ทำจากไม้จามจรุ ี 13
ภาพที่ 2.10 ต้นจามจรุ ี 16
ภาพที่ 2.11 โครงสรา้ งเชือ้ รา Aspergillus flavus 19
ภาพท่ี 2.12 พลาสติกท่ียอ่ ยสลายได้ทางชีวภาพ 27
ภาพที่ 3.1 วดั ระยะยืดของแผน่ ฟิล์ม 29
ภาพที่ 4.1 ปริมาณแทนนินท่ไี ด้จากการสกดั ข้ีเลอ่ื ยด้วยตัวทำละลายชนดิ ตา่ ง ๆ
31
ในไมโครเวฟท่ีกำลงั ไฟสามระดับ
ภาพท่ี 4.2 เปอร์เซ็นต์การไดค้ ืนกลับของการสกัดข้ีเลือ่ ยดว้ ยตัวทำละลายต่าง ๆ 33
ในไมโครเวฟท่ีกำลังไฟสามระดับ 35
ภาพท่ี 4.3 ลกั ษณะของผงแทนนินทีส่ กัดได้จากขเ้ี ลอ่ื ยโดยใช้ตวั ทำละลายเปน็
35
น้ำกล่นั : 95% Ethanol (1:1) ทก่ี ำลงั ไฟ 100 วัตต์
ภาพที่ 4.4 แสดงลักษณะของเส้นใยเช้ือรา Aspergillus flavusเลย้ี งบนอาหาร PDA 36
ที่มีสารสกัดแทนนินความเข้มข้นต่าง ๆ เทยี บกบั สารฆา่ เช้ือรา Benomyl
เป็นเวลา 1 วนั
ภาพที่ 4.5 แสดงลักษณะของเส้นใยเช้ือรา Aspergillus flavusเลีย้ งบนอาหาร PDA
ท่ีมีสารสกัดแทนนนิ ความเขม้ ข้นต่าง ๆ เทยี บกับสารฆา่ เชือ้ รา Benomyl
เปน็ เวลา 2 วนั
ภาพท่ี 4.6 แสดงลกั ษณะของเสน้ ใยเชอ้ื รา Aspergillus flavusเลี้ยงบนอาหาร PDA
ที่มีสารสกัดแทนนนิ ความเข้มขน้ ต่าง ๆ เทียบกับสารฆ่าเชอื้ รา Benomyl
เป็นเวลา 3 วนั
ซ
สารบญั ภาพ (ตอ่ ) หนา้
36
ภาพที่ 4.7 แสดงลกั ษณะของเส้นใยเช้ือรา Aspergillus flavus เลีย้ งบนอาหาร PDA
ทมี่ สี ารสกัดแทนนนิ ความเข้มข้นต่าง ๆ เทียบกบั สารฆา่ เช้ือรา Benomyl 37
เปน็ เวลา 4 วัน
ภาพที่ 4.8 แสดงลกั ษณะของเสน้ ใยเชอ้ื รา Aspergillus flavusเลย้ี งบนอาหาร PDA 37
ที่มีสารสกัดแทนนินความเข้มข้นตา่ ง ๆ เทยี บกับสารฆา่ เช้ือรา Benomyl
เป็นเวลา 5 วนั 38
ภาพที่ 4.9 แสดงลักษณะของเส้นใยเชื้อรา Aspergillus flavusเลีย้ งบนอาหาร PDA
ทม่ี ีสารสกัดแทนนนิ ความเขม้ ขน้ ตา่ ง ๆ เทยี บกับสารฆ่าเชอ้ื รา Benomyl 43
เปน็ เวลา 6 วนั 45
ภาพท่ี 4.10 แสดงลักษณะของเส้นใยเชื้อรา Aspergillus flavusเล้ยี งบนอาหาร PDA 45
ทม่ี ีสารสกัดแทนนนิ ความเขม้ ข้นต่าง ๆ เทยี บกบั สารฆ่าเชื้อรา Benomyl
เปน็ เวลา 7 วนั
ภาพท่ี 4.11 การย่อยสลายของแผ่นฟลิ ์มชีวภาพท่ีทดสอบระยะเวลา 7 วัน
ภาพท่ี 4.12 ภาพแสดงลักษณะกระเทยี มที่ยืดอายุการเก็บรกั ษาดว้ ยแผน่ ฟิลม์ แทนนนิ
ชีวภาพทค่ี วามเข้มข้นต่าง ๆ เปน็ เวลา 7 วนั
ภาพท่ี 4.13 ภาพแสดงลกั ษณะกระเทยี มท่ียดื อายุการเกบ็ รักษาด้วยแผน่ ฟิลม์ แทนนนิ
ชวี ภาพทีค่ วามเข้มข้นต่าง ๆ เป็นเวลา 14 วนั
1
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ท่มี าและความสำคญั ของปญั หา
แทนนิน (tannin) เป็นสารที่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมไม้อัด ไม้แปรรูป นิยมนำมาใช้ใน
การผลิตกาวสำหรับเกาะยึดไม้ รวมถึงมีการนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง อาทิ
อตุ สาหกรรมฟอกหนงั อาหาร ยา และอ่ืน ๆ เป็นสารประกอบจำพวก พอลิฟนี อล(polyphenol) ให้
สีเหลืองหรือสนี ้ำตาล มีน้ำหนักโมเลกุล 500 - 3000 ดาลตนั มีโครงสร้างสลับซับซ้อน และแตกต่าง
กนั ในพืชแต่ละชนิด แทนนินท่วั ไปจะมีสีเหลืองหรือน้ำตาลมีรสขม ฝาด พบได้ในพืชทุกชนิด ในส่วน
ของเปลือก ใบ ผล มีรายงานการสกัดแทนนินจากพืชไปใช้ประโยชนด์ า้ นต่างๆ เชน่ อุตสาหกรรมฟอก
หนัง เน่ืองจากแทนนินมีคุณสมบัติตกตะกอนโปรตีน ทำให้หนังสัตว์ไม่เน่าเป่ือย อุตสาหกรรมสีย้อม
น้ำหมกึ หมึกพิมพ์ นอกจากนี้ยงั ใชใ้ นอุตสาหกรรมเครื่องด่ืมบางชนิด เช่น การทำให้เบยี ร์ใสและทำให้
เกิดรสขม ฝาด รวมทั้งกล่ินในเคร่ืองดื่มเบียร์ ไวน์ ชา กาแฟ เป็นต้น การสกัดแทนนินจากใบมัน
สำปะหลังกำจัดเพล้ียแป้งแมลงศัตรูพืช การสกัดสารแทนนินจากเปลือกกล้วยน้ำว้าในการบำบัดน้ำ
เสียในชุมชน และการสกดั สารแทนนนิ จากเปลอื กมังคุดเพือ่ ทำหน้ากากกรองยับยั้งแบคทีเรยี เป็นต้น
บ้านหลุก หมู่ท่ี 12 ตำบลนาครัว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง เป็นหน่ึงในหมู่บ้าน OTOP
เพื่อการท่องเท่ียวของจังหวัดลำปาง เป็นหมู่บ้านหัตถกรรมด้านการแกะสลักไม้ที่มีช่ือเสียงของ
จงั หวัดลำปาง ซึง่ คนในหมู่บ้านสว่ นใหญ่ประกอบอาชีพแกะสลัก จึงมีข้ีเลื่อยเป็นวัสดุเหลือท้ิงจำนวน
มาก สามารถไปใช้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น ใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ด วสั ดุในการก่อสรา้ ง เช่น อิฐ ไม้อัด
ผสมในเครอ่ื งปั้นดินเหนียวเพื่อชว่ ยในการปั้นรูป เป็นส่วนประกอบการทำรูป หรือ อัดแท่ง เป็นถ่าน
เพื่อใช้เป็นวัสดุชีวมวล ซึ่งชาวบ้านอาจขายขเ้ี ลื่อยในราคาถกู ให้กบั ผู้มารับซ้ือหรือบางครั้งก็ให้โดยไม่
คิดเงิน เนื่องจากหากปล่อยท้ิงไวน้ านจะส้นิ เปลืองพื้นทท่ี ำงาน และเศษไมข้ ้ีเลื่อยข้นึ ราและเน่าเสยี ซ่ึง
อาจสง่ ผลเสียต่อชิ้นงานหตั ถกรรมไม้ที่ผลติ ได้
ดังน้ัน ในงานวจิ ัยครั้งน้ีผู้วิจัยสนใจที่จะสกัดแทนนินจากเศษไม้ข้ีเล่ือย ซง่ึ เป็นวัสดทุ ่ีเหลือใช้
จากบ้านหลุกใต้ โดยใช้ตัวทำละลายชนิดต่าง ๆ แล้วนำสารสกดั สารแทนนินมาทดสอบการยับย้ังการ
เกดิ เช้ือราในกระเทียมและชว่ ยยืดอายกุ ารเก็บรกั ษาของกระเทยี มภายหลงั การเก็บเก่ยี ว
2
1.2 วัตถุประสงคข์ องโครงงานวจิ ัย
1.2.1 เพ่ือศกึ ษาตวั ทำละลายและกำลังไฟที่เหมาะสมของไมโครเวฟตอ่ การสกดั แทนนนิ จาก
ขี้เล่อื ยทเ่ี ปน็ วัสดุเหลอื ท้งิ จากงานหตั ถกรรมไม้บ้านหลกุ ตำบลนาครวั อำเภอแมท่ ะ จังหวดั ลำปาง
1.2.2 เพ่ือศึกษาผลของการใช้แทนนินท่ีสกัดได้จากข้ีเลื่อยต่อการยับย้ังเชื้อรา Aspergillus
flavus สาเหตุของโรคในกระเทียมภายใต้สภาพจานเพาะเช้ือ (in vitro) และประยุกต์ใช้เป็นฟิล์ม
ชวี ภาพแทนนนิ เพอื่ ยืดอายกุ ารเกบ็ รกั ษากระเทยี มหลงั การเก็บเกยี่ ว (in vivo)
1.3 ขอบเขตและตวั แปรของโครงงานวิจัย
1.3.1 ขอบเขตของโครงงานวจิ ัย
การวิจยั คร้ังน้ีเก็บตัวอย่างขเ้ี ลื่อยทเี่ ป็นวัสดุเหลือท้ิงจากงานหัตถกรรมไม้บ้านหลุก ตำบลนา
ครัว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 โดยนำมาสกัดสารแทนนินด้วยตัวทำ
ละลายชนิดต่าง ๆ ได้แก่ น้ำกลั่น น้ำกล่ัน : 95% Ethanol (1:1 v/v) และ 95% Ethanol โดยใช้ข้ี
เล่ือย 10 กรัม ต่อตัวทำละลาย 100 มิลลิลิตร นำไปให้ความร้อนโดยใช้ไมโครเวฟที่ระดับกำลังไฟ
ตา่ งๆ ได้แก่ 100, 300 และ 450 วัตต์ เป็นเวลา 30 วนิ าที เลือกวิธีการสกัดท่ีได้แทนนินมากทสี่ ุดมา
ทดสอบการยับย้ัง Aspergillus flavus ซ่ึงเป็นเชื้อราเหตุโรคของกระเทียม โดยทดสอบในจานเพาะ
เช้ือ (in vitro) และ ทดสอบการยืดอายุการเก็บรักษากระเทียมภายหลังการเก็บเก่ยี ว โดยนำแทนนิน
ที่สกัดไดม้ าผสมกบั ฟิล์มชวี ภาพท่ีทำจากเจลาติน แล้วนำไปห่อกลีบกระเทยี มท่ีผ่านการปลูกดว้ ยสปอร์
ของเชอื้ Aspergillus flavus
1.3.2 ตวั แปรของโครงงานวิจยั
โครงงานวิจยั น้ีแบง่ ออกเปน็ 3 การทดลองยอ่ ย จงึ มีตวั แปรในแต่ละการทดลอง ดังน้ี
การทดลองที่ 1 การศึกษาสภาวะที่เหมาะสมต่อการสกดั แทนนินจากขเ้ี ลอื่ ยโดยใชไ้ มโครเวฟ
ตวั แปรตน้ : ตวั ทำละลายสกดั จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ น้ำกล่ัน, น้ำกล่ัน : 95% Ethanol (1:1 v/v)
และ 95% Ethanol
: วธิ ีการการสกัดด้วยเครือ่ งไมโครเวฟ ทดสอบทรี่ ะดับกำลงั ไฟตา่ งๆ จำนวน 3 ระดบั
ได้แก่ 100, 300 และ 450 วตั ต์
ตวั แปรตาม : ปริมาณแทนนินทส่ี กดั ได้
ตวั แปรควบคมุ : ปริมาณเศษไมข้ ้ีเล่ือยในแตล่ ะชดุ สกัด ปริมาณตวั ทำละลายสกัด เครื่องไมโครเวฟที่
ปรับกำลังไฟและเวลาได้ เวลาทใ่ี ชใ้ นการสกัด วธิ ีการวดั ปรมิ าณแทนนนิ
3
การทดลองที่ 2 ผลของสารสกดั แทนนินต่อการยับยั้งเชื้อรา Aspergillus flavus ซงึ่ เป็นเช้ือราก่อโรค
ในกระเทยี มในจานเพาะเชอื้ (in vitro)
ตวั แปรต้น : ความเขม้ ข้นของแทนนนิ ทีเ่ ตมิ ในอาหารเพาะเช้อื ได้แก่ 0, 2.5, 5.0, 10.0 และ 20.0
เปอร์เซ็นต์ และชุดควบคมุ เชงิ บวกทีเ่ ป็นสารฆา่ เชอื้ ราเบโนมิล 10 เปอรเ์ ซน็ ต์
ตัวแปรตาม : การยบั ยงั้ การเจรญิ เตบิ โตของเสน้ ใยเชอ้ื รา Aspergillus flavus บนอาหารเลยี้ งเชอ้ื
ตัวแปรควบคุม : ชนิดและอายขุ องราทดสอบ ชนิดของอาหารท่ใี ชเ้ พาะเชือ้ การใชต้ ู้ปลอดเชอ้ื ขณะ
ทำการทดลอง
การทดลองที่ 3 การประยุกต์ใช้สารสกัดแทนนนิ มาผสมกับแผ่นฟิลม์ ชีวภาพเพ่ือยดื อายุการเก็บ
รักษากระเทียมภายหลงั การเกบ็ เก่ยี ว
ตวั แปรต้น : ความเขม้ ข้นของแทนนินทเี่ ตมิ ในฟลิ ์มท่ีทำจากเจลาติน ได้แก่ 0, 2.5, 5.0, 10.0 และ
20.0 เปอรเ์ ซน็ ต์ และชุดควบคุมเชิงบวกท่ีเปน็ สารฆ่าเชอื้ ราเบโนมลิ 10 เปอรเ์ ซ็นต์
ตวั แปรตาม : การยับยงั้ การเจริญเติบโตของสปอร์เชอื้ รา Aspergillus flavus บนกลีบกระเทียม
ตวั แปรควบคมุ : ชนิดและอายุของราทดสอบ สายพนั ธแ์ุ ละแหล่งท่มี าของกระเทยี ม การใชต้ ู้ปลอด
เชื้อขณะทำการทดลอง วธิ กี ารขน้ึ รูปฟลิ ม์ เจลาตนิ
1.4 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ
ขี้เล่ือย หมายถึง เศษไม้ท่ีเกิดจากการตัดไม้ด้วยเลื่อยหรือเกิดจากการขัดไม้ด้วยกระดาษ
ทรายหรอื เคร่ืองขัด
1.5 ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รบั
สามารถนำขี้เลื่อยมาใช้ให้เกิดเป็นประโยชน์โดยการสกัดแทนนิน แล้วนำมาผลิตเป็นฟิล์ม
แทนนนิ ชีวภาพเพื่อยืดอายุการเก็บรกั ษากระเทียมภายหลงั การเกบ็ เกย่ี วได้
4
บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กยี่ วขอ้ ง
2.1 แทนนนิ
แทนนิน (tannin, tannic acid ) เป็นประกอบพอลิฟีนอล (polyphenol) ท่ีมีโมเลกุลใหญ่ และ
โครงสร้างซับซ้อน มสี ูตรโมเลกุล C75H52O46 เป็นกรดอ่อน ประกอบดว้ ย กรดแกลลิก (gallic acid) 9
โมเลกุล และ นำ้ ตาลกลูโคส 1 โมเลกุล แทนนินมีจำหน่ายเป็นการค้าในรปู ของกรดแทนนิก (tannic
acid) มีลักษณะเป็นผลึกสีน้ำตำลออ่ นถำ้ เปน็ สำรบริสุทธ์ิ สำมำรถละลำยได้ดีในตัวทำละลำยมขี ั้ว เช่น
น้ำ เอทำนอล อะซิโตน และไพรดิ ีน แต่ไม่ละลำยในตัวทำละลำยท่ีไม่มีขั้ว เช่น คลอโรฟอร์ม อีเทอร์
ซง่ึ เมื่ออยู่ในน้ำมีสภำพเป็นคอลลอยด์ ไม่สำมำรถตกผลึก และมีสมบัติเป็นอลั คำลอยด์รีเอเจนต์ เช่น
สำมำรถตกตะกอนเกลือของโลหะหนักได้ และยังสำมำรถตกตะกอนโปรตนี ได้ ซ่ึงเมอื่ ถกู ออกซิไดสท์ ำ
ให้มีสีเข้มขน้ึ (ขนษิ ฐำ และคณะ, 2557)
แทนนินเป็นสารให้รสฝาด (astringency) และรสขม (bitter) พบได้ในพืชหลายชนิด เช่น ใบชา
ใบฝรง่ั ใบพลู ใบชุมเหด็ ผลไม้ดิบ เช่นกล้วยดบิ ในเปลือกและเมลด็ ของผลไม้ เช่น เปลอื กมังคุด องุ่น
เม็ดในของมะขาม เปลือกมะพร้าวอ่อน และพบในไวน์แดง แทนนินมีส่วนสำคัญ เป็นสารตั้งต้นใน
ปฏิกิริยาการเกิดสีน้ำตาลที่เก่ียวขอ้ งกับเอนไซม์ (enzymatic browning reaction) ของผลไม้มีฤทธิ์
เป็นสารกันเสีย (preservative) ยับยง้ั การเจรญิ ของจลุ ินทรยี ์ (พิมพเ์ พญ็ และคณะ, 2555) โครงสร้าง
โมเลกุลของแทนนินแสดงดงั ภาพท่ี 2.1
ภาพท่ี 2.1 โครงสรา้ งของแทนนนิ
(ท่ีมา: O’Connell, 2000)
5
2.1.1 ประเภทของแทนนนิ
สามารถแบง่ ประเภทของแทนนินตามลักษณะโครงสรา้ งของโมเลกลุ ไดเ้ ป็น 2 ประเภท ได้แก่
1) ไฮโดรไลเซเบิลแทนนิน (Hydrolysable tannins)เป็นสารประกอบที่มีโครงสร้าง
ประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนท่ีหน่ึงเป็นส่วนของน้ำตาล มักเป็นน้ำตาลกลูโคสเป็นส่วนใหญ่
หรือสารประกอบโพลีออล (polyols) อ่ืน ๆ ส่วนท่ีสองเป็นกรดฟีนอลิก (phenolic acid) เช่น กรดแกลลิก
(gallic acid) หรือ (hexahydroxydiphenic acid; HHDP) หรืออนุพันธ์ของกรดเฮกซะไฮดรอกซีไดฟีนิ
กมักอยู่ในสภาพออกซิไดซ์โดยส่วนท่ีเป็นกรดฟีนอลิกจะมากกว่าส่วนของน้ำตาล (มักอยู่ในรูปของ
gallic acid) หรือโพลีออล มาเช่ือมโยงกันด้วยพันธะเอสเตอร์ (ester linkage) ที่เรียกว่า เดปไซต์ ลิงเกจ
(depside linkage)ซ่ึงพันธะเอสเตอร์จะถูกไฮโดรไลซ์ในสภาวะที่มีน้ำและถูกเร่งปฏิกิริยาด้วยกรดด่าง
หรอื เอ็นไซม์ หลงั การแยกสลายด้วยน้ำจะได้กรดคารบ์ อกซิลิกฟนี อล (carboxylicphenol acid) และ
แอลกอฮอล์ (alcohol) เกดิ ข้นึ โดยท่ัวไปแล้วแอลกอฮอล์ท่เี กิดขึน้ จะเปน็ พวกน้ำตาล ส่วนกรดจะเป็น
อนุพันธ์ของกรดแกลลิก เม่ือนำไปกล่ันแบบแห้งสารประกอบกรดฟีนอลิกจะเปลี่ยนเป็นไพโรแกลอล
(pyrogallol) ดงั น้นั ไฮโดรไลเซเบลิ แทนนิน จึงเรยี กอีกอย่างหนง่ึ ว่าไพโรแกลอล แทนนนิ (pyrogallol
tannins) โครงสรา้ งของไฮโดรไลซ์เซเบลิ แทนนนิ แสดงดงั ภาพที่ 2.2
ภาพท่ี 2.2 โครงสร้างของไฮโดรไลซ์เซเบลิ แทนนนิ (แกลโลแทนนิน)
(ทีม่ า: ขนษิ ฐา และคณะ, 2557)
สารประกอบกลุ่มไฮโดรไลเซเบลิ แทนนนิ แบ่งเปน็ 2 กลมุ่ ย่อยดงั น้ี
1.1 แกลโลแทนนนิ (gallotannins) เปน็ สารประกอบที่ประกอบด้วยกรดแกลลกิ เช่อื มต่อกับ
น้ำตาลกลูโคสด้วยพันธะเอสเตอร์ เม่ือเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสด้วยกรดเกิดการสลายตัว จะใหส้ าร 2
6
ชนิด คือ กรดแกลลิก และน้ำตาลกลูโคส ตัวอย่างของแกลโลแทนนิน ได้แก่ กรดแทนนิก (tannic
acid หรือ Chinese gallotannin) และทาราแกลโรแทนนิน (taragallotannin) พืชที่เป็นแหล่งของ
แกลโลแทนนนิ ได้แกโ่ กศน้ำเต้า กานพลู และกลีบกุหลาบแดง เปน็ ต้น
1.2 แอลลำจิก แทนนิน (ellagic tannins) เป็นกลุ่มของสำรประกอบพอลิฟีนอลที่ประกอบ
ไปด้วยกรดเฮกซะไฮดรอกซีไดฟนี ิก โดยอยู่รวมกบั นำ้ ตำล แอลลำจิกแทนนนิ เมอ่ื เกิดกำรสลำยตวั แบบ
ปฏิกิริยำไฮโดรไลซิสด้วยกรด ส่วนของกรดเฮกซะไฮดรอกซีไดฟีนิกจะแยกตัวออก และเกิดปฏิกิริยำ
แลกโทไนเซชัน (lactonization) ให้กรดแอลลำจิก ตัวอย่ำงของแอลลำจิกแทนนิน ได้แก่ เพดังคูลำ
จิน (pedunculagin) และกรดชิบูลำจิก (chebulagic acid) พืชที่นำไปใช้เป็นยำที่ เป็นแหล่งของ
แอลลำจกิ แทนนนิ ไดแ้ ก่ เปลือกผลทบั ทมิ ผลสมอไทย เปลอื กต้นโอค๊ และใบยคู ำลิปตัส เป็นตน้
ลกั ษณะโครงสรำ้ งแสดงภำพที่ 2.3
ภาพที่ 2.3 โครงสร้างทางเคมีของ กรดแกลลกิ (ซ้าย) และกรดแอลลาจิก (ขวา)
(ท่มี า: Deshpande, Cheryan and Salunkhe, 1986)
2) คอนเดนส์แทนนิน (condensed tannins) หรอื ท่เี รยี กอีกอยา่ งวา่ โปรแอนโทไซยานิดิน
(proanthocyanidins) เป็นกลุ่มของสารประกอบพอลิฟีนอลท่ีมีความซับซ้อน และสลายตัวด้วยน้ำ
ยากกว่ากลุ่มไฮโดรไลซ์เซเบิลแทนนิน โครงสรา้ งพอลิฟีนอลในกล่มุ นี้ เป็นอนพุ ันธ์ของสารประกอบใน
กลุ่มฟลาโวนอยด์ พืชท่ีเป็นแหล่งของคอนเดนสแ์ ทนนิน ได้แก่ เปลือกอบเชย เปลือกชนิ โคนาเปลือก
หลิว เปลือกโอ๊คเปลือกโกโก้ และใบชา เป็นต้น สารประกอบกลุ่มนี้เมื่อนำมาต้มกับกรด หรือทำ
ปฏกิ ิรยิ ากบั เอนไซม์จะได้สารประกอบพอรล์ ิเมอร์รูป อสัณฐานสแี ดง ไม่สามารถละลายน้ำเรียกว่า โฟ
บาฟิน (phobaphenes) หรือแทนนินแดง (tannin red) จึงเรียกสารกลุ่มนี้ว่า โฟบาแทนนิน
(phobatannins) เม่ือนำสารประกอบกลุ่มน้ีมาทำการกลั่นแบบแห้ง จะได้ สารประกอบท่ีเป็นแคที
คอล แทนนิน (catechol tannins) สารในกลมุ่ คอนเดนสแ์ ทนนินประกอบไป ด้วยหมู่ไฮดรอกซีอิสระ 2 หมู่
เมื่อทำปฏิกริ ิยากับสารละลายเฟอร์รกิ คลอไรดจ์ ะใหส้ เี ขยี ว ดงั แสดงในภาพท่ี 2.4
7
ภาพที่ 2.4 โครงสรา้ งของคอนเดนส์แทนนิน
(ท่ีมา: ขนิษฐา และคณะ, 2557)
2.1.2 ประโยชน์ของแทนนิน
สารแทนนินมีคุณสมบัติตกตะกอนโปรตีน ทำให้หนังสัตว์ไม่เน่าเป่ือย จึงมีการใช้ใน
อตุ สาหกรรมฟอกหนัง และจากฤทธิ์ฝาดสมานของแทนนินจงึ มกี ารนำไปใช้ประโยชน์ในทางด้านเภสัช
กรรม เชน่ รักษาอาการพุพอง อาการท้องเสีย เป็นต้น นอกจากนีแ้ ทนนินยงั นำมาใช้ประโยชน์ในดา้ น
อื่นๆ เช่น การย้อมผ้า การบำบัดน้ำเสีย กาว ปุ๋ย ธุรกิจปลาสวยงาม ผลผลิตเคร่ืองสำอาง น้ำหมึกสี
ยอ้ มผา้ ต่างๆ เป็นต้น (พรพมิ ลและคณะ, 2561)
2.1.3 การตรวจสอบสมบัตขิ องแทนนิน
แทนนินที่สกัดไดป้ ระกอบด้วยสำรหลำยชนิดปะปนกันอยู่ ดังน้ันในกำรตรวจสมบัติของแทน
นิน จงึ ใชก้ รดแทนนิกเปน็ สำรมำตรฐำนในกำรเปรียบเทียบ แทนนนิ จะเกิดสำรประกอบเชงิ ซ้อนสนี ้ำ
เงิน เม่ือเติมโฟลิน - ชิโอแคลทู รีเอเจนต์ วิเครำะห์ปริมำณแทนนินโดยกำรวัดค่ำกำรดูดกลืนแสงท่ี
ควำมยำวคลืน่ 745 นำโนเมตร ดว้ ยเครอ่ื งยวู ี - วิสเิ บิล สเปกโทรโฟโตมิเตอร์
กำรตรวจสมบัติกำรละลำย แทนนินสำมำรละลำยได้ดีในตัวทำละลำยที่มีขั้ว เช่น
น้ำ เอทำนอล เมทำนอล อะชิโตน แตไ่ ม่ละลำยในตัวทำละลำยที่ไม่มีข้ัว เชน่ เฮกเซน อเี ทอร์ เบนซีน
และ คลอโรฟอร์ม
กำรตรวจสมบัติทำงเคมี แทนนนิ เมอ่ื ทำปฏกิ ริ ยิ ำกับเกลอื ของเหลก็ เช่น เฟอรร์ กิ คลอไรด์
จะได้สำรประกอบเชิงซอ้ นท่ีมสี ีน้ำเงินแกมเขียวเพรำะเป็นสำรประกอบประเภทฟีนอลิก เม่ือตะกอน
เน่ืองจำกแทนนินมีคุณสมบัติในกำรจับทำปฏิกิริยำกับเลดอะซิเตต ทำให้เลดอะชิเตตตกตะกอน
ไอออนของโลหะหนัก และตกตะกอนโปรตนี เช่น อลั บมู ิน และเจลำตนิ ได้
8
2.1.4 กรดแทนนกิ (tannic acid)
กรดแทนนิก คือ แทนนินที่สกดั ไดจ้ ำกธรรมชำตแิ ล้วผ่ำนกระบวนกำรทำให้บริสทุ ธ์ิ ซ่ึงสมบตั ิ
ของกรดแทนนิกมดี งั ต่อไปนี้
1. สูตรโมเลกลุ C76H52O46ซง่ึ โครงสร้ำงของกรดแทนนกิ ดงั แสดงในรูปท่ี 2.5
2. เปน็ สำรประกอบเชงิ ซอ้ นมสี ีน้ำตำลอ่อน มีสมบัตเิ ป็นยำฝำดสมำน
3. เป็นของแขง็ อสัณฐำน ละลำยนำ้ ได้
4. มจี ดุ หลอมเหลว 210 องศำเซลเชยี ส
5. ตดิ ไฟไดเ้ องท่ี 526 องศำเซลเซียส
ภาพที่ 2.5 โครงสรา้ งทางเคมีของกรดแทนนกิ
(ทมี่ า: Labieniec and Gabryelak, 2003)
2.2 คุณสมบัติของตัวทาละลายบางชนิดทใี่ ชใ้ นการสกดั แทนนินจากพืช
2.2.1 นา้ (Water)
น้ำบริสุทธิ์ ไม่มีสี ไม่มีกล่ิน และไม่มีรส น้ำ (H2O) 1 โมเลกุล ประกอบด้วยไฮโดรเจน 2
อะตอมและออกซิเจน 1 อะตอม เชือ่ มกนั ด้วยพันธะโควำเลนท์ (covalent bonds) ซ่ึงใช้อิเล็กตรอน
ร่วมกัน โดยที่อะตอมท้ังสำมตัวเรียงทำมุม 105 องศำ โดยมีออกซิเจนเป็นขั้วลบ และไฮโดรเจนเป็น
ขั้วบวก ดงั ภำพท่ี 2.6
ภาพท่ี 2.6 โมเลกุลน้ำ
(ท่ีมา: ttps://sites.google.com/a/go.buu.ac.th/xuthk-phakh-hydrosphere)
9
โมเลกุลแตล่ ะโมเลกุลของน้ำเชือ่ มตอ่ กันด้วยพันธะไฮโดรเจน (hydrogen bond) เรยี งตัวต่อ
กันเป็นรูปจัตุรมุข (tetrahedral) ดังภำพที่ 2.7 ทำให้น้ำต้องใช้ที่ว่ำงมำกเมื่อเปล่ียนสถำนะเป็น
น้ำแข็ง ดังน้ันเมื่อเพ่ิมควำมร้อนให้กับก้อนน้ำแข็ง พันธะไฮโดรเจนท่ีเช่ือมระหว่ำงโมเลกุลจะถูก
ทำลำย (พันธะโควำเลนท์มีควำมแขง็ แกรง่ มำกกวำ่ พันธะไฮโดรเจน) ทำใหน้ ้ำแข็งละลำยเป็นของเหลว
โครงสรำ้ งผลึกยุบตัวลง นำ้ ในสถำนะของเหลวจงึ ใช้เนอ้ื ทนี่ อ้ ยกว่ำน้ำแข็ง
ภาพท่ี 2.7 พนั ธะไฮโดรเจนท่เี ชอื่ มระหว่ำงโมเลกลุ ของน้ำ
(ทมี่ า: http://www.pw.ac.th/emedia/media/science/lesa/7/properties_water)
เม่ือเทียบกับสำรประกอบชนิดอ่ืนแล้ว น้ำเป็นตัวทำละลำยท่ีดีที่สุด เมื่อโมเลกุลของน้ำอยู่
รวมตัวกัน ยึดเหน่ียวกันด้วยพันธะไฮโดรเจน โดยมีแรงท่ีชื่อว่ำ “อิเล็กโตรสแตติก” (electrostatic
forces) นอกจำกโมเลกุลของน้ำจะเช่ือมต่อกันเองแล้ว โมเลกุลของน้ำยังสำมำรถยึดเหน่ียวกับ
โมเลกุลอืน่ ได้ด้วย โมเลกลุ ของสำรประกอบบำงชนิดยึดเหนี่ยวกันด้วยพนั ธะไอออนิก (ionic bonds)
โดยมีแรงอิเล็กโตรสแตติก ระหว่ำงประจุบวกและประจุลบของอะตอมแต่ละตัว แรงอิเล็กโตรสแตติ
กของโมเลกุลเหลำ่ นจ้ี ะลดลงเหลอื เพียง 1/80 เมื่อถูกรบกวนจำกแรงอเิ ล็กโตรสแตติกของน้ำ น้ำเป็น
ตัวทำละลำยท่ีดี เนอื่ งจำกแรงอเิ ล็กโตรสแตติกของโมเลกุลน้ำมีพลังมำกกว่ำแรงอิเล็กโตรสแตตกิ ของ
โมเลกุลอ่ืนเสมอ ตัวอย่ำงเช่น เกลือโซเดียม (NaCl) มีโมเลกุลของโซเดียม (Na+) เป็นประจุบวก ยึด
ติดกับโมเลกุลของคลอรีน (Cl-) ซึ่งเป็นประจุลบ เมื่อใส่ผลึกเกลือลงในน้ำ แรงอิเล็กโตรสแตติ
กระหว่ำงโมเลกุลของโซเดียมคลอไรด์ จะถูกลดลง 80 เท่ำ ทำให้ข้ัวบวกของโมเลกุลน้ำ (ไฮโดรเจน)
ดงึ ดดู Cl- ไว้ และข้ัวลบของโมเลกุลน้ำ (ออกซเิ จน) ดึงดูด Na+ ไว้
2.2.2 เอทานอล
เอทำนอล (ethanol) หรือ เอทิลแอลกอฮอล์ (ethyl alcohol) เป็นแอลกอฮอล์ปฐมภูมิ
สตู ร CH3CH2OH สำมำรถผลิตได้จำกกระบวนกำรสังเครำะห์ทำงเคมี และกระบวนกำรหมักวัตถุดิบ
10
จำพวกแป้งและน้ำตำลด้วยจุลินทรีย์ นิยมนำมำใช้เป็นสำรต้ังต้นสำหรับผลิตสำรเคมีอื่น ๆ หรือ
นำมำใช้ประโยชน์โดยตรง เชน่ ใชเ้ ปน็ ตัวทำละลำย เคร่อื งดมื่ และเช้ือเพลงิ เป็นตน้ (Siamchemi, n.d.)
2.2.2.1 ลักษณะเฉพำะ
สถำนะ : ของเหลวใส ไมม่ ีสี ระเหยง่ำย และมีกล่ินเฉพำะตัว
สูตร : CH3CH2OH
น้ำหนักโมเลกุล : 46.07 กรมั /โมล
จุดเยือกแข็ง : -114.1 องศำเซลเซยี ส
จดุ เดือด : 78.32 องศำเซลเซียส
จดุ วำบไฟ : 14 องศำเซลเซยี ส
อุณหภูมวิ กิ ฤต : 243.1 องศำเซลเซียส
ควำมดันวิกฤต : 6383.48 kpa
ควำมหนำแนน่ : 0.7893 กรัม/มิลลิลติ ร
กำรละลำย : ละลำยไดด้ มี ำก
2.2.2.2 ประโยชนข์ องเอทำนอล
- ใช้เป็นสำรตง้ั ต้นหรือตัวทำละลำย เช่น กำรผลิตเคร่อื งสำอำง ยำ นำ้ หอม เปน็ ต้น
- ใชผ้ สมในเชือ้ เพลิงเพ่อื เพ่มิ คำ่ ออกเทน และลดปริมำณเช้ือเพลงิ บำงชนิด เชน่ นำ้ มัน
แก๊สโซฮอล์E10 (แอลกอฮอล์ 1 ส่วน น้ำมันเบนซิน 9 ส่วน) E20 (แอลกอฮอล์ 2
สว่ น นำ้ มนั เบนซนิ 8 ส่วน)
- เปน็ สว่ นผสมของเคร่อื งดืม่ แอลกอฮอล์ตำ่ ง ๆ
- ใช้สำหรับกำรฆำ่ เชอ้ื หรอื ล้ำงแผล เชน่ แอลกอฮอล์ 75%
- ใชส้ ำหรบั กำรทำควำมสะอำด และฆ่ำเช้อื ในสว่ นผสมของน้ำยำฆำ่ เชื้อ
11
2.3 หัตถกรรมไม้บา้ นหลุก
บ้ำนหลุกใต้ หมู่ที่ 12 ตำบลนำครัว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปำง เป็นหนึ่งหมู่บ้ำน OTOP
เพื่อกำรท่องเที่ยวของจังหวัดลำปำง สำหรับคำว่ำ “หลุก” ที่เป็นชื่อหมู่บ้ำนในปัจจุบัน มีคำเรียกท่ี
เพี้ยนมำจำก คำว่ำ “หลุบ” ซึ่งมีลักษณะคล้ำยกังหันน้ำในปัจจุบัน เน่ืองจำกแต่เดิมลักษณะภูมิ
ประเทศของหมู่บ้ำน เป็นท่ีรำบสูง มแี ม่น้ำอยู่ตำ่ กว่ำหมู่บำ้ น กำรจะนำน้ำมำใชจ้ ึงเป็นกำรยำกลำบำก
จึงมีกำรคิดนำหลุบมำใช้สำหรับวิดน้ำมำใช้ในชีวิตประจำวันของชำวบ้ำน บ้ำนหลุกใต้ เป็นหมู่บ้ำน
หัตถกรรมดำ้ นกำรแกะสลักไม้ทม่ี ีชอื่ เสียงของจังหวัดลำปำง งำนหตั ถกรรมไม้แกะสลัก แสดงดังภำพที่
2.8
ภาพท่ี 2.8 งำนหตั ถกรรมบ้ำนหลกุ
(ท่ีมา: http://lampang.cdd.go.th/services/บำ้ นหลุกสดุ ยอดหม่บู ้ำน)
ผู้คนในบ้ำนหลุกใต้ มีกำรดำเนินวิถีชีวิตแบบพอเพียง ทำกำรเกษตร และแกะสลักไม้เป็น
อำชีพหลัก จนได้ชื่อว่ำเป็นหมู่บ้ำนหัตถกรรมลำ้ นนำดำ้ นกำรแกะสลักไม้ สำหรับกำรแกะสลกั ไม้ของ
บ้ำนหลุกใต้ ได้สืบทอดมำจำกภูมิปัญญำของ พ่อสล่ำจันดี แก้วชุ่ม ได้พบเห็นกำรแกะสลักไม้เป็นรูป
ช้ำงม้ำ ขำยท่ีอำเภอแมส่ ำย จังหวัดเชียงรำย นำยจันดี จึงได้ซ้อื มำเป็นแบบในกำรแกะสลักปรำกฎว่ำ
สำมำรถทำได้เหมือน จึงได้สืบทอดให้แก่คนในหมู่บ้ำนจนหมู่บ้ำนกลำยเป็นบ้ำนหัตถกรรมด้ำนกำร
แกะสลกั ไม้ ไม้แกะสลกั และทำไม้ครก ตลอดระยะเวลำท่ีผ่ำนมำ งำนไม้แกะสลักของบ้ำนหลกุ ใต้ไดร้ ับ
กำรพัฒนำยกระดับคุณภำพ มำอย่ำงต่อเนื่อง จนกลำยเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหน่ึงผลิตภัณฑ์
(OTOP)ข้ึนช่ือ ดังน้ันเม่ือมำถึงบ้ำนหลุกใต้ นักท่องเที่ยวสำมำรถหำซื้อสินค้ำ ท้ังเฟอร์นิเจอร์ของ
ตกแตง่ บ้ำน ตลอดจนไม้แกะสลักที่สวยงำม ทัง้ นี้ กำรแกะสลักจำกไม้ มีท้ังขนำดเล็ก และขนำดใหญ่
กำรเพน้ ทส์ ีลงบนไม้ รวมไปถึง ประตหู นำ้ ต่ำงเกำ่ รวมถึงครกท่ที ำจำกไมจ้ ำมจุรี ดงั ภำพท่ี 2.9
12
ภาพที่ 2.9 ครกทีท่ ำจำกไมจ้ ำมจุรี
(ท่ีมา: https://www.google.co.th/search?q=ครกไม้จำมจรุ +ี บ้ำนหลกุ +แมท่ ะ)
2.4 ข้อมลู ทางพฤกษศาสตร์ของต้นจามจุรี
ต้นจำมจุรีมีช่ือวิทยำศำสตร์ Samanea saman (Jacq.) Merr. เป็นไม้ยืนต้นขนำดกลำงถึง
ขนำดใหญ่ มีอำยุได้นำนเป็นร้อยปี มีลำต้นสูงได้มำกกว่ำ 25 เมตร และมีขนำดทรงพุ่มกว้ำงได้
มำกกว่ำ 25 เมตร มกั พบทวั่ ไปตำมข้ำงถนน หัวไร่ ปลำยนำ และตำมสถำนท่ีรำชกำรต่ำงๆ นิยมปลูก
เพือ่ ให้รม่ เงำจำกเรือนยอดทีแ่ ผ่กวำ้ ง กำรใหเ้ น้อื ไมส้ ำหรบั ทำเคร่ืองเรอื นเนอ่ื งจำกมีลวดลำยสวย และ
กำรปลูกเพื่อเล้ียงครั่งเป็นหลักต้นจำมจุรี หรือมักเรียก ต้นฉำฉำ/สำสำ หรือ ต้นก้ำมปู (rain tree)
เป็นไมเ้ ศรษฐกิจโตเร็วทใ่ี ห้เยื่อและเน้ือไม้ชนิดหนงึ่ นอกจำกนั้น เปน็ ไม้ทม่ี กี ิ่งก้ำนยำว ปลำยกิง่ แตกกิ่ง
จำนวนมำก ใบมีขนำดเลก็ แต่ดก จนมีลกั ษณะเปน็ ทรงพ่มุ ใหร้ ่มเงำไดม้ ำก
2.4.1 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
รำกจำมจุรมี ีระบบเป็นรำกแก้ว และแตกรำกแขนงออกด้ำนข้ำง รำกแขนงมักแทงออกตำม
แน วน อนขนำนกับผิวดินใน ระดับตื้นที่อำจยำวได้มำกกว่ำ 10 เมตร เพ่ือเป็นฐำนพ ยุง
ลำต้นท่ีมลี ักษณะทรงพมุ่ กว้ำงใหญ่
ลำต้นมีลักษณะค่อนข้ำงกลม ไม่สมมำตร แตกก่ิงในระดับต่ำประมำณ 3-5 เมตร กิ่งประกอบด้วยก่ิง
หลกั และก่ิงแขนง เปลือกลำต้นของตน้ อ่อนมีสขี ำวเทำ เมื่อตน้ แก่จะมีสีดำเป็นแผน่ สะเกด็ กิ่งอ่อนมสี ี
ขำวเทำ กงิ่ แก่มสี ีนำ้ ตำล
13
ใบมีลักษณะเป็นใบประกอบแบบขนนก โคนใบเล็ก ปลำยใบมนกว้ำง ประกอบด้วยก้ำนใบ
หลัก และก้ำนใบย่อย โดยก้ำนใบหลักจะแทงออกบริเวณปลำยก่ิง เรียงสลับข้ำงกัน ก้ำนใบหลัก 1
ก้ำน มีก้ำนใบย่อยประมำณ 4-6 คู่ แตล่ ะคู่อยู่ตรงข้ำมกนั บนก้ำนใบ ก้ำนใบแต่ละคู่ มีจำนวนใบย่อย
แตกตำ่ งกัน ก้ำนคแู่ รกจะมจี ำนวนใบย่อยน้อยที่สดุ 2-3 คู่ใบย่อย สว่ นกำ้ นใบยอ่ ยคู่ท่ี 3-5 จะมีใบยอ่ ย
ประมำณ 56 คู่ ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อน ใบแก่มีสีเขียวเข้ม สีเหลือง และสีน้ำตำลตำมลำดับจนถึงระยะ
รว่ งของใบ ใบจะแตกออกบรเิ วณกงิ่ แขนงบริเวณปลำยยอด ไมพ่ บใบท่กี ิ่งหลกั
ดอกจำมจุรีเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ดอกออกเป็นช่อ แทงออกบริเวณปลำยกิ่งเหนือซอกใบ มี
กำ้ นช่อดอกยำว กลีบดอกส้ันเล็กสีเหลือง เมอ่ื ดอกบำนจะแตกกำ้ นเกสรออกมำให้เหน็ เป็นสีสวยงำม
ประกอบด้วยเกสรตัวผู้ที่เป็นเสน้ ยำวจำนวนมำก เมื่อดอกบำนเกสรจะมีสีขำว และเม่ือแก่ปลำยเกสร
จะมสี ชี มพสู วยงำม
ผลมีลักษณะเป็นฝัก รูปทรงแบนยำว คล้ำยฝักถั่ว ฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตำลจนถึงดำ
เมอ่ื ฝักสุก ฝกั แก่กวำ้ งประมำณ 3-5 เซนติเมตร ยำวประมำณ 10-15 เซนตเิ มตรขอบฝักเป็นแนวตรงเสมอกัน
และมีเส้นสีเหลืองตำมขอบ ร่องฝักนูนบริเวณที่มีเมล็ด และถูกหุ้มด้วยเน้ือผลสีน้ำตำล และช่วง
ระหว่ำงเมล็ดเป็นร่องท่ีประกอบด้วยเน้ือสีน้ำตำลเช่นกัน เน้ือผลจำมจุรีมีรสหอม และหวำนมำก
สำมำรถนำมำรบั ประทำนได้ลกั ษณะของต้นจำมจุรแี สดงดงั ภำพท่ี 2.10
ภาพที่ 2.10 ตน้ จำมจุรี
14
2.4.2 ประโยชน์ต้นจามจุรี
2.4.2.1 เนื้อไม้ ใช้นำมำแปรรูปเปน็ ไม้กอ่ สร้ำงบำ้ น ไม้ปูพื้น ไมฝ้ ำ้ ไมผ้ นัง คำน ขอบหน้ำตำ่ ง
หนำ้ ตำ่ ง บำนประตู และนยิ มใช้ทำเป็นเฟอร์นเิ จอรไ์ ด้หลำยชนดิ เนือ่ งจำกมลี ำยไมท้ ่ีสวยงำม และเน้ือ
ไม้แข็งแรง เช่น ทำโต๊ะ เก้ำอ้ี ตู้เส้ือผ้ำ เป็นตน้ รวมถึงงำนแกะสลักประเภทต่ำงๆ เน่ืองจำกมีสนี ้ำตำล
เขม้ จนถงึ ดำ เมอ่ื ขัดจะขนึ้ เงำมันงำม
2.4.2.2 ต้นจำมจุรีมีทรงพุ่มกวำ้ ง ใบดก ให้รม่ เงำได้ดีมำก จงึ นิยมปลกู เพ่ือใหร้ ่มเงำตำมหัวไร่
ปลำยนำ ข้ำงถนนสำหรบั คนเดินทำง สถำนทีร่ ำชกำรสำหรบั ประชำชน รวมถงึ ปลูกเปน็ ไม้ประดบั ดว้ ย
กำรตัดแต่งไม่ให้มีลำต้นสูง และแตกก่ิงยำวมำกนัก นอกจำกนั้น ยังใช้เป็นที่เกำะของเฟิร์น และ
กลว้ ยไม้ได้ดว้ ย
2.4.2.3 ก่ิงอ่อนของต้นจำมจุรีมีเย่ือเปลือกอ่อนท่ีเป็นอำหำรของคร่ัง จึงนิยมปลูกสำหรับ
ปล่อยเลี้ยงครั่ง ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดหนึ่งท่ีมีรำคำสูง เป็นที่ต้องกำรของตลำดต่ำงประเทศเป็น
อย่ำงมำก
2.4.2.4 ต้นจำมจุรีเป็นพืชในตระกูลถั่ว ใบมีสำรอำหำรหลำยชนิดจึงนิยมนำมำเป็นอำหำร
สัตว์ เช่น วัว ควำย สุกร แพะ แกะ เป็นต้น นอกจำกนั้น ยังใช้ร่วมกับฝักแก่สำหรับเป็นอำหำรสัตว์
เนือ่ งจำกฝักมรี สหวำนเป็นทช่ี อบของสตั ว์บำงชนดิ เชน่ โค กระบือ
2.4.2.5 ฝักแก่ สำมำรถนำมำหมักเป็นเหลำ้ หรือผลิตแอลกอฮอล์ได้ โดยฝักแก่ที่มีขนำดใหญ่
100 กโิ ลกรัม สำมำรถผลิตแอลกอฮอลไ์ ด้มำกกว่ำ 11 ลติ ร
2.4.2.6 ฝักแก่ นำเอำเมล็ด และเปลือกออก เหลอื เฉพำะเนอื้ ฝักใช้รบั ประทำนเปน็ อำหำร ให้
รสหอมหวำนมำก รวมถึงนำมำตม้ หรือชงเป็นชำด่มื กไ็ ด้
2.4.2.7 คุณสมบัติทำงด้ำนเคมี ต้นจำมจุรีมสี ำรจำพวกแอลคำลอยด์ ซึ่งมีชือ่ ว่ำ พิธทโิ คโลไบ
พบตำมเปลือก ใบ เมลด็ และเน้ือไม้ แตท่ ่ีใบมีสำรทเี่ ป็นพิษอยู่มำกเพรำะประกอบดว้ ยแอลคำลอยด์ที่
เป็นพิษอยู่มำก เพรำะประกอบด้วยแอลคำลอยด์ที่เป็นน้ำมัน อนุพันธ์ที่สังเครำะห์ได้จะไปตก
ผลึกพิธทโิ คโลไบ เป็นแอลคำลอยด์ที่มีพิษเป็นยำสลบซง่ึ มคี ุณสมบตั ไิ ปทำลำยปลำยประสำท
2.4.2.8 ใบท่ีรว่ งจำกตน้ จำมจุรี หำกกวำดกองรวมกันจะได้จำนวนมำก นำมำใช้ประโยชนท์ ำ
เป็นปุ๋ยหมักหรอื นำไปโรยใตต้ น้ ไม้ โรยตำมไร่ นำ ชว่ ยเป็นปยุ๋ แกพ่ ชื ได้
2.4.2.9 ลำต้น และกง่ิ ใช้ทำฟนื ใหพ้ ลังงำนสำหรับหงุ หำอำหำรในครวั เรือน
2.4.3 สรรพคุณจามจรุ ี
2.4.3.1 รำก นำมำต้มดืม่ รักษำอำกำรท้องร่วง นำมำฝนทำแผล รกั ษำแผลอกั เสบ เป็นหนอง
2.4.3.2 ฝกั หรือผลสกุ นำมำรับประทำน ช่วยบำรุงร่ำงกำย
15
2.4.3.3 ใบแก้ปวดแสบปวดร้อน ใบสดนำมำต้มน้ำดื่ม หรือตำกแห้งใช้ชงเป็นชำด่ืม ช่วย
รกั ษำโรคท้องรว่ ง
2.4.3.4 เปลือกตน้ มรี สฝำด นำมำต้มนำ้ ดืม่ รกั ษำโรคท้องเสีย ทอ้ งรว่ ง แก้รดิ สดี วงทวำรหนัก
ใช้ฝนหรือบดทำรักษำแผล แผลติดเชื้อ แผลเป็นหนอง ใช้รักษำแก้โรคผิวหนัง กลำก เกล้ือน นำมำ
เคีย้ วชว่ ยลดอำกำรเหงอื กบวม แกป้ วดฟนั
2.4.3.5 เมล็ด มีรสฝำด นำมำต้มนำ้ ด่มื รักษำโรคทอ้ งเสีย ท้องร่วง ใชฝ้ นหรือบดทำรักษำแผล
แผลตดิ เชื้อ แผลเปน็ หนอง ใชร้ ักษำแก้โรคผิวหนัง กลำก เกลอ้ื น
2.5 ข้อมลู ทางพฤกษศาสตรข์ องกระเทยี ม
ช่อื วิทยำศำสตร์ : Allium sativum
อยใู่ นวงศ์ : Amaryllidaceae
กระเทยี มไทย (Kra-tiem-Thai) เปน็ พชื สมุนไพร เป็นเครอื่ งเทศชนิดหน่ึง เป็นพืชล้มลุก มหี ัว
ใตด้ ิน ลำต้นเด่ียวตรง อยู่เหนือบนดนิ มีลักษณะกลมยำว มีกำบใบห่อห้มุ โดยรอบลำต้น มสี ขี ำวนวล มี
หัวใต้ดินไว้สะสมอำหำร มีหัวเดี่ยว มีลักษณะทรงกลม แบนรี มีขนำดเล็กกว่ำกระเทียมจีน มีอยู่เป็น
กลบี มีเปลอื กสขี ำวรอบนอกบำงแห้ง ข้ำงในมีแยกเป็นกลบี ๆ ปอกเปลือกยำกกว่ำ เนื้อมสี เี หลืองอ่อน
มีกลิ่นฉุนกวำ่ รสชำติเผด็ กว่ำ มีปลูกหลำยสำยพันธ์ุ (Thai-thaifood, 2560)
2.5.1 ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นพืชลม้ ลุก มีหัวใตด้ ิน ลำตน้ เดี่ยวตรง อยู่เหนือบนดิน มีลักษณะกลมยำว ๆ มีกำบ
ใบหอ่ หมุ้ โดยรอบๆลำตน้ มสี ีขำวนวล
รำก มีระบบรำกฝอย มลี กั ษณะรำกฝอยเลก็ ๆ ออกข้ำงลำ่ งใต้หัว
หัว มีหัวใต้ดิน ไว้สะสมอำหำร มีหัวเด่ียว มีลักษณะทรงกลม ๆ แบนรี มีขนำดเล็กกว่ำ
กระเทยี มจนี มีอยู่เป็นกลีบ มีเปลือกสีขำวรอบนอกบำงแห้ง ข้ำงในมีแยกเป็นกลีบๆ ปอกเปลือกยำก
กวำ่ เนื้อมสี เี หลอื งอ่อน มกี ลน่ิ ฉนุ กวำ่ รสชำติเผด็ กวำ่
ใบ เปน็ ใบเด่ียว ออกเรียงสลับ มกี ้ำนใบเป็นกำบบำงออกหุม้ รอบ ๆลำต้น มลี ักษณะยำวแคบ
มเี ส้นใบขนำนกับก้ำนใบ มกี ลนิ่ ฉุน มสี เี ขยี ว
ดอก ออกเป็นช่อ มีก้ำนดอกกลมกลวงยำว ปลำยก้ำนมีดอกย่อยเล็ก ๆ มีลักษณะซ่ีร่ม กลีบ
ดอกมีสีขำว สมี ว่ ง หรือขำวอมเขียว กลีบเล้ยี งมสี ีเขยี วรองรบั ชอ่ ดอกไว้
ผล ออกเปน็ เมล็ด มลี กั ษณะทรงรีเล็กๆ มสี ีดำ
2.5.2 ประโยชนข์ องกระเทยี ม
กระเทียมถูกนำมำใช้เพ่ือช่วยปรุงรสชำติของอำหำร ท้ังใช้ผัด แกง ทอด ยำ ต้มยำ หรือ
นำ้ พริกตำ่ ง ๆ อกี สำรพัดและยังเป็นเครื่องสมนุ ไพรที่อุดมไปด้วยวติ ำมินและแรธ่ ำตุหลำยชนดิ และยัง
16
เป็นพืชทธ่ี ำตุซีลเี นียมสูงกว่ำพืชชนิดอื่น ๆ และมีสำรอะดีโนซีน (Adenosine) ซ่ึงเป็นกรดนิวคลีอิกท่ี
เป็นตัวสร้ำง DNA และ RNA ของเซลล์ในร่ำงกำย นอกจำกนี้ยังมีกำรนำกระเทียมไปแปรรูปเป็น
ผลิตภัณฑ์ต่ำง ๆ อย่ำงหลำกหลำย เช่น กระเทียมเสริมอำหำร กระเทียมสกัดผง สำรสกัดน้ำมัน
กระเทยี ม กระเทยี มดอง เปน็ ต้น
2.5.3 สรรพคุณของกระเทียม
กำรกินกระเทียมทั้งสดหรือแห้งเป็นประจำสำมำรถป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันและ
กล้ำมเนื้อหัวใจหยุดทำงำนเฉียบพลันช่วยลดปริมำณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ควำมดันโลหิตสูง
และปริมำณน้ำตำลในเส้นเลือด รักษำโรคที่เก่ียวกับกระเพำะอำหำรและลำไส้ นอกจำกน้ียังสำมำรถ
ป้องกนั โรคหวดั วัณโรค คอตบี ปอดบวม ไทฟอยล์ มำลำเรยี คออักเสบและอหิวำตกโรค
2.5.4 การเกดิ โรคในกระเทียม
ในระยะช่วงหลงั กำรเก็บเก่ยี วหอม-กระเทียม เกษตรกรและผูบ้ ริโภค มกั พบปญั หำกระเทียม
เน่ำเสียหำย ซ่ึงเกิดจำกหลำยสำเหตุ โดยเฉพำะเป็นโรคท่ีเกิดจำกเชื้อรำ Aspergillus flavusซ่ึงจะ
พบว่ำมีผงรำสีเขียวขึ้น ระหว่ำงกำบหัวหรือระหว่ำงกลีบของกระเทียม เป็นสำเหตุสำคัญทำให้
กระเทยี มเน่ำเสยี
2.6 เชื้อรา Aspergillus flavus
เป็นเช้ือรำ (mold) ชนิดหน่ึง อยู่ในวงศ์ Aspergillus เป็นสำเหตุสำคัญทีทำให้อำหำรเสื่อม
เสีย (microbial spoilage) และผลิตสำรพิษไมโคทอกซิน (mycotoxin) ซึ่งมีช่ือว่ำ อะฟลำทอกซิน
(aflatoxin) ท่ีเป็นอันตรำยเป็นสำเหตุของโรคมะเร็งตับโครงสร้ำงสปอร์ของเชื้อรำแสดงดังภำพที่
2.11
ภาพท่ี 2.11 โครงสร้ำงสืบพนั ธุเ์ ช้อื รำ Aspergillus flavus
ทีม่ ำ : http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/0568/aspergillus-flavus
17
2.6.1 ลกั ษณะท่วั ไป
เชื้อรำ Aspergillus flavusมี conidium รูปร่ำงกลม ไม่มีสี ผนังขรุขระ ขนำดเส้นผ่ำน
ศูนย์กลำงเฉลี่ย 2.5-5 ไมครอน เกิดบนปลำย sterigma ท่ีสร้ำงบน vesicle มีรูปร่ำงกลมหรือ
ค่อนข้ำงกลม ขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำงเฉล่ีย 25-45 ไมครอน conidiophore ไม่มีสี ผนังหนำ ผิว
ขรุขระ มคี วำมยำวอยู่ในช่วง 480-800 ไมครอน เสน้ ผ่ำนศนู ย์กลำง 10-15 ไมครอน
2.6.2 โรคมะเรง็ ตับทม่ี สี าเหตุมาจากเชือ้ รา Aspergillus flavus
มะเร็งตับเกิดจำกกำรได้รับสำรอะฟลำท็อกซิน (Aflatoxins) สำรนี้ถูกสังเครำะห์โดยเชื้อรำ
Aspergillus flavusซงึ่ เป็นสำรทเ่ี กิดจำกเช้ือรำในกระเทียมท่ีเก็บรกั ษำหลังกำรเก็บเก่ียวจนทำให้เกิด
เชื้อรำ กำรได้รับอำหำรปนเปื้อนเช้ือรำ Aspergillus flavusจึงเสี่ยงต่อกำรได้รับสำรพิษชนิดน้ีและ
เกดิ เปน็ มะเร็งตบั 5.0-9.1 เท่ำ เมื่อเปรยี บเทียบกบั ผู้ทต่ี รวจไมพ่ บสำรดังกล่ำวในรำ่ งกำย
2.7 ฟลิ ์มพลาสตกิ ชวี ภาพ
ฟิล์มพลำสติกชีวภำพที่ย่อยสลำยแบบย่อยสลำยทำงชีวภำพ (compostable plastics)
หมำยถึง พลำสติกชีวภำพผลิตจำกวัตถุดิบปิโตรเลียมหรือพืช ใช้กำรย่อยสลำยทำงชีวภำพ
(compostable) โดยใชจ้ ุลนิ ทรีย์ปลอ่ ยเอนไซม์ ออกมำย่อยสลำยผนังเซลล์และโมเลกุลพนั ธะภำยใน
ของพลำสติก ซ่ึงกำจัดพลำสติกชีวภำพภำพได้หมดไม่มีผลกระทบต่อสุขภำพและส่ิงแวดล้อม(พิฑูร,
2553)
2.7.1 พลาสตกิ ชีวภาพผลิตจากวตั ถดุ ิบ 2 ประเภท คอื
2.7.1.1. วัตถดุ ิบจำกปโิ ตรเลียม (petroleum-based) เช่น น้ำมนั ดิบ กำ๊ ซธรรมชำติและถำ่ น
หิน เปน็ ต้น
2.7.1.2. วัตถุดิบจำกพชื ทำงกำรเกษตร (Bio-based)
- พอลิแซ็กคำไรด์ (Polysaccharide) ได้แก่ น้ำตำล และแป้งที่โมเลกุลเล็ก เปลี่ยน
จำกมอนอเมอรเ์ ปน็ พอลิเมอร์ได้งำ่ ย
- ลิกโนเซลลูโลสิก (lignocellulosic) เช่น กำกมันสำปะหลัง ชำนอ้อย ใยสับปะรด
ฟำงข้ำว และ เปลือกข้ำว เป็นต้น มีเส้นใยมำก ขนำดโมเลกุลใหญ่ เปลี่ยนมอนอ
เมอร์เป็นพอลเิ มอรย์ ำก มคี ณุ สมบัติเหนียวและทนต่อกำรขำด
- ไขมันและโปรตีนจำกเมล็ดพืช มีคุณสมบัติ น้ำซึมผ่ำนยำก กำรย่อยสลำยทำง
ชวี ภำพยำกกวำ่ พอลิแซก็ คำไรด์คำไรด์และลกิ โนเซลลูโลสิก
18
2.7.2 ประเภทของพลาสติกยอ่ ยสลายได้
พลำสติกที่ถูกย่อยสลำยได้ทำงชีวภำพถูกจำแนกออกเป็น 4 ประเภทโดยใช้หลักเกณฑ์กำร
จำแนกจำกกระบวนกำรสังเครำะห์และแหล่งของวัตถุดิบท่ีนำมำใช้ในกระบวนกำรผลิตท่ีแตกต่ำงกัน
ดังนี้
2.7.2.1 โพลเิ มอร์ท่ีได้มำจำกวัตถุดิบทเ่ี ป็นมวลชีวภำพ (biomass) ได้แก่ วัตถุดิบทเ่ี ป็นพอลิ
แซคคำไรด์ ท่ีได้จำกแป้งข้ำวสำลี แป้งมันฝรั่ง แป้งข้ำวโพด หรือ วัตถุดิบท่ีเป็นผลิตภัณฑ์ลิกโน
เซลลโู ลส เชน่ ฟำง ไม้ เปน็ ต้น นอกจำกนนั้ ยังรวมไปถึงวัตถุดิบในกลุ่มของไคโตซำนและไคติน ซึ่งเม่ือ
นำมำละลำยในกรดอนิ ทรีย์จะมีลกั ษณะเป็นสำรละลำยเหนียวใสคล้ำยว้นุ และสำมำรถนำมำข้นึ รปู เป็น
พลำสติกได้ หรือวัตถุดิบในกลุม่ คอลลำเจนและเจลำตินที่สกัดได้จำกโปรตีนพืชและสตั ว์ก็สำมำรถนำ
มำข้ึนรปู เป็นพลำสตกิ ได้เช่นกนั
2.7.2.2 โพลิเมอร์ท่ีได้มำจำกกำรผลิตจำกจุลินทรีย์ ได้แก่โพลิเมอร์ในกลุ่ม PHAs เช่น
Poly(hydroxybutyrate) (PHB)และ Poly(hydroxybutyrate cohydroxyvalerate) (PHBV) เป็น
ตน้
2.7.2.3 โพลิเมอร์ที่สังเครำะห์ขึ้นจำกกระบวนกำรทำงเคมี ท่ีใช้วัตถดุ ิบท่ีเป็นโมโนเมอร์ท่ีได้
จำกผลิตภัณฑ์ทำงกำรเกษตรเชน่ ข้ำวโพด มันสำปะหลัง อ้อย เป็นต้น โดยเม่ือผำ่ นกระบวนกำรทำง
เทคโนโลยีชีวภำพแล้วจะเปลี่ยนแป้งที่ได้จำกวัตถุดิบไปเป็นน้ำตำลและเปลี่ยนน้ำตำลไปเป็นโมโน
เมอร์ ซึ่งก็คอื กรดแลคติก (lactic acid) และนำกรดแลคติกท่ีได้มำต่อเช่อื มเป็นโพลิเมอร์สำยยำว ซ่ึง
โพลเิ มอร์ประเภทนคี้ ือ Poly(lactic acid) (PLA)
2.7.2.4 โพลิเมอร์ที่สังเครำะห์ข้ึนจำกโมโนเมอร์หรอื โพลเิ มอร์จำกอุตสำหกรรมปิโตรเคมี ซึ่ง
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักคือ กลุ่มที่มีโครงสร้ำงเป็นโซ่สำยตรง เช่น Poly(butylene succinate)
(PBS) ทีไ่ ดจ้ ำกโมโนเมอร์คอื กรดซัคซนิ ิคและ 1,4–บวิ เทนไดออล และ กลุ่มทมี่ ีโครงสร้ำงเป็นวงอะโร
มำติก เชน่ Poly(butylene adipate/terephthalate) (PBAT) เปน็ ต้น
2.7.3 ประโยชน์ของพลาสติกยอ่ ยสลายได้
2.7.3.1 ประโยชน์ทางดา้ นการแพทย์
- นำมาใชใ้ นการผลิตรากฟันเทียม
- ผลิตวสั ดทุ างการแพทย์ที่นำมาใชก้ บั ดวงตา
- ผลติ ไหมเทยี มเพือ่ นำมาใชใ้ นการผ่าตดั
- ผลิตแคปซูลยาทคี่ วบคุมการปล่อยตวั ยาได้อย่างช้าๆในระยะเวลาทีต่ ้องการให้มีการ
ออกฤทธ์ิ
- วัสดใุ นการตรึงกระดูกซ่ึงพบวา่ มคี วามยืดหย่นุ กวา่ การใชโ้ ลหะในการตรึงกระดูก
19
- ผลิตผิวหนงั เทียม เพอ่ื นำมาใช้ในการตกแต่งบาดแผลทเ่ี กดิ จากไฟไหม้
2.7.3.2 ประโยชนท์ างด้านการเกษตร
- นำเอาพลาสตกิ ชวี ภาพมาใชเ้ ปน็ วัสดุคลมุ ดิน หรอื เอามาใช้ในการคลมุ ผลผลิตทาง
การเกษตรแทนท่ีการใชพ้ ลาสติกสังเคราะห์
- ลดขัน้ ตอนและคา่ ใช้จ่ายในการเกบ็ และกำจดั วสั ดคุ ลมุ ดนิ ภายหลงั การเพาะปลกู
- ตัวควบคมุ การปลดปลอ่ ยสารอาหารให้กับพืช
- ตวั ปรับปรงุ คณุ ภาพของดิน (soil conditioner) ร่วมกับวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้
ตามธรรมชาตชิ นิดอน่ื ๆ
- ผลิตเป็นภาชนะปลูกพืชโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้เกิดการย่อยสลายและเป็นอาหาร
ให้กับพชื ในระหว่างการเพาะปลูกด้วย
2.7.4 ข้อดี
2.7.4.1 มีฐานวัตถดุ บิ ที่มาจากผลิตผลทางการเกษตร
2.7.4.2 มคี วามสามารถในการยอ่ ยสลายไดท้ างชวี ภาพ
2.7.4.3 มีอณุ หภูมหิ ลอมเหลวอยูใ่ นระดับสูงพอสมควร
ลักษณะการย่อยสลายของพลาสติกชีวภาพแสดงดงั ภาพที่ 2.12
ภาพที่ 2.12 พลาสตกิ ท่ียอ่ ยสลายได้ทางชีวภาพ
(ท่มี า: https://www.sanook.com/campus/935440/)
2.8 งานวจิ ยั ทีเ่ กีย่ วข้อง
ชิดชม และวิภำ (2537) ได้สกัดแทนนินจำกเปลือกกล้วยพันธ์ุต่ำงๆ ได้แก่ กล้วยหอมทอง
กลว้ ยนำ้ วำ้ และกลว้ ยไขท่ ่มี ีระยะเวลำในกำรสุกแตกต่ำงกันคือ ดบิ ห่ำม และสุก พบว่ำพนั ธ์กุ ล้วยและ
20
ระยะเวลำในกำรสกุ มผี ลตอ่ ปริมำณแทนนนิ กล้วยหอมทองจะมีปรมิ ำณแทนนนิ สูงกว่ำกล้วยนำ้ วำ้ เมื่อ
ระยะในกำรสุกเท่ำกับ 1 และ 3 และสูงกว่ำกล้วยไข่ เมื่อระยะเวลำในกำรสุกเท่ำกับ 1, 3 และ 6
กลว้ ยดิบมีปรมิ ำณแทนนินสงู สุดและจะลดตำ่ เมอื่ กลว้ ยสุกมำกข้นึ อัตรำกำรลดลงของปริมำณแทนนิน
ในเปลือกกล้วยไข่สูงกว่ำในกล้วยพันธุ์อ่ืน กำรทดลองเพ่ือหำสภำวะท่ีเหมำะสมของกำรสกัดแทน
นินจำกเปลอื กกล้วย โดยศึกษำชนดิ ของสำรละลำยสกัด อุณหภมู ิ เวลำ และอตั รำส่วนระหว่ำงเปลอื ก
กล้วยต่อสำรแยกสกดั พบว่ำเม่ือใช้สำรละลำยผสมของน้ำและเอธำนอล (1:1) โดยปริมำตร อุณหภูมิ
กำรสกัด 50 องศำเซลเซียส เวลำในกำรสกัด 2 ชั่วโมง และอัตรำส่วนของน้ำหนักเปลือกกล้วยต่อ
ปริมำตรสำรละลำย 1:30 หรือ 1:40 แช่เพียงคร้ังเดียวจะให้ผลกำรสกัดสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 81-85
ของปริมำณแทนนินเร่ิมต้นแทนนินจำกเปลือกกล้วยน้ีสำมำรถแยกและทำให้บริสุทธิ์ได้โดยอำศัย
กระบวนกำรดูดซับ (adsorption) บนคอลัมน์ Sephadex LH-20 เม่ือนำผงแทนนินบริสุทธ์ิที่มีสี
น้ำตำลอ่อน มำทดสอบปฏิกิริยำทำงเคมีเปรียบเทียบกับกรดแทนนิก สรุปได้ว่ำแทนนินจำกเปลือก
กล้วยเป็นชนิด condensed tannin ซึ่งมีคุณสมบัติในกำรตกตะกอนโปรตีนและจับกับอิออน
ของโลหะไดด้ ี
Moosophinet al. (2010) ศึกษำกำรสกัดแทนนินจำกเปลือกมังคุดสำหรับกำรตกตะกอน
โปรตีนในไวน์ โดยนำมังคุดที่แก่จัดมำใช้ในกำรสกดั แทนนิน เพ่ือศึกษำปจั จัยท่ีส่งผลต่อกำรสกดั แทน
นนิ เช่น ขนำดของเปลือกมังคุด ตัวทำละลำย อุณหภูมิ ระยะเวลำท่ีใช้ในกำรสกัดและอตั รำส่วนของ
เปลือกมังคุดต่อตัวทำละลำย พบว่ำ เปลือกมังคุดขนำด 20/30 meshสกัดด้วยตัวทำละลำยน้ำต่อ
95% Ethanolอัตรำส่วน 1:1 v/v ท่ีอุณหภูมิ 80 องศำเซลเซียสเป็นเวลำ 2 ชั่วโมง และอัตรำส่วน
เปลือกมังคดุ ต่อตวั ทำละลำย คือ 1:10 (w/v) ให้สำรสกดั แทนนินสูงสุด จกน้ันนำแทนนินที่สกัดได้ทำ
ใหบ้ ริสุทธิ์ด้วยกำรดูดชับโครมำโตรกรำฟฟีโดย Sephadex LH-20พบว่ำมีค่ำ recover ของแทนนินบ
ริสุทธิ์เท่ำกับ 27.48% ของแทนนินทั้งหมด ผลกำรทดสอบทำงเคมีของแทนนินบริสุทธ์ิ พบว่ำเป็น
คอนเดนส์แทนนนิ เน่ืองจำกคอนเดนส์แทนนินสำมำรถตกตะกอนโปรตนี ได้ดี ดงั น้ันแทนนนิ บรสิ ุทธท์ิ ี่
ไดจ้ ำกกำรทดลองนัน้ ถูกนำมำใช้สำหรบั กำรตกตะกอนของโปรตีนในไวน์ ผลกำรทดสอบจำกผู้บริโภค
แสดงให้เหน็ วำ่ รสชำติของไวน์และควำมฝำดของไวน์มคี ำ่ เพ่มิ ข้ึนที่ระดบั นยั สำคัญ 95%
เจิมขวัญ สุพัฒน์ และ ทองชัย (2554) ศึกษำกำรใช้ประโยชน์จำกผงเปลือกมังคุดเพื่อผลิต
วสั ดบุ รรจุภณั ฑ์ ทสี่ ำมำรถยับยง้ั เชอื้ สำเหตุโรคแอนแทรกโนสในกลว้ ยหอมทอง โดยทำกำรทดลอง (1)
ผลิตกระดำษท่ีเติมผงเปลือกมังคุดที่ระดับควำมเข้มข้น 25 -100% ของเยี่อยูคำลิปตัสฟอกขำว
อบแห้ง (2) เคลือบกระดำษด้วยสำรสกัดจำกเปลือกมังคุดท่ีระดับควำมเข้มข้น 5 -25% ของ
สำรละลำยเคลือบผิวกระดำษ และ (3) ผลิตฟิลม์ คำร์บอกซเิ มทิลเซลลูโลสจำกเย่ือฟำงข้ำว (CMCr) ท่ี
เติมสำรสกัดจำกเปลือกมังคุดท่ีระดับควำมเข้มข้น 1000 - 25000 ppm นำกระดำษและฟิลม์ ท่ีผลิต
ได้มำทดสอบประสิทธิภำพกำรยับยั้งเชื้อสำเหตุโรคแอนแทกโนสบนอำหำร PDA บ่มท่ีอุณหภูมิ 25
21
องศำเซลเซียส เป็นเวลำ 48 ชั่วโมง จำกกำรทดลอง พบว่ำกระบวนกำรผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์ส่งผล
โดยตรงตอ่ ประสทิ ธภิ ำพกำรยับย้ังเช้ือสำเหตุโรคแอนแทรกโนส ในกล้วยหอมทอง (Colletotrichum
musarum) โดยกระดำษเตมิ ผงเปลือกมงั คุดที่ระดับควำมเข้มข้น 100% และกระดำษเคลือบผิวด้วย
สำรกัดจำกมังคุดท่ีระดับควำมเข้มข้น 25% มีขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำงโคโลนีของเชื้อรำเท่ำกับ
0.54±0.1และ 0.73±01เซนติเมตร ตำมลำดับในกรณีของฟิล์ม CMCrท่ีระดับกำรเติมสำรสกัดจำก
เปลือกมังคดุ 25000 ppm มขี นำดเส้นผ่ำนศนู ยก์ ลำงโคโลนีเชอ้ื รำ เทำ่ กับ 0.58±0.1 เซนตเิ มตร เมื่อ
เปรียบเทียบกับชุดควบคุมของกระดำษและฟิล์ม พบวำ่ มีขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำงโคโลนีของเชื้อรำ
เท่ำกบั 1.68±0.1 และ 1.83±0.1 เซนติเมตร ตำมลำดบั
กมลชนก และ ปนดั ดำ (2557) ศกึ ษำสภำวะทีเ่ หมำะสมในกำรสกัดสำรแทนนินจำกตัวอยำ่ ง
ใบมันสำปะหลังทีเ่ กบ็ มำจำกอำเภอครบรุ ี จังหวดั นครรำชสมี ำ โดยศึกษำสภำวะท่ีใช้ในกำรสกดั ได้แก่
ชนิดของตัวทำละลำย คือ น้ำ เมทำนอลกับน้ำร้อยละ 30, 50, 70, 80, 90 เอทำนอลกับน้ำร้อยละ
30, 50, 70, 80,90 และอะซโิ ตนกบั น้ำร้อยละ 30, 50, 70, 80, 90 โดยปริมำตร อัตรำสว่ นระหว่ำง
ตวั อยำ่ งใบมันสำปะหลังตอ่ ตัวทำละลำย คอื 1:10, 1:20, 1:30 และ 1:40 กรมั ต่อมิลลิลติ ร อุณหภูมิท่ี
ใช้ในกำรสกัด คือ อุณหภูมิห้องและ 50 องศำเซลเซียส และเวลำท่ีใช้ในกำรสกัด คือ 1, 3 และ 5
ช่วั โมง โดยใช้วธิ ีกำรสกัดแบบแชค่ ร้ังเดียว และวิเครำะห์ปริมำณสำรแทนนินท้ังหมดโดยให้สำรท่ีสกัด
ได้ทำปฏิกิริยำกับโฟลิน – เดนนีส รีเอเจนต์ แล้ววัดค่ำกำรดูดกลืนแสงที่ควำมยำวคล่ืน 762 นำโน
เมตร ด้วยเคร่ืองยูวี -วิสิเบิล สเปกโทรโฟโตมิเตอร์ พบว่ำสภำวะที่เหมำะสมในกำรสกัดสำรแทน
นินจำกตัวอยำ่ งใบมันสำปะหลงั คือ อะซิโตนกบั นำ้ รอ้ ยละ 80 อัตรำส่วน 1:20ทำกำรสกดั ทอ่ี ุณหภูมิ
50 องศำเซลเซียส และใชเ้ วลำในกำรสกัด 3ชว่ั โมง ซึ่งพบว่ำมีปรมิ ำณสำรแทนนินสูงท่ีสุดคือ 644.62
มลิ ลิกรัมตอ่ กโิ ลกรัม
ชรินทร และ ณกัญภัทร (2558) ศึกษำผลของสำรสกัดแทนนินจำกเปลือกเงำะต่อคณุ สมบัติ
ของฟิล์มพอลิแลกติกแอซิต (PLA) เพ่ือใช้ย้อมสีในพลำสติกชีวภำพ พบว่ำสภำวะท่ีเหมำะสมในกำร
สกัดจำกเปลือกเงำะด้วยน้ำคือที่อัตรำส่วน 1:10 (w/v) ที่อุณหภูมิ 90 องศำเซลเซียส ได้สำรสกัด
หยำบจำกเปลือกเงำะ 17.85%±1.45% (w/v)มปี ริมำณแทนนินท้ังหมด 25.36±1.10 (w/v) เม่ือนำ
สำรสกัดแทนนินท่ีได้มำทดสอบปฏิกริ ิยำเทียบกับสำรสกดั แทนนินมำตรฐำนพบวำ่ เป็นชนิดคอนเดนส์
แทนนิน ผลของฟลิ ์มผสมระหวำ่ งพอลิแลกตกิ แอซิตกับสำรสกัดแทนนินจำกเปลอื กเงำะพบวำ่ กำรเพ่ิม
สำรสกัดแทนนินจำกเปลือกเงำะลงในฟิล์มพอลิแลกติกแอซิตทำให้คำ่ กำรต้ำนทำนแรงดึงและร้อยละ
กำรยดึ ลดลง
ธำรทิพย์ (2559) ศึกษำประสิทธิภำพของสำรสกัดหยำบชีวภำพ 4 ชนิด จำกมะละกอและ
สั บ ป ะ ร ด โด ย ใช้ ตั ว ท ำล ะ ล ำย น้ ำ แ ล ะ น้ ำ ห มั ก จ ำก EM แ ล ะ ท ด ส อ บ ก ำร ยั บ ยั้ ง ร ำ
Colletotricumcapsiciและ C. gloeosporioidesท้งั ในระดบั ห้องปฏบิ ัตกิ ำรและแปลงทดลอง พบว่ำ
22
สำรสกัดหยำบจำกใบสับปะรดที่สกดั ด้วย ตัวทำละลำยนำ้ และน้ำหมกั EM ควำมเขม้ ข้น 1 เปอร์เซ็นต์
สำมำรถยับย้ังกำรเจริญเส้นใยของรำC. gloeosporioidesได้ 97.45 และ 97.40 เปอร์เซ็นต์
ตำมลำดับและสำมำรถยับย้ังกำรเจริญเส้นใยของรำ C. capsici ได้ 97.40 และ 98.14 เปอร์เซ็นต์
ตำมลำดับ ส่วนผลกำรทดสอบในแปลงทดลองพบว่ำสำรสกัดหยำบจำกมะละกอในน้ำหมัก EM 10
เปอรเ์ ซ็นต์และสำรสกดั หยำบจำกใบสับปะรดในน้ำหมัก EM 1 เปอร์เซ็นต์ผสมกับสำรสกัดหยำบจำก
ในมะละกอในน้ำหมัก EM 1 เปอร์เซ็นต์มีประสิทธิภำพสูงที่ 85 และ 92.5 เปอร์เซ็นต์ สำหรับกำรยับยั้งรำC.
gloeosporioidesและ C. capsiciตำมลำดับ ผลกำรวจิ ัยสำรสกัดหยำบจำกพืชท้งั 2 ชนิด มีแนวโนม้ ใน
กำรใช้ทดแทนสำรเคมีเพือ่ ควบคุมหรอื ยับย้ังรำก่อโรคคอนแทรกโนสในแปลงปลูกพริกของเกษตรกร
ได้
23
บทท่ี 3
วิธดี ำเนินงานวจิ ัย
ในการทำวิจัยเร่อื งการสกดั แทนนินจากเศษไม้เพ่ือใช้ในการยืดอายุการเกบ็ รกั ษากระเทียม มี
อปุ กรณ์ เคร่อื งมอื และสารเคมีที่ใช้ดงั นี้
3.1 อุปกรณ์
1. บีกเกอรข์ นาด 1000 มลิ ลิลิตร
2. ขวดรปู กรวยขนาด 1000 และ 100 มิลลิลติ ร
3. กระบอกตวงขนาด 250 มิลลิลติ ร
4. กระดาษกรอง
5. ช้อนตักสาร
6. กรวยกรอง
7. ถงุ มอื
8. จานเพาะเช้ือ
9. Cork borrer
10. ตะเกยี งแอลกอฮอล์
11. เข็มเข่ีย
12. สำลี
13. กระดาษ
14. แม่พิมพ์สำหรับข้ึนรูปแผ่นฟิล์ม
3.2 เครอ่ื งมอื
1. เครื่องให้ความร้อนพร้อมปนั่ กวนสารละลาย (Hotplate Stirrer)
2. เครื่องช่งั ทศนยิ ม 2 ตำแหน่งรนุ่ PG2002-S ย่ีห้อ METTLER TOLEDO (Thailand)
3. เครอื่ งวดั คา่ ดูดกลืนแสง (Spectrophotometer)
4. ต้อู บความร้อนฆ่าเช้อื (Autoclave)
5. ตู้ปลอดเชอื้ (Biological Safety Cabinets)
6. เคร่อื งวดั สี (Color Meter)
7. เครอื่ งวัดความชื้นและอณุ หภูมิ
8. ไมโครเวฟร่นุ ME711K ย่หี อ้ Samsung
24
3.3 สารเคมี
1. 95% ethanol
2. Tannic acid
3. Folin-ciocalteu phenol reagent
4. Na2CO3
5. Glucose
6. Agar
7. Gelatin
8. Benomyl
9. Bovine serum albumin
10. Lead acetate
11. น้ำกลน่ั
3.4 วิธกี ารทดลอง
การทดลองที่ 1 การศึกษาสภาวะทเ่ี หมาะสมตอ่ การสกัดแทนนินจากขี้เล่อื ยโดยใช้ไมโครเวฟ
1.1 การเตรียมสารละลายสกดั แทนนนิ
ในงานวจิ ัยน้ี ใชข้ ี้เล่ือย 10 กรมั ต่อสารละลายสกดั 100 มิลลิลิตร นำไปให้ความร้อนโดยผ่าน
เคร่ืองไมโครเวฟ ประกอบด้วยชุดการทดลองท่ีเป็นสภาวะสกัดแบบต่าง ๆจำนวน 9 ชุดการทดลอง
การทดลองละ 4 ซำ้ ดงั นี้
1. ขี้เลื่อย 10 กรัมต่อน้ำกลั่น 100 มลิ ลิลติ ร ท่ีกำลังไฟ 100 วัตต์
2. ขเ้ี ลอ่ื ย 10 กรัมตอ่ น้ำกลน่ั 100 มิลลิลิตร ทก่ี ำลงั ไฟ 300 วัตต์
3. ขเ้ี ล่ือย 10 กรัมตอ่ นำ้ กล่ัน 100 มิลลลิ ติ ร ทกี่ ำลงั ไฟ 450 วัตต์
4. ข้ีเล่อื ย 10 กรัมต่อนำ้ กลั่น : 95% Ethanol 100 มิลลิลิตร ในอัตราส่วน 1: 1 ทก่ี ำลงั ไฟ
100 วัตต์
5. ขเ้ี ลอื่ ย 10 กรมั ตอ่ นำ้ กล่ัน : 95% Ethanol 100 มิลลลิ ิตร ในอตั ราส่วน 1: 1 ทีก่ ำลงั ไฟ
300 วัตต์
6. ข้เี ลื่อย 10 กรัมตอ่ น้ำกลน่ั : 95% Ethanol 100 มิลลลิ ิตร ในอตั ราสว่ น 1: 1 ที่กำลงั ไฟ
450 วัตต์
7. ขี้เลอ่ื ย 10 กรมั ต่อ 95% Ethanol 100 มลิ ลิลิตร ท่กี ำลังไฟ 100 วตั ต์
8. ขี้เลื่อย 10 กรมั ตอ่ 95% Ethanol 100 มลิ ลิลิตร ทกี่ ำลังไฟ 300 วตั ต์
9. ขเ้ี ล่อื ย 10 กรัมตอ่ 95% Ethanol 100 มลิ ลลิ ิตร ที่กำลังไฟ 450 วตั ต์
25
ทำการสกัดนำเข้าไมโครเวฟเป็นเวลา 30 วนิ าที นำออกมาเขย่า 2 นาทีที่อุณหภมู ิห้อง ทำซ้ำ
เป็นจำนวน 5 ครงั้ แล้ววดั อณุ หภูมิสุดทา้ ย หลงั จากนำออกจากไมโครเวฟทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมากรอง
ผ่านกระดาษกรอง จากนั้นเทสารละลายที่กรองได้ลงจานเพาะเชื้อ แล้วนำไปอบในตู้อบลมร้อนท่ี
อณุ หภูมิ 60 องศาเซลเซยี ส จนสารสกัดระเหย แล้วเกิดการตกตะกอนของแทนนิน จากนั้นนำไปขูด
เอาตะกอนแทนนนิ แล้วนำไปชัง่ น้ำหนกั
1.2 การทดสอบคณุ สมบตั ิเบ้ืองต้นของแทนนิน
1.2.1 ทดสอบการตกตะกอนโปรตีน BSA โดยใช้อัตราส่วนปริมาณสารสกัดแทนนนิ
1 มลิ ลิลิตร ตอ่ สารละลาย 1% BSA 1 มิลลิลิตรสารละลายท่มี ีแทนนินอยจู่ ะตกตะกอนโปรตีน BSA
ลงมา
1.2.2 ทดสอบการตกตะกอนโปรตีน gelatine โดยใช้อัตราส่วนปริมาณสารสกัดแทนนิน
1 มิลลิลิตร ต่อ สารละลาย 1% gelatin 1 มลิ ลิลิตรสารละลายท่ีมีแทนนินอยู่จะตกตะกอนโปรตีน
gelatin ลงมา
1.2.3 ทดสอบกับ lead acetate 1% โดยใชอ้ ัตราส่วนปรมิ าณสารสกดั แทนนนิ ต่อ
สารละลาย 1% lead acetate 1 มลิ ลลิ ิตรสารละลายที่มีแทนนนิ อย่จู ะตกตะกอน lead acetate
ลงมา
1.3 การวิเคราะห์ปริมาณแทนนนิ
มีขั้นตอนการวิเคราะห์ดังนี้ นำผงแทนนินท่ีได้จากการระเหยมาเจือจางในนำ้ กลั่นให้มคี วาม
เขม้ ข้น 1% นำไปใสห่ ลอดทดลองจำนวน 3 หลอด หลอดละ 1 มิลลิลติ ร เตมิ สารละลาย 50% Folin
ciocalteu reagent ปริมาตร 0.5 มิลลิลิตร เก็บไว้ในท่ีมืดเป็นเวลา 5 นาที เติม 7% Na2Co3
ปริมาตร 2 มิลลิลิตร ลงในหลอดทดลองทุกหลอดเขย่าให้เข้ากัน เก็บไว้ในที่มืดเวลา 1 ช่ัวโมง 30
นาที แล้วนำไปวัดค่าดูดกลืนแสงท่ี 725 นาโนเมตร บันทึกผล จากน้ันนำไปคำนวณปริมาณแทนนิ
นเทยี บกบั กราฟมาตรฐานกรดแทนนกิ (แสดงในภาคผนวก)
การทดลองท่ี 2 ผลของสารสกดั แทนนินต่อการยบั ยั้งเชือ้ รา Aspergillus flavus ซง่ึ เปน็
เชอ้ื ราก่อโรคในกระเทยี มในจานเพาะเชื้อ (in vitro)
2.1 การเตรยี มสารสกัดแทนนนิ
นำสารสกัดแทนนินท่ีสกัดด้วยตัวทำละลายท่ีดีท่ีสุดจากการทดลองท่ี 1 ซ่งึ ให้ปริมาณแทนนนิ สูงสุดมา
ทำการทดลองต่อ โดยจากการทดลองท่ี 1 พบว่าตัวทำละลายท่ดี ที ี่สุดคือ นำ้ กล่นั : 95% Ethanol
(1:1 v/v) ทก่ี ำลงั ไฟ 100 วตั ต์ จากน้ันนำสารละลายแทนนนิ มาทำการระเหยแห้งด้วยตอู้ บลมร้อนที่
อุณหภมู ิ 60 องศาเซลเซียส
26
2.2 การเตรียมเชอื้ รา
นำเส้นใยเชอื้ รา Aspergillus flavus ซึ่งได้รับความอนุเคราะหจ์ าก ผศ.ดร.หฤทัย ไทยสุชาติ
ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง มาเลี้ยงบนอาหาร PDA ธรรมดา เป็นเวลา 7
วัน จากน้ันทำการย้ายเชื้อราไปเล้ียงบนอาหารใหม่ทุก ๆ 3 วัน เป็นจำนวน 7 ครั้งเพ่ือให้ได้เช้ือ
บรสิ ทุ ธิ์และมีอายุเหมาะแกก่ ารทดสอบ
2.3 เตรียมอาหารทดสอบท่มี ีแทนนนิ ที่มคี วามเขม้ ข้นต่าง ๆ และการทดสอบการยบั ยง้ั
การเตบิ โตของเส้นใยเช้อื รา
นำผงแทนนนิ ที่ไดม้ าปรบั ความเขม้ ข้นของสารสกดั แทนนิน แบ่งออกเป็น 5 ชดุ การทดลอง
โดยแตล่ ะชุดการทดลอง ประกอบดว้ ย 5 ซ้ำ ดงั นี้
1. อาหาร PDA 100 มิลลิลติ ร (ชุดควบคมุ เชงิ ลบ)
2. แทนนิน 2.5 มลิ ลิกรมั (2.5%) ผสมในอาหาร PDA จนครบปริมาตร 100 มิลลิลติ ร
3. แทนนนิ 5 มิลลิกรัม (5%) ผสมในอาหาร PDA จนครบปริมาตร 100 มิลลิลิตร
4. แทนนนิ 10 มลิ ลิกรมั (10%) ผสมในอาหาร PDA จนครบปรมิ าตร 100 มิลลิลิตร
5. แทนนนิ 20 มิลลกิ รมั (20%) ผสมในอาหาร PDA จนครบปริมาตร 100 มิลลลิ ิตร
6. สารกำจัดเชอ้ื รา 10 มิลลิกรัม (10%) ผสมในอาหาร PDA จนครบปริมาตร 100 มลิ ลิลิตร
(ชุดควบคุมเชิงบวก)
นำเชื้อราจากข้อ 2.2 มาทำการทดสอบโดยนำ Cork borer ฆ่าเชื้อด้วย 95% alcohol แล้ว
เผาไฟให้ร้อนแดง ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วเจาะลงในจานอาหารท่ีมีเช้ือราโดยเลือกบริเวณของเส้นใยไมซี
เลียมบริเวณขอบของโคโลนี เนื่องจากยังเป็นบริเวณท่ีเส้นใยยังไม่แก่ เจริญเติบโตดี นำชิ้นส่วนของ
ไมซีเลียม วางลงบนอาหารในแต่ละชุดการทดลอง โดยให้ส่วนของไมซีเลียมสัมผสั กับอาหาร นำจาน
เพาะเชื้อไว้ในอณุ หภูมหิ อ้ ง วัดเสน้ ผา่ นศนู ย์กลางของเส้นใยไมซีเลียมทกุ ๆ 24 ชั่วโมง แล้วคำนวณหา
ประสทิ ธภิ าพการยบั ย้ังการเจริญของเสน้ ใย (% inhibition) ดงั สมการ
% inhibition = (R1-R2)/R1 × 100
โดย R1 = ความยาวรัศมีของโคโลนเี ช้อื ราในจานควบคุม
R2 = ความยาวรัศมีของโคโลนเี ชอ้ื ราในจานทดสอบ
27
การทดลองที่ 3 การประยกุ ตใ์ ช้สารสกดั แทนนนิ มาผสมกับแผน่ ฟิลม์ ชีวภาพเพือ่ ยืดอายุการเกบ็
รักษากระเทยี มภายหลังการเกบ็ เกยี่ ว
3.1 การเตรียมแผ่นฟลิ ม์ ชีวภาพที่มสี ่วนผสมของแทนนนิ
1. เตรียมสารสกัดแทนนินความเข้มข้น 0, 2.5 , 5 , 10 , 20 มิลลิกรัม ต่อน้ำ
100 มิลลิลิตร และสารฆ่าเชื้อรา Benomyl 10 มิลลิกรัม ละลายในน้ำ 100
มิลลิลิตร ซึ่งคิดเป็นความเข้มข้น 0, 2.5 , 5 , 10 , 20 และ 10 เปอร์เซ็นต์
ตามลำดบั
2. นำสารละลายจากข้อ 1 มาผสมกับเจลาติน 3.5 กรัม กวนให้เข้ากันที่อุณหภูมิ 60
องศาเซลเซยี ส ด้วยอัตราเร็ว 2,000 รอบตอ่ นาที เปน็ เวลา 30 นาที
3. นำกลีเซอรอล 4 มลิ ลลิ ติ ร กวนใหเ้ ขา้ กันเปน็ เวลา 5 นาที
4. ข้ึนรูปแผ่นฟิล์มเจลาตินโดยเทลงแม่พิมพ์ขนาด 17x12 เซนติเมตร ปริมาตร
10 มิลลลิ ิตร ท้งิ ไว้ให้ขึน้ รูปเปน็ แผ่นแบน
3.2 การทดสอบสมบัติทางกายภาพเบอ้ื งตน้ ของแผน่ ฟลิ ม์
3.2.1 ความหนา (Thickness) วัดความหนาของฟิล์มแทนนินชีวภาพด้วยเคร่ือง
ดิจิทัลไมโครมิเตอร์ โดยหาค่าเฉล่ียของการวัดท้ังหมด 5 จุดได้แก่ มุมซ้ายบน มุมขวาบน
ตรงกลาง มมุ ล่างซ้าย และมุมลา่ งขวาของแผ่นฟิลม์
3.2.2 ระยะยืดของแผ่นฟิล์ม ตัดแผ่นฟิล์มให้มีขนาด 3×5 เซนติเมตร ดึงท่ียึดให้
แผ่นฟิล์มยืดขยายทีละ 0.5 มิลลิเมตร จนแผ่นฟิล์มขาดพอดี แล้วนำระยะที่วัดได้ไปลบกับ
ความยาวของแผ่นฟลิ ์มเริม่ ตน้ วิธีวดั แสดงดังภาพท่ี 3.1
ภาพท่ี 3.1 วัดระยะยดื ของแผ่นฟลิ ม์
3.2.3 วัดค่าความสว่างและสีของฟิล์มแทนนินโดยใช้เคร่ืองวัดสี แสดงเป็นค่า L*
(ความสว่าง 0 หมายถึง สีดำ และ 100 หมายถึงขาว) ค่า a* (ค่าสีแดง-เขียว +a* หมายถึง
สแี ดงและ -a* หมายถึง สีเขยี ว) และ ค่า b* (คา่ สีเหลือง-น้ำเงนิ โดย +b* หมายถึงสเี หลือง
28
-b* หมายถึงสีน้ำเงิน) โดยหาค่าเฉล่ียจากการวัดท้ังหมด 5 จุดได้แก่ มุมซ้ายบน
มมุ ขวาบน ตรงกลาง มมุ ลา่ งซา้ ย และมุมลา่ งขวาของแผ่นฟิลม์
3.2.4 การศึกษาสัณฐานวทิ ยาของฟิล์มชวี ภาพ นำช้นิ ตวั อยา่ งแผ่นฟิล์มชีวภาพท่ีใน
ชดุ การทดลองต่าง ๆ มาตรวจสอบลกั ษณะภายใต้กลอ้ งจลุ ทรรศน์ท่ีกำลังขยาย 40 เท่า
3.2.5 ระยะเวลาที่เกิดการยอ่ ยสลาย นำแผน่ ฟิลม์ แทนนินชีวภาพในชดุ การทดลอง
ต่าง ๆ ไปวางบนดินท่ีแห้งไว้ในบริเวณท่ีมีอากาศถ่ายเทดี โดยทำแปลงสุ่มแบบสมบูรณ์
จำนวน 3 ซ้ำตอ่ ชุดการทดลอง นับจำนวนวนั ทแี่ ผน่ ฟลิ ์มเรมิ่ สลายตัว
3.3 การเตรียมสารแขวนลอยสปอรข์ องเชือ้ รา Aspergillus flavus
นำเชื้อรา Aspergillus flavus เลี้ยงบนอาหาร PDA ธรรมดา เปน็ เวลา 7 วัน จากนั้นทำการ
ยา้ ยเชื้อราไปเลี้ยงบนอาหารใหม่ทุก ๆ 3 วัน เป็นจำนวน 7 ครั้งเพ่ือให้ได้เช้ือบริสทุ ธ์ิและสร้างสปอร์
เตรียมสารแขวนลอยสปอร์ของเช้ือรา Aspergillus flavus โดยหยดน้ำกลั่น 1 มิลลิลิตร ลงบนจาน
เล้ียงเช้ือ ใช้แท่งแก้วคนเบา ๆ เพ่ือให้สปอร์กระจาย เทสารละลายท่ีได้ลงในขวดรูปกรวย นำสาร
แขวนลอยสปอร์วัดความหนาแน่นของสปอร์โดยใช้ Hemocytometer ซ่ึงได้ความหนาแน่นของ
สปอรเ์ ชอ้ื รา เทา่ กบั 2.2 x 106 สปอร/์ มลิ ลลิ ิตร
3.4 การเตรียมกระเทยี มเพ่อื ใช้ในการทดสอบ
ใช้กระเทียมพันธุ์พ้ืนเมือง จำนวน 90 กลีบ (15 กลีบ ต่อ ชุดการทดลอง) ท่ีซื้อมาจาก
เกษตรกรหมู่บ้านสันติพัฒนา ตำบลแม่ลาหลวง อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยทำการคัด
ขนาดกลีบกระเทียมที่มีน้ำหนักต้ังแต่ 1 กรัมจนถึง 1.50 กรัม มีสภาพสดไม่มีรอยซ้ำ ตำหนิอ่ืน ๆ
จากนั้นปอกเปลอื กออกให้เหลอื เพียงเน้ือกระเทียม ระวังไมใ่ หเ้ กิดบาดแผลบนเน้ือกระเทียม จากนั้น
ทำการปลูกถ่ายสารแขวนลอยสปอร์เชื้อรา Aspergillus flavus ลงบนเน้ือกระเทียม โดยหยดสาร
แขวนลอยสปอร์เชอ้ื รา Aspergillus flavus ปรมิ าตร 5 ไมโครลติ ร ลงบนผิวกระเทียมโดยไม่มีการทำ
แผล
3.5 การทดสอบการยดื อายกุ ารเกบ็ รกั ษากระเทยี ม
นำกลีบของกระเทียมท่ีผ่านการปลูกเชื้อวางในจานกระดาษแล้วหุ้มด้วยแผ่นฟิล์มแทนนิน
ชีวภาพในแต่ละชดุ การทดลอง โดยในแต่ละถาดจัดกลีบกระเทยี มถาดละ 5 กลบี แตล่ ะชุดมี 3 จาน
สงั เกตการเกิดโรคบนผวิ กระเทียมทกุ 3 วัน จนครบ 2 สัปดาห์
29
บทท่ี 4
ผลการวิจยั
การทดลองท่ี 1 การศกึ ษาสภาวะทีเ่ หมาะสมต่อการสกดั แทนนนิ จากขี้เลอ่ื ยโดยใช้ไมโครเวฟ
4.1.1 เปอร์เซน็ ตก์ ารไดค้ นื กลบั (% yield) ของแทนนนิ ในสารสกัดจากขเี้ ล่ือย
นำสารสกัดหยาบแทนนินไประเหยแล้วนำไปช่ังน้ำหนัก จากนั้นนำไปคำนวณ
% Yield Crude Extract ผลการวิเคราะห์ผลดังภาพ 4.1 โดยพบว่าเศษไม้ขี้เล่ือยที่สกัดด้วย
น้ำกลั่นท่ีกำลังไฟ 100, 300 และ 450 วัตต์ ให้ปริมาณแทนนินเฉลี่ย 2.12, 1.40 และ 1.27%
ตามลำดับ เศษไมข้ เ้ี ลื่อยท่ีสกดั ด้วย น้ำกลั่น : 95% Ethanol ท่ีกำลงั ไฟ 100, 300 และ 450 วัตต์ ให้
ปริมาณแทนนินเฉลี่ย 2.83, 3.11 และ 3.17% และเศษไม้ขี้เลื่อยท่ีสกัดด้วย 95% Ethanolให้ปริมาณแทนนิน
เฉลี่ย 1.48, 1.78 และ 1.72% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ชุดการทดลองท่ีสกัดด้วย น้ำกล่ัน : 95%
Ethanol (1:1) ที่กำลังไฟ 100, 300 และ 450 วัตตเ์ ป็นตัวทำละลายทีใ่ ห้ปริมาณแทนนินสูงสุดอย่าง
มีนัยสำคัญทางสถิติเม่ือเทียบกับชุดการทดลองอื่น และกำลังไฟท้ัง 3 ระดับท่ีใช้ในการสกัดไม่ให้ผล
การสกดั ที่ความแตกตา่ งกันทางสถติ ิ (p≤0.05) แต่อยา่ งใด
ภาพท่ี 4.1 เปอร์เซ็นตก์ ารไดค้ นื กลบั ของการสกดั เศษไม้ขเ้ี ล่อื ยดว้ ยตัวทำละลายตา่ ง ๆในไมโครเวฟที่
กำลังไฟสามระดับ
30
4.1.2 การทดสอบคุณสมบัตเิ บ้อื งตน้ ของแทนนินท่ีสกัดไดจ้ ากขี้เล่อื ย
จากตารางแสดงผลการทดสอบคุณสมบัติของแทนนินในตัวทำละลายชนิดต่าง ๆ โดยทำ
ปฏกิ ิริยากับ 1% BSA ,1% gelatin และ 1%lead acetate ผลการทดลองแสดงดังตารางที่ 4.1 โดย
พบว่าสารสกัดจากทุกชุดการทดลองสามารถตกตะกอนโปรตีน BSA ได้ เมื่อนำไปทดสอบกับ
สารละลาย 1% gelatine พบว่า ชุดท่ีสกัดด้วย 95% Ethanol เกิดการตกตะกอนมากท่ีสดุ ตามด้วย
น้ำกลัน่ : 95% Ethanol และนำ้ กลน่ั ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เม่ือนำไปทดสอบกับ lead acetate
1% พบว่า ชุดท่ีสกัดด้วย น้ำกล่ัน : 95% Ethanol เกิดการตกตะกอนมากที่สุด ตามด้วย ชุดท่ีสกัด
ด้วย 95% Ethanol และน้ำกลั่น ตามลำดับ ซ่ึงเมื่อเปรียบเทียบผลการทดสอบคุณสมบัติทางเคมี
เบ้ืองตน้ กบั งานวิจยั ของ Moosophin et al. (2010) และ Elgailani (2016) ยนื ยนั เบอ้ื งต้นได้ว่าเป็น
สารสกัดท่ีมีแทนนินเป็นส่วนประกอบ ขณะที่กำลังไฟฟ้าท่ีใช้ในการสกัดทั้งสามระดับไม่ให้ผลการ
ทดสอบท่แี ตกตา่ งกนั ในด้านการทดสอบคณุ สมบตั ิเบ้อื งต้นนี้
ตารางท่ี 4.1 แสดงผลการทดสอบคุณสมบัติทางเคมีเบื้องต้นของแทนนินที่สกัดได้จาก
ข้ีเลอื่ ยในตวั ทำละลายชนดิ ตา่ ง ๆ
สารทดสอบ น้ำกลัน่ นำ้ กล่ัน : 95% เอทานอล 95% เอทานอล
(1:1)
100 w 300 w 450 w 100 w 300 w 450 w 100 w 300 w 450 w
1% BSA ++ ++ ++ +++ +++ +++ ++++ +++++ +++++
1% gelatin ++ ++ ++ ++++ ++++ ++++ +++++ +++++ +++++
1% lead ++ ++ +++ +++++ +++++ ++++ ++++ ++++ ++++
acetate
หมายเหตุ: เครอื่ งหมาย + หมายถงึ ให้ผลการวิเคราะห์เปน็ บวก กล่าวคือเกิดปฏิกริ ิยาการตกตะกอนของสารเคมี ยงิ่ มี
เครือ่ งหมาย + มาก หมายความวา่ ยงิ่ ตะกอนมาก
31
4.1.3 ปริมาณแทนนนิ ทไ่ี ด้จากการสกัดเศษไม้ข้ีเลื่อย
เมื่อนำสารสกัดแทนนินท่ีได้มาวิเคราะห์ปริมาณแทนนิน โดยทำปฏิกิริยากับโฟลินฟีนอล
รีเอเจนท์แล้ววัดค่าการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 725 นาโนเมตร นำมาคำนวณเทียบกับกราฟ
มาตรฐานกรดแทนนิก (ภาคผนวก) ผลการวิเคราะห์แสดงดังภาพท่ี 4.2 โดยพบว่าสารสกัดด้วยน้ำ
กลั่นที่กำลังไฟ 100, 300 และ 450 วัตต์ ให้ปริมาณแทนนินเฉล่ีย 10.78 ,19.29 และ 20.19
ไมโครกรัม ตามลำดบั การสกดั ด้วย น้ำกลนั่ : 95% Ethanol ท่ีกำลงั ไฟ 100, 300 และ 450 วัตต์ ให้
ปริมาณแทนนินเฉล่ีย 23.26, 19.50 และ 22.96 ไมโครกรัมตามลำดับ และการสกัดด้วย 95%
Ethanol ท่ีกำลังไฟ 100, 300 และ 450 วัตต์ ให้ปริมาณแทนนินเฉลี่ย 16.57, 21.93 และ 21.49
ไมโครกรัมตามลำดับ แสดงให้เห็นวา่ ชุดการทดลองทส่ี กัดดว้ ย นำ้ กลั่น : 95% Ethanol ในอตั ราสว่ น
1:1 ทก่ี ำลังไฟ 100 วัตต์ เป็นตวั ทำละลายทีใ่ หป้ รมิ าณแทนนนิ สงู สุดเม่อื เทียบกบั ตวั ทำละลายชนดิ อ่ืน
อย่างมีนยั สำคัญทางสถิติ (p≤0.05)
ภาพที่ 4.2 ปริมาณแทนนินที่ไดจ้ ากการสกดั ขเ้ี ลื่อยด้วยตัวทำละลายชนดิ ต่าง ๆ ในไมโครเวฟทีก่ ำลัง
ไฟสามระดับ
32
การสกัดแทนนินในการทดลองน้ี ต้องการสกัดโดยใช้อุณหภูมิท่ีต่ำท่ีสุดและมีประสิทธิภาพ
การสกัดท่ีสูงท่ีสุด โดยเมื่อทำการวัดอุณหภูมิสุดท้ายภายหลังการนำออกจากไมโครเวฟเมื่อเสร็จส้ิน
รอบของการสกัด พบวา่ แตล่ ะชุดการทดลองมีอณุ หภูมทิ ่ีแตกต่างกนั ดงั แสดงในตารางที่ 4.2 ซงึ่ พบว่า
พบว่าสารที่สกดั ด้วยน้ำกล่ันท่ีกำลังไฟ 100, 300และ 450วัตต์ มีอุณหภูมิสุดท้ายเฉลี่ย38,47 และ 51 องศาเซล
เซียล ตามลำดับ สารท่ีสกัดด้วย น้ำกลั่น : 95% Ethanol ที่กำลังไฟ 100, 300 และ 450 วัตต์ วัตต์
อณุ หภูมสิ ุดท้ายเฉล่ยี 39, 49 และ 58 องศาเซลเซยี ส ตามลำดับ และสารทสี่ กัดด้วย 95% Ethanol
มอี ุณหภูมิสดุ ท้ายเฉลยี่ 39, 54 และ 57 องศาเซลเซียส ตามลำดบั
ตารางที่ 4.2 อุณหภมู ิสุดทา้ ยของสารแทนนนิ ทส่ี กดั ได้จากข้เี ลือ่ ยในตัวทำละลายชนดิ ต่าง ๆ โดย
ใช้ไมโครเวฟ
ตัวทำละลายสกดั กำลงั ไฟ อณุ หภูมิสดุ ทา้ ย (องศาเซลเซยี ล)
(วัตต)์
100 38
น้ำกลน่ั 300 47
450 51
100 39
นำ้ กลน่ั : 95%ethanol (1:1) 300 49
450 58
100 39
95%ethanol 300 54
450 57
ซ่ีงจากการประเมินด้านคุณสมบตั ิเบ้อื งต้นของแทนนิน (ตารางที่ 4.1) ปริมาณแทนนิน (ภาพ
ท่ี 4.2) เปอร์เซ็นต์การได้คืนของแทนนิน (ภาพที่ 4.3) และอุณหภูมิสุดท้ายหลังการสกัด (ตารางท่ี
4.2) จึงได้เลือกชุดการสกัดท่ีใช้เป็นตัวทำละลายเป็น น้ำกลั่น : 95% ethanol (1:1) สกัดด้วย
ไมโครเวฟทกี่ ำลังไฟ 100 วัตต์ เป็นชดุ การสกัดที่เหมาะสมท่ีสดุ เนื่องจากให้ปรมิ าณแทนนินทส่ี ูงกว่า
ชุดการทดลองอื่น ๆ อีกทั้งยังมีอุณหภูมิหลังการสกัดท่ีไม่สูงมาก และการใช้กำลังไฟ 100 วัตต์ เป็น
กำลังไฟทตี่ ่ำ จึงเป็นวิธที ่ชี ว่ ยประหยัดคา่ ไฟฟ้าลงหากจะมีการนำไปประยกุ ต์ใชจ้ รงิ
33
การทดลองที่ 2 ผลของสารสกดั แทนนินต่อการยบั ย้ังเช้ือรา Aspergillus flavus ซ่ึงเป็น
เชอ้ื ราก่อโรคในกระเทยี มในจานเพาะเชือ้ (in vitro)
4.2.1 ผลการยับยั้งการเจริญเติบโตของเสน้ ใยเช้ือรา Aspergillus flavus ของแทนนินท่สี กัดได้
ในอาหารเพาะเลี้ยง
จากการทดลองที่ 1 พบว่าการสกัดโดยใช้ตัวทำละลายเป็นน้ำกล่ัน : 95% Ethanol ใน
อัตราส่วน 1:1 ด้วยไมโครเวฟที่กำลงั ไฟ 100 วัตต์ เป็นสภาวะที่เหมาะสมต่อการสกัดแทนนนิ ดังน้ัน
จึงนำกรรมวิธีการสกัดด้วยตัวทำละลายชนิดนี้มาสกัดแทนนินจากขี้เล่ือยเพ่ือประยุกต์ใช้ในการ
ควบคุมเช้ือรา Aspergillus flavus ท้งั ภายใต้สภาพในจานเพาะเชื้อ (in vitro) และบนกระเทียมหลัง
การเก็บเก่ียว (in vivo) ซ่ึงผงแทนนินที่ได้จากการสกัดด้วยวิธีน้ี แสดงดังภาพท่ี 4.3 พบว่าเป็นผงสี
น้ำตาล สอดคล้องกับรายงานของ วิภา และชิดชม (2537) ที่สกัดแทนนินจากเปลือกกล้วยท่ีได้ผง
แทนนินสีนำ้ ตาลเชน่ กนั
ภาพท่ี 4.3 ลักษณะของผงแทนนนิ ทสี่ กดั ได้จากขี้เลื่อยโดยใช้ตัวทำละลายเปน็
น้ำกลั่น : 95% Ethanol (1:1) สกดั ดว้ ยเครื่องไมโครเวฟท่ีกำลงั ไฟ 100 วัตต์
ผลการทดสอบการยบั ย้ังการเจริญของเสน้ ใยเช้ือราในจานเพาะเชื้อดังตารางท่ี 4.3 และรูปที่
4.4-4.10 โดยพบว่าเชื้อรา Aspergillus flavus มีลักษณะเส้นใยสีขาวสร้างสปอร์สีเขียว เม่ือนำ
เส้นใยมาเลี้ยงบนอาหารที่มีแทนนินในระดับความเข้มข้นต่าง ๆ พบว่าขนาดของเส้นใยของเช้ือรา
Aspergillus flavus ทีเ่ ลี้ยงบนอาหารชดุ ควบคมุ มีการเจริญเติบโตเตม็ จานเพาะเล้ยี งตั้งแต่ 24 ชว่ั โมง
แรกหลังการเพาะ ในขณะทชี่ ุดท่ีเลี้ยงบนอาหารทมี่ ีสารฆ่าเช้ือ Benomyl พบวา่ เส้นใยเชื้อราหยุดการ
เจริญเติบโตและตายภายหลังการเพาะเลี้ยง เม่ือเปรียบเทียบระหว่างการเล้ียงในอาหารที่มีความ
เข้มข้นของแทนนิน 2.5, 5, 10 และ 20 เปอรเ์ ซ็นต์ หลงั วันที่ 7 ของการเพาะเล้ียง พบว่าเส้นใยเชื้อ
34
รา Aspergillus flavus มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางต่ำกว่าชุดควบคุม โดยเฉพาะชุดที่เลี้ยงบนอาหาร
บนอาหารท่มี ีแทนนนิ ในระดับความเข้มข้น 20 เปอรเ์ ซน็ ต์ มขี นาดเส้นผา่ นศูนย์กลางตำ่ ท่ีสดุ ตามด้วย
ชดุ ท่เี ล้ียงบนอาหารบนอาหารทม่ี ีแทนนินความเข้มข้น 10, 5 และ 2.5 เปอร์เซน็ ต์ (3.30, 3.60, 4.72,
5.80 และ 8.06 ตามลำดบั )
ดังนั้นเห็นได้ว่าสารสกัดแทนนินจากข้ีเล่ือยโดยใช้ตัวทำละลาย น้ำกลั่น : 95% Ethanol (1:1)
ทก่ี ำลังไฟ 100 วัตต์ สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเสน้ ใยเช้ือรา Aspergillus flavus บนอาหาร
เลี้ยงเช้ือได้ เม่ือเทียบกับชุดควบคุม แต่ประสิทธิภาพในการยับยั้งเช้ือรายังต่ำกว่าสารฆ่าเช้ือรา
Benomyl สอดคล้องกับรายงานของ Ramirez et al. (2012) ท่ีทดสอบประสิทธิภาพในการกำจัด
เชื้อราของแทนนินที่ได้สกัดจากกาบมะพร้าวพบว่าสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อรา Trametes
versicolor ได้ แต่ยงั มีประสิทธิภาพตำ่ กวา่ สารกำจดั เชื้อรา Benomyl เช่นกนั
ตารางท่ี 4.3 ผลการยับยั้งการเจรญิ ของเส้นใยเชื้อราAspergillus flavus บนอาหารเพาะเลี้ยงทีม่ ีสาร
สกัดแทนนนิ ความเขม้ ขน้ ต่าง ๆ เทียบกับสารฆา่ เช้อื รา Benomyl
จำนวนวัน ขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางไมซีเลยี มเม่ือเพาะเลี้ยงในอาหาร (เซนติเมตร)
ในการ
เพาะเล้ียง 0% 2.5% 5% 10% 20% 10%
1 tannin tannin tannin tannin tannin Benomyl
2
3 1.22a 1.20a 1.14ab 1.18ab 1.06b 0.80c
4
5 3.44a 2.34b 2.24b 2.16b 1.72b -
6
7 5.38a 3.70b 4.64ab 2.60bc 2.68bc -
5.58a 4.88ab 5.00ab 3.06b 3.12b -
n.d. 5.38a 5.30a 3.38b 3.52b -
n.d. 5.62a 5.44ab 3.52ab 3.22b -
n.d. 5.80a 5.58a 3.60ab 3.30b -
หมายเหตุ n.d.หมายถึง ไมส่ ามารถวดั ได้ เน่อื งจากเสน้ ใยเชอ้ื ราเตม็ จานเพาะเชอ้ื
อักษรกำกับค่าเฉลย่ี ในแถวท่ีเหมอื นกัน แปลว่าไมแ่ ตกตา่ งกนั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ p ≤ 0.05
น้ำกลัน่ 10% Benomyl 2.5% tannin
(ชดุ ควบคมุ )
ภาพที่ 4.4 แสดงลักษณะของเสน้ ใยเชื้อรา Aspergillus flavus เลี้ยงบนอาหาร PDA
Benomyl เปน็ เวลา 1 วัน
นำ้ กลนั่ 10% Benomyl 2.5% tannin
(ชดุ ควบคุม)
ภาพท่ี 4.5 แสดงลักษณะของเส้นใยเช้อื รา Aspergillus flavusเล้ียงบนอาหาร PDA
Benomyl เป็นเวลา 2 วนั
35
5% tannin 10% tannin 20% tannin
A ทมี่ ีสารสกัดแทนนินความเข้มขน้ ตา่ ง ๆ เทียบกับสารฆา่ เชือ้ รา
5% tannin 10% tannin 20% tannin
ที่มสี ารสกดั แทนนนิ ความเขม้ ขน้ ต่าง ๆ เทยี บกับสารฆา่ เชอ้ื รา
35
น้ำกล่ัน 10% Benomyl 2.5% tannin 5% tannin
(ชุดควบคมุ )
ภาพท่ี 4.6 แสดงลกั ษณะของเสน้ ใยเชอ้ื รา Aspergillus flavus เลย้ี งบนอาหาร PDA
Benomylเปน็ เวลา 3 วนั
น้ำกลั่น 10% Benomyl 2.5% tannin
(ชดุ ควบคุม)
ภาพที่ 4.7 แสดงลักษณะของเสน้ ใยเช้ือรา Aspergillus flavus เล้ยี งบนอาหาร PDA
Benomylเป็นเวลา 4 วัน
36
10% tannin 20% tannin
A ทมี่ ีสารสกัดแทนนนิ ความเข้มขน้ ต่าง ๆ เทียบกับสารฆา่ เชอื้ รา
5% tannin 10% tannin 20% tannin
A ทมี่ ีสารสกัดแทนนนิ ความเข้มข้นต่าง ๆ เทียบกับสารฆ่าเชื้อรา
36
น้ำกลั่น 10% Benomyl 2.5% tannin
(ชดุ ควบคมุ )
ภาพท่ี 4.8 แสดงลักษณะของเสน้ ใยเชื้อรา Aspergillus flavus เล้ยี งบนอาหาร PDA
Benomylเปน็ เวลา 5 วนั
นำ้ กล่ัน 10% Benomyl 2.5% tannin
(ชดุ ควบคุม)
ภาพท่ี 4.9 แสดงลักษณะของเสน้ ใยเชื้อรา Aspergillus flavus เลย้ี งบนอาหาร P
Benomylเป็นเวลา 6 วัน
37
5% tannin 10% tannin 20% tannin
A ท่ีมีสารสกดั แทนนินความเข้มขน้ ต่าง ๆ เทียบกับสารฆ่าเชื้อรา
5% tannin 10% tannin 20% tannin
PDA ทีม่ ีสารสกัดแทนนนิ ความเขม้ ขน้ ตา่ ง ๆ เทยี บกับสารฆ่าเชื้อรา
3837