วิจยั ในชัน้ เรียน
ปีการศึกษา 2565
เรอื่ ง การพฒั นาผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
โดยใช้วธิ กี ารเรยี นการสอนแบบเพอ่ื นช่วยเพอ่ื น
ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1/1 เรือ่ งระบบเทคโนโลยี
โดย
นางสาวมทั ชิมา บุญช่วงดี
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
โรงเรยี นวดั พรหมสาคร
อำเภอเมืองสิงห์บรุ ี จงั หวดั สงิ หบ์ ุรี
สำนกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
หน้าอนุมัติ
หน่วยฝกึ ประสบการณโ์ รงเรยี นวัดพรหมสาคร
ตำบล บางพุทรา อำเภอ เมืองสงิ ห์ จังหวัด สิงห์บรุ ี
อนุมัติการทำวจิ ัยในช้นั เรียนเรอ่ื ง การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนโดยใช้วิธกี ารเรียนการสอน
แบบเพ่ือนชว่ ยเพ่อื น
เสนอโดย นางสาวมัทชมิ า บุญชว่ งดี
รหัสวชิ า 62114770118 สาขาวชิ า อตุ สาหกรรมศิลป์
ประกอบการเรยี นวิชา คศ 1100415 ปฏิบัตกิ ารสอนในสถานศึกษา 4
..........................................................ผู้อำนวยการ
(นางสาวกมลทพิ ย์ ใจเทย่ี ง)
30/กนั ยายน/2565
.......................................................ผู้ประสานงาน
(นางสาวมัทชมิ า บญุ ช่วงดี)
30/กันยายน/2565
..............................................................ครูพเ่ี ลีย้ ง
(นายชาญ ทองใบ)
30/กนั ยายน/2565
บทคัดยอ่
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนของนักเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ที่
กำหนด ก้าวทันต่อโลกยุคใหม่ และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมท่ีตนเองอยู่ มีเจตคติที่ดีตอ่
การเรยี นวิชาการออกแบบเทคโนโลยี
เครอื่ งมอื ที่ใชใ้ นการวิจยั ชุดกิจกรรมการเรยี น ได้แก่
1. รูปแบบการเรยี นการสอนแบบเพ่ือนชว่ ยเพื่อน
2. แบบบนั ทกึ คะแนน
3. สมุดแบบฝึกหดั และใบกิจกรรมของนักเรยี น
4. แบบสังเกตพฤติกรรมนกั เรียนและแบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ของ
นกั เรยี น
ผลจากการจัดการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนมาใช้ในการเรียนการสอนวิชา
วิทยาการคำนวณ ผลปรากฎว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 3.63 คะแนน และ
คะแนนเฉลย่ี หลงั เรยี นเทา่ กับ 6.02 คะแนน ซึ่งมคี ะแนนเฉล่ียหลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน เทา่ กบั 2.39
คะแนน และนักเรียนทุกคนมีคะแนนสูงขึ้นกว่าเดิมโดยมีคะแนนความก้าวหน้าเมื่อเทียบระหว่าง
คะแนนก่อนเรยี นกับคะแนนหลงั เรยี นคดิ เปน็ ร้อยละ 65.84 และนักเรยี นมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนใน
รายวชิ าเพ่ิมข้นึ อย่างเห็นได้ชดั และกจิ กรรมกลุ่มของนักเรียนทำใหเ้ กดิ บรรยากาศทด่ี ีและเอ้ือต่อการ
เรียนการสอน ช่วยให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นสนใจ ตั้งใจ และมีความรับผิดชอบต่อการเรียน
มากขนึ้ อกี ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้นกั เรยี นมีความกระตอื รือร้นอย่ตู ลอดเวลา ชว่ ยสร้างความสามัคคีให้
เกิดขึ้นในกลุ่ม รู้จักแก้ปัญหาร่วมกัน ทำงานเป็นทีมระดมความคิดของหลายคน ซึ่งแนวทางนี้
เหมาะสมในการแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี รวมถึงสามารถสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิชา
วิทยาการคำนวณ
*******************************************
กิตติกรรมประกาศ
รายงานการวิจัยฉบับนี้ สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความอนุเคราะห์ และเอาใจใส่อย่างดียิ่งจาก
ผศ.ดร.พิชิต อ้วนไตร , ผศ.ดร.ธาดา คำแดง และ นายชาญ ทองใบ ในการให้คำปรึกษาที่เป็น
ประโยชน์ แนะนำแนวทางในการทำวิจัย ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะทางวิชาการอันทรงคุณค่าเพื่อให้
งานวิจยั มีความสมบรู ณ์
ผวู้ จิ ัยขอขอบพระคุณ ผศ.พชิ ติ อว้ นไตร , ผศ.ดร.ธาดา คำแดง และ นายชาญ ทองใบ
ท่กี รณุ ารับเปน็ ผู้เช่ยี วชาญ ตรวจและให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไขเคร่ืองมือวจิ ยั ท่ใี ชใ้ นการเก็บ
รวบรวมข้อมูล ดว้ ยความเอาใจใสเ่ ป็นอย่างดี
ผู้วิจัยขอขอบคุณ ดร.กมลทิพย์ ใจเที่ยง ที่ให้ความอนุเคราะห์สถานที่เก็บรวบรวมข้อมูล
ขอขอบคุณ นักเรียนโรงเรียนวัดพรหมสาคร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บ
รวบรวมข้อมลู ในการวิจยั ทำให้งานวิจัยมีความสมบูรณย์ ่งิ ข้ึน
คุณค่าและประโยชน์ใด ๆ อันจะเกิดจากงานวิจัยครั้งยี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นเครื่องบชู าพระคุณ
ของบิดา มารดา ครู อาจารย์ทุกทา่ น ท่ีประสิทธปิ ระสาทวชิ าแกผ่ วู้ ิจัย
สารบญั
บทท่ี 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคัญ
จากการที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายใหส้ อนวิชาวิทยาการคำนวณ ซึ่งเป็นวิชาที่ตอ้ งใช้ความคดิ
มากกว่าบรรดาวิชาอื่นที่เรียน ทำให้นักเรียนรู้สึกเบื่อหน่ายได้ง่าย หลังจากการสอนครูได้
ประเมินผล โดยการมอบหมายให้ทำแบบฝึกหัด ใบงาน และแบบทดสอบ พบว่านักเรยี นบางคนไม่
สามารถทำแบบฝึกหัด ทำใบงาน และทำข้อสอบไดผ้ ่านเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งปญั หาดงั กลา่ วนั้น เกิด
จากการที่นักเรียนบางคนเรียนรู้ได้ช้า และมีความสามารถในการเรียนรู้ไม่เท่ากัน ข้าพเจ้าจึงได้หา
วิธีการที่จะจูงใจให้นักเรียนมีความสนใจ และกระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นมาก
ขึน้ กิจกรรมการเรยี นการสอนแบบเพื่อนชว่ ยเพือ่ นนนั้ เปน็ วธิ กี ารทชี่ ่วยสนับสนุนวิธกี ารดังกล่าวได้
ทางหนึ่ง โดยให้เพื่อนได้มีบทบาทสำคัญในการเรียน เพื่อนและกลุ่มมีอิทธิพลในการสร้างความ
สนใจ จูงใจ และการยอมรับของเพื่อนด้วยกัน ซึ่งการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน การทำ
กิจกรรมกลมุ่ การเรยี นเปน็ กลุ่มยอ่ ย หรอื การเรียนร่วมกัน มปี ระโยชน์ ดงั นี้
1. นกั เรียนไดร้ บั ประโยชนจ์ ากเพ่ือนและมีโอกาสไดร้ บั ประสบการณ์ในการแก้ปัญหาหลาย
วิธี
2. นกั เรยี นทเ่ี รยี นเก่งมโี อกาสขยายความรใู้ หเ้ พ่ือนฟงั ได้ และช่วยเหลือเพ่ือนทเี่ รยี นอ่อนได้
3. ทำให้นกั เรียนรู้จกั ทำงานร่วมกบั ผู้อื่น ปรบั ตวั เขา้ กบั สงั คมและรู้สึกชอบโรงเรียนมาก
ยงิ่ ขนึ้
4. นักเรยี นเข้าใจวัฒนธรรมของผู้อ่นื มากย่ิงขน้ึ มคี วามสัมพนั ธก์ นั เป็นอันดี แมจ้ ะมีพืน้ ฐาน
ทแี่ ตกตา่ งกนั ได้ชว่ ยกันแกป้ ัญหาซง่ึ สง่ิ เหล่านีช้ ว่ ยพฒั นาทักษะทางชีวติ ทสี่ ำคัญ
5. ทำให้นักเรียนกล้าพดู กล้าซักถาม และกล้าแสดงความคดิ เหน็ ต่อหน้าเพ่อื นในชน้ั
6. ช่วยครูในการสอนและควบคมุ ชั้นเรยี น
7. ช่วยพฒั นาการเรียนของนกั เรียนให้มรี ปู แบบที่หลากหลายมากขึน้
วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย
เพื่อพัฒนาวิธกี ารเรยี นของนักเรียนให้เอื้อต่อการเรยี นรู้ ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1/1
โดยมเี ป้าหมายให้นักเรยี นทุกคนมผี ลการเรียนผา่ นเกณฑ์ท่ีกำหนด เรือ่ งระบบเทคโนโลยี
สมมติฐานของการวจิ ยั
คำอธิบายจากเพื่อนสามารถทำให้นักเรียนบางส่วนที่ไม่เข้าใจบทเรียนนั้น กลับมาเข้าใจ
บทเรยี นมากขน้ึ และเรียนรไู้ ด้มากขึ้นกวา่ คำอธบิ ายของครู
ขอบเขตของการวิจยั
1. กลุ่มเปา้ หมาย คือ นกั เรียนระดับช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 41 คน
2. ตวั แปรท่ศี กึ ษาได้แก่
2.1 ตวั แปรต้น
การจดั การเรยี นร้โู ดยอาศยั เพอ่ื นนักเรียนด้วยกนั ช่วยกันอธิบาย
2.2 ตวั แปรตาม
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาวิทยาการคำนวณ
3. การวจิ ยั ครั้งน้ีดำเนนิ การในภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565
ประโยชน์คาดวา่ จะได้รับ
นักเรยี นสามารถเขา้ ใจบทเรียนไดด้ ีย่ิงขนึ้ และคนทไ่ี ม่เขา้ ใจมโี อกาสไดร้ ับคำอธิบายท่ี
หลากหลายจากเพ่ือนร่วมห้องของตัวเอง ซงึ่ จะเป็นผลดีตอ่ การเรยี นในคาบเรยี นวิทยาการคำนวณ
เครอื่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจยั
1. รูปแบบการเรยี นการสอนแบบเพอ่ื นช่วยเพื่อน
2. แบบบนั ทกึ คะแนน
3. สมดุ แบบฝึกหัดและใบกจิ กรรมของนักเรียน
4. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมนักเรียนและแบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ของนักเรียน
ระยะเวลาการดำเนินงานวิจัย
เดือนกรกฎาคม – เดือนสิงหาคม ของภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565
นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนของนักเรียนท่ีได้จากการประเมินผลก่อนเรียน
และหลงั เรียน ซงึ่ เคร่อื งมอื เปน็ ขอ้ สอบทค่ี รูสรา้ งข้ึนเองและไดต้ รวจสอบคุณภาพแล้ว
2. ความสนใจ หมายถึง การทีน่ กั เรยี นแสดงออกถึงความรู้สึกชอบ และพอใจในวิธสี อน ท่ีใช้
การสอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบการใช้กระบวนการกลุ่มการพัฒนาการคิด การสอดแทรก
คุณธรรม จริยธรรมในชั้นเรียน และเอาใจใส่ต่อวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม ด้วยการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม
จากการศกึ ษาค้นคว้าจากแหลง่ ขอ้ มูล ตา่ ง ๆ การทำแบบฝึกหดั ด้วยความพอใจ มคี วามกระตอื รอื ร้น
และจดจ่อต่อการเรียนวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม และสนใจซักถามปัญหา ในเรื่องที่ครูสอนเมื่อมีข้อสงสัย
สนทนา โต้แย้งอภิปรายปญั หาในเรื่องท่ีเรยี น ตดิ ตามเอกสาร หนงั สอื พิมพ์ หรอื ตำราเรียนท่ีเกี่ยวข้อง
มสี ว่ นร่วมในกิจกรรมการเรียนด้วยความสมัครใจ ซงึ่ จะวัดได้จากการตอบแบบสอบถามวดั ความสนใจ
ในวธิ สี อนฟิสกิ สเ์ พิ่มเติม ท่ผี วู้ จิ ัยไดป้ รบั ปรงุ ขอ้ คำถามเพ่ือให้สอดคล้องกับวิธกี ารสอนการสอนโดยใช้
กิจกรรมการเรียนแบบการใช้กระบวนการกลุ่มการพฒั นาการคิด การสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม
ในชั้นเรียน แบบสอบถามวัดความสนใจในวิธีสอนของ เรวัตร กีฏ วิทยา และ ปริยฉัตร พรหมศรี ที่
สร้างขึ้นตามหลักการสร้างแบบสอบถาม มาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับของ ลิเคร์ท (Renniss
Likert)
3. เพื่อนช่วยเพื่อน หมายถึง เพื่อนในห้องเรียนเดียวกันช่วยกันอธิบายเนื้อหาที่ครูสอนให้
เพอื่ นร่วมหอ้ งที่ยงั ขาดความเขา้ ใจฟงั โดยครูเป็นผู้ชี้แนะ ใหอ้ ยูใ่ นแนวทางทถ่ี ูกตอ้ ง
4. แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อหรือเอกสารการเรียนประเภทหนึ่ง ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อให้
นักเรียนฝกึ ปฏบิ ตั ิเพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและทักษะเพ่ิมขนึ้ เพอ่ื พัฒนาทักษะในดา้ นหนึ่งๆ ท่ี
ผู้วจิ ัยตอ้ งการศึกษาพฒั นาการให้กบั นักเรยี น และเรยี งลำดับจากง่ายไปหายาก โดยเน้นการฝึกทักษะ
ตามกระบวนการทไี่ ดก้ ำหนดไว้และสามารถนำไปใชไ้ ด้ในชีวิตประจำวนั
กรอบแนวคดิ ในการวิจัย
ตวั แปรตน้
การเรยี นการสอนแบบเพ่ือนช่วยเพื่อน
ตัวแปรตาม
นกั เรยี นมผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นท่ีดีขึน้
และมีค่าผ่านเกณฑ์มาตรฐาน
บทที่ 2
หลักการ แนวคดิ และทฤษฎีทเ่ี กยี่ วข้อง
ในการวิจัยครัง้ น้ี ผวู้ ิจยั ได้ศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ดังต่อไปนี้
1. ความหมายของจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
2. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
3. พฤตกิ รรมทีค่ าดหวงั ทางด้านสตปิ ญั ญา
4. การสอนวชิ าการ
5. การเรียนการสอนแบบเพ่ือนชว่ ยเพอื่ น
6. งานวิจัยที่เกย่ี วข้อง
1. ความหมายของจดุ ประสงค์การเรยี นรู้
จุดประสงค์การเรียนรู้ คือ ข้อความที่ระบุคุณลักษณะการเรียนรู้และความสามารถที่ครู
ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียน หลังจากที่นักเรียนได้ผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนในเรื่อง หรือบท
หนึ่งๆแล้ว
ความสำคญั ของจุดประสงคก์ ารเรยี นการสอน
จุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นจุดหมายปลายทางของการเรียนการสอนที่ได้แนวทางมาจาก
ความคดิ รวบยอดการเรียนการสอน ดังน้นั จุดประสงคก์ ารเรยี นการสอนจึงมีความสำคญั ต่อการจัดการ
เรียนการสอน
ลกั ษณะของจุดประสงค์การเรียนการสอน
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นการสอนแบง่ ได้ 2 ระดบั คือ
1. จดุ ประสงค์ทว่ั ไป เปน็ จุดประสงคท์ ีม่ ีความหมายกวา้ งไม่เฉพาะเจาะจง ได้แก่ จุดประสงค์
การเขียนหลักสูตร จุดประสงค์ของแผนการศึกษาชาติ ซึ่งมีคำที่เรียกแตกต่างกันออกไป เช่น
จุดมุ่งหมาย ความม่งุ หมาย จุดหมาย วตั ถปุ ระสงค์ และผลการเรียนรูท้ ี่คาดหวัง
ตวั อยา่ งจุดประสงคข์ องหลกั สตู ร
1. เพื่อใหม้ นี ิสัยใฝห่ าความรู้และมีความคดิ สร้างสรรค์
2. เพ่อื ใหม้ ีความรคู้ วามเข้าใจและเหน็ คณุ คา่ ในศลิ ปะวฒั นธรรม
3.เพอื่ ปลกู ฝังให้มีความภาคภูมใิ จในความเปน็ ไทย
2. จุดประสงค์เฉพาะ เป็นจุดประสงค์ที่มีความหมายเฉพาะเจาะจง และเป็นจุดประสงค์ที่
ตงั้ ขึ้น เพ่อื แสดงให้เห็นอยา่ งชัดแจง้ ตรวจสอบได้ ตวั อย่างเชน่
1. นักเรยี นสามารถอธิบายถึงข้อควรปฏบิ ัติในการฟังและพูดในโอกาสตา่ งๆได้
2. นักเรียนสามารถเขยี นแผนภมู แิ ทง่ ได้
3.นักเรยี นสามารถบอกไดว้ ่าอาหารชนดิ ใดอยูใ่ นหมวดหมใู่ ดได้ถูกตอ้ ง ๘ ชนิด
จดุ ประสงคเ์ ฉพาะจะช้ีใหเ้ ห็นสิ่งทตี่ ้องการจากการศึกษาอย่างเฉพาะเจาะจงและเกี่ยวข้องกับ
เน้ือหาวชิ าโดยตรง จดุ ประสงค์การเรียนการสอนนอกจากจะแบ่งเปน็ 2 ระดับแล้วดังกล่าว
แล้วยงั แบ่งตามลักษณะการเรยี นรู้ได้ 3 ด้านดงั นี้
พุทธพิสัย เป็นจุดประสงค์ทางการศึกษาที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ทางด้านปัญญา คือ ความรู้
ความเขา้ ใจ การใช้ความคดิ แบ่งไดอ้ อกเป็น 6 ระดบั คือ
1. ความรู้ หมายถึง ความสามารถในการจำเนือ้ หาความรู้ และระลึกได้เมื่อต้องการ
นำมาใช้ ความรทู้ ีเ่ ก่ยี วกับวธิ กี าร และความร้เู ก่ียวกบั หลักการ เชน่
-นักเรยี นสามารถบอกคำแปลของเครื่องหมายได้
-นักเรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาตไิ ด้ถกู ต้อง
2. ความเข้าใจ เป็นความสามารถในการจับใจความสำคัญของสื่อได้ และสามารถ
แสดงออกมาในรูปของการแปลความ ตีความ คาดคะเน ขยายความ หรือ การกระทำอื่น ๆ
เชน่
-นกั เรยี นสามารถเขยี นรปู จากโจทย์ท่กี ำหนดไวอ้ ย่าถกู ตอ้ ง
-นักเรยี นสามารถอธิบายความหมายของการอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติได้ถูกต้อง
3. การนำความรู้ไปใช้หมายถึง การนำเอาเนื้อหาสาระ หลักการ ความคิดรวบ
ยอด เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถนำความรู้ ประสบการณ์ไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์
ตา่ ง ๆ ได้ ซ่ึงจะต้องอาศยั ความรูค้ วามเขา้ ใจ จึงจะสามารถนำไปใช้ได้ เช่น
-นำหลักของการใช้ภาษาไทยไปใช้สื่อความหมายในชีวิตประจำวันได้ถูกต้องและ
เหมาะสม
-นักเรยี นสามารถเสนอความคิดในการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้
4. การวิเคราะห์ เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถคิด หรือ แยกแยะเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ
ออกเปน็ ส่วนย่อย เปน็ องค์ประกอบทสี่ ำคญั ได้ และมองเห็นความสมั พันธ์ของส่วนทเ่ี ก่ียวข้อง
กัน ความสามารถในการวิเคราะห์จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ความคิดของแต่ละคนซึ่งนกั เรียน
จะสามารถวเิ คราะห์ฃเนอื้ หาสาระไดก้ ็ต่อเม่ือนกั เรียนเขา้ ใจเนื้อหาสาระทเี่ รียนมาแล้ว เชน่
-นกั เรียนสามารถแยกองค์ประกอบของหลกั สูตรได้
-นกั เรียนสามารถจำแนกวธิ ีของการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาตไิ ด้
5. การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถที่จะนำองค์ประกอบส่วนย่อยๆเข้ามา
รวมกันเพอื่ ให้เปน็ ภาพทสี่ มบรู ณ์เกิดความกระจา่ งใสในส่งิ เหลา่ น้นั เช่น
-หลังจากท่ีครูใหต้ ัวอยา่ ง 5 ตัวอยา่ งเร่อื งการหาร นกั เรียนสามารถสรปุ ไดว้ ่าการหาร
คอื การหักออกทลี ะเทา่ ๆกนั
6. การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถในการพจิ ารณาตัดสินคุณคา่ ของสิ่งต่างๆ
โดยทีผ่ ตู้ ดั สนิ กำหนดเกณฑ์ขน้ึ มาเอง หรือเกณฑ์ท่ผี อู้ น่ื กำหนดขึ้น เช่น
-หลังจากท่ีอ่านบทความแล้วนกั เรียนสามารถวจิ ารณค์ วามรู้สึกของผู้เขียนได้
จิตพิสัย เป็นอารมณ์ หรือ ความรู้สึกของแต่ละบุคคล ที่ได้แสดงออกมา ทั้งด้านการกระทำ
การแสดงความคิดเห็นเจตคติ ค่านยิ มและคณุ ธรรมกระบวนการเกิดขน้ึ ภายในเหล่านีจ้ ะเกดิ ตามลำดับ
ข้ันตอนต่อไปน้ี
1.การรับคือการที่นักเรียนได้รับประสบการณ์จากสิ่งแวดล้อม เช่น นักเรียนยอมรับความ
แตกต่างทางวฒั นธรรมในสงั คม
2.การตอบสนอง คือ การมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อมที่รับเข้ามาด้วยความเต็มใจ เช่น
นักเรยี นไดแ้ สดงความคิดเห็นเพม่ิ เติมในเร่ืองที่ครบู รรยาย
3.การเห็นคุณค่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้รับรู้สิ่งแวดล้อมและมีปฏิกิริยาโต้ตอบ
สงั เกตไดจ้ ากพฤติกรรมทย่ี อมรับคา่ นยิ มใดนิยมหนง่ึ เชน่
-นักเรียนแสดงความสนใจในวัฒนธรรมโดยติดตามอ่านหนังสือเกี่ยวกับวัฒนธรรม
อยา่ งสมำ่ เสมอ
4.การจัดรวบรวม เป็นการคิดพิจารณา และรวบรวมค่านยิ มให้เป็นระบบคา่ นยิ ม เชน่
-นักเรยี นสามารถจัดโครงสร้างของวัฒนธรรมได้
5.การพิจารณาคุณลักษณะจากค่านิยม เป็นเรื่องความประพฤติ คุณสมบัติ คุณลักษณะของ
แตล่ ะบคุ คลทเี่ ป็นผลของความรู้สึก เช่น
-นักเรยี นสามารถสรา้ งค่านยิ มตอ่ วัฒนธรรมได้
ทักษะพิสัย จุดประสงค์เกี่ยวกับทักษะในการเคลื่อนไหว และใช้อวัยวะต่างๆของร่างกาย มี
ลำดบั การพัฒนา ทักษะดงั นี้
การเลียนแบบเป็นการทำตามตัวอย่างที่ครูให้ หรือดุของจริง เช่น นักเรียนวาดภาพเหมือน
ตัวอย่าง
การทำตามคำบอก เป็นการทำตามคำสั่งของครูโดยไม่มีตัวอย่างให้ดุ เช่น นักเรียนวาดภาพ
สงิ่ ที่ครบู อกชอื่ ได้
การทำอย่างถูกต้องและเหมาะสม เป็นการทำโดยอาศัยความรู้ที่เคยทำมาก่อนแล้วเพิ่มเติม
เชน่ นกั เรียนสามรถออกแบบภาพได้
การทำได้ถูกต้องหลายรูปแบบ เป็นการทำเรื่องที่คล้ายๆกันและแยกแยะรูปแบบได้เช่น
นักเรียนสามารถวาดภาพสิ่งทม่ี ีชีวติ ได้หลายประเภท
การทำอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการทำที่เกิดจากความรู้ ความชำนาญ และเสร็จได้ในเวลา
อันรวดเรว็ เชน่ นกั เรยี นสามารถวาดรูปภาพได้ถกู วธิ ีและรวดเร็ว
จุดประสงค์เฉพาะมีบทบาทท่สี ำคัญต่อการเรยี นการสอน คือ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น
ความหมายของผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเปน็ ความสามารถของนักเรียนในดา้ นต่างๆ ซงึ่ เกดิ จากนักเรียนได้รับ
ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและ
ประเมินผล การสร้างเครื่องมือวัดให้มคี ุณภาพนัน้ ได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้
ดงั นี้
สรปุ ไดว้ า่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสำเร็จทไี่ ด้รบั จากกิจกรรม
การเรียนการสอนเป็นการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย
และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการ
เรียนการสอนที่แตกต่างกัน ( สมพร เชื้อพันธ์ , พิมพันธ์ เดชะคุปต์ , ปราณี กองจินดา ,
ไพโรจน์ คะเชนทร์ , พเยาว์ ยนิ ดีสขุ , มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช )
การวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความจำเป็นต่อการเรียนการสอน หรือการตัดสินผลการ
เรียน เพราะเป็นการวัดระดับความสามารถในการเรียนรู้ของบุคคลหลังจากที่ได้รับการฝึกฝน โดย
อาศยั เครื่องมอื ประเภทแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ซิ ึง่ เป็นเครื่องมือท่ีนยิ มมากทีส่ ุด
การวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนตามแนวคิดของ Bloom (1982) ถอื วา่ ส่ิงใดก็ตาม ที่มีปริมาณ
อยู่จริงสิ่งนั้นสามารถวัดได้ ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนก็อยูภ่ ายใต้กรอบแนวคิดดงั กล่าว ซึ่งผลการวัดจะ
เป็นประโยชน์ในลักษณะทราบและประเมินระดับความรู้ ทักษะและเจตคติของนักเรียน และระดับ
ความรู้ความสามารถตามแนวคิดของ Bloom มี 6 ระดบั ดงั นี้
1) ความจำ คอื สามารถจำเรื่องตา่ ง ๆ ได้ เช่น คำจำกัดความสูตรตา่ ง ๆ วิธกี าร เช่น นักเรยี น
สามารถบอกชื่อสารอาหาร 5 ชนิดได้ นักเรียนสามารถบอกชื่อธาตุที่เป็นองค์ประกอบของโปรตีนได้
ครบถ้วน
2) ความเข้าใจ คอื สามารถแปลความ ขยายความ และสรุปใจความสำคัญได้
3) การนำไปใช้ คือ สามารถนำความรู้ ซึ่งเป็นหลักการ ทฤษฎี ฯลฯ ไปใช้ในสภาพการณ์ท่ี
ตา่ งออกไปได้
4) การวิเคราะห์ คือ สามารถแยกแยะข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อยเช่น
วิเคราะห์องค์ประกอบ ความสมั พันธ์ หลกั การดำเนินการ
5) การสังเคราะห์ คือ สามารถนำองค์ประกอบ หรือส่วนต่าง ๆ เข้ามารวมกันเป็นหมวดหมู่
อย่างมีความหมาย
6) การประเมินค่า คือ สามารถพิจารณาและตัดสินจากข้อมูล คุณค่าของ หลักการโดยใช้
มาตรการท่ผี อู้ ่นื กำหนดไวห้ รอื ตัวเองกำหนดขึน้
เยาวดี วิบูลย์ศรี (2540) ได้กล่าวถึงข้อตกลงเบื้องต้นที่ควรคำนึงถึงในการสร้างแบบทดสอบ
ผลสัมฤทธ์ไิ วด้ งั นี้
1) เนื้อหา หรือทักษะภายในขอบเขตที่ครอบคลุมในแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์น้ัน
จะต้องสามารถจำกัดอยู่ในรูปของพฤติกรรม ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงในลักษณะที่จะสือ่ สาร
ไปยังบุคคลอื่นได้ ถ้าเป้าหมายทางการศึกษาไม่สามารถจำกัดอยู่ในรูปของพฤติกรรมแล้ว
ยอ่ มไมส่ ามารถทีจ่ ะวัดไดใ้ นลักษณะของผลสัมฤทธ์ิได้อยา่ งชัดเจน
2) ผลติ ผลท่ีแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธวิ์ ัดน้นั จะต้องเปน็ ผลิตผลเฉพาะท่ีเกิดข้ึนจาก
การเรียนการสอนตามวตั ถปุ ระสงค์ท่ีต้องการเท่านนั้ จะวดั ผลผลติ ผลอยา่ งอืน่ ไมไ่ ด้
3) ผลสัมฤทธิ์หรือความรู้ต่าง ๆ ที่แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์วัดได้นั้น ถ้าจะนำไป
เปรียบเทยี บกนั แล้ว ผู้เข้าสอบทกุ คนจะตอ้ งมโี อกาสได้เรยี นรู้ในเร่อื งน้นั ๆ เทา่ เทยี มกัน
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
ดังนั้นสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ แบบทดสอบที่ใช้สำหรับวัด
พฤติกรรมทางสมองของผูเ้ รียนวา่ มีความรู้ ความสามารถใน เร่ืองท่ีเรียนรมู้ าแลว้ หรือไดร้ ับการฝึกฝน
อบรมมาแล้วมากน้อยเพียงใด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น แบบทดสอบที่ใช้วัด
ความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้ว ว่า บรรลุผลสำเร็จตาม
จุดประสงค์ทก่ี ำหนดไว้เพยี งใด ( พชิ ิต ฤทธจิ์ รูญ , สิรพิ ร ทพิ ยค์ ง , สมพร เช้อื พนั ธ์ )
ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ได้จัดประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่ง
ออกเป็น 2 ประเภท คือแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Teacher made tests) และแบบทดสอบ
มาตรฐาน (Standardized tests) ซึ่งทัง้ 2 ประเภทจะถามเนื้อหาเหมือนกนั คอื ถามสิ่งท่ีผู้เรียนได้รับ
จากการเรียนการสอนซึ่งจัดกลุ่มพฤติกรรมได้ 6 ประเภท คือ ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การ
นำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมนิ
1. แบบทดสอบที่ครูสรา้ งข้นึ เปน็ แบบทดสอบท่ีครสู ร้างข้นึ เองเพื่อใชใ้ นการทดสอบผู้เรียน
ในชนั้ เรียน แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ
1.1 แบบทดสอบปรนยั (Objective tests) ไดแ้ ก่ แบบถกู – ผิด (True-false) แบบ
จับคู่ (Matching) แบบเติมคำให้สมบูรณ์ (Completion) หรือแบบคำตอบสั้น (Short
answer) และแบบเลือกตอบ (Multiple choice)
1.2 แบบอัตนัย (Essay tests) ได้แก่ แบบจำกัดคำตอบ (Restricted response
items) และแบบไม่จำกดั ความตอบ หรอื ตอบอย่างเสรี (Extended response items)
2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized tests) เปน็ แบบทดสอบท่สี ร้าง โดยผเู้ ชี่ยวชาญ
ที่มคี วามรู้ในเนื้อหา และมที ักษะการสร้างแบบทดสอบ มกี ารวิเคราะห์หาคุณภาพของแบบทดสอบ มี
คำชแ้ี จงเกีย่ วกบั การดำเนนิ การสอบ การให้คะแนนและการแปลผล มีความเป็นปรนัย (Objective) มี
ความเที่ยงตรง (Validity) และความเชื่อมั่น (Reliability) แบบทดสอบมาตรฐาน ได้แก่ California
Achievement Test, Iowa Test of Basic Skills, Standford Achievement Test แ ล ะ the
Metropolitan Achievement tests เป็นต้น
สว่ นพวงรัตน์ ทวรี ตั น์ (2543) ไดจ้ ัดประเภทแบบทดสอบไว้ 3 ประเภท ดงั นี้
1. แบบปากเปลา่ เป็นการทดสอบทีอ่ าศยั การซักถามเป็นรายบุคคล ใช้ไดผ้ ลดถี ้ามีผู้เข้าสอบ
จำนวนนอ้ ย เพราะตอ้ งใชเ้ วลามาก ถามได้ละเอยี ด เพราะสามารถโต้ตอบกันได้
2. แบบเขียนตอบ เป็นการทดสอบที่เปลี่ยนแปลงมาจากการสอบแบบปากเปล่า เนื่องจาก
จำนวนผู้เขา้ สอบมากและมจี ำนวนจำกัด แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 แบบ คือ
1. แบบความเรียง หรืออัตนัย เป็นการสอบที่ให้ผู้ตอบได้รวบรวมเรียบเรียงคำพูด
ของตนเองในการแสดงทัศนคติ ความรู้สึก และความคิดได้อย่างอิสระภายใต้หัวเรื่องที่
กำหนดให้ เป็นข้อสอบที่สามารถ วัดพฤติกรรมด้านการสังเคราะห์ได้อย่างดี แต่มีข้อเสียที่
การให้คะแนน ซ่ึงอาจไมเ่ ทยี่ งตรง ทำให้มคี วามเปน็ ปรนัยไดย้ าก
2. แบบจำกัดคำตอบ เป็นข้อสอบ ที่มีคำตอบถูกใต้เงื่อนไขที่กำหนดให้อย่างจำกัด
ข้อสอบแบบนี้แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ แบบถูกผิด แบบเติมคำ แบบจับคู่ และแบบ
เลือกตอบ
3. แบบปฏิบัติ เป็นการทดสอบที่ผู้สอบได้แสดงพฤติกรรมออกมาโดยการกระทำหรือลงมือ
ปฏบิ ัตจิ รงิ ๆ เช่น การทดสอบทางดนตรี ชา่ งกล พลศกึ ษา เปน็ ต้น
3. พฤติกรรมท่ีคาดหวงั ทางด้านสติปัญญา
การกำหนดผลการเรียนรู้ทีค่ าดหวังให้ครอบคลมุ จุดมุ่งหมายแต่ละด้าน มีข้อยุ่งยากอยู่ที่การ
กำหนดพฤติกรรมทีค่ าดหวัง จำเปน็ ที่ผู้กำหนดจะตอ้ งเข้าใจกอ่ นว่า ในแตล่ ะด้านนน้ั มจี ดุ มุ่งหมายย่อย
อะไรบ้าง และมีพฤติกรรมอะไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อมิให้พฤติกรรมที่คาดหวังเป็นเพียงพฤติกรรมง่าย ๆ ใน
ระดับต่ำ เพราะจะเป็นผลให้การเรียนการสอนไม่ส่งเสริมพฤติกรรมชั้นสูงที่มีคุณค่ามากกว่า ใน
เอกสารนี้จะกล่าวถึงพฤติกรรมที่คาดหวังสำหรับด้านสติปัญญาเท่านั้น (นวลน้อยเจริญผล. 2538 :
44-48)
เมเกอร์ (Mager, 1975, p. 21) ได้เสนอว่าองค์ประกอบของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมมี 3
องคป์ ระกอบ ได้แก่
1) พฤติกรรมหรือทักษะที่ผู้เรียนแสดงออก จุดประสงค์จะตอ้ งอธบิ ายส่ิงท่ีผู้เรียนสามารถทำ
ได้ ไม่ใช่กิจกรรมการเรียนการสอนที่ครูให้ทำความของจุดประสงค์ประกอบด้วย การกระทำและ
เนอื้ หา ยกตัวอย่างเชน่ วาดภาพเหมอื นของตัวเอง วเิ คราะหโ์ จทย์เลข
2) เงื่อนไขการแสดงพฤติกรรมหรือการท างานของผู้เรยี น จุดประสงค์จะต้องระบสุ ภาพของ
การท างานซึง่ เปน็ สิ่งเรา้ ภายนอก หรอื อปุ กรณ์/เครื่องมือท่ีให้ผูเ้ รียนใช้ในขณะปฏิบตั ิงาน ยกตัวอย่าง
เช่น อนุญาตให้ผู้เรียนใช้เครื่องคิดเลขในการคำนวณเลข หลังการอ่านหนังสือจบ นักเรียนสามารถ
สรปุ สาระสำคญั ได้
3) เกณฑ์ในการแสดงพฤติกรรมเพื่อใช้ในการประเมินการปฏิบัติงานของผู้เรียน เกณฑ์มัก
ระบุ ในรูปของความถูกต้อง เวลาที่ใช้ หรือระดับคุณภาพในการแสดงพฤติกรรมของผู้เรียนซึ่งเป็นที่
ยอมรับ เกณฑ์อาจระบุในเชิงปริมาณที่สามารถแจงนับได้ หรือเกณฑ์ในเชิงคุณภาพซึ่งบอกลักษณะ
ของพฤติกรรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นหากต้องการเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่
แสดงถึงความสามารถ ในระดับใดก็ควรเลือกใช้คำกริยาที่ชี้บ่งให้เห็นขั้นพฤติกรรมในระดับนั้น หรือ
กำหนดเกณฑ์ที่ชี้ให้เห็นสภาพ ที่ต้องการพัฒนา ยกตัวอย่างเชน่ แก้ปัญหาได้ถูกต้อง 2 ใน 3 ข้อ โยน
ลกู บอลได้ 10 ครง้ั ภายใน 1 นาที
หลักการเขยี นจดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม
การเขียนจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรมในแต่ละองคป์ ระกอบ ควรมีหลักการดังนี้
1) ข้อความที่ใช้บรรยายพฤติกรรมต้องชัดเจน เฉพาะเจาะจง ไม่สับสน เป็นพฤติกรรมที่
สามารถสังเกตเห็นได้ เช่น คำที่แสดงพฤติกรรมด้านความรู้ ใช้คำว่า ระบุ บอก อธิบาย ให้นิยาม
สาธิต เป็นต้น แทนคำที่มีลักษณะกำกวม ไม่สามารถสังเกตพฤติกรรมได้ เช่น คำว่า “รู้” “เข้าใจ”
ส่วนคำที่ แสดงพฤติกรรมท่ีบอกเจตคติ นิยมใช้คำทีใ่ หผ้ ู้เรยี นเลือก ตัดสินใจแสดงพฤติกรรมที่มาจาก
ความรู้สึกแทน คำว่า “ซาบซึ้ง” ซึ่งไม่เห็นพฤติกรรมจึงเป็นคำที่ไม่ควรใช้ สำหรับพฤติกรรมเกี่ยวกับ
ทักษะทางกาย มี ลักษณะที่ชัดเจนในตัวเองเพราะผู้เรียนต้องแสดงพฤติกรรมให้ปรากฏจึงไม่เป็น
ปัญหา ตวั อย่างเช่น
นักเรียนแต่งประโยคที่มีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ประธาน กิริยา และกรรมได้
ถูกต้อง
นักเรียนเลี้ยงลูกวอลเลยบ์ อลได้ตอ่ เน่อื งอย่างน้อย 50 ลูก
นักเรยี นสง่ งานทุกชน้ิ ทค่ี รูมอบหมายในเวลาทก่ี ำหนด
2) การบอกเงื่อนไขของการแสดงพฤติกรรม พิจารณาจากสิ่งเร้าหรือตัวช่วยที่ผู้เรียนนำไป
เชื่อมโยงกับความรู้/ความคิดรวบยอดที่เก็บไว้ในโครงสร้างทางปัญญา ทำให้ผู้เรียนสามารถระลึกได้
และ นำกลับมาใชใ้ นการปฏบิ ัติงาน
เงือ่ นไขการเรยี นรู้ พฤตกิ รรมท่ีแสดงออก
ตวั อยา่ ง เชน่ นกั เรยี นบวกเลขสองหลกั โดยคิดในใจไดถ้ ูกตอ้ ง จำนวน 8 ใน 10 ขอ้
นกั เรียนยนื ตรงแสดงความเคารพทุกคร้งั เมอื่ ได้ยินเสียงเพลงชาติไทย
3) การกำหนดเกณฑ์ในการแสดงพฤติกรรม สามารถเขียนเกณฑ์ได้หลายลักษณะขึ้นกับ
เกณฑ์ ท่ีใช้และประเภทของพฤตกิ รรมการเรียนรู้ ได้แก่
(1) เกณฑ์ความถูกต้องความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง กฎหรือทฤษฎีที่เป็นเนื้อหาซึ่งมี
คำตอบท่ี ถกู ตอ้ งแน่นอนอยู่แลว้ เกณฑก์ ็คอื ความถกู ตอ้ งตรงตามเนื้อหา
(2) เกณฑ์ความรอบรู้ หมายถึง เกณฑ์ที่แสดงว่ารู้จริง ทำได้จริง ใช้เกณฑ์การแสดง
พฤติกรรมท่ที ำได้ถูกตอ้ งเท่ากับหรือตงั้ แตร่ ้อยละ 80 ขน้ึ ไป
(3) เกณฑด์ ้านทักษะ จะพจิ ารณาจากรายการของพฤติกรรมท่ีคาดหวังให้แสดงได้ซ่ึง
ใช้ ระยะเวลาหรือความถี่ในการแสดงพฤติกรรมหรือลักษณะของการตอบสนองซึ่งเป็นท่ี
ยอมรบั จาก ผลการวจิ ยั
(4) เกณฑ์ด้านเจตคติ พิจารณาจากจำนวนครั้งของการแสดงพฤติกรรมที่น่าพอใจ
ในสถานการณ์ที่จัดขึ้นโดยใช้แบบตรวจสอบรายการพฤติกรรมจากการสังเกตขณะทำงาน
ตัวอย่างจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนดเกณฑ์ในการแสดงพฤติกรรม เช่น นักเรียนเล้ยี ง
ลูกวอลเลย์บอลได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 50 ลูก นักเรียนจัดพานไหว้ครูด้วยวัสดุอุปกรณ์ท่ี
กำหนดได้สำเรจ็ ในเวลา 3 ชว่ั โมง
ประเภทของจุดประสงค์การเรียนรู้
จุดประสงค์การเรียนรู้แบ่งตามลักษณะการแสดงออกทางพฤติกรรมที่เสนอโดยบลูม
(Bloom) แครทโรล (Krathrohl) และแฮร์โรว์ (Harrow) ออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธิพิสัย
(cognitive domain) ด้านทักษะพิสัย (psychomotor domain) และด้านจิตพิสัย (affective
domain) (Kellough & Roberts, 1991, pp. 210-218)
1. ด้านพุทธิพิสัย จุดประสงค์การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย หมายถึง จุดประสงค์ที่แสดง
ความสามารถของสติปัญญาในการประมวลข้อมูล พฤติกรรมที่ชี้บ่งความสามารถในด้านนี้สามารถ
แบ่งได้ 6 ระดบั จากระดับพ้ืนฐานไปสรู่ ะดบั ท่ซี ับซอ้ น ดังน้ี
1) ความรู้ ความจำ (knowledge) หมายถึง การรับรู้ขอ้ มูล ความรู้ความสามารถใน
การ ระลกึ ได้ จำได้ ซ่งึ เป็นพืน้ ฐานในการพัฒนาความสามารถระดบั สูงขึ้นไป คำกริยาท่ีใช้บ่ง
บอกพฤติกรรม ในระดับนี้ ได้แก่ เลือก ระบุ อธิบาย เติมคำให้สมบูรณ์ ชี้บ่ง จัดทำรายการ
จับคู่ เรียกช่อื ระลึก จำ บอก และกำหนด เป็นตน้
2) ความเขา้ ใจ (comprehension) หมายถึง ความสามารถในการแปลความ อธบิ าย
ความรู้ ตคี วาม คาดคะเน คำกรยิ าที่ใช้ ได้แก่ เปลีย่ น อธิบาย ประมาณการ ขยายความ สรุป
อ้างองิ แปลความหมาย คาดคะเน ตคี วาม ขยายความ อุปมาอุปมยั ลงสรปุ และยกตัวอย่าง
เปน็ ตน้
3) การนำไปใช้ (application) หมายถึง ความสามารถในการนำข้อมลู ไปใช้ คำกรยิ า
ที่ใช้ ได้แก่ การประยุกต์ การคำนวณ การสาธิต การพัฒนา การค้นพบ การดัดแปลง การ
ดำเนนิ การ การมสี ว่ นร่วม การแสดง วางแผน ทำนาย เชอื่ มโยง แสดงและทำใหด้ ู เปน็ ต้น
4) การวิเคราะห์ (analysis) หมายถึง ความสามารถในการพิจารณาแยกแยะ
องค์ประกอบย่อย ดว้ ยเกณฑ์หรอื คุณสมบตั ิที่กำหนด คำกรยิ าท่ีใช้ ได้แก่ วเิ คราะห์ แยกแยะ
จัดพวก จัดชั้น จัดประเภท จัดกลุ่ม เปรียบเทียบ หาความแตกต่าง วิจารณ์ แสดงแผนภูมิ
จำแนก สรุปอา้ งอิง และกำหนดองคป์ ระกอบ เป็นตน้
5) การสังเคราะห์ (synthesis) หมายถึง ความสามารถในการรวบรวมองค์ประกอบ
ย่อย เพื่อการสรา้ งสิง่ ใหม่ท่ีมีคุณลักษณะแตกต่างจากเดมิ ไดแ้ ก่ การออกแบบ วางแผน และ
นำเสนอโครงการ คำกริยาที่แสดงทักษะการสังเคราะห์ ได้แก่ จัดเตรียม จัดประเภท แบ่ง
พวก ผสมผสาน รวบรวม กำหนด สร้าง ออกแบบ พัฒนา ผลิต ดัดแปลง จัดระบบ วางแผน
ปฏิรูป วางระบบ ปรับปรุง ทบทวน สรุปรวบยอด สังเคราะห์ ประพันธ์ แต่ง นำเสนอ และ
จัดการแสดง เป็นต้น
6) การประเมินคุณค่า (evaluation) เป็นระดับขั้นสูงสุดของความสามารถทาง
สติปัญญา หมายถึง การแสดงความคิดเห็นและการตัดสินคุณค่า คำกริยาที่ใช้ ได้แก่ โต้แย้ง
ประเมิน เปรียบเทียบ สรุปความ วิจารณ์ ตัดสิน อธิบาย ตีความ จัดลำดับที่ จัดชั้น และ
เทยี บกบั มาตรฐาน เป็นต้น
2. ดา้ นจติ พสิ ยั จุดประสงค์การเรียนรู้ด้านจิตพสิ ัย หมายถงึ จุดประสงคท์ ่ีแสดงพฤตกิ รรม ที่
เกี่ยวกับความรู้สึก เจตคติและค่านิยม ซึ่งการเรียนรู้ด้านเจตคติและค่านิยม มีลำดับขั้นของการเกิด
พฤตกิ รรมดงั น้ี
1) การรบั รู้ (receiving) เปน็ ลำดบั ของการตระหนัก รับร้ตู อ่ สงิ่ เรา้ ซ่ึงเป็นจุดเร่มิ ตน้
ของความรู้สึกพึงพอใจ นักเรียนจะแสดงออกให้เห็นถึงความต้ังใจ ความสนใจ ต่อสิ่งเร้าหรือ
ประสบการณ์ ที่ได้รับคำกริยาที่ใช้ ได้แก่ ถาม เลือก อธิบาย ตอบ บอกชื่อ สาธิต ระบุ บอก
ความแตกตา่ ง และบอกจดุ เด่น เป็นต้น
2) การตอบสนอง (responding) เป็นขั้นของการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ซึ่งอาจ
เน่อื งมาจาก การถูกควบคุมซึ่งเป็นปัจจัยจากภายนอก หรือโดยความสนใจของนักเรียนเองซึ่ง
เป็นปัจจัยภายใน เพราะเห็นว่าสิ่งเร้านั้นน่าสนใจ หรือเกิดความพึงพอใจต่อสิ่งเร้าน้ัน
คำกริยาที่ใช้ ได้แก่ พิสูจน์ รวบรวม ทำตามคำสั่ง แสดง ฝึกปฏิบัติ นำเสนอ และเลือก เป็น
ตน้
3) การเหน็ คณุ คา่ (valuing) เป็นขั้นที่นกั เรียนแสดงพฤติกรรมด้วยความเช่ือ ความ
ประทับใจ ความซาบซึ้ง และศรัทธาที่มีต่อสิ่งนั้นด้วยตัวของนักเรียนเอง คำกริยาที่ใช้ ได้แก่
อธบิ าย ทำตาม รเิ รม่ิ เขา้ รว่ ม นำเสนอ และทำให้สมบรู ณ์ เปน็ ตน้
4) การจดั ระเบยี บ (organizing) เปน็ ข้นั ที่นกั เรียนสร้างระบบค่านิยมส่วนตนขึ้นมา
โดยการยอมรับและจัดระเบียบคุณค่าต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงเข้ากับค่านิยมเดิมที่มีมาก่อนของ
ตนเอง เป็นค่านิยม ในชีวิต คำกริยาที่ใช้ ได้แก่ จัดระเบียบ รวบรวม สรุป บูรณาการ
ดดั แปลง จดั ลำดับ สงั เคราะห์ สร้าง และ จัดระบบ เปน็ ตน้
5) การสรา้ งระบบค่านิยมของตนเอง (internalization of values) เปน็ จดุ ประสงค์
ระดับสูงสุด พฤตกิ รรมในระดับน้มี ีความคงเสน้ คงวา แน่นอนไมเ่ ปลยี่ นแปลงต่อความเชื่อของ
ตนเอง คำกริยาท่ีใช้ ได้แก่ ปฏิบัติ แสดงออก แก้ปญั หา ประกาศตัว แสดงตน อทุ ิศตน ทุ่มเท
ยอมรบั และเกดิ สำนึก เป็นต้น
3. ด้านทักษะพิสยั ทกั ษะเปน็ ความสามารถทางกาย ท่ีอาศยั การเคลอ่ื นไหวของกลา้ มเนื้อ ใน
การทำงานเช่น ทักษะที่อาศัยการท างานของกล้ามเนื้อมัดใหญ่เป็นหลัก ได้แก่ การเล่นกีฬาต่าง ๆ
การเต้นรำ เป็นต้น ทักษะที่อาศัยการท างานของกล้ามเนื้อมัดเล็กเป็นหลัก ได้แก่ การใช้มือและ
สายตา ประกอบกัน ได้แก่ งานช่างฝีมือต่าง ๆ การประกอบอาหาร การท างานประดิษฐ์ กา รเล่น
เครื่องดนตรี เป็นต้น การจัดประเภทของจุดประสงค์ด้านทักษะพิสัยนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่าง
กว้างขวาง แตไ่ ด้มี การนำเสนอทกั ษะท่เี ป็นความสามารถทางกายท่ีมีการพฒั นามาเปน็ ลำดบั ขั้นต้ังแต่
เกิด
4. การสอนวชิ าการ
การสอนวชิ าการ เป็นภาวะอนั หนักแก่ผ้สู อนอย่างย่ิง เพราะนักเรียนในช้ันมที ้ังเรียนเก่งและ
นักเรียนที่เรียนอ่อน ถ้าครูการออกแบบเทคโนโลยีสอนโดยวิธีเดียวกันนักเรียนที่เรียนเก่งก็สามารถ
เข้าใจได้รวดเร็วและไม่มปี ัญหามากนัก แต่นกั เรยี นท่ีเรียนอ่อนอาจไม่เขา้ ใจมากนัก จึงทำให้เกิดความ
เบ่ือหนา่ ย ไม่อยากเรียน จึงมคี วามจำเป็นที่จะต้องหาวิธีการสอนที่จะใหน้ ักเรียนทุกคนสามารถเข้าใจ
ได้ และสนองตอบต่อความแตกต่างทางสติปัญญา (ยุพิน พิพิธกุล. 2527 : 276) ดังนั้น การสอน
วิชาการออกแบบเทคโนโลยีเพื่อให้ได้ผลดี และเป็นไปตามความสามารถหรือความแตกต่างระหว่าง
บคุ คล ยุพนิ พิพิธกุล (2530 : 174) ไดเ้ สนอวิธีการสอนการออกแบบเทคโนโลยีไว้หลายวธิ คี ือ
1. วิธีสอนแบบบอกให้รู้ เปน็ วธิ สี อนท่คี รูเป็นผู้บอกใหน้ ักเรียนเป็นผู้ตีความ เม่ือครูปรารถนา
ที่จะให้นักเรยี นรู้เรื่องใด ครูก็จะอธิบายและมักจะสรปุ เสียเอง ในขณะที่ครูอธบิ ายน้ัน ครูจะวิเคราะห์
แยกแยะให้เห็น และตีความให้นักเรียนเข้าใจ ครูอาจจะมีวัสดุการสอนมาแสดงให้ดู แต่ครูใช้
ประกอบการอธิบายหรือการบอกของครู เพอ่ื ใหน้ กั เรียนติดตามในการสอนกฏหรือสตู ร ครูมักจะบอก
สูตรนั้นและบอกว่านำไปใช้อย่างไร โดยยกตัวอย่างประกอบ เสร็จแล้วครูก็ให้นักเรียนลองทำ
แบบฝกึ หัดโดยใช้สูตรนน้ั ถ้านักเรียนทำไดก้ ็แสดงวา่ นักเรียนเขา้ ใจ
2. วธิ สี อนแบบบรรยาย เปน็ การสอนแบบบอกให้รเู้ ช่นเดียวกนั การสอนแบบนี้ครูจะเป็นฝ่าย
พดู เป็นสว่ นมาก โดยมุ่งจะปอ้ นเนอ้ื หาวชิ าให้แกน่ ักเรียนเพยี งฝ่ายเดยี ว นกั เรยี นจะเป็นผู้ฟังครูอาจจะ
ใชส้ อื่ การสอนประกอบการบรรยายก็ได้
3. วิธสี อนแบบสาธติ เปน็ การแสดงให้นักเรยี นดู ซง่ึ ผแู้ สดงจะใชว้ สั ดุประกอบการสอนหรือจะ
แสดงโดยวิธีใดก็ตาม ให้นักเรียนสามารถสรุปบทเรียนได้จากการแสดงนั้น ๆ การแสดงนั้นอาจจะ
แสดงโดยครู หรอื โดยนักเรยี นก็ได้ และในบางครงั้ ครูและนักเรยี นอาจจะรว่ มกันแสดงกิจกรรม
น้ัน ๆ
4. วิธีสอนแบบทดลอง เป็นการสอนท่ีให้นักเรียนได้กระทำด้วยตนเอง เพื่อค้นหาข้อสรุปการ
ทดลองนน้ั อาจทดลองเปน็ รายบุคคลหรอื เป็นกลุ่มก็ได้
5. วิธีสอนแบบถาม – ตอบ เป็นกลวิธีสอนที่ใช้แทรกกับวิธีสอนอื่น ๆ ซ่ึงนับว่า เป็นวิธีท่ี
สำคญั วธิ ีหนึง่ ครูบางคนคดิ ว่า วิธีสอนทด่ี นี นั้ จะต้องมีสื่อการสอนเสมอ ความจริงแล้ว ยังมีวิธีสอนท่ีดี
อีกคือ “วิธสี อนแบบถาม – ตอบ” ถา้ ครูสามารถใช้คำถามทดี่ ีนกั เรียนสามารถเข้าใจก็ย่อมใช้ได้
6. วิธีสอนแบบฮิวริสติค ได้รับมาจากภาษากรีก ซึ่งหมายความว่า “ฉันพบ” นักเรียนจะต้อง
เป็นผู้ค้นพบ นักเรียนจะเป็นผู้ค้นหาคำตอบด้วยตนเองแทนการบอกครูวิธีนี้ต้องการให้นักเรียนได้
กระทำดว้ ยตนเอง เปน็ วธิ ีการท่นี ักเรียนจะไดใ้ หเ้ หตผุ ลดว้ ยตวั ของเขาเอง
7. วิธีสอนแบบวิเคราะห์ – สังเคราะห์วิธีสอนแบบวิเคราะห์ เป็นการแยกแยะปัญหาน้ัน
ออกมาจากสิ่งที่ไม่รู้ไปสู่สิ่งที่รู้หรือการแยกสิ่งต่าง ๆ อยู่รวมกันออกจากกัน ผู้ที่วิเคราะห์นั้น จะต้อง
พยายามคิดอยู่เสมอว่าต้องการค้นพบอะไรเป็นอันดับแรก และคิดต่อไปว่าอะไรที่จะค้นพบต่อไปวิธี
สอนแบบสังเคราะห์ เป็นขบวนการตรงกันข้ามกับการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ประกอบด้วย การนำ
ข้อสรุปย่อยที่จำเป็นต่าง ๆ มารวมกัน จนกระทั่งได้ข้อสรุปรวมที่ต้องการ หรืออีกนัยหนึ่ง การ
วิเคราะห์จะต้องเริ่มจากสิ่งที่รูแ้ ล้ว เพื่อจะนำมาช่วยในการหาสิ่งที่ยงั ไม่รู้ มาช่วยในการพิสูจน์เนื้อหา
ใหม่ เรียกวา่ เป็นการสังเคราะห์
8. วธิ ีสอนแบบนริ นัย - อุปนัยอุปนยั หมายถึง การนำไปสู่ ในระหวา่ งกระบวนการสอน ครูจะ
ช่วยนกั เรยี นให้ตีวงแคบเขา้ จนสามารถกำหนดนัยทั่วไปไดน้ ริ นัย วิธนี ริ นยั นสี้ ัมพันธ์กับวธิ บี อกให้รู้ ครู
ที่ใช้วิธีนี้ จะบอกกฏ หลักเกณฑ์ หรือนัยทั่วไป ซึ่งเป็นเรื่องที่จะนำมาใช้ประโยชน์ แล้วนักเรียนก็ถูก
ถาม เพอื่ ใช้คำบอกนัน้ มาแก้ปัญหา
9. วธิ สี อนแบบแกป้ ัญหา หมายถึง วธิ ีสอนท่ีจะให้นักเรยี นไดใ้ ช้เหตผุ ลในการแกป้ ัญหาวธิ กี าร
แก้ปัญหาน้นั ข้ึนอยู่กบั เน้อื หา หรอื โจทย์ปัญหาทจี่ ะให้นักเรียนคิด วธิ ีการแกป้ ัญหาทางการออกแบบ
เทคโนโลยี ย่อมมีกลวธิ ีแตกต่างกันตามลักษณะปัญหาน้นั ๆ
10. วธิ ีสอนแบบคน้ พบ มีความหมายเปน็ 2 ประการ คอื
10.1 เป็นกระบวนการคน้ พบ ครจู ะมอบปัญหาให้แกน่ ักเรียน แลว้ ให้นักเรยี นเสาะ
แสวงหาวธิ กี ารท่ีจะแกป้ ญั หานัน้ โดยครูจะใหป้ ญั หาที่งา่ ยก่อนแลว้ ก็ใหน้ กั เรียนทำปญั หาท่ี
คล้ายกัน ซึง่ เชือ่ ว่านักเรยี นจะค้นพบได้ แตค่ รูกไ็ ม่คาดหวงั ว่านกั เรยี นจะค้นพบอะไร
10.2 เปน็ การเน้นไปทนี่ ักเรียนจะค้นพบอะไร เช่น ค้นพบสูตรคูณ นยิ าม ฯลฯ
นกั เรยี นจะเกดิ มโนมติ และกำหนดนัยทั่วไปได้ การคน้ พบน้จี ะเปน็ การคน้ พบโดยวธิ ใี ดก็ได้
เชน่ การถามตอบ สาธิตการทดลอง การอภปิ ราย โดยเฉพาะอย่างยงิ่ การสอนโดยวิธอี ุปนัย
หรือนิรนยั
5. การเรยี นการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน
“เพื่อนช่วยเพื่อน” หรือ “Peer Assist” เป็นการจัดการความรู้ก่อนลงมือทำกิจกรรม
(Learning Before Doing) เพื่อแสวงหาผู้ช่วยที่มีความแตกต่าง มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้
เพื่อขยายกรอบความคิดให้กว้างและมีประสิทธิภาพมายิ่งขึ้น โดยอาศัย “คน” เป็นธงนำ (People
Driven) เปิดมุมมองความคิดที่หลากหลายจากการแลกเปลี่ยนระหว่างทีมที่มีทักษะ ความสามารถ
และประสบการณ์ท่แี ตกตา่ งกัน ทำใหไ้ มม่ องอะไรเพยี งดา้ นเดยี ว
ความเป็นมา “เพื่อนช่วยเพื่อน” (Peer Assist) เป็นเครื่องมือที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใช้คร้ัง
แรกที่บริษัท BP-Amoco ซึ่งเป็นบริษทั นำ้ มันยักษ์ใหญ่ของประเทศอังกฤษ โดยการสร้างให้เกดิ กลไก
การเรียนรู้ประสบการณ์ผู้อื่น ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์หรือร่วมวิชาชีพ (peers) ก่อนที่จะเริ่ม
ดำเนนิ กิจกรรมหรือโครงการใดๆ ทง้ั น้คี วามหมายของ “เพ่อื นช่วยเพ่ือน” จะเกยี่ วขอ้ งกบั
- การประชมุ หรือการปฏบิ ตั ิการร่วมกันโดยมผี ้ทู ี่ได้รับเชิญจากทีมภายนอก หรือทีมอื่น (ทีม
เยือน) เพ่อื มาแบ่งปนั ประสบการณ์ ความรู้ กับทมี เจ้าบ้าน (ทีมเหยา้ ) ท่เี ป็นผรู้ อ้ งขอความช่วยเหลือ-
เครอ่ื งมอื สำหรบั แบ่งปันประสบการณ์ ความเขา้ ใจ ความรู้ ในเรอื่ งต่างๆ
- กลไกสำหรบั แลกเปลี่ยนความรู้ผ่านการเช่ือมโยงติดต่อระหวา่ งบุคคลสำหรับข้อดีของการ
ทำ Peer Assist นัน้ ไดแ้ ก่
-- เป็นกลไกการเรียนรู้ก่อนลงมือทำกิจกรรม (Learning Before Doing) ผ่าน
ประสบการณ์ผู้อื่น เพื่อให้รู้ว่าใครรู้อะไร และไม่ทำผิดพลาดซ้ำในสิ่งที่เคยมีผู้ทำผิดพลาด ตลอดจน
เรียนลดั วธิ กี ารทำงานตา่ ง ๆ ท่ีเราอาจไม่เคยร้มู าก่อนจากประสบการณ์ของทีมผู้ช่วยภายนอก
-- ช่วยให้ทีมเจ้าบ้านได้ความช่วยเหลือ ความคิดเห็น และมุมมองจากทีมผู้ช่วย
ภายนอก ซึง่ อาจนำไปสูแ่ นวทางในการแกป้ ัญหาหรอื การทำงานใหมๆ่
แนวคิดทฤษฎี
เมื่อจะเริ่ม "ลงมือทำ" เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เราไม่เคยทำ หรือไม่สันทัด หรือยังได้ผลไม่เป็นท่ี
พอใจ ขั้นตอนแรกของการจัดการความรู้คือหาข้อมูล (ความรู้) ว่าเรื่องนั้นๆ มีบุคคลหรือกลุ่มคน ท่ี
ไหน หน่วยงานใด ที่ทำได้ผลดีมาก (best practice) และถือเป็นกัลยาณมิตร (peers) ที่อาจช่วย
แนะนำหรือให้ความรู้เราได้ กัลยาณมิตรนี้อาจเป็นเพื่อนร่วมงานในหน่วยงานเดียวกัน อาจเป็น
หน่วยงานอื่นในองค์กรเดียวกัน หรือเป็นคนที่อยู่ในองค์กรอื่นก็ได้ แล้วติดต่อขอเรียนรู้วิธีทำงานจาก
เขา ไปเรยี นรู้จากหนว่ ยงาน จะโดยวธิ ีไปดงู าน โทรศัพทห์ รือ e-mail ไปถาม เชิญมาบรรยาย หรือวิธี
อื่นๆ ก็ได้ หลักคิดในเรื่องนี้ก็คือ มีคนอื่นที่เขาทำได้ดีอยู่แล้ว ในเรื่องที่เราอยากพัฒนาหรือปรับปรุง
ไมค่ วรเสียเวลาคิดขึ้นใหมด่ ้วยตนเอง ควร "เรียนลดั " โดยเอาอย่างจากผูท้ ่ีทำได้ดอี ยู่แล้ว เอามาปรับใช้
กบั งานของเรา แล้วพฒั นาใหด้ ยี ิง่ ขนึ้ ยำ้ วา่ การเรยี นรู้จากกลั ยาณมิตรนีจ้ ะต้องไม่ใช่ไปลอกวิธีการของ
เขามาทั้งหมด แต่ไปเรียนรู้แนวคิดและแนวปฏิบัติของเขาแล้วเอามาปรับปรุงใช้งานให้เหมาะสมต่อ
สภาพการทำงานของเรา
วิธีการสอนแบบ “เพ่อื นช่วยเพ่ือน”
วิธีการสอนแบบ “เพ่ือนช่วยเพื่อน” สามารถทำได้ ดงั นี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่าทำ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ทำไปเพื่ออะไร อะไรคือต้นตอ
ของปญั หาที่ต้องการขอความชว่ ยเหลือ
2. ตรวจสอบว่าใครที่เคยแก้ปัญหาที่เราพบมาก่อนบ้างหรือไม่ โดยทำแจ้งแผนการ
ทำ “เพ่ือนชว่ ยเพอ่ื น” ของทมี ให้หนว่ ยงานอ่นื ๆ ไดร้ ับรู้ เพื่อหาผ้ทู ร่ี ้ใู นปญั หาดงั กล่าว
3. กำหนด Facilitator (คุณอำนวย) หรือผู้สนับสนุน และอำนวยความสะดวกใน
กระบวนการแลกเปล่ยี นเรียนรูร้ ะหวา่ งทีม เพือ่ ให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ
4. คำนึงถึงการวางตารางเวลาให้เหมาะสมและทันต่อการนำไปใช้งาน หรือการปฏิบัติจริง
โดยอาจเผือ่ เวลาสำหรบั ปัญหาที่ไม่คาดคดิ ท่อี าจจะเกดิ ขึ้น
5. ควรเลือกผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้มีความหลากหลาย (Diverse) ทั้งด้านทักษะ
(Skill) ความสามารถ/ความเชี่ยวชาญ (Competencies) และประสบการณ์ (Experience) สำหรับ
จำนวนผเู้ ข้ารว่ มแลกเปลย่ี นอยทู่ ่ปี ระมาณ 6-8 คนกเ็ พยี งพอ
6. มุ่งหาผลลัพธ์หรือสิ่งที่ต้องการได้รับจริงๆ กล่าวคือ การทำ “เพื่อนช่วยเพื่อน” นั้น
จะต้องมองให้ทะลุถึงปัญหา สร้างทางเลือกหลายๆ ทาง มากกว่าที่จะใช้คำตอบสำเร็จรูปทางใดทาง
หนงึ่
7. วางแผนเวลาสำหรับการพบปะสังสรรค์ทางสังคม หรือการพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ
(นอกรอบ)
8. กำหนดบทบาทของแต่ละฝ่ายให้ชดั เจน ตลอดจนสร้างบรรยากาศ เพื่อให้เอื้ออำนวยตอ่
การแลกเปลย่ี นเรียนรรู้ ะหว่างกนั
6. งานวิจยั ทเ่ี กี่ยวข้อง
การเรยี นแบบเพอื่ นช่วยเพือ่ น
1. ความหมายการเรียนแบบเพือ่ นช่วยเพื่อน (Co-operative Learning)
การเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน หมายถึง วิธีการสอนอีก แบบหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้
นกั เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน ทำงานรว่ มกันเปน็ กล่มุ เลก็ ๆ โดยปกตจิ ะมี 4 คน เป็นนักเรียนท่ี
เรียนเก่ง 1 คน เรียนปานกลาง 2 คน และเรียนอ่อน 1 คน การทดสอบของนักเรียนจะแบ่ง ออกเป็น
2 ตอน ตอนแรกจะพิจารณาค่าเฉลี่ยของทั้งกลุ่มตอนที่ 2 จะพิจารณาคะแนนทดสอบเป็นรายบุคคล
โดยการทดสอบนักเรียนต่างคนต่างทำแต่เวลาเรียนต้องเรียนร่วมกัน รับผิดชอบงานของกลุ่มร่วมกัน
โดยที่กลุ่ม จะประสบผลสำเร็จได้ เมื่อสมาชิกทุกคนได้เรียนรู้ บรรลุตามจุดมุ่งหมาย เช่นเดียวกัน
ทงั้ หมด ( อารี สณั หฉวี , สลาวนิ , มานพ ประธรรมสาร , สมบตั ิ กาญจนารักพงศ์ )
หลกั การเรียนรูด้ ว้ ยกล่มุ ร่วมมอื
1. การทำงานเป็นชีวิตจริงเป็นการทำงานร่วมกับผู้อื่น ผู้เรียนจึงควรได้ฝึกการทำงานแบบ
รว่ มมอื เพ่ือเปน็ การเตรยี มผเู้ รยี นไดร้ จู้ กั การทำงานร่วมกับผอู้ ืน่
2. การทำงานเปน็ ทีมเป็นลกั ษณะหนึง่ ของการทำงานของนักสงั คมศาสตร์
3. การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียนสอนทุกคน
และต้อง ลงมือทำงานกับเพื่อนสมาชิกอย่างจริงจัง จึงเป็นการสนับสนุนให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางวิธี
หน่ึง
4. การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมืออาจจัดเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนประกอบหรือเป็น
กจิ กรรมย่อย ของวิธสี อนสังคมศกึ ษาแบบต่าง ๆ ได้อย่างดี
หนา้ ที่ครูของผสู้ อน
1. จดั ผูเ้ รียนใหม้ ีสมาชกิ แตกต่างกัน กลมุ่ ละประมาณ 3 – 5 คน
2. ทบทวนบทบาทการทำงานกลุม่ หน้าทีข่ องสมาชกิ การช่วยเหลือซึ่งกนั และกนั
3. ชี้แจงวตั ถุประสงค์ในการเรยี นให้เขา้ ใจชดั เจนเกย่ี วกับเนอ้ื หาในบทเรียนที่ต้องศึกษา
4. ให้ความรว่ มมอื กลมุ่ ในการทำงาน
5. ประเมนิ ผล
ข้นั ตอนการเรียนร้ดู ้วยกลุ่มร่วมมอื
1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ใช้เวลาประมาณ 8 – 15 นาที เพื่อทบทวนเรื่องที่มาเรียนแล้วและ
ทบทวน บทบาทสมาชิกภายในกลุ่ม
2. ขั้นการทำงานกลุ่ม ใช้เวลา 25 – 30 นาที เป็นขั้นที่ครูแจกอุปกรณ์หรือสื่อการเรียน
ผู้เรยี น ปฏบิ ัติตามบทบาททไี่ ด้รับมอบหมาย ใช้เวลา 25 – 30 นาที เป็นข้ันทค่ี รู แจกอุปกรณ์หรือสื่อ
การเรยี น ผู้เรียน ปฏิบตั ติ ามบทบาททีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
3. ขั้นระดมสมอง ใช้เวลา 10 – 15 นาที เป็นการเสนอผลงาน เสนอแนะร่วมกันทั้งห้อง ให้
แตล่ ะกลุ่มได้มโี อกาสแสดงความคดิ เห็น โดยครคู อยถามใหผ้ ู้เรยี นเสนอความคดิ เห็นได้อยา่ งเต็มที่และ
ทัว่ ถงึ
การประเมนิ
1. การเสนอผลงานของผู้เรียนดว้ ยวิธีต่าง ๆ
2. การทดสอบ
3. การสงั เกตการณ์ทำงานของผูเ้ รยี นแต่ละกลมุ่
4. การแสดงความคดิ เห็นของผูเ้ รยี นในชัน้ ระดมสมอง
แนวคดิ เก่ยี วกับการวัดและประเมินผล
ความหมายของการวัดผล
นกั การศึกษาหลายท่านให้ความหมายของการวดั ผลไวด้ งั นี้
Guilford (1976: 8) ไดใ้ ห้ความหมายของการวดั ผลไว้ว่า “การวดั ผล หมายถึงกระบวนการท่ี
กำหนดจำนวน ตัวเลขให้กับวัตถุสิ่งของ หรือบุคคลตามความหมายที่จะวัดสอบและเปรียบเทียบ
ลกั ษณะความแตกตา่ งทปี่ รากฏอยูใ่ นสงิ่ ทีจ่ ะวดั นนั้ ๆ”
ภัทรา นิคมานนท์ (2522: 1) ได้ให้ความหมายของการวัดผลไว้วา่ “การวัดผล หมายถึง การ
ใชเ้ ครื่องมืออยา่ งใดอย่างหนึ่ง ทีจ่ ะค้นหา หรือการตรวจสอบเพ่อื ให้ได้ปริมาณจำนวนหรอื คณุ ภาพ ทีม่ ี
ความหมายแทนพฤตกิ รรม หรือผลงานที่แต่ละคนแสดงออกมา”
วิเชียร เกตุสิงห์ (2514: 5) ได้ให้ความหมายของการวัดผลไว้ว่า “การวัดผล หมายถึง
ขบวนการที่จะนำมาซึ่งตัวเลข จำนวนปริมาณ โดยจำนวนหรือปริมาณนั้นมีความหมายแทน
พฤติกรรมอยา่ งหนง่ึ หรอื แทนผลงานที่แต่ละคนแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบสิง่ เรา้ ออกมา”
จากที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่า การวัดผล หมายถึงวิธีการที่จะทำให้ทราบปริมาณและคุณภาพ
โดยอาศัยเครื่องมือหรือวิธีการต่าง ๆ เช่น การสังเกต การตรวจผลงาน การสอบถาม หรือสัมภาษณ์
และการใชแ้ บบทดสอบ
ความหมายของการประเมินผล
การประเมินผล หมายถึง การประเมินเพื่อ ปรับปรุงการเรียนรู้และเพื่อการตัดสินผลการ
เรียนรู้ของนักเรียน จัดเป็นเครือ่ งมือสำคญั ย่ิงจะช่วยให้ ครูได้ทราบระดับความเจริญงอกงามของเด็ก
แต่ละคนว่ามีการเปลี่ยนเพิ่มขึ้น หรือลดลงอย่างไร ผู้เรียนได้เกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะ เจตคติ
และการปฏิบัติตามจุดประสงค์ของการเรียนรู้ เพียงใดหรือไม่ ( วิทยา ประชากุล , กรมวิชาการ ,
สุวิมล วอ่ งวาณชิ , ประเสรฐิ ธรรมโวหาร และ มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช )
องค์ประกอบด้านการประเมนิ ผล
วศิน กาญจนวณิชย์กุล (2545: 26-27) ได้กล่าวว่า การประเมินผลเป็นกระบวนการต่อเน่อื ง
ของการเรยี นการสอน แบง่ เป็น 3 ข้นั ตอน ดังน้ี
1. การประเมินผลก่อนเรียน เพื่อช่วยให้ผู้สอนได้ทราบความสามารถของแต่ละคน เพื่อเป็น
ข้อมูลในการพิจารณาตัดสินว่า จะมีความสามารถเพียงพอในการศึกษาต่อหรือไม่ ถ้าไม่ดีพอจะได้ทำ
การปรบั ปรงุ แก้ไขใหด้ ีขึ้นได้
2. การประเมินผลระหว่างเรียนเมื่อมีการสอนไประยะหนึ่งๆ ควรจะได้มีการ ประเมินผล
ผู้เรียนตามจุดประสงค์ของรายวิชานั้นๆ เพื่อจะได้ทราบว่ามีความรู้เพียงพอหรือควรจะ ก้าวไป
ขา้ งหน้าไดห้ รือยงั
3. การประเมินผลหลังเรียน เป็นการประเมินผลรวม ครอบคลุมจุดประสงค์ต่างๆ หลาย
จดุ ประสงค์ เปน็ การประเมินเพื่อตดั สนิ ความสามารถ เพ่อื ดวู า่ ต้ังแต่ต้นจนบัดนี้ ผเู้ รียนมีความสามารถ
ตามจุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมต่างๆ มากน้อยเพียงใด
ขนั้ ตอนของการประเมนิ ผล
สมคิด (2532) ได้กลา่ วถงึ ขัน้ ตอนและล าดบั ขนั้ ของการประเมินผลการเรียน สรปุ ไดด้ งั นี้
ขั้นที่ 1 ทำความเข้าใจ พฤติกรรมที่ต้องประเมิน โดยแปลความหรือตีความในรูป ของการ
แสดงออกของเด็ก ซึ่งเปน็ ขน้ั ทำความเขา้ ใจจุดประสงคใ์ นการสอน
ขั้นที่ 2 ตั้งเกณฑ์โดยการกำหนดว่า การแสดงออกของนักเรียนต้องอยู่ในระดับใดครู จึง
ยอมรับว่านักเรยี นมีพฤตกิ รรมนัน้ จรงิ
ขั้นที่ 3 วัดผลนักเรียนโดยเลือกใช้วิธีการ และเครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ข้อมูลที่บอกให้
ทราบว่าผลพฤติกรรมของนักเรียนอยู่ในระดับใด สถานศึกษาจะต้องสนใจศึกษาหาความรู้และจัด
ดำเนินการภายในสถานศกึ ษาอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
ขั้นที่ 4 ลงความเห็นว่านักเรียนมีพฤติกรรมนั้นจริงหรือไม่ โดยการนำข้อมูลในขั้นท่ี 3
เปรยี บเทียบกบั เกณฑ์ในขน้ั ที่ 2 ถ้าพฤตกิ รรมของนกั เรียนถึงระดับที่เปน็ เกณฑ์กย็ อมรบั ว่านักเรียน มี
พฤติกรรมนั้นจริงโดยสมบรูณ์ ถ้าพฤติกรรมของนักเรียนไม่ถึงระดับที่เป็นเกณฑ์ ก็วินิจฉัยหา
ขอ้ บกพรอ่ งของการเรียนการสอน
จากการที่ได้ศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวกับการวัดและประเมินผลในเบื้องต้นนั้น ผู้ทำการวิจัยได้ทำ
การสรุปความหมายของการวัดและประเมินผลไว้ว่าการวัดและประเมินผล หมายถึง กระบวนการ
ตรวจสอบเพื่อให้ได้มาซ่ึงตวั เลข หรือสญั ลักษณท์ ี่มีความหมายแทนคุณลักษณะ หรอื คุณภาพของส่ิงที่
วัด โดยใช้เครื่องมือวัดผลที่มีประสิทธิภาพ และวินิจฉยั ตัดสินลงสรุปคุณค่าเพ่ือพิจารณาตัดสินใจท่ไี ด้
จากการวดั ผลอย่างมีกฎเกณฑ์ และมีคุณธรรม ซึ่งผทู้ ำการวิจัยได้แบง่ การประเมนิ ผลไวด้ งั นี้
1. การประเมินระหว่างเรียน (Formative Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อใช้ผลการ
ประเมินในการปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนการสอน การประเมินประเภทนี้ใช้ระหว่างการ
จัดการเรียนการสอน เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ใน
ระหวา่ งการจัดการเรียนการสอนหรือไม่ หากผ้เู รยี นไมผ่ า่ นจดุ ประสงค์ที่ต้งั ไวผ้ ูส้ อนกจ็ ะหาวิธีการที่จะ
ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ผลการประเมินยังเป็นการตรวจสอบผู้สอนเองว่าเป็น
อย่างไร แผนการสอนรายครั้งท่ีเตรยี มมาดหี รือไม่ ควรปรับปรุงอย่างไร กระบวนการจัดการเรียนการ
สอนเปน็ อยา่ งไร มีจดุ ใดบกพรอ่ งทต่ี อ้ งปรับปรงุ แกไ้ ขตอ่ ไป
2. การประเมินเพื่อตัดสิน (Summative Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อตัดสินผลการ
จัดการสอน เป็นการประเมินหลังจากผู้เรียนได้เรียนไปแล้ว อาจเป็นการประเมินหลังจบเรื่องใดเรื่อง
หนึ่งหรือหลายเรื่อง รวมทั้งการประเมนิ ปลายภาคเรียนหรอื ปลายปี ผลจากการประเมินประเภทนี้ใช้
ในการตัดสนิ ผลการจดั การเรียนการสอน หรือตัดสินใจว่าผ้เู รยี นคนใดควรจะไดร้ ับระดบั คะแนนใด
บทที่ 3
วิธีดำเนินการวจิ ัย
การวจิ ยั เรอ่ื งการพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนโดยใชว้ ธิ ีการเรยี นการสอนแบบเพ่ือนช่วย
เพ่ือน ผูว้ ิจัยได้ดำเนินการวิจัย ตามขั้นตอนดังน้ี
กลุ่มเป้าหมาย
กล่มุ เปา้ หมาย คือ นักเรียนระดับช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 1/1 จำนวน 41 คน
เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย
1. รูปแบบการเรยี นการสอนแบบเพ่อื นช่วยเพ่ือน
2. แบบบนั ทกึ คะแนน
3. สมุดแบบฝึกหดั และใบกิจกรรมของนักเรียน
4. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมนกั เรียนและแบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ของนักเรียน
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลสาหรับการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถาม
(Questionnaire) โดยผู้วิจัยสร้างจากแนวคิดที่ได้จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มี
เนื้อหาเกี่ยวกับการวิจัยของครู ในด้านความเช่ือ ทศั นคติ และคา่ นิยมในการทำวิจัยของครู เพื่อศึกษา
สภาพปัจจุบันด้านนโยบาย การบริหารงานวิจัย ปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยของครู และพัฒนาจาก
เครือ่ งมือการวจิ ยั ของ ภทั รวดี เทพพิทักษ์ (2550 : 103 - 112) พงศพ์ ัชรินทร์ พุธวฒั นะ (2545 : 258
- 266) พฤกษวรรณ ทองมาก (2549 : 105) โดยแบง่ เป็น 5 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 ปัจจยั สว่ นบุคคลของครูแบบตรวจสอบรายการ (Check List) และแบบให้เติมคาใน
ชอ่ งวา่ ง รวม 7 ขอ้
ตอนที่ 2 สภาพการทำวจิ ยั ของครูแบบตรวจสอบรายการ (Check List) และแบบใหเ้ ติมคา
ในชอ่ งวา่ ง รวม 22 ข้อ
ตอนที่ 3 ความเช่อื ทัศนคติ และคา่ นิยมด้านการทำวจิ ยั ของครู จำนวน 34 ข้อ แบบมาตรา
สว่ นประมาณค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ โดยมีหลกั เกณฑ์การให้คะแนน ดังน้ี
1. กรณีทีข่ ้อความมีลกั ษณะในทางบวก (Positive) ซึง่ ได้แกค่ ำถามข้อที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7,
8, 9, 10, 11, 12, 15, 16, 17, 18, 20, 22, 26, 28, 30, 31, 32,34 มหี ลกั เกณฑ์การให้คะแนน ดงั นี้
ครูมีทศั นะต่อความเช่ือ ทศั นคติ และค่านิยมการทำวิจยั ในระดบั มากทีส่ ดุ เท่ากบั 5
คะแนน
ครูมีทศั นะต่อความเชื่อ ทศั นคติ และค่านิยมการทำวิจัย ในระดับมาก เทา่ กบั 4
คะแนน
ครูมีทัศนะต่อความเช่ือ ทัศนคติ และค่านยิ มการทำวิจยั ในระดบั ปานกลาง เท่ากบั 3
คะแนน
ครมู ีทัศนะต่อความเชื่อ ทศั นคติ และค่านยิ มการทำวิจยั ในระดับน้อย เทา่ กับ 2
คะแนน
ครมู ีทศั นะตอ่ ความเชื่อ ทัศนคติ และค่านยิ มการทำวิจยั ในระดับน้อยทสี่ ดุ เ ท ่ า ก ั บ 1
คะแนน
2. กรณที ขี่ ้อความมีลกั ษณะในทางลบ (Negative) ซึ่งไดแ้ ก่คาถามข้อที่ 13, 14, 19, 21, 23,
24, 27, 29, 33 มหี ลกั เกณฑ์การใหค้ ะแนน ดังน้ี
ครูมีทัศนะต่อความเช่ือ ทัศนคติ และค่านยิ มการทำวจิ ยั ในระดับมากทีส่ ดุ เทา่ กับ 1
คะแนน
ครมู ีทศั นะต่อความเช่ือ ทศั นคติ และค่านยิ มการทำวจิ ัย ในระดับมาก เทา่ กบั 2
คะแนน
ครูมที ศั นะต่อความเช่ือ ทัศนคติ และค่านิยมการทำวิจยั ในระดบั ปานกลาง เทา่ กบั 3
คะแนน
ครมู ที ัศนะต่อความเชื่อ ทศั นคติ และค่านยิ มการทำวิจัย ในระดับนอ้ ย เทา่ กับ 4
คะแนน
ครูมีทศั นะตอ่ ความเช่อื ทัศนคติ และค่านิยมการทำวิจัย ในระดบั น้อยทีส่ ุด เ ท ่ า ก ั บ 5
คะแนน
ตอนที่ 4 ความคิดเหน็ เกีย่ วกับปัจจัยทเ่ี อื้อต่อการทำวจิ ยั เป็นแบบสอบถามมาตราส่วน
ประมาณคา่ (Rating Scale) ตามแบบของลคิ เอริ ์ท (Likert, อ้างถงึ ในผ่องศรี วาณชิ ย์ศุภวงศ์, 2546 :
132) แบง่ เปน็ 5 ระดับโดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนดังนี้
ระดบั 5 หมายถึง ครูมีทัศนะต่อปจั จยั ที่เอื้อต่อการทำวจิ ยั ในระดบั มากท่สี ุด
ระดบั 4 หมายถึง ครูมที ัศนะต่อปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวจิ ัยในระดบั มาก
ระดับ 3 หมายถึง ครูมที ัศนะต่อปจั จยั ท่เี อื้อต่อการทำวิจัยในระดบั ปานกลาง
ระดบั 2 หมายถึง ครมู ที ัศนะต่อปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวจิ ยั ในระดบั นอ้ ย
ระดับ 1 หมายถึง ครมู ีทัศนะต่อปจั จัยทเ่ี ออื้ ต่อการทำวิจัยในระดับนอ้ ยทสี่ ุด
ตอนท่ี 5 เปน็ แบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบสอบถามปลายเปดิ เกย่ี วกบั ข้อเสนอแนะใน
การพัฒนาวฒั นธรรมวิจยั ของครู
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. แบง่ กลมุ่ นกั เรยี นออกเปน็ กล่มุ ในแตล่ ะกลมุ่ จะเฟ้นหานักเรียนที่เก่ง และมีความรับผิดชอบ มี
ลักษณะเปน็ ผู้นำมอบหมายให้เปน็ หัวหน้ากลมุ่
2. ครูผสู้ อนชี้แจงการเรยี นแบบเพ่ือนชว่ ยเพ่ือน โดยหลังจากครสู อนในแต่ละครั้งก็จะมอบหมายให้
นักเรยี นทำแบบฝึกหัด โดยนกั เรียนนั่งทำแบบฝึกหดั ระดมสมองช่วยกนั คิด หากหวั ข้อใดสมาชิกใน
กลมุ่ ไม่เขา้ ใจ ผ้ทู ่เี ขา้ ใจกจ็ ะช่วยกนั อธบิ ายจนเพ่ือนเขา้ ใจ หากสมาชกิ ในกลุ่มยงั ไม่เข้าใจก็จะปรึกษา
ครูผู้สอน
3. ครสู งั เกตการทำกจิ กรรมของกลุ่ม การช่วยกนั แก้ปัญหา ความสนใจ และความตั้งใจของสมาชิก
ในกล่มุ
4. สังเกตผลการทำแบบฝึกหัดวา่ ดีขนึ้ หรือไม่
5. สังเกตการประเมนิ ตามสภาพจรงิ ในแตล่ ะครงั้
6. วัดผลการเรยี นเมอื่ สิ้นบทเรียน
การวิเคราะหข์ อ้ มลู
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาการคำนวณ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1
เรือ่ งระบบเทคโนโลยีทเ่ี รยี นดว้ ยการจดั การเรยี นรู้โดยใช้รูปแบบการสอนท่ีเน้นกระบวนการแก้ปัญหา
โดยการนำคะแนนของนักเรียนทั้ง 41 คน มาคำนวณหาค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย และนำเสนอข้อมูล
โดยใช้ตารางประกอบคำบรรยาย
สถิติทีใ่ ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล
เปรียบเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น วิชาวิทยาการคำนวณ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1/1 ท่เี รียน
โดยใช้รปู แบบการสอนท่เี นน้ กระบวนการแก้ปญั หาก่อนและเรยี นโดยนำคะแนนทดสอบชองนักเรยี น
มาหาค่าร้อยละ และค่าเฉลย่ี
1.1 ค่าร้อยละ การศึกษาผลการทดสอบของร้อยละคะแนนทเ่ี พมิ่ ขึน้ โดยใชส้ ูตร
ดงั น้ี
X % = x 100
n
เมือ่ % คือคะแนนเฉลีย่ ร้อยละ
x คือคะแนนผลการทดสอบของนักเรียนทกุ คนรวมกัน
n คือจำนวนนักเรียนกลุ่มประชากร
1.2 คา่ เฉลีย่ ของคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น ( x ) ใช้สตู ร
ของล้วน ยศสาย และอังคณา ยศสาย (2543: 59)
x= x
N
เม่ือกำหนดให้ x คอื ค่าเฉลี่ย
x คือ ผลรวมของคะแนน
N
N คอื จำนวนนกั เรยี นทง้ั หมด
1.3 สถิติพื้นฐานทีใ่ ชใ้ นการหาคณุ ภาพเครอื่ งมือ
∑
=
แทนคา่ คอื ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ ง -1 ถึง +1
∑ คอื ผลรวมคะแนนความคดิ เหน็ ของผ้เู ชยี่ วชาญท้ังหมด
คอื จำนวนผู้เชย่ี วชาญทง้ั หมด
1.4 สถิติท่ใี ชใ้ นการทดสอบสมมตฐิ าน
ขน้ั ตอนการทดสอบสมมตฐิ านทางสถติ ิมดี ังนี้
1. ต้ังสมมติฐานหลกั (H0) และสมมติฐานทางเลอื ก (H1) ใหม้ คี วามหมายตรงข้ามกัน
เสมอ
2. กำหนดระดบั นัยสำคัญ α
3. เลอื กตัวสถติ ิทดสอบที่เหมาะสม แลว้ หาจุดวกิ ฤตเพอ่ื กำหนดบริเวณปฏเิ สธ H0 ให้
สอดคล้องกับ H0 และ α
4. คำนวณคา่ สถติ ทิ ใ่ี ช้ทดสอบจากตัวอย่างขนาด n ที่ส่มุ มา
5. ตดั สินใจยอมรับหรือปฏิเสธ H0 โดยพิจารณาจากเงอื่ นไขน้ี ถ้าค่าสถติ ทิ ดสอบที่
คำนวณไดจ้ ากข้นั ตอนท่ี 4 ตกอย่ใู นบริเวณยอมรับ เราจะตดั สินใจยอมรับ H0 แต่หากตกอยู่
บริเวณปฏิเสธ จะตดั สนิ ใจปฏเิ สธ H0
6. สรุปผล
1.5 ค่ารอ้ ยละ (Percentage) ใช้สูตรดงั นี้
= 100
แทนค่า คือ ร้อยละ
∑ คอื ความถ่ที ่ีต้องการแปลงใหเ้ ป็นรอ้ ยละ
คือ จำนวนความถท่ี ัง้ หมด
นำข้อมลู ทไ่ี ด้จากการทำแบบทดสอบก่อนเรยี นและแบบทดสอบหลังเรียนมาสรา้ ง
ตารางเปรียบเทียบคะแนนสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นของนักเรยี นของนกั เรยี นรายบุคคลมา เพื่อดู
พฒั นาการของนักเรียนและจุดบกพร่องต่อไป
ค่าความยากงา่ ยของข้อสอบ
เป็นการตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบเป็นรายข้อ เพื่อพิจารณาว่าข้อสอบแต่ละข้อนั้น มี
ระดับความยากหรือค่าความง่าย ( Difficulty index or Easiness ) และค่าอำนาจจำแนกของ
ข้อสอบ ( Disciminant index ) เพียงใด รวมทั้งพิจารณาถึงประสิทธิภาพของตัวลวงในข้อ
เลือกตอบของข้อสอบข้อนั้นด้วย ผลการวิเคราะห์จะทำให้ทราบว่าข้อสอบแต่ละข้อมีความเหมาะสม
มากน้อยเพยี งใด ข้อสอบทม่ี คี ุณภาพจะสามารถนำไปวดั และประเมินผลได้อยา่ งเทย่ี งตรงและเช่ือม่ัน
ได้ แบบทดสอบที่ดีต้องมีความยากง่ายพอเหมาะ คือ ไม่ยากเกินไปและไม่ง่ายเกินไป ความยากง่าย
ของ แบบทดสอบพิจารณาได้จากผลการสอบของแบบทดสอบฉบับน้ันเป็นสำคัญ การพิจารณาความ
ยากง่าย พิจารณาดงั นี้
1. การพจิ ารณาความยากงา่ ยของแบบทดสอบท้ังฉบับ
1.1 พิจารณาจากคะแนนรวมของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยพิจารณาจากคะแนน
เฉลีย่ ของ คะแนนรวมทงั้ ฉบบั
- หากคะแนนเฉลย่ี สูงกวา่ ครึง่ หน่ึงของคะแนนเต็ม แสดงวา่ แบบทดสอบฉบับน้ันง่าย
หรือ คอ่ นขา้ งงา่ ย
- หากคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของคะแนนเต็ม แสดงว่าแบบทดสอบฉบับนั้น
ยากหรอื ค่อนข้างยาก
1.2 พิจารณาจากค่าความยากง่ายของข้อคำถามรายข้อ โดยพิจารณาค่าเฉลี่ยของ
ความยากรายขอ้ ทัง้ ฉบบั ความยากง่ายของข้อสอบรายขอ้ มีคา่ อยู่ระหว่าง 0 – 1.00
- หากค่าเฉลี่ยค่าความยากง่ายรายข้อทั้งฉบับสูงกว่า .50 แสดงว่าแบบทดสอบฉบบั
น้ันง่าย หรือค่อนข้างง่าย
- ถ้าค่าเฉลี่ยของค่าความยากง่ายรายข้อทั้งฉบับต่ำกว่า .50 แสดงว่าแบบทดสอบ
ฉบับนัน้ ยากหรอื คอ่ นขา้ งยาก
การพิจารณาความยากง่ายของแบบทดสอบรายข้อ
พิจารณาจำนวนผ้ตู อบถูกในแต่ละขอ้
- ถ้าข้อใดที่มีผู้ตอบถูกมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้สอบ แสดงว่าเป็นผู้สอบที่ง่ายหรือ
คอ่ นข้างงา่ ย
- ถ้ามีจำนวนผ้ตู อบถกู นอ้ ยกว่าครึ่งหนง่ึ ของผสู้ อบท้งั หมด แสดงว่ายากหรือค่อนข้าง
ยาก ค่าความยากง่ายของข้อสอบ หมายถึง สัดส่วนของผู้ที่ตอบข้อคำถามนั้นถูก ซึ่งนิยมให้
แทนค่า “ P ” มี คา่ ต้ังแต่ 0 ถงึ 1.00
การแปลความหมายคา่ P : อาจแบง่ ไดเ้ ปน็ 5 ชว่ ง ดงั น้ี
คา่ P ระดับความยาก ความหมายเทียบสอบจาก การพจิ ารณา
ผสู้ อบ 100 คน
0 - .19 ยากมาก มผี ้ตู อบถูกไมถ่ งึ 20 คน ควรปรับปรุงหรอื
ตดั ทิ้ง
.20 - .39 คอ่ นข้างยาก มผี ู้ตอบถูก 20 - 39 พอใช้ได้
.40 - .59 ยากพอเหมาะ มีผู้ตอบถูก 40 - 59 ใชไ้ ด้
.60 - .80 ค่อนข้างง่าย มีผูต้ อบถูก 60 - 80 พอใช้ได้
.81 - 1.00 ง่ายมาก มผี ูต้ อบถูก 81 - 100 ควรปรับปรงุ หรอื
ตดั ทง้ิ
ดงั น้ัน คา่ ความยากง่าย ( p ) ของขอ้ สอบที่ควรนามาใช้ควรมาคา่ ระหวา่ ง .20 - .80
บทที่ 4
ผลการศกึ ษาคน้ ควา้
วิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนของนักเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ท่ี
กำหนด โดยเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลเปน็ ลำดบั ในลักษณะตารางประกอบคำบรรยายดังนี้
ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละและคา่ เฉลย่ี ของคะแนนสอบความสามารถในการแก้ปญั หาทางการ
ออกแบบเทคโนโลยี ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 1/1 ท่ีไดร้ ับการจัดการเรียนรโู้ ดยใช้ชุดฝึก
กระบวนการกลุ่ม เรื่องระบบเทคโนโลยีของนกั เรยี นก่อนและหลงั เรียน ของนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปี
ที่ 1/1 จำนวน 41 คน
การทดสอบ คะแนนเตม็ คะแนนเฉล่ยี ( x ) รอ้ ยละของคะแนนท่ี
เพิม่ ขนึ้
ก่อนเรยี นแบบเพื่อนชว่ ยเพื่อน 10 3.63 -
หลังเรียนแบบเพ่ือนชว่ ยเพ่ือน 10 6.02 65.84
จากตารางพบว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 3.63 คะแนน และคะแนน
เฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 6.02 คะแนน ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เท่ากับ 2.39
คะแนน และนักเรียนทุกคนมีคะแนนสูงขึ้นกว่าเดิมโดยมีคะแนนความก้าวหน้าเมื่อเทียบระหว่าง
คะแนนก่อนเรียนกบั คะแนนหลงั เรียนคดิ เปน็ รอ้ ยละ 65.84 และนักเรยี นมีทัศนคติทีด่ ขี ึ้นกับการเรยี น
ตารางท่ี 2 แสดงผลการทดสอบก่อนและหลังเรียนโดยใชว้ ิธีการสอนแบบเพ่ือนชว่ ยเพ่ือน
ที่ ช่ือ-สกลุ ทดสอบก่อน ทดสอบหลงั ความแตกต่าง
เรยี น เรียน คา่ คะแนน
1 เดก็ ชายชยงั กรู ศรีสุข
2 เด็กชายรัชชานนท์ ทองใบ (10 คะแนน) (10 คะแนน) 2
3 เดก็ ชายชลนที วรรณกูล 4 6 3
4 เดก็ ชายณฐั พล วงษะ 5 8 5
5 เดก็ ชายสุรพงษ์ เพ่มิ โต 2 7 3
2 5 1
5 6
6 เด็กชายชญานนท์ เกลียวทองสกุล 3 5 2
7 เดก็ ชายกติ ติ ทพิ โรจน์ 3 6 3
8 เด็กชายธรรมรตั น์ คนั ธอลุ ิศ 2 5 3
9 เด็กชายสทุ ศั น์ โพธิศ์ รี 26 4
10 เดก็ ชายศุภโชค ศรสี นธ์ 15 4
11 เด็กชายปฏิภาณ รกั ษาใจ 57 2
12 เด็กชายนิภากร ธนานิตย์ 3 6 3
13 เดก็ ชายพงศกร อดทน 46 2
14 เด็กชายปัญญากร ภู่ไชย์ 48 4
15 เดก็ ชายจกั รกฤษ สุขพงษ์ 67 1
16 เดก็ ชายวศิ ษณุพร หุน่ นาค 38 5
17 เด็กชายเชดิ ศกั ดิ์ ใบเนียม 36 3
18 เดก็ ชายอภิรกั ษ์ มีชุ่ม 45 1
19 เดก็ ชายราเชนทร์ บุญมาก 46 2
20 เดก็ หญงิ สุทธิกาญจน์ เปา้ สุวรรณ์ 4 5 1
21 เดก็ หญงิ ยลรดา โสภาเจรญิ 5 7 2
22 เดก็ หญงิ วกุลทิพย์ ปานะดษิ ฐ์ 6 7 1
23 เดก็ หญิงสภุ าพร คำภาค 57 2
24 เด็กหญิงศริ ิพร ประเสริฐ 5 7 2
25 เด็กหญิงพรชนก ไกรนัย 34 1
26 เด็กหญิงพชั นิดา แตงศรี 34 1
27 เด็กหญงิ ภคพร พบิ ลู ยท์ รพั ยส์ นิ 4 6 2
28 เดก็ หญงิ นนั ทัชพร ปาลวัฒน์ 2 4 2
29 เด็กหญงิ พิชญา สุขประเสรฐิ 3 5 2
30 เด็กหญิงกัณณฐั เกตทุ อง 16 5
31 เด็กหญิงเก็จลดา เขยี วสะอาด 3 4 1
32 เดก็ หญิงมีนา ทองทิพย์ 3 4 1
33 เด็กหญงิ ธญั ชนก จนั ทร์ศรี 3 6 3
34 เด็กหญงิ นริ มล จนั ทรกุญชร 5 7 2
35 เดก็ หญิงเปรมฤดี ดษิ ฐาน 68 2
36 เดก็ หญงิ กรรณิการ์ แทน่ ทอง 3 6 3
37 เด็กหญงิ ทดั ดาว อ้อยผดงุ 5 7 2
38 เด็กหญงิ เพียงลดา พาสกระโทก 4 8 4
39 เด็กหญงิ ปวริศา คุณรมั ย์ 27 5
40 เด็กหญิงนำ้ เพรช พงษเ์ สมา 5 5 0
41 เด็กหญิงสริ ิกญั ญา สมบัติ 45 1
ค่าเฉลย่ี 3.63 6.02 2.39
จากตารางที่ 2 แสดงให้เหน็ ว่าผลการทดสอบกอ่ นและหลงั เรยี นนกั เรยี นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1
นนั้ โดยใชว้ ธิ กี ารสอนแบบเพ่ือนช่วยเพื่อนนั้น นกั เรยี นทดสอบก่อนเรยี นมีคา่ คะแนนเฉลย่ี เท่ากบั
3.63 คะแนน จากน้นั ทดสอบหลงั เรียนมีค่าคะแนนเฉลย่ี เท่ากับ 6.02 คะแนน โดยนกั เรียนมีคา่
คะแนนเฉล่ยี ท่ีเพ่ิมขนึ้ 2.39 คะแนน ซึ่งเปน็ พัฒนาการของคะแนนเพิ่มข้ึนเกือบเทา่ ตวั
บทที่ 5
สรปุ อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
สรุปผลการศกึ ษา
การวจิ ยั คร้ังน้มี ีวัตถุประสงค์เพอ่ื พฒั นาวธิ ีการเรยี นของนกั เรยี นให้เอ้อื ต่อการเรยี นรู้ ของ
นักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1/1 โดยมีเป้าหมายใหน้ ักเรยี นทุกคนมีผลการเรยี นผ่านเกณฑ์ท่ีกำหนด
สมมุตฐิ านของการวิจัย
คำอธิบายจากเพ่ือนสามารถทำให้นกั เรยี นบางส่วนท่ีไม่เข้าใจบทเรียนน้ัน กลับมาเข้าใจ
บทเรยี นมากขนึ้ และเรยี นรู้ได้มากข้ึนกวา่ คำอธบิ ายของครู
กลมุ่ เป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรยี นระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1/1 จำนวน 41 คน
เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย
1. รปู แบบการเรียนการสอนแบบเพ่อื นช่วยเพ่ือน
2. แบบบันทึกคะแนน
3. สมุดแบบฝึกหดั และใบกจิ กรรมของนักเรียน
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
1. แบง่ กล่มุ นกั เรียนออกเป็นกลมุ่ ในแต่ละกลุ่มจะเฟน้ หานักเรยี นทเี่ ก่ง และมีความรับผิดชอบ มี
ลกั ษณะเปน็ ผู้นำมอบหมายให้เป็นหัวหนา้ กลุม่
2. ครผู ู้สอนชี้แจงการเรียนแบบเพ่อื นชว่ ยเพ่ือน โดยหลงั จากครสู อนในแตล่ ะครงั้ ก็จะมอบหมายให้
นกั เรียนทำแบบฝึกหัด โดยนกั เรียนนั่งทำแบบฝกึ หดั ระดมสมองชว่ ยกนั คิด หากหวั ข้อใดสมาชิกใน
กลุม่ ไม่เขา้ ใจ ผ้ทู เี่ ขา้ ใจกจ็ ะชว่ ยกันอธิบายจนเพอ่ื นเขา้ ใจ หากสมาชิกในกลมุ่ ยังไม่เข้าใจก็จะปรกึ ษา
ครผู ู้สอน
3. ครูสงั เกตการทำกิจกรรมของกลมุ่ การช่วยกนั แก้ปัญหา ความสนใจ และความต้งั ใจของสมาชิก
ในกลุม่
4. สงั เกตผลการทำแบบฝึกหัดว่าดีขึน้ หรอื ไม่
5. สงั เกตการประเมินตามสภาพจริงในแตล่ ะคร้งั
6. วดั ผลการเรียนเมื่อสนิ้ บทเรียน
สรปุ ผลการวจิ ัย
ผลจากการจัดการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนมาใช้ในการเรียนการสอนวิชา
วิทยาการคำนวณ ผลปรากฎว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 3.63 คะแนน และ
คะแนนเฉล่ียหลังเรยี นเทา่ กับ 6.02 คะแนน ซึ่งมีคะแนนเฉลย่ี หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรยี น เทา่ กบั 2.39
คะแนน และนักเรียนทุกคนมีคะแนนสูงขึ้นกว่าเดิมโดยมีคะแนนความก้าวหน้าเมื่อเทียบระหว่าง
คะแนนกอ่ นเรียนกับคะแนนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 65.84 และนกั เรยี นมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนใน
รายวิชาเพมิ่ ขนึ้ อยา่ งเห็นไดช้ ดั และกิจกรรมกลุ่มของนักเรียนทำใหเ้ กิดบรรยากาศทด่ี ีและเอ้ือต่อการ
เรียนการสอน ช่วยให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นสนใจ ตั้งใจ และมีความรับผิดชอบต่อการเรียน
มากขนึ้ อกี ทัง้ ยังช่วยกระตุ้นให้นักเรยี นมีความกระตอื รือรน้ อย่ตู ลอดเวลา ช่วยสร้างความสามัคคีให้
เกิดขึ้นในกลุ่ม รู้จักแก้ปัญหาร่วมกัน ทำงานเป็นทีมระดมความคิดของหลายคน ซึ่งแนวทางนี้
เหมาะสมในการแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี รวมถึงสามารถสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิชา
วิทยาการคำนวณเปน็ อย่างมาก
อภปิ รายผลการวิจัย
จากการศึกษาวิจัยพบว่าการสอนโดยวิธีเพ่อื นช่วยเพื่อนระหวา่ งนกั เรียนในรายวิชา ทำให้
ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของผู้เรียนมีพัฒนาการท่ดี ีขน้ึ อยา่ งเห็นไดช้ ดั
ข้อเสนอแนะ
1. ครผู ู้สอนจะต้องคอยตดิ ตามดูแล การปฏบิ ัติงานกลมุ่ อย่างต่อเน่ือง
2. ควรเฟน้ หาหัวหน้ากล่มุ ทเี่ ก่ง และมีคุณภาพจรงิ ๆ
3. ครผู ูส้ อนจะต้องคอยให้แรงเสรมิ แก่นกั เรียนอยา่ งต่อเน่ือง
4. ครผู ู้สอนควรแจง้ ผลการประเมินทุกคร้งั เพื่อกลมุ่ จะได้ปรบั ปรุงและพฒั นาตวั เองในจุดทย่ี งั ดอ้ ยอยู่
บรรณานุกรม
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2544). วทิ ยาการคำนวณ เลม่ 1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 พุทธศักราช 2562. .
. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว.
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ เลิศ สิทธโิ กศล. (2555). วทิ ยาการคำนวณ เล่ม 1 ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1
. พทุ ธศกั ราช 2560. กรงุ เทพฯ : เจริญดมี ่นั คงการพิมพ์.
คมเพชร ฉตั รศภุ กลุ . (2546). กจิ กรรมกลุ่มในโรงเรยี น. พมิ พ์ครั้งท่ี 5. กรุงเทพฯ : ศูนยห์ นังสือ
. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ.
ชยั ยงค์ โสภานธิ กิ ลุ ชยั . (2549). กิจกรรมในรายวชิ าเพอื่ การสอน. พมิ พ์ครั้งที่ 2. กรงุ เทพฯ :
. ศนู ย์ หนงั สือจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั
ภาคผนวก
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 1
วิชาวิทยาการคำนวณ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1
เรื่องระบบเทคโนโลยี เวลา 3 ชั่วโมง
1. มาตรฐาน/ตัวชี้วดั
ว 4.1 ม.1/2 ระบุปัญหาหรือความต้องการในชีวิตประจำวัน รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล และ
แนวคดิ ทเี่ กย่ี วข้องกับปญั หา
ว 4.1 ม.1/3 ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา โดยวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกข้อมูลท่ี
จำเป็นนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาให้ผู้อนื่ เข้าใจ วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา
ว 4.1 ม.1/4 ทดสอบ ประเมินผล และระบุข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งหาแนวทางการ
ปรับปรงุ แกไ้ ข และนำเสนอผลการแกป้ ญั หา
2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. อธบิ ายความหมายของกระบวนการเทคโนโลยี (K)
2. บอกองค์ประกอบและความสำคัญของกระบวนการเทคโนโลยี (K)
3. อธิบายเกย่ี วกบั ข้ันตอนการแกป้ ญั หาผ่านกระบวนการเทคโนโลยี (P)
4. วิเคราะหส์ าเหตุ หรือปจั จัยที่ส่งผลตอ่ การแก้ปญั หาโดยใชก้ ระบวนการเทคโนโลยี (P)
5. เห็นคณุ ประโยชน์ของการเรยี นวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี และตระหนักในคุณค่าของ
ความรู้
ไปแก้ปญั หาใช้ในชวี ติ ประจำวัน (A)
3. สาระการเรยี นรู้
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรูท้ ้องถ่นิ
- ปัญหาหรือความต้องการในชีวิตประจำวันพบได้จากหลายบริบท พจิ ารณาตามหลักสตู รของ
ขนึ้ กบั สถานการณท์ ปี่ ระสบ เชน่ การเกษตร อาหาร สถานศึกษา
- การแก้ปัญหาจำเป็นต้องสืบค้น รวบรวมข้อมูลความรู้จากศาสตร์
ต่างๆ ทีเ่ กย่ี วข้อง เพ่ือนำไปสกู่ ารออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหา
- การวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกข้อมูลที่จำเป็น โดย
คำนึงถึงเงื่อนไขและทรัพยากรที่มีอยู่ ช่วยให้ได้แนวทางการ
แกป้ ัญหาทเี่ หมาะสม
- การออกแบบแนวทางการแก้ไขปัญหาทำได้หลากหลายวธิ ี เช่น การ
รา่ งภาพ การเขยี นแผน การเขยี นฝังงาน
- การกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการทำงานก่อนดำเนินการ
แกป้ ัญหาจะช่วยใหท้ ำงานสำเรจ็ ไดต้ ามเป้าหมาย
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรยี นรู้ท้องถนิ่
- การทดสอบและประเมนิ ผลเป็นการตรวจสอบชน้ิ งานหรอื วธิ ีการวา่
สามารถแกป้ ัญหาได้ตามวัตถปุ ระสงค์เพอ่ื หาข้อบกพร่อง และ
ดำเนนิ การปรบั ปรงุ ใหส้ ามารถแกไ้ ขปัญหาได้
- การนำเสนอผลงานเป็นการถ่ายทอดแนวคิดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ
เกี่ยวกับกระบวนการทำงานและชิ้นงานหรือวิธีการที่ได้ ซึ่งสามารถ
ทำไดห้ ลายวธิ ี เช่น การเขยี นรายงาน การทำแผน่ นำเสนอผลงาน
4. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด
ปัญหาหรือความต้องการในชีวิตประจำวันพบได้จากหลายบริบทขึ้นกับสถานการณ์ที่ประสบ
เช่น การเกษตร อาหารดังนั้นการแก้ปัญหาผ่านกระบวนการเทคโนโลยีจำเป็นต้องสืบค้น รวบรวม
ข้อมูลความรจู้ ากศาสตร์ต่างๆ ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง เพือ่ นำไปสู่การออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหาโดยเร่ิมจาก
การวิเคราะห์ เปรียบเทยี บ และตัดสนิ ใจเลือกข้อมูลท่ีจำเปน็ โดยคำนึงถึงเงื่อนไขและทรัพยากรท่ีมีอยู่
ช่วยให้ได้แนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสมแล้วดำเนินการออกแบบแนวทางการแก้ไขปัญหาทำได้
หลากหลายวิธี เช่น การร่างภาพ การเขียนแผน การเขียนฝังงาน พร้อมทั้งกำหนดขั้นตอนและ
ระยะเวลาในการทำงานก่อนดำเนนิ การแก้ปัญหาจะช่วยให้ทำงานสำเร็จไดต้ ามเป้าหมาย
การทดสอบและประเมินผลเป็นการตรวจสอบชิ้นงานหรือวิธีการว่าสามารถแก้ปัญหาได้ตาม
วัตถุประสงค์เพื่อหาข้อบกพร่อง และดำเนินการปรับปรุงให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ และจะสมบูรณ์
เมอื่ นำเสนอผลงานเป็นการถ่ายทอดแนวคิดเพื่อให้ผู้อน่ื เข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทำงานและช้ินงาน
หรอื วธิ กี ารที่ได้ ซึ่งสามารถทำได้หลายวธิ ี เช่น การเขียนรายงาน การทำแผน่ นำเสนอผลงาน
5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียนและคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการสือ่ สาร 1. มีวินัย รบั ผดิ ชอบ
2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝเ่ รยี นรู้
1) ทักษะการคดิ วิเคราะห์ 3. มงุ่ มัน่ ในการทำงาน
2) ทักษะการคดิ อยา่ งสร้างสรรค์
3) ทกั ษะการคิดอยา่ งเป็นระบบ
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนิค :ใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem based Learning)
ขั้นนำ
1. ครูพูดคุยซักถามนักเรียนเกี่ยวกับ การใช้ชีวิตประจำวัน “นักเรียนติดเล่นโทรศัพท์มือถือ
กันมากแค่ไหน อย่างไร”ครูอธิบายเพ่ิมเติมให้นกั เรียนเขา้ ใจวา่ ปัญหาการใช้เทคโนโลยไี ม่
เหมาะสมในปัจจบุ ันคือปญั หาทต่ี ้องการแก้ไข
2. ครูสมุ่ นักเรยี น 3-4 คน ยกตัวอย่าง การใชเ้ ทคโนโลยีทไี่ ม่เหมาะสม พร้อมท้ังบอกว่าปัญหา
ที่จำเปน็ ต้องแก้คอื อะไร สาเหตุ และผลกระทบต่อการดำเนนิ ชวี ติ ประจำวนั อย่างไร
3. ครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจว่าสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของมนุษย์
ลว้ นเป็นเทคโนโลยี ซ่งึ เกดิ จากกระบวนการคิดที่เป็นระบบเพื่อแกป้ ัญหาและทำให้คุณภาพ
ชีวติ ดีขึน้ แตถ่ า้ เราใช้เทคโนโลยอี ยา่ งไมเ่ หมาะสมกอ็ าจเปน็ โทษได้
4. นกั เรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรยี น
5. ครูถามคำถามกระตุ้นความคิด จากหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการ
คำนวณ) ม.1 หน้า 19 ว่าเทคโนโลยีมีส่วนช่วยในการดำรงชีวิตอย่างไรแล้วให้นักเรียน
รว่ มกันแสดงความคดิ เห็นและตอบคำถาม
(แนวตอบ : เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ ช่วยในการแก้ปัญหาผ่าน
กระบวนการเทคโนโลยี ซึ่งเป็นขั้นเป็นตอนที่มีส่วนช่วยในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่มี
ประสิทธิภาพ ใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหา จนได้ออกมา
เป็นสงิ่ ทีต่ อบสนองความจำเป็นหรือความต้องการของมนุษย์ซ่งึ กระบวนการเทคโนโลยีเป็น
สิ่งท่ชี ว่ ยตอบสนองความจำเป็นและความต้องการของมนษุ ย์)
ข้ันสอน
ข้ันกำหนดปญั หา
1. ครูถามคำถามสำคัญประจำหัวข้อกับนักเรียน ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยี
(วิทยาการคำนวณ) ม.1 ว่า กระบวนการเทคโนโลยีช่วยตอบสนองความจำเป็นและความ
ต้องการของมนษุ ยอ์ ย่างไร
(แนวตอบ : กระบวนการเทคโนโลยีชว่ ยตอบสนองความต้องการของชวี ิตมนุษย์ในปัจจุบัน
ด้านเทคโนโลยีเพื่อสามารถพัฒนาทางด้านสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้การใช้
ชวี ิตประจำวันได้สะดวกสบายยิง่ ขนึ้ )
2. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 – 4 คน แล้วให้สมาชิกแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาและสืบค้น
ขอ้ มูลเก่ยี วกบั ความหมายและองค์ประกอบของกระบวนการเทคโนโลยี
3. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายข้อมูลที่สืบค้นได้ภายในกลุ่ม แล้วร่วมกันสรุปลงใน
กระดาษ A4 แลว้ นำมาสง่ ครเู พอ่ื ใหค้ รตู รวจสอบความถูกตอ้ ง
4. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับความหมายและองค์ประกอบของกระบวนการเทคโนโลยี
ช่วยตอบสนองความจำเป็นและความต้องการของมนุษย์อย่างไรจากนั้นร่วมกันสรุปว่า
กระบวนการเทคโนโลยชี ่วยตอบสนองความจำเป็นและความต้องการของมนุษย์ เพราะเป็น
กระบวนการที่เป็นระบบที่ช่วยในการแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของมนุษย์ซ่ึง
ประกอบด้วย การระบุปัญหา การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหา การเลือกวิธีการ
แก้ปัญหา การออกแบบวิธีการแก้ปัญหา การทดสอบ การปรับปรุงแก้ไข และการนำเสนอ
ผลงาน
5. ครูตัง้ คำถาม แลว้ สุม่ ตัวแทนแตล่ ะกลมุ่ ตอบคำถาม ดังน้ี
กระบวนการเทคโนโลยีมคี วามสำคญั อย่างไร
(แนวตอบ :ช่วยแก้ปัญหาและสนองความจำเป็นและความตอ้ งการของมนุษย์ได)้
องคป์ ระกอบของกระบวนการเทคโนโลยีมกี ขี่ น้ั ตอน อะไรบา้ ง
(แนวตอบ : 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1.การระบุปัญหาหรือความต้องการ 2.การรวบรวมข้อมูลท่ี
เกี่ยวข้องกับปัญหา 3.การเลือกวิธีการแก้ปัญหา 4.การออกแบบวิธีการแก้ปัญหา 5.การ
ทดสอบ 6.การปรับปรุงแก้ไขและประเมินผล 7.การนำเสนอผลงาน)
6. นักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปเกี่ยวกับความหมายและองค์ประกอบของกระบวนการ
เทคโนโลยี
7. ครนู ำปา้ ยกระดาษท่ีเขียนคำวา่ “ปญั หาการใช้เทคโนโลยีไม่เหมาะสมในชีวติ ประจำวนั ” ไป
ติดไว้บรเิ วณหน้า
8. ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง การระบุปัญหา จากหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยี
(วิทยาการคำนวณ) ม.1 หน้า 20 และอภิปรายหัวข้อที่ครูติดไว้บริเวณหน้า ครูกำหนดเวลา
ในการร่วมอภิปราย 5 นาทจี ากน้ันนักเรียนร่วมกันเสนอปัญหาท่ีหลากหลาย และเลือกปัญหา
ทีส่ นใจ
9. นักเรียนแบ่งกลุ่มเลือกปัญหาตามความสนใจ แต่ละกลุ่มสรุปปัญหาและความต้องการที่กลุ่ม
สนใจ โดยระบุปญั หาท่ีจำเป็นหรือความต้องการคืออะไร
ข้นั ทำความเขา้ ใจปญั หา
1. ครูตง้ั คำถามให้นักเรยี นช่วยกันตอบ ดงั นี้
องคป์ ระกอบของการระบุปัญหา ไดแ้ ก่องคป์ ระกอบใดบา้ ง
(แนวตอบ : 1. ปัญหา คือ สิ่งที่จำเป็นต้องแก้ไข 2. ใคร คือ ผู้ที่เผชิญปัญหาที่เรา
จำเปน็ ต้องแก้
3. เหตผุ ล คอื เหตุใดปญั หานจ้ี งึ จำเป็นตอ้ งแก้)
นวตั กรรมและสงิ่ ประดษิ ฐ์มีความแตกต่างกนั อยา่ งไร
(แนวตอบ : นวัตกรรม (innovation) คือ การนำเอาวิทยาการต่างๆ มาออกแบบเพื่อ
ตอบสนองความจำเป็นหรือความต้องการ สามารถนำมาใช้ก่อให้เกิดประโยชน์ทาง
เศรษฐกิจและสังคมได้ สามารถนำมาทำการค้าได้ สามารถสรา้ งผลกำไรให้กับธรุ กิจ เช่น
หนุ่ ยนต์ คอมพวิ เตอร์ เปน็ ตน้
สิ่งประดิษฐ์ (invention)คือ สิ่งที่เป็นการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น
พิมพด์ ดี วิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น)
2. นักเรียนแต่ละคนทำกิจกรรม Design Activity จากหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน
เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.1 หน้า 22 จากนั้นครูสุ่มถามคำตอบของนักเรียนเป็น
รายบุคคลทีละสถานการณ์ จนครบ โดยระหว่างที่นักเรียนตอบ ให้เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ
และครูร่วมกันพิจารณาคำตอบ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และร่วมกันอภิปรายเพื่อหา
ข้อสรุปร่วมกัน
3. นักเรียนแต่ละกลุ่ม ร่วมกันอภิปราย ตั้งคำถามในประเด็นที่อยากรู้ ระดมสมองหา
ความหมาย คำนิยาม และอธิบายสถานการณ์ของปัญหา จัดทำสรุปลงในกระดาษ A4
ตามประเด็น ดังน้ี
ปัญหาท่จี ำเปน็ ต้องแกค้ อื อะไร
ใครคอื ผู้ทเี่ ผชญิ ปัญหาทีเ่ ราจำเปน็ ตอ้ งแก้
เหตุใดปัญหานีจ้ งึ จำเป็นตอ้ งแก้
แล้วร่วมกันออกแบบวิธีการนำเสนอผลงานทน่ี า่ สนใจ
4. ครูสุ่มนักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานตามที่ได้ออกแบบเอาไว้ทีละกลุ่ม จน
ครบทุกกลุ่ม เมื่อแต่ละกลุ่มเสนอผลงานจบแล้วให้นำผลงานไปติดไว้ตามบริเวณรอบๆ
ห้องเรียน
5. ครูให้เวลานักเรียน 3 นาทีในการเดินชมผลงานของกลุ่มอื่นๆ เพื่อเปรียบเทียบกับผลงาน
ของกลุ่มตนเอง จากนัน้ ใหน้ ักเรียนร่วมกันวเิ คราะห์สถานการณ์ของปญั หาการใช้เทคโนโลยี
ไมเ่ หมาะสมในชวี ติ ประจำวัน
6. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า นอกจากปัญหาที่เป็นสถานการณ์ศึกษาแล้ว ยังมีปัญหาอื่นๆ อีก
มากมาย ดังนั้นเราสามารถใช้กระบวนการเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาเพื่อการตอบสนอง
ความจำเปน็ หรอื ความตอ้ งการได้
ขนั้ การดำเนินการศกึ ษาคน้ คว้า
1. ครูตั้งคำถามให้นักเรียนช่วยกันหาคำตอบว่า การรวบรวมข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับปัญหามี
อะไรบ้าง
(แนวตอบ : การรวบรวมข้อมูล การรวบรวมข้อมูลมีหลายแบบ เช่น การพูดคุยหรือการ
สัมภาษณ์ การสังเกต การร่วมประสบการณ์ การศึกษาจากหนังสือ วารสาร สืบค้นจาก
อินเทอรเ์ น็ต เป็นตน้ )
2. ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหา จากหนังสอื เรียน
รายวชิ าพ้ืนฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.1 หน้า 23
3. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพ่ิมเติม ตามประเด็นปัญหาของ
แต่ละกลุ่ม แล้วแบ่งหน้าที่กัน จัดเรียงลำดับการทำงาน กำหนดเป้าหมายของงาน
ระยะเวลา ค้นคว้าและบันทึกข้อมูล
4. ครูอธิบายเรื่องการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหา โดยการรวบรวมข้อมูลทำได้ 2
วิธีการหลัก ดังนี้ การรวบรวมข้อมูลขั้นปฐมภูมิ การรวบรวมข้อมูลขั้นทุติยภูมิ ใน
หนังสือหน้า 23-24
5. นักเรียนแต่ละคนทำกิจกรรม Design Activity จากหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน
เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.1 หน้า 25 จากนั้นครูสุ่มถามคำตอบของนักเรียนเป็น
รายบุคคลทีละภาพจนครบ โดยระหว่างที่นักเรียนตอบ ให้เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ และครู
ร่วมกันพิจารณาคำตอบ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และร่วมกันอภิปรายเพื่อหาข้อสรุป
ร่วมกัน
ขั้นสังเคราะห์ความรู้
1. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น โดยผู้เรียนแต่ละคนนำความรู้มา
นำเสนอภายในกลุ่ม ครูและนักเรียนคนอื่นๆ ช่วยกันตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม และหา
ความรูเ้ พิ่มเติม
2. ครูตั้งคำถามให้นักเรียนช่วยกันหาคำตอบว่า การสร้างสรรค์เทคโนโลยีช่วยในการ
แก้ปัญหาได้อย่างไร และควรพิจารณาจากส่ิงใดบ้าง
(แนวตอบ : การสร้างสรรคเ์ ทคโนโลยี คือ การเลือกวิธแี ก้ปัญหาซึ่งทำให้เทคโนโลยีที่จะถกู
สร้างขึ้นสามารถตอบโจทย์กับปัญหา โดยการเลือกวิธีการแก้ปัญหาโดยคำนึงถึงผลลัพธ์
พิจารณาจากการทำงานทด่ี ีข้นึ เรว็ ข้ึน ประหยดั ขึน้ สะดวกขึน้ ความเป็นไปได้ เปน็ ตน้ )
3. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่า เหตุผลที่กระบวนการเทคโนโลยีมีขั้นตอนการเลือกวิธีการเพราะ
ตอ้ งการหาวิธีการแกป้ ัญหาท่ดี ที ีส่ ุด
4. ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง การเลือกวิธีการแก้ปัญหา และการออกแบบวิธีการแก้ปัญหา
จากหนงั สือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.1 หนา้ 26-27
5. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ร่วมกันอภิปรายเลือกวิธีการแก้ปัญหา ตามปัญหาของแต่ละ
กลุ่ม พร้อมทั้งออกแบบวิธีการแก้ปัญหา สรุป แล้วให้เขียนในรูปแบบแผนผังมโนทัศน์
6. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ต้นแบบ คือ การสร้างแบบจำลองของเทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบว่า
ตรงกับความต้องการหรือไม่ การออกแบบวิธีการแก้ปัญหาจึงสามารถทดสอบสมมติฐานได้
เมื่อเราออกแบบวิธีการแก้ปัญหาแล้ว ขั้นต่อไปคือการทดสอบเพื่อการตรวจสอบ
ชิ้นงานหรือวิธีการว่าสามารถแก้ปัญหาได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อหาข้อบกพร่อง และ
ดำเนินการปรับปรุงให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ หลังจากการทดสอบก็เป็นขั้นปรับปรุง
แก้ไข และประเมินผล
7. ครูอธิบายเรื่องการทดสอบ เป็นขั้นตอนการทดสอบว่าแนวคิดของเทคโนโลยีนั้นตอบ
โจทย์ของผู้ใช้งานหรือไม่ มีส่วนใดที่ต้องพัฒนาหรือแก้ไขบ้าง การปรับปรุง แก้ไข และ
ประเมินผล หลังจากการทดสอบแล้วพบว่าเทคโนโลยีที่เราต้องออกแบบนั้นมี
ข้อบกพร่อง ขั้นตอนต่อไปของกระบวนการเทคโนโลยีก็จะเป็นการปรับปรุง แก้ไข โดย
อาจปรับปรุงแก้ไขจากต้นแบบเดิม นำเสนอผลงาน เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญของ
กระบวนการเทคโนโลยี เป็นการนำเสนอแนวคิด หรือช้ินงาน
ข้นั สรุป
ขน้ั สรุปและประเมินค่าของคำตอบ
1. นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายร่วมกันเพื่อหาข้อสรุปองค์ความรู้ที่ได้ แล้วจัดทำเป็น
PowerPoint โดยครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มตั้งชื่อเรื่องที่นำเสนอได้อย่างอิสระ ซึ่งชื่อเรื่อง
จะตอ้ งสอดคล้องกับเนอ้ื หาทน่ี ำเสนอ เช่น ปญั หาการใชส้ ือ่ ออนไลน์ไมเ่ หมาะสม เป็นตน้
2. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอปัญหาที่สนใจ โดยใช้ PowerPoint ประกอบการ
นำเสนอ ขณะที่นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอให้ครูคอยแนะนำและเสริมข้อมูลที่ถูกต้องให้
นักเรยี น
3. ครูถามคำถามกระตุ้นความคิด จากหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการ
คำนวณ) ม.1 หน้า 30 ว่า วิศวกรเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี ผ่าน
กระบวนการเทคโนโลยีอย่างไร
(แนวตอบ :วิศวกรจะประยุกต์ใชห้ ลกั การทางวทิ ยาศาสตรผ์ า่ นคณติ ศาสตร์ และใชเ้ ทคโนโลยี
สร้างนวัตกรรมใหมๆ่ ผ่านกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ซึ่งมีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ
ส่วนทนี่ ำเอาวทิ ยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาใช้ให้เป็นประโยชน์และส่วนที่ออกแบบให้ได้ผล
งานท่ีต้องการ)
4. ครูและนกั เรียนดูตวั อย่าง จากหนงั สอื เรียน รายวิชาพืน้ ฐาน เทคโนโลยี (วทิ ยาการคำนวณ)
ม.1 หน้า 30 แลว้ ร่วมกันวเิ คราะห์ กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
5. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของกระบวนการเทคโนโลยีกับกระบวนการ
ออกแบบเชิงวิศวกรรมโดยอธิบายในเรื่องกระบวนการเทคโนโลยี และกระบวนการ
ออกแบบเชิงวศิ วกรรม
6. นกั เรยี นทำกิจกรรม Design Activity จากหนังสือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาการคำนวณ
ม.1 หน้า 32 เสร็จแล้วนำสง่ ครูตรวจสอบความถูกต้อง
7. ครูเปิด PowerPointเรื่องกระบวนการเทคโนโลยี ให้นักเรียนดู แล้วให้นักเรียนร่วมกัน
อภปิ รายและสรปุ ตามประเด็นดงั นี้
กระบวนการเทคโนโลยีคืออะไร อธิบายความหมาย ความสำคัญ
กระบวนการเทคโนโลยีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตอย่างไร บอกองค์ประกอบหลัก
กระบวนการเทคโนโลยี อธบิ ายลักษณะเฉพาะขององคป์ ระกอบหลักแตล่ ะส่วน
8. ครใู ห้นักเรียนสอบถามเพ่ิมเติมเก่ียวกบั เน้ือหาใน PowerPoint ท่ียังไมเ่ ข้าใจ แลว้ ใหค้ วามรู้
เพม่ิ เติมในส่วนน้นั
9. ครูให้นักเรียนทำใบงานที่ 1.1 เรื่อง กระบวนการเทคโนโลยี เมื่อทำเสร็จแล้ว ครูและ
นักเรยี นรว่ มกนั เฉลยคำตอบ
10.ครูมอบหมายให้นักเรียนสรุปความรู้เรื่อง กระบวนการเทคโนโลยี เป็นผังมโนทัศน์ ลงใน
กระดาษ A4 เสร็จแล้วนำสง่ ครู
ข้ันนำเสนอและประเมนิ ผลงาน
1. ครตู รวจแบบทดสอบกอ่ นเรียน
2. ครูตรวจและประเมินผลใบงานที่ 1.1 เร่ือง กระบวนการทางเทคโนโลยี
3. ครตู รวจและประเมินผล PowerPointเรอ่ื ง การแกป้ ัญหาผ่านกระบวนการเทคโนโลยี
4. ครตู รวจและประเมินผลผังมโนทศั นเ์ รอ่ื ง กระบวนการเทคโนโลยี
5. ครูตรวจและประเมินผลผังมโนทัศน์ เรื่อง ปัญหาการใช้เทคโนโลยีไม่เหมาะสมใน
ชีวิตประจำวนั
6. ครปู ระเมนิ ผล โดยสังเกตการตอบคำถาม การร่วมกนั ทำผลงาน และการนำเสนอผลงาน
7. การวดั และประเมนิ ผล
รายการวัด วธิ ีวัด เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมิน
7.1 การประเมินก่อนเรียน ตรวจแบบทดสอบ แบบทดสอบก่อนเรยี น ประเมินตามสภาพจรงิ
- แบบทดสอบก่อนเรียน ก่อนเรยี น
หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 1
เรอื่ ง กระบวนการ
เทคโนโลยี
7.2 การประเมินระหวา่ งการ
จัดกจิ กรรม
1) กระบวนการเทคโนโลยี - ตรวจใบงานท่ี 1.1 - ใบงานที่ 1.1 รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
2) การนำเสนอผลงาน - ประเมนิ การนำเสนอ - ผลงานท่ีนำเสนอ ระดบั คุณภาพ 2
3) พฤติกรรมการทำงาน ผลงาน ผ่านเกณฑ์
รายบุคคล
- สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกต ระดบั คุณภาพ 2
การทำงารายบุคคล พฤติกรรมการทำงาน ผ่านเกณฑ์
รายบคุ คล
4) พฤติกรรมการทำงาน - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกต ระดบั คุณภาพ 2
กลุ่ม
การทำงานกลุ่ม พฤติกรรมการทำงาน ผา่ นเกณฑ์
5) คุณลักษณะ
อันพึงประสงค์ กลมุ่
- สังเกตความมวี นิ ยั - แบบประเมิน ระดับคุณภาพ 2
รบั ผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ คณุ ลักษณะ ผา่ นเกณฑ์
และมงุ่ มนั่ ในการ อันพงึ ประสงค์
ทำงาน
8. สอ่ื /แหล่งการเรียนรู้
8.1 สือ่ การเรยี นรู้
1) หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.1 หน่วยการ
เรยี นรู้ที่ 1 กระบวนการเทคโนโลยี
2) ใบงานที่ 1.1 เรื่องกระบวนการเทคโนโลยี
3) PowerPoint เรื่อง การแกป้ ัญหาผ่านกระบวนการเทคโนโลยี