หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจ้าเมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 100
ชอื่ หน่วย มาตรฐาน สาระการเรียนรู้ เวลา นำ้ หนกั
การเรยี นรู้ ตัวชีว้ ัด ชวั่ โมง คะแนน
6.รามเกียรต์ิ
ตอนนารายณ์ ท 1.1 ม.2/1 -การอา่ นจับใจความ สรุปความ วิเคราะห์
ปราบนนทก
ท 1.1 ม.2/2 และวจิ ารณว์ รรณคดี และวรรณกรรม
7.กาพยห์ ่อโคลง
ประพาสธาร ท 1.1 ม.2/5 -วเิ คราะหแ์ ละจำแนกข้อเทจ็ จรงิ ข้อมลู
ทองแดง
ท 1.1 ม.2/7 สนบั สนนุ และข้อคิดเห็นจากบทความท่ี
ท 2.1 ม.2/1 อ่าน
ท 2.1 ม.2/7 -การเขียนวเิ คราะห์ วิจารณ์ และแสดง
ท 3.1 ม.2/1 ความรู้ ความคิดเห็น หรือโตแ้ ย้งจากสอ่ื
ท 3.1 ม.2/2 ตา่ งๆ
ท 4.1 ม.2/4 -การอ่านหนังสือ บทความ หรือคำประพันธ์
ท 4.1 ม.2/5 อยา่ งหลากหลาย 10 10
ท 5.1 ม.2/1 -การคัดลายมือตวั บรรจงครึ่งบรรทดั ตาม
ท 5.1 ม.2/2 รปู แบบการเขยี น ตัวอักษรไทย
ท 5.1 ม.2/3 -การพดู สรปุ ความจากเรื่องที่ฟงั และดู
ท 5.1 ม.2/4 -การพูดวิเคราะห์และวจิ ารณ์จากเรอ่ื งท่ี
ท 5.1 ม.2/5 ฟังและดู - คำราชาศัพท์
-คำท่ีมาจากภาษาตา่ งประเทศ
- การวเิ คราะห์คุณค่าและข้อคิดจาก
วรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรม
ทอ้ งถนิ่
ท 1.1 ม.2/1 -การอ่านออกเสียงบทรอ้ ยกรอง
ท 1.1 ม.2/2 -การอา่ นจบั ใจความจากสอ่ื ต่างๆ
ท 1.1 ม.2/7 -การอ่านตามความสนใจ
ท 2.1 ม.2/1 -การคัดลายมอื ตัวบรรจงคร่งึ บรรทัดตาม
ท 2.1 ม.2/3 รปู แบบการเขยี น ตัวอกั ษรไทย
ท 2.1 ม.2/6 -การเขียนเรียงความเกี่ยวกับ 6 10
ท 2.1 ม.2/7 ประสบการณ์
ท 3.1 ม.2/1 -การเขียนจดหมายกิจธุระ
ท 3.1 ม.2/2 -การเขยี นวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และแสดง
ท 3.1 ม.2/3 ความรู้ ความคดิ เหน็ หรอื โตแ้ ย้งจากสอื่
ท 3.1 ม.2/4 ต่างๆ
-การพูดสรปุ ความจากเรือ่ งทฟ่ี งั และดู
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 101
ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน สาระการเรียนรู้ เวลา นำ้ หนกั
การเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด ชัว่ โมง คะแนน
8.โคลงสุภาษิต ท 3.1 ม.2/6 -การพดู วเิ คราะห์และวิจารณ์จากเรื่องท่ี 8 8
พระราชนพิ นธ์ ท 4.1 ม.2/1 ฟังและดู
- โคลงสุภาษิต ท 4.1 ม.2/3 -การพูดในโอกาสต่างๆ
โสฬส ท 4.1 ม.2/5 -มารยาทในการฟงั การดู และการพูด
ไตรยางค์ ท 5.1 ม.2/1 -การสรา้ งคำสมาส
- โคลงสุภาษิต ท 5.1 ม.2/2 -คำทีม่ าจากภาษาต่างประเทศ
นฤทุมนาการ ท 5.1 ม.2/3 -กาพยห์ อ่ โคลง-การวเิ คราะห์คณุ ค่าและ
- โคลงสภุ าษิต ท 5.1 ม.2/4 ขอ้ คิดจากวรรณคดี วรรณกรรม และ
อิศปปกรณำ ท 5.1 ม.2/5 วรรณกรรมทอ้ งถ่ิน
ท 1.1 ม.2/1 -การอา่ นบทร้อยกรอง
ท 1.1 ม.2/2 -การอา่ นเพ่ืออา่ นจับใจความและสรุป
ท 1.1 ม.2/5 ความ
ท 1.1 ม.2/7 -การเหน็ คุณค่าและขอ้ คิดจากวรรณคดี
ท 2.1 ม.2/1 วรรณกรรม
ท 2.1 ม.2/3 -การวเิ คราะห์ และวิจารณเ์ รอ่ื งทอี่ า่ น
ท 2.1 ม.2/7 –มารยาทการอ่าน
ท 3.1 ม.2/1 -การคัดลายมอื ตัวบรรจงครงึ่ บรรทัดตาม
ท 3.1 ม.2/2 รปู แบบการเขยี น ตวั อกั ษรไทย
ท 3.1 ม.2/3 -การเขยี นเรยี งความ
ท 4.1 ม.2/1 -การเขยี นวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดง
ท 4.1 ม.2/3 ความรู้ ความคดิ เห็น หรอื โต้แยง้ จากส่ือ
ท 4.1 ม.2/4 ต่างๆ
ท 4.1 ม.2/5 -การพูดสรุปความจากเร่อื งทีฟ่ ังและดู
ท 5.1 ม.2/1
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนบา้ นคลองเจ้าเมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 102
ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน สาระการเรยี นรู้ เวลา น้ำหนัก
การเรยี นรู้ ตวั ชวี้ ัด ช่วั โมง คะแนน
8.โคลงสภุ าษติ
พระราชนิพนธ์ ท 5.1 ม.2/2 -การพูดวิเคราะห์และวจิ ารณ์จากเรอ่ื ง
- โคลงสุภาษิต
โสฬส ท 5.1 ม.2/3 ท่ีฟังและดู
ไตรยางค์
- โคลงสุภาษิต ท 5.1 ม.2/4 -การสร้างคำในภาษาไทย
นฤทุมนาการ
- โคลงสุภาษิต ท 5.1 ม.2/5 -การแตง่ บทร้อยกรอง
อศิ ปปกรณำ
(ตอ่ ) - คำราชาศัพท์
-คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ
-การวเิ คราะห์คณุ คา่ และขอ้ คิดจาก
วรรณคดี วรรณกรรม และ
วรรณกรรมท้องถ่นิ
-บทอาขยานและบทร้อยกรองท่ีมี
คณุ ค่า
คะแนนระหว่างภาคเรียน 70
คะแนนปลายภาคเรยี น 30
รวม 60 100
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรียนบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หนา้ | 103
โครงสรา้ งเวลาเรียน
วิชาภาษาไทย รหสั วิชา ท 22101 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
เวลา 60 ชวั่ โมง จำนวน 1.5 หน่วยกิต
ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ภาคเรียนที่ 2
ชอ่ื หนว่ ย มาตรฐาน สาระการเรียนรู้ เวลา นำ้ หนกั
การเรยี นรู้ ตวั ชีว้ ัด ชว่ั โมง คะแนน
1.พดู ดมี เี สน่ห์
ท1.1 ม.1/2 -การอ่านจบั ใจความจากสอ่ื ตา่ งๆ 65
2.ออมไวใ้ ส่ถงุ
แดง ท1.1 ม.1/6 -การเขยี นบรรยายและพรรณนา 45
3.เมื่อแพะ ท3.1 ม.2/3 -การเขยี นจดหมายกิจธุระ 75
กลายเปน็ สุนขั
ท3.1 ม.2/4 -การพดู วเิ คราะหแ์ ละวิจารณ์จากเรื่องทฟี่ งั และดู 95
4.ลูกผชู้ ายตัว
เกือบจริง ท3.1 ม.2/6 -มารยาทในการฟัง การดู และการพูด
ท4.1 ม.2/4 -คำราชาศพั ท์
ท1.1 ม.2/2 -การอ่านจับใจความจากสอื่ ต่างๆ
ท1.1 ม.2/5 -การวิเคราะห์และจำแนกขอ้ เทจ็ จริง ข้อมูล
ท2.1 ม.2/4 สนบั สนนุ และขอ้ คิดเห็นจากบทความท่ีอ่าน
ท2.1 ม.2/7 -การเขยี นยอ่ ความจากส่ือตา่ งๆ
-การเขยี นวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้
ความคดิ เห็น หรือโต้แย้งจากส่อื ตา่ งๆ
ท2.1 ม.2/2 -การเขยี นบรรยายและพรรณนา
ท2.1 ม.2/5 -การเขยี นรายงาน
ท2.1 ม.2/6 -การเขยี นจดหมายกิจธรุ ะ
ท2.1 ม.2/7 -การเขยี นวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้
ท3.1 ม.2/3 ความคดิ เหน็ หรือโตแ้ ย้งจากสอื่ ตา่ งๆ
ท3.1 ม.2/4 -การพดู ในโอกาสต่างๆ
ท3.1 ม.2/5 -การพดู รายงานการศึกษาค้นคว้าจากแหลง่
เรยี นรู้ตา่ งๆ
ท1.1 ม.2/2 -การอ่านจับใจความจากสอื่ ต่างๆ
ท1.1 ม.2/3 -การเขียนผังความคิด
ท1.1 ม.2/5 -วเิ คราะห์และจำแนกข้อเท็จจริง ข้อมลู
ท1.1 ม.2/7 สนบั สนนุ และข้อคดิ เห็นจากบทความทอี่ ่าน
ท2.1 ม.2/2 -การอ่านตามความสนใจ
ท3.1 ม.2/ -การเขียนบรรยายและพรรณนา
หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจ้าเมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หน้า | 104
ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน สาระการเรียนรู้ เวลา นำ้ หนัก
การเรียนรู้ ตัวช้วี ัด ช่ัวโมง คะแนน
ท3.1 ม.2/3 -การพูดวิเคราะหแ์ ละวจิ ารณ์จากเรอ่ื งท่ีฟงั
ท4.1 ม.2/1 และดู
ท5.1 ม.2/4 -สรา้ งคำในภาษาไทย
-การสรปุ ความรู้และขอ้ คดิ จากการอ่าน ไป
ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
5.บันทกึ ทอ่ งโลก ท2.1 ม.2/2 -การเขียนบรรยายและพรรณนา
ท2.1 ม.2/7 -การเขยี นวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และแสดง 3 5
ท2.1 ม.2/8 ความรู้ ความคิดเห็นหรือโต้แย้งจากสอื่ ต่างๆ
-มารยาทในการเขียน
6.เยน็ ศริ ะเพราะ ท1.1 ม.2/1 -การอา่ นออกเสียง -การคดั ลายมือ
พระบรบิ าล ท2.1 ม.2/1 -การสรา้ งคำในภาษาไทย
ท4.1 ม.2/1 -คำท่มี าจากภาษาตา่ งประเทศ 5 5
ท4.1 ม.2/5 -การวิเคราะหค์ ณุ คา่ และขอ้ คดิ จากวรรณคดี
ท5.1 ม.2/2 วรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถิน่
ท5.1 ม.2/5 -บทอาขยานและบทรอ้ ยกรองท่มี คี ุณคา่
7.พรท่ีสมั ฤทธ์ิ ท1.1 ม.2/3 -การเขยี นผงั ความคิด
ท3.1 ม.2/1 -การพูดสรปุ ความจากเรือ่ งทฟี่ งั และดู 45
ท3.1 ม.2/4 -การพดู ในโอกาสตา่ งๆ
ท4.1 ม.2/1 -การสรา้ งคำในภาษาไทย
8.รน่ื เรงิ เพลงรำวง ท1.1 ม.2/7 -การอ่านตามความสนใจ
ท1.1 ม.2/8 -มารยาทในการอา่ น
ท2.1 ม.2/7 -ลักษณะของประโยคในภาษาไทย
ท3.1 ม.2/3 -การเขยี นวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และแสดง
ท4.1 ม.2/2 ความรู้ ความคิดเหน็ หรือโตแ้ ยง้ จากสอ่ื 6 5
ท5.1 ม.2/1 ตา่ งๆ เชน่ เพลงพื้นบ้าน
-การพดู วิเคราะหแ์ ละวจิ ารณ์จากเรื่องทฟี่ ัง
และดู
- สรุปเนอ้ื หาวรรณคดแี ละวรรณกรรม
9.พอใจให้สุข ท1.1 ม.2/1 - การอ่านออกเสยี ง
ท1.1 ม.2/2 -การอ่านจบั ใจความจากสื่อต่างๆ 65
ท3.1 ม.2/3 -การพดู วิเคราะหแ์ ละวจิ ารณ์จากเรือ่ งทีฟ่ ังและดู
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบ้านคลองเจ้าเมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 105
ชื่อหนว่ ย มาตรฐาน สาระการเรยี นรู้ เวลา นำ้ หนัก
การเรยี นรู้ ตวั ชว้ี ัด ชั่วโมง คะแนน
10.ถกประเด็น ท4.1 ม.2/3 -คำราชาศัพท์
เปน็ รายงาน
11.ความ ท5.1 ม.2/1 -การวิเคราะหค์ ุณคา่ และขอ้ คดิ จากวรรณคดี
รบั ผดิ ชอบ
12.โชคดีท่มี ี ท5.1 ม.2/2 วรรณกรรม และวรรณกรรมทอ้ งถิน่
ภาษาไทย
ท1.1 ม.2/2 -การอา่ นจับใจความจากสอ่ื ตา่ งๆ
13.วันที่ผมตื่นสาย
ท2.1 ม.2/5 -การเขยี นรายงาน 35
14.เด็กชายเจา้
ปัญญา ท2.1 ม.2/8 -มารยาทในการเขยี น
ท2.1 ม.2/3 -การเขียนเรียงความเก่ียวกับประสบการณ์ 2 5
ท4.1 ม.2/2 -ลักษณะของประโยคในภาษาไทย
ท1.1 ม.2/4 -อภปิ รายแสดงความคิดเหน็ และขอ้ โตแ้ ย้ง
ท4.1 ม.2/1 เกีย่ วกบั เร่อื งทอี่ า่ น
ท4.1 ม.2/4 -การสร้างคำ -คำราชาศพั ท์ 35
ท5.1 ม.1/3 -การวเิ คราะห์คณุ คา่ และขอ้ คิดจากวรรณคดี
วรรณกรรม
ท1.1 ม.2/2 -การอ่านจบั ใจความจากสอ่ื ตา่ งๆ
ท1.1 ม.2/5 -วิเคราะหแ์ ละจำแนกข้อเทจ็ จรงิ ข้อมูลสนับสนุน
ท1.1 ม.2/3 และขอ้ คิดเห็นจากบทความ
ท2.1 ม.2/2ท -การเขียนผังความคิด
2.1 ม.2/8 -การเขียนบรรยายและพรรณนา 65
ท3.1 ม.2/2 -มารยาทในการเขียน
ท5.1 ม.1/3 -การพูดวเิ คราะห์และวจิ ารณ์จากเรื่องที่ฟงั และดู
-การวิเคราะหค์ ณุ คา่ และขอ้ คดิ จากวรรณคดี
วรรณกรรม
ท1.1 ม.1/1 -การอ่านออกเสียง
ท1.1 ม.1/2 -การอ่านจบั ใจความจากส่ือต่างๆ
ท1.1 ม.1/7 -การอา่ นตามความสนใจ
ท2.1 ม.1/2 -การเขยี นบรรยายและพรรณนา 55
ท4.1 ม.1/4 -คำราชาศพั ท์
ท5.1 ม.1/3 -การวิเคราะห์คณุ คา่ และขอ้ คดิ จากวรรณคดี
วรรณกรรม
คะแนนระหวา่ งภาคเรยี น 70
คะแนนสอบปลายภาคเรยี น 30
รวม 60 100
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หนา้ | 106
ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3
ตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง
สาระที่ 1 การอ่าน
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอา่ นสรา้ งความรู้และความคิด เพอ่ื นำไปใช้ตดั สินใจ แก้ปัญหาในการ
ดำเนินชีวิตและมนี ิสยั รักการอ่าน
ชั้น ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ม.3 ท 1.1 ม.3/1 อ่านออกเสียงบทร้อยแกว้ และบท ➢ การอ่านออกเสยี ง ประกอบดว้ ย
ร้อย-กรองไดถ้ ูกต้องและเหมาะสมกับเรอื่ งท่ี - บทร้อยแกว้ ที่เป็นบทความทว่ั ไปและ
อ่าน บทความปกิณกะ
- บทรอ้ ยกรอง เชน่ กลอนบทละคร
กลอนเสภา กาพย์ยานี 11 กาพย์ฉบงั 16
และโคลงส่ีสุภาพ
ท 1.1 ม.3/2 ระบคุ วามแตกต่างของคำท่ีมี ➢ การอ่านจับใจความจากส่อื ต่างๆ เชน่
ความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย - วรรณคดีในบทเรยี น
ท 1.1 ม.3/3 ระบใุ จความสำคัญและรายละเอยี ด - ข่าวและเหตกุ ารณ์สำคัญ
ของข้อมลู ทีส่ นบั สนนุ จากเรอ่ื งที่อา่ น - บทความ
ท 1.1 ม.3/4 อ่านเร่อื งตา่ งๆ แล้วเขียนกรอบ - บนั เทิงคดี
- สารคดี
แนวคดิ ผังความคิด บนั ทึก ย่อความและ - สารคดเี ชิงประวัติ
รายงาน - ตำนาน
ท 1.1 ม.3/5 วิเคราะห์ วจิ ารณ์ และประเมนิ - งานเขียนเชงิ สร้างสรรค์
เรอื่ ง ทีอ่ ่านโดยใชก้ ลวิธกี ารเปรียบเทียบ - เรอ่ื งราวจากบทเรียนในกลุม่ สาระการ
เพ่อื ให้ผอู้ า่ นเข้าใจได้ดีขึน้
ท 1.1 ม.3/6 ประเมินความถูกตอ้ งของขอ้ มลู เรียนรภู้ าษาไทย และกลมุ่ สาระการ
ท่ใี ช้สนบั สนนุ ในเรื่องที่อา่ น เรียนรู้อื่น
ท 1.1 ม.3/7 วิจารณ์ความสมเหตุสมผล การ
ลำดบั ความ และความเป็นไปไดข้ องเร่ือง
ท 1.1 ม.3/8 วเิ คราะห์เพื่อแสดงความคดิ เหน็
โตแ้ ย้งเก่ยี วกับเรือ่ งทีอ่ า่ น
ท 1.1 ม.3/9 ตีความและประเมินคณุ คา่ และ ➢ การอ่านตามความสนใจ เช่น
แนวคิดที่ไดจ้ ากงานเขยี นอยา่ งหลากหลายเพอื่ - หนังสืออ่านนอกเวลา
นำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิต - หนงั สอื อ่านตามความสนใจและตามวยั
ของนักเรียน
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบ้านคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 107
ชน้ั ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
- หนงั สืออ่านท่คี รแู ละนกั เรยี นร่วมกนั กำหนด
ท 1.1 ม.3/10 มีมารยาทในการอ่าน ➢ มารยาทในการอ่าน
สาระท่ี 2 การเขียน
มาตรฐาน ท 2.1 ใชก้ ระบวนการเขยี นเขยี นสือ่ สาร เขยี นเรยี งความ ย่อความ และเขียนเร่ืองราวในรูปแบบ
ตา่ งๆ เขยี นรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นควา้ อย่างมี
ประสิทธภิ าพ
ชน้ั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ม.3 ท 2.1 ม.3/1 คัดลายมอื ตวั บรรจงคร่งึ ➢ การคดั ลายมือตวั บรรจงครงึ่ บรรทัดตามรปู แบบ
บรรทัด การเขยี นตัวอักษรไทย
ท 2.1 ม.3/2 เขียนข้อความโดยใช้ ➢ การเขียนขอ้ ความตามสถานการณแ์ ละโอกาส
ถอ้ ยคำไดถ้ ูกต้องตามระดบั ภาษา ต่างๆ เชน่
- คำอวยพรในโอกาสต่างๆ
- คำขวัญ - คำคม - โฆษณา - คติพจน์
- สุนทรพจน์
ท 2.1 ม.3/3 เขียนชีวประวตั ิหรอื ➢ การเขยี นอตั ชวี ประวตั หิ รือชวี ประวัติ
อัตชีวประวัตโิ ดยเล่าเหตุการณ์
ขอ้ คิดเหน็ และทัศนคติในเรอื่ งต่างๆ
ท 2.1 ม.3/4 เขียนย่อความ ➢ การเขยี นยอ่ ความจากสื่อตา่ งๆ เช่น นิทาน
ประวตั ิ ตำนาน สารคดีทางวชิ าการ พระราชดำรสั
พระบรมราโชวาท จดหมายราชการ
ท 2.1 ม.3/5 เขียนจดหมายกจิ ธรุ ะ ➢ การเขียนจดหมายกิจธรุ ะ
- จดหมายเชญิ วิทยากร
- จดหมายขอความอนุเคราะห์
- จดหมายแสดงความขอบคุณ
ท 2.1 ม.3/6 เขยี นอธบิ าย ช้แี จง แสดง ➢ การเขยี นอธิบาย ช้แี จง แสดงความคิดเห็น และ
ความคดิ เหน็ และโตแ้ ย้งอยา่ งมี โตแ้ ย้งในเร่ืองต่างๆ
เหตผุ ล
ท 2.1 ม.3/7 เขียนวิเคราะห์ วจิ ารณ์ ➢ การเขียนวิเคราะห์ วจิ ารณ์ และแสดงความรู้
และแสดงความรู้ ความคดิ เหน็ หรอื ความคิดเห็น หรอื โต้แยง้ จากสือ่ ต่างๆ เช่น
โตแ้ ยง้ ในเรอ่ื งต่างๆ - บทโฆษณา - บทความทางวิชาการ
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 108
ชนั้ ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
➢ การกรอกแบบสมัครงาน
ท 2.1 ม.3/8 กรอกแบบสมคั รงาน
พรอ้ มเขยี นบรรยายเกยี่ วกบั ความรู้ ➢ การเขียนรายงาน ได้แก่
และทักษะ ของตนเองที่ - การเขยี นรายงานจากการศึกษาค้นคว้า
เหมาะสมกับงาน - การเขียนรายงานโครงงาน
ท 2.1 ม.3/9 เขียนรายงานการศึกษา
ค้นควา้ และโครงงาน
ท 2.1 ม.3/10 มีมารยาทในการเขยี น ➢ มารยาทในการเขียน
สาระท่ี 3 การฟงั การดู และการพดู
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลอื กฟงั และดูอย่างมีวจิ ารณญาณ และพดู แสดงความรู้ ความคิด และ
ความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสรา้ งสรรค์
ชนั้ ตวั ชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง
ม.3 ท 3.1 ม.3/1 แสดงความคิดเห็นและประเมิน ➢ การพูดแสดงความคิดเห็น และประเมนิ
เร่อื งจากการฟงั และการดู เรื่องจากการฟงั และการดู
ท 3.1 ม.3/2 วิเคราะห์และวิจารณ์เรือ่ งที่ฟงั ➢ การพูดวิเคราะหว์ จิ ารณจ์ ากเรอ่ื งท่ฟี งั และดู
และดเู พอ่ื นำข้อคดิ มาประยกุ ตใ์ ช้ในการ
ดำเนนิ ชีวติ
ท 3.1 ม.3/3 พดู รายงานเร่อื งหรือประเด็นที่ ➢ การพดู รายงานการศึกษาคน้ ควา้ เก่ยี วกบั
ศกึ ษาคน้ คว้าจากการฟัง การดู และการ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น
สนทนา
ท 3.1 ม.3/4 พูดในโอกาสต่างๆ ได้ตรงตาม ➢ การพูดในโอกาสตา่ งๆ เชน่
วตั ถปุ ระสงค์ - การพดู โต้วาที - การอภิปราย
- การพดู ยอวาที
ท 3.1 ม.3/5 พูดโนม้ น้าวโดยนำเสนอหลกั ฐาน ➢ การพูดโนม้ น้าว
ตามลำดบั เนือ้ หาอย่างมีเหตผุ ลและ
น่าเชื่อถือ
ท 3.1 ม.3/6 มมี ารยาทในการฟงั การดู และ ➢ มารยาทในการฟงั การดู และการพดู
การพดู
หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย โรงเรียนบ้านคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หนา้ | 109
สาระที่ 4 หลักการใชภ้ าษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปล่ยี นแปลงของภาษาและพลังของภาษา
ภูมปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบตั ขิ องชาติ
ชน้ั ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
ม.3 ท 4.1 ม.3/1 จำแนกและใชค้ ำภาษาต่างประเทศที่ ➢ คำที่มาจากภาษาตา่ งประเทศ
ใชใ้ นภาษาไทย
➢ ประโยคซบั ซอ้ น
ท 4.1 ม.3/2 วิเคราะหโ์ ครงสรา้ งประโยคซับซอ้ น ➢ ระดบั ภาษา
ท 4.1 ม.3/3 วิเคราะหร์ ะดบั ภาษา ➢ คำทบั ศพั ท์
ท 4.1 ม.3/4 ใช้คำทับศัพทแ์ ละศพั ทบ์ ัญญัติ ➢ คำศัพท์บญั ญัติ
➢ คำศพั ท์ทางวิชาการและวชิ าชพี
ท 4.1 ม.3/5 อธิบายความหมายคำศพั ท์ทาง
วิชาการและวชิ าชีพ ➢ โคลงสีส่ ุภาพ
ท 4.1 ม.3/6 แตง่ บทร้อยกรอง
สาระท่ี 5 วรรณคดแี ละวรรณกรรม
มาตรฐาน ท 5.1 เขา้ ใจและแสดงความคิดเหน็ วจิ ารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเห็นคณุ ค่าและ
นำมาประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ จรงิ
ช้นั ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง
ม.3 ท 5.1 ม.3/1 สรปุ เนอื้ หาวรรณคดี วรรณกรรมและ ➢ วรรณคดี วรรณกรรม และ
วรรณกรรมทอ้ งถ่นิ ในระดับท่ียากยิ่งขึ้น วรรณกรรมท้องถนิ่ เก่ียวกบั
- ศาสนา – ประเพณี - พธิ กี รรม
- สุภาษติ คำสอน- เหตุการณ์ใน
ประวัตศิ าสตร์
- บนั เทิงคดี
ท 5.1 ม.3/2 วเิ คราะห์วิถไี ทยและคุณคา่ จาก ➢ การวเิ คราะห์วถิ ไี ทย และคุณค่าจาก
วรรณคดแี ละวรรณกรรมทอ่ี ่าน วรรณคดีและวรรณกรรม
ท 5.1 ม.3/3 สรุปความร้แู ละขอ้ คดิ จากการอา่ น
เพ่อื นำไปประยกุ ต์ใชใ้ นชีวิตจรงิ
ท 5.1 ม.3/4 ทอ่ งจำและบอกคณุ ค่าบทอาขยาน ➢ บทอาขยานและบทร้อยกรองทีม่ ี
ตามทีก่ ำหนด และบทร้อยกรองท่มี ีคุณค่าตาม คุณค่า - บทอาขยานตามทกี่ ำหนด
ความสนใจและนำไปใชอ้ า้ งอิง - บทรอ้ ยกรองตามความสนใจ
คำอธิบายรายวิชา
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจ้าเมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หนา้ | 110
รหสั วิชา ท 23102 ภาษาไทย กลมุ่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย
ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ชั่วโมง จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต
ฝึกทักษะการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพดู การวิเคราะห์และประเมินค่าวรรณคดีและ
วรรณกรรมโดยศกึ ษาเกย่ี วกบั การอ่านออกเสียงการอา่ นจบั ใจความ การอา่ นตามความสนใจ ฝึกทักษะการ
คดั ลายมอื การเขียนขอ้ ความตามสถานการณ์และโอกาสตา่ งๆ เขียนอัตชวี ประวตั หิ รือชีวประวตั ิ เขียนย่อ
ความ การเขียนจดหมายกิจธุระ ฝึกทักษะการพูดแสดงความคิดเหน็ และการประเมนิ เร่ืองจากการฟังและ
การดู พูดวิเคราะห์วิจารณ์จากเรื่องที่ฟังและดู พูดรายงานการศึกษาค้นคว้า และศึกษาเกี่ยวกับคำ
ภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย โครงสร้างประโยคซับซ้อน ระดับภาษา วิเคราะห์วิถีไทย ประเมินค่า
ความรู้และข้อคิดจากวรรณคดี วรรณกรรม ท่องจำบทอาขยานที่กำหนดและบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตาม
ความสนใจ
โดยใช้กระบวนการอ่านเพื่อสร้างความรู้ความคิดนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต
กระบวนการเขียนเพ่อื การสอื่ สารอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการฟงั การดู และการพูด สามารถเลือกฟัง
และดู และพูดแสดงความรู้ความคิดอย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติภาษาและ
หลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา พลังภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา วิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีและ
วรรณกรรมอยา่ งเหน็ คุณค่านำมาประยุกต์ใชใ้ นชีวิตจริง รักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบตั ิของชาติ และมีนิสัย
รักการอ่าน การเขยี น มมี ารยาทในการอา่ น การเขยี น การฟัง การดู และการพดู
ตวั ชว้ี ัด ท 1.1 ม.3/2 ท 1.1 ม.3/3 ท 1.1 ม.3/4 ท 1.1 ม.3/5
ท 1.1 ม.3/1 ท 2.1 ม.3/2 ท 2.1 ม.3/3 ท 2.1 ม.3/4 ท 2.1 ม.3/5
ท 2.1 ม.3/1 ท 3.1 ม.3/2 ท 3.1 ม.3/3
ท 3.1 ม.3/1 ท 4.1 ม.3/2 ท 4.1 ม.3/3 ม.3/4
ท 4.1 ม.3/1 ท 5.1 ม.3/2 ท 5.1 ม.3/3
ท 5.1 ม.3/1
รวม 20 ตัวช้ีวัด
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หนา้ | 111
คำอธบิ ายรายวชิ า
รหัสวิชา ท 23102 ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
เวลา 60 ชัว่ โมง จำนวน 1.5 หน่วย
ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2
กติ
ฝึกทักษะการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด การวิเคราะห์และประเมินค่าวรรณคดีและ
วรรณกรรมโดยศกึ ษาเก่ียวกบั การอ่านออกเสยี งการอา่ นจบั ใจความ การอ่านตามความสนใจ ฝึกทักษะการ
เขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็น และโต้แย้ง เขียนวิเคราะห์วิจารณ์ และแสดงความรูค้ วามคดิ เหน็
หรอื โต้แยง้ จากสื่อต่างๆ กรอกแบบสมคั รงาน เขยี นรายงานและโครงงาน พดู ในโอกาสต่างๆ พูดโน้มน้าว
คำทบั ศพั ท์และศัพทบ์ ญั ญัติ คำศัพท์ทางวชิ าการและวิชาชีพ การแต่งบทรอ้ ยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ
วิเคราะหว์ ิถไี ทย ประเมนิ คา่ ความรแู้ ละขอ้ คิดจากวรรณคดี วรรณกรรม ท่องจำบทอาขยานทกี่ ำหนด
และบทรอ้ ยกรองท่ีมคี ณุ คา่ ตามความสนใจ
โดยใช้กระบวนการอ่านเพื่อสร้างความรู้ความคิดนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต
กระบวนการเขยี นเพ่ือการส่อื สารอยา่ งมีประสิทธภิ าพ กระบวนการฟัง การดู และการพดู สามารถเลือกฟัง
และดู และพูดแสดงความรู้ความคิดอย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติภาษาและ
หลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา พลังภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา วิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดแี ละ
วรรณกรรมอย่างเหน็ คุณค่านำมาประยุกต์ใชใ้ นชีวิตจรงิ รักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ และมีนิสยั
รักการอา่ น การเขยี น มมี ารยาทในการอา่ น การเขยี น การฟงั การดู และการพูด
ตัวชี้วดั ท 1.1 ม.3/7 ท 1.1 ม.3/8 ท 1.1 ม.3/9 ท 1.1 ม.3/10
ท 1.1 ม.3/6 ท 2.1 ม.3/7 ท 2.1 ม.3/8 ท 2.1 ม.3/9 ท 2.1 ม.3/10
ท 2.1 ม.3/6 ท 3.1 ม.3/5 ท 3.1 ม.3/6
ท 3.1 ม.3/4 ท 4.1 ม.3/5 ท 4.1 ม.3/6
ท 4.1 ม.3/4 ท 5.1 ม.3/2 ท 5.1 ม.3/3
ท 5.1 ม.3/1
รวม 19 ตวั ช้ีวัด
หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบ้านคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หนา้ | 112
โครงสรา้ งรายวิชา
รหสั วิชา ท 2301 ภาษาไทย กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3
ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ช่ัวโมง จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ
ช่อื หน่วย มาตรฐาน
การเรยี นรู้ ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้ เวลา นำ้ หนัก
1.บทละคร ท1.1 ม.3/1 ชว่ั โมง คะแนน
พดู เร่ืองเห็น ท1.1 ม.3/2
แกล่ ูก ท1.1 ม.3/3 - การอ่านบทละคร
ท1.1 ม.3/4 - คำที่มคี วามหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั
ท1.1 ม.3/5
ท2.1 ม.3/1 - การอ่านจับใจความจากส่อื ต่างๆ
ท2.1 ม.3/2
ท2.1 ม.3/4 -การ อ่านเรอื่ งต่างๆ แล้วเขยี นกรอบแนวคดิ ผัง
ท3.1 ม.3/1
ท3.1 ม.3/3 ความคดิ บันทกึ ยอ่ ความและรายงาน
ท4.1 ม.3/1
ท4.1 ม.3/3 - การวิเคราะห์ วจิ ารณ์ และประเมนิ เรื่องทอี่ า่ น
ท5.1 ม.3/1
ท5.1 ม.3/2 โดยใชก้ ลวธิ กี ารเปรียบเทยี บเพื่อใหผ้ ้อู ่านเข้าใจได้
ท5.1 ม.3/3
ดขี ึน้
2. นิทานคำ ท1.1 ม.3/1
กลอนเรอ่ื ง ท1.1 ม.3/2 - การคัดลายมอื ตวั บรรจงคร่ึงบรรทัด
พระอภยั ท1.1 ม.3/3
มณี ท1.1 ม.3/4 - การเขยี นข้อความตามสถานการณ์และโอกาส 12 12
ท1.1 ม.3/5
ท2.1 ม.3/1 ตา่ งๆ
ท2.1 ม.3/2
ท2.1 ม.3/4 - การเขียนย่อความ
- การพดู แสดงความคดิ เหน็ และประเมนิ เร่ืองจาก
การฟงั และการดู - การพดู รายงาน
- คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ - ระดบั ภาษา
- การสรปุ เน้ือหาวรรณคดี วรรณกรรม
- การวเิ คราะห์วถิ ไี ทย และคณุ ค่าจากวรรณคดี
และวรรณกรรม
- สรุปความรแู้ ละข้อคิดจากการอ่าน
- การอา่ นนทิ านคำกลอน
- คำที่มคี วามหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั
- การอา่ นจบั ใจความจากสื่อต่างๆ
-การอา่ นเร่ืองต่างๆ แล้วบันทึก ย่อความและรายงาน 14 15
- การวเิ คราะห์ วิจารณ์ และประเมินเร่อื งทีอ่ ่าน
โดยใช้กลวิธกี ารเปรยี บเทยี บเพอ่ื ใหผ้ ูอ้ ่านเข้าใจได้
ดีข้ึน
- การคดั ลายมือตัวบรรจงครง่ึ บรรทัด
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หน้า | 113
ช่ือหน่วย สาระการเรียนรู้ เวลา น้ำหนกั
การเรียนรู้ ช่ัวโมง คะแนน
3. พระบรม ท3.1 ม.3/1 - การเขยี นขอ้ ความตามสถานการณแ์ ละโอกาสต่างๆ 12
ราโชวาท ท3.1 ม.3/3
ท4.1 ม.3/1 - การเขยี นยอ่ ความ
ท4.1 ม.3/3
ท5.1 ม.3/1 - การพูดแสดงความคดิ เหน็ และประเมินเรือ่ งจาก
ท5.1 ม.3/2
ท5.1 ม.3/3 การฟังและการดู
ท5.1 ม.3/4
- การพูดรายงานการศึกษาค้นควา้
ท1.1 ม.3/1
ท1.1 ม.3/2 - คำท่มี าจากภาษาต่างประเทศ - ระดับภาษา
ท1.1 ม.3/3
ท1.1 ม.3/4 - การสรุปเนอ้ื หาวรรณคดี วรรณกรรม
ท1.1 ม.3/5
ท2.1 ม.3/2 - การวิเคราะหว์ ถิ ไี ทย และคุณค่าจากวรรณคดี
ท2.1 ม.3/3
ท2.1 ม.3/4 และวรรณกรรม
ท2.1 ม.3/5
ท3.1 ม.3/1 - สรุปความรแู้ ละขอ้ คดิ จากการอา่ น
ท3.1 ม.3/2
ท3.1 ม.3/3 - บทอาขยานและบทรอ้ ยกรองทมี่ ีคุณคา่
ท4.1 ม.3/1
ท4.1 ม.3/2 - การอา่ นออกเสียงบทร้อยแกว้
ท4.1 ม.3/3
ท5.1 ม.3/1 - คำท่ีมีความหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั
ท5.1 ม.3/2
ท5.1 ม.3/3 - การอา่ นจบั ใจความจากสอ่ื ต่างๆ
-การอา่ นเรอ่ื งต่างๆ แล้วเขยี นกรอบแนวคิด ผงั
ความคดิ บนั ทึก ย่อความและรายงาน
- การวเิ คราะห์ วิจารณ์ และประเมนิ เร่ืองที่อา่ น
โดยใชก้ ลวิธกี ารเปรียบเทียบเพ่ือใหผ้ ู้อา่ นเข้าใจไดด้ ีขึ้น
- การเขยี นขอ้ ความตามสถานการณ์และโอกาสต่างๆ
-การเขียนอตั ชวี ประวัติหรอื ชีวประวัติ
- การเขยี นย่อความ - การเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ 12
- การพูดแสดงความคิดเหน็ และประเมินเรอ่ื ง
จากการฟงั และการดู
- การพูดวิเคราะห์วิจารณ์จากเร่อื งที่ฟังและดู
- การพดู รายงาน - คำทม่ี าจากภาษาตา่ งประเทศ
- ประโยคซับซอ้ น - ระดับภาษา
- การสรปุ เนือ้ หาวรรณคดี วรรณกรรม
- การวิเคราะห์วถิ ีไทย และคุณค่าจากวรรณคดี
และวรรณกรรม
- สรปุ ความร้แู ละขอ้ คดิ จากการอ่าน
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจ้าเมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หนา้ | 114
ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน สาระการเรยี นรู้ เวลา น้ำหนัก
การเรียนรู้ ตวั ช้วี ัด ชว่ั โมง คะแนน
4. อิศรญาณ ท1.1 ม.3/1 - การอา่ นออกเสียงบทร้อยกรอง
ภาษิต ท1.1 ม.3/2 - คำทม่ี คี วามหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย
ท1.1 ม.3/3 - การอ่านจบั ใจความจากสือ่ ต่างๆ
ท1.1 ม.3/5 - การวเิ คราะห์ วิจารณ์ และประเมินเรอ่ื งท่ีอ่าน
ท2.1 ม.3/1 - การคัดลายมอื ตวั บรรจงคร่ึงบรรทัด
ท2.1 ม.3/4 - การเขยี นยอ่ ความ
ท3.1 ม.3/1 - การพูดแสดงความคดิ เหน็ และประเมินเร่ือง
ท3.1 ม.3/2 จากการฟังและการดู 10 15
ท3.1 ม.3/3 - การพดู วเิ คราะห์วจิ ารณ์จากเรื่องท่ีฟังและดู
ท4.1 ม.3/1 - การพูดรายงาน - คำทมี่ าจากภาษาตา่ งประเทศ
ท5.1 ม.3/1 - การสรุปเนอ้ื หาวรรณคดี วรรณกรรม
ท5.1 ม.3/2 - การวิเคราะหว์ ิถีไทย และคณุ ค่าจากวรรณคดี
ท5.1 ม.3/3 และวรรณกรรม
ท5.1 ม.3/4 - สรปุ ความรแู้ ละขอ้ คิดจากการอ่าน
- บทอาขยานและบทรอ้ ยกรองทมี่ ีคุณค่า
5. บทพากษ์ ท1.1 ม.3/1 - การอ่านออกเสียงบทรอ้ ยกรอง
เอราวณั ท1.1 ม.3/2 - คำที่มคี วามหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย
ท1.1 ม.3/3 - การอ่านจับใจความจากสอื่ ต่างๆ
ท1.1 ม.3/5 - การวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมินเร่ืองทอ่ี า่ น
ท2.1 ม.3/1 โดยใช้กลวิธีการเปรียบเทียบเพอื่ ให้ผู้อา่ นเขา้ ใจ
ท2.1 ม.3/4 - การคัดลายมอื ตวั บรรจงครง่ึ บรรทดั
ท3.1 ม.3/1 - การเขียนย่อความ
ท3.1 ม.3/2 - การพูดแสดงความคดิ เหน็ และประเมนิ เรอื่ ง 12 16
ท4.1 ม.3/1 จากการฟังและการดู
ท5.1 ม.3/1 - การพูดวเิ คราะหว์ ิจารณ์จากเร่ืองทฟี่ ังและดู
ท5.1 ม.3/2 - คำทมี่ าจากภาษาต่างประเทศ
ท5.1 ม.3/3 - การสรปุ เน้ือหาวรรณคดี วรรณกรรม
ท5.1 ม.3/4 - การวิเคราะหว์ ถิ ีไทย และคณุ ค่าจากวรรณคดี
และวรรณกรรม
- สรุปความรู้และข้อคดิ จากการอา่ น
- บทอาขยานและบทร้อยกรองท่มี ีคุณคา่
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 115
ชือ่ หนว่ ย มาตรฐาน สาระการเรียนรู้ เวลา นำ้ หนัก
การเรยี นรู้ ตวั ชว้ี ัด ชั่วโมง คะแนน
คะแนนระหวา่ งภาคเรยี น 70
30
คะแนนสอบปลายภาคเรียน 60 100
รวม
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบ้านคลองเจ้าเมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หนา้ | 116
โครงสร้างรายวชิ า
รหสั วิชา ท 23102 ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 60 ชวั่ โมง จำนวน 1.5 หน่วยกิต
ชอ่ื หนว่ ย มาตรฐาน สาระการเรียนรู้ เวลา น้ำหนกั
การเรยี นรู้ ตัวช้วี ัด ชั่วโมง คะแนน
1.อะไร ๆ ก็ ท1.1 ม.3/8 - การวิเคราะหเ์ พอื่ แสดงความคิดเหน็ โต้แยง้
ไมเ่ ปน็ ไร ท1.1 ม.3/9 เกย่ี วกบั เรอื่ งท่ีอ่าน
ท2.1 ม.3/6 - ตีความและประเมนิ คุณค่าเร่อื งทีอ่ า่ น
ท2.1 ม.3/7 - การเขียนอธิบาย ช้ีแจง แสดงความคิดเห็น
ท3.1 ม.3/4 และโตแ้ ย้งในเร่อื งต่างๆ
ท3.1 ม.3/5 - การเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้
ท3.1 ม.3/6 ความคิดเห็น หรอื โตแ้ ย้งจากส่อื ตา่ งๆ 5 10
ท4.1 ม.3/4 - การพูดในโอกาสต่างๆ
ท5.1 ม.3/1 - การพดู โน้มน้าว
ท5.1 ม.3/2 - มารยาทในการฟงั การดู และการพูด
ท5.1 ม.3/3 - คำทับศัพทแ์ ละศพั ท์บญั ญัติ
- การวิเคราะหว์ ิถไี ทย และคณุ ค่าจาก
วรรณคดแี ละวรรณกรรม
2.มองโฆษณา ท1.1 ม.3/6 - การประเมนิ ความถกู ต้องของขอ้ มลู ท่ีใช้
อยา่ ง ท1.1 ม.3/7 สนบั สนุนในเรอื่ งทอี่ า่ น
วรรณกรรม ท1.1 ม.3/8 - การวิจารณ์ความสมเหตสุ มผล การลำดบั
ท1.1 ม.3/9 ความ และความเป็นไปได้ของเรอ่ื ง
ท1.1 ม.3/10 - การวเิ คราะห์เพือ่ แสดงความคดิ เห็นโต้แยง้
ท2.1 ม.3/6 เกยี่ วกบั เรอื่ งที่อ่าน
ท2.1 ม.3/7 - ตคี วามและประเมินคุณค่าเร่อื งที่อ่าน 5 10
ท3.1 ม.3/4 - มารยาทในการอา่ น
ท3.1 ม.3/5 - การเขยี นอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็น
ท3.1 ม.3/6 และโตแ้ ย้งในเรื่องตา่ งๆ
ท4.1 ม.3/5 - การเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดง
ท5.1 ม.3/1 ความรู้ ความคดิ เห็น หรอื โตแ้ ยง้ จากสือ่
ท5.1 ม.3/2 ต่างๆ
ท5.1 ม.3/3 - การพดู ในโอกาสต่างๆ - การพดู โน้มน้าว
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย โรงเรียนบ้านคลองเจ้าเมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หนา้ | 117
ช่อื หน่วย ตวั ชวี้ ัด สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั
การเรียนรู้ ชัว่ โมง คะแนน
- มารยาทในการฟัง การดู และการพดู
- คำศัพท์ทางวิชาการและวิชาชพี
- การวเิ คราะห์วิถีไทย และคุณค่าจาก
วรรณคดีและวรรณกรรม
3.เชา้ ฮา เยน็ เฮ ท1.1 ม.3/7 - การวิจารณ์ความสมเหตุสมผล การลำดบั
ท1.1 ม.3/8
ท1.1 ม.3/9 ความ และความเป็นไปได้ของเรอ่ื ง
ท1.1 ม.3/10
ท2.1 ม.3/7 - การวเิ คราะหเ์ พ่ือแสดงความคดิ เหน็ โต้แย้ง
ท3.1 ม.3/4
ท3.1 ม.3/5 เกยี่ วกับเร่ืองทอ่ี า่ น
ท3.1 ม.3/6
ท4.1 ม.3/3 - ตีความและประเมนิ คณุ ค่าเร่อื งทอี่ ่าน
ท5.1 ม.3/3
- มารยาทในการอา่ น
- การเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดง 5 8
ความรู้ ความคดิ เหน็ หรอื โต้แย้งจากสอ่ื
ตา่ งๆ
- การพดู ในโอกาสต่างๆ - การพดู โน้มน้าว
- มารยาทในการฟัง การดู และการพูด
- ระดบั ภาษา
- การวเิ คราะห์วถิ ไี ทย และคณุ ค่าจาก
วรรณคดแี ละวรรณกรรม
4.เขยี นงามตาม ท1.1 ม.3/2 -การอา่ นและการจบั ใจความ
รปู แบบ ท2.1 ม.3/5
ท2.1 ม.3/10 -ประเภทของจดหมาย
ท5.1 ม.3/2
-รปู แบบของจดหมาย 44
-การวเิ คราะห์วถิ ไี ทย และคุณค่าจาก
วรรณคดีและวรรณกรรม
5.เพลงนม้ี ี ท1.1 ม.3/2 - การอ่านและการจบั ใจความ
ประวตั ิ ท2.1 ม.3/7
ท2.1 ม.3/3 - การพดู แสดงความคิดเห็น และประเมนิ
ท3.1 ม.3/2
ท3.1 ม.3/6 เรอื่ งจากการฟงั และการดู
ท5.1 ม.3/2
-การเขยี นวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และแสดง 4 4
ความรู้ ความคิดเหน็ หรอื โต้แยง้ จากสื่อ
ต่างๆ
-การเขยี นอตั ชีวประวตั หิ รอื ชีวประวัติ
-มารยาทในการฟงั การดู และการพดู
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 118
ชื่อหนว่ ย ตัวช้วี ัด สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั
การเรยี นรู้ ชว่ั โมง คะแนน
6.มหศั จรรย์แหง่ ท1.1 ม.3/7 -การอา่ นจับใจความจากส่อื ตา่ งๆ
มะละกอ ท2.1 ม.3/7 -การเขยี นวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดง
ท3.1 ม.3/4 ความรู้ ความคดิ เห็น หรือโตแ้ ยง้ จากส่ือ
ท4.1 ม.3/3 ตา่ งๆ 4 4
ท4.1 ม.3/5 -การพดู ในโอกาสตา่ งๆ
-ระดบั ภาษา
-คำศพั ท์ทางวชิ าการและวชิ าชพี
7.รูต้ ำนานสบื ท1.1 ม.3/9 -ตคี วามและประเมินคุณคา่ และแนวคิดที่
สานวัฒนธรรม ท2.1 ม.3/6
ท3.1 ม.3/5 ไดจ้ ากงานเขียนอย่างหลากหลายเพอื่
ท4.1 ม.3/3
ท4.1 ม.3/4 นำไปใช้แก้ปญั หาในชีวติ
ท4.1 ม.3/5
ท5.1 ม.3/3 -การเขยี นอธบิ าย ชแี้ จง แสดงความคิดเหน็
และโต้แย้งในเร่อื งตา่ งๆ
- การพูดโน้มนา้ ว 55
-ระดบั ของภาษา
-คำศัพท์ทางวชิ าการและวชิ าชีพ
-คำยมื ภาษาตา่ งประเทศ
-สรปุ ความรแู้ ละขอ้ คดิ จากการอา่ นเพอ่ื
นำไปประยุกต์ใช้ในชีวติ จริง
8.ทเ่ี รียกว่า ท1.1 ม.3/2 -การอ่านจบั ใจความจากสอื่ ต่างๆ
กา้ วหนา้ ท2.1 ม.3/7
ท3.1 ม.3/3 -การเขียนวเิ คราะห์ วิจารณ์ และแสดง
ความรู้ ความคิดเหน็ หรือโตแ้ ยง้ จากส่ือ 4 3
ตา่ งๆ
-การพดู รายงานการศึกษาคน้ ควา้
9.กรงุ เทพฯ เม่อื ท1.1 ม.3/6 -การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ
รอ้ ยกว่าปี ท2.1 ม.3/6
-การเขยี นอธบิ าย ช้แี จง แสดงความคิดเห็น
ท3.1 ม.3/2
ท4.1 ม.3/4 และโตแ้ ยง้ ในเรือ่ งตา่ งๆ
ท5.1 ม.3/3
-ศัพท์บัญญัติ 45
-การเปล่ยี นแปลของภาษา
-การวิเคราะหว์ ถิ ีไทย และคุณคา่ จาก
วรรณคดีและวรรณกรรม
หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรียนบ้านคลองเจ้าเมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หนา้ | 119
ชอ่ื หนว่ ย ตวั ช้ีวัด สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั
การเรยี นรู้ ชัว่ โมง คะแนน
10.คิดดกี ็ไดบ้ ญุ
ท1.1 ม.3/6 -การอ่านจบั ใจความจากสือ่ ต่างๆ 3
11. ปาร์ต้บี าร์บี 3
คิว ท2.1 ม.3/7 -การพดู วิเคราะหว์ ิจารณจ์ ากเรอ่ื งท่ฟี ังและดู 4
3
12. ความรักใด ท3.1 ม.3/4 -การพูดในโอกาสตา่ งๆ
ควรใฝ่หา 4
ท4.1 ม.3/1 -คำที่มาจากภาษาตา่ งประเทศ
13. คำขวญั โนม้ 4
จติ โน้มคดิ คำคม ท3.1 ม.3/4 -ลักษณะคำไทย 4
ท3.1 ม.3/5 -การพูดโนม้ นา้ ว 70
14.ล้วนบญุ คุณ 30
อ้มุ ชวี ติ ท3.1 ม.3/6 -มารยาทในการฟงั การดู และการพูด 100
ท1.1 ม.3/8 -การวิเคราะหเ์ พื่อแสดงความคดิ เห็นโตแ้ ยง้
ท2.1 ม.3/8 -การกรอกแบบสมัครงาน 4
ท4.1 ม.3/2 -ประโยคซบั ซ้อน
ท4.1 ม.3/6 -การแต่งคำประพนั ธ์
ท1.1 ม.3/7 -การวจิ ารณ์ความสมเหตุสมผล
ท2.1 ม.3/2 -การเขียนขอ้ ความตามสถานการณแ์ ละ
ท2.1 ม.3/8 โอกาสต่างๆ
ท2.1 ม.3/9 -การกรอกแบบสมคั รงาน 4
ท5.1 ม.3/3 - การเขยี นรายงานโครงงาน
-สรปุ ความรู้และข้อคิดจากการอ่าน เพื่อ
นำไปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตจรงิ
ท1.1 ม.3/9 -การตีความและประเมินคณุ ค่า และ
ท2.1 ม.3/7 แนวคดิ ท่ีไดจ้ ากงานเขียน
ท3.1 ม.3/4 -การเขยี นวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดง
ท3.1 ม.3/6 ความรู้ ความคิดเห็น หรือโตแ้ ย้งจากส่อื ตา่ งๆ 4
ท5.1 ม.3/3 -การพดู ในโอกาสต่างๆ
-มารยาทในการฟงั การดู และการพดู
-การวิเคราะหว์ ถิ ีไทย และคุณค่าจากวรรณคดี
และวรรณกรรม
คะแนนระหวา่ งภาคเรียน
คะแนนสอบปลายภาคเรยี น
รวม 60
หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจ้าเมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หน้า | 120
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
อัตราส่วนคะแนน
คะแนนระหว่างปกี ารศกึ ษา : สอบปลายปกี ารศกึ ษา = 70 : 30
รายการวัด คะแนน
➢ ระหว่างภาค 70
มกี ารวัดและประเมนิ ผล ดังนี้ 30
1. คะแนนระหวา่ งปกี ารศกึ ษา 100
1.1 วดั โดยใช้แบบทดสอบ
1.2 วดั ทกั ษะ/กระบวนการ/สมรรถนะ (เลอื กวัดตามแผนการจัดการเรียนรู)้
1.2.1 ภาระงานท่มี อบหมาย
- การทำใบงาน/แบบฝึกหัด/สมุดงาน
- การศึกษาคน้ ควา้ /การนำเสนองาน
- การร่วมกิจกรรมการเรียนรู้
1.2.2 ทกั ษะการสอ่ื สารทางภาษาไทย และสมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียน
- การอ่าน
- การเขียน
- การฟัง ดู พูด
1.3 วัดคุณลักษณะอนั พึงประสงค์
2. คะแนนสอบกลางปีการศกึ ษา
วดั และประเมนิ ผลโดยใชแ้ บบทดสอบ
➢ คะแนนสอบปลายปกี ารศกึ ษา
มวี ัดและประเมินผลโดยใชแ้ บบทดสอบ
รวม
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบ้านคลองเจ้าเมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หน้า | 121
เกณฑ์การวัดผลประเมนิ ผล
1. การวดั และประเมนิ ผลโดยใชแ้ บบทดสอบ
1.1 เกณฑใ์ หค้ ะแนนแบบทดสอบแบบเลอื กตอบ พจิ ารณาจากความถกู ผดิ ของการเลือกตอบ
ตอบถกู ให้ 1 คะแนน ตอบผดิ ให้ 0 คะแนน
1.2 เกณฑ์ให้คะแนนแบบทดสอบแบบถูกผิด พิจารณาจากความถูกผิดของคําตอบ ตอบถูก
ให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน
1.3 เกณฑ์ให้คะแนนแบบทดสอบแบบเตมิ คํา พิจารณาจากความถูกผิดของคําตอบ ตอบถูก
ให้ 1 คะแนน ตอบผดิ ให้ 0 คะแนน
1.4 เกณฑ์การใหค้ ะแนนแบบทดสอบแบบเขยี นตอบ พจิ ารณาจากคำตอบในภาพรวมทั้งหมด
โดยกำหนดระดับคะแนนเปน็ 5 ระดบั ดังน้ี
ระดบั คะแนน เกณฑ์การใหค้ ะแนน
4 ตอบได้ถกู ต้อง สามารถอธิบายเหตุผลได้ชดั เจน พร้อมแสดงแนวคิดเชงิ เปรยี บเทยี บ
3 ตอบได้ถูกตอ้ ง สามารถอธิบายเหตุผลได้อยา่ งชัดเจน
2 ตอบได้ถูกตอ้ ง สามารถอธบิ ายเหตุผลไดเ้ ปน็ บางส่วน แตย่ ังไมอ่ ย่างชัดเจน
1 ตอบไดถ้ ูกตอ้ ง แตไ่ มส่ ามารถอธบิ ายเหตุผลได้
0 ตอบไมถ่ ูกต้อง และไม่สามารถอธิบายเหตผุ ลได้
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย โรงเรียนบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หนา้ | 122
2. การวดั และประเมินผลดา้ นทักษะ/กระบวนการ/สมรรถนะ
2.1ภาระงานทม่ี อบหมาย ได้แก่ ใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝกึ ทกั ษะ กำนดเกณฑก์ าร
ประเมินผลการทำใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝกึ ทักษะ เปน็ 4 ระดับ ดังนี้
ระดบั คณุ ภาพ เกณฑ์การให้คะแนน
4 - ทำใบงาน/แบบฝกึ หัด/แบบฝึกทกั ษะครบถว้ นและเสรจ็ ตามกําหนดเวลา
- ทำใบงาน/แบบฝกึ หัด/แบบฝึกทกั ษะไดถ้ กู ต้อง
(ดมี าก) - แสดงลำดับขน้ั ตอนของการทำใบงาน/แบบฝกึ หัด/แบบฝึกทักษะชดั เจนเหมาะสม
- ทำใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝึกทกั ษะครบถว้ นและเสรจ็ ตามกําหนดเวลา
3 - ทำใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝกึ ทักษะได้ถกู ตอ้ ง
(ด)ี - สลับขนั้ ตอนของการทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝกึ ทักษะ หรือไมร่ ะบขุ น้ั ตอนของ
การทำใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝึกทักษะ
2 - ทำใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝึกทกั ษะครบถว้ น แตเ่ สรจ็ หลงั กาํ หนดเวลาเล็กนอ้ ย
(พอใช)้ - ทำใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝึกทกั ษะขอ้ ไมถ่ กู ต้อง
- สลบั ขัน้ ตอนของการทำใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝกึ ทกั ษะ หรอื ไม่ระบขุ ้ันตอนของ
1 การทำใบงาน/แบบฝกึ หัด/แบบฝึกทักษะ
(ปรบั ปรงุ ) - ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝกึ ทักษะไมค่ รบถว้ น หรือไมเ่ สร็จตามกําหนดเวลาเล็ก
- ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝกึ ทักษะไม่ถูกตอ้ ง
- แสดงลำดับข้ันตอนของการทำใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝึกทกั ษะไม่สัมพนั ธก์ บั
โจทย์
หรือไม่แสดงลำดบั ข้ันตอน
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย โรงเรียนบ้านคลองเจ้าเมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หนา้ | 123
2.2 ทักษะการสอื่ สารทางภาษาไทย และสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
(1) การวดั ผลและประเมินการเรยี นรู้ด้านภาษา
การวดั ผลและประเมนิ การเรยี นรู้ด้านภาษาเป็นงานที่ยากซ่งึ ตอ้ งการความเข้าใจที่ถูกต้อง
เกย่ี วกับการพฒั นาทางภาษา ดงั น้ันผปู้ ฏิบตั หิ น้าทวี่ ัดผลการเรียนรู้ดา้ นภาษาจำเป็นต้องเข้าใจหลักการของ
การเรียนรภู้ าษาไทย เพ่อื เปน็ พ้นื ฐานการดําเนินงาน ดังน้ี
(1.1) ทักษะทางภาษาทง้ั การฟัง การดู การพูด การอ่าน และการเขยี นมีความสำคญั เทา่ ๆ
กันและทกั ษะเหล่าน้ีจะบูรณาการกนั ในการเรียนการสอนจะไม่แยกฝกึ ทักษะทีละอย่างจะต้องฝึกทักษะไป
พรอ้ ม ๆ กนั และทกั ษะทางภาษาทักษะหนึง่ จะส่งผลตอ่ การพฒั นาทักษะทางภาษาอื่น ๆ ดวั ย
(1.2) ผู้เรียนต้องได้รับการพัฒนาความสามารถทางภาษาพร้อมกับการพัฒนาความคิด
เพราะภาษาเป็นสื่อของความคิด ผู้ที่มีทักษะและความสามารถในการใช้ภาษาจะช่วยให้ผู้เรียนมี
ความสามารถในการคิดด้วยขณะเดียวกันการเรียนภาษาจะเรียนร่วมกันกับผู้อื่น มีการติดต่อสื่อสาร
ใชภ้ าษาในการตดิ ต่อกับเพ่ือน กบั ครู จงึ เป็นการฝึกทกั ษะทางสังคมด้วย เมื่อผูเ้ รยี นไดใ้ ช้ภาษา ใน
สถานการณ์จริงทั้งในบริบททางวิชาการในห้องเรียนและในชุมชน จะทำให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาและได้ฝึก
ทกั ษะทางสังคมในสถานการณ์จรงิ
(1.3) ผู้เรียนต้องเรียนรู้การใช้ภาษาพูดและภาษาเขียนอย่างถูกต้องด้วยการฝึกการใช้
ภาษามิใช่เรียนรู้กฎเกณฑ์ทางภาษาแต่เพียงอย่างเดียว การเรียนภาษาจะต้องเรียนรู้ไวยากรณ์หรือหลัก
ภาษาการสะกดคํา การใช้เครื่องหมายวรรคตอน และนําความรู้ดังกล่าวไปใช้ในการฝึกฝนการเขียนพฒั นา
ทกั ษะทางภาษาของตน
(1.4) ผเู้ รยี นทุกคนจะได้รับการพัฒนาทักษะทางภาษาเท่ากนั แตก่ ารพฒั นาทางภาษาจะ
ไมเ่ ท่ากนั และวธิ ีการเรยี นรูจ้ ะตา่ งกนั
(1.5) ภาษากับวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชดิ หลักสูตรจะต้องให้ความสำคัญ
และใชค้ วามเคารพและเห็นคุณคา่ ของเชอื้ ชาติ จัดกิจกรรมภมู ิหลังของภาษาและการใช้ภาษาถน่ิ ของผู้เรียน
และชว่ ยใหผ้ ้เู รียนพัฒนาภาษาไทยของตน และพัฒนาความรู้สกึ ทีด่ ีเกยี่ วกบั ภาษาไทยและกระตุ้นให้ผู้เรียน
สามารถเรยี นภาษาไทยด้วยความสขุ
(1.6) ภาษาไทยเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้ และทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้จะต้องใช้
ภาษาไทยเป็นเครือ่ งมอื การส่อื สารและการแสวงหาความรู้ การเรียนทกุ กล่มุ สาระการเรียนรจู้ ะใช้ภาษาไทย
คิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การอภิปราย การเขียน รายงาน การเขียนโครงการ การตอบคําถามการ
ตอบขอ้ ทดสอบ ดงั นัน้ ครทู กุ คนไมว่ า่ จะสอนวิชาใดกต็ ามจะตอ้ งใชภ้ าษาท่เี ปน็ แบบแผน เป็นตัวอย่างที่ดีแก่
นกั เรียน และต้องสอนการใช้ภาษาแกผ่ ูเ้ รยี นดว้ ยเสมอ
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หน้า | 124
(2) วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผลการเรยี นของผเู้ รียน
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกนำมาใช้ในการประเมินโดยทั่วไป ได้แก่ การสังเกต
การตรวจงานหรอื ผลงาน การทดสอบความรู้ การตรวจสอบการปฏิบัติ และการแสดงออกอย่างไรก็ตาม มี
การนาํ เสนอแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยพิจารณาจากเปูาประสงค์ของการประเมินท่ีเฉพาะเจาะจง
ในรายละเอียด เพื่อข้อมูลที่ได้จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อการปรับปรุงพัฒนากระบวนการเรียนรู้ได้
อย่างแทจ้ ริง ดงั น้ี
(2.1) การให้ตอบแบบทดสอบ ทั้งในลักษณะที่เป็นแบบเลือกคําตอบ ได้แก่ ข้อสอบแบบ
เลือกตอบ ถกู -ผิด จบั คู่ และข้อสอบชนิดใหผ้ ู้สอบสรา้ งคาํ ตอบ ได้แก่ เตมิ ข้อความในช่องว่างคาํ ตอบสั้นเป็น
ประโยค เปน็ ขอ้ ความ แผนภูมิการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยวีการนเี้ หมาะกบั การวัดความรู้เกีย่ วกับข้อเท็จจริง
ความรู้เกย่ี วกับกระบวนการ ซ่ึงมีขอ้ ดีทใี่ ชเ้ วลาในการดำเนินการน้อย ง่าย และสะดวกตอ่ การนําไปใช้ให้ผล
การประเมินที่ตรงไปตรงมา เนื่องจากมีเกณฑ์การประเมินชัดเจน แต่ไม่เหมาะกับการนําไปใช้กับผลการ
เรียนรูท้ ี่เปน็ เจตคตคิ า่ นยิ ม
(2.2) การพจิ ารณาจากผลงาน เช่น เรียงความ รายงานการวจิ ัย บันทึกประจำวัน รายงาน
การทดลอง บทละครบทร้อยกรอง แฟูมผลงาน เป็นต้น ผลงานจะเป็นตัวแสดงให้เห็นการนําความรู้และ
ทักษะไปใช้ในการปฏบิ ัติงานของผู้เรียน จุดเด่นของการประเมินโดยดูจากผลงานนีค้ ือจะแสดงให้เห็นสิ่งท่ี
นักเรียนสามารถทำได้ มีการกำหนดเกณฑ์การประเมิน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถประเมินตนเองได้ เพื่อการ
ปรับปรุงพัฒนาตนเองของผู้เรียน เพื่อนก็สามารถใช้เกณฑ์ในการประเมินผลงานของผู้เรียนได้เช่นกัน
จุดอ่อนของการประเมินจากผลงาน คือ ต้องมีการกำหนดเกณฑ์การประเมินร่วมกัน ต้องใช้เวลาในการ
ประเมนิ มาก รวมทง้ั ตัวแปรภายนอกอาจเข้ามามอี ิทธพิ ลตอ่ การประเมินได้ง่าย
(2.3) พิจารณาการปฏิบัติ โดยผู้สอนสามารถสังเกตการนําทักษะและความรู้ไปใช้ได้
โดยตรงในสถานการณ์ท่ีให้ปฏิบัติจรงิ วิธกี ารนถี้ กู นาํ ไปใช้อย่างกวา้ งขวางในการประเมินมีคุณค่ามาก หาก
ผู้เรียนได้นําไปใช้ในการประเมินตนเองเพื่อสร้างแรงจูงใจในการปรับปรุงพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ใน
กระบวนการประเมินจะมีเครื่องมือประกอบการดำเนนิ การคือ แบบสํารวจรายการ ประมาณคา่ และเกณฑ์
การให้ระดบั คะแนน (scoring rubric)
(2.4) พิจารณากระบวนการ วิธีการนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ กระบวนการคิด
ของผู้เรียนมากกว่าที่จะดูผลงานหรือการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้เข้าใจกระบวนการคิดที่ผู้เรียนใช้ วิธีการท่ี
ครูผู้สอนใช้อยู่เป็นประจำในกระบวนการเรียนการสอน คือ การให้นักเรียนคิดดัง ๆ การตั้งคําถามให้
นักเรยี นตอบ โดยครูจะเป็นผสู้ งั เกตวธิ กี ารคิดของผเู้ รียน
วธิ ีการเชน่ นีเ้ ปน็ กระบวนการที่จะใหข้ ้อมูลเพื่อการวินิจฉยั และเป็นข้อมูลย้อนกลับแก่
ผู้เรียน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับการประเมินพัฒนาการด้านคุณธรรม
จริยธรรม และลักษณะนิสัยจากแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินผลการเรียนรู้ดังกล่าว
ข้างต้นสามารถนํามาพิจารณา กำหนดแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูล ทักษะทางภาษาได้โดยการสังเกต
ผ่านพฤตกิ รรมการปฏบิ ัตติ ่าง ๆ ของผ้เู รียน เชน่ การเล่าเรื่อง การใหค้ ําชี้แจง การเลา่ ประสบการณ์ การ
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรียนบ้านคลองเจ้าเมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หนา้ | 125
ร่วมกจิ กรรมตา่ ง ๆ การปฏสิ ัมพนั ธ์กบั กลุม่ หรือบุคคล หากผลการเรียนรู้ท่ีต้องการจากการเรียนคือความรู้
ความคิดเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของภาษา การใช้ภาษา
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินที่เหมาะสม คือ การใช้ข้อสอบซึ่งอาจเป็น
แบบเลือกตอบ หรือให้สร้างคําตอบการประเมินด้วยการกำหนดประเด็นการประเมนิ ที่ แจกแจงระดับการ
ปฏิบัติ (Rubric) ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ที่กําลังได้รับการยอมรับและถูกนำมาใช้ในการ
ประเมนิ ผลการเรยี นอย่างกว้างขวาง เนื่องจากผลการประเมนิ ทไี่ ด้มคี ณุ ค่าตอ่ การปรับปรุงพฒั นาการเรียนรู้
ของผู้เรียนมากกว่าตัวเลขคะแนน และมีประสิทธิภาพสำหรับการประเมินการปฏิบัติหรือผลงานที่ไม่มี
คําตอบถูกเพียงคําตอบเดียว หรือการแก้ปัญหาทางเดียว แต่จะมีคําตอบที่หลากหลายการตัดสินผลการ
ประเมินจำเป็นต้องมีเกณฑ์การประเมินที่แสดงระดับคุณภาพที่ต้องการการประเมินความสามารถหรือ
ทักษะทางภาษา เครื่องมือประเภทนี้นา่ จะเป็นเครื่องมือทีส่ ามารถนาํ ไปใช้ได้อย่างสอดคล้อง แต่เนื่องจาก
สร้างยากแต่หากสามารถพัฒนาข้นึ ใช้ได้ จะช่วยใหผ้ ลการประเมนิ เที่ยงตรง เชือ่ ถอื ไดแ้ ละยุตธิ รรม รวมท้ัง
มีคุณค่าต่อการปรับปรุงและพัฒนาตนเองของผู้เรียน เนื่องจากระบุความคาดหวังของการปฏิบัติไว้อย่าง
ชดั เจน
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจ้าเมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หนา้ | 126
(3) การประเมินผลสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
การประเมินผลสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ประเมินโดยใช้แบบประเมินสมรรถนะ
สำคญั ของผูเ้ รียน โดยกำหนดเกณฑใ์ นการประเมนิ ดงั น้ี
ระดบั คุณภาพ เกณฑ์การให้คะแนน
(3) ผู้เรียนปฏบิ ตั ิตนตามสมรรถนะจนเป็นนสิ ยั และนาํ ไปใชใ้ นชีวติ ประจำวันเพือ่
ดเี ย่ียม ประโยชนส์ ุขของตนเองและสงั คม โดยพจิ ารณาจากผลการประเมินระดับดเี ย่ียม
จำนวน 3-5 สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะใดไดผ้ ลการประเมนิ ตำ่ กว่าระดับดี
(2) ผูเ้ รยี นมสี มรรถนะในการปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑ์ เพ่อื ใหเ้ ป็นการยอมรับของสงั คม พิจารณาจาก
ดี
1. ได้ผลการประเมินระดับดเี ยยี่ ม จำนวน 1-2 สมรรถนะ และไม่มี
(1) สมรรถนะใดได้ผลการประเมนิ ตำ่ กว่าระดบั ดี หรอื
พอใช้
2. ได้ผลการประเมินระดับดีเยย่ี ม จำนวน 2 สมรรถนะ และไม่มี
(0) สมรรถนะใดไดผ้ ลการประเมินต่ำกว่าระดบั ผา่ น หรือ
ปรับปรงุ
3. ได้ผลการประเมินระดบั ดี จำนวน 4-5 สมรรถนะ และไมม่ ี
สมรรถนะใดได้ผลการประเมินตำ่ กวา่ ระดับผา่ น
ผเู้ รยี นรับรู้และปฏิบตั ติ ามกฎเกณฑแ์ ละเงอ่ื นไขทส่ี ถานศกึ ษากำหนด พจิ ารณาจาก
1. ได้ผลการประเมนิ ระดบั ผ่าน จำนวน 4-5 สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะ
ใดไดผ้ ลการประเมินต่ำกว่าระดับผา่ น หรอื
2. ไดผ้ ลการประเมินระดับดี จำนวน 2 สมรรถนะ และไม่มสี มรรถนะใด
ได้ผลการประเมนิ ตำ่ กว่าระดบั ผา่ น
ผู้เรยี นรับรู้และปฏบิ ัติได้ไม่ครบตามเกณฑ์และเง่อื นไขที่กำหนด โดยพิจารณา
จากผลการประเมนิ ระดับตอ้ งปรับปรงุ ตงั้ แต่ 1 สมรรถนะ
เกณฑ์การให้คะแนน
พฤติกรรมทป่ี ฏิบตั ิสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
พฤติกรรมทปี่ ฏบิ ตั ิบ่อยคร้งั ให้ 2 คะแนน
พฤตกิ รรมที่ปฏบิ ตั บิ างครั้ง ให้ 1 คะแนน
พฤติกรรมทปี่ ฏบิ ัติน้อยครัง้ ให้ 0 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
13-15 ดีเยย่ี ม (3)
9-12
5-8 ดี (2)
ต่ำกว่า 5 ผ่าน (1)
ไม่ผา่ น (0)
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรียนบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 127
แบบประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
ชื่อ................................................นามสกลุ ................................................เลขที.่ .............ช้นั .................
คำชแ้ี จง : ให้ผู้สอนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรยี น และขีด ลงในชอ่ งทต่ี รงกับคะแนน
สมรรถนะดา้ น รายการ ระดบั คณุ ภาพ
ประเมนิ ดเี ย่ียม ดี ผ่าน ไมผ่ า่ น
1. ความสามารถ 1.1 มีความสามารถในการรบั -สง่ สาร (3) (2) (1) (0)
ในการสือ่ สาร
1.2 มคี วามสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ รวม .......... คะแนน ระดบั ...............
ของตนเอง โดยใช้ภาษาอย่างเหมาะสม รวม .......... คะแนน ระดับ ...............
1.3 ใชว้ ธิ ีการสื่อสารทีเ่ หมาะสม มปี ระสทิ ธิภาพ
รวม .......... คะแนน ระดับ ...............
1.4 เจรจาตอ่ รองเพ่ือขจดั และลดปัญหาความขัดแย้งตา่ ง ๆ ได้ รวม .......... คะแนน ระดับ ...............
รวม .......... คะแนน ระดบั ...............
1.5เลือกรบั และไม่รบั ขอ้ มลู ข่าวสารด้วยเหตผุ ลและถกู ต้อง
2. ความสามารถ สรปุ ผลการประเมนิ
ในการคิด 2.1 มีความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ สงั เคราะห์
2.2 มที กั ษะในการคดิ นอกกรอบอย่างสร้างสรรค์
2.3 สามารถคิดอย่างมีวิจารณญาณ
2.4 มีความสามารถในการสรา้ งองคค์ วามรู้
2.5 ตัดสนิ ใจแก้ปญั หาเก่ยี วกับตนเองได้อย่างเหมาะสม
3 ความสามารถ สรปุ ผลการประเมิน
ในการแกป้ ญั หา 3.1 สามารถแกป้ ญั หาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่เี ผชญิ ได้
3.2 ใช้เหตุผลในการแก้ปญั หา
3.3 เขา้ ใจความสมั พันธแ์ ละการเปลี่ยนแปลงในสงั คม
3.4 แสวงหาความรู้ ประยุกตค์ วามรมู้ าใช้ในการปอู งกนั และ
แกไ้ ขปัญหา
3.5 สามารติดสินใจได้เหมาะสมตามวยั
4. ความสามารถ สรุปผลการประเมิน
ในการใช้ทักษะชีวติ 4.1 เรยี นรู้ด้วยตนเองไดเ้ หมาะสมตามวยั
4.2 สามารถทำงานกลมุ่ ร่วมกบั ผอู้ ื่นได้
4.3 นาํ ความรทู้ ่ไี ด้ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวนั
4.4 จัดการปัญหาและความขัดแยง้ ไดเ้ หมาะสม
4.5 หลกี เลยี่ งพฤติกรรมไมพ่ ึงประสงคท์ ่ีสง่ ผลกระทบตอ่ ตนเอง
5. ความสามารถ สรุปผลการประเมนิ
ในการใช้เทคโนโลยี 5.1 เลือกและใชเ้ ทคโนโลยีไดเ้ หมาะสมตามวัย
5.2 มที กั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี
5.3 สามารถนาํ เทคโนโลยไี ปใช้พัฒนาตนเอง
5.4 ใช้เทคโนโลยีในการแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์
5.5 มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรมในการใช้เทคโนโลยี
สรุปผลการประเมนิ
ระดับคุณภาพตามเกณฑก์ ารประเมินในหลกั สตู รรายชัน้
ลงชื่อ................................................................ผู้ประเมนิ
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย โรงเรียนบ้านคลองเจา้ เมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หนา้ | 128
3. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
การประเมินผลคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ประเมินโดยใช้แบบประเมินคุณลักษณะ
อนั พึงประสงค์ กำหนดเกณฑใ์ นการประเมนิ ดังน้ี
ระดบั คุณภาพ เกณฑก์ ารให้คะแนน
(3) ผู้เรียนปฏบิ ัติตนตามคุณลักษณะจนเปน็ นสิ ยั และนําไปใชใ้ นชวี ิตประจำวันเพ่อื ประโยชน์
สุขของตนเองและสังคม โดยพจิ ารณาจากผลการประเมินท้ัง 8 คุณลักษณะ คือ ได้ระดับ
ดเี ยย่ี ม 3 จำนวน 5-8 คุณลักษณะ และไม่มคี ณุ ลกั ษณะใดไดผ้ ลการประเมินต่ำกว่าระดับ 2
ผู้เรียนมคี ุณลกั ษณะในการปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑ์ เพอ่ื ใหเ้ ปน็ การยอมรับของสังคม
(2) พจิ ารณาจาก
ดี
1. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดบั 3 จำนวน 1-4 คณุ ลกั ษณะ และไมม่ คี ุณลักษณะใด
(1) ได้ผลการประเมนิ ตำ่ กวา่ ระดบั 2 หรอื
ผา่ น
(0) 2. ได้ผลการประเมิน ระดับ 3 จำนวน 4 คุณลักษณะ และไม่มคี ณุ ลักษณะใด
ไม่ผ่าน ไดผ้ ลการประเมนิ ตำ่ กวา่ ระดับ 1 หรือ
3. ได้ผลการประเมิน ระดับ 2 จำนวน 5-8 คณุ ลกั ษณะ และไม่มคี ุณลักษณะใด
ไดผ้ ลการประเมนิ ต่ำกว่าระดับ 1
ผเู้ รียนรับรู้และปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑ์ และเง่อื นไขทีส่ ถานศึกษากำหนด พจิ ารณาจาก
1. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดับ 1 จำนวน คุณลกั ษณะ และไม่มคี ุณลักษณะใด
ไดผ้ ลการประเมินตำ่ กวา่ ระดบั 1 หรอื
2. ไดผ้ ลการประเมิน ระดบั 2 จำนวน 4 คุณลักษณะ และไมม่ ีคณุ ลกั ษณะใด
ไดผ้ ลการประเมนิ ต่ำกว่าระดบั 1
ผู้เรยี นรับรแู้ ละปฏบิ ัติได้ไม่ครบตามเกณฑ์และเงอื่ นไขที่กำหนด โดยพจิ ารณาจาก
ผลการประเมิน ระดบั 0 ต้งั แต่ 1 คุณลกั ษณะขึน้ ไป
เกณฑก์ ารให้คะแนน
พฤตกิ รรมที่ปฏบิ ตั ิสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
พฤติกรรมทป่ี ฏิบตั ิบอ่ ยคร้ัง ให้ 2 คะแนน
พฤตกิ รรมทป่ี ฏิบัตบิ างครงั้ ให้ 1 คะแนน
พฤตกิ รรมทป่ี ฏิบัตนิ ้อยคร้งั ให้ 0 คะแนน
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจ้าเมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หน้า | 129
แบบประเมนิ คุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์
ชื่อ................................................นามสกลุ ................................................เลขท่.ี .............ช้ัน.................
คำช้ีแจง : ใหผ้ ูส้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรยี น และขีด ลงในชอ่ งท่ีตรงกับคะแนน
คณุ ลักษณะ รายการ ดี ระดบั คณุ ภาพ ไม่ผ่าน
เย่ียม (0)
ประเมิน (3) ดี ผา่ น
(2) (1)
1. รักชาติ ศาสน์ 1.1 ยนื ตรงเคารพธงชาติ และร้องเพลงชาตไิ ด้
กษัตริย์ 1.2 เขา้ ร่วมกิจกรรมที่สรา้ งความสามัคคี และเป็น
ประโยชนต์ อ่ โรงเรยี น
1.3 เข้ารว่ มกิจกรรมทางศาสนาทต่ี นนับถือ ปฏบิ ัติตาม
หลักศาสนา
1.4 เข้ารว่ มกจิ กรรมที่เก่ยี วกับสถาบันพระมหากษตั ริย์
ตามท่ีโรงเรียนจัดข้ึน
2. ซอื่ สตั ย์ สุจริต 2.1 ให้ขอ้ มลู ท่ีถูกตอ้ ง และเป็นจรงิ
2.2 ปฏบิ ตั ใิ นส่งิ ทถ่ี ูกตอ้ ง
3. มีวินยั 3.1 ปฏิบัติตามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ขอ้ บังคบั
รับผดิ ชอบ ของโรงเรียน
4. ใฝเ่ รียนรู้ 3.2 มคี วามตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตา่ ง ๆ
ในชวี ิตประจำวนั
4.1 รู้ จกั ใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ และนำไปปฏิบตั ิได้
4.2 รู้จักจดั สรรเวลาให้เหมาะสม
4.3 เชื่อฟงั คำสัง่ สอนของบดิ า-มารดา ครู
4.4 ต้งั ใจเรยี น
5. อย่อู ย่าง 5.1 ใชท้ รัพยส์ ินและสงิ่ ของของโรงเรียนอย่างประหยดั
พอเพยี ง 5.2 ใชอ้ ปุ กรณ์การเรยี นอยา่ งประหยัดและร้คู ณุ คา่
5.3 ใช้จา่ ยอย่างประหยดั และมกี ารเก็บออมเงนิ
6. มุ่งม่ันในการ 6.1 มีความตัง้ ใจและพยายามในการทำงานที่ไดร้ บั
ทำงาน มอบหมาย
7. รกั ความเป็น 6.2 มีความอดทนและไมท่ ้อแทต้ ่ออุปสรรคเพ่ือใหง้ าน
ไทย สำเรจ็
7.1 มีจติ สำนกึ ในการอนรุ กั ษ์วัฒนธรรมและภมู ิปญั ญา
ไทย
7.2 เห็นคุณค่าและปฏบิ ตั ติ นตามวัฒนธรรมไทย
8. มีจติ 8.1 รูจ้ ักชว่ ยพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครทู ำงาน
สาธารณะ 8.2 รจู้ ักการดแู ลรักษาทรพั ย์สมบตั แิ ละส่งิ แวดลอ้ มของ
หอ้ งเรียนและโรงเรยี น
ระดบั คุณภาพตามเกณฑก์ ารประเมินในหลกั สตู รรายช้ัน
ลงชือ่ ................................................................ผปู้ ระเมิน
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจ้าเมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หนา้ | 130
4. เกณฑ์การตัดสินผลการเรยี น
4.1 เกณฑก์ ารตัดสินระดบั ผลการเรียน
ระดบั ผลการเรยี น ความหมาย ช่วงคะแนน
80 - 100
4 ผลการเรียนดีเยย่ี ม 75 - 79
70 - 74
3.5 ผลการเรยี นดีมาก 65 - 69
60 - 64
3 ผลการเรยี นดี 55 - 59
50 - 54
2.5 ผลการเรยี นค่อนข้างดี
0 - 49
2 ผลการเรียนปานกลาง
1.5 ผลการเรียนพอใช้
1 ผลการเรียนผา่ นเกณฑ์ข้นั ต่ำ
0 ผลการเรยี นตำ่ กวา่ เกณฑ์
4.2 เกณฑก์ ารตดั สินผลการเรียน ร และ มส.
(1) ตัดสนิ ผลการเรยี น ร
หมายถึง รอการตัดสินและยงั ตัดสนิ ผลการเรียนไม่ได้เนื่องจาก ผู้เรียนไม่มีข้อมูลผล
การเรียนในรายวิชาครบถ้วน ได้แก่ ไม่ได้วัดผลกลางภาคเรียน/ปลายภาคเรียน ไม่ได้ส่งงานที่มอบหมาย
ใหท้ ำ ซึ่งงานนน้ั เปน็ ส่วนหนึง่ ของการตัดสนิ ผลการเรยี น หรือมเี หตุสดุ วสิ ยั ท่ที ำใหป้ ระเมินผลการเรียนไมไ่ ด้
(2) ตดั สนิ ผลการเรยี น มส.
หมายถึง ผู้เรียนไม่มีสิทธิเข้ารับการวัดผลปลายภาคเรียน เนื่องจากผู้เรียน มีเวลา
เรยี นไมถ่ ึงรอ้ ยละ 80 ของเวลาเรียนทง้ั หมด และไม่ได้รับการผอ่ นผนั ให้เข้ารบั การวัดผลปลายภาคเรียน
5. การประเมินการอ่าน คิดวเิ คราะห์และการเขยี น
เกณณ์การประเมินการอา่ น คดิ วเิ คราะหแ์ ละการเขียน คะแนนเตม็ 20 คะแนน
ระดับคณุ ภาพ ความหมาย ชว่ งคะแนน
ดเี ยี่ยม มผี ลงานทีแ่ สดงถงึ ความสามารถในการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขียน 16 - 20
ทม่ี คี ณุ ภาพดีเลิศอยู่เสมอ
ดี มีผลงานทแ่ี สดงถงึ ความสามารถในการอ่าน คดิ วเิ คราะห์และเขียน 13 - 15
ทม่ี ีคุณภาพเปน็ ท่ยี อมรบั ได้
ผ่าน มีผลงานทแี่ สดงถึงความสามารถในการอา่ น คดิ วิเคราะห์และเขยี น 10 - 12
ทม่ี ีคุณภาพเป็นทย่ี อมรบั ได้ แตย่ งั มีขอ้ บกพร่องบางประการ
ไม่มผี ลงานทแี่ สดงถึงความสามารถในการอ่าน คิดวเิ คราะหแ์ ละเขยี น
ไม่ผา่ น หรอื ถ้ามผี ลงาน ผลงานนน้ั ยงั มขี อ้ บกพรอ่ งทีต่ อ้ งการได้รับการ 9 - 10
ปรบั ปรงุ แกไ้ ขหลายประการ
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หนา้ | 131
คำอภิธานศัพท์
กระบวนการเขยี น
กระบวนการเขียนเปน็ การคดิ เรอ่ื งท่ีจะเขียนและรวบรวมความรู้ในการเขียน กระบวนการเขียน มี 5
ขัน้ ดงั นี้
1. การเตรียมการเขียน เปน็ ขั้นเตรยี มพรอ้ มที่จะเขียนโดยเลือกหัวขอ้ เร่อื งที่จะเขียนบนพ้ืนฐาน
ของประสบการณ์ กำหนดรูปแบบการเขียน รวบรวมความคิดในการเขียน อาจใช้วิธีการอ่านหนังสือ
สนทนา จัดหมวดหม่คู วามคดิ โดยเขยี นเปน็ แผนภาพความคดิ จดบนั ทึกความคิดทีจ่ ะเขยี นเป็นรูปหัวข้อ
เรือ่ งใหญ่ หัวข้อยอ่ ย และรายละเอยี ดครา่ วๆ
2. การยกร่างข้อเขียน เมื่อเตรียมหัวข้อเร่ืองและความคิดรูปแบบการเขียนแล้ว ให้นำความคดิ
มาเขยี นตามรปู แบบทกี่ ำหนดเป็นการยกร่างขอ้ เขยี น โดยคำนึงถงึ ว่าจะเขยี นใหใ้ ครอ่าน จะใช้ภาษาอย่างไร
ใหเ้ หมาะสมกบั เร่อื งและเหมาะกบั ผู้อ่ืน จะเรม่ิ ตน้ เขียนอยา่ งไร มหี วั ข้อเร่ืองอยา่ งไร ลำดบั ความคิดอย่างไร
เชอื่ มโยงความคิดอยา่ งไร
3. การปรับปรุงข้อเขียน เมื่อเขียนยกร่างแล้วอ่านทบทวนเรื่องที่เขียน ปรับปรุงเรื่องที่เขียน
เพิ่มเติมความคิดให้สมบูรณ์ แก้ไขภาษา สำนวนโวหาร นำไปให้เพื่อนหรือผู้อื่นอ่าน นำข้อเสนอแนะมา
ปรบั ปรุงอีกครัง้
4. การบรรณาธิการกิจ นำข้อเขียนที่ปรับปรุงแล้วมาตรวจทานคำผิด แก้ไขให้ถูกต้อง แล้ว
อา่ นตรวจทานแก้ไขขอ้ เขยี นอีกครั้ง แก้ไขขอ้ ผดิ พลาดทั้งภาษา ความคิด และการเวน้ วรรคตอน
5. การเขียนใหส้ มบูรณ์ นำเรอ่ื งทีแ่ ก้ไขปรับปรงุ แล้วมาเขียนเร่อื งให้สมบรู ณ์ จัดพิมพ์ วาด
รูปประกอบ เขียนให้สมบูรณ์ด้วยลายมอื ที่สวยงามเป็นระเบยี บ เมอ่ื พิมพห์ รอื เขียนแล้วตรวจทานอีกครั้ง
ให้สมบรู ณ์กอ่ นจดั ทำรูปเล่ม
กระบวนการคดิ
การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เป็นกระบวนการคิด คนที่จะคิดได้ดีต้องเป็นผู้ฟัง ผู้พูด
ผู้อ่าน และผู้เขียนที่ดี บุคคลที่จะคิดได้ดีจะต้องมีความรู้และประสบการณ์พื้นฐานในการคิด บุคคลจะมี
ความสามารถในการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจรงิ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมนิ ค่า จะต้องมีความรู้
และประสบการณ์พื้นฐานที่นำมาช่วยในการคิดทั้งสิ้น การสอนให้คิดควรให้ผู้เรียนรู้จักคัดเลือกข้อมูล
ถ่ายทอด รวบรวม และจำข้อมูลต่างๆ สมองของมนุษย์จะเป็นผู้บริโภคข้อมูลข่าวสาร และสามารถแปล
ความข้อมลู ขา่ วสาร และสามารถนำมาใชอ้ ้างองิ การเป็นผฟู้ ัง ผู้พดู ผอู้ า่ น และผ้เู ขยี นท่ดี ี จะต้องสอนให้
เปน็ ผบู้ รโิ ภคขอ้ มูลข่าวสารท่ีดีและเปน็ นกั คิดท่ีดดี ้วย กระบวนการสอนภาษาจงึ ตอ้ งสอนให้ผู้เรียนเป็นผู้รับรู้
ข้อมูลข่าวสารและมีทักษะ การคิด นำข้อมูลข่าวสารที่ได้จากการฟังและการอ่านนำมาสู่การฝึกทักษะการ
คิด นำการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน มาสอนในรูปแบบบรู ณาการทักษะ ตัวอย่าง เช่น การเขียน
เป็นกระบวนการคดิ ในการวิเคราะห์ การแยกแยะ การสงั เคราะห์ การประเมนิ ค่า การสร้างสรรค์ ผเู้ ขยี นจะนำ
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบ้านคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 132
ความร้แู ละประสบการณ์สู่การคิดและแสดงออกตามความคิดของตนเสมอ ตอ้ งเป็นผู้อา่ นและผู้ฟังเพื่อรับรู้
ข่าวสารทจี่ ะนำมาวเิ คราะห์และสามารถแสดงทรรศนะได้
กระบวนการอา่ น
การอ่านเปน็ กระบวนการซ่ึงผู้อ่านสร้างความหมายหรือพัฒนา การตีความระหว่างการอ่านผู้อ่าน
จะต้องรู้หัวขอ้ เรื่อง รจู้ ุดประสงค์ของการอ่าน มคี วามรู้ทางภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาที่ใช้ในหนังสือท่ีอ่าน
โดยใช้ประสบการณ์เดิมเป็นประสบการณท์ ำความเขา้ ใจกับเรื่องทอ่ี ่าน กระบวนการอ่านมดี ังน้ี
1. การเตรียมการอ่าน ผู้อ่านจะต้องอ่านชื่อเรื่อง หัวข้อย่อยจากสารบัญเรื่อง อ่านคำนำ ให้
ทราบจุดมุ่งหมายของหนังสือ ตั้งจุดประสงค์ของการอ่านจะอ่านเพื่อความเพลิดเพลินหรืออ่านเพื่อหา
ความรู้ วางแผนการอ่านโดยอ่านหนังสอื ตอนใดตอนหนงึ่ ว่าความยากง่ายอย่างไร หนงั สือมีความยากมาก
น้อยเพียงใด รูปแบบของหนังสือเป็นอย่างไร เหมาะกับผู้อ่านประเภทใด เดาความว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ
อะไร เตรียมสมดุ ดินสอ สำหรับจดบันทกึ ขอ้ ความหรือเนื้อเรอ่ื งที่สำคัญขณะอา่ น
2. การอ่าน ผู้อ่านจะอา่ นหนังสอื ใหต้ ลอดเลม่ หรอื เฉพาะตอนท่ตี อ้ งการอ่าน ขณะอ่านผ้อู ่านจะ
ใชค้ วามรูจ้ ากการอา่ นคำ ความหมายของคำมาใช้ในการอา่ น รวมท้ังการรจู้ กั แบ่งวรรคตอนด้วย การอ่าน
เร็วจะมีสว่ นชว่ ยให้ผอู้ า่ นเขา้ ใจเร่อื งได้ดีกว่าผอู้ ่านชา้ ซ่งึ จะสะกดคำอ่านหรอื อา่ นย้อนไปย้อนมา ผู้อ่านจะ
ใช้บรบิ ทหรอื คำแวดลอ้ มชว่ ยในการตีความหมายของคำเพ่ือทำความเขา้ ใจเร่ืองทอี่ า่ น
3. การแสดงความคิดเห็น ผู้อ่านจะจดบันทึกข้อความที่มีความสำคัญ หรือเขียนแสดงความ
คดิ เหน็ ตคี วามข้อความท่ีอ่าน อา่ นซำ้ ในตอนทีไ่ ม่เข้าใจเพ่ือทำความเข้าใจให้ถกู ต้อง ขยายความคิดจาก
การอ่าน จับคู่กับเพื่อนสนทนาแลกเปลีย่ นความคดิ เห็น ตั้งข้อสังเกตจากเรื่องท่ีอ่าน ถ้าเป็นการอ่านบท
กลอนจะต้องอา่ นทำนองเสนาะดังๆ เพอื่ ฟงั เสยี งการอ่านและเกดิ จินตนาการ
4. การอ่านสำรวจ ผูอ้ า่ นจะอา่ นซ้ำโดยเลือกอ่านตอนใดตอนหนงึ่ ตรวจสอบคำและภาษา ที่ใช้
สำรวจโครงเร่อื งของหนงั สอื เปรยี บเทียบหนังสือทีอ่ ่านกบั หนงั สือท่ีเคยอ่าน สำรวจและเชอื่ มโยงเหตุการณ์
ในเรอื่ งและการลำดบั เรื่อง และสำรวจคำสำคัญท่ีใชใ้ นหนังสือ
5. การขยายความคิด ผู้อ่านจะสะท้อนความเข้าใจในการอ่าน บันทึกข้อคิดเห็น คุณค่าของ
เร่อื ง เช่อื มโยงเรือ่ งราวในเรอื่ งกบั ชวี ิตจริง ความรู้สกึ จากการอา่ น จดั ทำโครงงานหลักการอา่ น เชน่ วาด
ภาพ เขียนบทละคร เขียนบันทึกรายงานการอ่าน อ่านเรื่องอื่นๆ ที่ผู้เขียนคนเดียวกันแต่ง อ่านเรื่อง
เพิม่ เติม เรอื่ งที่เกีย่ วโยงกับเรื่องทีอ่ ่าน เพ่อื ให้ไดค้ วามรทู้ ่ีชัดเจนและกวา้ งขวางขึน้
การเขยี นเชิงสร้างสรรค์
การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการเขียนโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ และจินตนาการในการเขียน
เช่น การเขียนเรียงความ นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย และบทร้อยกรอง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ผู้เขียน
จะต้องมีความคิดดี มีจินตนาการดี มีคลังคำอย่างหลากหลาย สามารถนำคำมาใช้ ในการ เขียน
ตอ้ งใชเ้ ทคนคิ การเขยี น และใช้ถอ้ ยคำอยา่ งสละสลวย
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย โรงเรียนบา้ นคลองเจ้าเมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หนา้ | 133
การดู
การดูเป็นการรับสารจากสือ่ ภาพและเสียง และแสดงทรรศนะได้จากการรับรู้สาร ตีความ แปล
ความ วิเคราะห์ และประเมินคุณค่าสารจากสื่อ เช่น การดูโทรทัศน์ การดูคอมพิวเตอร์ การดูละคร
การดูภาพยนตร์ การดูหนังสือการ์ตูน (แม้ไม่มีเสียงแต่มีถ้อยคำอ่านแทนเสียงพูด) ผู้ดูจะต้องรับรู้สาร
จากการดแู ละนำมาวิเคราะห์ ตีความ และประเมินคุณค่าของสารที่เปน็ เนื้อเรอ่ื งโดยใช้หลักการพิจารณา
วรรณคดีหรือการวิเคราะห์วรรณคดีเบื้องต้น เช่น แนวคิดของเรื่อง ฉากที่ประกอบเรื่องสมเหตุสมผล
กิริยาท่าทาง และการแสดงออกของตัวละครมีความสมจรงิ กับบทบาท โครงเรื่อง เพลง แสง สี เสียง
ที่ใช้ประกอบการแสดงให้อารมณ์แก่ผู้ดูสมจรงิ และสอดคล้องกับยุคสมัยของเหตุการณท์ ี่จำลองสู่บทละคร
คุณค่าทางจริยธรรม คุณธรรม และคุณค่าทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อผู้ดูหรือผู้ชม ถ้าเป็นการดูข่าวและ
เหตุการณ์ หรือการอภิปราย การใช้ความรู้หรือเรื่องที่เป็นสารคดี การโฆษณาทางสื่อจะต้องพิจารณา
เนื้อหาสาระว่าสมควรเชื่อถือได้หรือไม่ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ความคิดสำคัญและมีอิทธิพลตอ่
การเรียนรู้มาก และการดูละครเวที ละครโทรทัศน์ ดูข่าวทางโทรทัศน์จะเป็นประโยชน์ได้รับความ
สนกุ สนาน ตอ้ งดูและวเิ คราะห์ ประเมินคา่ สามารถแสดงทรรศนะของตนได้อยา่ งมเี หตผุ ล
การตีความ
การตีความเป็นการใช้ความรู้และประสบการณ์ของผู้อา่ นและการใช้บริบท ได้แก่ คำที่แวดล้อม
ข้อความ ทำความเข้าใจขอ้ ความหรอื กำหนดความหมายของคำให้ถูกต้อง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า การตีความหมาย ชี้หรือกำหนด
ความหมาย ให้ความหมายหรอื อธิบาย ใช้หรือปรบั ให้เขา้ ใจเจตนา และความมงุ่ หมายเพือ่ ความถกู ต้อง
การเปลยี่ นแปลงของภาษา
ภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คำคำหนึ่งในสมัยหนึ่งเขียนอย่างหนึ่ง อีกสมัยหน่ึง
เขียนอีกอย่างหนึ่ง คำว่า ประเทศ แต่เดิมเขียน ประเทษ คำว่า ปักษ์ใต้ แต่เดิมเขียน ปักใต้ ใน
ปัจจุบันเขียน ปักษ์ใต้ คำว่า ลุ่มลึก แต่ก่อนเขียน ลุ่มฦก ภาษาจึงมีการเปลีย่ นแปลง ทั้งความหมาย
และการเขียน บางครั้งคำบางคำ เช่น คำว่า หล่อน เป็นคำสรรพนามแสดงถงึ คำพูด สรรพนามบรุ ษุ ที่
3 ท่เี ป็นคำสุภาพ แต่เดย๋ี วน้คี ำวา่ หล่อน มีความหมายในเชงิ ดแู คลน เป็นต้น
การสร้างสรรค์
การสร้างสรรค์ คือ การรู้จักเลือกความรู้ ประสบการณ์ที่มีอยู่เดิมมาเป็นพื้นฐานในการสร้าง
ความรู้ ความคิดใหม่ หรือสิ่งแปลกใหม่ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม บุคคลที่จะมี
ความสามารถในการสร้างสรรค์จะตอ้ งเป็นบุคคลท่ีมคี วามคิดอิสระอยู่เสมอ มีความเชอ่ื มน่ั ในตนเอง มอง
โลกในแง่ดี คดิ ไตรต่ รอง ไม่ตดั สนิ ใจสงิ่ ใดงา่ ยๆ การสรา้ งสรรค์ของมนุษย์จะเกีย่ วเนือ่ งกันกบั ความคิดการ
พดู การเขียน และการกระทำเชงิ สร้างสรรค์ ซงึ่ จะตอ้ งมกี ารคดิ เชงิ สร้างสรรค์เป็นพนื้ ฐาน
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรยี นบ้านคลองเจ้าเมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 134
ความคิดเชิงสร้างสรรค์เป็นความคิดที่พัฒนามาจากความรู้และประสบการณ์เดิม ซึ่งเป็น
ปัจจัยพ้ืนฐานของการพดู การเขยี น และการกระทำเชิงสร้างสรรค์
การพูดและการเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการแสดงออกทางภาษาที่ใช้ภาษาขัดเกลาให้ไพเราะ
งดงาม เหมาะสม ถูกตอ้ งตามเนือ้ หาทพี่ ูดและเขียน
การกระทำเชงิ สรา้ งสรรค์เปน็ การกระทำทีไ่ มซ่ ้ำแบบเดิมและคิดค้นใหม่แปลกไปจากเดิม และเป็น
ประโยชน์ทส่ี งู ขึน้
ขอ้ มูลสารสนเทศ
ข้อมูลสารสนเทศ หมายถึง เรื่องราว ข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สามารถ
สื่อความหมายด้วยการพูดบอกเล่า บันทึกเป็นเอกสาร รายงาน หนังสือ แผนที่ แผนภาพ ภาพถ่าย
บันทกึ ด้วยเสียงและภาพ บันทึกด้วยเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ เป็นการเกบ็ เรือ่ งราวต่างๆ บนั ทกึ ไว้เปน็ หลักฐาน
ด้วยวธิ ีต่างๆ
ความหมายของคำ
คำท่ีใช้ในการตดิ ต่อสือ่ สารมีความหมายแบ่งไดเ้ ป็น 3 ลักษณะ คือ
1. ความหมายโดยตรง เป็นความหมายทใี่ ช้พูดจากันตรงตามความหมาย คำหนง่ึ ๆ น้นั อาจมี
ความหมายได้หลายความหมาย เช่น คำว่า กา อาจมีความหมายถึง ภาชนะใส่น้ำ หรืออาจหมายถึง
นกชนิดหนง่ึ ตวั สีดำ รอ้ ง กา กา เป็นความหมายโดยตรง
2. ความหมายแฝง คำอาจมีความหมายแฝงเพิ่มจากความหมายโดยตรง มักเป็นความหมาย
เกี่ยวกับความรู้สึก เช่น คำว่า ขี้เหนียว กับ ประหยัด หมายถึง ไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย เป็น
ความหมายตรง แต่ความรูส้ ึกตา่ งกัน ประหยดั เป็นส่งิ ดี แต่ขี้เหนยี วเปน็ สิง่ ไม่ดี
3. ความหมายในบริบท คำบางคำมีความหมายตรง เมื่อร่วมกับคำอื่นจะมีความหมายเพิ่มเตมิ
กว้างขึ้น หรือแคบลงได้ เช่น คำว่า ดี เด็กดี หมายถึง ว่านอนสอนง่าย เสียงดี หมายถึง ไพเราะ
ดินสอดี หมายถึง เขียนได้ดี สุขภาพดี หมายถึง ไม่มีโรค ความหมายบริบทเป็นความหมายเช่นเดียวกับ
ความหมายแฝง
คณุ คา่ ของงานประพนั ธ์
เมื่อผู้อ่านอ่านวรรณคดีหรือวรรณกรรมแล้วจะต้องประเมินงานประพันธ์ ให้เห็นคุณค่าของงาน
ประพนั ธ์ ทำใหผ้ ู้อ่านอ่านอยา่ งสนุก และได้รบั ประโยชนจ์ าการอ่านงานประพนั ธ์ คณุ ค่าของงานประพนั ธ์
แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ประการ คือ
1. คณุ คา่ ด้านวรรณศิลป์ ถา้ อา่ นบทร้อยกรองกจ็ ะพจิ ารณากลวิธกี ารแต่ง การเลอื กเฟ้นถ้อยคำ
มาใช้ได้ไพเราะ มีความคิดสร้างสรรค์ และให้ความสะเทือนอารมณ์ ถ้าเป็นบทร้อยแก้วประเภทสารคดี
รูปแบบการเขียนจะเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง วิธีการนำเสนอน่าสนใจ เนื้อหามีความถูกต้อง ใช้ภาษา
สละสลวยชดั เจน การนำเสนอมคี วามคิดสร้างสรรค์ ถา้ เปน็ รอ้ ยแก้วประเภทบนั เทงิ คดี องคป์ ระกอบของ
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบ้านคลองเจ้าเมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 135
เร่อื งไม่วา่ เร่ืองสน้ั นวนิยาย นิทาน จะมแี กน่ เรอ่ื ง โครงเรอื่ ง ตัวละครมีความสัมพันธ์กัน กลวิธีการ
แต่งแปลกใหม่ น่าสนใจ ปมขัดแย้งในการแต่งสร้างความสะเทอื นอารมณ์ การใชถ้ อ้ ยคำสร้างภาพได้
ชัดเจน คำพดู ในเร่อื งเหมาะสมกบั บคุ ลกิ ของ ตวั ละครมีความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกบั ชวี ติ และสังคม
2. คณุ ค่าดา้ นสังคม เปน็ คณุ คา่ ทางด้านวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี ศลิ ปะ ชีวติ ความ
เปน็ อย่ขู องมนษุ ย์ และคุณคา่ ทางจรยิ ธรรม คณุ คา่ ดา้ นสังคม เป็นคณุ คา่ ท่ผี อู้ ่านจะ เข้าใจชีวิตทั้งในโลก
ทัศน์และชีวทัศน์ เข้าใจการดำเนินชีวิตและเข้าใจเพื่อนมนุษย์ดีขึ้น เนื้อหาย่อมเกี่ยวข้อง กับการช่วย
จรรโลงใจแก่ผูอ้ ่าน ชว่ ยพฒั นาสังคม อนุรักษส์ ิง่ มคี ณุ ค่าของชาตบิ ้านเมอื งและสนบั สนนุ คา่ นิยมอนั ดีงาม
โครงงาน
โครงงานเปน็ การจดั การเรียนรวู้ ิธีหนง่ึ ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนด้วยการคน้ ควา้ ลงมอื ปฏิบัติจริง ใน
ลักษณะของการสำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ผู้เรียนจะรวบรวมข้อมูล นำมาวิเคราะห์
ทดสอบเพ่ือแกป้ ญั หาข้องใจ ผ้เู รียนจะนำความรจู้ ากช้นั เรยี นมาบรู ณาการในการแกป้ ัญหา ค้นหาคำตอบ
เป็นกระบวนการค้นพบนำไปสู่การเรียนรู้ ผู้เรียนจะเกิดทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการจัดการ
ผู้สอนจะเข้าใจผู้เรยี น เหน็ รูปแบบการเรียนรู้ การคิด วธิ ีการทำงานของผู้เรียน จากการสังเกตการทำงาน
ของผู้เรียน
การเรียนแบบโครงงานเป็นการเรียนแบบศึกษาค้นคว้าวิธีการหนึ่ง แต่เป็นการศึกษาค้นคว้าที่ใช้
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปญั หา เป็นการพฒั นาผู้เรียนใหเ้ ป็นคนมีเหตผุ ล สรปุ เรื่องราว
อย่างมีกฎเกณฑ์ ทำงานอย่างมีระบบ การเรียนแบบโครงงานไมใ่ ช่การศึกษาค้นคว้าจัดทำรายงานเพยี ง
อย่างเดียว ตอ้ งมีการวเิ คราะหข์ อ้ มลู และมกี ารสรุปผล
ทกั ษะการสือ่ สาร
ทักษะการสื่อสาร ได้แก่ ทักษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน ซึ่งเป็นเครื่องมือของ
การส่งสารและการรับสาร การสง่ สาร ได้แก่ การสง่ ความรู้ ความเชือ่ ความคดิ ความรู้สึกด้วยการพูด
และการเขยี น สว่ นการรับสาร ได้แก่ การรบั ความรู้ ความเชื่อ ความคดิ ด้วยการอา่ นและการฟัง การ
ฝึกทักษะการสือ่ สารจึงเป็นการฝึกทกั ษะการพูด การฟงั การอา่ น และการเขยี น ให้สามารถ รับสารและ
ส่งสารอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาเป็นคุณสมบัติของภาษาที่สำคญั มีคุณสมบัติพอสรุปได้ คือ ประการทีห่ น่งึ
ทุกภาษาจะประกอบด้วยเสียงและความหมาย โดยมรี ะเบยี บแบบแผนหรือกฎเกณฑ์ในการใช้ อยา่ งเป็นระบบ
ประการที่สอง ภาษามีพลังในการงอกงามมิรูส้ ิ้นสุด หมายถึง มนุษย์สามารถใช้ภาษา สื่อความหมายได้
โดยไม่สนิ้ สดุ ประการท่ีสาม ภาษาเป็นเรอื่ งของการใช้สัญลักษณ์ร่วมกันหรอื สมมตริ ่วมกัน และมกี ารรบั รู้
สัญลักษณ์หรือสมมติร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกัน ประการที่ส่ี ภาษาสามารถใช้ภาษาพูดใน
การติดต่อสื่อสาร ไมจ่ ำกดั เพศของผู้ส่งสาร ไม่วา่ หญิง ชาย เด็ก ผูใ้ หญ่ สามารถผลัดกันในการส่งสาร
และรับสารได้ ประการที่ห้า ภาษาพูดย่อมใช้ได้ทั้งในปัจจุบัน อดีต และอนาคต ไม่จำกัดเวลาและ
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรียนบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หนา้ | 136
สถานที่ ประการที่หก ภาษาเปน็ เคร่ืองมอื การถ่ายทอดวฒั นธรรม และวิชาความรนู้ านาประการ ทำให้
เกดิ การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมและการสร้างสรรคส์ ง่ิ ใหม่
แนวคดิ ในวรรณกรรม
แนวคิดในวรรณกรรมหรอื แนวเรื่องในวรรณกรรมเป็นความคดิ สำคญั ในการผกู เรอื่ งให้ ดำเนินเรอ่ื ง
ไปตามแนวคิด หรือเปน็ ความคดิ ท่ีสอดแทรกในเรื่องใหญ่ แนวคดิ ย่อมเก่ยี วข้องกบั มนุษย์และสงั คม เป็น
สารทีผ่ ู้เขียนส่งให้ผ้อู ่าน เชน่ ความดยี ่อมชนะความชว่ั ทำดไี ด้ดที ำช่ัวไดช้ ัว่ ความยุติธรรมทำให้โลกสันติ
สุข คนเราพ้นความตายไปไม่ได้ เป็นต้น ฉะนั้นแนวคิดเป็นสารที่ผู้เขียนต้องการส่งให้ผู้อื่นทราบ เช่น
ความดี ความยตุ ิธรรม ความรกั เปน็ ตน้
บริบท
บริบทเป็นคำที่แวดล้อมข้อความที่อ่าน ผู้อ่านจะใช้ความรู้สึกและประสบการณ์มากำหนด
ความหมายหรือความเข้าใจ โดยนำคำแวดล้อมมาช่วยประกอบความรู้และประสบการณ์ เพื่อทำ ความ
เข้าใจหรือความหมายของคำ
พลังของภาษา
ภาษาเป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์จึงสามารถเรียนรู้ภาษาเพื่อการดำรงชีวติ
เปน็ เครือ่ งมือของการสื่อสารและสามารถพฒั นาภาษาของตนได้ ภาษาช่วยใหค้ นรจู้ ักคิดและแสดงออกของ
ความคดิ ด้วยการพูด การเขยี น และการกระทำซึง่ เปน็ ผลจากการคดิ ถ้าไม่มภี าษา คนจะคิดไมไ่ ด้ ถ้าคน
มีภาษาน้อย มีคำศัพท์น้อย ความคิดของคนก็จะแคบไม่กว้างไกล คนที่ใช้ภาษาได้ดีจะมีความคิดดีด้วย
คนจะใชค้ วามคดิ และแสดงออกทางความคิดเป็นภาษา ซ่ึงสง่ ผลไปสู่ การกระทำ ผลของการกระทำส่งผล
ไปสคู่ วามคิด ซง่ึ เป็นพลังของภาษา ภาษาจึงมบี ทบาทสำคัญตอ่ มนษุ ย์ ช่วยใหม้ นุษย์พฒั นาความคิด ช่วย
ดำรงสังคมให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข มีไมตรีต่อกัน ช่วยเหลือกันด้วยการใช้ภาษา
ติดต่อสือ่ สารกัน ชว่ ยใหค้ นปฏิบัตติ นตามกฎเกณฑข์ องสังคม ภาษาช่วยใหม้ นษุ ย์เกิดการพฒั นา ใช้ภาษา
ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การอภิปรายโต้แย้ง เพื่อนำไปสู่ผลสรุป มนุษย์ใชภ้ าษาในการเรียนรู้ จด
บันทกึ ความรู้ แสวงหาความรู้ และชว่ ยจรรโลงใจ ด้วยการอา่ นบทกลอน ร้องเพลง ภาษายังมีพลังในตัว
ของมันเอง เพราะภาพยอ่ มประกอบด้วยเสียงและความหมาย การใชภ้ าษาใช้ถ้อยคำทำให้เกิดความรู้สึกต่อ
ผู้รับสาร ให้เกิดความจงเกลียดจงชังหรือเกิด ความชื่นชอบ ความรักย่อมเกิดจากภาษาทั้งสิน้ ที่นำไปสู่
ผลสรปุ ทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ
ภาษาถิน่
ภาษาถิ่นเปน็ ภาษาพืน้ เมอื งหรอื ภาษาทีใ่ ช้ในท้องถิ่นซ่ึงเป็นภาษาด้ังเดิมของชาวพื้นบ้านท่ีใช้พูดจา
กนั ในหมู่เหล่าของตน บางคร้ังจะใชค้ ำที่มีความหมายต่างกนั ไปเฉพาะถน่ิ บางคร้ังคำทใี่ ชพ้ ูดจากันเป็นคำ
เดียว ความหมายต่างกันแล้วยังใช้สำเนยี งที่ตา่ งกัน จึงมีคำกลา่ วที่ว่า “สำเนียงบอกภาษา” สำเนียงจะ
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พุทธศกั ราช 2565 หน้า | 137
บอกวา่ เปน็ ภาษาอะไร และผ้พู ดู เป็นคนถน่ิ ใด อย่างไรกต็ ามภาษาถนิ่ ในประเทศไทยไมว่ า่ จะเป็นภาษาถิ่น
เหนือ ถ่ินอสี าน ถ่ินใต้ สามารถส่ือสารเข้าใจกันได้ เพยี งแต่สำเนยี งแตกต่างกันไปเท่าน้นั
ภาษาไทยมาตรฐาน
ภาษาไทยมาตรฐานหรือบางทีเรยี กวา่ ภาษาไทยกลางหรอื ภาษาราชการ เปน็ ภาษาทใี่ ช้ สื่อสาร
กันทั่วประเทศและเป็นภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้คนไทยสามารถใช้ภาษาราชการ ในการ
ตดิ ต่อส่ือสารสร้างความเป็นชาติไทย ภาษาไทยมาตรฐานก็คือภาษาทีใ่ ช้กันในเมืองหลวง ที่ใช้ติดต่อกนั ทั้ง
ประเทศ มีคำและสำเนียงภาษาที่เป็นมาตรฐาน ต้องพูดให้ชัดถ้อยชัดคำได้ตามมาตรฐานของภาษาไทย
ภาษากลางหรือภาษาไทยมาตรฐานมีความสำคญั ในการสร้างความเปน็ ปึกแผ่น วรรณคดมี กี ารถา่ ยทอดกัน
มาเป็นวรรณคดีประจำชาติจะใช้ภาษาที่เป็นภาษาไทยมาตรฐานในการสร้างสรรค์งานประพันธ์ ทำให้
วรรณคดีเปน็ เคร่ืองมือในการศกึ ษาภาษาไทยมาตรฐานได้
ภาษาพูดกับภาษาเขียน
ภาษาพูดเป็นภาษาท่ีใช้พูดจากนั ไมเ่ ปน็ แบบแผนภาษา ไมพ่ ถิ พี ถิ นั ในการใช้แต่ใช้ส่ือสารกันได้ดี
สร้างความรู้สึกที่เป็นกันเอง ใช้ในหมู่เพื่อนฝูง ในครอบครัว และติดต่อสื่อสารกันอย่างไม่เป็นทางการ
การใช้ภาษาพูดจะใช้ภาษาที่เป็นกันเองและสุภาพ ขณะเดียวกันก็คำนึงว่าพูดกับบุคคลที่มีฐานะต่างกัน
การใชถ้ ้อยคำกต็ ่างกนั ไปด้วยไม่คำนงึ ถงึ หลกั ภาษาหรอื ระเบยี บแบบแผนการใชภ้ าษามากนัก
ส่วนภาษาเขียนเป็นภาษาที่ใช้เคร่งครัดต่อการใช้ถ้อยคำ และคำนึงถึงหลักภาษา เพื่อใช้ใน
การส่ือสารใหถ้ ูกต้องและใช้ในการเขียนมากกว่าพูด ตอ้ งใชถ้ ้อยคำที่สุภาพ เขยี นให้เปน็ ประโยค เลือกใช้
ถ้อยคำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในการสื่อสาร เป็นภาษาที่ใช้ในพิธีการต่างๆ เช่น การกล่าวรายงาน
กล่าวปราศรัย กล่าวสดุดี การประชุมอภิปราย การปาฐกถา จะระมัดระวังการใช้คำที่ไม่จำเป็นหรือ
คำฟมุ่ เฟือย หรือการเล่นคำจนกลายเป็นการพูดหรือเขียนเล่นๆ
ภมู ปิ ัญญาท้องถ่ิน
ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Local Wisdom) บางครั้งเรียกว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นกระบวนทัศน์
(Paradigm) ของคนในทอ้ งถน่ิ ทม่ี ีความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคนกับคน คนกับธรรมชาติ เพอ่ื ความอย่รู อด แต่
คนในท้องถิ่นจะสร้างความรู้จากประสบการณ์และจากการปฏิบัติ เป็นความรู้ ความคิด ที่นำมาใช้ใน
ทอ้ งถิ่นของตนเพื่อการดำรงชวี ิตที่เหมาะสมและสอดคล้องกบั ธรรมชาติ ผ้รู จู้ ึงกลายเปน็ ปราชญ์ชาวบ้าน
ที่มีความรู้เกย่ี วกับภาษา ยารักษาโรคและการดำเนินชวี ติ ในหมู่บ้านอยา่ งสงบสุข
ภูมปิ ญั ญาทางภาษา
ภมู ิปญั ญาทางภาษาเป็นความรทู้ างภาษา วรรณกรรมท้องถน่ิ บทเพลง สุภาษติ คำพังเพยในแต่
ละท้องถิ่น ที่ได้ใช้ภาษาในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมทางสังคมที่ต่างกนั
โดยนำภูมิปัญญาทางภาษาในการส่ังสอนอบรมพธิ ีการต่างๆ การบนั เทิงหรือการละเลน่ มีการแต่งเป็นคำ
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หน้า | 138
ประพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ท้ังนทิ าน นทิ านปรัมปรา ตำนาน บทเพลง บทรอ้ งเล่น บทเห่กล่อม บทสวด
ต่างๆ บททำขวญั เพื่อประโยชน์ทางสังคมและเป็นส่วนหนง่ึ ของวัฒนธรรมประจำถนิ่
ระดบั ภาษา
ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่คนในสังคมจะต้องใช้ภาษาให้ถูกต้องกับสถานการณ์และโอกาสที่ใช้ภาษา
บคุ คลและประชุมชน การใช้ภาษาจึงแบง่ ออกเป็นระดับของการใช้ภาษาได้หลายรูปแบบ ตำราแต่ละเล่ม
จะแบง่ ระดบั ภาษาแตกต่างกนั ตามลกั ษณะของสมั พันธภาพของบุคคลและสถานการณ์
การแบง่ ระดับภาษาประมวลไดด้ งั นี้
1. การแบ่งระดับภาษาทเ่ี ป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ
1.1 ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาที่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการประชุม ในการ
กล่าวสนุ ทรพจน์ เป็นตน้
1.2 ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาที่ไม่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการสนทนา
การใชภ้ าษาในการเขยี นจดหมายถงึ ผ้คู ุ้นเคย การใช้ภาษาในการเล่าเรือ่ งหรือประสบการณ์ เป็นต้น
2. การแบ่งระดับภาษาที่เป็นพิธีการกับระดับภาษาที่ไม่เป็นพิธีการ การแบ่งภาษาแบบนี้เป็น
การแบ่งภาษาตามความสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคลเปน็ ระดบั ดงั น้ี
2.1 ภาษาระดบั พิธีการ เปน็ ภาษาแบบแผน
2.2 ภาษาระดับกึ่งพิธกี าร เป็นภาษาก่ึงแบบแผน
2.3 ภาษาระดบั ทีไ่ ม่เปน็ พิธกี าร เป็นภาษาไมเ่ ปน็ แบบแผน
3. การแบ่งระดบั ภาษาตามสภาพแวดล้อม โดยแบง่ ระดับภาษาในระดบั ย่อยเปน็ 5 ระดบั คือ
3.1 ภาษาระดับพิธกี าร เช่น การกลา่ วปราศรัย การกล่าวเปิดงาน
3.2 ภาษาระดับทางการ เชน่ การรายงาน การอภปิ ราย
3.3 ภาษาระดบั กึ่งทางการ เชน่ การประชมุ อภิปราย การปาฐกถา
3.4 ภาษาระดับการสนทนา เชน่ การสนทนากบั บคุ คลอยา่ งเป็นทางการ
3.5 ภาษาระดับกนั เอง เชน่ การสนทนาพูดคุยในหมูเ่ พอื่ นฝงู ในครอบครวั
วิจารณญาณ
วิจารณญาณ หมายถึง การใช้ความรู้ ความคิด ทำความเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมีเหตุผล
การมีวิจารณญาณตอ้ งอาศัยประสบการณ์ในการพิจารณาตดั สนิ สารดว้ ยความรอบคอบ และอยา่ งชาญฉลาดเป็น
เหตเุ ปน็ ผล
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย โรงเรยี นบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หนา้ | 139
ส่อื /แหล่งเรยี นรู้
สื่อการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึง
ความรู้ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อการ
เรยี นรู้ มีหลากหลายประเภท ท้ังส่อื ธรรมชาติ สื่อส่ิงพมิ พ์ สอื่ เทคโนโลยี และเครือข่ายการเรยี นรู้ตา่ ง ๆ ที่
มีในท้องถิ่นการเลือกใช้สื่อควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการ และลีลาการเรียนรู้ที่
หลากหลายของผู้เรียนการจัดหาสื่อการเรียนรู้ ผู้เรียนและผู้สอนสามารถจัดทำและพัฒนาขึ้นเอง หรือ
ปรับปรุงเลือกใช้อย่างมีคุณภาพจากสื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัวเพื่อนำมาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ที่
สามารถส่งเสรมิ และสอื่ สารให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ โดยสถานศกึ ษาควรจัดให้มีอย่างพอเพยี ง เพ่อื พฒั นาให้
ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงสถานศึกษาเขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีหน้าที่จัด
การศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน ควรดำเนินการดงั น้ี
1. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์สื่อการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่ายการ
เรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพทั้งในสถานศึกษาและในชุมชน เพื่อการศึกษาค้นคว้าและการแลกเปลี่ยน
ประสบการณ์การเรยี นรู้ระหวา่ งสถานศกึ ษา ท้องถ่ิน ชมุ ชน สังคมโลก
2. จัดทำและจัดหาสื่อการเรียนรู้สำหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน เสริมความรู้ให้ผู้สอน
รวมท้งั จัดหาส่ิงท่มี อี ย่ใู นท้องถิ่นมาประยุกตใ์ ชเ้ ป็นสอื่ การเรียนรู้
3. เลือกและใช้สื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้องกับ
วธิ ีการเรียนรู้ ธรรมชาติของสาระการเรียนรู้ และความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของผ้เู รียน
4. ประเมนิ คณุ ภาพของสอื่ การเรียนรู้ที่เลอื กใชอ้ ยา่ งเป็นระบบ
5. ศกึ ษาคน้ ควา้ วจิ ยั เพอ่ื พัฒนาสอ่ื การเรียนรใู้ ห้สอดคลอ้ งกับกระบวนการเรียนรู้ของผเู้ รยี น
6. จัดให้มีการกำกับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเกี่ยวกับสื่อและการใช้สื่อการ
เรียนรู้เป็นระยะ ๆ และสม่ำเสมอ
ในการจัดทำ การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพส่ือการเรียนรู้ท่ีใช้ในสถานศึกษาควรคำนึงถึง
หลักการสำคัญของสื่อการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตร วัตถุประสงค์การเรียนรู้ การออกแบบ
กิจกรรมการเรยี นรู้ การจัดประสบการณ์ใหผ้ ู้เรยี น เน้อื หามีความถูกตอ้ งและทนั สมัย ไม่กระทบความม่ันคง
ของชาติ ไมข่ ดั ตอ่ ศลี ธรรม มกี ารใช้ภาษาท่ถี ูกตอ้ ง รูปแบบการนาํ เสนอท่ีเข้าใจง่าย และนา่ สนใจ
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย โรงเรียนบา้ นคลองเจา้ เมอื ง
พทุ ธศกั ราช 2565 หนา้ | 140