อธิบาย üัดเจดียเĀลี่ยม (üัดกูคํา) เปนĀลักฐานทางÿถาปตยกรรมในÿมัยลานนาที่ไดรับอิทธิพลมาจากýิลปะĀริภุญชัย และพุกามของพมา ซึ่งจะมีตนแบบมาจากเจดียกูกุด üัดจาม เทüี ในÿมัยĀริภุญชัย ซึ่งจะเปนทรงปราÿาทและมีเรือนทาÿอยูในผังÿี่เĀลี่ยม ซอนลดĀลั่นกันขึ้นไปเปนชั้นๆ แตละชั้นมีซุมจารนัมประดิþฐพระพุทธรูปจํานüนĀกÿิบองค ระบุเวลา / อางอิง เริ่มนาทีที่ 8.23 -9.17 10
อธิบาย ศิลปะลานนามีรูปแบบสถาปตยกรรมที่สําคัญคือ เจดียทรงปราสาทยอด ตัวอยางคือ วัดปาสัก ซึ่งไดรับอิทธิพลมา จากสถาปตยกรรมที่เรียกวาเจติยะวิหารในศิลปะพุกามของพมา มีสวนประกอบไดแก สวนฐานที่เปนฐานเขียง รองรับฐานบัวลูกแกวอกใหญ สวนกลางเปนเรือนทาสอยูในผังสี่เหลี่ยม ประดับซุมจรนัมที่เรียกวา ซุมฝกเพกา ภายในมีพระพุทธรูปทั้งสี่ดาน สวนยอดประกอบดวยเจดียทรงระฆัง ไมมีบัลลังกที่มุมของสวนยอดประดับเจดีย จําลอง เรียกวาสถูปกะทั้งสี่มุม ระบุเวลา / อางอิง นาทีที่ 9.18 11
อธิบาย ศิลปะลานนาจะมีฐานสูงมาก ประกอบดวย ฐานเขียงรองรับฐานบัวลูกแกวอกไกยกเก็จและยังมีสวนรองรับฐานบัว ระฆังที่มีสวนรองรับฐานบัวลูกแกวอกไก สองเสน องคระฆังจะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับสวนฐาน เหนือระฆังเปน บัลลังกที่อาจอยูในผังสี่เหลี่ยมยอมุม ถัดขึ้นไปมีกานฉัตร บัวฝาละมีปลองไฉน และปลียอด ซึ่งเจดียของลานนา นิยมประดับดวยแผนทองจังโก แผนทองสําริดบุรอบเจดียและประดับฉัตรเหนือองคเจดีย ระบุเวลา / อางอิง นาทีที่ 11.16 12
อธิบาย วิหารหลังนี้จัดเปนอาคารรูปแบบพิเศษ เพราะมีอยูเพียงแหงเดียวและเปนการไปจําลองมาจากเจดียตนแบบ โดย ยอสวนใหเล็กลง กอดวยศิลาแลงทรงสี่เหลี่ยมผืนผา ชั้นหลังคามีเจดียทรงสิขระหาองคผนังดานนอกวิหาร ประดับดวยลวดลายปูนปน เปนรูปเทวดามีทั้งทานั่ง ทายืน โดยหันหนาไปทางดานทายวิหาร เทวดาปูนปนเหลานี้ นาจะไดรับแรงจูงใจจากศิลปะลังกา รวมทั้งจีน เชนลายดอกบังตั๋น ระบุเวลา / อางอิง นาทีที่ 12.24 13
อธิบาย วิหารลานนาทั่วไปเปนที่ประดิษฐานพระพุทธรูป มีทั้งที่เปนวิหารโถง และวิหารทึบ วิหารอาจเปนเครื่อไมหรือกอ อิฐฉาบปูน หลังคาซอนชั้น ประดับเครื่องปนดินเผา ดานหนามีหลังคาซอนสามชั้น ดานหลังมีซอนสองชั้น ภายในวิหารประดิษฐานกู หรืออาคารทรงปราสาทที่ ประดิษฐานพระพุทธรูป ระบุเวลา / อางอิง นาทีที่ 14.06 14
อธิบาย จิตรกรรมฝาผนัง หากเขียนภาพดวยสีฝุนเรียกวานํ้าแตม ถาประดับดวยลวดลายฉลุ ปดทองคําเปลว เรียกวา ลาย คํา ระบุเวลา / อางอิง นาทีที่ 14.54 15
อธิบาย พระพุทธรูปในศิลปะลานนามีความสําคัญคือ เปนพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร บนฐาน กลีบบัว พระวรกายอวบอวย พระพักตรกลม พระหนุเปนปม ขมวดพระเกศาใหญ มีอุษณีษ และพระรัศมีเปนตอมก ลม ครองจีวรหมเฉียงเรียบไมมีริ้ว ระบุเวลา / อางอิง นาทีที่ 15.19 16
อธิบาย ศิลปะอยุธยา มีรูปแบบเจดียที่ชัดเจนคือ เจดียทรงปรางคที่พัฒนามาจากรูปแบบ มาจากปราสาทหินในวัฒนธรรม เขมรแตมีสัดสวนที่เพรียวกวาใชวัสดุการกอสรางที่ไมใชหินทราย แตเปนการกออิฐฉาบปูน และนิยมประดับ ลวดลายปูนปนที่สวนตางๆ เชนกรวยเชิง เฟองอุบะ พระปรางคสมัยนี้เปนสถาปตกรรมในศาสนาพุทธแบบเถรวาท เพื่อเก็บพระบรมสารีริกธาตุ องคประกอบหลักของพระปรางคที่นิยมใชฐานบัวรูปฟก สวนกลางคือ เรือนทาส มุข สวนยอดเหนือเรือนทาสมีลักษณะ เปนทรงพุมประกอบดวยชั้นซอนของกลับขนุน พระปรางคในสมัยอยุธยาตอน ตนมีขนาดใหญ และเปนประธานของวัด ระบุเวลา / อางอิง นาทีที่ 17.10 17
อธิบาย ตอมานิยมสรางเจดียืทรงระฆังเปนประธานของวัด เรียงกันสามองคจะมีระเบียบใกลกับเจดียสุโขทัย คือเปนเจดีย ทรงระฆังในผังกลม แตแตกตางที่สวนรองรับองคระฆังของอยุธยา ซึ่งมีลักษระคลายลูกแกวขนาดใหญ สามวง โอบลอมองคเจดียเรียกสวนนี้วามาลัยเถา ซึ่งเปนเอกลักษณเฉพาะของอยุธยา นอกจากนี้ที่กั้นฉัตรหรือแกน ปลองไฉน ยังมีเสาหานเพื่อชวยรับนํ้าหนักสวนยอดทรงกราย ระบุเวลา / อางอิง นาทีที่ 20.02 18
อธิบาย เจดียเพิ่มมุมหรือเจดียยอมุม ซึ่งนิยมสรางในชวงอยุธยาตอนกลางถึงตอนปลาย ในตอนปลายเกิดความนิยมสราง เจดียอีกรูปแบบหนึ่ง คือ เจดียทรงเครื่อง เปนเจดียที่มีวิวัฒนาการมาจากเจดียเพิ่มมุม มีองคประกอบที่เปน เอกลักษณเฉพาะ ไดแก สวนชุดฐานสิงหบัวทรงคลุม องคระฆัง บัวทรงคลุมเถา และปลี ระบุเวลา / อางอิง 20.48 19
อธิบาย พระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนตน มีทั้งเปนงานปูนปนขนาดใหญ พุทธรูปหินทราย พระพทธรูปสําริด และพระ พุทธรูปอูทองที่แบงเปนสามรุน ระบุเวลา / อางอิง 21.58 20
อธิบาย พระพุทธรูปแบบอูทองรุนที่สอง ปรากฎอิทธิพลสุโขทัยเพิ่มขึ้นบางสวน เชนพระรัศมีเปลวเหนือพระเศียร ชาย สังฆะติยาวจรดพระนาภีปลายแยกเปนเขี้ยวตะขาบ แตยังคงลักษณะพระพุทธรูปเหมือนรุนที่หนึ่ง เชนที่พระนลา ฎมีไรพระศก ขมวดพระเกศาเล็ก เปนตน ระบุเวลา / อางอิง 22.49 21
อธิบาย พระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนกลางพบวา นิยมสรางทั้ง ทายืน และทานั่ง นิยมทําปรางประทานอภัยดวยพระหัตถ ขวา และทั้งสองพระหัตถเชน พระพุทธรูปทรงเครื่องนอย อยุธยาตอนปลายนิยมพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ ไดแก มงกุฎทรงสูง กรองศอ สังวารที่ไขวกันกลางพระอุระ พาหุรัด ทองพระกร ทองพระบาท ระบุเวลา / อางอิง 24.45 22
อธิบาย จิตรกรรมในอยุธยาตอนตน พบหลักฐานตามผนังคูหาปรางคหรือผนังกรุปราง สวนตอนปลายจะพบที่ผนัง อุโบสถหรือมหาวิหาร นิยมเขียนเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา โดยระบายดวยสีฝุนและตัดเสน นิยมปด ทองคําเปลวที่ภาพบุคคลหรือสิ่งของสําคัญ มีเสนสินเทาใชแบงตอนตางๆ ของเรื่อง ระบุเวลา / อางอิง 25.36 23
อธิบาย การบูรณะปฎิสังขรในสมัยรัตนโกสินทรเพื่อที่จะรักษาและใหรูปแบบของสมัยอยุธยาไว ดังเชนการสราง พระราชวังที่มีการแบงเขตพระราชฐานสวนตางๆ พระราชวังในระยะแรกเปนอาคารแบบพระราชประเพณีกออิฐ ฉาบปูน เปนโถงชั้นเดียว ยกพื้นสูง หลังคามุงกระเบื้องเคลือบหลายสีตกแตงกรอบหนาบรรณดวยเครื่องลํายอง ไดแก ชอฟา ใบระกา นาคสะดุง และ หางหงสบางแหงมีลักษนะเฉพาะที่เนียกวานาคเบือน ระบุเวลา / อางอิง 26.56 24
อธิบาย อิทธิพลตะวันตกเริ่มเขามามีอิทธิพล โดยใชวัสดุที่นําเขาจากประเทศมาใชเปนรูปแบบการสราง พระราชวัง ระบุเวลา / อางอิง 28.58 25
อธิบาย ศิลปะจีนเริ่มเขามีอิทธิพลอยางมาในรัชกาลตอๆมา เชน หนาบรรณวิหารที่มีหนากออิฐฉาบปูนไมประดับเครื่อง ลํายอง แตประดับลวดลายปูนปน และกระเบื้องเคลือบ ลวดลายมงคลแบบจีน ระบุเวลา / อางอิง 29.48 26
อธิบาย ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เปลี่ยนมานิยมภาพเครื่องตั้งบูชา และเครื่องเรือนอยางจีน รวมทั้งภาพสิ่งของที่เปนมงคล เมื่ออิทธิพลทั้งตะวันตกและจีนเขามาทําใหภาพจิตรกรรมของไทยเปลี่ยนแปลง โดยอาศัยการเลาเรื่อง ภาพ ตาม แบบตะวันตก ทําใหเกิดภาพที่มีแสงเงา มีระยะใกลไกล บุคคลที่แตงกายเหมือนชาวตะวันตก ระบุเวลา / อางอิง 30.39 27
อธิบาย เจดียทรงปรางคหรือพระปรางคโดยพระปรางคที่ยังคงทําหนาที่เปนประธานของวัดในสมัยรัตนโกสินทรคือ พระ ปรางคในวัดอรุณาชวนาราม ที่มีปรางคบริวารและมณฑปลอมรอบ โดยไดสืบเนื่องมาจากอยุธยาตอนปลายโดย ใชชุดฐานสิงหซอนชั้นประดับดวยพลแบก ไดแก ยักษและกระบี่ ประดับดวยกระเบื้องเคลือบหลายสี ซึ่งทําใหวัดนี้มีขนาดสูงใหญที่สุดในไทย เรื่อนทาสสถานปฎิมากรรมพระอินทรทรงชางเอราวรรณ และมียอด ปรางจําลองประดับเหนือจรนัมทั้งสี่ทิศ โดยมีชั้นเทวดาแบกรองรับเรือนทาส สวนยอดปรางประดับดวยกลีบขนุนที่ แนบชิดติดกัน ระบุเวลา / อางอิง นาทีที่ 31.32 28
อธิบาย เจดียทรงเครื่อง ตัวอยางคือ สุวรรณเจดียรัชกาลที่หนึ่ง ที่สรางขึ้นเพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลใหพระปฐมพะบรม ราชนก และพระบรมราชชนนีมีองคประกอบเชนเดียวกับในสมัยอยุธยาตอนปลาย และมีปฎิมากรรมพลแบกสวน ฐาน นอกจากนี้ยังมีเจดียที่ประดับดวยกระเบื้องเคลือบสีมากมายที่สรางขึ้นในรัชกาลที่สาม เจดียทรงระฆัง มีความเชื่อในรัชกาลที่สี่วาเปนรูปแบบบที่เปนของแทดั้งเดิม ใกลเคียงกับสถูปเมื่อแรกรับพุทธ ศาสนา โดยในรัชกาลที่สี่เจดียทรงระฆังจะเปนประธานของวัดและยังคงยึดตามแบบของสมัยอยุธยานั้นคือ การมี มาลัยเถารองรับงคระฆังและมีเสาหานลอมรอบกานฉัตร ระบุเวลา / อางอิง นาทีที่ 33.00 29
อธิบาย พระพุทธรูปในสมัยรัตนโกสินทรที่สําคัญไดแก พระพุทธรูปทรงเครื่องตน อยางพระมหาจักรพรรดิเปนพระพุทธ รูปประทับยืน แสดงปางประทานอภัยสองพระหัตถหรือที่เรียกวาปางหามสมุทร สวนใหญเปนพระพุทธรุปหลอ ดวยสําริด แลวหุมดวยทองคําลงยา ทรงเครื่องประดับนพรัตนพระพุทธรูปกลุมนี้จะสรางขึ้นตามพระราชดําริเพื่อ ทรงบําเพ็บพระราชกุศลในพระองคใหกับบูรพกษัตริยและพระบรมศานานุวงศซึ่งจะเรียกวาพระพุทธรูป ฉลองพระองคพระพุทธรูปในสมัยนี้จะมีความสมจริงมากขึ้นในรัชกาลที่สี่ มีความคลายมนุษยซึ่งรูปที่ สี่และหา เปนตัวแทนของพระพุทธรูปที่ไมมีอุจณีษะ หรือเกศมาลา ทั้งสององคมีนามวา พระนิรันตราย และพระ สัมพุทธพรรณี ระบุเวลา / อางอิง นาทีที่ 34.27 30
ใบงานที่ 5.1 ประติมากรรมในýาÿนา พุทธ - พระพุทธรูป BUDD HA IMAGE
คําตอบ 1.พระอุþณีþเตี้ย 2.ขมüดพระเกýาใĀญ 3.พระพักตรกลมแปน 4.พระĀัตถแÿดงธรรม 5.ประทับนั่งĀอยพระบาท 6.พระเกตุมาลาเปนตอมกลม 7.พระขนงตอกันเปนรูปปกกา 8.พระนาÿิกแบน 9.พระโอþฐแบะขอบพระโอþฐĀนา
10. มงกุฏทรงกรüย 11. เทริดĀรือกระบังĀนา 12. นาคปรก 13. กุณฑล 14. กรองýอ 15. ขัดÿมาธิราบ 16. ขนดนาค 3 ชั้น 17. พระขนงตอกันเปนรูปปกกา 18. พระเนตรเปดกüาง 19. พระพักตÿี่เĀลี่ยม 20. พระโอþฐแบะ 21. พระĀัตถทั้งÿองüางĀงาย
22. พระพักตรรูปไข 23. พระอังÿาใĀญ 24. นิ้üพระĀัตถเรียüยาü 25. พระเกตุมาลาเปนเปลüรัýมี 26. ขมüดพระเกýาเปนเม็ดเล็ก 27. พระขนงโกง 28. พระนาÿิกงุม 29. พระüรกายอüบอüน
30. พระเกตุมาลาเปนเปลüรัýมี 31. ขมüดพระเกýาเล็ก 32. พระพักตรอยางĀุน (ดูเยาüüัย) 33. นิ้üพระĀัตถเรียüยาüเÿมอกัน 34. พระขนงโกง 35. พระเนตรเรียü 36. พระโอþฐเล็กปลายตüัดขึ้นเล็กนอย 37. ÿังฆาฏิเปนแผนใĀญยาüลงมาจรดพระนาภีอยูกึ่งกลางพระüร กาย 38. ขัดÿมาธิราบ
39. มีไรพระýก 40. พระพักตรÿี่เĀลี่ยม 41. ฐานĀนักกระดานเกลี้ยง 42. ÿังฆาฏิเปนแผนใĀญยาüลงมาจรดพระนาภีปลายตัดตรง 43. ขมüดพระเกýาเปนเม็ดเล็ก 44. พระเกตุมาลาเปนรูปดอกบัüตูม
45. ปฐมเทýนา (ธรรมจักรมุทรา) 46. ประทานพร (üรมุทรา) 47. ประทานอภัย (อภัยมุทรา) 48. แÿดงธรรม (üิตรรกมุทรา) 49. ขัดÿมาธิเพชร (üัชราÿนะĀรือüัชรปรยังคะ) 50. มารüิชัย (ผจญมารĀรือภูมิÿปรýมุทรา)
51. ปางนาคปรก 52. ปางมารüิชัย 53. ปางถüายเนตร 54. ปางÿมาธิ 55. ปางเปดโลก 56. ปางลีลา 57. ปางแÿดงธรรม 58.ปางปาเลไลยก 59. ปางปฐมเทýนา 60. ปางไÿยาÿน 51. ปางใดที่เกี่ยüกับ “พระยานาคมุจลินท” 52. ปางใดที่เกี่ยüกับ “พระแมธรณีบีบมüยผม” 53. ปางใดที่เกี่ยüกับ “อนิมิÿ เจดีย” 54. ปางใดที่เกี่ยüกับ “การบําเพ็ญธยานะ” 55. ปางใดที่เกี่ยüกับ “เĀตุการณเมื่อพระพุทธองคกําลัง (ดําเนิน) เÿด็จลงจาก ÿüรรคชั้นดาüดึงÿ” 56. ปางใดที่เกี่ยüกับ “เĀตุการณภายĀลังที่พระพุทธองคเÿด็จลงจากÿüรรคชั้น ดาüดึงÿ 57. ปางใดที่เกี่ยüกับ “การแÿดงüิตรรกมุทรา” 58. ปางใดที่เกี่ยüกับ “คชและüานร” 59. ปางใดที่เกี่ยüกับ “การประทานธัมมจักรกัปปüัตนÿูตร” 60. ปางใดที่เกี่ยüกับ “การบรรทมÿีĀไÿยา”
ÿมาชิกกลุม คณะครุýาÿตร ÿาขาภาþาอังกฤþ ชั้นปที่ 3 Āมูเรียนที่ 1 นางÿาüณัฐธิดา ปญญาพüน รĀัÿนักýึกþา 63115242102 นางÿาüปณัดดา เรือริรักþ รĀัÿนักýึกþา 63115242111 นายจักรภัทร ภูอาü รĀัÿนักýึกþา 63115242112 นางÿาüüรรณüิÿา ชัชüาลยปรีชา รĀัÿนักýึกþา 63115242113 นางÿาüชญาดา บุดดี รĀัÿนักýึกþา 63115242119
รูปเคารพในศาสนาพุทธมหายาน - พระโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระพิมพ์แสดงอัษฎามหาโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ มาจากคำ ว่า " โพธิ " หมายถึง ความรู้แจ้งเห็น จริงในทุกสิ่งและ " สัตว์ " หมายถึง แก่น สาระ และปัจจัย ตามคติพระพุทธศาสนา ฝ่ายมหายาน พระโพธิสัตว์มีหน้าที่ ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์และบรรลุนิพาน
อวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์ในคติความเชื่อของพระพุทธศาสนาฝ่าย มหายานนั้นมีมากมายเปรียบเสมือนเม็ดทรายในมหา คงคานทีโดยพระโพธิสัตว์ที่มีการนับถืออย่างแพร่หลาย มีนามว่า "อวโลกิเตศวร"
อวโลกิเตศวร ตามรูปศัพท์แปลว่า "ผู้มองลงเบื้องล่างด้วย ความเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่" คุณสมบัติคือ "มหากรุณา" ด้วยทรงปฏิเสธนิพพานเพื่อประสงค์จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ ทั้งหมดให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ถือกำ เนิดจากธยานิพุทธอมิ ตาภะ มีหน้าที่ปกป้องดูแลสัตว์โลกในยุคปัจจุบัน หรือ "ภัทรกัลป์" กล่าวคือ ในช่วงที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (โคตมพุทธเจ้า) เสด็จปรินิพพาน จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้า องค์ใหม่ (พระศรีอาริยะเมตไตรย) มาตรัสรู้จึงจะหมด หน้าที่
พระพิมพ์แสดงอัษฎามหาโพธิสัตว์ อัษฏโพธิสัตว์ หรือ อัษฏมหาโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่สำ คัญในพุทธ ศาสนานิกายมหายานและวัชรยาน มี 8 พระองค์เป็นผู้แวดล้อมพระพุทธเจ้าทั้งหลายอยู่ทั้งแปดทิศ ใน พจนานุกรม ทิเบต สันสกฤต อังกฤษ ให้ความหมายว่า พระโพธิสัตว์ที่ผู้ แวดล้อมพระพุทธเจ้าพระศากยมุนีพุทธเจ้า 8 พระองค์ (พระโคตมพุทธ เจ้า) และเป็นบุคลาธิษฐาน แสดงถึงพระคุณอันไม่มีประมาณ ของพระพุทธเจ้าในด้านต่างๆ
อัษฏโพธิสัตว์ ยังถูกเรียกอีกนามว่า บุตรผู้ใกล้ชิด (อษฺฏ อุตปุตฺร : aṣṭa utaputra) เปรียบดังบุตรชายที่สนิทกับบิดา คือพระพุทธเจ้า(พุทธบุตร)นั้นเอง คติการนับถือพระอัษฏมหาโพธิสัตว์ในปัจจุบัน ยังปรากฏอยู่ในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา นิกายมหายานและวัชรยาน ในเอเชียตะวันออก มักพบเป็นพุทธศิลป์บนภาพพระบฏ เป็น รูปพระพุทธเจ้าพระองค์ต่างๆ แวดล้อมด้วยอัษฏโพธิสัตว์ ทั้งศิลปะทิเบต จีน เกาหลี ญี่ปุ่น
พระพิมพ์ดินพระอัษฏมหาโพธิสัตว์แวดล้อมพระพุทธเจ้า ช่วงศตวรรษที่ 6 ยุคคุปตะ อินเดีย จาก Met Museum และพระพิมพ์ดินในลักษณะนี้ พบในเขตภาคใต้ ของประเทศไทย เป็นจำ นวนมาก ยังปรากฎในพระเครื่องกรุโนนสูง จ.นครราชสีมา อีกจำ นวนหนึ่ง
อษฺเฏา โพธิสตฺตฺวาะ ฯ ตทฺยถา ไมเตฺรยะ คคนคญฺชะ สมนฺตภทฺระ วชฺรปาณิะ มญฺชุศฺ รีะ สรฺวนิวรณวิษฺกมฺภี กฺษิติครฺภะ ขครฺภศฺเจติ ๚ แปลว่า พระโพธิสัตว์ทั้ง ๘ ได้แก่ : ๑.พระไมเตรยะ บุคลาธิษฐาน มหาไมตรี ๒.พระอวโลกิเตศวร บุคลาธิษฐาน มหากรุณา และ มหาอุปายะ ๓.พระสมันตภัทร บุคลาธิษฐาน มหาจรรยา ๔.พระวัชรปาณี บุคลาธิษฐาน มหาพละ ๕.พระมัญชุศรี บุคลาธิษฐาน มหาปรัชญา ๖.พระสรรวนีวรณวิษกัมภีน บุคลาธิษฐาน มหาคุณ ๗.พระกษิติครรภ์ บุคลาธิษฐาน มหาปรณิธาน ๘.พระขครรภ์ พระอากาศครรภ์ บุคลาธิษฐาน มหาสมาธิ
อ้างอิง https://finearts.go.th/promotion/view/16811-พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรในคาบสมุทรสทิงพระ? fbclid=IwAR3E_oWqdYAqaVqoyJPEA_iwWwudvWp34Vkxfeh07HNd6m4MEJGcrd_NkGw https://blog.thai-sanscript.com/8bodhisattva/ https://blog.thai-sanscript.com/wpcontent/uploads/2021/05/97760820_1581139888715079_465317319489355776_n-684x1024.jpg
สมาชิก นางสาวณัฐธิดา ปัญญาพวน 63115242102 นางสาวปณัดดา เรือริรักษ์ 63115242111 นายจักรภัทร ภูอ่าว 63115242112 นางสาววรรณวิสา ชัชวาลย์ปรีชา 63115242113 นางสาวชญาดา บุดดี 63115242119
Thank You
พระศิวะ พระพิฆเนศ Shiva & Ganesh
พระคเณศ หรือ "พระพิฆเนศ" เป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่คนไทยนับถือบูชาที่สุดองค์หนึ่งตามคติ พราหมณ์-ฮินดู ด้วยความเชื่อว่าพระองค์มีสติปัญญาที่เป็นเลิศ สามารถเอาชนะอุปสรรคได้ทั้งปวง อีก ทั้งได้รับคำ กล่าวว่าทรงเป็นองค์เทพแห่งศิลปวิทยาทุกแขนง ผู้ที่นับถือจึงมักสักการะบูชาพระพิฆเนศ และขอพรในเรื่องเกี่ยวกับความสำ เร็จในหน้าที่การงานไปจนถึงเรื่องเงินทองโชคลาภ พระพิฆเนศ
สำ หรับรูปกายของท่าน หลายๆคนคงจะคุ้นกันดี เพราะท่านจะมีหุ่นคล้ายๆกับพระสังกัจจายย์บ้านเรา คือทรง ตุ้ยนุ้ย อ้วนพุงพลุ้ย และแทนที่จะมีหัวเป็นคน ท่านกลับมีเศียร(หัว)เป็นช้าง มีกร(มือ) ๔บ้าง ๖บ้าง ๘บ้าง สุดแล้วแต่ จะเสด็จมาปางใด ซึ่งในเชิงปรัชญาเขาบอกว่า ร่างกายแต่ละส่วนของท่านล้วนมีความหมายในทางมงคลทั้งสิ้น นั่น คือ พระเศียร ที่เป็นหัวช้าง จะเป็นเศียรที่ใหญ่ จึงหมายถึง สมองที่เต็มไปด้วยปัญญาความรู้ พระกรรณ (หู) ที่กว้าง ใหญ่ หมายถึง การได้รับฟังคำ สวดจากคัมภีร์หรือความรู้อื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งเบื้องต้นของการศึกษาเล่าเรียน หรือพูดง่ายๆ ว่าฟังมาก ก็รู้มาก ส่วน งา ที่มีเพียงข้างเดียวและอีกข้างหักนั้น มีนัยแสดงให้รู้ว่าคนเรามักต้องอยู่ระหว่างความดี- ความชั่วอยู่เสมอ จึงต้องรู้จักแยกแยะ ทำ ความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงความแตกต่างนั้น เช่นเดียวกับ งวงช้างที่อยู่ตรง กลาง ที่ใช้ชั่งน้ำ หนักต่อการกระทำ หรือค้นหาสิ่งที่ดีงามโดยใช้ปัญญาเลือกเฟ้นไม่ว่าจะเป็นความผิด-ความถูก ความดี-ความชั่ว และหนู พาหนะที่ท่านขี่มา หมายถึง ความปรารถนาของมนุษย์
House rules everyone needs to remember and obsrve พระพิฆเนศ มี 32 ปาง/อวตาร เช่น ปางบารา คณปติ ปางศักติ คณปติ ปางทวิมุข คณปติ ปางเหรัมพะ คณปติ ปางตรุณ คณปติ ปางเอกทันตะ คณปติ ปางภักติ คณปติ ปางวีระ คณปติ
พระศิวะทรงเป็นมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล พระองค์จะทรงประทานพรวิเศษให้แก่คนผู้หมั่นกระทำ ความดี และยึดมั่นในศีลธรรมเท่านั้น หากผู้ใดประพฤติเพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์แล้วปรารถนาสิ่งวิเศษใด ๆ ก็ให้พรนั้น พระศิวะจะประทานสิ่งวิเศษให้ในไม่ช้า แต่เมื่อได้พรสมปรารถนาแล้ว วันหน้าหากกระทำ ผิดไป จากความดีงามคนผู้นั้นจะเกิดวิบัติในชีวิต พระศิวะเทพผู้จะกลายเป็นเทพผู้ทำ ลายทันที มีความเชื่อกันว่า พระศิวะนั้นสามารถช่วยปัดเป่ารักษาเยียวยาอากาศเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆได้อย่างมหัศจรรย์นัก หากผู้ใดที่เจ็บ ป่วยหรือต้องการขอพรให้คนในครอบครัวหายเจ็บไข้ได้ป่วย หากบวงสรวงบูชาและขอพรจากพระศิวะ ก็มัก ปรากฏว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นจะถูกปัดเป่าให้หายไปได้โดยสิ้นในเร็ววัน ผู้ที่มีความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นใน ทางใด หากบวงสรวงบูชา ขอพรให้พ้นทุกข์ พระศิวะก็จะประทานพรให้ผู้นั้นได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ได้ เช่นกัน พระศิวะ
รูปลักษณ์ของพระศิวะนั้นมีปรากฏมากมายหลายลักษณะด้วยกัน แต่จุดเด่นที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระศิวะก็คือ รูปพระจันทร์เสี้ยวและดวงตาดวงที่ ๓ บนหน้าผาก สร้อยประคำ ที่เป็นหัวกะโหลกและงูที่คล้องพระสอหรือคอของ พระองค์อยู่นั้น ก็ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระศิวะที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ในรายละเอียดของสีพระวรกายหรือสิ่งของ ที่ทรงถือไว้ในพระหัตถ์ แต่สำ หรับพระศิวะนั้น กล่าวได้ว่ารูปลักษณ์ของพระองค์นั้นค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถสังเกตได้ง่ายไม่สับสนวุ่นวาย เหมือนกับจดจำ รูปลักษณ์ของมหาเทพองค์อื่น ๆ เป็นแน่ พระศิวะนั้นเป็นเทพที่นิยมประพฤติองค์เป็นโยคีหรือผู้ถือศีล ดัง นั้นรูปของพระองค์จึงมักปรากฏเป็นเทพที่ทรงเครื่องแบบที่ค่อนข้างติดดินสักหน่อย เป็นต้นว่า ทรงแต่งองค์คล้าย ๆ พวก โยคะหรือพวกฤาษีสยายผมยาวแล้วม่นมวยผมเป็นชฎาบนศีรษะ ทรงนุ่งห่มด้วยหนังกวางบ้าง หนังเสือบ้าง คัมภีร์โบราณ หลายเล่มนั้น กล่าวถึงสีพระวรกายของพระศิวะแตกต่างกันไป บางคัมภีร์ระบุว่าพระวรกายของพระศิวะนั้นเป็นสีแดงเข้ม ราวกับเปลวไฟหรือโลหิต บางคัมภีร์ว่าพระวรกายขององค์พระศิวะนั้นเป็นสีขาว นวล บริสุทธิ์ ดั่งสีของพระจันทร์ แต่ หลาย ๆ คัมภีร์กล่าวไว้ตรงกันว่า พระศิวะนั้นเป็นเทพที่มีพระเนตร ๓ ดวง คือดวงที่ ๓ นั้นจะปรากฏขึ้นอยู่บนหน้าผาก ขององค์โดยปรากฏเป็นดวงตารูปแนวนอนบ้าง รูปตั้งทรงพุ่มช้างบิณฑ์บ้าง และดวงตาที่ ๓ นี้สามารถมองเห็นอดีตและ อนาคตได้อีกด้วย รูปลักษณ์ของพระศิวะนั้น มีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามแต่ละปาง ลักษณะของพระอิศวร (ศิวะ)
อาวุธในปางต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายหลายสิบปางนั้น มักจะปรากฏพระกรแต่ละข้างของพระ ศิวะนั้นทรงถืออาวุธที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่อาวุธที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์นั้น คือ คทา - ที่ยอดเป็นรูปหัวกะโหลก ชื่อ ชัฏวางค์ตรีศูล - ชื่อ ปีนากคันศร - ชื่อ อชคพนอกจากนั้น อาวุธของพระศิวะที่ปรากฏว่าทรงถืออยู่ในหลาย ๆ ปางหลาย ๆ รูปลักษณ์ก็คือ บัณเฑาะว์ พระสังข์ บ่วงบาศ เปลวเพลิง พระขรรค์ อาวุธของพระอิศวร (ศิวะ)
พาหนะของพระอิศวร (ศิวะ) โคที่มีนามว่า อุศุภราช คือ โคเผือกที่เป็นพาหนะประจำ ขององค์พระศิวะโค อุศุภราช นี้บางครั้งก็มีชื่อเรียก กันไปอีกว่า โคนนทิราช ซึ่งกำ เนิดที่ไม่ธรรมดาคือโคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากพ่อโค แม่โคเหมือนกับโคอื่น ๆ แต่ทว่า กำ เนิดเกิดจากมหาเทพเลยทีเดียวเรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าในการกวนเกษียรสมุทรครั้งยิ่งใหญ่ของทวยเทพทั้งปวงนั้น ก็ได้มีสิ่งวิเศษเกิดขึ้นมากมายหลายสิ่งด้วยกัน และนางโคสุรภีก็เป็นของของวิเศษอีกสิ่งหนึ่งที่ได้จุติขึ้นมาจากการก วนเกษียรสมุทรครั้งนั้น พระกัศยปะนั้นก็มีความต้องการที่จะได้นางโคสุรภีเอาไว้เป็นพาหนะประจำ องค์ แต่ทรงติด อยู่เล็กน้อยที่ว่านางโคสุรภีนั้นเป็นโคเพศเมีย หากนำ มาเป็นพาหนะประจำ องค์นั้น ก็ทรงอยากจะได้โคเพศผู้เสีย มากกว่า ดังนั้นพระกัศยปะจึงได้นิรมิตกายเป็นพ่อโคตัวผู้แล้วก็ไปผสมพันธุ์สมสู่กับนางโคสุรภี จนกระทั่งแม่โคตั้ง ครรภ์และให้กำ เนิดลูกออกมาเป็นโคเพศผู้สีขาวบริสุทธิ์และมีลักษณะดีตั้งตรงตำ ราเป็นพิเศษ พระกัศยปะจึงได้ ประทานนามให้กับโคเผือกที่เป็นโอรสนั้นว่า นนทิหรือนันทิ และได้ถวายให้เป็นพาหนะประจำ องค์คอยติดตามรับใช้ พระศิวะมหาเทพสืบต่อมา