The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงงานคุกกี้ธัญพืชน้ำตาลหญ้าหวาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 24 ศวิตา บูระภาค, 2023-09-11 08:55:54

โครงงานคุกกี้ธัญพืชน้ำตาลหญ้าหวาน

โครงงานคุกกี้ธัญพืชน้ำตาลหญ้าหวาน

โครงงาน คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน นางสาวศวิตา บูระภาค นางสาวเบญจมาศ บุดดีขันธ์ โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาการบัญชี ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ปีการศึกษา 2566


โครงงาน คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน นางสาวศวิตา บูระภาค รหัสประจ้าตัว 65302010040 นางสาวเบญจมาศ บุดดีขันธ์ รหัสประจ้าตัว 65302010057 โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาการบัญชี ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ปีการศึกษา 2566


ก ใบรับรองโครงงาน วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี โครงงานเรื่อง คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน โดย นางสาวศวิตา บูระภาค นางสาวเบญจมาศ บุดดีขันธ์ ได้รับอนุมัติให้นับเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวส.) สาขาวิชาการบัญชี ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ ประจ้าปีการศึกษา 2566 .......................................หัวหน้าแผนวิชา ........................................รองผู้อ้านวยการฝ่ายวิชาการ (นางนิพร จุทัยรัตน์) (นางสาวปัญจาภา ส่งเสริม) วันที่........เดือน....................พ.ศ............... วันที่........เดือน....................พ.ศ............... คณะกรรมการสอบโครงงาน ประธานกรรมการ (อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน) ( ) กรรมการ ( ) กรรมการ ( ) กรรมการ ( )


ข ชื่อ : นางสาวศวิตา บูระภาค นางสาวเบญจมาศ บุดดีขันธ์ ชื่อโครงงาน : คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน สาขาวิชา : การบัญชี ประเภทวิชา : บริหารธุรกิจ ที่ปรึษา : นางนิพร จุทัยรัตน์ ปีการศึกษา : 2566 บทคัดย่อ การด้าเนินโครงงานคุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้เป็นที่น่าสนใจและให้คุณประโยชน์ต่อผู้บริโภค เพื่อศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อ ผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน เพื่อเป็นช่องทางการจัดจ้าหน่ายและสามารถต่อยอดเป็น อาชีพเสริมได้กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการครู และ บุคลากรทางการศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 รวมทั้งสิ้น 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามเพื่อศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่ มีต่อผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ ด้านบรรจุภัณฑ์และด้านส่งเสริมการจ้าหน่าย และสถิติที่ใช้ในการศึกษาโครงงาน ได้แก่ 1. ค่าร้อยละ (Percentage) 2. ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) 3. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 1. สรุปรายด้าน 2. ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ โดยรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.703 เมื่อ พิจารณาเป็นรายข้อแล้ว มีสีที่สวยงาม มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ มีกลิ่นของ ธัญพืช มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด รูปแบบลักษณะน่าสนใจ มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด รสชาติอร่อย มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด และมีรสชาติที่หลากหลาย มีความพึงพอใจในระดับ มากที่สุด 3. ด้านบรรจุภัณฑ์ โดยรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.660 เมื่อพิจารณา เป็นรายข้อแล้ว มีความสวยงาม มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ เป็นมิตรกับ


ค สิ่งแวดล้อม มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด มีความแข็งแรง ทนทาน มีความพึงพอใจในระดับมาก ที่สุด มีลักษณะน่าสนใจ มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด และความสะดวกในการรับประทาน มี ความพึงพอใจในระดับมากที่สุด 4. ด้านส่งเสริมการจ้าหน่าย โดยรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.693 เมื่อ พิจารณาเป็นรายด้านแล้ว ตราผลิตภัณฑ์มีลักษณะที่จดจ้าได้ง่าย มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ มีราคาที่เหมาะสม มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด และมีราคาให้เลือกหลากหลาย มี ความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (โครงงานวิชาชีพนี้มีจ้านวน 98 หน้า) ค้าส้าคัญ คุกกี้, ธัญพืช, คอเลสเตอรอล อาจารย์ที่ปรึกษา


ง กิตติกรรมประกาศ การศึกษาเรื่อง “คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน” ในครั้งนี้ สามารถส้าเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์ด้วย ความเมตตา จากอาจารย์นิพร จุทัยรัตน์ ที่ปรึกษาโครงงานที่ให้ค้าปรึกษาแนะน้าแนวทางที่ถูกต้อง และเอาใจใส่ด้วยดีตลอดระยะเวลาในการวิจัย ผู้ศึกษารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง จึงขอกราบ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณบิดา มารดา และเพื่อนๆ ทุกคนที่ได้ให้ค้าแนะน้าช่วยเหลือสนับสนุนผู้ศึกษา โครงงานมาโดยตลอด โครงงานจะส้าเร็จลุล่วงไปไม่ได้ หากไม่มีบุคคลดังกล่าวในการจัดท้าโครงงาน คุณค่าและประโยชน์ขจองการศึกษาโครงงานนี้ ผู้ศึกษาขอมอบเป็นกตัญญูกตเวทิตาแด่บุพการี บูรพาจารย์ และทั้งผู้มีพระคุณทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่ได้อบรม สั่งสอน ชื้แนวทางในการศึกษาจนท้า ให้ผู้ศึกษาประสบณ์ความส้าเร็จมาจนตราบทุกวันนี้ ศวิตา บูระภาค เบญจมาศ บุดดีขันธ์


จ สารบัญ หน้า ใบรับรองโครงงาน ก บทคัดย่อ ข กิตติกรรมประกาศ ง สารบัญ จ สารบัญตาราง ช สารบัญภาพ ซ บทที่ 1 บทน้า 1 1.1 ความเป็นมาและความส้าคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ 1 1.3 ขอบเขตของโครงงาน 1 1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ 2 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2 2.1 จุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา และค้าอธิบายรายวิชา 3 2.2 แนวคิดการวิเคราะห์การตลาดแบบการจัดองค์กรอุตสาหกรรม 4 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับการขอรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 6 2.4 ทฤษฎีกลยุทธ์การตลาด(4Ps)และ(8Ps),กลยุทธ์ตลาดออนไลน์ 16 2.5 การบริโภคและทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค (Buyer Behavlor’s Model) 21 2.6 แนวคิดการออกแบบบรรจุภัณฑ์ 24 2.7 ทฤษฎีกลไกราคา 25 2.8 แนวความคิดของหลักการบัญชีต้นทุน 28 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 37


ฉ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 3 วิธีการด้าเนินโครงงาน 39 3.1 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย 39 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 39 3.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 40 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ 40 บทที่ 4 ผลการด้าเนินโครงงาน 40 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 43 4.2 การน้าเสนอผลการศึกษา 43 4.3 การน้าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 44 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 46 5.1 สรุปผลการศึกษา 56 5.2 อภิปรายผล 58 5.3 ข้อเสนอแนะ 59 บรรณานุกรม 60 ภาคผนวก 62 ภาคผนวก ก แบบฟอร์มขออนุมัติโครงงาน และแบบเสนอโครงงาน 63 ภาคผนวก ข แบบสอบถาม 69 ภาคผนวก ค วิธีการด้าเนินโครงงาน 73 ประวัติผู้วิจัย 83


ช สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 4-1 แสดงความถี่และร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ้าแนกตามเพศ 44 4-2 แสดงความถี่และร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ้าแนกตามช่วงอายุ 45 4-3 แสดงความถี่และร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ้าแนกตามสถานภาพ 46 4-4 แสดงความถี่และร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ้าแนกตามระดับการศึกษา 47 4-5 แสดงความถี่และร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ้าแนกตามสาขาวิชา 48 4-6 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ 49 กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน สรุปเป็นรายด้าน 4-7 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ 50 กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ 4-8 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ 52 กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน ด้านบรรจุภัณฑ์ 4-9 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ 54 กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน ด้านส่งเสริมการจ้าหน่าย


ซ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 2-1 แสดงระบบการผลิต 14 4-1 แสดงความถี่และร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ้าแนกตามเพศ 44 4-2 แสดงความถี่และร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ้าแนกตามช่วงอายุ 45 4-3 แสดงความถี่และร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ้าแนกตามสถานภาพ 46 4-4 แสดงความถี่และร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ้าแนกตามระดับการศึกษา 47 4-5 แสดงความถี่และร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ้าแนกตามสาขาวิชา 48 4-6 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ 49 กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน สรุปเป็นรายด้าน 4-7 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ 50 กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อ ผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ 4-8 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ 53 กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน ด้านบรรจุภัณฑ์ 4-9 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ 55 กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน ด้านส่งเสริมการจ้าหน่าย ค-1 เตรียมธัญพืช ไข่ขาว น้้าผึ้ง น้้าตาลหญ้าหวาน 74 ค-2 น้างาขาวและงาด้ามาคั่วให้หอม 74 ค-3 น้าธัญพืชไปอบให้สุกทั่วกัน 75 ค-4 น้างาขาวและงาด้าที่คั่วไว้ และธัญพืชที่อบจนสุกมาพักไว้ให้เย็น 75 ค-5 เตรียมวัตถุดิบทุกอย่างให้พร้อมเพื่อที่จะผสมรวมกัน 76 ค-6 เตรียมเตาอบให้อยู่ใน 150º 76


ฌ สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า ค-7 เทส่วนผสมที่จัดเตรียมไว้ใส่ภาชนะ 77 ค-8 คนวัตถุดิบทั้งหมดที่เตรียมไว้ให้เข้ากัน 77 ค-9 น้าวัตถุดิบที่ผสมไว้เรียบร้อยแล้ว พิมพ์เป็นรูปวงกลมลงถาดเพื่อเตรียมอบ 78 ค-10 คุกกี้ที่จัดเตรียมลงถาดเรียบร้อยแล้ว 78 ค-11 น้าคุกกี้เข้าอบที่ไฟ 150º เป็นเวลา 20 นาที 79 ค-12 น้าคุกกี้ที่อบเสร็จมาพักไว้ให้เย็น และน้าออกจากถาดอบ 79 ค-13 น้าคุกกี้ที่พักไว้มาบรรจุใส่ถุงซีล 80 ค-14 พร้อมวางจ้าหน่าย 80 ค-15 คุกกี้ที่บรรจุแล้วมาจัดเรียงเพื่อเตรียมน้าเสนอ 81 ค-16 จัดบอร์ดโครงงานเสร็จสิ้น 81 ค-17 น้าเสนอโครงงาน 82 ค-18 การน้าเสนอโครงงานเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย 82


1 บทที่ 1 บทน้า 1.1 ความเป็นมาและความส้าคัญของปัญหา คุกกี้ ( cookie ) มีต้นก้าเนิดมานาน โดยต้องย้อนกลับต้นก้าเนิดขึ้นในครั้งแรกตอนศตวรรษที่ 7 มาจากแถบเปอร์เซีย ที่ตอนนี้กลายเป็นประเทศ อิหร่าน ก้าเนิดขึ้นในเปอร์เซียแล้ว คุกกี้ก็เริ่มเผยแพร่ ไปยังทวีปยุโรป หลังจากชาวยุโรปนิยมทานกัน คุกกี้เป็นขนมที่เก็บไว้กินได้เป็นเวลานาน ซึ่งเป็นข้อดีที่ ท้าให้นักท่องเที่ยว หรือคนที่ชอบการเดินทาง มักจะมีติดตัวไว้เสมอ หิวเมื่อไหร่ก็เอาออกมาทานได้ ตลอดเวลา เพราะมีอายุที่อยู่ได้นาน ไม่เสียง่ายๆ การรับประทานคุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวานนอกจะได้รับความอร่อยแล้ว ยังได้รับประโยชน์ที่ มากมายจาก วัตถุดิบคุณภาพ ที่เลือกใช้ ยกตัวอย่าง เม็ดมะม่วงหิมพานต์อุดมไปด้วยธาตุทองแดง จึง ช่วยบ้ารุงเส้นผม และผิวหนังได้เป็นอย่างดี ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ หลอดเลือดได้ช่วย ลดความเสี่ยงของการเกิดควบคุมน้้าหนัก และน้้าตาล รวมถึงประโยชน์ที่จะจากน้้าตาลหญ้าหวานอีก ด้วย น้้าตาลหญ้าหวานเป็นหนึ่งในน้้าตาลที่มีแคลอรี่ต่้า มีส่วนช่วยในการควบคุมน้้าตาลและระดับ คอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับอ่อนเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน ผู้จ้ากัดน้้าตาล ผู้ต้องการ ลดความอ้วนจากน้้าตาล ช่วยลดน้้าตาลในเลือด ดังนั้น ผู้จัดท้าโครงงานจึงท้าผลิตภัณฑ์คุกกี้มาพัฒนาเป็น“คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน”ธัญพืช เป็นหนึ่งในอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและได้รับการยอมรับว่ามีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ให้โปรตีนสูง และมีไขมันดีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายผู้จัดท้าจึงคิดที่จะพัฒนาสูตรเพื่อ ปรับให้รับประทานได้ทั้งผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและสามารถเข้าถึงได้ทุกช่วงวัย 1.2 วัตถุประสงค์ของ 1. เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่น่าสนใจและให้คุณประโยชน์ต่อผู้บริโภค 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน 3. เพื่อเป็นช่องทางการจัดจ้าหน่ายและสามารถต่อยอดเป็นอาชีพเสริมได้ 1.3 ขอบเขตของโครงงาน 1.3.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา การศึกษาครั้งนี้มุ่งเน้นพัฒนาจากคุกกี้ธรรมดาเป็นคุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน เพื่อเพิ่ม คุณประโยชน์และสารอาหาร


2 1.3.2 ขอบเขตด้านกลุ่มเป้าหมาย 1.3.2.1 นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา วิทยาลัย อาชีวศึกษาชลบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 1.3.3 ขอบเขตด้านเวลาและสถานที่ 1.3.3.1 ขอบเขตด้านเวลา ได้แก่ ระยะเวลา 4 เดือน ระหว่าง 15 พฤษภาคม 2566 ถึง 15 กันยายน 2566 1.3.3.2 ขอบเขตด้านสถานที่ ได้แก่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี388 บ้านสวน-สุขุมวิท 5 ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี 20000 1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. คุกกี้ หมายถึงขนมอบชิ้นเล็ก ๆ รูปร่างแบน ซึ่งท้าจากแป้งสาลี ค้าว่าคุกกี้มีที่มาจากค้าใน ภาษาดัตช์ cookie ซึ่งหมายถึง “เค้กชิ้นเล็ก ๆ” แรกเริ่มเดิมทีนั้น คุกกี้ท้าโดยการแบ่งแป้งขนมเค้กที่ ผสมแล้วออกมาส่วนหนึ่ง จากนั้นแบ่งออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วน้าเข้าเตาอบ เพื่อทดสอบอุณหภูมิที่จะ ใช้อบขนมเค้ก ค้าว่า “คุกกี้” (cookie) ใช้กันในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ในขณะที่ในสหราช อาณาจักรจะเรียกขนมแบบเดียวกันนี้ว่า “บิสกิต” (biscuit) 2. ธัญพืช หมายถึงพืชที่มนุษย์เพาะปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ด ได้แก่ ข้าว ข้าวฟ่าง ข้าวฟ่างสาม ง่าม ข้าวฟ่างหางหมา ลูกเดือย ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ ข้าวทริทิเคลี และข้าวสาลี รวมถึงถั่วชนิดต่าง ๆ เช่น ถั่วหัวช้าง ถั่วปากอ้า ถั่วลันเตา ถั่วเขียว ถั่วลิสง และถั่วเหลือง นอกจากนี้ ยังมีพืชที่มนุษย์ใช้ประโยชน์จากเมล็ดเหมือนธัญพืช ได้แก่ บักวีต ชีอา และคีนวา มีการเพาะปลูก ธัญพืชทั่วโลกมากกว่าผลผลิตทางเกษตรชนิดใด ๆ และเป็นแหล่งอาหารที่ให้พลังงานแก่มนุษย์มาก ที่สุด 3. คอเลสเตอรอล (อังกฤษ: Cholesterol) หมายถึงสารสเตอรอยด์ ลิพิด และแอลกอฮอล์ พบ ในเยื่อหุ้มเซลล์ของทุกเนื้อเยื้อในร่างกายและถูกขนส่งในกระแสเลือดของสัตว์ คอเลสเตอรอลส่วน ใหญ่ไม่ได้มากับอาหารแต่จะถูกสังเคราะห์ขึ้นภายในร่างกาย จะสะสมอยู่มากในเนื้อเยื้อของอวัยวะที่ สร้างมันขึ้นมาเช่น ตับ ไขสันหลัง สมอง และผนังหลอดเลือดแดง 1.5 ประโยชน์ที่ดาดว่าจะได้รับ 1. ผลิตภัณฑ์เป็นที่น่าสนใจและให้คุณประโยชน์ต่อผู้บริโภค 2. ทราบความพึงพอใจกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน 3. เป็นช่องทางการจัดจ้าหน่ายและสามารถต่อยอดเป็นอาชีพเสริมได้


3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การด้าเนินโครงงาน คุกกี้ธัญพืชน้้าตาลหญ้าหวาน ผู้ด้าเนินโครงงานได้ศึกษาค้นคว้าจาก เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีเนื้อหาสาระ ดังต่อไปนี้ 2.1 จุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา และค้าอธิบายรายวิชา 2.2 แนวคิดการวิเคราะห์การตลาดแบบการจัดองค์กรอุตสาหกรรม 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับการขอรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 2.4 ทฤษฎีกลยุทธ์การตลาด(4Ps)และ(8Ps),กลยุทธ์ตลาดออนไลน์ 2.5 การบริโภคและทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค (Buyer Behavlor’s Model) 2.6 แนวคิดการออกแบบบรรจุภัณฑ์ 2.7 ทฤษฎีกลไกราคา 2.8 แนวความคิดของหลักการบัญชีต้นทุน 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 จุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา และค้าอธิบายรายวิชา 2.1.1 จุดประสงค์รายวิชา 2.1.1.1 เข้าใจหลักการและขั้นตอนกระบวนการจัดท้าโครงงาน สร้างและหรือพัฒนางาน อาชีพอย่างเป็นระบบ 2.1.1.2 สามารถบูรณาการความรู้และทักษะในการสร้างและหรือพัฒนางานในสาขา วิชาชีพตามกระบวนการวางแผน ด้าเนินงาน แก้ไขปัญหา ประเมินผล ท้ารายงานและน้าเสนอผลงาน 2.1.1.3 มีเจตคติและกิจนิสัยในการศึกษาค้นคว้าเพื่อสร้างและหรือพัฒนางานอาชีพด้วย ความรับผิดชอบ มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ขยันอดทนและสามารถท้างาน ร่วมกับผู้อื่น


4 2.1.2 สมรรถนะรายวิชา 2.1.2.1 แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักการและกระบวนการจัดท้าโครงงานสร้างและหรือ พัฒนางานอาชีพอย่างเป็นระบบ 2.1.2.2 เขียนโครงงานสร้างและหรือพัฒนางานตามหลักการ 2.1.2.3 ด้าเนินงานตามแผนงานโครงงานตามหลักการและกระบวนการ 2.1.2.4 วิเคราะห์ สรุป ประเมินผลการด้าเนินงานโครงงานตามหลักการ 2.1.2.5 รายงานผลการปฏิบัติงานโครงงานตามรูปแบบ 2.1.2.6 น้าเสนอผลงานด้วยรูปแบบวิธีการต่างๆ 2.1.3 ค้าอธิบายรายวิชา 2.1.3.1 ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับการบูรณาการความรู้และทักษะในระดับเทคนิคที่ สอดคล้องกับสาขาวิชาชีพที่ศึกษาเพื่อสร้างและหรือพัฒนางานด้วยกระบวนการทดลอง ส้ารวจ ประดิษฐ์คิดค้น หรือการปฏิบัติงานเชิงระบบ การเลือกหัวข้อโครงงาน การศึกษาค้นคว้าข้อมูลและ เอกสารอ้างอิง การเขียนโครงงาน การด้าเนินงานโครงงาน การเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และแปล ผล การสรุปจัดท้ารายงาน การน้าเสนอผลงานโครงงาน โดยด้าเนินการเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มตาม ลักษณะของงานให้แล้วเสร็จในระยะเวลาที่ก้าหนด 2.2 แนวคิดการวิเคราะห์การตลาดแบบการจัดองค์กรอุตสาหกรรม การวิเคราะห์การตลาดท้าให้ทราบถึงสาเหตุของปัญหาและเห็นแนวทางในการแก้ไข ส้าหรับ แนวทางในการวิเคราะห์ปัญหาการตลาดมีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีขอบข่ายที่แตกต่างและ มีจุดเน้น แตกต่างกัน การให้ประโยชน์จากแนวคิดวิเคราะห์แบบการจัดองค์กรอุตสาหกรรม หรือ โครงสร้าง การตลาด ได้มุ่งเน้น การวิเคราะห์เฉพาะส่วน Clarkson and Miller (1985) กล่าวว่า การจัดองค์กร อุตสาหกรรม เป็นแนวความคิดของ Bain (1996) การวิเคราะห์ดังกล่าวมีพื้นฐานทางทฤษฎี เศรษฐศาสตร์และความหมายในการศึกษาเชิงประจักษ์ด้านสถาบันด้วย การวิเคราะห์การจัดองค์กรอุตสาหกรรม หรือ การวิเคราะห์โครงสร้างการตลาดได้ อาศัย ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลขององค์ประกอบอุตสาหกรรม 3 ส่วน คือโครงสร้างการตลาด (Market Structure) พฤติกรรมหรือการด้าเนินงาน (Conduct) และผลการด้าเนินงาน (Performance) โดยมี ข้อสมมุติว่า โครงสร้างการตลาดมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของหน่วยธุรกิจและผลลัพธ์ คือ ผลการ ด้าเนินงานอุตสาหกรรม ซึ่งค้าจ้ากัดความขององค์ประกอบมีดังนี้


5 2.2.1 โครงสร้างการตลาด คือ ลักษณะการจัดองค์กรที่ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขายใน ตลาดที่มีต่อกันความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อในตลาด ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย และลักษณะของการจัด องค์กรตลาดหนึ่งๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อธรรมชาติและราคาขายในตลาดนั้น ปัจจัยที่กาหนดลักษณะโครงสร้างการตลาดคือ 1. ความเข้มข้นของการกระจุกตัวของผู้ขาย 2. ความเข้มข้นของการกระจุกตัวของผู้ซื้อ 3. ขีดความแตกต่างของสินค้าระหว่างผลิตภัณฑ์ของผ็ขายในสายตาของผู้ซื้อ 4. เงื่อนไขในการเข้าออกตลาด 5. ความรู้เกี่ยวกับข้อมูลละข่าวสารการตลาดที่กระจายไปสู่ผู้ซื้อและผู้ขาย 6. การเคลื่อนย้ายสินค้าโดยเสรี 2.2.2 พฤติกรรมของหน่วยธุรกิจ หมายถึง แบบแผนที่หน่วยธุรกิจจะปฏิบัติ เพื่อปรับตัวเอง เข้ากับตลาดที่ตนเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย พฤติกรรมการด้าเนินงานของหน่วยธุรกิจ ได้แก่ 1. วิธีการที่หน่วยธุรกิจหรือกลุ่มธุรกิจก้าหนดราคาและปริมาณการผลิต 2. นโยบายเกี่ยวกับผลผลิต 3. นโยบายการส่งเสริมการขาย 4. การปรับตัวเองในด้านราคา นโยบายการผลิตและการส่งเสริมการขาย เมื่อมีผู้แข่งขัน 5. กลยทุธ์ในการรับมือคู่แข่งขันและผู้ที่มีแนวโน้มจะเข้าสู่วงการ 2.2.3 ผลการด้าเนินงาน หมายถึง ผลพวงทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรม ซึ่งได้มาจากผลรวม ของหน่วยอุตสาหกรรมนั้นๆ และมีผลกระทบต่อสังคมในที่สุด ส่วนผลการด้าเนินงานในด้านต่างๆดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของการผลิตที่ได้รับอิทธิพลจากขนาดของหน่วยธุรกิจ 2. ขนาดค่าใช่จ่ายในการส่งเสริมการขาย โดยเปรียบเทียบกับต้นทุนการผลิต 3. ลักษณะของสินค้า 4. อัตราความก้าวหน้าของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรมในการพัฒนาสินค้าและ วิธีการผลิตโดยเปรียบเทียบกับต้นทุนของความก้าวหน้า


6 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับการขอรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 2.3.1 วัตถุประสงค์โครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ส้านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกร รม (สมอ.) ได้จัดท้าโครงการ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนขึ้น โดยมีระยะเวลาด้าเนินการ 5 ปี วงเงิน งบประมาณ 112,475,000 บาท เพื่อรองรับการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนหรือระดับพื้นบ้านที่ ยังไม่ได้รับการพัฒนา เท่าที่ควร ขณะเดียวกันรัฐบาลมีนโยบายจัดตั้งโครงการ หนึ่งต้าบล หนึ่ง ผลิตภัณฑ์ เพื่อเสริมสร้าง ให้แต่ละชุมชนได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เป็น เอกลักษณ์ของท้องถิ่นเพื่อ ผลิตจ้าหน่ายสู่ตลาดผู้บริโภค ฉะนั้น โครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จึงเป็นแนวทางที่ สอดคล้องและสนับสนุนในด้านมาตรฐานและการรับรองคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก โครงการหนึ่งต้าบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับและสามารถ ประกันคุณภาพ ให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ จากชุมชนสู่ตลาดผู้บริโภค ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ที่ส้าคัญ คือ (สมอ., 2546 : 1) 2.3.1.1 ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ได้รับการรับรอง และแสดง เครื่องหมายการรับรอง 2.3.1.2 เพื่อส่งเสริมด้านการตลาดของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับอย่าง แพร่หลายและ สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ 11 2.3.1.3 เพื่อเน้นให้มีการพัฒนาแบบยั่งยืน อีกทั้งสนับสนุนนโยบายเร่งด่วน ของรัฐบาล ในโครงการหนึ่งต้าบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นการรับรอง การพัฒนาคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ชุมชน ก่อนที่จะมีการพัฒนาปรับปรุงระดับคุณภาพให้เข้าสู่มาตรฐาน ระดับประเทศและ ระดับสากล ซึ่งเป็นแนวทางที่เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์จากชุมชนสู่ตลาดผู้บริโภคทั้ง ในประเทศและ ต่างประเทศ มีแนวคิดดังนี้ (สมอ., 2546 : 2-3) ก เป็นการน้าภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยสู่สากล ข เกิดมาจากหลักการพึ่งตนเองและการคิดอย่างสร้างสรรค์ของ ชุมชนการ ตัดสินใจและพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกันให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นที่มีคุณค่าและ สามารถสร้าง รายได้ให้แก่ชุมชน ฃ เป็นการผลักดันผลิตภัณฑ์ให้เข้าสู่การผลิตที่มีมาตรฐานและ ได้รับการรับรอง คุณภาพผลิตภัณฑ์


7 ค เป็นการสร้างผลิตภัณฑ์โดยใช้แรงงานและทรัพยากรในท้องถิ่น ต่อมา กระทรวงอุตสาหกรรม โดยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้ส้านักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมด้าเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการก้าหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ตาม ความเห็นของคณะอนุกรรมการวิจัยพัฒนาคุณภาพและพัฒนาเทคโนโลยี ในคณะกรรมการ อ้านวยการหนึ่งต้าบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติที่ได้มอบหมายงานให้กระทรวงอุตสาหกรรม เป็น ผู้ พิจารณาด้าเนินการทั้งนี้ได้เสนอจัดสรรเงินงบประมาณปี 2546 ในจ้านวน 15 ล้านบาท โดยมี กรม ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป็นผู้ประสานงานและสนับสนุนข้อมูลของการด้าเนินการในเรื่องนี้ ก พิจารณาก้าหนด แก้ไข และยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ข ให้การรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยการออกใบรับรอง และการ ติดตามผลภายหลังที่ได้รับการรับรองแล้ว ฃ ส่งเสริม พัฒนาและประชาสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและ ข้อมูล ให้กับผู้ผลิตในชุมชน ค แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อช่วยเหลือด้าเนินการตามที่ได้รับ มอบหมาย ฅ ติดตามประเมินผลและรายงานความก้าวหน้าการด้าเนินงานให้ คณะอนุกรรมการวิจัยพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี คณะกรรมการอ่า นวยการหนึ่งต้าบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติทราบทุกระยะ 12 ฆ ด้าเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ตามที่ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมาย และให้ความเห็นชอบแนวทางการด้าเนินงานโครงการ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ของส้านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม คือ 1) การก้าหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ส้านักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจะก้าหนดมาตรฐาน โดยมีข้อก้าหนดที่เหมาะสมกับสภาพของผลิตภัณฑ์ เป็น ที่ยอมรับของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีแนวทางปฏิบัติไม่ซับซ้อน เพื่อให้ผู้ผลิตเข้าถึงมาตรฐานชุมชน ได้ง่าย และค้านึงถึงระยะเวลาในการก้าหนดมาตรฐาน โดยใช้ข้อมูลจากประชุมสัมมนา เพื่อจัดท้า มาตรฐาน โดย สมอ. หรือจัดจ้างกลุ่มนักวิชาการ และให้ผ่านการประชาพิจารณ์จากผู้เกี่ยวข้อง ทุกฝ่ายก่อน ประกาศใช้


8 2) การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 2.1) ใช้หลักการรับรองสากลซึ่งพิจารณาทั้งคุณภาพสินค้าและ การ ควบคุมคุณภาพโดยเปิดกว้าง ในเรื่องวิธีการตรวจสอบรับรองเพื่อให้สามารถรองรับผลิตภัณฑ์ ที่ หลากหลายเพื่อให้เกิดความคล่องตัวให้ทางปฏิบัติ 2.2) ไม่น่าข้อกฎหมายมาเป็นข้อจ้ากัดในการรับรองผลิตภัณฑ์ 3) การส่งเสริมและสนับสนุนด้านวิชาการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุก ฝ่าย จะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาที่ ยั่งยืนให้วิสาหกิจชุมชนมีขีดความสามารถในการผลิตผลิตภัณฑ์ให้ได้ ตามมาตรฐานและรักษา คุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างสม่้าเสมอซึ่งนอกจากส่งเสริมสนับสนุนให้วิสาหกิจ ชุมชนที่ยังไม่พร้อม ในการด้าเนินการตามข้อก้าหนดของมาตรฐานให้มีความรู้เรื่องการมาตรฐานโดย การให้ค้าปรึกษา แนะน้า แต่ปัจจุบันยังขาดผู้เชี่ยวชาญ จึงควรสร้างผู้เชี่ยวชาญไปพร้อมๆกัน โดยอาจ ได้จาก การระดมบุคลากรที่มีประสบการณ์ในสาขาต่างๆและมีเวลาเพียงพอเพื่อท้าหน้าที่เป็นที่ ปรึกษา (Consultant) ให้ค้าแนะน้าทางวิชาการด้านต่างๆ เช่น การควบคุมการผลิต การควบคุม คุณภาพ ตลอดจนการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งสร้างบุคลากรรุ่นใหม่เพื่อให้การ พัฒนา เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะท้าให้เกิดแรงขับเคลื่อนให้วิสาหกิจชุมชนสร้างประสิทธิผลต่อการ พัฒนา อย่างแท้จริง 4) การเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคใน การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ชุมชน พร้อมสนับสนุนช่องทางการจัดจ้าหน่ายในเบื้องต้นเพื่อจูงใจให้วิสาหกิจ ชุมชนผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพขอรับการรับรองตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 1.3.2 การดาเนินงานของส้านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 1.3.2.1 ด้าเนินการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (กมช.) เมื่อวันที่ 8 และวันที่ 28 พฤศจิกายน 2545 เพื่อพิจารณาก้าหนดแนวทางขั้นตอนการปฏิบัติงาน ในด้านการ ก้าหนดมาตรฐานการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับรอง เครื่องหมาย มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนรายชื่อที่เห็นสมควรจัดท้ามาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนปี 2546 จ้านวน 60 เรื่อง และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง 1.3.2.2 จัดให้มีการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “รับฟังข้อมูลและ ข้อคิดเห็นด้าน การก้าาหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน” จากผู้ที่เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย คือ ผู้ผลิตในชุมชน ผู้บริโภค และ นักวิชาการ ระหว่างวันที่ 16 ถึง 17 มกราคม 2546 ณ ห้องชลาลัย โรงแรมชลจันทร์ เมืองพัทยา


9 จังหวัดชลบุรี เพื่อรับฟังข้อมูลและข้อคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน รายสินค้า จ้านวน 13 เรื่อง ก่อนที่จะมีการประกาศเป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน รายละเอียดของ การสัมมนา เชิงปฏิบัติการฯ ดังนี้ รายสาขาผลิตชุมชนทั้ง 13 เรื่อง โดยให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ แสดง ข้อคิดเห็นได้ อย่างอิสระเป็นไปตามที่ปฏิบัติจริง ซึ่งจะเน้นผู้ผลิตในชุมชนที่เกี่ยวข้องตามราย สาขาผลิตภัณฑ์ชุมชน ข้างต้น เพื่อน้าข้อมูลที่ได้มาด้าเนินการจัดท้ามาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้มี ข้อก้าหนดที่เหมาะสมกับ สภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มีแนวทาง ปฏิบัติที่ไม่ซับซ้อนเพื่อให้ผู้ผลิต ในชุมชนเข้าถึงมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนได้ง่าย กลุ่มบุคคลที่เข้า ร่วมสัมมนาฯ : ผู้เข้าร่วมสัมมนาเชิง ปฏิบัติการ ประกอบด้วยกลุ่มบุคคล 3 ฝ่าย คือ ผู้ผลิตในชุมชน นักวิชาการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ และ ผู้บริโภค จาก 42 จังหวัด หน่วยงานราชการ 34 ราย หน่วยงาน เอกชน 2 ราย ผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะ สาขา 3 ราย และคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 11 ราย รวมทั้งสิ้นประมาณ 180 คน 1.3.2.3 การเปิดให้บริการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เริ่มต้นการเปิด รับค้าขอ ใบรับรองเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนส้าหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 13 เรื่อง ดังกล่าว ได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2546 เป็นต้นมา โดยผู้ยื่นค้าขอ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ส่วน ผลิตภัณฑ์ชุมชนอื่นตามประกาศบัญชีรายชื่อผลิตภัณฑ์ดีเด่น สินค้าชุมชนของคณะกรรมการ อ้านวย การหนึ่งต้าบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติจะด้าเนินการ ซึ่งมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับรอง คุณภาพ ผลิตภัณฑ์ชุมชน ดังนี้ ก ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ชุมชน ให้ได้รับ การรับรองและ แสดงเครื่องหมายการรับรอง 1) เป็นผู้ผลิตในชุมชนของโครงการหนึ่งต้าบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ได้รับการ คัดเลือกจากคณะกรรมการอ้านวยการหนึ่งต้าบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ 2) เป็นกลุ่มหรือสมาชิกของกลุ่มเกษตรกร กลุ่มสหกรณ์ หรือ กลุ่มอื่นๆ ตามกฎหมายวิสาหกิจชุมชน เช่น กลุ่มอาชีพ กลุ่มอาชีพก้าวหน้า กลุ่มธรรมชาติ เป็นต้น ข การรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน ประกอบด้วยการ าเนินการ ดังนี้ 1) ตรวจสอบสถานที่ผลิตและเก็บตัวอย่างจากสถานที่ส่ง ตรวจสอบ เพื่อ พิจารณาออกใบรับรอง 2) ตรวจติดตามผลคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ได้รับการรับรอง โดยสุ่มซื้อ ตัวอย่างที่ได้รับการรับรองจากสถานที่จ้าหน่ายเพื่อตรวจสอบ


10 3) การขอการรับรองให้ยื่นค้าขอต่อส้านักงานอุตสาหกรรมจังหวัด หรือ ส้านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือจังหวัดพร้อมหลักฐานและเอกสารต่าง ๆ ตาม แบบที่ ส้านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมก้าหนด 4) เมื่อได้รับค้าขอแล้ว ส้านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จะนัด หมายการตรวจสอบสถานที่ผลิตเก็บตัวอย่างส่งทดสอบ หรือทดสอบ ณ สถานที่ผลิต 5) ประเมินผลการตรวจสอบว่าเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ที่ได้ ก้าหนดไว้หรือไม่ 6) ใบรับรองผลิตภัณฑ์ มีอายุ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ระบุในใบรับรอง 7) การขอต่ออายุใบรับรองหรือการออกใบรับรองฉบับใหม่เมื่อ ใบรับรอง ฉบับเก่าสิ้นอายุ 8) เงื่อนไขและการตรวจติดตาม 8.1) ผู้ได้รับการรับรองต้องรักษาไว้ซึ่งคุณภาพตามมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ ชุมชนที่ก้าหนดไว้ ตลอดระยะเวลาที่ได้รับการรับรอง 8.2) การประเมินผลการตรวจสอบตัวอย่างที่สุ่มชื่อ เพื่อตรวจ ติดตาม ผลต้องเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ก้าหนด 9) การตรวจติดตามผลท้าอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง 10) การยกเลิกการรับรอง ส้านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จะ ยกเลิกใบรับรองกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ 10.1) ผู้ได้รับการรับรองขอยกเลิกใบรับรอง 10.2) มีการประกาศแก้ไขหรือยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ที่ ก้าหนดไว้ 10.3) เมื่อใบรับรองครบอายุ 3 ปี นับจากวันที่ได้รับการรับรอง 10.4) กรณีมีการกระท้าอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขต่างๆ ที่ก้าหนด เช่น การอวดอ้างเกินความเป็นจริงโฆษณาการได้รับ การรับรอง ครอบคลุมรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการรับรอง


11 ฃ อื่นๆ 1) ในกรณีที่ยกเลิกใบรับรองผู้ได้รับการรับรองต้องยุติ การใช้สิ่งพิมพ์ สื่อ โฆษณาที่มีการอ้างอิงถึงการได้รับการรับรองทั้งหมด 2) ส้านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไม่รับผิดชอบ ในการกระท้า ใดๆ ของผู้ได้รับการรับรองที่ได้กระท้าโดยไม่สุจริต หรือไม่ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืน หลักเกณฑ์และ เงื่อนไขที่ก้าาหนด 1.3.3 ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 1.3.3.1 เป็นการสนับสนุนผู้ผลิตรายย่อยให้ท้าผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และ สนับสนุนด้าน การตลาดโดยการให้เครื่องมือรับรองซึ่งจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน และยกระดับ การผลิตต่อไป 1.3.3.2 เป็นการสนองตอบนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในโครงการหนึ่งต้าบล หนึ่ง ผลิตภัณฑ์ ในด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์หนึ่งต้าบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ให้ผ่านการรับรองเพื่อสามารถ แสดง สัญลักษณ์ 1.3.3.3 เป็นการส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ เพื่อยกระดับให้มี การปรับปรุง การผลิตให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจโดยเฉพาะในโครงการ ห ง าบล หนึ่ง ผลิตภัณฑ์ทั่วประเทศ 1.3.3.4 เป็นการส่งเสริมด้านการตลาดให้เป็นที่ยอมรับ และเพิ่มความเชื่อถือ ของผู้ซื้อใน แลต่างประเทศ 1.3.4 หลักเกณฑ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 1.3.4.1 ผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร และผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่ม ได้ก้าหนด หลักเกณฑ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์ดังนี้ ก สถานที่ เครื่องมือและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์เหมาะสม และ สะอาด ข กรรมวิธีการผลิตถูกสุขลักษณะ ฃ ผลิตภัณฑ์ไม่มีส่วนผสมที่เป็นสิ่งแปลกปลอม ค ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์อยู่ในปริมาณที่ก้าหนด และไม่เป็น อันตรายต่อ ผู้บริโภค


12 ฅ สีที่เป็นส่วนผสมผลิตภัณฑ์ เป็นสีผสมอาหารตามชนิดและอยู่ใน ปริมาณที่ ก้าหนด ฆ บรรจุภัณฑ์ต้องสะอาดปิดมิดชิด สามารถป้องกันความชื้น ไม่มี รอยรั่วซึม ไม่มีสนิม และไม่มีรอยบุบหรือบวม ง ผลิตภัณฑ์ต้องมีสี กลิ่น รสที่ดีตามธรรมชาติของวัตถุดิบและ ปราศจาก กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ 1.3.4.2 ผลิตภัณฑ์ชุมชนประเภทผ้า และเครื่องแต่งกาย มีหลักเกณฑ์มาตรฐาน ดังนี้ ก ผลิตภัณฑ์อยู่ในสภาพเรียบร้อย ประณีต และสวยงาม ข ผลิตภัณฑ์ที่มีกรรมวิธีที่ผลิตด้วยมือต้องมีข้อบกพร่องน้อยที่สุด และ ข้อบกพร่องนั้นต้องเป็นที่ยอมรับได้ ฃ ผลิตภัณฑ์ต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อยตลอดทั้งผืน ค ผู้ผลิตต้องศึกษารายละเอียดแหล่งที่มาของวัตถุดิบ และขั้นตอน การแปร รูปผลิตภัณฑ์ ฅ ผ้าและผลิตภัณฑ์จากผ้าต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะทางตามชนิดของ ผลิตภัณฑ์ ฆ เส้นด้ายที่ใช้ในการทอต้องระบุชนิดของด้ายในการทอให้ชัดเจน ง ผลิตภัณฑ์จากผ้าต้องมีฝีเย็บเรียบร้อย ประณีต จ ผลิตภัณฑ์ต้องมีขนาดกว้างและยาวไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้ในฉลาก 1.3.4.3 ผลิตภัณฑ์ชุมชนประเภทเครื่องใช้ ของประดับตกแต่ง ศิลปะประดิษฐ์ และ ของที่ระลึก มีหลักเกณฑ์มาตรฐานดังนี้ ก ผลิตภัณฑ์ต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย ประณีตและเก็บรายละเอียด ของ ผลิตภัณฑ์ได้ดีสวยงาม ข วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับ ผลิตภัณฑ์ ฃ ผลิตภัณฑ์ไม่ฉีกขาด ไม่มีเชื้อราและสิ่งสกปรก ค ส่วนประกอบหรือตกแต่งผลิตภัณฑ์ด้วยวัสดุอื่น ต้องประณีต คงทน สวยงามสม่้าเสมอ กลมกลืนเหมาะสมกับชิ้นงาน ฅ น้าผลิตภัณฑ์ไปใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์


13 ฆ ผลิตภัณฑ์ต้องมีขนาดกว้างและยาวไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้ในฉลาก ง สีที่ใช้ในการทา ตกแต่งผลิตภัณฑ์ต้องมีคุณภาพ ไม่ลอกเป็นคราบ และ ต้องทาด้วยความประณีต เรียบร้อย สม่้าเสมอ จ การต่อลวดลายของผลิตภัณฑ์ต้องแนบเนียนสม่้าเสมอ ฉ การเคลือบเงาผลิตภัณฑ์ต้องเรียบร้อย สม่้าเสมอ ไม่เป็นเม็ด เป็นคราบ 1.3.4.4 ผลิตภัณฑ์ชุมชนประเภทสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหารและยา มีมาตรฐาน ดังนี้ ก สถานที่เครื่องมือและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเหมาะสมและ สะอาด ข กรรมวิธีการผลิตถูกสุขลักษณะ ฃ ผลิตภัณฑ์ต้องไม่มีสิ่งแปลกปลอมเป็นส่วนผสม ค ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ต้องเป็นเน้อเดียวกัน ฅ วัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตต้องสะอาด ฆ ผู้ผลิตต้องมีสุขลักษณะที่ดี ง กรรมวิธีการผลิตต้องถูกสุขลักษณะ การกวนส่วนผสมไปในทาง เดียวกัน สม่้าเสมอ จ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไขมันพืชถูกต้องตามสัดส่วน 1.3.5 การควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน ด้วยพฤติกรรมการเลือกชื่อหรือแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคทั้งใน ประเทศและ ต่างประเทศส่วนใหญ่ต้องการความมั่นใจว่าสินค้าที่ซื้อไปจะปลอดภัยต่อการใช้งาน หรือการบริโภค มี คุณภาพสม่้าเสมอหรือไม่ด้อยไปกว่าเดิม นอกจากนี้ผู้บริโภคยังต้องการสินค้าที่มี คุณภาพมีการ ควบคุมกระบวนการผลิตที่ดี จึงถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้ ซึ่ง ไม่เพียงแต่การ “ยกระดับ” ของสินค้า แต่หมายถึง “การอยู่รอด” ของกิจการในอนาคตด้วย ดังนั้นการน้าเทคนิคการควบคุมคุณภาพไปใช้ในกระบวนการผลิตเช่น การคัดเลือก วัตถุดิบ การควบคุมกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้ผลิต ชุมชนสามารถสร้างความพึงพอใจ สร้างความมั่นใจ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ ผู้บริโภคคุณภาพ คือ คุณสมบัติต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ที่ท้าให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจ


14 1.3.5.1 คุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคใช้เป็นเกณฑ์ มีดังนี้ ก คุณภาพที่สังเกตได้ คือ ลักษณะที่ผู้บริโภคเห็นได้ด้วยตนเอง เช่น ความ สวยงาม ความเรียบร้อย ขนาดสม่้าเสมอ ข คุณภาพซ่อนเร้น คือ ลักษณะที่ผู้บริโภคไม่สามารถเห็นได้ด้วย ตนเองต้อง ใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ ทดสอบ เช่น ความชื้น ความเป็นกรด-ด่าง ความบริสุทธิ์ของ เงิน เป็นต้น 1.3.5.2 คุณภาพที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการ มีดังนี้ ก ต้องมีความปลอดภัย ข มีลักษณะเฉพาะที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ฃ ความสะดวกในการบริโภคเท่านั้น ค ประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ ระบบการผลิต คือ ระบบที่ประกอบด้วยกระบวนการในการสร้างสรรค์ สิ่งต่าง ๆ ให้ เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ วัตถุดิบ กระบวนการผลิต และ ผลิตภัณฑ์ ส้าเร็จรูป ภาพที่ 2-1 ระบบการผลิต ดังนั้น หากต้องการให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค มีคุณภาพได้ มาตรฐาน จึงต้องมี การควบคุมคุณภาพในระบบการผลิต 1.3.5.3 สาเหตุที่ต้องมีการควบคุมคุณภาพในระบบการผลิต เพราะปัจจัย ต่าง ๆ ดังนี้ ก ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพดี ข ผู้บริโภคพึงพอใจ


15 ฃ ของเสียน้อยลง ค ลดต้นทุนการผลิต ฅ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ฆ เพิ่มรายได้สร้างแรงงาน ง ยกระดับผลิตภัณฑ์ 1.3.5.4 การควบคุมคุณภาพในระบบการผลิต การควบคุมคุณภาพ คือ กระบวนการที่ท้าให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์ เป็นไป ตามมาตรฐานที่ก้าหนดไว้ มาตรฐาน คือ ข้อก้าหนดหรืสิ่งที่น้ามาใช้ในการเปรียบเทียบ ซึ่ง อาจเป็น ข้อก้าหนดข้อเดียวหรือหลายข้อ โดยที่ข้อก้าหนดนั้นต้องเป็นที่ยอมรับของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมด ข้อก้าหนดที่ก้าหนดขึ้นส้าหรับใช้ในการควบคุมคุณภาพในกระบวนการผลิต ดังนี้ ข้อก้าหนดคุณภาพ ก มาตรฐานของวัตถุดิบแต่ละชนิด ข มาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่ส้าเร็จรูป ข้อก้าหนดการตรวจสอบ ก วิธีการตรวจสอบวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์ ส้าเร็จรูป ข้อก้าหนดการสุ่มตัวอย่าง ข ตรวจสอบทุกชิ้น หรือสุ่มตัวอย่างมาตรวจสอบ โดยก้าหนดจุดที่ จะต้อง สุ่มตัวอย่างจ้านวนของตัวอย่าง การยอมรับหรือปฏิบัติสิ่งที่ตรวจว่าอย่างไรจึงยอมรับได้ อย่างไรจึงไม่ ยอมรับ 1.3.5.5 มาตรการในการควบคุมคุณภาพในระบบการผลิต ที่ต้องท้าเป็นประจ้า เพื่อให้ ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพตรงตามที่ต้องการ คุณภาพสม่้าเสมอและมีของเสียน้อยที่สุด มีดังนี้ ก ควบคุมวัตถุดิบ ด้วยการตรวจสอบวัตถุดิบทุกชนิด โดย การตรวจสอบทุก ชิ้นหรือสุ่มตัวอย่างมาตรวจตามวิธีทดสอบที่ก้าหนดไว้ ว่ามีคุณภาพเป็นไปตาม มาตรฐานที่ก้าหนดไว้ หรือไม่ หากพบว่ามีข้อบกพร่องให้ด้าเนินการแก้ไขก่อนที่จะน้าเข้าสู่ กระบวนการผลิต ข ควบคุมกระบวนการผลิต ด้วยการควบคุมกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้ ผลิตผลในแต่ละขั้นตอนที่มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพที่ก้าหนดไว้ หากพบว่า มี ข้อบกพร่องให้ด้าเนินการแก้ไขก่อนที่จะท้าการผลิตขั้นตอนต่อไป


16 ฃ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ส้าเร็จรูป ด้วยการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ ส้าเร็จรูปทุก ชิ้นหรือสุ่มตัวอย่างมาตรวจสอบตามวิธีทดสอบที่ก้าหนดไว้ ว่ามีคุณภาพเป็นไปตาม มาตรฐานที่ ก้าหนดไว้หรือไม่ หากพบข้อบกพร่องให้ด้าเนินการแก้ไขก่อนที่จะน้าไปจ้าหน่าย 1.3.5.6 ประโยชน์ของการควบคุมคุณภาพ มีดังนี้ ก ลดค่าใช้จ่าย ข ยกระดับผลิตภัณฑ์ ฃ ผู้บริโภคพอใจ ค ขายสินค้าได้ตามราคาที่ก้าาหนด ฅ ของเสียน้อยลง ฆ ทุกคนมีส่วนร่วมในการท้างาน ง คุณภาพผลิตภัณฑ์ดีขึ้น จ เพิ่มรายได้ ฉ มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค 2.4 ทฤษฎีกลยุทธ์การตลาด(4P’s)และ(8P’s),กลยุทธ์ตลาดออนไลน์ 2.4.1 ทฤษฎีกลยุทธ์การตลาด 4P’s Thomas C. Kenneth L.Bernhardt (1983 : 37) ได้กล่าวถึง หลักการตลาด 4P's มี ดังต่อไปนี้ 2.4.1.1 Product (สินค้า) ซึ่งประกอบด้วย การวางแผน การวิจัยและพัฒนา การ ทดสอบ และการบริการสินค้า 2.4.1.2 Place (จุดจ้าหน่าย) ซึ่งประกอบด้วย การคัดเลือก การประสานงาน การ ประเมินช่องทางการขนส่ง รวมถึง โกดัง และการควบคุมรายการสิ่งของ 2.4.1.3 Promotion (การประชาสัมพันธ์) ประกอบด้วย การจัดการการขาย พนักงาน ขาย การโฆษณารวมทั้งการสื่อสารทางการตลาดทั้งหมด 2.4.1.4 Price (ราคา) ประกอบด้วยการก้าหนดราคา นโยบายด้านราคา และยุทธศาสตร์ เฉพาะด้านราคา 2.4.2 ทฤษฎีกลยุทธ์การตลาด 8P’s


17 2.4.2.1 ผลิตภัณฑ์ (Product) ธุรกิจมีองค์ประกอบหลักซึ่งเป็นปัจจัยส้าคัญอย่างแรก คือ ผลิตภัณฑ์สินค้า (Goods) ส้าหรับในส่วนสินค้านั้นแบ่งออกเป็น สินค้าประเภทจับต้องได้ และ สินค้าประเภทจับต้องไม่ได้ ส้าหรับการบริการนั้นแบ่งออกเป็น บริการแบบมีส่วนร่วม และการบริการ แบบไม่มีส่วนร่วม ดังนั้นสินค้า และบริการจึงนับได้ว่าเป็นหัวใจส้าคัญของการด้าเนินธุรกิจอย่าง แท้จริง โดยต้องมีคุณลักษณะส้าคัญ คือ คุณภาพ (Quality) ส้าหรับในส่วนของคุณภาพนั้นยังมี ความหมายรวมถึง ด้านความเหมาะสมในการใช้งาน คุณภาพการออกแบบ และคุณภาพตาม มาตรฐานที่ก้าหนดไว้อีกด้วย นอกจากนั้นคุณภาพยังเป็นตัวบ่งชี้ส้าคัญถึงภาพลักษณ์ของธุรกิจ 2.4.2.2 ราคา (Price) การก้าหนดราคานับว่าเป็นกลยุทธ์ส้าคัญอีกอย่างหนึ่งของการ ด้าเนินธุรกิจ โดยมักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาดของตัวธุรกิจ ประเภทของสินค้าที่ต้องการ จ้าหน่าย ค่าใช้จ่ายต่างๆ สิ่งแวดล้อมทางการตลาด กฎหมาย ความเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบ หรือแม้กระทั่งระบบการจัดจ้าหน่าย ต้นทุนการผลิต และการส่งเสริมการขาย เป็นต้น ส้าหรับธุรกิจ ขนาดเล็กนั้น การก้าหนดราคาขายของสินค้านั้น เป็นสิ่งจ้าเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากราคานั้น เป็นสิ่งที่ใช้ วัดค่า และประโยชน์ของตัวสินค้า และยังเป็นตัวก้าหนดว่าเราจะสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่าง จ้ากัดไปในทิศทางใด จะสามารถขายสินค้าอย่างไร จ้านวนเท่าไหร่ ราคาขายจะเป็นเครื่องบ่งชี้ ความสามารถในการท้าก้าไรของธุรกิจนั้นๆ เนื่องจากก้าไรจะค้านวณจาก รายรับหักลบด้วยต้นทุน โดยรายรับจะมาจากปริมานจ้านวนที่ขายคูณด้วยราคาต่อหน่วย อีกหนึ่งกลยุทธ์การขายสินค้าที่นิยม น้ามาใช้กัน อย่างแพร่หลาย ได้แก่ การให้ส่วนลด (Discount) การขายเงินเชื่อ (Credit) และการฝาก ขาย (Consignment) รวมทั้งยังมีการใช้นโยบายการตั้งราคาอีกด้วย โดย นโยบายการตั้งราคาแบ่ง ออกเป็น นโยบายราคาเพียงราคาเดียว (One Price Policy) เป็นการเสนอขายสินค้า หรือบริการใน ราคามาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าจะซื้อมากหรือน้อยก็ตาม เช่น ราคาน้้ามัน ค่าขนส่งสินค้า ค้าตาม น้้าหนัก หรือธุรกิจขายสินค้าราคาเดียวทั้งร้าน (ทุกอย่าง 20 บาท) นโยบายราคาที่แตกต่างกัน (Variable Price Policy) มีเหตุมากจากความแตกต่างในด้านคุณลักษณะเฉพาะของสินค้าหรือตัวบริ การ และการเจรจาต่อรองของลูกค้า นั่นจึงเป็นเหตุให้มีการต้นราคาขายแตกต่างกัน เช่น สินค้าที่มี คุณภาพดีกว่าจะมีราคาที่สูงกว่า สินค้าที่คุณภาพรองลงมา เช่น ราคาตั๋วชมภาพยนตร์ที่นั่งธรรมดา กับที่นั่งพิเศษ เสื้อผ้าแบรนด์ดังกับเสื้อผ้าไม่มีแบรนด์ นโยบายก้าหนดราคาขายแบบแพ็กเกจ (Multiple Unit Package Pricing Policy) เป็นการก้าหนดราคาขายโดยเปรียบเทียบความแตกต่าง ในด้านปริมาณสินค้าที่ซื้อ อธิบายง่ายๆ คือถ้าซื้อในจ้านวนมากราคาจะถูกกว่าซื้อในจ้านวนน้อย เช่น


18 เครื่องดื่ม บะหมี่กึ่งส้าเร็จรูป สินค้าประเภทอุปโภคบริโภค นโยบายก้าหนดราคาตามสายราคา (Price Lining-Policy) เป็นรูปแบบการก้าหนดราคาสินค้า แบบต่อเนื่องตามขนาด และปริมานของสิ้นค้า โดยแบ่งตามขนาด ใหญ่ กลาง เล็ก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก้พนักงานขาย และตัวลูกค้าเอง เช่น น้า ยาบ้วนปาก ยาสีฟัน นโยบายก้าหนดราคาเชิงจิตวิทยา (Psychological-Pricing Policy) ธุรกิจ อาจจะใช้วิธีการก้าหนดราคาให้น่าสนใจ โดยอาศัยหลักจิตวิทยาซึ่งเชื่อว่ามีผลโดยตรงต่อพฤติกรรม การซื้อสินค้าของลูกค้า หรือผู้บริโภค เช่น สินค้าที่มีราคาลงท้ายเหมือนกัน 59, 89, 99 หรือสินค้าที่มี ป้ายก้ากับ เช่นสินค้าขายดี นโยบายก้าหนดราคาจามจ้านวน (Unit Pricing-Policy) เป็นรูปแบบการ ต้นราคาให้แตกต่าง โดยอ้างอิงจากน้้าหนักของสินค้าต่อหน่วยเป็นเกณฑ์ เช่น ซื้อสินค้าที่มีน้้าหนักที่ แตกต่างกัน 100 ,50 และ 30 กรัม ตัวสินค้าจะมีราคาไม่เท่ากัน 2.4.2.3 ช่องทางการจัดจ้าหน่าย (Place) การน้าสินค้าไปให้ถึงมือของลูกค้า โดยยึดหลัก ความมีประสิทธิภาพ ความถูกต้อง ความปลอดภัย และความรวดเร็ว วิธีการที่สามารถท้าให้เกิดผล ก้าไรมากที่สุด คือจะต้องกระจายสินค้าให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด หากเป็นสินค้าที่ขายไปหลายๆ แห่ง วิธีการกระจายสินค้านั้นจะมีความส้าคัญเป็นอย่างมาก โดยหลักการของการเลือกวิธีกระจาย สินค้านั้นไม่ใช่มีขายให้มากสถานที่ จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเสมอ แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่า สินค้าของท่านคือ อะไร และกลุ่มเป้าหมายท่านคือใคร 2.4.2.4 การส่งเสริมการขาย (Promotion) ความส้าเร็จทางด้านธุรกิจ คือ การขาย สินค้า หรือบริการให้ได้มากที่สุด แต่ปัญหาคือต้องท้าอย่างไร จึงจะท้าให้ กิจกรรมดังกล่าวประสบ ความส้าเร็จ และมีประสิทธิภาพ มากที่สุด การส่งเสริมการขายนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ งบประมาณ เป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนกลับคืนอย่างคุ้มค่าที่สุด ซึ่งมีอยู่หลายวิธีที่ทั้ง ทางตรง และทางอ้อม การโฆษณา (Advertising) อาจจะใช้ค้าพูด หรือข้อความ ที่ท้าให้ลูกค้ารู้สึกดี ต่อต่อสินค้า หรือบริการนั้นๆ รวมทั้งจูงใจให้เกิดความต้องการอยากทดลองใช้สินค้า หรือบริการของ เรา การขายโดยตรง (Direct Sales) เป็นการขายโดยเข้าไปติดต่อถึงตัวลูกค้าโดยตรง โดยการอธิบาย รายละเอียดต่างๆ ของสินค้าให้ลูกค้าได้ทราบ หรือที่เรียกว่าการเสนอขาย โดยอาศัยเทคนิค และ วิธีการที่น่าสนใจ การส่งเสริมการขายทางด้านลูกค้า (Consumer Promotion) เป็นรูปแบบในการ สร้างสิ่งดึงดูดใจให้กับตัวลูกค้าโดยตรง เช่น การลด แลก แจก แถม หรือการเล่นเกมเพื่อชิงรางวัล เป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความสนใจ และมีความหวังในประโยชน์ที่ได้รับจากตัวสินค้า หรือบริการ ของเรา การบริการ (Service) เป็นรูปแบบการให้บริการทั้งก่อน และหลังการขาย ไม่ว่าจะเป็นการ


19 อธิบายคุณลักษณะที่ดี และการใช้สินค้าก่อนลูกค้าจะท้าการซื้อ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสนใจ การ บริการขณะขาย เช่น การสาธิตให้ลูกค้าได้ชมก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้า หรือ อาจจะเป็นการให้ ลูกค้าทดลองด้วยตัวเองก่อน และบริการหลังการขายสินค้าให้กับลูกค้า เช่นการซ่อมบ้ารุง หรือ ตรวจสอบสินค้าเมื่อลูกค้าได้ซื้อไปแล้วโดยท้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความประทับใจระยะยาว แม้ใน บางธุรกิจอาจจะไม่สามารถปรับเปลี่ยน ทั้ง 4P ได้หมดในระยะเวลาอันสั้นได้ แต่เราสามารถปรับกล ยุทธ์ทีละส่วน จนได้ส่วนผสมทางการตลาดที่เหมาะสมที่สุด 2.4.2.5 บุคลากร (People) ในธุรกิจประเภทบริการนั้น ลูกค้าจะมีส่วนร่วมในระหว่าง การใช้บริการ ท้าให้พนักงานจ้าเป็นต้องมีการปฏิสัมพันธ์ลูกค้า ซึ่งค่อนข้างจะต่างจากการขายสินค้า (Product) ที่ จะไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต และการบริหารมากกว่า แต่ธุรกิจประเภทบริการ (Service) ต้องพบปะกับลูกค้าโดยตรง นั่นคือเหตุผลว่าท้าไมถึงต้องให้ความส้าคัญกับ คน(People) นั่นเอง ส่วนกลยุทธ์เกี่ยวกับ คน (People) ในธุรกิจมีดังนี้ การฝึกอบรม การฝึกสอนเพื่อเพิ่มความรู้ ความสามารถในการให้บริการแก่พนักงาน รวมถึงการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีในบริการลูกค้าด้วย การรับมือกับจ้านวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เช่น เมื่อลูกค้าเข้ามาใช้บริการเยอะเกินไปควรมี มาตรการรองรับอย่างไร หรือกรณีที่ลูกค้ามาใช้บริการน้อย ควรแก้ไขอย่างไร 2.4.2.6 บรรจุภัณฑ์ (Packaging Strategy) หลักส้าคัญของกลยุทธ์ด้านบรรจุภัณฑ์ คือ การออกแบบให้สวยงาม และโดดเด่นกว่าผลิตภัณฑ์ ของคู่แข่งเมื่อน้าไปวางขาย ส่วนในด้านของ ร้านค้าออนไลน์กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์นั้น จะรวมไปถึงเรื่องความปลอดภัยของสินค้าในส่วนของการจัดส่ง รวมอยู่ด้วย เพราะการส่งสินค้าในระยะทางไกลนั้นอาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ ดังนั้นจึงควร จัดการห่อสินค้าให้ดีเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นด้วย สิ่งเหล่านี้สามารถสร้างความประทับใจ และท้าให้ลูกค้ามีทัศนคติที่ดีต่อร้านค้าออนไลน์ของเรา 2.4.2.7 การให้ข่าวสาร (Public Strategy) การให้ข้อมูลข่าวสารเป็นกลยุทธ์ที่มี ความส้าคัญ และเหมาะกับยุคสมัยนี้ที่สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้อย่างไร้พรมแดน ท้าให้การรับส่ง ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการขายสินค้าออนไลน์ การให้ข่าวสาร โดยการโพสป ระกาศ รวมไปถึงการฝากขายสินค้า ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ 2.4.2.8 กลยุทธ์ด้านอ้านาจการต่อรอง (Power Strategy) ตัวอย่างเช่นการใช้อ้านาจใน การต่อรองเพื่อสร้างเครือข่าย โดยคนที่ต้องการสั่งซื้อสินค้าจากเราไปจ้าหน่ายต้องสมัครเป็นตัวแทน เท่านั้น เพื่อที่จะได้สั่งซื้อสินค้าในราคาขายส่ง หรือต้องสมัครเข้ากลุ่มตามประเภทของสินค้าในไลน์


20 เพื่อน้ารูปภาพของสินค้าแต่ละประเภทที่มีการอัพเดททุกวันไปโพสขาย ในกรณีนี้เป็นการขายส่งสินค้า ส่วนการขายปลีกให้กับลูกค้าทั่วๆ ไปหน้าเว็บเพจรูปแบบการใช้กลยุทธ์พลังอาจมีการก้าหนดราคา ขายที่แตกต่างกัน เช่น สั่งซื้อสินค้าครบ 3 รายการคิดราคาพิเศษเป็นการต่อรองเพื่อแลกเปลี่ยน ผลประโยชน์ ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ร้านค้าออนไลน์มียอดขายเพิ่มขึ้นส่วนของลูกค้าได้สินค้าใน ราคาที่ถูกลงเป็นต้น กลยุทธ์การตลาด กล่าวโดยสรุป 8P คือ อีกหนึ่งกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีการ ต่อยอดมาจาก 4P นั่นเอง 2.4.3 กลยุทธ์ตลาดออนไลน์ 2.4.3.1 การใช้เว็บไซต์เป็นพื้นฐานในการท้าการตลาดออนไลน์ (Web-Based Digital Marketing) pdmcoach website based marketing ฟังดูแล้วเป็นเรื่องธรรมดา แต่ส้าหรับ ประเทศไทยต้องบอกว่าธุรกิจที่ท้าการตลาดออนไลน์ Digital Marketing หรือขายของออนไลน์อยู่ ส่วนใหญ่ไม่มีเว็บไซต์ของธุรกิจ หรือเว็บไซต์ของธุรกิจยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ เพื่อรับมือการแข่งขันด้าน การตลาดออนไลน์ในปี 2020 นี้ การท้าเว็บไซต์ของธุรกิจจึงเป็นเรื่องจ้าเป็นอย่างยิ่ง หรือหากธุรกิจใด ที่มีเว็บไซต์อยู่แล้ว ควรท้าเว็บไซต์ธุรกิจให้มีประสิทธิภาพดียิ่งชึ้น เพิ่มเนื้อหา (Content) ที่เป็น ประโยชน์และดึงดูดผู้ชมมากขึ้น หรืออาจลองพิจารณาเพิ่มเว็บไซต์ธุรกิจก็ได้ 2.4.3.2 การท้า Digital Marketing แบบบูรณาการ (Integrated Digital Marketing) pdmcoach integrated digital marketing การมีเครื่องมือการตลาดออนไลน์ Digital Marketing เยอะย่อมเป็นข้อได้เปรียบของธุรกิจ แต่หากธุรกิจใดสามารถบริหารจัดการเครื่องมือได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ก็ถือเป็นข้อได้เปรียบมากยิ่งขึ้น ในประเทศไทย ผู้ท้าธุรกิจหรือนักการตลาดออนไลน์จะ เน้นการท้าตลาดบนด้วยเครื่องมือหลัก ๆ เช่น Facebook, Google Ads ในปี 2020 Facebook, Google Ads ยังคงจ้าเป็นอยู่ แต่การใข้เครื่องมืออื่น ๆ อย่าง SEO, Instagram, Twitter, YouTube, Linkedin, Pinterest, Line, Messenger ฯลฯ เพิ่มขึ้น ร่วมกับการใช้ Content ให้เหมาะสมกับ กลุ่มเป้าหมายแต่ละเครื่องมือมากขึ้น อาจช่วยเพิ่มผลลัพธ์ที่ดีจากการท้าการตลาดออนไลน์ Digital Marketing ได้ดียิ่งขึ้น 2.4.3.3 การท้า Remarketing ตามพฤติกรรม (Behavioral Remarketing) pdmcoach behavioral marketing หลายท่านที่ท้าการตลาดออนไลน์Digital Marketing คงเคย รู้จักกับการท้า Remarketing มาแล้ว และหลายท่านอาจจะเคยท้าโฆษณาและการตลาดออนไลน์ แบบ Remarketing อยู่ แต่ในปีนี้ เพื่อให้การท้า Remarketing ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น โดยเฉพาะ


21 ธุรกิจที่มีเว็บไซต์ การท้าโฆษณา Remarketing Ad. ตามพฤติกรรม (Behavioral Remarketing) ที่มี ความหลากหลายมากขึ้นนอกเหนือจากการดูหน้าเว็บเพียงอย่างเดียว เช่น การดูวีดีโอ การเลื่อนดู หน้าจอ การดูภาพหรือข้อความ การจับเวลาที่ผู้ชมอยู่บนเว็บไซต์ การคลิกปุ่มเพิ่มเพื่อน Add Line คลิกปุ่ม Facebook Inbox การเพิ่มตระกร้าสินค้า ฯลฯ 2.4.3.4 การวิเคราะห์ข้อมูลและผลลัพธ์ (Data and Conversion Analytics) pdmcoach data and conversion analytics การวิเคราะห์ข้อมูลและผลลัพธ์จากการท้า การตลาดออนไลน์ Digital Marketing เป็นพื้นฐานส้าคัญอย่างมาก แต่ธุรกิจในประเทศไทยจ้านวน มากยังไม่ได้ให้ความส้าคัญกับสิ่งนี้ หลายธุรกิจยังคงท้าการตลาดและโฆษณาออนไลน์โดยไม่มีการ ติดตามผล ยิ่งไปกว่านั้นบางธุรกิจยังไม่รู้เลยว่าจะติดตามผลจากการท้าการตลาดออนไลน์ Digital Marketing อย่างไร ส่งผลให้การท้าการตลาดและโฆษณาออนไลน์อาจจะไม่ตรงจุดและได้ผลลัพธ์ที่ไม่ เป็นไปตามที่คาดหวัง ในปี 2020 การน้าข้อมูลมาใช้ และการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่แม่นย้าจะเป็นสิ่ง ส้าคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้การท้าการตลาดออนไลน์ Digital Marketing ของแต่ละธุรกิจมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และอาจมีส่วนช่วยลดงบประมาณในการท้าโฆษณาได้ด้วย 2.5 การบริโภคและทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค (Buyer Behavlor’s Model) พฤติกรรมผู้บริโภค ( Consumer Behavior) หมายถึง กระบวนการ หรือพฤติกรรมในการ ตัดสินใจซื้อใช้ และประเมินผลการใช้สินค้าหรือ บริการของผู้ซื้อ ทั้งที่เป็นปัจเจกบุคคลและกลุ่ม บุคคล อันจะมีความส้าคัญต่อการซื้อสินค้าและ บริการทั้งในปัจจุบันและอนาคต พฤติกรรมผู้บริโภคมี ผลต่อความส้าเร็จของธุรกิจ ดังนั้น การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคจะท้าให้สามารถสร้างกลยุทธ์ ทาง การตลาดที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้บริโภคและ ความสามารถในการค้นหาทางแก้ไข พฤติกรรมใน การ ตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในสังคมได้ถูกต้องและ สอดคล้องกับความสามารถในการ ตอบสนองของธุรกิจมาก ยิ่งขึ้น ที่ส้าคัญจะช่วยในการพัฒนาตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดี ขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง ผู้บริโภคที่ฉลาด นอกจากจะต้องมี หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อสินค้าบริการแล้ว จะต้องรอบ รู้เท่า ทันกลวิธี เทคนิค และกลฉ้อฉลต่าง ๆ ที่ใช้ในการขายสินค้า และบริการ รวมถึงสามารถปกป้อง สิทธิที่ตนเองพึงได้รับด้วย การเรียนรู้การเป็น ผู้บริโภคที่ฉลาด จะท้าให้ทราบและ สามารถล้าดับ ความส้าคัญของทางเลือกต่าง ๆ ในการใช้เงิน ตลอดจนรู้จักหลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อและใช้สินค้า และบริการ เป็นการศึกษาปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์การ และ กระบวนการที่พวกเขา เหล่านั้นใช้เลือกสรร รักษาและก้าจัด สิ่งที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ บริการ ประสบการณ์ หรือ แนวคิด เพื่อ


22 สนองความต้องการและผลกระทบที่ กระบวนการเหล่านี้มีต่อผู้บริโภคและสังคมพฤติกรรมผู้บริโภค เป็นการผสมผสานจิตวิทยาสังคมวิทยามนุษยวิทยาสังคม และเศรษฐศาสตร์ เพื่อพยายามท้าความ เข้าใจกระบวนการการตัดสินของผู้ซื้อ ทั้งปัจเจกบุคคลและกลุ่มบุคคล พฤติกรรมผู้บริโภคศึกษา ลักษณะเฉพาะของผู้บริโภคปัจเจกชน อาทิ ลักษณะทาง ประชากรศาสตร์และตัวแปรเชิงพฤติกรรม เพื่อพยายามท้าความเข้าใจความต้องการของประชาชน พฤติกรรม ผู้บริโภคโดยทั่วไปก็ยังพยายาม ประเมินสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ ผู้บริโภคโดยกลุ่มบุคคลเช่นครอบครัว มิตรสหาย กลุ่ม อ้างอิง และสังคม เป็นพฤติกรรมที่ผู้บริโภคแสดงออกไม่ว่าจะเป็นการ เสาะหา ซื้อใช้ ประเมินผล หรือ การบริโภค ผลิตภัณฑ์ บริการ และแนวคิดต่าง ๆ ซึ่งผู้บริโภคคาดว่าจะ สามารถตอบสนองความต้องการของตน ได้ เป็นการศึกษาการตัดสินใจของผู้บริโภคในการใช้ ทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งเงิน เวลา และก้าลัง เพื่อ บริโภค สินค้าและบริการต่างๆ อันประกอบด้วย ซื้ออะไร ท้าไมจึงซื้อ ซื้อเมื่อไร อย่างไร ที่ไหน และ บ่อยแค่ไหน การกระท้าของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเกี่ยวข้องโดยตรง กับการจัดหาให้ได้มาซึ่งการใช้สินค้า และบริการ รวมถึงกระบวนการตัดสินใจ และการกระท้าของบุคคลที่เกี่ยวกับการซื้อและการใช้สินค้า สรุปได้ว่า พฤติกรรมของผู้บริโภค (Consumer Behavior) หมายถึง การแสดงออกของแต่ละ บุคคล ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้สินค้าและ บริการทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงกระบวนการใน การตัดสินใจที่ มีผลต่อการแสดงออกของแต่ละ บุคคล ซึ่งมีความแตกต่างกันออกไป 2.5.2 องค์ประกอบของพฤติกรรมผู้บริโภค การศึกษาเรื่องพฤติกรรมผู้บริโภค มีประโยชน์ทางการตลาด 5 ประการ 2.5.2.1 ช่วยให้นักการตลาดเข้าใจถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการ ตัดสินใจซื้อสินค้าของ ผู้บริโภค 2.5.1.2 ช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถหา หนทางแก้ไขพฤติกรรมในการ ตัดสินใจซื้อสินค้า ของผู้บริโภคใน สังคมได้ถูกต้องและสอดคล้องกับ ความสามารถในการตอบสนองของ ธุรกิจมาก ยิ่งขึ้น 2.5.2.3 ช่วยให้การพัฒนาตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถท้าได้ดีขึ้น 2.5.2.4 เพื่อประโยชน์ในการแบ่งส่วนตลาด เพื่อการ ตอบสนองความต้องการของ ผู้บริโภค ให้ตรงกับ ชนิดของสินค้าที่ต้องการ 2.5.2.5 ช่วยในการปรับปรุงกลยุทธ์ การตลาดของธุรกิจต่าง ๆ เพื่อความ ได้เปรียบคู่ แข่งขัน


23 2.5.3 ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค 2.5.3.1 ปัจจัยด้านวัฒนธรรม นับเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานที่มีผลกระทบต่อกระบวนการการ ซื้อ หรือพฤติกรรมการบริโภคของผู้ใช้บริการ โดยปัจจัยด้าน วัฒนธรรม ยังรวมถึง ความเชื่อ ความรู้ การศึกษา เป็นต้น ปัจจัยด้านวัฒนธรรม หมายถึงขอบเขตที่ใช้เพื่อวิเคราะห์ พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อให้ รู้ถึงค่านิยม ความคิด ทัศนคติ และ สัญลักษณ์อื่นๆ ที่ได้แสดงพฤติกรรมนั้นออกมา เป็นเรื่องที่ เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ไม่ใช่ทางสัญชาตญาณ ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ รูปธรรมและนามธรรม ลักษณะรูปกระท้านั้น สามารถมองเห็นได้ชัดเช่น การแต่งกาย ลักษณะของสินค้าที่ ใช้ เป็นต้น ส่วน ลักษณะนามธรรมไม่สามารถมองเห็นได้ เช่น ความคิด ทัศนคติ 2.5.3.2 ปัจจัยทางสังคม ปัจจัยทางสังคมประกอบด้วยกลุ่มอ้างอิงอย่าง ครอบครัว บทบาท และสถานะของผู้ซื้อ ปัจจุบันโลกยุค 4.0 ท้าให้เรา เห็นผลกระทบจากปัจจัยด้านสังคมอย่าง ชัดเจนในการ ตัดสินใจซื้อ หรือบริโภค เนื่องจากข่าวสาร รวมถึงการแสดง บทบาทและสถานะทาง สังคม ถูกตอกย้้า และรับรู้ได้ง่ายผ่าน โลกออนไลน์ การบริโภคสินค้าและบริการกลายเป็นส่วนหนึ่ง ของการสร้าง สถานะทางสังคมให้กับผู้บริโภคต่อสังคมภายนอกได้ ยกตัวอย่างเช่น การบริโภคสินค้า ราคาแพง สามารถสร้าง ความรับรู้ถึงสถานะทางสังคมระดับสูงให้แก่ผู้บริโภคได้ เป็นต้น 2.5.3.3 ปัจจัยทางสังคม กลุ่มอ้างอิง หมายถึงกลุ่มใด ๆ ที่มีการเกี่ยวข้องกัน ระหว่างคน ใน กลุ่ม แบ่งเป็น 2 ระดับ ก กลุ่มปฐมภูมิ ได้แก่ครอบครัว เพื่อนสนิท มักมีข้อจ้ากัดใน เรื่องอาชีพ ระดับชั้นทางสังคม และช่วงอายุ ข กลุ่มทุติยภูมิ เป็นกลุ่มทางสังคมที่มีความสัมพันธ์แบบตัวต่อ ตัว แต่ไม่บ่อย มี ความเหนียวแน่นน้อยกว่ากลุ่มปฐมภูมิ ครอบครัว เป็นสถาบันที่ท้าการซื้อเพื่อการบริโภคที่ส้าคัญที่สุด นักการตลาดจะ พิจารณา ครอบครัวมากกว่าพิจารณาเป็น รายบุคคล บทบาททางสถานะ บุคคลที่จะเกี่ยวข้องกับ หลายกลุ่ม เช่น ครอบครัว กลุ่มอ้างอิง ท้าให้บุคคลมีบทบาทและสถานภาพที่ แตกต่างกันในแต่ละ กลุ่ม


24 2.6 แนวคิดการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การท้าความเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมายของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ และความส้าคัญของบรรจุ ภัณฑ์ ช่วยให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ SME ใช้ประโยชน์จากกล่องกระดาษ กล่องอาหาร แก้วกระดาษ ถ้วยกระดาษ จานกระดาษ หรือบรรจุภัณฑ์ที่ท้าจากกระดาษในรูปแบบอื่นๆเพื่อสร้าง ความน่าสนใจให้กับสินค้าและแบรนด์ 2.6.1 การออกแบบบรรจุภัณฑ์ คืออะไร การออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Packaging Design) คือ การก้าหนดรูปแบบและโครงสร้างของบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมและสัมพันธ์กับตัวสินค้า เพื่อป้องกัน ไม่ให้สินค้าเสียหายจากการเคลื่อนย้าย เพื่ออ้านวยความสะดวกให้กับระบบขนส่ง และเพิ่มคุณค่าด้าน จิตวิทยาต่อผู้บริโภค ซึ่งต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการสร้างสรรค์ 2.6.2 วัตถุประสงค์ของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อน้าเอาวัสดุ เช่น กระดาษ เยื่อกระดาษ ไม้ พลาสติก แก้ว และโลหะอื่นๆมาออกแบบเป็นเป็นภาชนะที่มีความสวยงาม แข็งแรง ได้สัดส่วน เหมาะสมกับตัวสินค้า เช่น กล่องกระดาษ กล่องกระดาษลูกฟูก กล่องพิมพ์ออฟเซท พาเลทกระดาษ และภาชนะอื่นๆ ส้าหรับการน้าไปใช้ รวมทั้งสร้างพจน์ที่ดี ท้าให้แบรนด์สินค้าได้รับความพึงพอใจจาก ผู้ซื้อ 2.6.3 ความส้าคัญของบรรจุภัณฑ์ต่อธุรกิจ SME บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งบรรจุ ภัณฑ์ส้าหรับสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ มีความส้าคัญต่อธุรกิจ SME ในทุกๆด้าน ดังนี้ 2.6.3.1 รักษาคุณภาพและปกป้องสินค้าจากการปนเปื้อน ทั้งจากฝุ่นละออง แมลง คน ความชื้นความร้อน แสงแดด และการปลอมปนอื่น ๆ 2.6.3.2 มีความสะดวกต่อการจัดเก็บ เช่น กล่องกระดาษ ที่มีขนาดใหญ่สามารถจัดเก็บ สินค้ารวมไว้ในที่เดียว หรืออ้านวยความสะดวกในการขนส่ง ท้าให้การเคลื่อนย้ายสินค้าท้าได้รวดเร็ว 2.6.3.3 ส่งเสริมด้านการตลาด ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้สินค้าและแบรนด์เป็นที่รู้จักมาก ขึ้น 2.6.3.4 เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งตัวสินค้าและแบรนด์ผลิตภัณฑ์ให้กับธรกิจ SME โดยการออกแบบกที่มีการสื่อสารและให้ข้อมูลสินค้าลงบนกล่องกระดาษหรือกล่องผลิตภัณฑ์ 2.6.3.5 สร้างอัตลักษณ์ให้กับสินค้า ท้าให้เป็นที่สนใจและจดจ้าได้ง่าย การเลือกใช้บรรจุ ภัณฑ์ที่ออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความสวยงาม และเหมาะสมสัมพันธ์กับตัวสินค้า มีผลต่อ การตัดสินใจซื้อในทันทีโดยที่ลูกค้าไม่ได้มุ่งหวังในการซื้อสินค้ามาก่อน


25 2.6.3.6 ความสวยงามและคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้า ท้าให้ ก้าหนดราคาขายได้ง่ายขึ้น 2.6.4 ประเภทของบรรจุภัณฑ์ที่นิยมใช้ในธุรกิจ SME 2.6.4.1 ถุงกระดาษ เป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีหลายรูปแบบและหลายขนาด ใช้บรรจุสินค้าได้ หลายประเภท เช่น ถุงกาแฟ ถุงเสื้อผ้า ถุงเครื่องส้าอาง ถุงใส่เครื่องประดับชิ้นเล็กๆ 2.6.4.2 กล่องกระดาษลูกฟูก เป็นกล่องที่มีน้้าหนักเบาส่วนใหญ่จะท้าหน้าที่ในการขนส่ง แต่เราก็สามารถออกแบบกล่องเพื่อน้าไปใส่สินค้าเพื่อขายปลีกได้ 2.6.4.3 ถังกระดาษ โดยจะใช้ส้าหรับการขนส่งเป็นหลัก และสินค้าที่นิยมบรรจุคือ สารเคมี เม็ดพลาสติก 2.6.4.4 ซองกระดาษหรับการบรรจุสินค้าที่มีขนาดเล็กถึงปานกลาง โดยการเลือกใช้ ขนาดและชนิดของซองกระดาษจะขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า 2.6.4.5 กระป๋องกระดาษ เป็นบรรจุภัณฑ์รูปทรงกระบอก นิยมใช้บรรจุอาหารประเภท ขนมขบเคี้ยว การแข่งขันด้านการตลาดของธุรกิจ SME มีความรุนแรงไม่แตกต่างจากธุรกิจขนาดใหญ่ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ การออกแบบกล่องกระดาษ และกล่องบรรจุภัณฑ์ อื่นๆโดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างมลภาวะและสามารถย่อยสลายได้เองตาม ธรรมชาติ คือจุดขายที่สามารถใช้สู้กับคู่แข่งขันด้านการตลาดได้ 2.7 ทฤษฎีกลไกราคา 2.7.1 กลไกราคา หมายถึง ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิดจาก แรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อผู้ผลิตพยายามปรับปรุงการผลิตและบริการให้สอดคล้องกับ ความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้น จะเห็นได้ว่าราคาสินค้าและบริการเป็นตัวแปรส้าคัญในการก้าหนด อุปสงค์และอุปทาน ตลอดจนเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนราคาให้เข้าสู่จุดดุลยภาพ เช่น เมื่อราคา สินค้าและบริการเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปแล้วความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ก็จะลดลงแต่อุปทานของสินค้า และบริการจะเพิ่มขึ้น เป็นต้น กลไกราคาจะพบได้ในทุกตลาด ยกเว้นตลาดแบบผูกขาด เพราะกลไกราคาจะเกิดได้เฉพาะตลาด ที่มีการด้าเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะของตลาดเสรีหรือประเทศที่ใช้ระบบ เศรษฐกิจแบบ


26 ทุนนิยมหรือเสรีนิยม หรือระบบเศรษฐกิจแบบผสมเท่านั้น โดยระบบเศรษฐกิจเหล่านี้จะมีกลไกราคา เป็นตัวก้าหนดว่าจะผลิตสินค้าปริมาณเท่าใดและราคาเท่าใด การก้าหนดราคาสินค้าและบริการในทางเศรษฐกิจ ก้าหนดไว้ 2 วิธีคือ ก ให้กลไกราคาเป็นเครื่องมือในการก้าหนดราคาสินค้าและบริการ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไป ตามแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน ข รัฐบาลก้าหนดราคาสินค้าและบริการด้วยการควบคุมและแทรกแซงราคาสินค้าและ บริการด้วยวิธีก้าหนดราคา เมื่อสินค้าที่จ้าเป็นขาดตลาด เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค การประกันราคาขั้น ต่้าเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิต การพยุงราคาสินค้าไม่ให้ตกต่้ามากเกินไป เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตหรือผู้ขายไม่ให้ ขาดทุน 2.7.2 อุปสงค์(Demand) หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่ง ของผู้บริโภคที่เต็มใจ จะซื้อและซื้อหามาได้ ณ ระดับราคาต่างๆ ที่ตลาดก้าหนดให้กล่าวคือ เมื่อ ผู้บริโภคมีความต้องการที่จะซื้อสินค้าและบริการนั้นแล้ว ก็จะสามารถมีก้าลังซื้อสินค้านั้นได้ แต่ถ้า ผู้บริโภคไม่สามารถที่จะซื้อหรือไม่มีก้าลังซื้อ ก็จะไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ตามความหมายในทาง เศรษฐศาสตร์ 2.7.2.1 กฎของอุปสงค์(Law of Demand) หมายถึง ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้า และบริการในราคาต่้า (ราคาถูก) ในปริมาณมากกว่าซื้อสินค้าในราคาสูง (ราคาแพง) 2.7.2.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ การที่ผู้บริโภคจะท้าการซื้อสินค้าชนิด ใดชนิดหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่งเป็นจ้านวนเท่าใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ ก ราคาสินค้าและบริการ (ตามกฎของอุปสงค์) ข รายได้ของผู้บริโภค ฃ รสนิยมของผู้บริโภค ค สมัยนิยม ฅ การโฆษณาและเทคนิคการตลาด ง ราคาสินค้าหรือบริการอื่นๆ ที่ต้องใช้ร่วมกันหรือแทนกันได้ จ การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาของผู้บริโภค ฉ การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาของผู้บริโภค ช พฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น ฤดูกาล การศึกษา


27 ซ ภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นๆ 2.7.3 อุปทาน (Supply) หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ขายหรือผู้ผลิตยินดีขายหรือผลิต ให้แก่ผู้ซื้อ ณ ระดับราคาต่างๆ ตามที่ตลาดก้าหนดให้ กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพิ่ม สูงขึ้น ผู้ผลิตก็ยินดีที่จะเสนอขายมากขึ้น แต่ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นลดลงปริมาณของอุปทานก็จะลดลง ตามไปด้วย 2.7.3.1 กฎของอุปทาน (Law of Supply) หมายถึง ผู้ผลิตมีความต้องการเสนอขาย สินค้าและบริการในราคาสินค้าและบริการที่สูง (ราคาแพง) ในปริมาณมากกว่าราคาสินค้าและบริการ ที่ต่้า (ราคาถูก) 2.7.3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปทาน การที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าเพื่อสนอง ความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ซื้อมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังนี้ ก ราคาสินค้าและบริการในขณะนั้นๆ (กฎของอุปทาน) ข ต้นทุนการผลิตที่เปลี่ยนแปลง (วัตถุดิบ) ฃ เทคโนโลยีการผลิตที่น้ามาใช้ ค ฤดูกาล ฅ สภาวะของตลาดและภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น ฆ การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาสินค้าและบริการของผู้ผลิต (การเกิดก้าไร) ง จ้านวนผู้ผลิตที่เป็นคู่แข่ง (ราคาสินค้าและบริการชนิดเดียวกันที่มีการแข่งขัน กัน) 2.7.4 ดุลยภาพ (Equilibrium) กลไกราคาท้างานโดยได้รับอิทธิพลจากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ว่า ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ถ้าปริมาณความต้องการหรือปริมาณอุปสงค์ต่อสินค้าใน ตลาดมีมากเกินกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตจะยินดีขายให้ ราคาสินค้าก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการขาดแคลนของสินค้า แต่ถ้าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตประสงค์จะขายให้ผู้บริโภค หรือ ปริมาณอุปทานของสินค้ามีมากกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคประสงค์จะซื้อ ราคาสินค้านั้นก็จะมี แนวโน้มลดต่้าลง เมื่อปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานเท่ากัน ราคาสินค้าจึงจะอยู่นิ่ง หรือที่เรียกว่า มีเสถียรภาพ ไม่ปรับขึ้นลงอีก ยกเว้นว่า จะมีปัจจัยอื่นๆ ที่ท้าให้ตลาดต้องเปลี่ยนแปลงไปสรุปการ ท้างานของกลไกราคาจะท้าให้การจัดสรรทรัพยากรสามารถด้าเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ รัฐบาลไม่จ้าเป็นต้องเป็นผู้ตัดสินใจแทนผู้อื่น เพราะการแข่งขันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย จะท้าให้สินค้า


28 มีราคาที่สะท้อนความขาดแคลนของสินค้าหรือทรัพยากรนั้นๆ ผู้ซื้อย่อมทราบดีถึงความต้องการที่ แท้จริงของตน เช่นเดียวกับผู้ผลิตก็ย่อมทราบดีกว่าผู้อื่นว่า ต้นทุนการผลิตของตนเองเป็นอย่างไร และสมควรตอบสนองความต้องการสินค้าในท้องตลาดอย่างไร 2.8 แนวความคิดของหลักการบัญชีต้นทุน 2.8.1 ความหมายและความส้าคัญของต้นทุน การอยู่รอดของธุรกิจก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการด้าเนินงานของธุรกิจและมอบ ความมี ประสิทธิภาพนั้นให้แก่ลูกค้าในลักษณะของสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพภายใต้ราคาสินค้า หรืออัตรา ค่าบริการที่เหมาะสม สิ่งนี้เป็นปัญหาใหญ่เกิดจากโครงสร้างต้นทุนที่เป็นอยู่ของกิจการ ถึงแม้ว่าจะ เป็นสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพแต่ก็มักจะมีราคาที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ด้วยเหตุผลของการมี ต้นทุนการ ผลิตที่สูงไปด้วย สิ่งนี้เป็นการขาดประสิทธิภาพในการด้าเนินงาน ฉะนั้นธุรกิจจะต้อง ค้านึงถึงด้านการ บริหารงานภายใต้การวิเคราะห์ต้นทุนการผลิต เพื่อความได้เปรียบคู่แข่งขันทาง การค้าได้ การวางแผนและการควบคุมทางด้านการบัญชีนั้น สิ่งส้าคัญคือการบัญชีการเงิน แต่ถ้า มองในภาพรวมอีกมุมหนึ่งจะต้องค้านึงถึงการบัญชีต้นทุน เพราะเป็นส่วนประกอบของการบัญชี การเงินซึ่งอยู่ภายใต้งบก้าไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ โดยเป็นตัวค้านวณหาก้าไรจากการด้าเนินงาน ดังนั้น การบัญชีต้นทุนถือเป็นการบัญชีที่ส้าคัญอย่างหนึ่งที่ผู้บริหารจะต้องให้ความส้าคัญ เพื่อใช้ข้อมูลใน การวางแผนการบริหารงานภายในองค์กร สภาวิชาชีพบัญชีในพระราชูปถัมภ์ ได้ให้ความหมายของ “การบัญชีต้นทุน” ไว้ดังนี้ (สภาวิชาชีพบัญชีในพระราชูปถัมภ์. 2557) ต้นทุน หมายถึง จ้านวนเงินสด หรือรายการเทียบเท่าเงินสด หรือมูลค่ายุติธรรมของ สิ่ง ตอบแทนอื่นที่กิจการจ่ายให้เพื่อให้ได้มาซึ้งสินทรัพย์ ณ เวลาที่ได้สินทรัพย์นั้นมา หรือ ณ เวลาที่ ก่อสร้างสินทรัพย์นั้นๆ ต้นทุน หมายถึง มูลค่าของทรัพยากรที่กิจการต้องสูญเสียไปเพื่อให้ได้สินค้าหรือ บริการ โดยมูลค่าของทรัพยากรนั้นจะต้องสามารถวัดได้เป็นหน่วยเงินตรา ซึ่งเป็นลักษณะของ “ค่าใช้จ่าย” (Expenses) โดยมีค้านิยามดังนี้ เป็นลักษณะของการลดลงของสินทรัพย์หรือเพิ่มขึ้นของ หนี้สิน


29 การบัญชี สภาวิชาชีพบัญชีได้ให้ค้านิยามของค้าว่า การบัญชี หมายถึง ศิลปะของ การ เก็บรวบรวม บันทึก จ้าแนก และท้าสรุปข้อมูลอันเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในรูปตัวเงิน ผลงาน ขั้นสุดท้ายของการบัญชี คือ การให้ข้อมูลทางการเงินซึ่งเป็นประโยชน์แก่บุคคลหลายฝ่ายและ ผู้ที่ สนใจในกิจกรรมงบการเงิน จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุป การบัญชีต้นทุน หมายถึง การจัดท้า ข้อมูลเกี่ยวกับทางด้านการผลิต เพื่อใช้ในการค้านวณการจัดท้างบการเงิน และการวางแผนการ บริหารงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพภายในหน่วยงาน 2.8.2 วัตถุประสงค์ของการบัญชีต้นทุน ในการตัดสินใจและประเมินผลงานของบุคคลที่เกี่ยวกับ กิจการไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็น บุคคลภายนอก เช่น เจ้าของ เจ้าหนี้ ผู้ลงทุน หรือเป็นบุคคลภายใน เช่น ฝ่ายบริหารกิจการเป็นต้น ย่อมจะใช้ข้อมูลต้นทุนของกิจการเป็นเครื่องช่วยในการตัดสินใจ และ ประเมินผลงานเสมอซึ่งระบบ บัญชีต้นทุนจะให้ข้อมูลดังกล่าว บุคคลภายนอกจะใช้งบการเงินของ กิจการเป็นเครื่องมือช่วยในการ ตัดสินใจลงทุนหรือให้กู้ยืม หรือใช้งบการเงินในการประเมินผลงาน ของผู้บริหารกิจการการบัญชี ต้นทุนจะให้ข้อมูลด้านต้นทุนสินค้าที่ผลิตที่ใช้ในการจัดท้างบการเงิน ฝ่ายบริหารของกิจการย่อม ต้องการใช้ข้อมูลต้นทุนในการตัดสินใจวางแผนควบคุม และประเมินผล งานของฝ่ายต่างๆ ดังนั้นการ บัญชีต้นทุนมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 2.8.2.1 สะสมข้อมูลที่จ้าเป็นเพื่อท้างบการเงินคืองบก้าไรขาดทุน และงบดุล โดยจะ ค้านวณต้นทุนสินค้าที่ขายและช่วยตีราคาสินค้าคงเหลือ 2.8.2.2 ให้ข้อมูลที่จ้าเป็นในการควบคุมแก่ฝ่ายบริหารระดับต่างๆ 2.8.2.3 ให้ข้อมูลที่จ้าเป็นต่อการตัดสินใจและวางแผน 2.8.3 กระบวนการของการบัญชีต้นทุน ข้อมูลที่ส้าคัญต่อการวางแผนและการบริหารงาน ภายในหน่วยงาน มิใช่แต่เพียงด้านบุคคล แต่สิ่ง ส้าคัญก็คือด้านผลการด้าเนินงาน โดยมุ่งเน้นเรื่องการ บัญชีต้นทุน ซึ่งสามารถสรุปถึงกระบวนการของการ บัญชีต้นทุน ดังต่อไปนี้(สุโขทัยธรรมาธิราช. 2551) 2.8.3.1 การวางแผน (planning) การก้าหนดสิ่งที่จะท้าในอนาคตรวมถึงวิธีการในการ ท้างานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ก้าหนดไว้ สิ่งนี้จะเรียกว่าแผนงานเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้า ว่าจะ ปฏิบัติงานอย่างไร และสิ่งที่ส้าคัญ ก็คือแผนงานที่ดีจะต้องสอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายของ กิจการ การท้างานอย่างมีแผนงาน โดยชัดเจน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของพนักงานระดับ


30 ปฏิบัติในการท้างานอย่างถูก ทิศทาง และยังสามารถจะควบคุมการด้าเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย ขององค์กร ในกรณีที่มี ปัญหาก็สามารถจะแก้ปัญหาได้ถูกจุด และปรับแผนงานให้เหมาะสมกับ สถานการณ์ได้ โดยมีความจ้า เป็นมากต่อการบริหารงานภายในองค์กร เพื่อเป็นตัวชี้วัดต่อการ ประเมินผลการปฏิบัติงานว่ามีการ ปฏิบัติตามที่ก้าหนดไว้หรือไม่ 2.8.3.2 การจัดโครงสร้างและต้าแหน่งงาน (Organizing and Staffing) การจัด โครงสร้างภายในองค์กรโดยก้าหนดบุคคลให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงานนั้น เป็นสิ่งส้าคัญอย่างมาก โดยการระบุความรับผิดชอบอย่างชัดเจน และการจัดโครงสร้างหรือต้าแหน่ง งานจะต้องสอดคล้องกับ แผนงานที่วางไว้ โดยก้าหนดให้เป็นไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จะต้องมีความยืดหยุ่นและ ปรับได้ตามแผนงานและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป 2.8.3.3 การอ้านวย (Directing) กระบวนการบริหารงานประจ้าวันให้เป็นไปตาม แผนงานที่วางไว้ในขั้นตอนนี้การ อ้านวยการที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบที่ส้าคัญ คือ การมีภาวะผู้น้า การลงมือปฏิบัติงานอย่างเหมาะสม ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ มีการท้าความเข้าใจและสื่อสารในการ ท้างาน รวมถึงมีการตัดสินใจที่ดีเมื่อถึง เวลาที่จะต้องท้าการตัดสินใจ ปัญหาและข้อขัดแย้งต่างๆ ที่ เกิดขึ้นจะต้องมีการแก้ไขให้หมดไปและ ทันเหตุการณ์ เพื่อให้เกิดการประสานการท้างานที่ดีในสาย งานนขององค์กร ขั้นตอนการอ้านวยการมี ความส้าคัญมาก เพราะช่วยหน่วยปฏิบัติให้ด้าเนินงาน เป็นไปตามนโยบายและแผนได้ ระบบข้อมูล ต่างๆ ที่ฝ่ายจัดการต้องการมากจากรายงานของสายงาน ต่างๆ ในขั้นตอนนี้ 2.8.3.4 การควบคุม (Controlling) การควบคุมในการบริหารจัดการภายในองค์กรตามที่ ก้าหนดหรือวางแผนไว้ จะถูกน้ามาใช้ในขั้นตอนนี้ กล่าวว่า ผลงานที่เกิดขึ้นจริงไม่ว่าจะแตกต่างจาก แผนในทางที่พอใจ หรือไม่พอใจ จะถูกหยิบยกมาพิจารณาหาสาเหตุเพื่อหาทางแก้ไข ตัวอย่างเช่น ข้อมูลยอดขายที่ กิจการท้าได้ในปีนี้สูงกว่าเป้าหมายหรือแผนมาก อาจจะเป็นสาเหตุมาจากการจัดท้า แผนการขายต่้า เกินไป เป็นต้น การควบคุมผลการด้าเนินงานนั้นจะเกิดขึ้นจากการประเมินผลการ ปฏิบัติงานเสียก่อน เพื่อน้าผลมาเปรียบเทียบกับการปฏิบัติงานแล้วมีการปฏิบัติตามขั้นตอนนี้ ถ้า องค์กรมีการควบคุม เกี่ยวกับการบริหารจัดการภายในองค์ก็ท้าให้องค์กรนั้นสามารถด้าเนินงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ จากการที่กล่าวมาทั้ง 4 ข้อ เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการด้าเนินงานการบริหารงานด้านการ ผลิตสินค้าให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และสามารถบรรลุตามเป้าหมายได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ส้าคัญต่อ


31 การผลิตสินค้าก็คือ ส่วนประกอบของต้นทุนการผลิตที่จะต้องน้ามาค้านวณต้นทุนนั้นจะต้องมี กระบวนการตามที่กล่าวมาเพื่อการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.8.4 ส่วนประกอบต้นทุนการผลิต (Manufacturing Cost) ส่วนประกอบของต้นทุนที่ใช้ในการ ผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด ในธุรกิจอุตสาหกรรม การผลิตนั้น ประกอบด้วย วัตถุดิบทางตรง ค่าแรงงานทางตรง และค่าใช้จ่ายในการผลิต โดยอธิบาย ได้ดังต่อไปนี้ 2.8.4.1 วัตถุดิบ (Material) การผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ส้าเร็จรูปโดยทั่วไป วัตถุดิบ นับว่าเป็นส่วนประกอบ ส้าคัญของการผลิตสินค้า โดยต้นทุนเกี่ยวกับการใช้วัตถุดิบในการผลิตสินค้า ในธุรกิจอุตสาหกรรมนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ก วัตถุดิบทางตรง (Direct material) หมายถึง วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิต สินค้า และสามารถระบุต้นทุนได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับการผลิตสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งในปริมาณเท่าใด ซึ่งจัดเป็นวัตถุดิบส่วนใหญ่ที่ใช้ในการผลิตสินค้าชนิดนั้น ๆ เช่น ผลิตเฟอร์นิเจอร์ วัตถุดิบทางตรงคือ ไม้แปรรูป ผลิตถังน้้าพลาสติก วัตถุดิบ ทางตรง ได้แก่ เม็ดพลาสติก เป็นต้น ข วัตถุดิบทางอ้อม (Indirect material) หมายถึง วัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับการ ผลิตสินค้า แต่ไม่ใช่วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิต เป็นส่วนประกอบที่ท้าให้สินค้านั้นสามารถผลิตเสร็จ เช่น ผลิตเฟอร์นิเจอร์ วัตถุดิบทางอ้อม ได้แก่ กาว ตะปู และกระดาษทราย เป็นต้น 2.8.4.2 ค่าแรงงาน (Labor) ผลตอบแทนที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างที่ท้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการ ผลิตสินค้า ซึ่งสามารถ แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ก ค่าแรงงานทางตรง (Direct labor) หมายถึง ต้นทุนของแรงงานที่ เกี่ยวข้อง หรือใช้เป็นส่วนส้าคัญในการผลิตสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น ค่าจ้างของคนงานในแผนก ประกอบ ค่าจ้างของคนงานในแผนกปฏิบัติการเครื่องจักร เป็นต้น ข ค่าแรงงานทางอ้อม (Indirect labor) หมายถึง ค่าแรงงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับ การผลิตสินค้า แต่เป็นส่วนที่ท้าหนึ่งที่ท้าให้การผลิตสินค้าส้าเร็จได้ เช่น เงินเดือนผู้ควบคุมงาน พนักงานตรวจสอบคุณภาพ เป็นต้น ฃ ค่าใช้จ่ายการผลิต (Factory Overhead) คือ ต้นทุนการผลิตอื่นๆ ที่ นอกเหนือจาก วัตถุดิบทางตรงและค่าแรงงานทางตรง เช่น วัตถุดิบทางอ้อม ค่าแรงงานทางอ้อมค่า น้้า ค่าไฟ ค่า เสื่อมราคา ค่าเช่า ค่าภาษี ค่าเบี้ยประกัน เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามจะต้องเป็นค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนที่ เกิดขึ้นในโรงงานและต้องเกี่ยวข้องกับการผลิตทั้งสิ้น


32 2.8.5 การบันทึกต้นทุนการผลิต การบันทึกต้นทุนการผลิตของผลิตภัณฑ์จะแยกบันทึกบัญชีออกตามลักษณะ ต่างๆ ของ ต้นทุนคือ วัตถุทางตรง แรงงานทางตรง และโสหุ้ยการผลิต ถ้าหากในการผลิตนั้น จ้าเป็นต้องใช้ วัตถุดิบหลายชนิดก็จะแยกบัญชีวัตถุออกตามชนิดต่างๆหรือแรงงานทางตรง หากมีการ ผลิตในหลาย แผนก หลายหน่วยงาน ก็จะบันทึกแรงงานทางตรงของแต่ละหน่วยงานอกจากกัน โสหุ้ย การผลิตมี ค่าแรงงานทางอ้อม ค่าเช่า ค่าประกันภัย ค่าบ้ารุงรักษา ค่าเสื่อมราคา ค่าภาษีทรัพย์สิน ค่า วัสดุต่างๆ เพราะฉะนั้นจึงจ้าเป็นต้องใช้บัญชีคุมส้าหรับรายการต่างๆนี้ บัญชีคุมที่ใช้อยู่เป็นประจ้าส้าหรับการ บันทึกต้นทุน คือ 2.8.5.1 บัญชีวัตถุ ส้าหรับบันทึกรับเข้าและเบิกวัตถุไปใช้โดยมีบัญชีแยกประเภทย่อย ส้าหรับ ต้นทุนการผลิต วัตถุดิบทางตรง ค่าแรงงานทางตรง ค่าใช้จ่ายในการผลิต ต้นทุนขั้นต้น ต้นทุน แปรสภาพวัตถุแต่ละชนิด 2.8.5.2 บัญชีค่าแรงงาน ใช้บันทึกค่าแรงงานของคนงานแต่ละคนท้างานให้กับกิจการใน วัน หนึ่งๆ โดยค้านวณค่าแรงงานจากบัตรลงเวลา และจะเครดิตออกเมื่อโอนต้นทุนไปเข้าบัญชีงาน ระหว่างท้า 2.8.5.3 บัญชีโสหุ้ยการผลิต ส้าหรับบันทึกค่าใช้จ่ายต่างๆที่ใช้ในการผลิต ปกติเมื่อเกิด รายจ่าย ขึ้นจะบันทึกไว้มนบัญชีค่าใช้จ่ายประเภทนั้นๆ แล้วโอนมาเข้าบัญชีโสหุ้ยการผลิตภายหลัง 2.8.5.4 บัญชีงานระหว่างท้า ใช้เป็นที่รวบรวมต้นทุนของผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ก้าลังผลิต เพรา ฉะนั้นบัญชีนี้จะรับโอนต้นทุนมาจากบัญชีวัตถุ บัญชีแรงงานและบัญชีโสหุ้ยการผลิต 2.8.5.5 บัญชีสินค้าส้าเร็จรูป เป็นบัญชีที่รวบรวมต้นทุนของสินค้าต่างๆ ที่ผลิตเสร็จแล้ว และยัง ไม่ได้จ้าหน่ายไป บัญชีนี้รับโอนต้นทุนมาจากบัญชีงานระหว่างท้าและจะเครดิตออกเมื่อได้จ่าย สินค้าออกไป 2.8.6 การจัดประเภทของต้นทุนเพื่อการวางแผน ควบคุม และตัดสินใจ ต้นทุนที่ผู้บริหารใช้ใน การก้าหนดต้นทุนผลิตภัณฑ์และบริการ อาจจะจ้าแนกแตกต่างกันไป เพื่อใช้ในการควบคุมการ ด้าเนินงาน ตัดสินใจ และวางแผนในอนาคต ต้นทุนที่ใช้ในการควบคุมและ ตามวัตถุประสงค์อื่นๆ จ้าแนกออกได้ดังนี้


33 2.8.6.1 ต้นทุนผันแปรและต้นทุนคงที่ (Variable and Fixed Cost) ก ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คือ ต้นทุนที่จะมีต้นทุนรวมเปลี่ยนแปลงตาม สัดส่วนของการเปลี่ยนแปลงในระดับกิจกรรมหรือปริมาณการผลิตในขณะที่ต้นทุนต่อหน่วยจะคงที่ เท่ากันทุกๆ หน่วย โดยทั่วไปแล้วต้นทุนผันแปรสามารถที่จะควบคุมได้โดยแผนกหรือหน่วยงานที่ท้า ให้เกิดต้นทุนผันแปร เช่น ถ้ากิจการใช้วัตถุดิบทางตรงในการผลิตหน่วยละ 100 บาท ซึ่งถือเป็นต้นทุน ผันแปร ดังนั้นถ้ากิจการผลิตสินค้า 1 หน่วย จะมีต้นทุน 100 บาท ถ้าผลิต 2 หน่วย จะมีต้นทุนทั้งสิ้น 200 บาท และถ้าผลิต 5 หน่วย จะมีต้นทุนผันแปรทั้งสิ้น 500 บาท ส่วนต้นทุนผันแปรต่อหน่วย คือ หน่วยละ 100 บาท ซึ่งคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังแสดงลักษณะต้นทุนผันแปรรวม ในการบริหารนั้นต้นทุนผันแปรจะเข้ามามีบทบาทมากต่อการตัดสินใจของ ฝ่ายบริหาร เช่น การก้าหนดราคาสินค้าของกิจการจะต้องก้าหนดให้ครอบคลุมทั้งส่วนที่เป็นต้นทุนผัน แปรและต้นทุน คงที่ทั้งหมด แต่ในกรณีที่กิจการจะท้าการผลิตและจ้าหน่ายสินค้าในส่วนที่นอกจาก ก้าลังการผลิตปกติ การตัดสินใจก้าหนดราคาสินค้าในใบสั่งซื้อพิเศษนี้ไม่ควรต่้ากว่าต้นทุนผันแปรต่อ หน่วย ข ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) คือ ต้นทุนที่มีพฤติกรรมคงที่หมายถึงต้นทุนรวมที่ จะ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามระดับการผลิตระดับหนึ่งแต่ต้นทุนต่อหน่วยจะเปลี่ยนแปลงในทางลดลง ตาม ปริมาณการผลิตที่มากขึ้น นอกจากนี้ต้นทุนคงที่ยังแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) ต้นทุนคงที่ระยะยาว เป็นต้นทุนคงที่ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในระยะ สั้น เช่น สัญญาเช่าระยะยาว ค่าเสื่อมราคา เป็นต้น 2) ต้นทุนคงที่ระยะสั้น จัดเป็นต้นทุนที่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวจากการประชุม หรือตัดสินใจของผู้บริหาร เช่น ค่าโฆษณา ค่าใช้จ่ายในการค้นคว้าและวิจัย เป็นต้น และส้าหรับใน ทางการบริหารต้นทุนคงที่ส่วนใหญ่มักจะควบคุมได้ด้วยผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น เช่น กิจการแห่งหนึ่ง มีต้นทุนคงที่เท่ากับ 20,000 บาทต่อปี ต้นทุนคงที่ต่อหน่วยเมื่อกิจการผลิต 1,000 หน่วย เท่ากับ 20 บาท หรือถ้ากิจการผลิต 4,000 หน่วย ต้นทุนคงที่ต่อหน่วยจะเท่ากับ 5 บาท แต่ต้นทุนรวมเท่ากับ 20,000 บาท ดังนั้นลักษณะของพฤติกรรมต้นทุนคงที่คือ ต้นทุนรวมจะคงที่ ณ ระดับการผลิตหนึ่ง 400 300 200 100 1 2 3 4 ปริมาณ ต้นทุนผันแปรรวม 500 ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย 5 จ้านวนเงิน 16 ส่วนต้นทุนคงที่ต่อหน่วยลดลง เมื่อปริมาณการผลิตมากขึ้นและต้นทุนคงที่ต่อหน่วยจะเพิ่มขึ้น เมื่อ ปริมาณการผลิตลดลง


34 2.8.6.2 ต้นทุนทางตรงและต้นทุนทางอ้อม(Direct and Indirect cost) ก ต้นทุนทางตรง (Direct Cost) คือ ต้นทุนที่ฝ่ายบริหารสามารถที่จะระบุได้ว่า ต้นทุนใดเป็นหน่วยสามารถค้านวณได้แน่นอนว่าเกิดขึ้นเท่าใด เช่น วัตถุดิบทางตรง และค่าแรง ทางตรง ที่ใช้ในการผลิตงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ข ต้นทุนทางอ้อม (Indirect cost) คือ ต้นทุนที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถระบุได้ว่า เกิดจากหน่วยต้นทุนใด โดยปกติแล้วต้นทุนทางอ้อมที่จะถูกจักสรรให้แก่หน่วยต้นทุนต่างๆ ด้วย เทคนิควิธีในการจัดสรรต้นทุน (Allocation Techniques) ซึ่งโดยทั่วไปต้นทุนเกี่ยวกับการผลิตนั้น ต้นทุนทางอ้อม หมายถึง ค่าใช้จ่ายการผลิต การแบ่งต้นทุนในลักษณะต้นทุนทางตรงและต้นทุน ทางอ้อม มีความส้าคัญต่อการค้านวณต้นทุนของสินค้า หรืองานแต่ละงาน 2.8.6.3 ต้นทุนที่ควบคุมได้และต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้ (Controllable and Uncontrollable Cost) การแบ่งต้นทุนในลักษณะนี้เพื่อวัดความสามารถหรือประเมินผลของฝ่าย บริหาร และเพื่อ ประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกแนวทางปฏิบัติต่างๆ และการควบคุมของฝ่ายบริหาร จ้านวนเงิน 20,000 10,000 1,000 2,000 3,000 4,000 5,000 ต้นทุนคงที่/หน่วย 20 บาท ต้นทุน คงที่รวม ต้นทุนคงที่/หน่วย 5 บาท ปริมาณ ก ต้นทุนที่ควบคุมได้ (Controllable Cost) คือ ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่สามรถ ระบุ ได้ หรือก้าหนดได้ว่าหน่วยงานใดหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง หรือมีอ้านาจ หน้าที่ หรือมีความสามารถที่จะท้าให้ต้นทุนจ้านวนนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากการตัดสินใจของตน อาจ สรุปได้ ว่าต้นทุนที่ควบคุมได้ในหน่วยงานหรือผู้บริหารคนใดคนหนึ่งอาจจะเป็นต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้ ในอีก หน่วยงานหรือผู้บริหารอีกคนหนึ่งก็ได้ เช่น วัตถุดิบ ค่าแรงงาน เป็นต้น ข ต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrollable Cost) คือ ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่ อยู่ ภายใต้อ้านาจหน้าที่ที่หน่วยงานหรือผู้บริหารในระดับนั้นๆ จะควบคุมได้ นั้นคือไม่สามารถที่จะ ก้าหนดต้นทุนประเภทนี้ให้เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ โดยปกติต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้ของผู้บริหารระดับล่าง มักจะเกิดจากการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง เช่น ดอกเบี้ยจ่ายค่าเสื่อมราคาโรงงาน ซึ่งเกิดจาก การตัดสินใจของฝ่ายบริหารระดับสูงเกี่ยวกับการกู้ยืมและการจัดซื้อโรงงาน 2.8.6.4 ต้นทุนที่แตกต่าง (Differential Cost) ต้นทุนส่วนที่แตกต่าง คือ ต้นทุนที่เกิด การเปลี่ยนแปลงไปจากการตัดสินใจเลือก กระท้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงในทาง เพิ่มขึ้นหรือลดลง (Incremental Cost Decremental Cost) โดยปกติต้นทุนประเภทนี้จะต่อเมื่อมี


35 การเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบัติแบบเดิมมา เป็นวิธีการปฏิบัติแบบใหม่ เช่น ถ้าผู้บริหารก้าลังท้าการตัก สินใจว่าควรที่จะซื้อเครื่องจักรรุ่นใหม่เข้า มาท้าการผลิตแทนเครื่องจักรเก่าที่มีอยู่หรือไม่ ทั้งนี้ เครื่องจักรใหม่อาจจะต้องลงทุนสูง แต่สามารถที่ จะประหยัดต้นทุนผันแปรต่อหน่วยลงไปได้ซึ่ง ผู้บริหารจะต้องท้าการตัดสินใจโดยพิจารณาจาก ต้นทุน ส่วนที่แตกต่างรวมสุทธิ 2.8.6.5 ต้นทุนเสียโอกาส (Opportunity Cost) ต้นทุนเสียโอกาส คือ ผลประโยชน์หรือ ผลตอบแทนที่กิจการได้รับจากการตัดสินใจ เลือกทางใดทางหนึ่ง เช่น ถ้ากิจกรรมมีเงินจ้านวนหนึ่ง และสามารถน้าไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยปีละ 20,000 บาท แต่ถ้ากิจการต้องการน้าเงินที่มีไปลงทุน ท้าธุรกิจจะถือว่าการที่กิจการเลือกลงทุนท้า ธุรกิจ จึงท้าให้สูญเสียดอกเบี้ยที่จะได้รับ 20,000 บาท โดยปกติต้นทุนเสียโอกาสจะไม่มีการบันทึกใน บัญชีของกิจการ เพราะไม่ได้เป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแต่ เป็นต้นทุนที่ใช้เพื่อการตัดสินใจ 2.8.6.6 ต้นทุนจม (Sunk Costs) ต้นทุนจม คือ ต้นทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (Unavoidable Cost) หรือไม่สามารถที่จะท้า การเปลี่ยนแปลงได้ไม่ว่าผู้บริหารจะตัดสินใจอย่างไร ดังนั้นต้นทุนจม จึงเป็นต้นทุนที่เกิดจากการ ตัดสินใจในอดีตซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อการต่อการตัดสินใจในปัจจุบัน เช่น ค่าเช่าที่เป็นสัญญาเช่า ระยะยาว ค่าเสื่อราคาทรัพย์สินประจ้า เป็นต้น ถึงแม้ว่าต้นทุนจมจะไม่มีผลต่อ การตัดสินใจในปัจจุบัน แต่ผู้บริหารควรจะท้าการตัดสินใจเลือกทางที่สามารถใช้ประโยชน์จากต้นทุน จมให้ได้มากที่สุดเท่าที่ จะเป็นไปได้ 2.8.7 การควบคุมและลดต้นทุน ล้าไย มากเจริญ (2551) ได้กล่าวเกี่ยวกับการควบคุมและการ ลดต้นทุน ฝ่ายบริหารต้องการ ควบคุมต้นทุน กล่าวคือต้องการพิจารณาให้แน่ว่าต้นทุนที่เกิดขึ้นมีไม่ มากเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับ วัตถุประสงค์และแผนงาน ในบางครั้งการควบคุมต้นทุนอาจใช้ข้อมูลที่ ได้จากการค้านวณก้าไรและ แสดงฐานะการเงิน แต่อย่างไรก็ตามเราจะต้องไม่ถือว่าการบัญชีต้นทุน เกี่ยวข้องกับการควบคุมต้นทุน เพราะเป็นผลสืบเนื่องมาจากผลของวัตถุประสงค์ในการค้านวณก้าไร และแสดงฐานะการเงิน แต่ ตรงกันข้ามการควบคุมต้นทุนเป็นวัตถุประสงค์หนึ่งต่างหากของการบัญชี ต้นทุน และการควบคุม อาจจะกระท้าได้โดยการใช้เทคนิคและวิธีการต่างๆที่ไม่เกี่ยวกับการวัดก้าไร เลย การควบคุมหรือลดต้นทุนต้องใช้ระบบการบัญชีต้นทุนที่ค่อนข้างละเอียด โดยต้องรู้ว่า ต้นทุน เกิดขึ้นเมื่อใด ที่ไหน (เช่น งวดต้นทุน แผนก และศูนย์ต้นทุนที่ต้นทุนเกิดขึ้น) และลักษณะของ ต้นทุน และที่ส้าคัญเท่าๆกันก็คือ ต้องรู้จ้านวนต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง และจ้านวนต้นทุนที่เหมาะสมที่ควร


36 เกิดขึ้น (จ้านวนตามงบประมาณหรือมาตรฐาน)ถ้าไม่มีข้อมูลทั้งหมดดังกล่าวก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าระบบ บัญชี ต้นทุนให้ผลดีต่อการควบคุมต้นทุน การก้าหนดมาตรฐานเป็นส่วนส้าคัญส่วนหนึ่งของระบบบัญชีต้นทุน การใช้มาตรฐานช่วย ให้ ฝ่ายบริหารมุ่งความสนใจมายังจุดที่มีความยุ่งยาก (กรณีต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่ามาตรฐานมาก) และด้าเนินการแก้ไขอย่างหนึ่งอย่างใดเท่าที่จ้าเป็น ซึ่งเป็นการใช้หลักการบริหารโดยข้อยกเว้น การควบคุมหมายถึงการด้าเนินงานตามแผนของฝ่ายบริหารที่วางไว้ ซึ่งแสดงออกเป็น นโยบายหรือวิธีการเป็นลายลักษณ์อักษรหรือโดยวาจา สิ่งของที่ไม่มีชีวิตจิตใจ เช่น เหล็กกล้า น้้ามันหล่อลื่น เครื่องจักร และผลิตภัณฑ์ส้าเร็จรูปเป็นต้น ไม่ได้เป็นผู้ท้าหน้าที่ควบคุมพนักงานเก็บ รักษาวัตถุ คนงานที่ท้างานอยู่กับเครื่องจักร ผู้ประกอบชิ้นส่วนต่างๆเข้าด้วยกัน แต่เป็นหัวหน้าคนงาน ผู้ควบคุมตรวจตราโรงงาน ผู้จัดการเกี่ยวกับวัตถุ และฝ่ายบริหารซึ่งเป็นฝ่ายปฏิบัติการเป็นผู้ท้าหน้าที่ ควบคุมการกระท้าขิงบุคคลเหล่านี้ เป็นผู้ประเมินว่าวัตถุประสงค์ของฝ่ายบริหารสูงสุดสามารถท้าได้ หรือไม่ ถ้าต้องวัดคุณค่าของผลงานก็จะต้องวัดผลการกระท้าของแต่ละคนเพื่อให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์นี้ระบบบัญชีจึงต้องวางรูปเพื่อสะสมข้อมูล และสามารถรายงานผลงานของผู้บริหารแต่ ละคนได้ การใช้บัญชีต้นทุนส้าหรับวัตถุประสงค์ในการควบคุม เนื่องจากตามปกติมักจะมีต้นทุน เกิดขึ้น จ้านวนมากหากไม่มีการควบคุม มีเหตุ 2 ประการที่ท้าให้ต้นทุนสูงขึ้นถ้าไม่มีการควบคุมเหตุ ประการ แรกคือ จะมีกรละเลยเรื่องการสิ้นเปลืองในตัวเอง เช่น ท่อน้้าที่รั่วอาจผ่านสายตาไปหากไม่ เอาบิลค่า น้้าไปเปรียบเทียบกับจ้านวนที่งบประมาณไว้ การประหยัดต้นทุนแบบนี้ไม่ถึงกับจ้าเป็นต้อง ติดตั้งระบบการควบคุมต้นทุน ทั้งนี้เพราะน้้าที่รั่วขังอยู่จะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าน้้ารั่วก่อนที่ระบบบัญชี จะ ชี้ให้เห็น อย่างไรก็ตามนี่เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งของการมีระบบบัญชีต้นทุน เหตุประการที่สองคือ คนงานมักท้างานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เว้นแต่จะมีกรควบคุม ผลงาน ของเขา หรือมีสิ่งจูงใจอย่างสูงที่จะท้า เช่น คนขับรถมักปฏิบัติตามกฎจราจรมากขึ้น หากเขา เห็น ต้ารวจอยู่แถวๆนั้น นักศึกษาขยันขึ้นหากเขารู้ว่าต้องสอบไล่เพื่อเก็บคะแนน และคนงานขยันขึ้น เมื่อ มีผู้ควบคุมงานเฝ้าดูอยู่ การควบคุมต้นทุนอาจท้าได้โดยวิธีตรวจตราและโดยวิธีจูงใจหรือทั้งสอง อย่าง วิธีที่น่าจะได้ผลดีได้แก่การใช้การควบคุมร่วมไปกับวิธีจูงใจต่างๆ จะเห็นได้ว่าการใช้ระบบให้ บ้าเหน็จ รางวัล และการท้าโทษต่างๆต้องใช้ความช้านาญในการบริหารและดุลยพินิจเข้าช่วย


37 แม้มีข้อจ้ากัดต่างๆทั้งที่ได้กล่าวมาแล้วการควบคุมต้นทุนเป็นหน้าที่ที่ส้าคัญของระบบ บัญชี ต้นทุน ข้อเท็จจริงที่ว่า การควบคุมต้นทุนนอกจากจะอาศัยระบบบัญชีต้นทุนแล้ว ยังต้องอาศัย ดุลย พินิจทางด้านบริหารด้วย ระบบบัญชีต้นทุนสามารถช่วยฝ่ายบริหารได้ แต่ไม่อาจเข้าแทนที่การ ใช้ดุลยพินิจได้ 2.8.8 สรุปสาระส้าคัญเกี่ยวกับการบัญชีต้นทุน ต้นทุนของสินค้าจะเป็นตัวก้าหนดาคาสินค้าของ กิจการหากกิจการมีการควบคุมต้นทุนและ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะท้าให้ต้นทุนของ สินค้าและต้นทุนในการด้าเนินงานของ กิจการอยู่ในระดับต่้าท้าให้เกิดผลก้าไรมากขึ้น การจ้าแนกประเภทของต้นทุน สามารถจ้าแนกได้หลายแบบขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์กับการ น้าไปใช้ เช่น การจ้าแนกประเภทต้นทุนโดยทั่วไป การจ้าแนกต้นทุนส้าหรับการจัดท้ารายการทางการ เงิน การจ้าแนกประเภทต้นทุนเพื่อการวางแผน ควบคุม และตัดสินใจ ซึ่งจ้าแนกออกได้เป็น ต้นทุน ผันแปร และต้นทุนคงที่ ต้นทุนทางตะรางและต้นทุนทางอ้อม ต้นทุนที่ควบคุมได้และต้นทุนที่ควบคุม ไม่ได้ ต้นทุนส่วนที่แตกต่าง ต้นทุนเสียโอกาส และต้นทุนจม 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นิภาพร กุลณา (2564) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ธัญพืชอัดแท่งที่มีใยอาหารสูงจากข้าวกล้องสิน เหล็ก ผลการทดสอบพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่ พัฒนาได้มีคะแนนความชอบเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสูตร ต้นแบบ ในทุกคุณลักษณะ ได้แก่ สี กลิ่น เนื้อสัมผัส (ความกรอบ) รสชาติ และความชอบโดยรวมอยู่ ในระดับชอบปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 7.42 และ ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาได้และเมื่อพิจารณาจากการ ทดสอบความพอดี พบว่าผู้ทดสอบให้เกณฑ์การปรับปรุง ปัจจัยคุณภาพทุกคุณลักษณะอยู่ในระดับ พอดี ดังนั้นผลิตภัณฑ์นี้ไม่ต้องท้าการปรับปรุง สอดคล้องกับ วิวัฒน์ หวังเจริญ (Wangcharoen, 2013) ที่ระบุเกณฑ์การปรับปรุงปัจจัยคุณภาพด้วยวิธี JAR ไว้ดังนี้ โดย เกณฑ์ที่จะยอมรับว่า ผลิตภัณฑ์นั้นปัจจัยที่เกี่ยวข้องจะต้องอยู่ในระดับพอดี ซึ่งควรมีค่าประมาณร้อยละ 70 จึงถือว่า ผลิตภัณฑ์นั้นมีความพอดี ไม่ต้องท้าการปรับปรุง ฐิติกร พรประเทศ (2564) คุกกี้ธัญพืชพืชไร้แป้งเสริมสารให้ความหวานจากอินนูลิน ผลการทดสอบพบว่า การศึกษาสูตรและกระบวนการท้าผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืชไร้แป้งเสริมสารให้ความ หวานจากอินนูลิน จากการผลิตคุกกี้ธัญพืชไร้แป้งเสริมสารให้ความหวานจากอินนูลิน พบว่าในการ ทดลองคุกกี้ธัญพืชไร้แป้งเสริมสารให้ความหวานจากอินนูลินสามารถน้าสูตรทั้งสองมาปรับเพื่อให้ได้ ความต้องการของเนื้อสัมผัส (ความกรอบ ความนิ่ม) สี กลิ่น รสชาติ และความพึงพอใจของผู้บริโภค


38 ศึกษาผลการทดสอบคุณภาพทางประสาทสัมผัสในผลิตภัณฑ์ของคุกกี้ธัญพืชไร้แป้งเสริมสารให้ความ หวานจากอินนูลิน ผลิตภัณฑ์ของคุกกี้ธัญพืชไร้แป้งเสริมสารให้ความหวานจากอินนูลินใช้เวลาอบ ระบบพัดลม 10-13 นาที เพื่อที่จะท้าให้เนื้อสัมผัส กรอบ นิ่ม และผิวเนื้อสัมผัสของผู้ใช้ความร้อน ระดับ 150 องศาเซลเซียส จึงจะเหมาะสม ศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภค ความพึงพอใจ ความ เหมาะสมผลิตภัณฑ์ของคุกกี้ธัญพืชไร้แป้งเสริมสารให้ความหวานจากอินนูลิน มีค่าเฉลี่ย 4.3 สีสันและ ลักษณะของคุกกี้มีค่าเฉลี่ย 3.9 ขนาดของคุกกี้มีค่าเฉลี่ย 4.4 ความชอบโดยรวมของคุกกี้มีค่าเฉลี่ย 4.2 อยู่ในระดับดีตามล้าดับจากผู้ตอบแบบสอบ 30 คน การประเมินผลอยู่ในระดับดี


Click to View FlipBook Version